เดือน ๗ จุลศักราช ๑๒๔๘
วันพุธ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาบ่าย ๕ โมง เสด็จออกประทับซิตติงรูม พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท กรมหลวงเทววงศ์นำมิสเตอร์เฟรนซ์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายบังคมลาไปเป็นไวซ์กงสุล ณ เมืองเชียงใหม่ ทรงพระราชปฏิสันถารโดยสมควรแล้วกราบถวายบังคมลากลับไป
เสด็จมาประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง
หลวงวิจารณ์อาวุธอ่านบอกพระอินทรเดช ข้าหลวง พระยาพิทักษ์ทวยหาญ กรมการเมืองปทุมธานี ว่าได้พร้อมกันชำระผู้ร้าย ได้ตัวมาบ้าง ยังติดตามอยู่บ้าง
เสด็จขึ้นประทับออฟฟิศ รับสั่งกับกรมหลวงเทววงศ์ครู่หนึ่ง เสด็จขึ้นข้างใน
วันพฤหัสบดี ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระ แล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง
หลวงวิจารณ์อาวุธอ่านบอกพระยาสุรินทฤาไชย เมืองเพ็ชรบุรี ถวายพระราชกุศลว่าด้วยได้พร้อมกับหลวงชนานุกูล ข้าหลวง นิมนต์พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์และเลี้ยงอาหารบิณฑบาต และทำการแรกนาหลวงที่เขาเทพพนมขวด แต่วันอังคาร-พุธ แรม ๘-๙ ค่ำ เดือน ๖ เสร็จแล้ว
หลวงลักษมาณา กราบถวายบังคมลาไปเมืองกบิลพัสดุ์ พระราชทานเงินเหรียญนก ๑ ชั่ง
เกือบทุ่มเสด็จขึ้นข้างใน
วันศุกร์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระ แล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง
หลวงวิจารณ์อาวุธอ่านบอกพระนรินทรราชเสนี ข้าหลวงชำระผู้ร้ายเมืองราชบุรี ว่าได้รับตราพระคชสีห์ ๒ ฉะบับ ๆ หนึ่งว่าโปรดให้ไปชำระผู้ร้ายเมืองกาญจนบุรี อีกฉะบับหนึ่งว่าได้โปรดให้พระยาพิชัยบุรินทรา จมื่นสมุหพิมาน ออกไปชำระผู้ร้ายเมืองสมุทรสงคราม ให้ช่วยกันให้ตลอดถึงกัน ได้ทราบแล้ว และว่ากำหนดจะไปเมืองกาญจนบุรีวันพุธแรม ๙ ค่ำ เดือน ๖ ได้ทำการอย่างไรจะมีใบบอกมาครั้งหลัง
เสด็จขึ้นประทับออฟฟิศ ตรัสกับกรมหลวงเทววงศ์จนเกือบทุ่ม เสด็จขึ้น
วันเสาร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาบ่ายวันนี้ เป็นวันที่จะได้ให้มิสเตอร์ ยคบ ตีไชลด์ มินิสเตอร์เรสิเดนส์ทูตของกรุงยูไนติสสเตสสำหรับกรุงสยาม เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายอักษรสาสน์ในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เจัาพนักงานจัดการตามเคย
ที่หน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในสนามหญ้าตั้งเกยไม้ เจ้าพนักงานผูกพระยาช้างพระที่นั่งมาเทียบเกย และมีช้างต้นม้าต้นยืนปะรำ หน้าทิมดาบตำรวจมีทหารแตรวง ๑ ทหารปืน ๑๐๐ ตามเคย ที่หน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท มีทหารปืนใหญ่คอยสลุตตามธรรมเนียมด้วย
เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ มิสเตอร์ ยคบ ตีไชลด์ มินิสเตอร์เรสิเตนส์กงสุลเยเนอราลทูตกรุงยูไนติสสเตส อเมริกา ๑ มิสเตอร์เอม. เอ. แมกกัน ไวซ์กงสุลอเมริกัน ๑ ขึ้นรถมาถึงหน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท ทหารปืนใหญ่ยิงสลุต ๙ นัด แล้วมาพักที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
เวลาบ่าย ๕ โมง พระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องเต็มยศอย่างทหารมหาดเล็ก เสด็จออกประทับพระที่นั่งพุดตาลทองคำภายใต้พระมหาเศวตฉัตร พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และหมู่ข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทโดยลำดับตามตำแหน่งถ้วนทุกกระทรวง เจ้าพนักงานประโคมสังข์แตรกลองชนะมะโหระทึกแตรทหารพร้อมกัน ครั้นสุดเสียงประโคมแล้วเจ้าพนักงานกรมวังกรมท่านำมิสเตอร์ ยคบ ตีไชลด์ มินิสเตอร์เรสิเดนส์ ทูตอเมริกัน ๑ มิสเตอร์ เอม. เอ. แมกกัน ไวซ์กงสุลอเมริกัน ๓ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วเจ้าพระยาพิพัฒนโกษาทูลเบิกขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้มิสเตอร์ ยคบ ตีไชลด์ มินิสเตอร์เรสิเดนส์ ทูตอเมริกัน ถวายอักษรสาสน์เปรสิเดนส์ยูไนติลสเตสอเมริกา ซึ่งตั้งให้มิสเตอร์มาเป็นทูตรักษาทางพระราชไมตรี แล้วมิสเตอร์ ยคบ ตีไชลด์ ทูตอ่านแอดเดรสถวาย ครั้นแล้วมีพระราชดำรัสตอบตามธรรมเนียม และทรงพระราชปฏิสันถาร ๓ นัดแล้วเสด็จขึ้น แขกเมืองวันนี้พระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการสวมเสื้อครุยด้วย
เวลาเกือบย่ำค่ำเสด็จพระราชดำเนินทรงพระราชยานแต่หน้าที่นั่งจักรีไปประทับเมรุท้องสนามมุขตะวันตก ทอดพระเนตรในเมรุทั่วแล้วเสด็จไปประทับพลับพลามวยและพลับพลาทรงธรรม เวลาเกือบทุ่มเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง
วันอาทิตย์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาวันนี้ พระสิริสมณติสสะ ให้ทูลพระกรุณาขอพระบรมราชวโรกาสเข้าเฝ้า เวลาบ่าย ๕ โมงเศษเสด็จออกดอริงรูม เจ้านักงานและกรมหมื่นวชิรญาณได้นำพระสิริสมณติสสะเข้าเฝ้า ทรงพระราชปฏิสันถารโดยสมควร แล้วพระสิริสมณะถวายหนังสือฉะบับ ๑ เป็นหนังสือขอพระบรมราชวโรกาส ให้ทรงเป็นศาสนูปถัมภกแด่พระพุทธศาสนาในเมืองลังกา ด้วยพระสงฆ์ในเมืองลังกานั้นแตกเป็น ๓-๔ พวก ถือฝ่ายมรามวงศ์ ๑ อุบาลีวงศ์ ๑ รามัญวงศ์ ๑ ลัทธิที่ถือวินัยปฏิบัติต่างๆ กันไป จึงพระสังฆเถรานุเกระในพวกนั้นๆ ปรึกษากันที่รวบรวมเป็นพวกเดียวกัน แต่บ้านเมืองนั้นผู้ปกครองมิได้ถือพระพุทธศาสนา จะหาผู้เป็นศาสนูปถัมภกโดยยาก จึงเห็นพร้อมกันในหมู่พุทธศาสนิกชนว่า ในโลกนี้ประเทศใดจะมีพระพุทธศาสนาเจริญเหมือนในกรุงสยามก็ไม่มี พระเจ้าแผ่นดินในสกลประเทศทั้งปวงก็มีที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแต่พระเจ้าแผ่นดินสยามพระองค์เดียวเท่านั้น ควรจะขอพระบรมราชวโรกาสให้ทรงเป็นศาสนูปถัมภก พระสิริสมณะและพระสงฆ์อีก ๒ รูปซึ่งเป็นฝ่ายมรามวงศ์ จึงได้อุตสาหะข้ามทะเลเข้ามาในพระราชสำนัก และพระสิริสุมังคละซึ่งเป็นพระมหาเถระในฝ่ายอุบาลีวงศ์ จึงได้แต่งให้พระสงฆ์องค์หนึ่งเข้ามาด้วย พระสิริสมณะได้นำสังฆดำริมาทูลขอให้ทรงเป็นศาสนูปถัมภก เมื่อได้ทรงสดับก็ทรงพระปราโมทย์โสมนัส รับที่จะทรงอุปการะแด่พระสงฆ์ที่ละเข้ามาศึกษาวินัยปฏิบัติตามธรรมยุตติกานิกายในกรุงสยาม และจะทรงอุปการะเกื้อกูลแด่พระสงฆ์เถรานุเถระทั้งปวงในเมืองลังกาด้วย ได้ดำรัสไปแต่กรมหมื่นวชิรญาณ ในการที่จะทรงอุปถัมภกพระพุทธศาสนาในลังกาให้ถาวรเจริญยิ่งขึ้น และพระสิริสมณะก็ได้ขอต่อพระมหาเถรานุเถระในธรรมยุตติกานิกาย เพื่อที่จะศึกษาปฏิบัติตามวินัยนิยมอย่างธรรมยุตติกานิกาย พระมหาเถรานุเถระ มีกรมพระปวเรศ กรมหมื่นวชิรญาณ สมเด็จพระวันรัตน์ สมเด็จพระพุทธโฆษา เป็นสังฆนายก ก็ได้ยินยอมพร้อมกันไปประชุมที่เรืออาษาวดีรส ซึ่งเป็นเรือสเตชั่นโปลิศซึ่งทอดอยู่กลางน้ำ ทำทัฬหิกรรมให้พระสิริสมณะด้วยนทีสีมา ได้รับวินัยปฏิบัติตามธรรมยุตติกานิกายแต่เวลาคืนนี้แล้ว การที่ลังกามาขอวินัยปฏิบัติตามพุทธศาสโนวาทในกรุงสยามครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒ ด้วยเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาโบราณยังดำรงอยู่ ครั้งแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมืองลังกาประเทศเมื่อยังมีกษัตรีย์ปกครองอยู่นั้น ก็ได้มีพระราชสาสน์มาขอพระสงฆ์ผู้รู้ศาสนธรรมออกไปครั้งหนึ่งพระเจ้าแผ่นดินก็ได้โปรดให้อาราธนาพระอุบาลีราชาคณะ กับพระสงฆ์สานุศิษย์นำพุทธศาสโนวาท ออกไปสั่งสอนแพร่หลาย จนปรากฏนามพระสงฆ์พวกนั้นว่าอุบาลีวงศ์มาถึงกาลบัดนี้ ครั้งนี้เมืองลังกามิได้มีพระเจ้าแผ่นดินปกครอง ความปกป้องตกอยู่ในอำนาจคนที่มิได้ถือพุทธศาสนา ๆ จึงมิได้มีความเจริญเหมือนในกรุงสยาม เมื่อได้ทรงทราบความดำริของพระสงฆ์เถรานุเถระและพุทธศาสนิกชนในลังกาประเทศที่ทูลเชื้อเชิญให้ทรงเป็นศาสนูปถัมภก ก็ทรงพระราชศรัทธาปราโมทย์โสมนัส ทรงยินดีที่จะทรงอนุเคราะห์ตามความปรารถนาของพระสงฆ์เถรานุเถระและพุทธศาสนิกชนทั้งปวงโดยสมควร
เสด็จขึ้นจากพระลังกาเฝ้าแล้ว โปรดให้เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน ซึ่งกราบถวายบังคมลาออกไปประเทศยุโรปกลับมาถึงนั้นเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทรงพระราชปฏิสันถารถึงการที่ไปมาโดยควร แล้วเสด็จมาประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระ แล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง
หลวงวิจารณ์อาวุธอ่านบอกพระอร่ามคิรีรักษ์ ปลัดผู้รักษาเมืองกาญจนบุรีว่า หลวงคิรีพิทักษ์ ผู้ช่วย ป่วยโรคชราถึงแก่กรรมส่งเครื่องยศคืนเข้ามา
พระยาจ่าแสนยบดี นำพระยาชัยสงคราม ท้าวพระยาเมืองแพร่ ผู้คุมๆ ต้นไม้ทองเงินลงมานั้น กราบถวายบังคมลากลับเมือง ดำรัสพระราชปฏิสันถารโดยควรแล้วเสด็จขึ้นประทับออฟฟิศ ตรัสกับกรมหลวงเทววงศ์จนเวลาเกือบ ๒ ทุ่ม เสด็จขึ้น
วันจันทร์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๓ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาวันนี้เป็นวันเริ่มงานพระเมรุกรมพระราชวังบวร เป็นวันที่เชิญพระบรมธาตุออกไปสมโภชตามจารีตโบราณประเพณี
เวลาบ่าย เจ้าพนักงานจัดการที่จะแห่ตามธรรมเนียม เชิญพระราเชนทรยานมาตั้งหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท กระบวนแห่มีเครื่องสูง กลองชนะแตรสังข์คู่แห่เทวดา และธงชายธงมังกร ธงเสือปีก ปี่พาทย์ ตั้งกระบวนตรงหน้าประตูพิมานชัยศรี เจ้าพนักงานกรมภูษามาลาเชิญพระเจดีย์ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเมืองลังกา ขึ้นบนพานสองชั้น มีกรอบแก้วตั้งบนราเชนทรยาน คอยเวลาเสด็จพระราชดำเนิน
เวลาบ่าย พระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่ยงเต็มยศอย่างพลเรือน เสด็จออกทางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สมเด็จกรมพระภานุพันธุวงศ์วรเดช นำมิสเตอร์ ออกโตปังเกา ซึ่งขอมาจาก คอเวอนแมนต์เยอรมันให้มาทำการไปรษณีย์กรุงสยามนั้น บัดนี้ครบกำหนดที่กลับ ไปเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายบังคมลากลับไปเมืองเยอรมัน ทรงพระราชปฏิสันถารพอควรแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสสริยยศมงกุฎสยามชั้นที่ ๓ มัณฑนาภรณ์ แล้วเสด็จทรงพระราชยานเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยกระบวนนำกระบวนตาม ไปประทับพระเมรุมุขตะวันออก โปรดให้เดินกระบวนแห่แต่พระบรมมหาราชวังไปตามถนนหน้าป้อมขัณฑ์เขื่อนเพ็ชร ไปเลี้ยวตามถนนสนามไชยเข้าพระเมรุมุขตะวันออก เชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นสถิตบนบุษบก แล้วเกรินขึ้นไปตั้งบนเบ็ญจาตาดภายในพระเมรุทอง ตั้งเครื่องทรงนมัสการทั้ง ๔ ทิศ ครั้นแล้วเจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์ มีกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ กรมหมื่นวชิรญาณ หม่อมเจ้าพระราชาคณะ พระราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อย ๓๐ องค์เข้ามานั่งณอาสน์สงฆ์มุขตะวันออก แล้วทรงประเคนผ้าไตรสลับแพร ๓๐ ไตร พระสงฆ์ออกไปครองผ้าเสร็จแล้วเสด็จทรงจุดเทียนนมัสการ กรมพระปวเรศถวายศีล และกรมพระปวเรศและพระสงฆ์ทั้งปวงเจริญสัตตปริต เวลาย่ำค่ำเศษเสด็จไปประทับพลับพลา ทรงจุดดอกไม้ต่าง ๆ ในเวลาค่ำคืนนี้มีงานรำโคม มังกร หนัง ๔ โรง โขนจับระบำ ๒ โรง หุ่น ๒ โรง ดอกไม้ต่าง ๆ มีระทาใหญ่ ๑๒ ระทา ทรงดอกไม้แล้วเสด็จขึ้นเวลา ๒ ทุ่มเศษ
การพระเมรุครั้งนี้ พระเมรุสูงขาดยอด ๒๘ วาศอกคืบ เสาสูงพ้นดิน ๑๑ วา ๓ ศอก ๒ นิ้ว พระเมรุยอดมณฑป ภายในมีพระเมรุทองสูง ๑๑ วาศอกคืบ ๖ นิ้วขาดยอด ภายในมีเบ็ญจาทำด้วยตาดทองแดง ๓ ชั้น ห้อยเศวตฉัตร ๓ ชั้นภายในพระเมรุทองตรงเบ็ญจาขึ้น มีคดอยู่เมรุใหญ่ ๔ คด ซุ้มกินนร ๘ ซุ้ม มีประตูใหญ่เป็นจตุรมุข ๔ ประตู เมรุสร้างจตุรมุข ๔ สร้าง ภายในขัดเรือกตามธรรมเนียม ภายนอกพระเมรุใหญ่และสร้างเมรุประตูนั้นทาดินแดงเขียนลายรงค์ ภายในปิดกระดาษลายทรงข้าวบิณฑ์ทำในนี้ และมีฉัตรเงินฉัตรทองฉัตรนากล้อมเมรุในสร้างตรงราชวัตรทึบ ภายนอกสร้างมีราชวัตรไม้ไผ่ฉัตรเบ็ญจรงค์ล้อม ที่ประตูเมรุมียักษ์ใหญ่ยืนประตูละคู่ มีพลับพลาทรงธรรมหลังหนึ่ง แต่ยกออกไปไว้ตรงพลับพลาปูนท้องสนาม และมีหลับพลามวยหลังหนึ่งตามเคย ระทาใหญ่ครั้งวัดราชประดิษฐ์ยกมา ๑๒ ระทา โรงรำ ๑๑ โรง โขน ๒ โรง หุ่น ๓ โรง งิ้ว ๑ โรง หนัง ๔ โรง ไม้ต่ำสูงตามธรรมเนียมด้วย
เวลาคืนนี้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการแต่งเต็มยศทั้งนั้น
วันอังคาร ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาเช้า ๕ โมงเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทางพระที่นั่งจักรี ทรงพระราชยานลงยาราชาวดีพร้อมด้วยกระบวนนำและตาม เสด็จแต่หน้าพระที่นั่งจักรีไปประทับพระเมรุมุขตะวันตก ทรงจุดเทียนนมัสการแล้วเสด็จทรงประเคนกรมพระปวเรศ กรมหมื่นวชิรญาณ หม่อมเจ้าพระราชาคณะ พระราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อย ๑๕ รูปรับพระราชทานฉัน แล้วเสด็จไปทรงประเคนมุขตะวันออก หม่อมเจ้าพระพุทธบาท พระราชาคณะรวม ๑๕ รูปรับพระราชทานฉัน ครั้นพระสงฆ์รับพระราชทานฉันแล้ว เสด็จทรงประเคนหมากพลูธูปเทียน พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาอติเรกแล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ ทรงพระราชยานเสด็จเข้าสู่พระบรมมหาราชวัง
เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงพระราชยานเสด็จโดยกระบวนมาประทับเมรุมุขตะวันออก ทรงสักการบูชาพระบรมสารีริกธาตุแล้ว กรมหมื่นวชิรญาณนำพระสิริสมณะและพระสงฆ์ลังกาเข้ามาเฝ้า ด้วยพระสงฆ์ลังกาอยากเห็นทรงเครื่องเต็มยศ แล้วเสด็จพระราชดำเนินทรงพระราชยานออกทางมุขตะวันออก เสด็จประทับพลับพลาพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทรงโปรยผลกัลปพฤกษ์ผลละ ๑ สลึ ๑๖๐ ผล ผลละ ๑ เฟื้อง ๓๒๐ ผล รวมวันนี้ ๔๘๐ ผล เงิน ๑ ชั่ง ผลสลาก ๒๐๐ ผล กับทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ ๘ พุ่ม ต้นละ ๑๐ ตำลึง ๔ ต้น ต้นละ ๕ ตำลึง ๔ ต้น ผลละเฟื้องทั้ง ๘ พุ่ม เกณฑ์พระหลวงในพระบรมมหาราชวังพุ่มละ ๒ นาย ในพระราชวังบวรพุ่มละ ๒ นาย รวมพุ่มละ ๔ นาย ขณะนั้นมีงานการเล่นสิงห์โตญวนหก ไม้ต่ำสูง วันนี้มีการโขน ๒ โรง หุ่น ๒ โรง งิ้วโรง ๑ โรงรำ ๑๑ เวลาย่ำค่ำเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง ไม่ได้ทรงดอกไม้เพราะฝนตก โปรดให้กรมสมเด็จทรงจุดดอกไม้เพลิงต่าง ๆ มีพุ่มรอบเมรุดอกไม้เพลิงต่าง ๆ ระทาใหญ่ ๑๒ ระทา หนัง ๔ โรง รำโคม สิงห์โต มังกรตามธรรมเนียม
เวลายามเศษ ตั้งกระบวนแห่พระบรมสารีริกธาตุแต่พระเมรุแล้ว เจ้าพนักงานตั้งเกรินเชิญบุษบกพระบรมสารีริกธาตุลงมาแล้วเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นพระราเชนทรยานแห่กลับเข้ามาในพระบรมมหาราชวัง มีกระบวนเครื่องสูงกลองชนะคู่แห่แตรสังข์ กระบวนโคมกระดาษต่าง ๆ เป็นอันมาก การเล่นทั้งปวงเป็นเลิกกันเวลาแห่กลับแล้ว
วันนี้พระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์แต่งพระองค์เหมือนเวลาวานนี้ ข้าราชการก็แต่งเหมือนวานนี้ด้วย
วันพุธ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
ไม่มีอันใดเป็นวันว่าง เจ้าพนักงานจัดการที่จะเชิญพระศพกรมพระราชวังบวรออกสู่พระเมรุในเวลาพรุ่งนี้
วันพฤหัสบดี ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาคืนนี้ ๓ ยาม กรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์ได้เสด็จขึ้นไปในวังหน้า เจ้าพนักงานกรมภูษามาลาและกรมอื่นพร้อมกันตามตำแหน่ง พนักงานเชิญพระโกศพระศพกรมพระราชวังบวรแต่พระที่นั่งอิสราวินิจฉัยขึ้นตั้งบนยานมาศสามคาน พระราชทานพระโกศทองน้อยประกับนอก มีเครื่องสูงกลองชนะแตรสังข์คู่แห่ ๆ ออกประตูโอภาสพิมาน ตรงไปออกประตูศักดาพิชัยริมพลับพลา ไปถึงรถสำหรับทรงพระศพซึ่งตั้งอยู่หน้าศาลาใต้สะพานเสี้ยวเป็นที่ตั้งกระบวน แล้วเทียบยานมาศเข้ากับเกริน เชิญพระศพขึ้นเกรินตามบันไดนาคไปถึงแว่นฟ้าบนรถ แล้วเลื่อนพระโกศไปสถิตบนแว่นฟ้า รถที่ทรงพระศพนี้ใช้รถสำหรับพระสงฆ์อ่านอภิธรรมนำพระศพที่ได้ขึ้นมหาพิชัยราชรถนั้น แต่ยกบุษบกเสีย ตั้งแต่แว่นฟ้าอีก ๒ ชั้นเสริมขึ้นไปและมีเศวตฉัตรคันดาน ๗ ชั้นกั้นพระศพ มีพระสงฆ์อ่านอภิธรรมนำพระศพอีกรถหนึ่ง แต่ยกบุษบกเสีย ตั้งยานมาศแทน และมีเศวตฉัตร ๕ ชั้นกั้นด้วย โปรดให้นิมนต์พระพิมลธรรมมาอ่านพระธรรมนำพระศพ และมียานมาศโปรยข้าวตอกและโยงตามธรรมเนียม พระองค์เจ้าชายรัชนีแจ่มจำรัสโปรยข้าวตอก พระองค์เจ้าไชยรัตนวโรภาสโยงพระศพ แต่งพระองค์ตามธรรมเนียม ตั้งกระบวนคอยเวลาเสด็จพระราชดำเนิน
เวลาเช้า ๕ โมงเศษ เสด็จพระราชดำเนินทรงพระราชยานอย่างเวลาวานนี้ เสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนมาประทับพลับพลาเล็กหน้าพระเมรุพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ข้าทูลละอองธุลีพระบาทเฝ้าพร้อมกัน โปรดเกล้าฯ ให้เดินกระบวนมาแต่ทางหน้าพลับพลาสูงวังหน้า มีกระบวนทหารแตรกรมทหารหน้าวง ๑ เดดมาศ ทหารปืนแห่หน้าไพล่หลังเอาปลายหอกลงตามธรรมเนียม แล้วถึงธงชาย ธงเสือปีกและปล่อยรูปสัตว์ต่าง ๆ มีรูปแรดทรงบุษบกเพลิง ๑ แล้วถึงรูปสัตว์ต่างๆ มีบุษบกอังกฤษรองผ้าไตร สัตว์ต่างๆ มาข้างหน้า ๒๐ คู่ คือ ช้างคู่ ๑ ม้าคู่ ๑ สกณไกรสรคู่ ๑ นกเทศคู่ ๑ นกอินทรีคู่ ๑ นกทัณฑมาคู่ ๑ นกการวิกคู่ ๑ เหมราชคู่ ๑ สางแปลงคู่ ๑ กิเลนคู่ ๑ กิเลนจีนคู่ ๑ โตโลคู่ ๑ งายใสคู่ ๑ สิงห์โตจีนคู่ ๑ โคเทพสิงหนัศคู่ ๑ สิงห์คู่ ๑ เกสรสิงห์คู่ ๑ คชสีห์คู่ ๑ กาฬราชสีห์คู่ ๑ ไกรสรราชสีห์คู่ ๑ รูปสัตว์นั้นกั้นสัปทนแดงมีคันชิงไปหน้ารูปละคู่ ๘๐ แล้วถึงธงอีกข้างละ ๕ ธง และถึงเทวดาคู่แห่ ๑๕๐ คู่ กลองชนะ ๔๐ คู่ เดินเป็น ๔ สาย แล้วถึงแตรสังข์และเครื่องสูง สำหรับวังหน้าเป็นเครื่องหักทองขวาง ๓ ชั้น ๘ คู่ ๕ ชั้น ๒ คู่ และถึงเครื่องสูงทองและลวดอีกสำรับ เป็นของวังหลวงพระราชทาน พอถึงพลับพลากระบวนทั้งปวงเดินเลยผ่านไป แต่เทวดาคู่แห่กลองชนะแตรสังข์เครื่องสูงเดินตรงเข้าประตูเมรมุขตะวันออก แต่รถพระพิมลธรรมนำพระศพเลยมาหยุดหน้าพลับพลา รถนั้นคนลาก แต่ในกลางมีม้าเทียม ๖ ม้า ข้างรถมีคู่เคียงพระหลวงในพระราชวังบวร ๑๒ คน แต่งตัวสวมลอมพอกเสื้อครุย รถพระมีฉัตรโหมด ๔ มุม พัดโบกบังสูรย์ กั้นกลดกำมะลอข้าง ๆ ด้วย แล้วถึงเสลี่ยงโยงเสลี่ยงโปรยก็มีคู่เคียงและกั้นกลดกำมะลอเหมือนกัน แต่ไม่มีพัดโบกบังสูรย์ เสลี่ยงโปรยเลี้ยวเข้าในเมรุ แต่เสลี่ยงโยงมาหยุดหน้าพลับพลาต่อรถพระ แล้วถึงรถที่ทรงพระโกศพระศพเดินมา มีคนลากและมีม้าเดินมาในระหว่าง ๘ ม้า มีคู่เคียงพระยาในพระราชวังบวร ๓๒ คน มีพระกลดโหมดเทศ พัดโบกบังสูรย์ บังแซกอินทร์พรหมถือเคียงข้างรถ บนรถมีฉัตรโหมด ๔ คันปักตามมุมมีเทวดาถือ ครั้นรถพระศพเดินมาถึงหน้าประตูเมรุหยุดที่นั้น เจ้าพนักงานปลดภูษาโยงแล้วเลื่อนเสลี่ยงโยงเข้าไปในเมรุ แล้วตั้งบันไดนาคเกรินพระโกศลงมาตั้งบนยานมาศสามคาน พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้าในเมรุ แล้วเดินกระบวนคู่แห่กลองชนะแตรสังข์เครื่องสูงยานมาศ พระพิมลธรรมอ่านหนังสือ ยานมาศโยงโปรยและยานมาศสามคานทรงพระโกศแห่เวียนพระเมรุโดยอุตตราวัฏ หลังยานมาศพระศพมีเครื่องสูงทองแผ่ลวดคู่แห่ และหัวหมื่นนายเวรหุ้มแพรมหาดเล็กเชิญเครื่องและเดินตามพระศพด้วยเป็นอันมาก แต่กระบวนหลังเมื่อเดินพระศพมาตามถนนนั้น มีธงต่าง ๆ และผ้าเหลืองผ้าขาวที่ผูกเป็นดอกไม้และฉัตรย่ามอีกเป็นอันมาก เมื่อเวลากระบวนพระเวียนพระเมรุนั้น พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้าไปประทับเมรุใต้ข้างใน ครั้นเมื่อเดินกระบวนแห่เวียนพระเมรุรอบในโดยอุตตราวัฏถ้วนตติยวารแล้ว เจ้าพนักงานยกสามคานเข้าไปเทียบกับเกรินริมบันไดนาคในมุขพระเมรุมุขตะวันออก เจ้าพนักงานภูษามาลาเลื่อนพระโกศไปบนเกริน แล้วเกรินขึ้นไปตามบันไดนาค ครั้นถึงที่สุดเบ็ญจาแล้ว เลื่อนพระโกศขึ้นไปบนเบ็ญจา แล้วเจ้าพนักงานตั้งเครื่องสูงสำหรับวังหน้า และเครื่องสูงทองแผ่ลวดรอบพระเมรุทอง พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพระเมรุมุขตะวันตก ทรงทอดผ้าไตรสังเค็ดเอก ๑๕ ไตร ไตรสังเค็ดโท ๑๔ ไตร ไตรเปล่าของหลวง ๓๐ ใคร ทำที่วังหน้า ๓๐ ไตร ผ้าเหลืองผูกเป็นดอกไม้ ๔๐๐ สบง จีวร กราบ ๑๗๐ พระพิมลธรรม พระราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อย พระครูเจ้าวัด ๑๕ รูป สดับปกรณ์สังเค็ดเอก แล้วทรงประเคนเครื่องบริกขารหัวทานแด่พระพิมลธรรม แล้วพระครูฐานานุกรมผู้ใหญ่สดับปกรณ์ไตรสังเค็ดโท ๑๔ รูป ฐานานุกรมผู้น้อยสดับปกรณ์ไตรเปล่า ๖๐ รูป พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาอติเรก แล้วโปรดให้ทอดผ้าสบงจีวรกราบพระ ๑๗๐ พระปริตรามัญ ๒๐ รูป พระบิณฑบาตเวร ๑๕๐ รูปสดับปกรณ์ พระสงฆ์กำกับสร้างและพระสวดสดับปกรณ์ผ้าเหลือง ๔๐๐ ผืน แล้วเสด็จทรงพระราชยานกลับพระบรมมหาราชวัง ทรงพระกรุณาโปรดให้มีพระธรรมเทศนากัณฑ์หนึ่งที่พลับพลาทรงธรรม พระธรรมไตรโลกถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์หนึ่ง การมหรสพทั้งปวงมีตามธรรมเนียม
เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จออกตามทางเดิม เสด็จประทับพลับพลามวย ทรงโปรยผลกัลปพฤกษ์และสลากอย่างเช่นวันก่อน พระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ข้าทูลละอองธุลีพระบาท ทรงพระกรุณาโปรดให้ทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ทั้ง ๘ พุ่ม มีการเล่นตามธรรมเนียมอย่างเช่นวันก่อนๆ ครั้นเวลาย่ำค่ำเสด็จกลับพระบรมมหาราชวังด้วยฝนตก ไม่ทรงจุดดอกไม้โปรดให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอทรงจุดดอกไม้
วันนี้พระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องดำ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระเจ้าน้องยาเธอ ทรงฉลองพระองค์ทรงผ้าดำ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ทรงลายพื้นขาว พระวรวงศ์เธอชั้น ทรงขาวล้วน ในเวลาชักพระศพเวลาพระราชทานเพลิงนอกนั้นทรงขาว พระวรวงศ์เธอชั้น ทรงขาวล้วน
ที่พระเมรุนั้น มีพระสงฆ์สวดพระอภิธรรม ๔ สร้างทั้งกลางวันกลางคืน มีกลองชนะ ๔๐ คู่ จ่าปี่จ่ากลองแตรสังข์ประโคมตามเวลา นางร้องไห้แต่เวลาย่ำเที่ยง เวลาย่ำค่ำ เวลาย่ำรุ่ง รวม ๓ เวลา
วันศุกร์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาเช้าไม่ได้เสด็จออก เดิมกำหนดว่าจะเสด็จออก โปรดให้เลื่อนไปเวลาบ่าย
เวลาบ่าย ๕ โมงเสด็จออกทางพระที่นั่งจักรี ทรงพระราชยานลงยาราชาวดีพร้อมด้วยกระบวนนำตาม เสด็จประทับพลับพลามวยพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์เสนาบดีข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายทหารพลเรือนเฝ้าเบื้องบาทบงกชมาศ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ทิ้งทานทุกต้นกัลปพฤกษ์ทั้ง ๔ พุ่ม ทรงโปรยผลกัลปพฤกษ์และผลสลาก พระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์จนเวลาค่ำเสด็จทรงโปรยข้างใน เสด็จออกทรงแจกครอบแก้วมีรูปช้างทองคำในนั้นแก่พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี พระยา พระ ข้าราชการในพระบรมมหาราชวัง พระราชวังบวร แล้วทรงจุดดอกไม้เพลิงต่าง ๆ การวันนี้ก็มีงานมหรสพต่าง ๆ อย่างวันก่อนตามธรรมเนียม เวลาเกือบทุ่มโปรดให้พระองค์ไชยานุชิตไปทอดผ้าสดับปกรณ์ ไตรสังเค็ดเอก ๑๕ ไตร สังเค็ดโท ๑๔ ไตรเปล่า ๖๐ สบงจีวรกราบพระ ๑๗๐ พระพรหมมุนี พระราชาคณะ พระครู ๑๕ รูปสดับปกรณ์ไตรสังเค็ดเอก พระครูและเปรียญ ๑๔ รูปสดับปกรณ์ไตรสังเค็ดโท พระครูฐานานุกรมผู้น้อย ๖๐ รูปสดับปกรณ์ไตรเปล่า พระปริตและพระสงฆ์บิณฑบาตเวร ๑๗๐ รูปสดับปกรณ์จีวรกราบพระ กับโปรดให้กรมหมื่นพรหมไปมีธรรมเทศนาที่พลับพลาทรงธรรม พระเทพโมฬีถวายเทศนากัณฑ์หนึ่ง สดับปกรณ์ผ้าเหลืองวันละ ๔๐๐ ผืน
วันเสาร์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จออกทางพระที่นั่งจักรี ทรงพระราชยานเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยกระบวนนำและตาม เสด็จไปประทับพลับพลามวย พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์เสนาบดีข้าทูลละอองธุลีพระบาท ฝ่ายทหารพลเรือนเฝ้าเบื้องบาทบงกชมาศ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ทั้ง ๘ พุ่ม ทรงโปรยผลกัลปพฤกษ์และสลากพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการอย่างเช่นวันก่อนแล้วเสด็จทรงโปรยข้างใน เวลาเกือบทุ่มเสด็จออกทรงจุดดอกไม้เพลิงต่าง ๆ อย่างวันก่อน และพระราชทานครอบข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยที่ยังไม่ได้รับพระราชทาน อนึ่งการมหรศพมีทั้งกลางวันกลางคืนเหมือนกันก่อน โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอเสด็จไปทอดผ้าไตรสังเค็ดเอก ๑๕ สังเค็ดโท ๑๔ ไตรเปล่า ๖๐ อย่างวันก่อน และมีเทศนาที่พลับพลาทรงธรรมกัณฑ์หนึ่งด้วย เวลาทุ่มเศษเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง ผ้าจีวรสบงกราบพระและผ้าเหลืองเท่ากับเวลาวานนี้
วันอาทิตย์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จออกพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทประทับซิตติงรูม กรมหลวงเทววงศ์ผู้ว่าการต่างประเทศและเจ้าพนักงานกรมวังนำ มิสเตอร์ อี. เอม. กลูด ซึ่งเป็นไวซ์กงสุลอังกฤษเมืองเชียงใหม่ บัดนี้ได้เลื่อนมาเป็นกงสุลอังกฤษที่กรุงเทพ ฯ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และนำมิสเตอร์ ดับยู. อาร์. ดี. แบกเกล์ต ๑ มิสเตอร์ ซี. อี. ดับยู. สตริงเคอร์ ซึ่งเข้ามาเป็นผู้ช่วยราชการในลิเคชันทูตอังกฤษณกรุงเทพ ฯ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทรงพระราชปฏิสันถารโดยสมควร แล้วถวายบังคมลากลับไป
เสด็จออกหน้าพระที่นั่งจักรี ทรงพระราชยานเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยกระบวนนำและตาม เสด็จไปประทับพลับพลาทรงธรรม โปรดให้นิมนต์พระสงฆ์ที่ถวายเทศนาขึ้นไป ทรงจุดเทียนเครื่องทรงธรรม พระศรีสมโพธิถวายเทศนา ครั้นเทศนาจบเสด็จทรงประเคนไตรบริกขารสังเค็ดเอก พระสงฆ์ถวายอติเรกแล้ว เสด็จเข้าไปประทับเมรุมุขเหนือ ทรงทอดผ้าไตรสังเค็ดเอก ๑๕ ไตรสังเค็ดโท ๑๔ ไตรเปล่าของหลวง ๓๐ ทำที่วังหน้า ๓๐ ผ้าสบงจีวรกราบพระ ๑๗๐ ผ้าเลววันละ ๔๐๐ พระธรรมราชานุวัตรกับพระราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อยพระครูเจ้าวัด ๑๕ รูปสดับปกรณ์สังเค็ดเอก พระครูและเปรียญ ๑๔ รูปสดับปกรณ์ไตรสังเค็ดโท พระครูฐานานุกรมผู้น้อย ๖๐ รูปสดับปกรณ์ไตรเปล่า แล้วพระปริตและพระบิณฑบาตเวร ๑๗๐ รูปสดับปกรณ์จีวรสบงกราบพระ แล้วเสด็จออกประทับพลับพลามวย โปรดเกล้า ฯ ให้ทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ทั้ง ๘ พุ่ม ทรงโปรยผลกัลปพฤกษ์ผลสลากพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการอย่างเช่นวันก่อนและเสด็จทรงโปรยข้างในด้วย เวลาเกือบทุ่มเสด็จออกทรงดอกไม้เพลิงต่าง ๆ อย่างวันก่อน และพระราชทานครอบแก่ผู้ที่ยังไม่ได้รับพระราชทาน อนึ่ง การมหรสพก็มีอย่างวันก่อน เวลาทุ่มเศษเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง
วันจันทร์ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาเช้าโปรดเกล้า ฯ ให้กรมหมื่นพรหมวรานุรักษ์เสด็จไปทรงทอดผ้าไตรสดับปกรณ์ที่พระเมรุ ไตรสังเค็ดเอก ๑๕ ไตรสังเค็ดโท ๑๔ ไตรเปล่า ๖๐ จีวรสบงกราบพระ ๑๗๐ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส หม่อมเจ้าพระ พระราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อย พระครูเจ้าอธิการพระเปรียญ และพระสิริสมณะ ๑๕ องค์สดับปกรณ์ ไตรสังเค็ดเอก พระครูฐานาผู้ใหญ่ผู้น้อยเปรียญ และพระสงฆ์เมืองลังกาอีก ๓ องค์ รวม ๑๔ รูปสดับปกรณ์ไตรสังเค็ดโท พระครูฐานานุกรมผู้น้อย ๒๐ รูปสดับปกรณ์ไตรเปล่า พระพิธีธรรม พระบิณฑบาตเวร ๑๗๐ รูปสดับปกรณ์จีวรสบงกราบพระ และมีพระธรรมเทศนาที่พระที่นั่งทรงธรรม พระอมรโมฬีถวายเทศนากัณฑ์หนึ่ง ผ้าเลวสดับปกรณ์ ๔๐๐
เวลาเที่ยงแล้วเจ้าพนักงานตั้งเกรินทางมุขตะวันออก แล้วเชิญพระโกศเกรินลงมาตามบันไดนาค เปลื้องพระโกศทองน้อยประกับนอก เชิญโกศลองที่ทรงพระศพไปทางมุขเหนือไปออกรักแร้ตะวันตกเฉียงเหนือ ชำระพระศพที่มุขนั้นมีฐานเฉียงปักเสาตั้งเพดาน มีระบายแล้วตั้งแว่นฟ้าในนั้น เชิญพระโกศตั้งบนแว่นฟ้าอีกที่หนึ่งแล้วจึงได้ชำระพระศพ รักแร้เมรุที่ชำระพระศพนั้นกั้นฉากเทวดาเดินด้วย
เจ้าพนักงานรื้อเบ็ญจาออกและเปลี่ยนเพดานเมรุทองเป็นพลับพลึง มีลายดาวเครื่องสดห้อย ฉัตรลอยดอกไม้สด ๗ ชั้น ฐานเผานั้นเป็นสองชั้นลายอังกฤษ เจ้าพนักงานได้ตั้งพร้อมกับเบ็ญจา แล้วกรมสนมพลเรือนปักตารางเหล็กเสาปิดทองคำเปลว หลังคาตารางเป็นยอดกลุ่ม ๆ เหมือนเมรุ มีดอกไม้สดประกับเครื่องสดเป็นลวดลายต่าง ๆ และมีม่านดอกไม้สด ห้อยพองดอกไม้สดรอบไปทั้งตาราง มีฉัตรดอกไม้สดปัก ๔ มุมฐาน
ครั้นชำระพระศพและสดับปกรณ์ปากโกศเสร็จแล้ว เชิญพระโกศลองขึ้นตั้งบนตารางรอเวลาเสด็จพระราชดำเนิน
เวลาย่ำค่ำ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทรงพระราชยานพร้อมด้วยกระบวนนำและตาม เสด็จพระราชดำเนินไปประทับพระเมรุมุขตะวันออก ขณะนั้นราชทูตกงสุลเยเนอราลผู้แทนคอเวอร์แมนต์ต่างประเทศประชุมอยู่ที่นั่นพร้อมกัน ทรงพระราชปฏิสันถารโดยควรแล้วเสด็จเข้าไปในมุขตะวันออก ทรงจุดธูปเทียนและดอกไม้จันทน์เครื่องขมาศพ เสด็จขึ้นไปพระราชทานเพลิงพระศพกรมพระราชวังบวร ขณะนั้นเจ้าพนักงานประโคมสังข์แตรกลองชนะ นางร้องไห้ก็ร้องพร้อมกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับลงมาแล้ว พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าฝ่ายในและในพระบรมมหาราชวังและพระราชวังบวร และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยในพระบรมมหาราชวังและข้าราชการในพระราชวังบวร ขึ้นไปถวายพระเพลิงพร้อมกัน พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพลับพลามวยทรงโปรยผลกัลปพฤกษ์ผลสลาก พระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์เสนาบดีข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนผู้ใหญ่ผู้น้อย และโปรดให้ทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ทั้ง ๘ พุ่ม มีการมหรสพอย่างวันก่อน เวลาทุ่มเศษ ทรงจุดดอกไม้เพลิงต่าง ๆ อย่างวันก่อน แล้วเสด็จประทับ ทรงแจกครอบแก่ผู้ที่ยังไม่ได้รับพระราชทาน เวลาเกือบ ๒ ทุ่มเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง
วันอังคาร ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาเช้ารุ่งแล้ว เจ้าพนักงานดับเพลิงเก็บพระอัฐิ และแปรพระรูปตามธรรมเนียมโบราณ คอยเสด็จพระราชดำเนิน
เวลาเช้า ๓ โมงเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทางพระที่นั่งจักรี ทรงพระราชยานไปประทับเมรุมุขเหนือ โปรดให้เดินกระบวน ๓ หาบ ของหลวง ๓ สำรับ ของในวังหน้า ๓ สำรับ ของหลวงนั้น พระพรหมพิบาลบุตรพระยาไพบูลย์สมบัติ ๑ พระรักษาเทพ ๑ จ่าแกว่นประกวดงาน ๑ สองคนนี้บุตรพระยาบริรักษ์ราชา เป็นผู้หาบของ ในวังหน้านั้นนายสุริยาวุธบุตรพระยาไพบูลย์ ๑ นายนรินทร์ธิเบศรบุตรพระยาบริรักษ์ ๑ หลวงรัตนทิพ บุตรพระยาวิสูตรโกษา (อิน) ๑ เดินโดยอุตตราวัฏถ้วน ๓ รอบ แล้วทรงทอดไตร ๓ หาบของหลวง ๓ ไตร พระญาณวิริยะ พระมงคลเทพมุนี พระปัญญาคัมภีร์เถระ สดับปกรณ์บนพระรูปอังคารบนฐาน แล้วโปรดเกล้า ฯ ให้กรมหมื่นสถิตธำรงสวัสดิ์ พระองค์เจ้าจันทร์ พระองค์เจ้าวิไลวรวิลาส ทอดไตร ๓ หาบของวังหน้าองค์ละไตร พระธรรมถาวร พระธรรมธราจารย์ พระธรรมสมาจารย์ สดับปกรณ์แล้วทรงเก็บพระอัฐิ ทรงเก็บแล้วโปรดให้กรมหมื่นสถิตธำรงสวัสดิ์ พระองค์เจ้าจันทร์ และโอรสของกรมพระราชวังบวร และพวกหม่อมห้ามที่มีพระองค์เจ้าและที่ไม่มีนั้นขึ้นไปเก็บพระอัฐิ แล้วเจ้าพนักงานเชิญพระอัฐิลงพระโกศทองคำลงยามียอดเป็นฉัตรเล็ก ๆ ๗ ชั้น ยกมาตั้งบนพานทองคำ ๒ ชั้นวางบนโต๊ะไม้ที่มุขตะวันออก ทรงประเคนพระสงฆ์ ๖ รูปที่ชักไตร ๓ หาบรับพระราชทานฉัน สำรับหลวงและสำรับ ๓ หาบ ครั้นพระสงฆ์ฉันแล้วถวายอนุโมทนาอติเรกแล้วกลับไป ทรงทอดผ้าไตรสังเค็ดเอก ๑๕ ผ้าไตรสังเค็ดโท ๑๔ ไตรเปล่า ๖๐ ผ้าจีวรสบงกราบพระ ๑๗๐ พระราชาคณะพระครูเจ้าวัดเปรียญ ๑๕ รูป สดับปกรณ์ไตรสังเค็ดเอก พระครูฐานาผู้ใหญ่เปรียญ ๑๔ รูปสดับปกรณ์ไตรสังเค็ดโท พระครูฐานานุกรมผู้น้อย ๖๐ รูปสดับปกรณ์ไตรเปล่า พระสงฆ์บิณฑบาตเวรพระพิธีธรรมรวม ๑๗๐ รูป สดับปกรณ์จีวรสบงกราบพระ เสด็จพระราชดำเนินทรงพระราชยานกลับพระบรมมหาราชวัง โปรดให้มีเทศนาที่พระที่นั่งทรงธรรม พระอริยมุนีถวายเทศนากัณฑ์หนึ่ง
เจ้าพนักงานเชิญพระอังคารห่อตั้งบนพานแว่นฟ้ามีคลุมออกทางพระเมรุด้านตะวันตกเชิญขึ้นยานมาศสามคาน มีคู่แห่แตรสังข์กลองชนะเครื่องสูง ธงต่าง ๆ แห่ไปทางท่าพระ เชิญพานพระอังคารไปลงเรือไชยเขียนทองเชิญตั้งบนบุษบก มีเรือศรีเขียนทองม่านทองหลังคาดาดสีใส่น้ำหอมลำหนึ่ง เรือกัญญาม่านทองหม่อมห้ามลงตาม ๒ ลำ เรือดั้งกลองชนะลง ๕ คู่แห่ไปตามลำน้ำถึงวัดยานนาวา ลอยพระอังคารที่กลางน้ำแล้วกลับขึ้นมา เจ้าพนักงานตั้งเบ็ญจาในเมรุทองแล้วตั้งเกริน และยกบุษบกขึ้นตั้งบนเกริน เชิญพานโกศพระอัฐิขึ้นตั้งบนบุษบกเกรินขึ้นไปตั้งบนเบ็ญจา ตั้งเครื่องสูงและเครื่องต่าง ๆ ตามธรรมเนียม
เวลาบ่ายย่ำค่ำ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพลับพลามวยพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทรงโปรยผลกัลปพฤกษ์ผลสลากพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ และโปรดเกล้า ฯ ให้ทิ้งทานทุกต้นกัลปพฤกษ์ทั้ง ๘ พุ่ม มีการมหรสพอย่างวันก่อน ๆ ทุ่มเศษทรงจุดดอกไม้เพลิงต่าง ๆ และทรงแจกครอบ เวลา ๒ ทุ่มเศษ เสด็จกลับเข้าพระบรมมหาราชวัง
อนึ่ง ตั้งแต่วันชักพระศพมา โปรดให้มีเทศนาที่ที่พักพระองค์เจ้าข้างในวังหน้าวันละกัณฑ์ทั้ง ๖ วัน พระราชทานสังเค็ดโทเป็นเครื่องกัณฑ์
วันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาเที่ยง กรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์ โปรดให้เจ้าพนักงานทั้งปวงตามตำแหน่งตั้งกระบวนและจัดการที่จะเชิญพระอัฐิกลับตามธรรมเนียม และตั้งเกรินเชิญบุษบกทรงพระโกศพระอัฐิลงมาแล้ว เชิญพระโกศพระอัฐินยานมาศ คงมีพระยาข้าราชการในพระราชวังบวรเป็นคู่เคียง มีเครื่องสูงบังแซกพัดโบกบังสูรย์กั้นพระกลด มีเทวดาคู่แห่กลองชนะแตรสังข์ ธงมังกรธงชายต่าง ๆ แห่แต่เมรุมุขตะวันออกไปเลี้ยวลงถนนข้างพระเมรุระหว่างวังหน้า ไปเข้าประตูวังหน้ามุมวัดมหาธาตุ ไปเลี้ยวเข้าประตูหน้าเสาธงตรงไปเข้าพระที่นั่งอิสราวินิจฉัย เชิญพระอัฐิเข้าไปข้างในเชิญขึ้นไว้บนพระที่นั่งอิสเรศรังสรรค์ เป็นเสร็จการพระเมรุกรมพระราชวังบวร
ในการพระศพครั้งนี้พระราชทานเงินไปจัดซื้อเครื่องสังเค็ดและเย็บย้อมผ้าไตร ไตรสังเค็ดเอก ๑๐๐ แบ่งเป็นกัณฑ์เทศนาที่พลับพลาทรงธรรมวันละ ๑ กัณฑ์ ๖ วัน สดับปกรณ์วันละ ๑๕ สังเค็ด เหลือ ๔ สังเค็ด สังเค็ดโท ๑๐๐ สังเค็ด แบ่งเป็นเครื่องกัณฑ์เทศนาที่ที่พักพระองค์เจ้าข้างในวังหน้าวันละกัณฑ์ ๖ วัน ๖ สังเค็ด สดับปกรณ์วันละ ๑๔ สังเค็ด เหลือ ๑๐ ไตรเปล่าของหลวงสำหรับแผ่นดิน วันละ ๓๐ ไตร ๑๘๐ ไตร ของทำในวังหน้ารายเงินที่พระราชทานจ่ายไป ๓๐๐ ไตร วันละ ๓๐ ไตร รวมไตรเปล่าวันละ ๖๐ ไตร เหลือไตรเปล่า ๑๒๐ ไตร สามหาบของหลวง ๓ ของทำที่วังหน้า ๓ รวม ๖ ผ้าดอกไม้ ๒,๖๐๐ วันละ ๔๐๐ เหลือ ๒๐๐ ผ้าจีวรสบงกราบพระ ย่ามลายวิลาสพระราชทานพระบินฑบาตเวร เวรละ ๑๕๐ จีวรสบงกราบพระพระราชทานพระปริตพระพิธีธรรม วันละ ๒๐ รวม ๑,๑๗๐ ย่ามเหลือ ๓๐ ของเหลือนั้นยกไปการทำบุญ ๗ วัน
วันพฤหัสบดี แรม ๑ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
วันนี้หล่อเทียนพรรษา แต่ไม่ได้เสด็จออก โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอมาทรงหล่อ
วันศุกร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาคืนนี้ ๓ ยามเศษ เจ้าพนักงานได้เชิญพระโกศพระศพพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ กรมขุนภูวไนยนฤเบนทราธิบาลแต่ท้องพระโรงมาขึ้นยานมาศ ๓ คานที่วัง แล้วประทับพระโกศกุดั่นใหญ่ชั้นนอกแห่มาแต่วัง มีเครื่องสูงแตรสังข์กลองชนะจ่าปี่จ่ากลองประโคมมาตั้งกระบวนที่หน้าป้อมสิงขรขัณฑ์
ครั้นเวลาเช้า ๕ โมงเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินออกทางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทรงพระราชยานเสด็จโดยกระบวนนำและตาม เสด็จเข้าเมรุท้องสนามหลวงด้านตะวันออก เสด็จประทับมุขตะวันออก โปรดให้เดินกระบวนแห่พระศพมีธงชายมังกรธงเสือปีก และสังเค็ดยอดรองผ้าไตร เทวดาคู่แห่กลอง/*ชนะแตรสังข์จ่าปี่จ่ากลองเครื่องสูงสำรับหนึ่ง แห่มาโดยลำดับ แล้วถึงเสลี่ยงกงพระธรรมวโรดมอ่านพระอภิธรรมนำหน้าพระศพและเสลี่ยงโยงและโปรยข้าวตอก หม่อมเจ้าทัศวรรณเป็นผู้โปรย หม่อมเจ้าธัญญวงศ์โยง เสลี่ยงพระและโยงโปรยนั้นมีคู่เคียงเดินข้างและกั้นกลดกำมะลอมีพัดโบกด้วย แล้วถึงยานมาศสามลำคานทรงพระโกศพระศพ มีคู่เคียงอินทร์พรหมถือบังแซกและกั้นพระกลดบังสูรย์พัดโบกตามธรรมเนียม กระบวนหลังมีเครื่องสูงสำรับ ๑ ธงต่าง ๆ เป็นอันมาก ครั้นกระบวนถึงหน้าเมรุมุขตะวันออก กระบวนทั้งปวงเดินเลยไป แต่คู่แห่แตรสังข์กลองชนะเครื่องสูงเสลี่ยงพระและโยงโปรยและยานมาศสามคานพระศพนั้นเลี้ยวเข้าพระเมรุมุขตะวันออก แล้วแห่เวียนพระเมรุโดยอุตตราวัฏตติยวาร เจ้าพนักงานตั้งเกรินบันไดนาคมุขเหนือ ครั้นเวียนครบแล้วยกพระโกศไปตั้งบนเกริน แล้วประกับพระโกศกุดั่นชั้นนอก แล้วเดินเกรินขึ้นไปตามบันไดนาค เลื่อนพระโกศไปตั้งบนเบ็ญจาภายในเมรุทอง แล้วตั้งเครื่องตามธรรมเนียม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปมุขตะวันตก ทรงทอดผ้าไตรสังเค็ด ๑ ไตรกัณฑ์เทศน์ ๑ ไตรเปล่า ๑๕ ไตร พระธรรมวโรดม พระญาณสมโพธิ พระราชาคณะฐานานุกรมเปรียญ ๑๗ รูปสดับปกรณ์ ทรงประเคนเครื่องสังเค็ดแต่พระธรรมวโรดม พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาอติเรก โปรดให้กรมขุนนริศรานุวัตติวงศ์ไปมีเทศนาที่หน้าพระที่นั่งทรงธรรม พระญาณสมโพธิถวายเทศนากัณฑ์ ๑ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง มีสดับปกรณ์ผ้าดอกไม้อีก ๒๐๐
เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จออกทางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทรงพระราชยานเสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยกระบวนนำและตาม เสด็จพระราชดำเนินประทับพลับพลามวย ทรงโปรยผลกัลปพฤกษ์ ผลสลากพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือน และโปรดเกล้า ฯ ให้ทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ทั้ง ๘ พุ่ม ๆ ละ ๕ ตำลึง ครั้นเวลาค่ำทรงจุดดอกไม้เพลิงต่าง ๆ ตามธรรมเนียม เวลาเกือบ ๒ ทุ่ม เสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง
การมหรสพ กลางวันมีโขน ๒ โรง หุ่น ๒ โรง งิ้ว ๑ โรง ญวนหกไม้ต่ำสูง ๑ โรง โรงรำมีมอญรำ ๑ โรง กลางคืนมีรำกะถาง สิงห์โต มังกร หนัง ๔ โรง
วันเสาร์ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ โปรดให้กรมขุนนริศรานุวัตติวงศ์เสด็จไปสดับปกรณ์ และมีพระธรรมเทศนาเหมือนเวลาวานนี้
เวลาย่ำค่ำ เสด็จพระราชดำเนินออกประทับพลับพลามวย ทรงโปรยผลกัลปพฤกษ์ และโปรดให้ทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ทั้ง ๘ พุ่ม แล้วเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง ไม่ได้ทรงดอกไม้เพราะฝนตก และมีการมหรสพทั้งกลางวันกลางคืนอย่างวันก่อน
วันอาทิตย์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาเที่ยง เจ้าพนักงานตั้งบันไดนาคขึ้นไปที่พระเบ็ญจามุขเหนือ แล้วเชิญพระโกศพระศพกรมขุนภูวไนยนฤเบนทราธิบาลลง แล้วยกไปที่รักแร้พระเมรุข้างมุขตะวันตกเฉียงเหนือชำระพระศพและริ้วพระเบ็ญจา ตั้งฐานเผาปักตารางประกอบหยวกตามธรรมเนียม เวลาบ่ายเจ้าพนักงานเชิญพระโกศลองในพระศพขึ้นบนตาราง
เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ โปรดให้กรมขุนนริศราเสด็จไปทรงมีธรรมเทศนาและสดับปกรณ์อย่างวันก่อน
เวลาย่ำค่ำ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินออกทางพระที่นั่งจักรี ทรงพระราชยานเสด็จโดยขะบวนไปประทับพระเมรมุขตะวันออก ทรงจุดธูปเทียนเครื่องขมาพระศพ เสด็จขึ้นพระราชทานเพลิงพระศพ แล้วพระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายในขึ้นถวายพระเพลิงภายหลัง ขณะนั้นเจ้าพนักงานประโคมสังข์แตรกลองชนะตามธรรมเนียม พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพลับพลาทรงโปรยพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการอย่างเช่นวันก่อน และโปรดให้ทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ทั้ง ๘ พุ่ม เวลาค่ำ ทรงดอกไม้เพลิงต่าง ๆ ตามธรรมเนียม เวลาเกือบ ๒ ทุ่มเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง
การมหรสพมีตามธรรมเนียมอย่างเช่นวันก่อน ๆ
วันจันทร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาเช้า เจ้าพนักงานดับเพลิงที่สุมพระอัฐิกรมขุนภูวไนยแล้วแปลงพระรูปตามโบราณวิสัย คอยเวลาเสด็จพระราชดำเนิน
เวลาเช้า ๓ โมง พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพระเมรุตามทางที่เสด็จทุกวันมา เสด็จประทับพระเมรมุขตะวันออก ให้เดินกระบวน ๓ หาบ ของหลวง ๓ สำรับ ของเจ้าภาพ ๓ สำรับ โดยอุตตราวัฏตติยวาร แล้วทรงทอดผ้าไตร ๓ หาบของหลวง พระราชาคณะ ๓ องค์สดับปกรณ์ และโปรดให้หม่อมเจ้าวัชรินทร์ หม่อมเจ้าหญิงใหญ่ หม่อมเจ้าเทโภทอดไตร ๓ หาบของเจ้าภาพ พระราชาคณะ ๓ องค์สดับปกรณ์ แล้วพระสงฆ์ทั้ง ๖ องค์มารับพระราชทานฉันมุขตะวันออก โปรดให้หม่อมเจ้าในกรมขุนภูวไนยเก็บพระอัฐิแล้ว เจ้าพนักงานเก็บพระอังคารห่อตามธรรมเนียม เจ้าพนักงานเก็บพระอัฐิเชิญลงพระโกศกาไหล่ทอง เจ้าพนักงานตั้งแว่นฟ้าบนพระเมรุทอง ๒ ชั้น ตั้งบุษบกเชิญพระอัฐิขึ้นตั้งบนนั้น พระสงฆ์ที่รับพระราชทานฉัน ๓ หาบ ฉันแล้วถวายยถาอนุโมทนาอติเรกแล้วกลับไป ทรงทอดผ้าไตรสดับปกรณ์อีก ๕ ไตร ผ้าขาว ๒๐ พับ พระราชาคณะฐานานุกรม ๒๕ รูปสดับปกรณ์ เสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง เจ้าพนักงานเชิญพระอังคารขึ้นยานมาศ ๓ คาน มีคู่แห่แตรสังข์กลองชนะเครื่องสูงแห่ไปลงท่าพระ เชิญขึ้นตั้งบนบุษบกเรือไชย มีเรือน้ำหอมเรือดั้งกลองชนะ แห่ไปลอยหน้าวัดยานนาวาตามธรรมเนียม
เวลาบ่าย เจ้าพนักงานเชิญพระโกศพระอัฐิกรมขุนภูวไนยขึ้นเสลี่ยงกงมีเครื่องสูงกลองชนะแตรสังข์คู่แห่และคู่เคียง แห่ไปส่งที่วังตามธรรมเนียม เป็นเสร็จการพระศพกรมขุนภูวไนย
อนึ่งในงานนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องขาวล้วน ๒ เวลา คือเวลาชักพระศพ เวลาพระราชทานเพลิง นอกนั้นทรงพระภูษาขาวลาย พระเจ้าบรมวงศ์เธอและพระเจ้าราชวรวงศ์เธอที่แก่พระชนม์พรรษากว่าทรงเครื่องดำ ที่อ่อนกว่าและสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอทรงขาวล้วน ๒ เวลาเหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าน้องยาเธอและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระเจ้าลูกเธอและพระองค์เจ้าวังหน้าทรงขาวทั้ง ๓ วัน
วันอังคาร แรม ๖ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระ แล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง
หลวงจินดารักษ์อ่านบอกพระพิทักษ์เทพธานี พระนำคดีจีนกรุงเก่าฉะบับ ๑ ว่าหลวงวารินทร์เวสสันตรบาลปลัดจีนป่วยเป็นไข้ถึงแก่กรรม ยังไม่กำหนดปลงศพ
หลวงวิจารณ์อาวุธอ่านบอกพระนรินทร์ราชเสนี จ่าห้าวยุทธการ ว่าด้วยชำระผู้ร้ายในแขวงเมืองราชบุรี ได้ตัวรับเป็นสัตย์ ผู้ร้ายปล้น ๒ ราย ฆ่ากันตาย ๗ ราย ผู้ร้าย ๒๖ คน ให้หลวงเทพราชแสนยากับกรมการเมืองราชบุรีคุมเข้ามาส่งครั้งหนึ่งก่อน ยังชำระต่อไป
พระยาพิพัฒนโกษาอ่านบอกพระยาพิชัยบุรินทรา จมื่นสมุหพิมาน ข้าหลวง พระยาราชพงศานุรักษ์ เจ้าเมืองกรมการเมืองสมุทรสงคราม ว่าได้พร้อมกันสืบจับผู้ร้ายที่ปล้นและฆ่าราษฎรได้ตัวบ้างแล้ว เอาตัวอ้ายผู้ร้ายที่จับได้มาถามรับเป็นสัตย์ ซัดถึงอ้ายมีชื่อชาวบ้านแหลมเมืองเพ็ชรบุรี ได้มีสูตรนารายณ์ไปเอาตัวด้วยแล้ว
เสด็จขึ้นประทับออฟฟิศตรัสกับกรมหลวงเทววงศ์จนเวลาเกือบ ๒ ทุ่ม เสด็จขึ้น
วันพุธ แรม ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาค่ำ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง
หลวงจินดารักษ์อ่านบอกหลวงพิษณุเทพ ข้าหลวง พระยาวิเศษฤาไชย กรมการเมืองฉะเชิงเทรา ว่าได้เกาะตัวพระวิชิตสงครามกองส่วยเร่วมาถามตามคำซัดอ้ายดม หลวงสุวรรณ ผู้ร้าย พระวิชิตรับสารภาพว่าได้ซื้อกระบือมาจากอ้ายดม หลวงสุวรรณ กระบือผู้ ๑๓ นางกระบือ ๒ ๑๕ กระบือ อ้ายดมบอกว่าไม่ใช่ของผู้ร้าย จึงให้กรมการทำหนังสือพิมพ์รูปพรรณ แล้วกลับมาขาย ๕ กระบือ ตาย ๓ กระบือ ผู้ร้ายลัก ๗ กระบือ พระวิชิตส่งไม่ได้ จะขอใช้เงินตามราคา ได้เอาตัวจำไว้แล้ว แต่อ้ายเดอะ อ้ายติม ที่ต้องซัดอีก ๒ คนนั้นเป็นบ่าวพระกัมพุชภักดี พระวิชิตสงคราม ๆ ขอผัดส่งตัว ยังหาได้ตัวไม่
วันนี้พระยาศรีสิงหเทพ ซึ่งขึ้นไปจัดราชการทัพ ณ เมืองพิชัย เมืองพิษณุโลก เมืองนครหลวงพระบาง กลับลงมาเข้ามาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ดำรัสถามถึงราชการและอื่นๆ และทรงสรรเสริญพระยาศรีสิงหเทพ และโปรดเกล้า ฯ สั่งให้เจ้าพนักงานคลังเอาพานทองมาตั้ง พระราชทานเป็นรางวัลพระยาศรีสิงหเทพในวันหลังต่อไป และพระราชทานเหรียญดุษดีมาลาเงินแจะเข็มศิลปวิทยาแก่ขุนโอวาทวรกิจ แก่น ครูสอนหนังสือใหญ่ในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ แล้วเสด็จขึ้นประทับ ตรัสกับกรมหลวงเทววงศ์ครู่หนึ่ง เสด็จขึ้นข้างใน
วันพฤหัสบดี แรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
ไม่มีอะไร ไม่ได้เสด็จออกขุนนาง
วันศุกร์ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
ไม่ได้เสด็จออกขุนนาง ไม่ทรงสบายด้วย
วันเสาร์ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาคืนนี้ ๓ ยาม เจ้าพนักงานได้เชิญพระโกศทรงพระศพพระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้ามัณยาภากร แต่ท้องพระโรงวังพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นอดิศรอุดมเดช มาขึ้นยานมาศสามลำคานที่หน้าวัง พระราชทานพระโกศกุดั่นใหญ่ประกับนอก แล้วแห่มาพักไว้ที่หน้าป้อมสิงขรขันธ์ คอยเวลาเสด็จพระราชดำเนิน
ครั้นเวลาเช้า ๕ โมงเศษ โปรดให้กรมสมเด็จพระจัดการแห่พระศพ กระบวนแห่มีธงชายธงมังกรธงตะขาบกลองมะลายูและสังเค็ดยอดครองผ้าไตร และเทวดาคู่แห่กลองชนะ แตรสังข์ เครื่องสูงและยานมาศ พระพรหมมุนีอ่านพระอภิธรรมนำพระศพ เสลี่ยงหม่อมเจ้าปฏิพัทธเกษมศรีโปรยข้าวตอก เสลี่ยงหม่อมเจ้าอนุชาติสุขสวัสดิ์โยงแล้วเอายานมาศสามคานทรงพระศพ ยานมาศนั้นมีอินทร์พรหมถือบังแซกและขุนศาลเป็นคู่เคียงพัดโบก กั้นกลดกำมะลอ เสลี่ยงโยงโปรยมีแต่คู่เคียงขุนศาลและกั้นกลดกำมะลอ ยานมาศพระศพนั้นพระหัวหน้าตุลาการ พระผู้ใหญ่ในกรมต่าง ๆ เป็นคู่เคียงกั้นกลดกำมะลอ พัดโบกบังสูรย์ อินทร์พรหมถือบังแซกห้อมล้อม กระบวนหลังมีเครื่องสูงสำรับหนึ่ง คู่แห่และธงมังกร ธงตะขาบตามธรรมเนียม ครั้นกระบวนมาถึงหน้าเมรุ กระบวนอื่น ๆ เลยไป เทวดาคู่แห่กลองชนะแตรสังข์เครื่องสูงเสลี่ยงพระและโยงโปรยยานมาศพระศพเลี้ยวเข้าประตูพระเมรุด้านตะวันออก เดินกระบวนเวียนพระเมรุโดยอุตตราวัฏถ้วน ๓ รอบตามโบราณประเพณี แล้วเจ้าพนักงานรื้อพระโกศกุดั่นประกับนอกเชิญลองในมุขเหนือตั้งบนเกรินซึ่งตั้งไว้ในพระเมรุมุขเหนือ ประทับพระโกศกุดั่นแล้ว เกรินพระศพขึ้นไปตามบันไดนาค เลื่อนพระโกศสถิตเหนือเบ็ญจาภายในพระเมรุทอง เป็นเสร็จการเชิญพระศพมาเข้าพระเมรุ ขณะเมื่อเชิญพระศพแห่มานั้น มีการมหรสพโขน หุ่น งิ้ว มอญรำ ญวนหกไม้ต่ำสูงตามธรรมเนียม
เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จออกพระเมรุตามทางเดิม ประทับในพระเมรมุขตะวันออก ทรงทอดผ้าไตร ๑๑ ไตร พระพรหมมุนี พระราชาคณะฐานานุกรม ๑๑ รูปสดับปกรณ์ แล้วทรงประเคนสังเค็ดต่าง ๆ เป็นหัวทานแต่พระพรหมมุนี พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา โปรดให้สดับปกรณ์ผ้าเลว ๒๐๐ ผืน มีเทศนาที่พระที่นั่งทรงธรรมกัณฑ์หนึ่ง เสด็จออกประทับพลับพลามวย ทรงโปรยผลกัลปพฤกษ์ของหลวงและของสลาก พระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ข้าทูลละอองธุลีพระบาท และโปรดให้ทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ทั้ง ๘ พุ่มของหลวง ทรงโปรยผลละเฟื้อง ๓๐ ตำลึง ผลสลึง ๑๐ ตำลึง รวมเป็นวันละ ๑ ชั่ง ต้นกัลปพฤกษ์ ๘ พุ่มๆ ละ ๕ ตำลึง รวมเป็นวันละ ๒ ชั่ง เวลาค่ำทรงจุดดอกไม้ มีดอกไม้ต่าง ๆ ตามธรรมเนียม เวลาทุ่มเศษเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง
การมหรสพมีโขน ๒ โรง หุ่น ๒ โรง งิ้วโรง ๑ มอญรำโรง ๑ ญวนหกไม้ต่ำสูง หนัง ๔ โรง สิงห์โต มังกร รำโคม ดอกไม้เพลิงต่าง ๆ ตามธรรมเนียม
วันอาทิตย์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จออกประทับพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ห้องดอริงรูม กรมหมื่นวชิรญาณนำพระสิริสมณติสสเถระ กับพระสงฆ์ชาวลังกาอีก ๓ รูป สามเณรลังกา ๑ เข้าเฝ้าถวายพระพรลากลับไปเมืองลังกา พระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชปฏิสันถารโดยสมควรแล้วถวายบังคมลากลับออกไป เสด็จพระราชดำเนินทรงพระราชยาน เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยกระบวนนำและตาม เสด็จไปประทับพลับพลามวย โปรดให้มีสดับปกรณ์ผ้าไตรสังเค็ดหัวทาน ๑ ไตรเปล่า ๑๐ ผ้าเลว ๒๐๐ และมีพระธรรมเทศนาที่พระที่นั่งทรงธรรมกัณฑ์หนึ่ง ทรงโปรยผลกัลปพฤกษ์ของหลวงผลสลากของเจ้าภาพพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ และโปรดให้ทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ทั้ง ๘ พุ่ม เวลาค่ำวันนี้โปรดให้มีหนัง ธรณีไหว หรือ พระนครไหว เป็นหนังครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ตั้งจอหน้าพลับพลา หนังเบิกโรงเรื่องบ้องตันแทงเสือ แล้วทรงดอกไม้เพลิงตามธรรมเนียม เวลายามเศษเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง การมหรสพมีตามธรรมเนียม
วันจันทร์ แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาบ่ายโมงเศษ เจ้าพนักงานได้เชิญพระโกศพระศพพระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้ามัณยาภากร จากพระเบ็ญจาเกรินลงมาตามบันไดนาค เปลื้องพระโกศกุดั่นประกับนอกออกแล้วเชิญพระโกศลองในซึ่งทรงพระศพ เข้าไปในฉากข้างรักแร้เมรุตะวันตกเฉียงเหนือ /*แล้วชำระพระศพตามธรรมเนียม เจ้าพนักงานรื้อพระเบญจาตั้งตารางประกอบหยวกอย่างเช่นการคราวก่อนแล้ว เชิญพระโกศลองในทรงพระศพขึ้นตั้งบนตารางคอยเวลาเสด็จพระราชดำเนิน
โปรดให้มีสดับปกรณ์ไตรสังเค็ด ๑ ไตรเปล่า ๑๐ ผ้าเลว ๒๐๐ มีเทศนาที่พระที่นั่งทรงธรรมกัณฑ์หนึ่ง
เวลาย่ำค่ำเศษ เสด็จพระราชดำเนินทรงพระราชยานจากพระบรมมหาราชวังประทับพระเมรุมุขตะวันออกทรงจุดเพลิงแล้ว เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปพระราชทานเพลิงพระศพพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้ามัณยาภากร ขณะนั้นเจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์กลองชนะตามธรรมเนียม พระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยขึ้นไปถวายพระเพลิงพร้อมกัน พระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปประทับพลับพลามวย ทรงโปรยผลกัลปพฤกษ์ผลสลากพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการทั่วกัน โปรดให้ทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ทั้ง ๘ พุ่ม เวลาค่ำทรงดอกไม้เพลิง และมีหนังธรณีไหว หรือพระนครไหวอีก วันนี้ศึกอินทรชิตแผลงศรพรหมาสตร์ หนังเขนนก ๔ ตัว ว่าเป็นฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า เวลา ๒ ทุ่มเศษเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง
การมหรสพวันนี้มีตามธรรมเนียม
วันอังคาร แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
เวลาเช้ามืดเจ้าพนักงานดับเพลิงซึ่งสุมพระอัฐิพระองค์เจ้ามัณยาภากรแล้วแปรพระรูปตามบุรพประเพณี คอยเวลาเสด็จพระราชดำเนิน
เวลาเช้า ๓ โมงเศษพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพระเมรุประทับมุขตะวันออกโปรดให้เดินกระบวน ๓ หาบ ของหลวง ๓ ของเจ้าภาพ ๓ รวม ๖ สำรับโดยอุตตราวัฏถ้วนตติยวาร แล้วทรงทอดผ้าไตร ๓ หาบ ของหลวง ๓ สำรับ พระนิกรมมุนี พระกวีวงศ์ พระสุเมธาจารย์สดับปกรณ์ แล้วกรมหมื่นอดิศร พระองค์เกษมศรีทอดผ้าไตร ๓ หาบของเจ้าภาพ พระสาธุศิลสังวร พระเนกขัมมุนี พระวิสุทธิสมาจารย์สดับปกรณ์ แล้วกลับลงมานั่งอาสน์สงฆ์ ทรงพระกรุณาโปรดให้กรมหมื่นอดิศร พระองค์เจ้าเกษมศรีเก็บพระอัฐิพระองค์เจ้ามัณยาภากร แล้วเชิญพระอัฐิลงพระโกศกาไหล่ทองรองพานทองสองชั้น พระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมาทรงประเคนพระสงฆ์ที่ชักไตร ๓ หาบรับพระราชทานฉันทั้ง ๖ รูป เจ้าพนักงานรื้อฉากบังเพลิง และตั้งชั้นแว่นฟ้า ๒ ชั้น ตั้งบุษบกเชิญโกศพระอัฐิขึ้นตั้งบนนั้น ครั้นพระสงฆ์รับพระราชทานฉันแล้วถวายอนุโมทนาอติเรกแล้วกลับออกไปทรงทอดผ้าไตรพับ ๒๐ พับ พระราชาคณะฐานานุกรมเปรียญ ๒๐ รูปสดับปกรณ์ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง เจ้าพนักงานเชิญพานพระอังคารลากพระเมรุมุขตะวันตกขึ้นยานมาศสามคาน มีเทวดาคู่แห่เครื่องสูงแตรสังข์กลองชนะต่าง ๆ แห่ไปลงท่าพระ ยกพานพระอังคารลงเรือศรี มีเรือดั้งกลองชนะลงแห่ล่องลงไปหน้าวัดยานนาวาเชิญพระอังคารลอยตามธรรมเนียม
เวลาบ่ายเจ้าพนักงานเชิญโกศพระอัฐิพระองค์เจ้ามัณยาภากรขึ้นเสลี่ยงกง มีเครื่องสูงบังแซกคู่เคียงคู่แห่แตรสังข์กลองชนะธงต่างๆ แห่แต่พระเมรุมุขตะวันออกไปส่งณวังกรมหมื่นอดิศรอุดมเดช เป็นเสร็จการพระศพพระองค์เจ้ามัณยาภากร
งานนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องดำ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ พระเจ้าบรมวงศ์ พระเจ้าราชวงศ์ทรงดำ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระเจ้าน้องยาเธอ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระเจ้าลูกเธอ ทรงขาวล้วนเวลาชักพระศพ เวลาพระราชทานเพลิง นอกนั้นทรงขาวลายทุกเวลา
วันพุธ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๒๔๘
ไม่มีราชการอะไรไม่ได้เสด็จออก