พระราชนิพนธ์ ธรรมเนียมราชตระกูล ในกรุงสยาม

ทรงเมื่อวันเสาร์ เดือนห้า แรมสิบค่ำ ปีขาลสัมฤทธิ์๑๑ศก

จุลศักราช ๑๒๔๐ ตรงกับวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๑

เป็นปีที่ ๑๑ ใน ร. ๕

----------------------------

(๑) ธรรมเนียมเจ้าในเมืองไทยผิดกับเมืองลาว

จะว่าด้วยธรรมเนียมในราชตระกูล กรุงสยามนี้ แปลกกว่าประเทศทั้งปวงหลายอย่าง ด้วยราชตระกูลนั้นมีมาก หลายกิ่งหลายสายนัก แต่มีเวลาที่เปลี่ยนลงเป็นขุนนาง ได้เร็วกว่าประเทศอื่น ๆ เจ้านายจึงไม่สู้มากเหลือเกิน เหมือนเมืองลาว ซึ่งแลเห็นอยู่ทุกวันนี้ เมืองเชียงใหม่ก็ดีเมืองหลวงพระบางก็ดี ไม่ได้นับเป็นชั้น ว่าเจ้าอย่างไรชั้นใด สุดแต่เป็นเชื้อสายในราชตระกูลก็เรียกว่าเจ้าทั้งสิ้น จนเจ้าอย่างนี้ได้มาเป็นนายหมวดคุมคน ๙ คน ๑๐ คน อยู่ในเมืองเราก็มี

(๒) ธรรมเนียมเจ้าซึ่งเปลี่ยนแปลงลงมา

ธรรมเนียมเจ้าเมืองเรานี้ ผิดกันกับลาว แต่ถ้าจะคิดดู ธรรมเนียมราชตระกูล ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ตั้งต้นแต่จุลศักราช ๗๑๒ ปีมาจนบัดนี้ ธรรมเนียมที่เรียกชื่อเสียง แลยศศักดิ์นั้น ก็เปลี่ยนแปลงกันไป เป็นหลายครั้งหลายครา แต่ไม่ได้เปลี่ยนต้นเปลี่ยนรากทีเดียว เป็นแต่เปลี่ยนเล็กน้อย ตามปัญญาของท่านผู้ครองแผ่นดิน ที่จะรักษาราชตระกูลให้เรียบร้อย ในเวลาที่บ้านเมืองกำลังเป็นป่าอยู่มาก ในตอนตั้งแต่ตั้งกรุงเก่าลงมา จนถึงศักราช ๙๐๐ เศษ อยู่ในระหว่างสองร้อยปีนั้น ธรรมเนียมราชตระกูลคล้ายคลึงกันตลอดมา ตั้งแต่นั้นต่อมาภายหลัง ก็เปลี่ยนแปลงมา เกือบจะเหมือนกับในปัจจุบันนี้ ไม่ใคร่จะมียักย้ายไปอย่างอื่น

(๓) เจ้าแบ่งเป็น ๔ ชั้นตามกฎมนเทียรบาล

ในตำแหน่งยศเจ้านาย ที่จะให้ได้พยานว่าเป็นแบบโบราณนั้น เห็นมีอยู่ในพระราชกำหนดกฎมนเทียรบาล ซึ่งได้ตั้งขึ้นแต่ครั้งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ผู้สร้างกรุง ในจุลศักราช ๗๒๐ ทีหลังสร้างกรุงแล้ว ๘ ปี ชื่อกฎมนเทียรบาลนี้แปลว่าสำหรับรักษาเรือนเจ้าแผ่นดิน ในกฎหมายนั้นได้พรรณนากำหนดพระเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดิน แลพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งอยู่ในตำแหน่งราชการ แลข้อบังคับ สำหรับข้าราชการที่จะประพฤติให้ถูกต้อง ไม่มีความผิดในพระเจ้าแผ่นดิน แต่กฎหมายนั้นถ้อยคำเป็นคำโบราณ คนไทยเองถ้าไม่ได้เป็นคนเรียน แลเป็นคนคิดอยู่บ้าง จะอ่านไม่ใคร่จะเข้าใจเลย เพราะอย่างนั้นคนไทยทุกคนรู้จักกฎหมายนี้ แต่ไม่ใคร่จะทราบว่าเนื้อความในกฎหมายนั้นเป็นอย่างไร เพราะขี้เกียจอ่านขี้เกียจคิด ในกฎหมายนั้น ได้แบ่งเจ้าออกเป็น ๔ ชั้น

(๔) สมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า

(๑) ชั้นที่ ๑ พระเจ้าลูกเธอเกิดด้วยพระอัครมเหสี เรียกว่าสมเด็จหน่อพุทธเจ้า มียศใหญ่กว่าเจ้านายทั้งปวง ต้องอยู่ในเมืองหลวง

(๕) ลูกหลวงเอก

(๒) อีกชั้น ๑ เรียกว่าลูกหลวงเอก เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน แต่พระมารดานั้น ต้องเป็นพระธิดาของพระเจ้าแผ่นดินเหมือนกัน จึงเรียกว่าเป็นลูกหลวงเอก พระเจ้าลูกเธอชั้นนี้ มียศได้กินเมืองเอก คือเมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองนครราชสีมาเป็นต้น เรียกว่าลูกเธอกินเมืองเอกก็เรียก

(๖) ลูกหลวงโท

(๓) รองลงมาอีกชั้น ๑ พระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน แต่พระมารดาเป็นหลานหลวง คือหลานของพระเจ้าแผ่นดินตรง ๆ ที่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า แครนด์ดอเตอ เจ้าที่เกิดด้วยหลานหลวงดังนี้ ก็นับว่าเป็นลูกหลวงเหมือนกัน แต่มียศกินเมืองโท เหมือนเมืองสวรรคโลก เมืองสุพรรณเป็นต้น (เพราะหลานหลวงที่เป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ ก็มีตำแหน่งกินเมืองเหมือนกัน คือ เมืองอินทร เมืองพรหม)

(๗) พระเยาวราช

(๔) ยังอีกชั้น ๑ ที่เกิดด้วยพระสนม เรียกว่า พระเยาวราช คือเจ้าผู้น้อย ไม่ได้กินเมือง

(๘) ต้องไหว้แลเดินตามชั้น

เจ้าทั้ง ๔ ชั้นนี้ ว่าแต่ด้วยลูกหลวงพระเยาวราชต้องถวายบังคม พระเจ้าลูกเธอทั้งสามชั้น ซึ่งว่ามาก่อน พระเจ้าลูกเธอทั้งสามชั้นนั้น ก็ถวายบังคมกันเป็นลำดับไปตามยศ ถึงจะแก่อ่อนกว่ากันอย่างไร ไม่ได้กำหนดด้วยอายุ กำหนดเอายศเป็นประมาณ ถ้าลูกเธอมียศมาก จะเป็นผู้น้อยเด็กทีเดียว ที่มียศน้อยจะเป็นผู้ใหญ่แก่กว่ากันมาก ถึงจะเป็นพี่ ป้า น้า อา ประการใด ก็ต้องไหว้ ต้องเดินหลังผู้ที่มียศมาก

(๙) เจ้าฟ้าได้ชื่อมาแต่ลูกหลวงได้กินเมืองจริง

แต่ยศเจ้าลูกเธอ กินเมืองเอกเมืองโท ๒ ชั้นนี้ เจ้านั้นได้ไปกินเมืองจริง เหมือนหนึ่งเป็นเจ้าประเทศราช อยู่ในบังคับเจ้าแผ่นดินใหญ่ เพราะเป็นผู้ไปครองเมืองอย่างนั้น คนทั้งปวงจึงเรียกเจ้าฟ้า เจ้าฟ้านั้นคือเจ้าแผ่นดิน ฤๅเจ้าเมือง ตามคำกล่าวถึงเดี๋ยวนี้เจ้าฟ้าข้างเมืองลาวยังมีมากนัก คือเจ้าฟ้าแสนหวี เจ้าฟ้าเมืองหลีก เจ้าฟ้าเมืองมืดเป็นต้น จนครั้งนี้เมื่อรบกับฮ่อในหนังสือที่มีไปมา แลคำให้การยังเรียกว่าเจ้าฟ้าเมืองไทย เจ้าฟ้าเมืองญวน เจ้าฟ้านั้นแปลว่า เจ้าเมืองตรงทีเดียว แต่เป็นวิสัยอยากจะพูดให้สูง จึงเรียกว่าเจ้าฟ้า เหมือนหนึ่งเป็นเจ้ามาจากฟ้า คือว่าเป็นเชื้อวงศ์ของเทวดา เพราะธรรมเนียมข้างอินเดียนี้ถือกันว่าเจ้าแผ่นดิน เป็นสมมุติเทวดา

(๑๐) เจ้าฟ้าตามกฎมนเทียรบาลมีแต่ ๒ อย่าง

แต่เจ้าฟ้ามีอยู่ ๓ ชั้นเท่านั้น ลูกพระอัครมเหสีไม่เป็นเจ้าฟ้า ลูกพระสนมไม่เป็นเจ้าฟ้า เป็นแต่ลูกเธอ ที่เกิดด้วยลูกหลวง หลานหลวง จึงเป็นเจ้าฟ้า ธรรมเนียมแต่ตั้งกรุงแล้ว จนถึง ๒๐๐ ปีนั้น เป็นแบบอยู่ดังนี้

(๑๑) เลิกธรรมเนียมเจ้าไปครองเมือง

ครั้นภายหลังมา พระเจ้าแผ่นดินเห็นว่าใน ๒๐๐ ปี ก่อนที่ให้เจ้านายไปครองเมือง มีเหตุแย่งชิงราชสมบัติกันหลายครั้งหลายคราว บางทีก็ไปเข้าด้วยพวกข้าศึก กลับทำร้ายกรุง ซึ่งเป็นพี่น้องไม่สู้สนิทกัน จึงได้เลิกธรรมเนียมนี้เสียโดยเงียบ ๆ ไม่ได้ประกาศว่าจะไม่ตั้งต่อไป แต่ไม่ได้มีไปครองเมืองอีกเลย

(๑๒) รวมคงเป็นเจ้าฟ้าด้วยกันทั้งสิ้น

ยศของเจ้าฟ้า คือเจ้าเมืองนั้น จึงยังคงติดอยู่กับเจ้านาย ซึ่งเป็นลูกหลวง หลานหลวง ถึงไม่ได้ครองเมืองแล้ว ก็ยังเรียกเจ้าฟ้าอยู่เสมอ อยู่มาพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใคร่จะมีพระอัครมเหสี ที่ยกย่องเหลือเกินกว่ากัน ที่จะให้เป็นสมเด็จหน่อพุทธเจ้า จึงได้คงมีอยู่แต่เจ้าฟ้า ต่อมายศสมเด็จหน่อพุทธเจ้านั้น ก็หายไปทีเดียว ถึงเป็นลูกพระมเหสี ก็เรียกเพียงเจ้าฟ้า เหมือนลูกเธอที่เกิดด้วยลูกหลวงแลหลานหลวง ยศเจ้าฟ้าเป็นยศหัวหน้าของเจ้านายทีเดียว เป็นแต่ในเจ้าฟ้าบางองค์ ซึ่งเป็นลูกเธอด้วยกัน เจ้าแผ่นดินเห็นสมควรยกขึ้นให้เป็นวังหน้า มีอยู่บ้างเป็นคราว ๆ ไม่เสมอไป แต่เจ้าฟ้ายังมีอำนาจที่จะแห่หอกได้เหมือนเจ้าแผ่นดิน อย่างเช่นตัวได้ครองเมืองอยู่ เมื่อเวลาไปทางเรือ ก็มีเรือดั้งกะทุ้งส้าวเหมือนเจ้าแผ่นดินได้ แลเดินหน้าเจ้านาย ซึ่งมียศต่ำกว่าดังเช่นว่ามาแล้ว

(๑๓) ยศวิเศษของเจ้าฟ้าที่ผิดกับเจ้านาย

แลยังมียศของเจ้าฟ้า ซึ่งวิเศษกว่าเจ้านายตามธรรมเนียมอีกหลายอย่าง คือ

(๑๔) ตามธรรมเนียมใช้พระเต้าเบญจครรภได้

รดน้ำในพระเต้าเบญจครรภ ซึ่งเป็นเต้าสำหรับถวายอภิเษกแก่พระเจ้าแผ่นดิน เมื่อเวลาบรมราชาภิเษก เต้านั้นได้ถือกันเป็นธรรมเนียมแผ่นดินมา ว่ามารดาไม่ได้อยู่ในราชตระกูลเดียวกัน รดน้ำด้วยหม้อนั้นเป็นจัญไร พราหมณ์ไม่ยอมรดให้ จะรดได้ก็แต่ที่เป็นเจ้าฟ้า

(๑๕) พราหมณ์กล่าวคาถาเสียงดังเมื่อถวายของบูชาพระอิศวร

อนึ่งเมื่อทำพิธีตรียัมพวาย บูชาพระอิศวรโล้ชิงช้า ช้าหงส์เสร็จแล้ว พราหมณ์นำเอาของบูชาพระอิศวรมาให้ ถ้าเป็นเจ้าฟ้าพราหมณ์นั้นว่าคาถาของพราหมณ์ ด้วยเสียงดังมีทำนองเหมือนหนึ่งถวายพระอิศวร แลถวายพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าจะไปถวายแก่เจ้านายอื่น ๆ ก็เป็นจัญไรเหมือนกัน

(๑๖) ขึ้นอู่มีคาถาสรรเสริญไกรลาศแลขับไม้

หนึ่งเมื่อเวลาประสูติเจ้าฟ้านั้น ครบเดือนเข้าแล้ว พราหมณ์จะยกขึ้นอู่ ต้องว่าคาถาสรรเสริญไกรลาศ เหมือนหนึ่งเอาหงส์ขึ้นบนเปล แล้วกล่อมด้วยคาถาของพราหมณ์ แลมีเครื่องมโหรีอย่างหนึ่ง เฉพาะทำได้แต่การหลวง แลการของเจ้าฟ้า คือมีซอคันหนึ่ง มีบัณเฑาะว์ ๒ อัน มีคนขับคนหนึ่ง เรียกว่าขับไม้

(๑๗) มีช้าลูกหลวง

ตั้งแต่ขึ้นพระอู่แล้ว มีข้าหลวงสำหรับร้องเพลงเห่ ในเวลาประทม เรียกว่าช้าลูกหลวง ทำนองแลถ้อยคำไม่เหมือนกันกับที่เห่เจ้านายตามธรรมเนียม เป็นคำสูง ๆ เป็นต้นว่าอย่างเช่น พระเสด็จมาผ่านพิภพปกป้องพระวงศานุวงศ์แลราษฎรดังนี้

(๑๘) นางนมพี่เลี้ยงเป็นพระแลมีนายเวร ปลัดเวร

พี่เลี้ยงนางนมนั้น เติมยศพระข้างหน้าเรียกเป็นพระพี่เลี้ยงพระนม ข้าในกรมมีตำแหน่ง ตั้งนายเวร ๔ ปลัดเวร ๔ บ้าง อย่างละ ๖ บ้าง ตามที่นายเวรตำรวจ นายเวรมหาดเล็ก นายเวรฝีพายมากบ้างน้อยบ้าง ตามแต่เจ้าของจะตั้งวิเศษกว่าเจ้านายตามธรรมเมียม

(๑๙) มีการลงสรงโสกันต์ มีเขาไกรลาศ นั่งบนหนังราชสีห์ แบ่งพระเกศา ๕ แหยม งานโสกันต์ ๖ วันเป็น ๗ วัน ทั้งลอยพระเกศา

