ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง กี๋โป้กับจงลิมวยก็เข้าไปหาห้างเหลียงว่า ทุกวันนี้ทหารทั้งปวงกับท่านพร้อมใจกันคิดการใหญ่ แต่ยังไม่มีที่จะเป็นคู่คิดแลทหารเอกยังจะทำการมิได้ ข้าพเจ้ารู้ว่าควั่นฌ้ออิหยินไปตั้งอยู่เขาทูสั้ว รวบรวมคนไว้ได้ประมาณแปดพันอยู่แดนเมืองนี้ นายทหารสองคนนั้นมีกำลังมาก ถ้าได้มาแล้วเห็นจะรับทัพหมื่นได้ ห้างเหลียงได้ฟังจึงให้ห้างอี๋กับกี๋โป้ออกไป พูดจาชักชวนควั่นฌ้ออิหยิน ห้างอี๋กับกี๋โป้ก็คำนับลาพากันไป ณ เขาทูสั้ว พบตัวควั่นฌ้ออิหยิน กี๋โป้จึงบอกว่า ห้างเหลียงเจ้าเมืองก้วยกี๋ให้ห้างอี๋ผู้หลานออกมาสนทนากับท่าน ควั่นฌ้ออิหยินได้ยินดังนี้จึงเชิญให้ห้างอี๋เข้าไปที่อาศัยนั่งที่อันสมควร ห้างอี๋จึงพูดกับควั่นฌ้ออิหยินว่า บัดนี้พระเจ้ายี่ซีฮองเต้ไม่อยู่ในยุติธรรม แต่บรรดาหัวเมืองในแผ่นดินก็แข็งเมืองขึ้น ต่างคนคิดจะไปตีเมืองหํ้าเอี๋ยง จะช่วยอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข แลท่านทั้งสองมีกำลังถึงเพียงนี้ชอบแต่จะช่วยบำรุง แผ่นดิน กำจัดพระเจ้ายี่ซีฮองเต้ ท่านจะมาซุ่มอยู่ในป่าเป็นคนหลบหลีกเอาแต่ความสุขหาควรไม่ ตัวเรากับห้างเหลียงรวบรวมทหารไว้ได้หลายหมื่น จะไปตีเมืองหํ้าเอี๋ยงช่วยทุกหัวเมืองแก้แค้น แต่ได้ยินข่าวท่านมีฝีมือออกชื่อมาช้านานอยู่ จึงจะเชิญท่านให้ไปช่วย ถ้าสำเร็จการแผ่นดินแล้วได้ดีจะได้ดีด้วยกัน ควั่นฌ้ออิหยินจึงว่าซึ่งพระเจ้ายี่ซีฮองเต้ไม่อยู่ในยุติธรรม แต่กำลังทหารยังมากอยู่ ถ้าผู้ใดมีกำลังยิ่งกว่าทหารทั้งแผ่นดินจึงจะไปตีเมืองหํ้าเอี๋ยงได้ ซึ่งท่านว่าทั้งนี้เรายังไม่เห็นด้วย ถ้าแม้นท่านมีกำลังคนเดียวผู้คนได้หมื่นหนึ่งเราทั้งสองจึงจะยอมไปด้วย ห้างอี๋จึงว่า เราก็ถือว่าทหารทั้งปวงสู้เรามิได้ ทำไฉนท่านจะเห็นกำลังเรา ควั่นฌ้ออิหยินจึงว่า ยังมีศาลเจ้าอยู่เชิงเขานี้ชื่ออุอ๋องเปี๋ยว หน้าศาลมีกระถางธูปหล่อใบหนึ่งสูงสี่ศอกกับนิ้วหนึ่ง หนักประมาณห้าพันชั่งตั้งอยู่หน้าศาล เจ้านั้น ถ้าท่านผลักกระถางธูปให้ล้มลงแล้วผลักตั้งขึ้นได้สามหน จึงจะเห็นว่าท่านมีกำลังมาก หาผู้ใดจะเสมอมิได้ ห้างอี๋ว่ากระถางมีอยู่แห่งใดท่านจงพาไปเราจะทำให้ท่านเห็น ควั่นฌ้ออิหยินก็นำห้างอี๋กี๋โป้กับทหารทั้งปวงไป ณ ศาลเจ้าเชิงเขา ครั้นถึงที่ตั้งกระถางธูป ห้างอี๋จึงให้ทหารที่มีกำลังเข้าผลักกระถางธูปทุกคนก็หาผู้ใดที่จะผลักไหวไม่ ห้างอี๋เห็นดังนั้นเข้าไปเอามือผลักกระถางธูปล้มลง แล้วผลักตั้งขึ้นถึงสามครั้ง ควั่นฌ้ออิหยินเห็นก็ชมว่ามีกำลังมากยิ่งกว่าคนในแผ่นดินนี้ ห้างอี๋หัวเราะแล้วจึงว่า เพียงนี้ยังไม่เต็มกำลังเรา จึงเอามือเบื้องซ้ายช้อนกระถางธูปชูเวียนศาลเจ้าถึงสามรอบ แล้ววางกระถางธูปลงตั้งไว้ คนทั้งปวงดูหน้าห้างอี๋เป็นปกติเหมือนหยิบของอันเบา ควั่นฌ้ออิหยินเห็นดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับแล้วเข้ากอดห้างอี๋ไว้ จึงสรรเสริญว่าท่านมีกำลังเปรียบดังเทพยดา ข้าพเจ้าสองคนนี้จะขอเป็นทหารข้างม้าของท่าน แล้วเชิญห้างอี๋ขึ้นไปที่อยู่ ควั่นฌ้ออิหยิน ก็แต่งโต๊ะเลี้ยงห้างอี๋ๆ กินพลางชวนควั่นฌ้ออิหยินให้เข้าไปอยู่ในเมืองก้วยกี๋ ควั่นฌ้ออิหยินรับคำห้างอี๋แล้วก็ส่งทหารแปดพันเศษให้ยกครอบครัวลงมาคอยห้างอี๋อยู่ ณ เชิงเขา ห้างอี๋กับควั่นฌ้ออิหยินครั้นลงมาถึงพื้นดินราบพอได้ยินเสียงผู้คนอื้ออึงขึ้น ห้างอี๋จึงถามว่าเสียงคนอื้ออึงอยู่นั้นกระทำสิ่งใด มีผู้บอกว่า ยังมีมังกรดำอยู่ในสระริมหลังเขาทูสั้ว มังกรนั้นกลายเป็นม้ามาเที่ยวกินข้าวกล้าชาวบ้านอยู่ริมเขา คนออกขับไล่ม้าตัวนั้นมีกำลังมากไล่ดีดขบ ชาวบ้านทั้งปวงมิอาจเข้ารอได้ จึงพากันขับไล่ม้าเสียงอื้ออึง ห้างอี๋ครั้นได้ฟังจึงชวนควั่นฌ้ออิหยินไปหวังจะจับม้านั้น

ฝ่ายมังกรซึ่งเป็นม้า ครั้นห้างอี๋เข้ามาใกล้ก็เผ่นทะยานอ้าปากจะขบกัด ห้างอี๋ร้องตวาดฉวยจับผมม้ากดลงไว้ด้วยกำลัง เอาบังเหียนสวมใส่ได้โดดขึ้นบนหลังนั่งไม่ทันตรง ม้าทำพยศหมุนหกต่างๆ ห้างอี๋ขับม้าไปรอบเขาทูสั้วหลายรอบ จนม้าเหงื่อตกหย่อนกำลังลงก็หยุดยืนอยู่ ชาวบ้านริมเขาทูสั้วก็พากันออกมาดูห้างอี๋ ต่างคนคำนับสรรเสริญแล้วถามถึงแซ่แลชื่อ ห้างอี๋จึงบอกชาวบ้านว่า เราเป็นแซ่ห้างชื่ออี๋ เป็นหลานห้างเหลียงทหารเอกเมืองฌ้อ เรามาหาคนดีจะไปตีเมืองห้ำเอี๋ยง พอได้ม้ามีกำลังเหมือนใจเราแล้ว มีชายแก่คนหนึ่งแซ่หงอชื่ออิดก๋งมีลูกสาวคนหนึ่งชื่อ นางหงอกี๋ รูปงาม