แลเมื่อเวลาพระชนมพรรษาครบ ๙ ขวบ มีการแห่ลงสรงในแม่น้ำ ภายใต้มณฑปตั้งอยู่บนแพในน้ำ เมื่อพระชนมพรรษาครบกำหนดโสกันต์ ก็มีเขาไกรลาศ การแห่โสกันต์นั้น เป็น ๖ วัน ๗ วัน ทั้งลอยพระเกศา แลเมื่อเวลาโสกันต์เจ้าฟ้าต้องนั่งบนหนังราชสีห์ ฤๅรูปราชสีห์ปัก อย่างเช่นพระเจ้าแผ่นดิน ขึ้นพระภัทรบิฐ แลจุกที่แบ่งเวลาจะตัด ตามธรรมเมียมเจ้านายทั้งปวงแบ่งสามแหยม แต่เจ้าฟ้าต้องแบ่ง ๕ แหยม เรียกว่าเบญจสิขร คือเอาอย่างเทวดาองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นคนดีดพิณ ของพระอิศวรได้ทำผมเป็น ๕ แหยม แลสรงน้ำด้วยปากสัตว์ทั้ง ๔ ดังเช่นการโสกันต์ ที่เคยมีมาแล้ว

(๒๐) เจ้าฟ้ามียศเท่ากรมหมื่นเป็นกรมได้แต่กรมขุนขึ้นไป เจ้าฟ้ามีศักดินาแปลกกว่าเจ้านายตามธรรมเนียม

แลเจ้าฟ้านั้น ไม่มียศที่จะสมควรเป็นกรมหมื่น ถ้าจะได้เป็นกรม ต้องเป็นตั้งแต่กรมขุนขึ้นไป แลมีศักดินาแปลกกว่าเจ้านายตามธรรมเนียมหลายเท่า คือถ้าเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าทรงศักดินา ๒๐,๐๐๐ ถ้าเป็นต่างกรม ทรงศักดินา ๕๐,๐๐๐ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้า ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ ถ้าเป็นต่างกรม ๔๐,๐๐๐ เจ้าทั้งสองชั้นนี้ ถ้าเป็นอุปราช ทรงศักดินา ๑๐๐,๐๐๐ พระองค์เจ้าตามธรรมเนียม ถ้าเป็นน้องยาเธอ ทรงศักดินาแต่ ๗,๐๐๐ ลูกยาเธอ ๖,๐๐๐ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้า ทรงศักดินา ๖,๐๐๐ ถ้าเป็นต่างกรม ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ เท่ากันทั้งสามชั้น ถ้าเป็นแต่พระเจ้าหลานเธอเหมือนหนึ่งเจ้านายวังหน้า ศักดินา ๔,๐๐๐ ถ้าเป็นต่างกรมศักดินา จึงขึ้นเป็น ๑๑,๐๐๐ ตำแหน่งมานี้เป็นของโบราณ ตั้งมาแต่ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถที่ ๑ ซึ่งได้เถลิงถวัลยราชสมบัติในจุลศักราช ๗๙๖ ปี ยังอยู่ในตอน ๒๐๐ ปี ข้างต้น เมื่อดูตำแหน่งศักดินานี้แล้ว ก็จะเห็นว่าเจ้าฟ้ายศมากกว่า พระองค์เจ้าเท่าใด

(๒๑) เจ้าฟ้าเป็นกรมไม่เปลี่ยนพระนามเดิมทิ้ง คงเรียกด้วย

อนึ่งเจ้าฟ้าเป็นต่างกรม จะเป็นกรมขุน กรมหลวง กรมพระอย่างไรก็ดี ไม่ได้เรียกพระนามตามกรม เปลี่ยนพระนามเดิม เหมือนเจ้าต่างกรมทั้งปวง เพราะเจ้าฟ้านั้น เมื่อจะได้รับพระนามกำหนดต่อพระชนมพรรษาได้ ๘ ปีเศษ ฤา ๙ ปี พระนามนั้นจาฤกในสุพรรณบัฏนี้ สร้อยยาวดังเช่นตัวเราเอง ได้รับสุพรรณบัฏจาฤกชื่อว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพย มหามงกุฎบุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุดมพงศบริพัต ศิริวัฒนราชกุมาร ฤๅศิริวัฒนราชวโวรส ตามเวลาเด็กเวลาหนุ่ม

(๒๒) สร้อยพระนามเจ้าฟ้ามีพระนามพระราชบิดาด้วย ยกแต่เจ้าฟ้าหญิงไม่มี มีแต่สร้อยสั้น ๆ

แต่ในสร้อยชื่อที่เจ้าฟ้า ได้รับทุกองค์นั้น คงจะมีว่าเป็นลูกคนนั้น คือออกพระนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งเป็นพระราชบิดาทุกๆ พระองค์ เหมือนหนึ่งพระนามพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ามีว่า พงศาดิศวร กระษัตริย์ พระนามสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา มีว่า มหิศราธิราชรวิวงศ์ คือเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ซึ่งทรงพระนามว่า อิศรสุนทร แลตัวเราเองมีว่าบดินทรเทพยมหามกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ ท่านกลางมีว่า มกุฎราชวรางกูร คือเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระนามว่ามหามกุฎ แต่เจ้าฟ้าหญิงนั้น มีสร้อยพระนามสั้น ๆ ไม่มีพระนามพระราชบิดา

(๒๓) มีเจ้ากรมเป็นหมื่น แต่ยังไม่รับกรม เมื่อเป็นกรมใช้พระนามเดิมตลอดจนชื่อเจ้ากรม

แลตั้งเจ้ากรมปลัดกรมสมุหบัญชีเป็นหมื่นได้ เหมือนเจ้าต่างกรม เมื่อเลื่อนขึ้นเป็นกรมขุนกรมหลวง ฤๅกรมพระนามเดิม ที่ได้รับพระสุพรรณบัฏ แต่ทรงพระเยาวนั้นไม่เลิกถอนพระนามซึ่งตั้งเป็นกรมนั้น ไม่เป็นพระนามของเจ้าเป็นชื่อของเจ้ากรม ถ้าจะเรียกพระนาม ต้องเรียกพระนามเดิม ตลอดถึงชื่อเจ้ากรมด้วยเหมือนอย่างสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระบำราบปรปักษ์ เจ้ากรมเป็นพระบำราบปรปักษ์ ปลัดกรมเป็นหลวง สมุหบัญชีเป็นขุนตามลำดับยศ

(๒๔) มีเครื่องยศลงยาราชาวดี

อนึ่งเครื่องยศพานหมากเสวย พระเต้าบ้วนพระโอษฐใช้เครื่องลงยาราชาวดี ผิดกับเจ้านายทั้งปวง ถ้าเจ้านายทั้งปวงถึงจะมียศใหญ่เป็นต่างกรมอย่างสูง ถึงกรมสมเด็จพระ ก็จะใช้เครื่องลงยาไม่ได้ต้องใช้ทองเปล่า เว้นแต่ทำใช้เองในเวลานอกจากหน้าพระที่นั่งพระเจ้าแผ่นดิน ต่อมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดพระราชทานเครื่องในพานนั้นลงยา พานเป็นทองเปล่า แก่ท่านผู้ที่ได้ช่วยราชการแผ่นดินบ้าง น้อยคนทีเดียว.

(๒๕) ถ้าเจ้าฟ้าได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ใช้สร้อยพระนามอุภโตสุชาติได้

ถ้าเจ้าฟ้าได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ใช้สร้อยพระนาม อุภโตสุชาติสังสุทธเคราหณีซึ่งเป็นคำที่นับถือของพวกนักปราชญ์ชาวสยามว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ คำว่าอุภโตสุชาตินั้นว่ามีความเกิดดีแต่ฝักฝ่ายทั้งสอง สังสุทธเคราหณี ว่ามีครรภเป็นที่ถือเอาปฏิสนธิบริสุทธพร้อม คือถ้าจะรวมความตามเข้าใจ ว่ามีครรภที่เกิดปฏิสนธิบริสุทธ์ เป็นอันดีพร้อมทั้งสองฝ่าย

(๒๖) สิ้นพระชนม์แล้ว มีนางร้องไห้แลเมรุกลางเมือง

อนึ่งถ้ามีช้าลูกหลวงเมื่อเวลาประสูติแล้ว เวลาสิ้นพระชนม์ก็ต้องมีนางร้องไห้ แลทำพระเมรุกลางเมือง ใหญ่บ้างย่อมบ้างตามกาลเวลา

(๒๗) คำที่เรียกเจ้าฟ้าว่าทูลกระหม่อม

อนึ่งยังมีคำของคนทั้งปวงที่เรียกยกยอนอกจากยศที่พระเจ้าแผ่นดินให้ เคยเรียกอยู่ในเจ้าฟ้าซึ่งเป็นลูกเธอว่า ทูลกระหม่อม คำซึ่งเรียกว่าทูลกระหม่อมนี้ไม่เป็นยศในตำแหน่ง เป็นแต่เรียกกันขึ้นลอย ๆ เหมือนดังขุนนางเป็นพระยาแล้วบ่าวไพร่ฤๅใคร ๆ ที่มียศต่ำกว่าฤาขุนนางด้วยกันเองที่มียศเสมอกัน เคยเรียกว่าเจ้าคุณแต่คำที่เรียกเจ้าคุณนี้ ถ้าจะใช้กราบทูลในราชการก็ใช้ไม่ได้ ต้องเรียกชื่อพระยาอันนั้นตามที่ตั้งฉันใด คำที่เรียกว่าทูลกระหม่อมนี้ก็เหมือนกันอย่างนั้น แต่บางทีถ้าไม่เป็นที่ใช้ในหนังสือราชการ แลคำกราบทูลที่เป็นราชการแท้ ก็กราบทูลว่าทูลกระหม่อมได้บ้าง เป็นแต่ไปรเวต

(๒๘) เจ้าฟ้าชั้นเอกก็ควรเรียก

คำที่เรียกว่าทูลกระหม่อมนี้ บางทีคนที่ฟังจะสงสัยไป ว่าจะเรียกไม่ทั่วกันเป็นเฉพาะแห่ง แต่ที่จริงนั้นถ้าเจ้าฟ้าชั้นเอก แล้วเรียกทูลกระหม่อมได้ทั้งสิ้น ถึงโดยผู้อื่นจะเรียกบ้างไม่เรียกบ้าง ข้าไทคนใช้นั้นคงเรียกว่าทูลกระหม่อม

(๒๙) ยศทูลกระหม่อมนั้น ไม่ได้แต่งตั้งเป็นแต่คนทั้งปวงเรียกเอง

อนึ่งพระเจ้าลูกเธอ เรียกพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นพระราชบิดา ว่าทูลกระหม่อมบ้าง ลูกเจ้าฟ้าเหล่านี้ก็เรียกเจ้าฟ้าผู้เป็นพระบิดาว่าทูลกระหม่อมเหมือนกัน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็รับสั่งว่าอย่างนี้ เป็นการถูกธรรมเนียมแล้ว แต่ยศนี้เจ้าแผ่นดินไม่ต้องตั้งคนทั้งปวงเรียกเองได้ ก็เป็นยศของเจ้าฟ้าผิดกับพระองค์เจ้าด้วยอย่างหนึ่ง

(๓๐) การโสกันต์นั้น บางทีได้ทำบ้างทีติดการขัดขวาง

ธรรมเนียมยศอย่างนี้ เป็นของมีมาแต่กรุงเก่าแต่ในตอน ๒๐๐ ปีข้างต้นบ้าง มาเกิดขึ้นภายหลัง ๒๐๐ ปีบ้าง ยศอย่างนี้ เจ้าฟ้ายังได้รับอยู่เสมอจะถึงปัจจุบันนี้ เว้นแต่การโสกันต์แลการสงสรงที่เป็นการใหญ่ ๆ ต้องใช้ผู้คนมากเวลามีราชการบ้านเมืองขัดขวางก็ไม่ได้ทำ ถ้าว่างเปล่าสมควรจะทำได้ก็ได้ทำ

(๓๑) ยศแลอำนาจเจ้าฟ้าที่กล่าวแก้แต่ต้นนั้นเป็นของเฉพาะแต่เจ้าฟ้าที่เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ นอกนั้นเหมือนเจ้านายตามธรรมเนียม

ตำแหน่งยศแลอำนาจของเจ้าฟ้าซึ่งว่ามานี้เป็นแต่เจ้าฟ้าซึ่งเป็นพระราชโอรส ของพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ถ้าเจ้าฟ้าอื่น ๆ ก็มียศศักดิน้อยกว่าพระเจ้าลูกเธอของพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นพระองค์เจ้า จะมีเครื่องยศแลการโสกันตทรงผนวชสิ่งใดก็เท่า ๆ กับเจ้านายตามธรรมเนียม ฤๅต่ำลงไปกว่าพระองค์เจ้าบ้าง ตามลำดับยศซึ่งพรรณนามาข้างต้น ต้องเข้าใจว่าเป็นแต่เจ้าฟ้าที่เป็นลูกพระเจ้าแผ่นดินใหญ่พวกเดียวเท่านั้น ธรรมเนียมยศเจ้าฟ้าลูกเจ้าแผ่นดินดังเช่นว่ามานั้นมีมาแต่โบราณ ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้

(๓๒) การแห่แหนอย่างโบราณนั้นคงเหลืออยู่เป็นของพระราชทานแต่กลองชนะ

แต่ที่มีในกฎมนเทียรบาล ซึ่งเป็นของโบราณว่าได้ด้วยกระบวนแห่แหน แลเครื่องยศต่าง ๆ เครื่องสูงต่าง ๆ ของเจ้าฟ้าเป็นชั้น ๆ จะเก็บมาเรียงในนี้ ก็จะยืดยาวนักด้วยเป็นของเลิกทิ้งเสียแล้ว ที่ยังเหลือติดมาบ้างก็เป็นแต่ของหลวงพระราชทานเหมือนหนึ่งเครื่องสูงกลองชนะแห่โสกันต์เป็นต้น จะพรรณนาให้ละเอียดก็เห็นจะไม่จบ

(๓๓) ธรรมเนียมเจ้าฟ้าในชั้นหลังจนปัจจุบันกาลมีข้อควรเป็นเจ้าฟ้าได้ ๗ หมู่

จะขอว่าด้วยผู้ซึ่งมียศควรจะเป็นเจ้าฟ้าตามธรรมเนียมภายหลัง ๒๐๐ ปีมาแล้วต่อไป เจ้าฟ้าซึ่งเข้าใจกันในชั้นหลัง ๆ ตั้งแต่กรุงเก่ามาจนถึงกรุงเทพฯ ในระหว่าง ๓๐๐ ปีเศษ ว่าเจ้าอย่างไรควรจะเป็นเจ้าฟ้าอย่างไรไม่ควรจะเป็นตามตัวอย่างมีอ้างอิงให้เห็นชัดได้สมแบบแผน ให้พึงทราบไว้ก่อนว่า ในราชตระกูลนั้นนับถือข้างฝ่ายมารดามาก ถ้าจะนับผู้ที่ควรเป็นเจ้าฟ้าได้นั้น เป็นได้เพราะ

(๓๔) ๑. แรกตั้งพระวงศ์ ตั้งพี่เธอน้องเธอที่ร่วมพระชนกชนนี พระราชโอรส ขึ้นเป็นเจ้าฟ้าได้

๑. เจ้าแผ่นดินปราบดาภิเษกใหม่เปลี่ยนพระวงศ์แรกจะตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า พระเจ้าแผ่นดินองค์นั้นมีอำนาจที่จะตั้งเจ้าฟ้า ได้ตามชอบพระทัย แต่คงไม่ผิดจากหนทางที่เป็นแบบมาแล้ว แล้ววิเศษกว่าพระเจ้าแผ่นดิน ที่บรมราชาภิเษกสืบพระวงศ์บ้างเล็กน้อย คือเหมือนหนึ่งพระพี่ยาเธอ พระพี่นาง พระน้องยา พระน้องนาง ที่ร่วมพระครรภ์กับพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น ยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้าได้ พระราชโอรสองค์ใดองค์หนึ่ง จะยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้าก็ได้ (๑) เหมือนอย่างพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงยกสมเด็จพระพี่นางเธอ ๒ พระองค์ แลพระเจ้าลูกเธอซึ่งเป็นพระโอรสพระธิดา กรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ เป็นเจ้าฟ้าทั้ง ๔ พระองค์ แต่สมเด็จพระอมรินทรามาตย์ ซึ่งเป็นพระมารดานั้นก็ไม่ได้ยกขึ้น เป็นอัครมเหสีมีการตั้งแต่งอย่างไรอย่างหนึ่ง เป็นแต่โปรดให้เป็นเจ้า จะได้สมกับที่เป็นพระมารดาเจ้าฟ้า นี่เป็นเจ้าฟ้าตั้งขึ้นยกขึ้นอย่างหนึ่ง แต่พระเจ้าน้องยาเธอของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งบรมราชาภิเษกสืบพระบรมราชวงศ์โดยการเรียบร้อย เหมือนพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอนุชาร่วมพระมารดาไม่เห็นยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้า (๒) จะเป็นด้วยสิ้นพระชนม่ไปเสียแต่ยังทรงพระเยาว์ จึงไม่ยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้า ฤๅจะมีธรรมเนียมห้ามปรามกันอย่างไรก็ไม่ทราบ

(๓๕) ๒. พระราชโอรสเกิดแต่ลูกหลวงเป็นเจ้าฟ้าตรง

๒. พระเจ้าลูกเธอ ซึ่งเกิดด้วยลูกหลวง คือ พระราชธิดาของพระเจ้าแผ่นดิน เป็นเจ้าฟ้าตรงตามตำแหน่ง เหมือนหนึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลากรมพระบำราบปรปักษ์ ซึ่งเป็นพระโอรสเจ้าฟ้ากุณฑล เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นพระราชบิดา ถ้าจะว่าตามภาษาอังกฤษก็นับว่าเป็นเจ้าฟ้าไปไรต์ By right

(๓๖) ๓. พระราชโอรสเกิดด้วยหลานหลวงเป็นเจ้าฟ้า

๑. เจ้าฟ้าซึ่งเกิดด้วยพระราชนัดดาของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินนั้น ถ้าจะว่าโดยตรง ก็ควรจะเป็นเจ้าฟ้าได้ตามกฎหมาย แต่พระราชนัดดาของพระเจ้าแผ่นดินนั้น ไม่ใคร่จะมีพระบิดามารดาที่เป็นเจ้าฟ้าฤๅเป็นพระองค์เจ้าทั้งสองฝ่าย จึงตกลงเป็นหม่อมเจ้าเสียโดยมาก เมื่อเป็นหม่อมเจ้าอยู่ดังนั้น ก็ไม่สมควรที่จะเป็นพระมารดาเจ้าฟ้า เมื่อพระเจ้าแผ่นดินจะโปรดให้เป็นเจ้าฟ้า จึงต้องยกขึ้นให้เป็นพระองค์เจ้า เหมือนแบบในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมเจ้าหญิงในพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ซึ่งเป็นราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ๆ ยกขึ้นเป็นพระองค์เจ้าไว้แต่ก่อนแล้ว ครั้นมาเป็นพระราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชโอรสเป็นเจ้าฟ้า แลหม่อมเจ้ารำเพยเป็นพระธิดา ในกรมหมื่นมาตยาพิทักษ ซึ่งเป็นพระราชโอรสใหญ่ ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเป็นพระราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงยกขึ้นให้เป็นพระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ ได้เป็นพระราชมารดาเจ้าฟ้าถึง ๔ พระองค์ เจ้าฟ้าอย่างนี้ก็เป็นเจ้าฟ้าไปไรต์เหมือนกัน แต่ซึ่งต้องยกเป็นพระองค์เจ้า เพราะจะให้สมกับพระเกียรติยศเจ้าฟ้า ซึ่งเป็นพระโอรส แต่ที่พระราชโอรส พระเจ้าแผ่นดิน เกิดด้วยหลานเธออย่างนี้ พระเจ้าแผ่นดินไม่โปรดให้เป็นเจ้าฟ้าก็ได้ ธรรมเนียมที่ว่าพระราชโอรสเกิดด้วยหลานหลวงเป็นเจ้าฟ้านั้น ถ้าเป็นพระองค์เจ้าเป็นเจ้าฟ้า ถ้าเป็นแต่หม่อมเจ้าไม่แน่ พระเจ้าแผ่นดินยังขัดขวางได้

(๓๗) ๔. พระราชโอรสเกิดด้วยลูกเจ้าประเทศราชเป็นเจ้าฟ้าได้

๔. พระราชโอรสเกิดด้วยเจ้าต่างประเทศซึ่งเป็นเมืองเอกราชในครั้งนั้น เป็นเจ้าฟ้าไปไรต์ ฤๅเมืองซึ่งเป็นเอกราชอยู่แต่เดิมภายหลังมาเป็นเมืองประเทศราชขึ้นกรุงเทพ ฯ พระเจ้าแผ่นดินนั้นยังคงยศศักดิ์อยู่ ถ้าพระเจ้าแผ่นดินจะโปรดให้หลานเจ้าคนนั้น ซึ่งเป็นพระราชโอรส พระราชธิดาของพระองค์เป็นเจ้าฟ้าก็เป็นได้เหมือนดังพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ยกพระองค์เจ้าหญิง ในเจ้าจอมมารดา ซึ่งเป็นลูกเจ้าเวียงจันทน์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี เจ้าฟ้าดังนี้ก็ยังนับอยู่ว่าเป็นไปไรต์ แต่คนไม่สู้จะนับถือเหมือนพระมารดา ซึ่งเป็นพระบรมราชวงศ์เดียวกันแลในเมื่อแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นักเยี่ยมซึ่งเป็นบุตรสมเด็จพระนโรดมเจ้ากรุงกัมพูชา ซึ่งโปรดให้เป็นพระองค์เจ้ากำโพชราชสุดาดวง แลตนกูสุเบีย ซึ่งเป็นน้องสาวสุลต่านมหมุดเมืองลิงงา เป็นพระสนมอยู่ทั้งสองคนก็ได้ทรงพระปรารภเป็นการดังทราบทั่วกัน ถ้าพระราชบุตรเกิดด้วยเจ้า ๒ คนนี้ ก็ต้องเป็นเจ้าฟ้าตามธรรมเนียมเหมือนกัน แต่ก็มีคนรังเกียจอยู่ในการที่จะต้องเป็นดังนั้นมาก

(๓๘) ๕ เจ้าซึ่งเป็นโอรสเจ้าฟ้าเป็นมารดา เป็นเจ้าฟ้าหลานเธอได้โดยมารดา

๕. เจ้าฟ้าหญิง ซึ่งเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ ฤๅสมเด็จพระเจ้าลูกเธอก็ดี มีพระสวามีเป็นพระเจ้าแผ่นดินฤๅเป็นเจ้าฟ้า ฤๅเป็นเจ้าต่างกรมพระองค์เจ้าอย่างใด ๆ ก็ดี เมื่อเจ้าฟ้าหญิงองค์นั้นมีพระโอรสพระธิดา ก็คงเป็นเจ้าฟ้าตามพระมารดา แต่ศักดินาลดไปตามบรรดาศักดิเจ้าซึ่งเป็นพระบิดา ได้แต่ชื่อว่าเป็นเจ้าฟ้า เหมือนสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้า ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าทั้งสองพระองค์ มีพระสวามีแต่ยังไม่ได้เป็นเจ้ามีพระโอรสพระธิดา องค์ละหลายองค์ พระโอรสพระธิดานั้น ต้องนับเป็นเจ้าฟ้าทั้งสิ้นตามพระมารดา ครั้นภายหลังมาเจ้าฟ้าหญิง ซึ่งเป็นพระธิดาสมเด็จพระเจ้าพี่นางพระองค์น้อยได้เป็นพระชายาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อยังเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธออยู่ มีพระโอรสสามพระองค์เป็นเจ้าฟ้าทั้งสามพระองค์ เป็นตัวอย่างดังนี้ แต่ผู้อ่านต้องเข้าใจว่า เจ้าฟ้าหญิงซึ่งจะได้ไปเป็นเมียพระองค์เจ้าแลพระองค์เจ้าจะไปเป็นเมียหม่อมเจ้า ฤๅเป็นเมียขุนนาง ฤๅเจ้าต่างประเทศ แลเจ้าในราชตระกูล แต่มิใช่พี่น้องสนิทกันนั้น ธรรมเนียมห้ามมีไม่ได้ เพราะฉะนั้นเจ้าฟ้าแลพระองค์เจ้า จะมีพระสวามี ต้องมีได้แต่ที่เป็นพี่น้องกันสนิท แลมียศเสมอกัน ฤๅที่ชายสูงกว่าหญิง เพราะเหตุนั้นเจ้าฟ้าแลพระองค์เจ้า จึงเป็นธรรมเนียมไม่ได้มีพระสวามีแทบทั้งนั้น ถ้าจะมีก็เป็นแต่พระราชเทวีของพระเจ้าแผ่นดินบ้าง ซึ่งจะมีพระสวามีอื่นนอกจากพระเจ้าแผ่นดินนั้นน้อยนัก เพราะมักจะเป็นที่รังเกียจกันไป จึงไม่มีเจ้าฟ้าซึ่งสืบจากตระกูลพระมารดาดังเช่นว่ามาแล้ว ซึ่งจะชี้เป็นตัวอย่าง ให้เห็นได้ในปัจจุบันนี้ มีมากอยู่ก็แต่เมื่อแรกตั้งบรมราชวงศ์ เป็นเจ้าขึ้นใหม่ๆ เจ้าฟ้าโดยพระมารดาดังนี้ ก็นับว่าเป็นไบคอกเดสซี (By courtesy)

(๓๙) ๖. เจ้าลูกวังหน้าแลมารดาเป็นเจ้าจะเป็นเจ้าฟ้าได้ก็เพราะพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ทรงตั้ง

๖. ลูกวังหน้านั้นเดิมพระเจ้าแผ่นดินโปรดให้เป็นพระองค์เจ้าไว้ แต่ครั้งกรมพระราชวังในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกแล้ว ครั้นทรงพระกรุณาโปรดเจ้าองค์นั้น โดยเป็นลูกใหญ่ของวังหน้าบ้าง ได้รับราชการบ้างมีเชื้อวงศ์ข้างพระมารดาอยู่พอจะยกย่องให้เป็นเจ้าฟ้า ก็โปรดยกขึ้นให้เป็นเจ้าฟ้าพอเป็นเกียรติยศ มีตัวอย่างมาสององค์ คือเจ้าหญิงพิกุลทอง ซึ่งเป็นพระราชธิดากรมพระราชวัง ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มารดาเป็นเจ้าลาวเมืองเชียงใหม่โปรดตั้งให้เป็นเจ้าฟ้า แต่ที่มารดาเป็นลูกเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดีก็มีมารดาเป็นพระองค์เจ้าพระธิดาเจ้ากรุงธนบุรีก็มี ไม่โปรดให้เป็นเจ้าฟ้าก็ต้องเป็นอยู่แต่พระองค์เจ้า ครั้นอยู่มาถึงกรมพระราชวังในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้ามีพระราชบุตรเกิดด้วยพระองค์เจ้าดารา ซึ่งเป็นพระธิดากรมพระราชวังที่ ๑ ก็ไม่ได้เป็นเจ้าฟ้า เป็นแต่พระองค์เจ้าอิศราพงษ์ อยู่จนเป็นผู้ใหญ่อายุจนถึง ๓๐ ปีเศษ ครั้นมาถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับราชการเรียบร้อยแข็งแรงมากก็โปรดให้เป็นเจ้าฟ้า โดยโปรโมชั่น (Promotion) แต่เจ้าฟ้าอย่างนี้ ไม่ได้ใช้คำนำพระนามว่าสมเด็จ ใช้แต่พระบวรวงศ์เธอเหมือนพระองค์เจ้า เจ้าฟ้าอย่างนี้เป็นได้เฉพาะแต่เจ้าแผ่นดินโปรดให้เป็นพอเป็นที่ยินดี เป็นเจ้าฟ้านอกแบบ ลูกวังหน้าจะเป็นเจ้าฟ้าได้จริง ก็แต่ที่พระมารดาเป็นเจ้าฟ้าเหมือนอธิบายไว้แล้วข้างบน

(๔๐) ๗ เจ้าที่เป็นพระราชบุตรพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ถ้ามารดาเป็นบุตรเสนาบดีมีความชอบ ถ้าแรกตั้งพระวงศ์พระเจ้าแผ่นดินโปรดให้เป็น ก็เป็นเจ้าฟ้าได้

๗. ยังเจ้าฟ้าอีกอย่างหนึ่ง เป็นธรรมเนียมปรากฏมาแต่ครั้งเดียว แต่แผ่นดินเจ้ากรุงธนบุรี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้มีพระราชบุตร ด้วยเจ้ากรุงธนบุรีองค์หนึ่ง แล้วพระมารดาก็สิ้นชีพไป ในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้รับตำแหน่งใหญ่ เรียกว่ามหากระษัตริย์ศึก มีอำนาจบังคับบัญชาในการศึกได้เหมือนพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อการทัพศึกครั้งนั้นมีมาก พระเจ้ากรุงธนบุรี นับถือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เหมือนเป็นเจ้าในการศึกองค์หนึ่ง แลโดยเจ้ากรุงธนบุรี ได้ปราบดาภิเษก มีอำนาจที่จะตั้งเจ้าฟ้าได้ดังเช่นว่าไว้ในข้อที่ ๑ จึงได้ตั้งพระเจ้าลูกเธอองค์นั้น เป็นเจ้าฟ้าวิเศษมิใช่โดยไรต์ องค์หนึ่ง เจ้าฟ้านอกนั้นก็เกิดด้วยเชื้อวงศ์ ของพระเจ้ากรุงธนบุรีอีก ๒ องค์ แต่เจ้าฟ้าทั้งสององค์นั้นตั้งโดยไรต์ ไม่เหมือนเจ้าฟ้าซึ่งเป็นพระราชนัดดาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนี้ แต่ครั้นภายหลังมา เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ปราบดาภิเษก เจ้าฟ้าองค์นี้ ก็เป็นเจ้าฟ้าไบไรต์ เพราะเป็นพระธิดาสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ก็คงเป็นเจ้าฟ้าเหมือนกับพระโอรสซึ่งเป็นเจ้าฟ้า

(๔๑) นอกจากเจ้าฟ้าซึ่งกำหนด ๗ ชั้นนั้นไปไม่เป็นเจ้าฟ้า

ผู้ที่สมควรเป็นเจ้าฟ้า ซึ่งได้เป็นมาแล้วในระหว่าง ๓๐๐ ปี ได้เป็นอยู่ในเจ้าทั้ง ๗ หมู่นี้เท่านั้น นอกจากนั้นพระเจ้าแผ่นดิน จะมีพระราชโอรสด้วยพระสนมใด ๆ เป็นเจ้าฟ้าไม่ได้เป็นอันขาด

แบ่งยศเจ้าฟ้าเป็นสาม เจ้าฟ้าพี่เธอน้องเธอ แลพี่ป้าน้าอาเธอ เป็นชั้น ๑

ถ้าจะแบ่งยศในจำพวกเจ้าฟ้าเหล่านี้ตามกฎหมายศักดินา ก็เห็นว่าเจ้าฟ้าซึ่งเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเป็นอย่างที่หนึ่ง แต่เจ้าฟ้าซึ่งเป็นพี่ป้าน้าอาของพระเจ้าแผ่นดินนั้น ไม่มีกำหนดในศักดินา แต่ดูเหมือนจะมีเกียรติยศใหญ่กว่าเจ้าฟ้าที่เป็นน้องยาเธอ เพราะธรรมเนียมที่นับในกฎหมายนั้นนับตามผู้ใหญ่เด็ก ไม่ได้นับตามชิดแลห่าง เว้นแต่ศักดินาที่ใช้ในปัจจุบันนี้ ไม่ได้แก้กฎหมายเก่าเลย เมื่อในกฎหมายไม่มีกำหนด ก็คงใช้อยู่เท่าสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้า จึงต้องรวมนับไว้เป็นชั้นหนึ่ง