วันนั้นพออิดก๋งออกมาดูห้างอี๋จับม้า อิดก๋งเห็นห้างอี๋มีความรักจะใคร่ได้ห้างอี๋เป็นบุตรเขย จึงพูดกับห้างอี๋ว่า เราได้ยินคนทั้งปวงออกชื่อท่านมาช้านานแล้วพึ่งได้พบวันนี้ ขอเชิญท่านไปกินน้ำชาที่บ้านเรา ห้างอี๋ก็ไป อิดก๋งก็ให้ยกโต๊ะแลสุรามาเชิญห้างอี๋กิน ห้างอี๋กินโต๊ะแล้วจึงว่า ข้าพเจ้ามิได้ไปมาคุ้นเคย ซึ่งท่านแต่งโต๊ะเลี้ยงขอบใจยิ่งนักท่านจงบอกแซ่แลชื่อท่านไว้จะได้รู้จักไปมาเยี่ยมเยียน อิดก๋งจึงบอกห้างอี๋ว่า เราเป็นแซ่หงอชื่ออิดก๋ง แลท่านมีอายุได้เท่าใด มีภรรยาแล้วหรือยัง ห้างอี๋จึงบอกว่าอายุข้าพเจ้าได้ยี่สิบสีปียังไม่มีภรรยา อิดก๋งจึงว่าเราเห็นท่านมีรูปอันบริบูรณ์ มีใจเมตตาท่านนัก ตัวเราหาบุตรชายมิได้มีแต่บุตรหญิงคนหนึ่ง อันบุตรเรานี้เมื่อมารดาจะมีครรภ์ ฝันว่าได้ยินเสียงหงส์ร้อง แต่นางเกิดมาอยู่ในเรือน เพื่อนบ้านทั้งปวงไม่มีผู้ใดเห็นตัวแลผู้มีตระกูลมั่งมีทรัพย์สินมาสู่ขอหลายแห่งเราเห็นไม่สมควร อันนางหงอกี๋บุตรของเราได้เล่าเรียนหนังสือชำนิชำนาญ เห็นว่าท่านมีสติปัญญา ควรเป็นคู่กับนางหงอกี๋เราจะยกให้เป็นภรรยาท่านจะได้พึ่งบุญสืบไป อิดก๋งก็เรียกนางหงอกี๋ออกมาให้คำนับห้างอี๋ ห้างอี๋พิศดูรูปโฉมนางหงอกี๋ก็มีจิตผูกพันรักใคร่ ห้างอี๋จึงคำนับอิดก๋งแล้วจึงว่า ท่านมีใจเมตตายกบุตรให้ข้าพเจ้าครั้งนี้ขอบคุณท่านนัก จึงส่งกระบี่ให้ไว้เป็นสำคัญ แล้วคำนับลาอิดก๋งลงจากเรือนขึ้นม้า พอควั่นฌ้ออิหยินแลทหารทั้งปวงกลับเข้าเมืองก้วยกี๋ ห้างอี๋กับกี๋โป้ก็พาควั่นฌ้ออิหยินเข้าไปคำนับเจ้าเมืองก้วยกี๋ ห้างอี๋จึงแจ้งความทุกประการ แล้วว่าข้าพเจ้าได้ม้ามาตัวหนึ่ง กับอิดก๋งยกบุตรสาวให้ข้าพเจ้าแต่ยังหาได้รับเข้ามาไม่ ห้างเหลียงเห็นควั่นฌ้ออิหยินกับพวกแปดพันสมเป็นทหารมีความยินดีนัก จึงปราศรัยควั่นฌ้ออิหยินว่า ท่านทั้งสองเข้าช่วยกันคิดการ ประดุจหนึ่งได้แก้วสองดวงอันหาค่ามิได้ แล้วให้จูงเอาม้าเข้ามาดู ม้านั้นสูงได้สี่ศอกเก้านิ้ว ยาวได้หกศอกหกนิ้ว สมเป็นม้าศึกให้ชื่อโอจือแบ๊ว่าม้าดำงาม พอเป็นฤกษ์ดีจึงให้ทหารออกไปรับนางหงอกี๋ ณ บ้านอิดก๋ง