เจ้าฟ้าลูกเธอเป็นชั้นรองตามศักดิ

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้า มีศักดินาลดลงมาหน่อยหนึ่ง จึงนับเป็นชั้นรอง

เจ้าฟ้าหลานเธอมียศเป็นชั้นต่ำด้วยเป็นกรมก็เสมอต่างกรมปรกติ

เจ้าฟ้าตามธรรมเนียมเหมือนหนึ่งเจ้าฟ้าหลานเธอนับเป็นชั้นต่ำ ด้วยถึงเป็นกรมแล้ว ก็มียศอยู่เพียงเสมอพระองค์เจ้าต่างกรม แต่ความนิยมนับถือของคนทั้งปวงนั้นเป็นตามกาลตามเวลาตามผู้ชิดผู้ห่าง แลพระมารดาบริสุทธิ์น้อยในราชตระกูล จึงปรากฏเป็นเจ้าฟ้าสืบมา ไม่ได้ขาดระหว่างเลยจนถึงบัดนี้

เรื่องนี้ถูกกับพระราชวินิจฉัยในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

เรื่องเจ้าฟ้าที่กล่าวมานี้ มีตัวอย่างชี้ให้เห็นได้ทุก ๆ อย่าง แลต้องกันกับที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเรียงประกาศเรื่องโสกันต์ ประกาศเรื่องโสกันต์นี้ เป็นพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จปรเมินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงวัน ๕ ๑๑ ๒ ค่ำ ปีฉลูสัปตศก จุลศักราช ๑๒๒๗ เป็นวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๐๘

ลงพิมพ์ในหนังสือจดหมายเหตุ บางกอกรีคอร์เดอร์ เล่ม ๑ หน้า ๒๐๙ ลงวัน ๓ ๑๕ ๒ ค่ำ ปีฉลูสับศก ๑๒๒๗ วันที่ ๑๗ มกราคม ค.ศ. ๑๘๖๖ หน้า ๒๒๑ วัน ๔ ๑๕ ๓ ค่ำ วันที่ ๓๑ มกราคม กับเล่ม ๒ หน้า ๑ วัน ๔ ค่ำ วันที่ ๑ มีนาคม

ลงพิมพ์ในหนังสือวชิรญาณวิเศษ ตั้งแต่ วัน ๕ ๑๒ ค่ำ ปีจออัฐศก จุลศักราช ๑๒๔๘ เล่ม ๒ หน้า ๓๘, ๔๖, ๕๔, ๖๒, ๗๑, ๗๘, ๘๑, ๙๓. จน ๑๐๒ วัน ๑ ๒ ค่ำ ลงพิมพ์หนังสือบางกอกรีคอร์เดอร์ ของหมอปรัดเล เมื่อศักราช ๑๒๒๗

-สิ้นเรื่องเจ้าฟ้า-

(๔๒) พระองค์เจ้าแบ่งเป็น ๕ ชั้น

ที่นี้จะว่าด้วยพระราชบุตร พระราชบุตรีของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งในกฎมนเทียรบาลเรียกว่าพระเยาวราช และเจ้านายซึ่งมียศต่ำ ๆ ลงไปอีกโดยลำดับ

(๔๓) ๑. พระราชบุตรพระเจ้าแผ่นดิน

๑. พระราชบุตรี ของพระเจ้าแผ่นดินที่เกิดด้วยพระสนม ฤๅที่เรียกว่าเจ้าจอมมารดานั้น มียศอย่างเดียวกันหมด เรียกว่าพระองค์เจ้าอย่างหนึ่ง

(๔๔) ๒. พระบุตรกรมพระราชวังบวรสถานมงคลฝ่ายหน้า

๒. พระบุตร พระบุตรี ของกรมพระราชวังแต่เดิม เมื่อครั้งกรุงเก่าเป็นพระองค์เจ้าบ้างเป็นหม่อมเจ้าบ้างไม่เสมอกัน แต่ต่อมาถึงแผ่นดินกรุงเทพ ฯ พระเจ้าแผ่นดินใหญ่ทรงเห็นว่า กรมพระราชวังได้ทำศึกมาก จึงได้โปรดให้เป็นพระองค์เจ้าทั้งสิ้น ภายหลังก็เป็นพระองค์เจ้าตาม ๆ กันมาอีกพวกหนึ่ง

(๔๕) ๓. พระโอรสกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขฝ่ายหลัง

๓. พระโอรสพระธิดา หลังที่เกิดด้วยบริจา ก็เป็นพระองค์เจ้าอีกพวกหนึ่ง

(๔๖) ๔. พระบุตรเจ้าฟ้าและเจ้าต่างกรมที่มารดาเป็นพระองค์เจ้า

๔. พระบุตร พระบุตรี ของเจ้าฟ้าก็ดี เจ้าต่างกรมก็ดี พระองค์เจ้าก็ดี ถ้ามารดาเป็นพระองค์เจ้า ลูกก็เป็นพระองค์เจ้า ดังเช่นเจ้าฟ้าหญิงมีลูกต้องเป็นเจ้าฟ้าเสมอมารดาฉะนั้น นี่ก็เป็นพระองค์เจ้าอีกจำพวกหนึ่ง

(๔๗) ๕. หม่อมเจ้ายกขึ้นเป็นพระองค์เจ้า

๕. หม่อมเจ้าซึ่งเป็นพระบุตร พระบุตรี ของเจ้าต่างกรมแลพระองค์เจ้าซึ่งเป็นองค์ใหญ่ฤๅได้รับราชการมาก ฤาเป็นที่คุ้นเคยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ก็ทรงยกขึ้นเป็นพระองค์เจ้าได้ ไม่มีกำหนดว่าเท่าใด เหมือนกับยกลูกวังหน้าให้เป็นเจ้าฟ้า แต่ลูกต่างกรมฤาพระองค์เจ้าวังหน้าไม่เคยยกขึ้น ยกขึ้นแต่ลูกเจ้าต่างกรม แลพระองค์เจ้าวังหลวงซึ่งเป็นลูกเจ้าแผ่นดิน

(๔๘) พระองค์เจ้ามียศแปลกกันตามคำนำพระนาม

รวมพระองค์เจ้าจึงเป็น ๕ อย่างด้วยกันดังนี้ แต่พระองค์เจ้าทั้ง ๕ อย่างนี้ ใช่ว่าจะมียศเสมอกันก็หาไม่ มียศแปลก ๆ กันมากทีเดียว ยศซึ่งจะกำหนดแปลกกันนั้น ด้วยคำนำพระนามข้างหน้า คำนำพระนามนั้น มีมากหลายอย่างนัก ศักดินาก็ขึ้นลงตามคำนำพระนามนั้นด้วย แลเป็นเนื้อความให้รู้ชั้นของพระองค์เจ้านั้นด้วย

(๔๙) ๑. พระเจ้าบรมอัยกาเธอ

๑. พระเจ้าบรมอัยกาเธอชาย พระเจ้าบรมอัยยกาเธอหญิง คือเป็นปู่น้อยย่าน้อย ของพระเจ้าแผ่นดิน คำที่ว่าเธอนั้น แปลว่าท่าน คือพระเจ้าปู่ท่าน พระเจ้าย่าท่าน แปลดังนี้ตลอดไป ท่านนั้นคือ เจ้าแผ่นดินองค์ใหญ่องค์เดียว

(๕๐) ๒. พระเจ้าบรมวงศ์

๒. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ คือท่านที่เป็นลุงเป็นอาเป็นป้าของพระเจ้าแผ่นดินทั้งชายแลหญิง

(๕๑) ๓. พี่เธอ น้องเธอ

๓. พระเจ้าพี่ยาเธอชาย พระเจ้าพี่นางเธอหญิง พระเจ้าน้องยาเธอชาย พระเจ้าน้องนางเธอหญิง พระเจ้าน้องยาเธอชาย ท่านทั้งสามชั้นนี้ทรงศักดินาเสมอกัน เมื่อเวลายังไม่ได้เป็นกรม ๗,๐๐๐ ถ้าเป็นกรมทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐

(๕๒) ๔. ลูกเธอ

๔ พระเจ้าลูกยาเธอชาย พระเจ้าลูกเธอหญิง

(๕๓) ๕. ราชวรวงศ์เธอ

๕. พระเจ้าราชวรวงศ์เธอทั้งชายแลหญิงนี้ เป็นตำแหน่งตั้งขึ้นใหม่ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะทรงพระราชดำริเห็นว่า พระราชบุตร พระราชบุตรี ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระเจ้าลูกเธอมาก่อนแล้ว ครั้นพระองค์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้น ก็จะต้องลดลงไปเป็นพระเจ้าหลานเธอศักดินาเสมอพระองค์เจ้าวังหน้าเห็นไม่สมควร จึงโปรดให้เป็นพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ คงศักดินาเสมอพระเจ้าลูกเธอ เมื่อยังไม่ได้เป็นกรม ทรงศักดินา ๖,๐๐๐ เมื่อเป็นต่างกรมขึ้น ก็ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ เท่าสามชั้นข้างบน ทั้งพระเจ้าลูกเธอ แลพระราชวรวงศ์เธอ

(๕๔) พระองค์เจ้าทั้ง ๕ ชั้น เป็นพระองค์เจ้าชั้นเอก

พระองค์เจ้าทั้ง ๕ ชั้นนี้ เป็นพระองค์เจ้าซึ่งเป็นพระราชบุตรแลราชบุตรี พระเจ้าแผ่นดินแบ่งยกขึ้นเป็นตอนหนึ่งต่างหาก นับเป็นพระองค์เจ้าอย่างเอกทั้ง ๕ ชั้น

(๕๕) ๑. วรวงศ์เธอชั้น ๑

๑. ตอนนี้ไป พระบุตร พระบุตรี ในกรมพระราชวัง แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอชั้นที่หนึ่ง

(๕๖) ๒. วรวงศ์เธอชั้น ๒

๒. พระบุตร พระบุตรี ในกรมพระราชวัง แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอชั้นที่ ๒

(๕๗) ๓.วรวงศ์เธอชั้น ๓

๓. พระบุตร พระบุตรี กรมพระราชวังใน แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ ชั้นที่ ๓

(๕๘) ๔. วรวงศ์เธอชั้น ๔

๔. พระบุตร พระบุตรี สมเด็จพระปิ่นเกล้าในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระชนมายุกว่าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินในปัจจุบันนี้ เป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ ชั้นที่ ๔

(๕๙) ๕. บวรวงศ์เธอชั้น ๑

๕. พระบุตร พระบุตรี สมเด็จพระปิ่นเกล้าที่อ่อนพระชนมายุ กว่าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินในปัจจุบันนี้ เป็นพระเจ้าบวรวงศ์เธอ ชั้นที่ ๑

(๖๐) ๖. บวรวงศ์เธอชั้น ๒

๖. พระบุตร พระบุตรี กรมพระราชวัง ในปัจจุบันนี้ เป็นพระเจ้าบวรวงศ์เธอ ชั้นที่ ๒

(๖๑) ๗. พระองค์เจ้าหลานเธอ

๗. พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้า ซึ่งเป็นพระองค์เจ้าเพราะมารดาก็ดี ฤๅเป็นหม่อมเจ้ายกขึ้นเป็นพระองค์เจ้าก็ดี เป็นพระเจ้าหลานเธอทั้ง ๒ อย่าง

(๖๒) พระองค์เจ้าทั้ง ๗ ชั้นนั้นเป็นชั้นโท

ในพระองค์เจ้า ๗ พวกนี้ เมื่อยังไม่เป็นต่างกรม ทรงศักดินา ๔,๐๐๐ เมื่อเป็นต่างกรมแล้ว ทรงศักดินา ๑๑,๐๐๐ เสมอกัน

(๖๓) ๑. พระประพันธวงศ์เธอ

๑. พระองค์เจ้า ซึ่งเป็นพระบุตร พระบุตรี กรมหมื่นมาตยาพิทักษ ซึ่งเป็นพระอัยกา ฝ่ายพระบรมราชชนนี ของพระเจ้าแผ่นดินปัจจุบันนี้ เป็นพระประพันธวงศ์เธอ เพราะเป็นพระวงศ์ของพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองฝ่าย

(๖๔) ๒. พระวงศ์เธอ

๒. พระองค์เจ้า ซึ่งเป็นหลานเธอเก่า พระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นพระอัยกาล่วงไปแล้ว โดยพระมารดาเป็นพระองค์เจ้าก็ด็ หม่อมเจ้ายกขึ้นเป็นพระองค์เจ้าก็ดี เป็นพระวงศ์เธอทั้งสิ้น

(๖๕) ๓. พระสัมพันธวงศ์เธอ

๓. พระองค์เจ้าในกรมพระราชวังหลัง แลในเจ้าฟ้าซึ่งเป็นพระโอรส ของสมเด็จพระพี่นางเธอ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ทั้งสองพระองค์เหล่านี้ เป็นพระสัมพันธวงศ์เธอ

(๖๖) พระองค์เจ้าทั้งสามชั้นนี้เป็นชั้นตรี

ในพระองค์เจ้า ๓ ชั้นนี้ เมื่อเวลายังเป็นหม่อมเจ้า มีศักดินาเพียง ๑,๕๐๐ แต่ครั้นเมื่อเป็นพระองค์เจ้าขึ้น ก็ไม่มีตำแหน่งมาในกฎหมายว่าจะเป็นศักดินาเท่าไรแน่ ดูเหมือนของเก่า จะใช้อย่างเช่นหลานเธอเสมอมา แต่ที่เคยใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ ถ้าเป็นพระองค์เจ้าศักดินาคงอยู่ ๑๕๐๐ ฤๅไม่ใคร่จะพูดถึงศักดินาทีเดียว เรื่องที่ให้ศักดินา ๑,๕๐๐ นี้ เห็นว่าไม่ถูก แต่เมื่อเป็นต่างกรมแล้ว คงใช้ศักดินา ๑๑,๐๐๐ เท่าเจ้านายวังหน้า แลหลานเธอซึ่งว่ามาแล้วทั้ง ๗ ชั้น จึงเป็นการถูกทีเดียว พระองค์เจ้าชั้นนี้ถ้าจะนับแยกออกจากวังหน้า ก็เป็นชั้นที่ ๓ แต่เมื่อเป็นต่างกรมขึ้นแล้ว จะนับรวมกันเข้ากับเจ้านายวังหน้าก็ได้

(๖๗) คำนำพระนามนั้นไม่มีกำหนดมากน้อยเท่าใดสุดแต่กาลเป็นไปในรัชกาลนั้น ๆ

รวมคำนำพระนาม พระองค์เจ้าทั้ง ๓ ชั้นนี้ ถึง ๑๕ อย่าง แต่ในปัจจุบันนี้ ถ้าต่อไปภายหน้า พระเจ้าแผ่นดินสืบบรมราชวงศ์ลงไปอีกกี่ชั้นกี่ชั่ว ก็คงเกิดคำนำพระนามนี้ขึ้น แผ่นดินละอย่างสองอย่างทุกชั้น แต่เจ้าฟ้านั้นก็คงใช้ตามลำดับพระวงศ์เหมือนพระองค์เจ้าเดิมแต่สมเด็จข้างหน้า เหมือนอย่างสมเด็จพระเจ้าบรมอัยกาเธอเจ้าฟ้า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าเป็นต้น ใช้ดังนี้ตลอดไป

(๖๘) แปลคำนำพระนาม

คำซึ่งใช้เป็นคำนำพระนามนี้ ที่ใช้เป็นคำตรงดังเช่นอัยกาเธอ พี่ยาเธอน้องยาเธอลูกยาเธอ หลานเธอดังนั้นก็มีเป็นของเก่า เรียกเป็นพี่เป็นน้องของในหลวงตามที่เป็นจริง แต่ที่เป็นบรมวงศ์เธอ ราชวรวงศ์เธอ วรวงศ์เธอ บวรวงศ์เธอ ประพันธวงศ์เธอ สัมพันธวงศ์เธอดังนี้ ไม่ได้เป็นคำเรียกตรงว่าอะไรชัด เป็นแต่คำยกย่องว่าเป็นเชื้อสายใหญ่บ้างกลางบ้าง เกี่ยวพันบ้าง เป็นของเกิดขึ้นใหม่ เพราะใช้คำตรง ๆ ไม่เพราะ เหมือนหนึ่งจะใช้ว่าเจ้าป้าเธอ พระเจ้าลุงเธอ จึ่งได้ยักเสียเป็นบรมวงศ์เธอ

(๖๙)

ข้างฝ่ายราชวงศ์เธอนั้นเล่า ถ้าจะว่าหลานเธอก็ผิด ด้วยศักดินาสูงกว่าหลานเธอ จะเรียกว่าอะไรเธอก็เรียกตรงยาก จึ่งได้ยักเรียกไปอย่างนั้น

(๗๐)

จะว่าโดยพวกวรวงศ์เธอ บวรวงศ์เธอนั้นเล่ายศบรรดาศักดิ์ก็เหมือนหลานเธอ แต่ถ้าจะเรียกหลานเธอก็ไม่ได้ เพราะพระวรวงศ์เธอทั้ง ๔ ชั้น ก็เป็นพระวงศ์ผู้ใหญ่ ครั้นจะไปเรียกรวมกันเข้ากับเจ้านายวังหลวงยศก็ผิดกันไป ต่างหมู่ต่างพวกไม่สมควร จึ่งได้ยกขึ้นเป็นชื่อเสียอย่างหนึ่ง ถึงประพันธวงศ์เธอ สัมพันธวงศ์เธอ ก็เหมือนกัน

(๗๑)

คำซึ่งเรียกต่าง ๆ เหล่านี้ ก็เป็นแต่เลือกหาคำที่เพราะที่สูงให้เป็นลำดับกัน แต่ต้องเข้าใจว่า ที่เรียกว่าพระอะไรเธอนั้น เป็นพระอะไรของเจ้าแผ่นดินองค์เดียว เหมือนหนึ่งพระบุตร พระบุตรีวังหน้า จะเรียกว่าพระเจ้าลูกเธอวังหน้าก็ไม่ได้ ผู้ซึ่งเรียกดังนี้ แต่ก่อนมีมาก็ทราบว่า มีความผิดทุกครั้ง ภายหลังมาเมื่อเราเป็นผู้รับฎีกา ได้เห็นมีผู้มาร้องฎีกา เรียกว่าพระเจ้าลูกเธอวังหน้า ก็ต้องรับพระราชอาญาเป็น ๒ คน ๓ คน การเรื่องนี้ตรงกันกับธรรมเนียมใช้เลขทับศก ต้องใช้ปีราชสมบัติของพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวเหมือนกัน

(๗๒) คำนำพระนามวิเศษยกขึ้นเป็นเฉพาะพระองค์

ยังมีคำนำพระนามวิเศษอีกอย่างหนึ่ง พึ่งเกิดขึ้นในแผ่นดินปัจจุบันนี้ คือกรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร ซึ่งเป็นพระภคินี ของกรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ซึ่งเป็นพระอัยกาฝ่ายพระมารดาของเรา ก็นับว่าเป็นพระอัยยิกาน้องข้างฝ่ายพระมารดา ถ้าจะนับตามราชตระกูลข้างฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เป็นพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ แต่พระองค์ท่านเป็นผู้ทำนุบำรุงเรามาแต่เล็กจนโต เหมือนเป็นพระชนนี จึงได้ยอมให้เรียก เป็นพระอัยยิกาเธอตามทางพระมารดาของเราองค์หนึ่ง กับกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ถ้าจะนับก็เป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ ชั้นที่ ๒ แต่ท่านได้เป็นอุปัชฌาย์สั่งสอนเรามาก จึงได้ยอมยกให้เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เหมือนหนึ่งกับอาของเรา มีแปลกอยู่ ๒ แห่งเท่านี้

(๗๓) หม่อมเจ้า

ถัดจากชั้นพระองค์เจ้าลงไปอีก คือ พระบุตร พระบุตรี กรมพระราชวังหลัง ซึ่งไม่ได้เกิดด้วยบริจา แลพระบุตร พระบุตรี เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า ซึ่งมารดาไม่ได้เป็นพระองค์เจ้าทุก ๆ ชั้น ต้องเป็นหม่อมเจ้า มีศักดินา ๑,๕๐๐

ลูกของหม่อมเจ้า เป็นหม่อมราชวงศ์ มีศักดินา ๕๐๐ ลูกของหม่อมราชวงศ์ลงไป เป็นหม่อมหลวง มีศักดินา ๔๐๐ ต่อนั้นเป็นนายตามธรรมเนียม

(๗๔) หม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวง กลายเป็นนายหม่อมราชวงศ์แลหม่อมหลวง ถ้าเนื่องด้วยราชนิกูลแล้วมีชื่อแปลกอีกแลเรียกแต่เพียงว่าหม่อม

แต่หม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวงนี้ ถ้าจะมียศติดเนื่องกับเจ้านายเรียกว่าราชนิกูลก็มี ชื่อตามตำแหน่งโบราณ ที่เป็นเจ้าพนักงานขี่ช้างค่าย ๔ ถือศักดินา ๑,๐๐๐ ขี่ช้างค้ำปลายเชือก ขี่ม้าโขลง กระบือเหล่านี้ ถือศักดินา ๘๐๐ ธรรมเนียมโบราณมีเตมที่ สำหรับไปทัพใกล้พระองค์พระเจ้าแผ่นดิน แต่มาภายหลังตั้งไมใคร่จะเต็ม มีแต่คนหนึ่งสองคน ไม่ได้เรียกว่าเจ้าในราชการ เปลี่ยนเป็นหม่อมเหมือนหม่อมกระต่ายราโชไทย หม่อมเทวาธิราชซึ่งยังอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่ข้างนอกเขาก็เรียกกันว่าเจ้าค่าย เจ้าเทวหนึ่ง แต่ที่ไปเป็นขุนนางเสียทีเดียวก็มีบ้าง

(๗๕) แต่หม่อมราชวงศ์ลงมาแต่งตัวแลเฝ้าเหมือนขุนนางไม่เหมือนเจ้า แต่หม่อมเจ้าขึ้นไปเหมือนเจ้า

ตั้งแต่หม่อมราชวงศ์ลงมา เวลาเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน แต่ก่อนต้องนุ่งสมปักเหมือนขุนนาง แต่เป็นคนละอย่าง คาดแพรขาว ไม่ใช่แพรสี แลนุ่งผ้ามีลายต่าง ๆ สีต่าง ๆ ไม่ได้ เหมือนหนึ่งเจ้าที่ยังมียศเป็นเจ้าแท้ ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไปในเจ้านาย ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไป จะแต่งตัวอย่างไร ๆ มาเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีความผิด

นับชั้นราชตระกูลเป็นสิ้นตอนเพียงเท่านี้

(๗๖) ยศที่สำหรับพระเจ้าแผ่นดินทรงเลื่อนพระราชทานแก่เจ้านาย ๑ วังหน้า

ทีนี้จะว่าด้วยยศ พระบรมวงศานุวงศ์ ที่เป็นเจ้าฟ้าก็ดี พระองค์เจ้าก็ดี หม่อมเจ้าก็ดี เป็นตำแหน่งสำหรับเลื่อนขึ้นได้ แล้วแต่พระเจ้าแผ่นดินจะโปรด มีเลื่อนได้ ๗ ชั้นคือ ที่ ๑ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลฝ่ายหน้า มีองค์หนึ่งบ้าง สององค์บ้าง ถ้ามีองค์เดียวคนมักเรียกว่ากรมพระราชวัง ถ้ามีสององค์ก็เรียกเสียว่าพระบัณฑูรใหญ่ พระบัณฑูรน้อยชุม ที่เรียกพระบัณฑูรนั้น ตามคำสั่งแต่ที่เป็นองค์เดียว เรียกว่าพระบัณฑูรก็มี เรียกใช้กลับกันได้ทั้งสองอย่าง เพราะเป็นยศของวังหน้าด้วยกัน

(๗๗) ที่ ๒ กรมพระราชวังบวรสถานภิมุข ฝ่ายหลังมีองค์หนึ่งบ้าง สององค์บ้าง แต่ที่เคยมีมานั้นองค์หนึ่งเรียกว่ากรมพระราชวังหลัง อีกองค์หนึ่งนั้นมียศศักดิ์อำนาจเสมอกรมพระราชวังหลัง ไม่ปรากฏว่าเรียกว่าอะไร ด้วยมีครั้งเดียวไม่เหมือนอย่างวังหน้าสองพระองค์มีบ่อยกว่า แต่กรมพระราชวังหลังเขาเรียกว่าพระบัญชากับพระบัณฑูรก็มี

กรมสมเด็จพระ

ที่ ๓ กรมสมเด็จพระ

กรมพระ

ที่ ๔ กรมพระ

กรมหลวง

ที่ ๕ กรมหลวง

กรมขุน

ที่ ๖ กรมขุน

กรมหมื่น

ที่ ๗ กรมหมื่น

(๗๘) พระนามกรมนั้นเป็นชื่อกรมหมู่ซึ่งอยู่ในพระองค์เจ้านั้นจึงเหมือนชื่อเจ้ากรม

คำที่เรียกว่าต่างกรม แลเมื่อเจ้าเป็นกรมไร คนเรียกชื่อกรมนั้นไม่ได้ออกพระนามเดิมของเจ้า เรียกชื่อกรมทีเดียวเหมือนดังทุกวัน ที่เรียกกรมหมื่นนเรศร์ราชวรฤทธิ คำที่เรียกดังนี้ คนไทยเองก็แทบจะไม่เข้าใจว่าต้นเหตุเป็นอย่างไร ชื่อเจ้าจึงเหมือนกับชื่อเจ้ากรมของตัวเอง เพราะเหมือนหนึ่งกรมนเรศร์ดังนี้ เจ้ากรมก็เป็นหมื่นนเรศร์ราชวรฤทธิ คนไทยที่สงสัยดังนี้เพราะไม่เอาใจใส่ที่จะอ่านแลคิดเลย เป็นการเข้าใจง่ายทีเดียว

(๗๙) ในหนังสือโบราณก็เป็นพยานแทนว่าเป็นชื่อหมู่นั้นแน่

ในหนังสือที่จดหมายโบราณ ๆ ก็มีว่าพระองค์เจ้านั้น เจ้ากรมเป็นหมื่นนั้น คือชื่อเดิมของพระองค์เจ้านั้นก็ยังคงอยู่ แต่เมื่อเจ้าแผ่นดินเห็นว่าเจ้าองค์นั้น เป็นผู้ใหญ่มีสติปัญญาสมควร จะบังคับคนได้มาก แลมีข้าไทเป็นหมวดเป็นหมู่ใหญ่จึงได้ตั้งข้าในเจ้าองค์นั้น ที่เป็นนายของบ่าวไพร่หมู่นั้น ขึ้นเป็นกรมหนึ่ง มีเจ้ากรมปลัดกรมสมุห์บาญชีเหมือนหนึ่งเจ้ากรมปลัดกรมไพร่หลวงทั้งปวง

(๘๐) เพราะอายแลชอบชื่อยาวๆ จึ่งกลายเป็นพระนามเฉพาะพระองค์ไป

ชื่อที่เรียกว่ากรมหมื่นอะไร ๆ นั้น คือ นายของหมู่นั้นเป็นที่หมื่นนั้น อยู่ในบังคับเจ้าองค์นั้น เหมือนหนึ่งกรมนเรศร์ ก็คงชื่อพระองค์เจ้ากฤษดาภินิหารอยู่ตามเดิม แต่หัวหน้าของบ่าวที่เป็นเจ้ากรมนั้น เป็นที่หมื่นนเรศร์ราชวรฤทธิ เมื่อจะเรียกให้ตลอดชื่อ จะเรียกว่าพระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมหมื่นนเรศร์ราชวรฤทธิก็ควร แต่ธรรมเนียมไทยมักจะอายชื่อเดิมด้วยชื่อเดิมนั้น เป็นชื่อไทย ๆ โดยมาก เหมือนหนึ่งกรมหลวงวงศาธิราชสนิท ชื่อนวม กรมพระเทเวศร์ ชื่อกลางเป็นต้น ชื่อนั้นเป็นคำไทยมักจะพ้องกับข้าไท แลใคร ๆ อื่น ๆ แลไทยมักจะชอบชื่อเพราะ ๆ ยาว ๆ เมื่อผู้ใดมาเรียกชื่อเดิมดังนั้น ก็ดูเป็นผู้ไม่มีอาฌา ฤๅบางทีจะเป็นที่โกรธของท่านนั้น ว่าจะเป็นที่ดูถูก จึงได้เรียกชื่อเจ้ากรมเสียทีเดียว ว่าในกรมหมื่นนั้น ในกรมขุนนั้น

(๘๑) พระนามวังหน้าก็เป็นชื่อของวังแลวังหลังก็เหมือนกัน

ถ้าจะแยกแต่เพียงกรมคำหนึ่ง หมื่นคำหนึ่งให้ห่างกัน อย่าใช้มะในกลางก็จะเข้าใจว่ากรมหมื่นนั้น เหมือนในกรมพระราชวังบวรนั้น คือ วังของวังหน้านั้นเรียกวังบวรสถานมงคล วังของวังหลังนั้น เรียกว่าวังบวรสถานภิมุข เติมในกรมเข้าข้างหน้า กรมนั้นแปลว่าหมู่ ในกรมก็คือหมู่ก็เป็นในหมู่พระราชวังบวรสถานมงคล ในหมู่พระราชวังบวรสถานภิมุข ซึ่งไม่มีชื่อเจ้ากรมออกเรียกชื่อวังหน้าแทนในสองกรมนี้เพราะวังหน้าวังหลังมีอำนาจที่จะตั้งขุนนางในกรมมาก จึงได้เรียกชื่อวังเสียเป็นประมาณ ว่าในกรมวังนั้น ๆ เหมือนหนึ่งเจ้านายทั้งปวง บ้านก็เรียกว่าวังทุกองค์ ที่เป็นเจ้านายผู้ใหญ่ ไม่เรียกออกชื่อว่าวังของพระองค์นั้นพระองค์นี้ก็มี เหมือนบ้านท่านกลางเรียกว่าวังฟากข้างโน้นบ้าง เรียกว่าพระราชวังเดิมตามที่ ที่นั้นได้เป็นวังของเจ้ากรุงธนบุรีก็มี พระราชวังเดิมนี้เรียกในราชการด้วย นี่เป็นวังมีชื่อเหมือนวังที่สมเด็จกรมพระเสด็จอยู่เดี๋ยวนี้ เดิมเป็นสองวัง กรมหลวงเทพอยู่วังหนึ่ง กรมศักดิ์อยู่วังหนึ่ง วังกรมหลวงเทพเรียกว่าวังนอก วังกรมศักดิ์เรียกว่าวังกลาง รวมเป็นสองวังเดี๋ยวนี้ก็เรียกว่าวังนอก วังพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เป็นบ้านจิตรเจริญเดี๋ยวนี้ก็เรียกว่าวังล่าง

(๘๒) ที่เรียกเอาชื่อวังมาแทนนั้น ก็อย่างเดียวกันกับใช้ชื่อตำหนักแทนพระองค์

ยังมีอีกหลายแห่งที่เป็นวังมีชื่อดังนี้เหมือนกันกับตำหนัก ถ้าเป็นเรือนที่เจ้านายอยู่ ไม่มีกำแพงล้อมรอบ เฉพาะเรือนนั้นอยู่ในกำแพงใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่ง เรียกว่าตำหนัก ยศศักดิ์เท่ากันกับวังเหมือนหนึ่งเรือนที่เราอยู่แต่ก่อน เรียกว่าตำหนักสวนกุหลาบ ตำหนักสมเด็จพระพี่นางสองพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เรียกตำหนักเขียวตำหนักแดง ตำหนักสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ สมเด็จพระศรีสุลาลัย ที่เราอยู่แต่ก่อนเรียกว่าตำหนักตึก ยังมีตำหนักเก๋ง ตำหนักภูเขา ตำหนักกลาง ตำหนักล่างอีกมากกว่ามากนัก ที่เรียกนั้นหมายเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งในตำหนักนั้น แต่มิใช่เรียกชื่อตำหนักอย่างเดียว เรียกชื่อเจ้าองค์นั้นเองด้วย เหมือนดังกรมสมเด็จพระเทพยสุดาวดี คนทั้งปวงก็เรียกพระองค์ท่านเองว่าตำหนักแดง กรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ เรียกตำหนักเขียว บรรดาที่มีชื่อตำหนักก็เรียกพระองค์เองว่าตำหนักนั้น ๆ ทุกพระองค์ เหมือนดังพระองค์สุบงกช เดี๋ยวนี้ตำหนักท่านไม่มีเก๋งสักหลังหนึ่ง ก็ยังเรียกพระองค์ท่านเองว่าตำหนักเก๋งอยู่เสมอ ถึงที่วังนั้นก็ออกพระนามเจ้าว่าวังนั้น ๆ เหมือนกัน วังหลวงวังหน้าวังหลังอะไร ๆ ก็ตำราเดียวกัน เป็นแต่คนสามัญเรียกละเมอไปตามอย่างเก่า วังของวังหน้าอยู่ข้างหน้าเมืองทิศตะวันออก วังของวังหลังอยู่ข้างท้ายเมืองทิศตะวันตก วังของพระเจ้าแผ่นดินอยู่กลางเป็นวังใหญ่ จึงเรียกว่าวังหลวงวังหน้าวังหลัง เป็นแต่ที่หมายตามชอบใจของผู้เรียก เพราะไม่อาจจะออกชื่อนั้นอย่างเดียว

(๘๓) พระนามเดิมของวังหน้าก็มีทั้งสิ้น

แต่ที่จริงนั้น พระนามเดิมของกรมพระราชวังก็ยังคงอยู่ เหมือนหนึ่งกรมพระราชวังองค์แรกในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เรียกว่ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เพราะท่านเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์พิศณวาธิราช กรมพระราชวังแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็นกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ กรมพระราชวังแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังเดี๋ยวนี้ตามแบบ ก็เป็นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ แต่ว่าวังหน้าทั้งสามพระองค์นั้นคนจะออกพระนาม เมื่อเวลาท่านยังมีพระชนม์อยู่ ก็เรียกว่ากรมพระราชวังเปล่า ๆ เหมือนเดี๋ยวนี้ ยกเสียแต่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งรับคำสั่งว่ามีพระบวรราชโองการ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลรับคำสั่งว่าพระราชบัณฑูร กรมพระราชวังหลังรับคำสั่งว่าพระราชบัญชา เจ้านายที่มียศใหญ่รับคำสั่งว่ามีรับสั่งโปรดเกล้า ที่ว่ามานี้อธิบายด้วยไม่เข้าใจว่าเหตุใดชื่อเจ้ากรมจึงเหมือนกับชื่อเจ้า

(๘๔) กรมสมเด็จพระนั้นต้องมีคำนำตามธรรมเนียม

อนึ่งกรมสมเด็จพระนั้น ต้องใช้คำนำก่อนสมเด็จ เหมือนหนึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระเดชาดิศร ที่จะใช้สมเด็จนำหน้าเหมือนดังสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ามหามาลานั้นไม่ได้ ด้วยเป็นสมเด็จคนละอย่าง

(๘๕) เจ้ากรมปลัดกรมสมุห์บาญชีมียศตามกรม

เจ้าต่างกรม ตั้งแต่กรมสมเด็จพระลงมาจนถึงกรมหมื่นนี้มีเจ้ากรมปลัดกรมสมุห์บาญชีตามชั้นกรม ถ้าเป็นกรมสมเด็จพระ เจ้ากรมเป็นพระยา ปลัดกรมเป็นพระ สมุห์บาญชีเป็นหลวง ถ้ากรมพระ เจ้ากรมก็เป็นพระ ปลัดกรมเป็นหลวง สมุห์บาญชีเป็นขุน ถ้าเป็นกรมหลวง เจ้ากรมเป็นหลวง ปลัดกรมเป็นขุน สมุห์บาญชีเป็นหมื่น ถ้าเป็นกรมขุน เจ้ากรมเป็นขุน ปลัดกรมสมุห์บาญชีเป็นหมื่น ถ้าเป็นกรมหมื่น เจ้ากรมปลัดกรมสมุห์บาญชีเป็นหมื่นทั้งสามคน เจ้ากรมปลัดกรมสมุห์บาญชีเหล่านี้มีชื่อตั้งทั้งสิ้น

(๘๖) แต่กรมหลวงขึ้นไปเป็นได้แต่พระองค์เจ้าชั้นเอกยกเสียแต่ที่มีคุณวิเศษยิ่ง

แต่เจ้านายที่เป็นกรมดังนี้ ตั้งแต่กรมสมเด็จพระลงมาจนถึงกรมหลวง เห็นเคยเป็นอยู่แต่เจ้านายวังหลวง ที่เป็นพระองค์เจ้าชั้นเอกโดยมาก ที่พระองค์เจ้าชั้นโทชั้นตรี ได้มาเป็นนั้นน้อยนักหนา เห็นมีอยู่ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมหลวงเสนีบริรักษ์ ซึ่งเป็นพระโอรสกรมพระราชวังหลัง ได้เป็นกรมหลวงองค์หนึ่ง เพราะท่านได้ทำทัพศึกมาก มาถึงแผ่นดินปัจจุบันนี้ ก็มีกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ที่ทรงผนวชเป็นกรมพระ เพราะเหตุที่ท่านมีพิเศษกว่าเจ้านายทั้งปวงดังเช่นกล่าวมาแล้ว ยศเสียแต่เจ้าฟ้า ถึงไม่ได้เป็นพระเจ้าลูกเธอในพระเจ้าแผ่นดินก็ได้เป็นกรมหลวงหลายพระองค์

กรมขุนชั้นโทเป็นได้บ้าง กรมหมื่นเป็นได้ทั้งชั้นโทแลชั้นตรี

กรมขุนที่รองลงไปอีกชั้นหนึ่งนั้น เจ้านายวังหน้าได้เป็นบ้างราย ๆ สักสองสามองค์ นอกนั้นก็เป็นแต่เพียงกรมหมื่นโดยมาก เจ้าชั้นตรีจะได้เป็นกรมก็เห็นเป็นเพียงกรมหมื่น ไม่ได้เป็นถึงกรมขุนสักองค์หนึ่ง

พระองค์เจ้าชั้นโทแลตรีเป็นกรมก็ได้จริง แต่ยศยังไม่เหมือนชั้นเอกเพราะเจ้ากรมปลัดกรมสมุห์บาญชีมียศต่ำ

แต่พระองค์เจ้าชั้นเอกโทตรี ที่เป็นต่างกรมนี้ มีเจ้ากรมปลัดกรมสมุห์บาญชีสามคน แลเรียกชื่อว่า กรมหลวงกรมขุนเหมือนกันก็จริงอยู่ แต่ยังมียศผิดกันอย่างอื่นอีก เหมือนหนึ่งถ้าพระองค์เจ้าชั้นเอกเป็นต่างกรม เจ้ากรมปลัดกรมสมุห์บาญชี เป็นพระยาพระหลวงขุนหมื่นตามเช่นว่ามาแล้ว ถ้าเป็นพระองค์เจ้าชั้นโท เป็นกรมหมื่น เจ้ากรมปลัดกรมเป็นหมื่น สมุห์บาญชีเป็นแต่เพียงพัน ถ้าพระองค์เจ้าชั้นตรี เจ้ากรมเป็นหมื่น ปลัดกรมสมุห์บาญชีเป็นพัน ศักดินาแลเบี้ยหวัดหลวงที่พระราชทานก็ผิดกัน

(๘๗) ศักดินาเจ้ากรมปลัดกรมสมุห์บาญชีต่างๆ แลมีจางวางเป็นตำแหน่งต่างกรมใหญ่

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ น้องยาเธอสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าทั้งปวงนี้ เจ้ากรมศักดินา ๘๐๐ ปลัดกรม ๖๐๐ สมุห์บาญชี ๕๐๐ บ้าง ๔๐๐ บ้าง ถ้าเป็นแต่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระเจ้าน้องยาเธอ พระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าหลานเธอ เจ้ากรมศักดินา ๖๐๐ ปลัดกรม ๕๐๐ สมุห์บาญชี ๔๐๐ บ้าง ๓๐๐ บ้าง ถ้าเป็นเจ้านายต่างกรมผู้ใหญ่มีจางวางมหาดเล็ก จางวางตำรวจ จางวางฝีพาย จางวางแสง สารวัตรเสมียน ถ้าเป็นต่างกรมผู้น้อยลงมา มีจางวางมหาดเล็ก จางวางตำรวจ จางวางฝีพาย เสมียนบ้าง บางทีก็ไม่มี ถ้าเป็นแต่พระองค์เจ้า มีพี่เลี้ยง ๒ จางวาง ๑ สมุห์บาญชี ๑ พี่เลี้ยงนี้ถ้ายังคงมีอยู่จนเจ้าใหญ่โตเป็นกรมก็ได้รับเบี้ยหวัดด้วยเหมือนกัน

(๘๘) เจ้านายดำเนินลำดับยศคำนำพระนาม

เจ้านายซึ่งเป็นต่างกรมทุก ๆ ชั้น ต้องทรงศักดินาตามลำดับยศเดิมในคำนำพระนามที่ว่าอะไรเธอ ถึงจะเป็นกรมใหญ่เล็กเท่าใด ศักดินาก็คงเสมอกันตามยศนั้น ถึงจะเป็นต่างกรมแล้วฤๅเป็นพระองค์เจ้าอยู่ ถ้าเวลาที่จะมีเดินไปข้างไหนพร้อม ๆ กัน ก็ต้องเดินตามลำดับยศที่คำนำพระนาม สูงต่ำ เดินตามลำดับกับพระชนม์พรรษาในพวกเดียวกัน คือถ้าพี่ยังไม่ได้เป็นกรม น้องเป็นกรมก่อนก็ต้องเดินหลังพี่ที่ยังไม่ได้เป็นกรมนั้นอยู่ตามเดิม

(๘๙) พานทองเครื่องยศแลตราจุลจอมเกล้า

พระองค์เจ้าที่เป็นต่างกรมทั้งปวง ได้เครื่องยศพานหมากทองคำกลมเสมอกันหมด พระองค์เจ้าได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่พระองค์เจ้าชั้นเอกได้ทั่วกันแทบทุกแผ่นดิน ถ้าจะเทียบเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ พระเจ้าลูกเธอที่เกิดเป็นพระองค์เจ้า พระราชบุตรของพระเจ้าแผ่นดินเก่าใหม่คงเป็นคอมมานเดอ Commander ตราจุลจอมเกล้าทุกพระองค์ แลหม่อมเจ้าซึ่งพระเจ้าแผ่นดินยกเป็นพระองค์เจ้า ซึ่งนับไว้ในชั้นตรีอีกพวกหนึ่งก็ได้ทั่วกัน นอกนั้นได้น้อย ไม่ได้เสียโดยมาก ๆ

เครื่องยศเจ้าต่างกรมคือพระมาลา ฉลองพระองค์ พระแสง วอทรง

เครื่องยศสำหรับต่างกรมนอกนั้น ก็มีอีกหลายอย่าง จะพรรณนาก็จะมากนักไป แต่ที่เป็นสำคัญนั้น คือพระมาลาเครื่องลงยาราชาวดี ปักขนนกการเวก ๆ นี้ใช้ได้แต่เจ้านาย ขุนนางใช้ไม่ได้ ฉลองพระองค์จีบเอว พระแสงฝักทองฤๅฝักนาค เวลาไปทางบกทรงวอ ถ้าพระองค์เจ้าทรงได้แต่เสลี่ยง

(๙๐) การโสกันต์แลทรงผนวชของพระองค์เจ้าชั้นเอกดีกว่าเจ้าฟ้าที่ไม่ใช่โอรสพระเจ้าแผ่นดิน

แต่การโสกันต์ ทรงผนวชนั้นไม่มีกำหนดบางทีมากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่พระเจ้าแผ่นดินจะโปรดพระราชทาน บางทีพระองค์เจ้า ซึ่งเป็นลูกเจ้าแผ่นดิน ได้มียศศักดิ์เกือบจะเหมือนเจ้าฟ้า การโสกันต์ทรงผนวชก็มีแห่ใหญ่ ยกไว้แต่การซึ่งเป็นของเจ้าฟ้าแท้ จะมาใช้กับพระองค์เจ้าไม่ได้ คือการลงสรงแลเครื่องยศลงยาตำแหน่งศักดินา แลสิ่งของธรรมเนียมที่ถือว่าเป็นจัญไรเป็นต้น พระเจ้าแผ่นดินจะประทานให้แก่พระองค์เจ้าไม่ได้ จึงต้องยกไว้ แต่เมื่อคิดดูตามการที่เคยเห็นมา เห็นว่าพระองค์เจ้าในชั้นเอกนี้ ทั้งในกฎหมายแลความนับถือดีกว่าเจ้าฟ้าที่ไม่ได้เป็นลูกเจ้าแผ่นดินมาก ยกไว้แต่เจ้าฟ้าบางองค์ ที่จะมียศเสมอเพียงลูกเธอก็เป็นอย่างดี จึงเห็นว่าเจ้าฟ้าชั้นดีนั้น มีแต่ศักดินาสูง คนนับถือลูกเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นพระองค์เจ้ามากกว่าเป็นแน่

(๙๑) เวลาสิ้นพระชนม์และการพระเมรุก็แปลกกันตามลำดับ

เมื่อเวลาสิ้นพระชนม์ ได้เข้าโกศตามชั้นสูงต่ำ แลมีเครื่องยศสำหรับศพ การพระราชทานเพลิงนั้น ก็เป็นธรรมเนียมเจ้านายเช่นมีบ่อย ๆ ลดกันเป็นเอกโทตรีตามลำดับ แต่ที่ได้เข้าเมรุกลางเมือง เป็นการใหญ่เฉพาะพระองค์ก็มีหลายพระองค์ เหมือนหนึ่งกรมหมื่นมาตยาพิทักษแลกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศเป็นต้น ที่ได้พลอยเข้าเมรุใหญ่ที่สำหรับเจ้าแผ่นดิน แลสมเด็จพระบรมราชชนนีก็มี

(๙๒) หม่อมเจ้ามีการเกศากันต์ แลทรงผนวชแลเครื่องศพต่ำลงมา

หม่อมเจ้านั้น เวลาเกศากันต์ทรงผนวชเป็นการหลวง เกศากันต์ที่พระมหาปราสาททรงผนวชวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้เบี้ยหวัดเสมอทุกปี เข้าเฝ้าเจ้าแผ่นดินได้เหมือนพระองค์เจ้า เวลาสิ้นชีพตักษัย เครื่องศพหลวงพระราชทาน มีหีบหุ้มด้วยผ้าขาว เป็นอย่างสูง

(๙๓) หม่อมราชวงศ์ไม่มีการหลวงเกี่ยวข้อง เข้าเฝ้าต้องถวายตัวแต่ยังคงนับถือเป็นพระญาติวงศ์ หม่อมหลวงเหมือนกัน

หม่อมราชวงศ์นั้น ไม่มีการหลวงเกี่ยวข้องสิ่งใดถ้าจะเข้ารับราชการ ต้องถวายตัวเหมือนลูกขุนนาง ถึงไม่ได้ทำราชการสิ่งใดเลย ก็คงได้เบี้ยหวัดบ้างเล็กน้อย เพราะพระเจ้าแผ่นดิน ยังต้องทรงนับถือว่าเป็นพระญาติวงศ์ แต่เฝ้าข้างมหาดเล็ก ไม่ได้อยู่ข้างเจ้านายเหมือนหม่อมเจ้า หม่อมหลวงนั้น ก็คล้ายกันกับหม่อมราชวงศ์

(๙๔) ธรรมเนียมที่ต้องเดินเป็นลำดับกันตามยศ

ถ้าจะเทียบยศ ตามลำดับที่ควรจะเดินหน้าเดินหลัง ตามศักดินา แลตามธรรมเนียมโบราณสืบมาดังนี้

ที่ ๑ พระบัณฑูรใหญ่ ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลฝ่ายหน้า

ที่ ๒ พระบัณฑูรน้อย ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลฝ่ายหน้า

ที่ ๓ พระบัญชา ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานภิมุขฝ่ายหลัง

ที่ ๔ สมเด็จพระบรมอัยกาเธอเจ้าฟ้า

ที่ ๕ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้า

ที่ ๖ สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอเจ้าฟ้า

ที่ ๗ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้า

ที่ ๘ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้า

๕ นี้ คือพระราชโอรสพระเจ้าแผ่นดิน

ที่ ๙ พระบรมอัยกาเธอพระองค์เจ้า

ที่ ๑๐ พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้า

ที่ ๑๑ พระเจ้าพี่ยาเธอพระองค์เจ้า

ที่ ๑๒ พระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้า

ที่ ๑๓ พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้า

ที่ ๑๔ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า

๒ นี้เดินสลับกันตามพระชนมพรรษา

๖ นี้ คือพระราชบุตรพระเจ้าแผ่นดิน

ที่ ๑๕ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ คือเจ้าฟ้าที่เป็นหลานพระเจ้าแผ่นดินตรง ๆ ฤๅเจ้าฟ้าที่เป็นลูกวังหน้า

ที่ ๑๖ พระเจ้าวรวงศ์เธอชั้น ๑ พระองค์เจ้า

ที่ ๑๗ พระเจ้าวรวงศ์เธอชั้น ๒ พระองค์เจ้า

ที่ ๑๘ พระเจ้าวรวงศ์เธอชั้น ๓ พระองค์เจ้า

ที่ ๑๙ พระเจ้าวรวงศ์เธอชั้น ๔ พระองค์เจ้า

ที่ ๒๐ พระบวรวงศ์เธอชั้น ๑ พระองค์เจ้า

ที่ ๒๑ พระบวรวงศ์เธอชั้น ๒ พระองค์เจ้า

๖ นี้คือพระองค์เจ้าวังหน้า

ที่ ๒๒ พระเจ้าหลานเธอซึ่งเป็นพระองค์เจ้า เป็นหลานเธอตรง ๆ ของพระเจ้าแผ่นดินในขณะนั้น

ที่ ๒๓ พระประพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าในกรมหมื่นมาตยาพิทักษ ซึ่งเป็นพระอัยกาฝ่ายพระมารดาของพระเจ้าแผ่นดิน

ที่ ๒๔ พระวงศ์เธอพระองค์เจ้า คือหม่อมเจ้าลูกต่างกรมแลพระองค์เจ้าวังหลวงที่ยกขึ้นเป็นพระองค์เจ้า

ที่ ๒๕ พระสัมพันธวงศ์เธอพระองค์เจ้า คือหลานสมเด็จพระพี่นาง ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทั้งสองพระองค์

ที่ ๒๖ หม่อมเจ้าตามลำดับยศบิดา ซึ่งเรียก ๆ กันมาเหมือนข้างบน

(๙๕) ธรรมเนียมนี้เป็นของรู้อยู่ทั่วกันแต่บางทีให้กันเองบ้าง

ที่ว่ามานี้เป็นการสมควรฤๅที่เคยเป็นธรรมเนียมรู้อยู่ด้วยกันทุกคน ว่าต้องเดินดังนี้ แต่บางทีเจ้าฟ้าที่ท่านอยู่ในสำรับชั้นเอกด้วยกัน ท่านยอมเดินหลังเจ้านายชั้นซึ่งท่านเป็นพี่ป้าน้าอาผู้ใหญ่ เพื่อจะให้เป็นการเคารพแลเป็นการอ่อนน้อมก็มี แต่ท่านผู้ที่เดินหน้าไม่สู้จะเต็มใจ เมื่อเวลาถึงยศจริง ๆ ก็ต้องเป็นตามลำดับนี้ ที่ลดหย่อนให้กันนั้นเป็นแต่การภายนอก แต่ที่จะยอมให้ไขว้ชั้นกัน คือชั้นเอกจะไปเดินหลังชั้นโทชั้นตรีนั้นไม่ได้

(๙๖) เจ้าฟ้าและพระองค์เจ้าหญิงเป็นกรมได้ทุกชั้น

อนึ่งเจ้าฟ้าผู้หญิงแลพระองค์เจ้าผู้หญิงเป็นต่างกรมได้ทุกชั้นเคยเป็นกรมสมเด็จพระ กรมพระ กรมหลวง กรมขุน กรมหมื่น มีทุกชั้น แต่นาน ๆ น้อย ๆ ไม่มากเหมือนต่างกรมผู้ชาย เจ้าหญิงวังหน้านอกจากเจ้าฟ้า ฤๅเจ้าหญิงในต่างกรมไม่เคยเป็นกรมเลย ลำดับยศแลธรรมเนียมต่าง ๆ นั้นก็เป็นเหมือนหนึ่งเจ้านายผู้ชาย

สิ้นธรรมเนียมลำดับยศราชตระกูลแต่เท่านี้

(๙๗) ว่าด้วยยศผู้หญิงนับตามบิดาจึงกำหนดยากนัก

จะว่าด้วยผู้หญิงมีศักดิ์ ตั้งแต่พระอัครมเหสีจนถึงนางห้าม เจ้าต่างกรม ในเรื่องผู้หญิงนี้ยากที่จะว่าให้เป็นแน่ลงได้ ด้วยในเมืองเราไม่ใคร่จะให้นับยศผู้หญิงตามสามี มักจะนับแต่ยศตามบิดา จึงจะกำหนดยากนัก โดยที่สุดจนเมียในหลวงมีชื่อเรียกต่าง ๆ จะกำหนดว่าอย่างไรเพียงใด ก็ไม่มีกำหนด ด้วยตั้งแต่ตั้งกรุงเก่ามาจนถึงบัดนี้ห้าร้อยปีเศษ ยังไม่ได้ยินว่ามีการอภิเษกพระมเหสีอย่างไรสักครั้งหนึ่งเลย เป็นแต่มีอยู่ในหนังสือออกชื่อพระมเหสี แต่พระมเหสีนั้นจะเป็นขึ้นเมื่อไรก็ไม่รู้ เป็นแต่จะเรียกเมื่อไรก็เรียกไม่เห็นมีการตั้งแต่งกันจนสักครั้งเดียว

กำหนดตามกฎมนเทียรบาลเป็นสามชั้น

คำที่เรียกนั้นก็มีหลายอย่างในกฎมนเทียรบาล ที่เป็นของเก่าเห็นเรียกอยู่สามอย่างเป็นสามชั้น

๑. ชั้น ๑ เรียกว่าพระมเหสี

๒. ชั้น ๒ เรียกว่าพระอัครชายา ก็มียศคล้ายกันกับพระมเหสี

๓. ชั้น ๓ เรียกว่าแม่อยั่วเจ้าเมือง มียศต่ำลงมาหน่อยหนึ่ง ลางทีแม่อยั่วเจ้าเมืองขึ้นไปเป็นที่ ๒ ก็มี

(๙๘) มีโอรสทั้งสามเป็นเจ้าฟ้าชั้นเหมือนกัน

แต่มีลูกเป็นสมเด็จลูกเธอทั้งสามชั้น มาภายหลังเป็นอัครมเหสีใหญ่ ราชมเหสีขวาพระมเหสีซ้าย พระราชเทวีก็มี แต่บางทีคนคนเดียวนั้น ลางทีเรียกว่าเป็นพระมเหสี ลางทีเรียกว่าพระอัครชายา ลางทีเรียกว่าพระราชเทวี ไม่รู้ว่าอย่างไรจะเป็นยศสูงกว่ากัน อย่างไรจะเป็นยศแน่ เพราะไม่ได้จาฤกสุพรรณบัฏ

มเหสีมีคำเรียกหลายอย่างจะกำหนดอย่างไร เป็นสูงก็ได้เพราะไม่ได้แต่งตั้ง จะว่าเหมือนกวีนก็ว่าได้เพราะเป็นเมียหลวงของพระเจ้าแผ่นดินแต่ว่ามีมาก

ตั้งพระอัครมเหสีสักครั้งหนึ่ง จะเทียบว่าเหมือนอย่างกวีนเมืองต่างประเทศ ให้ชัดตรงทีเดียวนั้นไม่ได้ แต่จะไปเทียบว่าเป็นอื่น ๆ นอกจากเป็นกวีน ก็เห็นจะไปเทียบไม่ได้ เพราะความยกย่องของไทยนั้น ก็เข้าใจอย่างไพร่ ๆ ว่าเป็นเมียหลวงของในหลวง แต่ไม่มีกำหนดว่ามีเท่าใด

(๙๙) มีตัวอย่างพระเจ้าแผ่นดินองค์ ๑ มีพระมเหสีถึง ๘ องค์

ในพงศาวดาร ซึ่งเจ้าฟ้าอุทุมพรกรมขุนพรพินิต ซึ่งได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินกรุงเก่า ที่ ๓๒ ทรงแต่ง ได้กล่าวถึงสมเด็จพระรามาธิเบศร์ปราสาททอง ซึ่งเป็นไปยกาของท่าน ว่ามีพระมเหสีแปดพระองค์ มีพระราชโอรสพระราชธิดา เป็นเจ้าฟ้าทั้งแปดพระองค์ จะเป็นพระมเหสีทั้งนั้น ฤาจะเป็นพระราชเทวีบ้าง พระอัครชายาบ้าง ก็ไม่เห็นว่าชัด แต่เรียกว่ามีพระมเหสีแปดพระองค์ พระมเหสีทั้งแปดนั้น ก็เป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น แต่ไม่ออกพระนามว่า พระนามอย่างไรเรียกอย่างไร คนก็นับถือเท่า ๆ กัน

(๑๐๐) ต่อมามีต่าง ๆ อย่างยิ่ง เป็น ๔ องค์ ๆ เอกเรียกว่าพระเสาวนีย์เหมือนพระบัณฑูร

ต่อมาก็มีองค์ละ ๑-๒-๓-๔ แต่ไม่ได้กำหนดว่าใครเป็นอะไรแน่ เป็นแต่เมื่อจะเรียกชื่อ ก็เรียกตามใจผู้ที่เรียกจะเห็นเพราะ ที่องค์ใดเป็นใหญ่องค์หนึ่งคนทั้งปวงมักเรียกว่าพระเสาวนีย์ คำที่เรียกว่าพระเสาวนีย์นั้นเหมือนพระบัณฑูร สันนิษฐานกันว่าเป็นอัครมเหสี

(๑๐๑) แต่ก่อนดูเหมือนพระมเหสีออกหน้ามากกว่าลับอยู่ แต่ข้างในเลิกธรรมเนียมออกหน้ามเหสีจึงไม่ตั้ง มีตัวอย่างต่างๆ ให้เห็นได้ แลที่มีเหตุจึงปรากฎชื่อ

แต่ในเรื่องราวหนังสือหนังหาโบราณ ๆ ดูเหมือนพระมเหสีออกหน้ามาก ครั้นภายหลังมาพระมเหสีก็เงียบเข้าทุกที เพราะผู้หญิงเกิดเป็นธรรมเนียมปิดซ่อนกันขึ้น ข้างในไม่ได้ออกมาข้างหน้า ๆ ไม่ได้เข้าไปข้างใน แต่ก่อน ๆ นั้นเวลาเจ้าแผ่นดินเสด็จออก พระมเหสี พระสนมเชิญเครื่องออกไปตามเสด็จท้องพระโรงด้วยเห็นจะเหมือนกับในเมืองพม่าทุกวันนี้ ซึ่งเราได้อ่านหนังสือที่คนอังกฤษแต่งว่า เวลาไปเฝ้าเจ้าแผ่นดินพม่า มีพระมเหสีแลพระสนมออกด้วยแต่ในเมืองเราผู้หญิงไม่ได้ออกด้วยมาเสียช้านานหนักหนาแล้ว ไม่ทราบว่าไมได้ออกด้วยแลเลิกมาแต่เมื่อไร เห็นจะเป็นด้วยผู้หญิงไม่ได้ออกรับแขกดังนี้ จึงได้เงียบไป

(๑๐๒) ได้ปรากฎพระมเหสีคราวหนึ่งคือสุริโยทัย

ตรวจดูในพงศาวดาร ตอนต้น ๆ ก็ไม่เห็นเล่าเรื่องว่าพระมเหสีองค์ใดอย่างไร ใครเป็นพระมเหสี มาได้ความได้ชื่ออยู่ว่า พระสุริโยทัยพระมเหสีพระมหาจักรพรรดิ เมื่อแรกก็ไม่ได้ยินออกชื่อออกเสียง ต่อจะสิ้นพระชนม์ แต่งองค์เป็นกษัตริย์ออกไปด้วยพระสวามีในกลางทัพ ช้างข้าศึกไล่พระสวามีมาก็ไสช้างออกรับช้างข้าศึก กันช้างพระราชสวามีหนีพ้นไป ข้าศึกก็ฟันพระองค์ขาดกับคอช้าง เพราะมีเหตุจึงได้กล่าวขึ้นดังนี้เรื่อง ๑

(๑๐๓) อีกคราวหนึ่งกรมหลวงโยธาทิพแลเทพในแผ่นดินเพทราชาก็ไม่ตั้ง คงเป็นกรมหลวงตามเดิม

อีกครั้งหนึ่งแผ่นดินพระมหาบุรุษย์ ซึ่งไม่ได้เป็นเชื้อวงศ์เจ้ามาแย่งแผ่นดินเป็นเจ้าขึ้นชั่วตัวคนเดียว จึงได้เลือกเอาท่านผู้หญิงเดิมเป็นพระมเหสีกลาง พระกนิษฐาของพระเจ้าแผ่นดินเดิมเป็นมเหสีขวา พระราชธิดาของพระเจ้าแผ่นดินเดิมเป็นมเหสีซ้าย เจ้าหญิงสององค์นี้ได้เป็นกรมหลวงมาแต่พระเชษฐาแลพระราชบิดายังอยู่ ครั้นเมื่อนับว่าเป็นพระมเหสีดังนี้ แล้วก็ไม่เห็นเปลี่ยนแปลงยศอันใด คงเรียกกรมหลวงอยู่ตามเดิม เป็นแต่เจ้าแผ่นดิน ออกชื่อว่าให้เป็นมเหสี คนทั้งปวงก็นับถือว่าเป็นมเหสี

(๑๐๔)

ครั้นมาภายหลังอีกหลายแผ่นดิน ก็มีเจ้าฟ้าหลาย ๆ องค์ ทุก ๆ แผ่นดิน ก็ไม่เห็นว่ากล่าวอะไร เป็นแต่ว่าเจ้าฟ้านั้น พระองค์เจ้านี้ซึ่งเป็นพระมเหสีบ้าง พระอัครชายาบ้าง พระราชเทวีบ้าง ตามแต่จะเรียกไม่เหมือนกันทุกคราว มีพระราชโอรสกี่พระองค์ คือเจ้าฟ้านั้น ๆ

(๑๐๕)

ต่อมามีเหตุประหลาดจึงได้ว่าชัดเหมือนหนึ่งในแผ่นดินพระบรมราชาธิราช ซึ่งเรียกว่าพระบรมโกศ ท่านปราบดาภิเษกในพี่น้องกันเอง

กรมหลวงอภัยนุชิต กรมหลวงพิพิธมนตรี เจ้าฟ้าสังวาลย์เป็นตัวอย่าง

แต่ท่านได้ถือว่าพระเกียรติยศท่านเหมือนพระเจ้าแผ่นดินที่ปราบข้าศึกศัตรูชนะได้แผ่นดิน จึงได้ตั้งหม่อมห้ามเดิมของท่าน ๒ คนซึ่งเป็นเชื้อวงศ์ของท่านห่าง ๆ ขึ้น เป็นกรมหลวงอภัยนุชิตองค์หนึ่ง กรมหลวงพิพิธมนตรีองค์หนึ่ง องค์แรกว่าเป็นพระอัครมเหสี องค์หลังว่าเป็นพระราชมเหสี เจ้าฟ้าสังวาลย์ น้องท่านอีกองค์หนึ่งก็คงเป็นเจ้าฟ้าตามเดิม แต่ว่าเป็นมเหสี มีพระราชโอรสธิดาถึง ๑๙-๒๐ องค์ด้วยกัน เป็นเจ้าฟ้าเหมือนกันทั้งสิ้น

(๑๐๖)

ต่อมาอีกแผ่นดินหนึ่ง ก็มีน้องของท่านเป็นพระองค์เจ้า ได้มีพระราชโอรสกับท่านทั้งสองพระองค์ ก็นับว่าเป็นพระมเหสีทั้ง ๒ พระองค์ที่เป็นความเก่าไกลตา ถ้าจะว่าแต่ที่กรุงเทพฯ นี้

(๑๐๗) ตัวอย่างที่ไม่ได้ตั้งพระมเหสีแต่มีพระมเหสีในแผ่นดินพระพุทธยอดฟ้า

ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมเด็จพระอมรินทรามาตย์ เป็นท่านผู้หญิงเดิม มีพระราชโอรส พระราชธิดาเป็นเจ้าฟ้าต่างกรมใหญ่ ถึง ๔ พระองค์ ก็ไม่เห็นท่านยกย่องตั้งแต่งอย่างไร แต่คนทั้งปวงเข้าใจว่า ท่านเป็นพระมารดาของเจ้าฟ้า ก็นับถือว่าเป็นพระมเหสี ตลอดมาจนถึงพระราชโอรสของท่านได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน จึงได้ยกขึ้นเป็นกรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ ที่สมเด็จพระบรมราชชนนี

(๑๐๘) ในแผ่นดินพระพุทธเลิศหล้า

ครั้นในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ท่านได้เจ้าฟ้าหญิง ซึ่งเป็นพระธิดาของสมเด็จพระเจ้าพี่นาง ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นพระชายาแต่เดิมมา ดังเช่นกล่าวมาแล้วข้างต้น ครั้นเมื่อท่านเป็นเจ้าแผ่นดินขึ้น ก็ไม่ได้ตั้งแต่งยศศักดิ์อันใดอีก แต่คนทั้งปวงเข้าใจว่า ท่านเป็นพระมเหสีเรียกว่าสมเด็จพระพันพรรษา ๆ นี้คำเดียวกันกับพันปี เป็นคำให้พรสำหรับเรียกพระราชชนนีบ้าง พระมเหสีบ้าง ฤาบางทีจะเรียกเจ้าแผ่นดินเองบ้างดอกกระมัง ท่านมียศดังนี้ตลอดมา จนถึงสิ้นพระชนม์ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน จึงได้ยกขึ้นเป็นสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ เหมือนอย่างสมเด็จพระอมรินทรามาตย์

(๑๐๙)

ยังมีอีกองค์ ๑ คือเจ้าฟ้ากุณฑล เป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ ก็ได้มีพระโอรสคือ สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา แลเจ้าฟ้าอื่น ๆ อีก คนทั้งปวงก็นับถือว่าท่านเป็นพระราชเทวี ฤๅพระอัครชายา เหมือนกัน แต่ไม่มีตั้งแต่งแปลกประหลาดสิ่งไร เจ้าอื่น ๆ ที่เป็นพระเจ้าน้องนางเธอบ้าง พระเจ้าบวรวงศ์เธอบ้าง ก็มีอีกหลายพระองค์ แต่ไม่มีพระโอรสแลธิดาเป็นเจ้าฟ้าก็เงียบไป

(๑๑๐) ในแผ่นดินพระนั่งเกล้า

ครั้นมาถึงแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านไม่มีเจ้านายเป็นพระอัครชายา ฤๅเป็นพระราชเทวี เพราะพระราชโอรสท่านไม่มีเป็นเจ้าฟ้า.

(๑๑๑)

ครั้นตกมาในแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านทรงขึ้นใหม่ เรื่องคำนำพระนามพระองค์เจ้าโสมนัศ พระองค์เจ้ารำเพย ๒ พระองค์ ซึ่งเป็นพระมารดาเจ้าฟ้า ซึ่งนับว่าเป็นพระราชเทวี ให้เรียกว่าพระนางเธอ ฤๅสมเด็จพระนางเธอ ให้สมควรแก่ที่เป็นตำแหน่งเช่นนี้ แต่พระองค์เจ้า หม่อมเจ้าอื่น ๆ อีกหลายพระองค์ ซึ่งไม่มีพระโอรส พระธิดาเป็นเจ้าฟ้านั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอันใด สมเด็จพระนางเธอ รำเพยภมราภิรมย์ นั้นมาในแผ่นดินปัจจุบันนี้ ก็ได้เป็นกรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ ที่สมเด็จพระบรมราชชนนี เหมือนอย่างสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ สมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย

(๑๑๒) พระมเหสีอย่างนี้เหมือนกวีนคอนสอด แต่จะหาที่อภิเษกแล้วก็ไม่มี เพราะธรรมเนียมเจ้าเมืองไทยไม่ใช้แต่งงาน

แต่ท่านทั้งสองพระองค์นี้ เมื่อเวลาท่านยังมีพระชนม์อยู่ก็ดี ฤๅบัดนี้ก็ดี ฝรั่งเคยเรียกเฮอมาอิศตีที่กวินคอนสอด ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้ทรงไว้ว่าเป็นกวีนคอนสอด ในที่หลายแห่งที่มีชัดอยู่ เหมือนหนึ่งในหนังสือเซอร์ยอนเปาว์ริง แลพระราชหัตถ์ ซึ่งมีไปมา แลคำประกาศเวลาสิ้นพระชนม์ เป็นต้น ก็เรียกกวีนคอนสอดทั้งนั้น ถ้าจะหากวีนเมืองไทยนี้ ที่ได้คราวคอรอเนชันแล้วเห็นจะหาไม่ได้เลย เพราะธรรมเนียมแต่งงาน เจ้านายในเมืองไทยนี้ไม่มี เมื่อว่ากันตามเห็นตรง ๆ อย่าว่าแต่เจ้าแผ่นดินเลย ถึงเจ้าฟ้าพระองค์เจ้า ก็ไม่ได้แต่งงานสักครั้งหนึ่งเลย

(๑๑๓) ลัทธิไทย ถึงเมียหลวงเมียน้อยแล้วแม่ของลูกเมียหลวงก็ต้องเป็นเมียหลวง จะมีเท่าใดไม่กำหนด

ตามลัทธิข้างฝ่ายเรา พวกมีเมียมากที่ถือลูกเมียหลวงเมียน้อย ถือว่าถ้าเจ้านายองค์ใด มีพระราชโอรสพระราชธิดา ด้วยพระเจ้าแผ่นดินเป็นเจ้าฟ้าก็ถือว่า เจ้าฟ้านั้นเป็นลูกเมียหลวง พระองค์เจ้าเป็นลูกเมียน้อย แม่ของลูกเมียหลวงก็ต้องเป็นเมียหลวงอยู่เอง ขุนนางก็เหมือนกัน มีเมียหลวงกี่คน ลูกก็เป็นลูกเมียหลวง เมียก็เป็นเมียหลวง จะมีกี่คน ๆ ก็ได้ไม่มีกำหนด

(๑๑๔) สมเด็จพระบรมราชชนนีพระมเหสีนั้นไม่มีศักดินากำหนด

แต่ตำแหน่งศักดินา สมเด็จพระบรมราชชนนี พระอัครมเหสี พระราชมเหสี พระมเหสี พระราชเทวี พระอัครชายา ฤๅอะไร ๆ บรรดาที่เรียกเป็นเมียหลวงใหญ่ของพระเจ้าแผ่นดินนี้ ไม่มีในกฎหมายเหมือนเจ้านายข้างหน้าข้างใน แลพระสนมทั้งปวง

(๑๑๕) เวลาสิ้นพระชนม์มียศเท่าพระเจ้าแผ่นดินบ้าง เท่าเจ้าฟ้าบ้าง ธรรมเนียมไทยผิดกันกับข้างยุโรป

เวลาสิ้นพระชนม์แล้ว ทำพระเมรุกลางเมืองเท่ายศเจ้าแผ่นดินบ้าง เจ้าฟ้าบ้างทั้งนั้นเรื่องพระมเหสีนี้ อธิบายได้แต่อย่างนี้ซึ่งจะว่าให้ชัดเจน ให้ตรงไปกับกวีนต่างประเทศนั้น อธิบายไม่ได้ ด้วยธรรมเนียมผิดกัน เหมือนกับวังหน้าในประเทศตะวันตกไม่มีเหมือน

(๑๑๖) ว่าด้วยพระสนมฤๅเจ้าจอม

ถัดนี้ลงมาอีก ในหมู่พระสนมฤๅเจ้าจอม คือเป็นบุตรข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ตั้งแต่เสนาบดี จนถึงพระหลวง ซึ่งมีใจยินดียอมยกถวายพระเจ้าแผ่นดิน ให้รับราชการฝ่ายในนั้น

เดิมเป็นท้าวพระสนมเอก ๔

ธรรมเนียมโบราณ ยกขึ้นเป็นท้าวพระสนมเอก ๔ คนมีชื่อต่าง ๆ กันเหมือนชื่อขุนนาง

แต่ที่กรุงเทพ ฯ พระสนมเป็นชั้นเอกชั้นโทตามเครื่องยศ เจ้าจอมที่มีพระองค์เจ้าเป็นเจ้าจอมมารดา ที่ไม่มีเป็นเจ้าจอมอยู่งาน

แต่ที่กรุงเทพ ฯ ไม่เคยตั้ง เป็นแต่เจ้าจอมมารดาใหญ่ที่โปรดปรานมาก ได้พระราชทานเครื่องยศเป็นอย่างที่หนึ่ง ก็นับว่าเป็นพระสนมเอก ถ้าได้รับพระราชทานเครื่องยศอย่างที่ ๒ ก็เป็นพระสนมโท ถ้าเจ้าจอมคนใด มีพระองค์เจ้า ก็เรียกว่าเจ้าจอมมารดา ที่ไม่มีพระองค์เจ้าก็เรียกว่าเจ้าจอมอยู่งาน มีอยู่ ๒ อย่างเท่านั้น

(๑๑๗) เมียใหญ่วังหน้าไม่มีตำแหน่งเป็นแต่คนทั้งปวงเรียกเสด็จข้างในเหมือนวังเจ้าต่างกรม

เจ้านายซึ่งเป็นเมียวังหน้า ไม่ได้ยินยกย่องว่าเป็นพระอะไร เหมือนหนึ่งเจ้ารจนา เป็นมารดาเจ้าฟ้าพิกุลทอง ก็เรียกกันแต่ว่า เจ้ารจนา

พระองค์เจ้าดารา ซึ่งเป็นมารดาเจ้าฟ้าอิศราพงษ ก็เป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอยู่ตามเดิม แต่ชาววังหน้า เรียกว่าเสด็จข้างใน เหมือนอย่างกับพระองค์เจ้าเป็นเมียต่างกรม ข้าในกรมนั้นก็เรียกว่าเสด็จข้างใน ไม่เห็นแปลกประหลาดกัน

(๑๑๘) เมียวังหน้าที่มีลูกเรียกว่าเจ้าจอมมารดาบ้าง มารดาบ้าง เมียต่างกรม ที่พระราชทานเรียกข้างในต่างวัง เรียกชื่อตัวชื่อบิดา

บรรดาหม่อมห้ามวังหน้า เรียกว่าหม่อมมีลูกแล้วเรียกว่า จอมมารดาบ้าง เรียกว่ามารดาเปล่า ๆ เมียเจ้าต่างกรม ที่พระราชทานไปจากในวัง เรียกว่าข้างในต่างวังชื่อไรก็ออกชื่อนั้น แต่ใส่ชื่อบิดา ในราชการไม่มีคำนำ แต่คนทั้งปวงเขาเรียกกันว่าหม่อม คำนี้จะกราบทูลไม่ได้ ต้องเรียกชื่อเดิม ถ้าเป็นเมียเจ้าต่างธรรมเนียมก็เรียกว่านางห้าม แต่ในเวลานี้เขาตื่นเป็นหม่อมกันมาก ทั้งเมียเจ้าเมียขุนนาง ไม่ว่าหม่อมเจ้าเล็กน้อย ขุนนางผู้ใหญ่ขุนนางผู้น้อย สุดแต่เป็นเมียแล้ว ก็เรียกหม่อมทั้งสิ้นมันจะมาจากแหม่มฤาอย่างไรก็ไม่รู้ แต่หม่อมนี้เขาสำหรับเรียกคนผู้ดี ๆ ที่มีตระกูล ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย เหมือนหนึ่งปู่พระยาภาสกรวงศ์ แลกรมหมื่นนรินทรเป็นต้น เมื่อยังไม่ได้เป็นเจ้าเป็นขุนนาง ก็เรียกว่าหม่อม ถึงเดี๋ยวนี้ยังมีผู้ดี ๆ ยังเรียกกันว่าหม่อมพ่อหม่อมลุง ก็มีบ้าง แต่มีอยู่แต่น้อย ตั้งแต่หม่อมแปลว่าเมียเสีย ก็กระดากกันไป

เมียเจ้าจะเป็นเจ้าบ้างก็ต้องเมียที่เป็นเจ้าแท้ ที่จะพลอยเป็นตามสามีนั้นไม่ได้ ถึงเป็นเจ้าแล้วสามีเป็นกรมจะเป็นไปตามเหมือนธรรมเนียมยุโรปก็ไม่ได้

เรื่องจะเมียนี้กำหนดว่าเมียเจ้าแล้ว ก็เป็นปรินเซสก็ได้ด้วย ถ้าเมียที่สมควรจะเป็นปรินเซสก็ต้องเอาที่เป็นปรินเซสอยู่เอง ที่จะเอาไพร่มาเป็นปรินเซสตามผัวนั้นไม่ได้ ถึงเป็นปรินเซสอยู่จะเป็นเมียต่างกรม จะพลอยเป็นกรมไปตามผัวไม่ได้ ต้องเป็นโดยตัวเอง สิ้นเรื่องผู้หญิงบรรดาศักดิ์ที่มีสามี

สิ้นเรื่องผู้หญิงบรรดาศักดิ์ที่มีสามี

  1. ๑. รัชชกาลที่ ๕

  2. ๒. ได้เข้าพิธีอภิเศกสมรส

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