ฝ่ายหงอจู๋กี๋เป็นน้องนางหงอกี๋เรียงบิดามารดากัน ตามมาส่งพี่สาว ณ เมืองก้วยกี๋ ตัวหงอจู๋กี๋สมัครอยู่กับห้างอี๋จะทำศึกด้วยไม่กลับไปบ้าน ห้างเหลียงจึงปรึกษาด้วยควั่นฌ้ออิหยินว่า เรามีทหารเอกอยู่ห้างอี๋หนึ่ง กี๋โป้หนึ่ง จงลิมวยหนึ่ง กับท่านทั้งสองเป็นห้าคน รี้พลเกลี้ยกล่อมไว้ได้ถึงสิบหมื่นเศษ เห็นพอจะไปตีเมืองหํ้าเอี๋ยงได้ หัวเมืองทั้งปวงต่างคนต่างจะคิดไปตีเมืองหํ้าเอี๋ยง ควั่นฌ้ออิหยินได้ฟังจึงตอบว่า ข้าพเจ้าคิดอยู่ว่าจะกระทำแต่กำลังน้อย ได้มาพบท่านซึ่งท่านว่าจะไปตีนั้นข้าพเจ้ายินดีมัก ห้างเหลียงได้ฟังควั่นฌ้ออิหยินว่าก็ชอบใจ จึงจัดสิ่งของให้เป็นอันมาก แล้วตั้งกี๋โป้จงลิมวยควั่นฌ้ออิหยินสี่คนคุมทหารกองละหมื่น ให้ห้างอี๋คุมทหารสามหมื่นเป็นทัพหน้า ตัวห้างเหลียงเป็นแม่ทัพใหญ่รวมทหารไว้สามหมื่นเศษ แล้วแต่งคนให้ไปสืบทัพตันเซ่งซึ่งยกไปตีเมืองห้ำเอี๋ยง แล้วจัดทหารให้เดินหน้ากองหนึ่ง คนใช้คำนับลาแล้วขึ้นม้าไปจากเมืองก้วยกี๋ เมื่อห้างเหลียงจะยกทัพนั้นมีผู้เฒ่าชาวเมืองออกมาว่า ซึ่งท่านจะยกทัพไปผู้ใดจะอยู่รักษาเมืองเล่า ห้างเหลียงจึงว่าเรามาหยุดพักพอซ่องสุมผู้คนได้จะรีบไปตีเมืองหํ้าเอี๋ยง ครั้นจะอยู่ช้ารี้พลมากชาวเมืองนี้จะได้ความเดือดร้อน เราจะยกไปก่อนท่านผู้เฒ่าทั้งปวงจงอยู่ชักชวนกันทำมาหากินกว่าจะสำเร็จการ แล้วเราจะกลับมาทำนุบำรุงท่านให้เป็นสุข

ฝ่ายห้างเหลียงถึงวันฤกษ์ดีก็ให้จัดทัพสรรพไปด้วยศัสตราวุธยกไปทางเมืองหวยไส

ขณะมันหยินโป้ชาวล๊กอันหยินขึ้นแก่เมืองหํ้าเอี๋ยง คุมคนมาทำการกับมงเทียมหนีไปซ่องสุมผู้คนอยู่ในป่า ออกมาคอยสกัดทางตีคนเดินไปมา

ฝ่ายคนใช้พบนายโจรยืนอยู่ ก็กลับมาบอกห้างอี๋แม่ทัพหน้า ห้างอี๋ขับม้าโอจือแบ๊ขึ้นไปฟังการครั้นใกล้แลเห็นหยินโป้ยืนอยู่ จึงร้องถามว่า ท่านนี้ชื่อใด จึงมากั้นหน้าทัพเรา

ฝ่ายหยินโป้ขี่ม้าถือขวานใหญ่ ได้ยินห้างอี๋ร้องถามจึงบอกว่า เราชื่อหยินโป้ชาวเมืองอั๋นหยิน แต่เราได้ยินมาถ้าทัพผู้ใดจะยกก็ย่อมมีธงจารึกชื่อปรากฏ ท่านยกมานี้ไม่มีสำคัญมาเราจึงเห็นว่าเป็นทัพโจร ห้างอี๋จึงตอบว่าเราชื่อห้างอี๋เป็นหลานห้างเหลียงเจ้าเมืองก้วยกี๋ มีทหารดีแปดพัน ทหารเลวสิบหมื่น บัดนี้พระเจ้ายี่ซีฮองเต้ไม่อยู่ในยุติธรรม เราจะยกทัพไปกำจัดพระเจ้ายี่ซีฮองเต้ จะปราบปรามแผ่นดินให้เป็นสุข หยินโป้ได้ฟังจึงว่า ครั้งพระเจ้าจี๋นซีฮองเต้ใช้ให้เราคุมคนมาถมทะเล ปราบภูเขาลิสาร เราเห็นอาญามากมัก แล้วกระทำผิดเยี่ยงอย่างกษัตริย์มาแต่ก่อน เราจึงมาอยู่เป็นนายโจร

ขณะนั้นพอควั่นฌ้อขับม้าพาทหารตามมาทันห้างอี๋ ครั้นหยินโป้เห็นควั่นฌ้อก็รู้จักทักพูดจากันวางอาวุธไว้ทั้งสองฝ่าย ห้างอี๋จึงถามควันฌ้อว่า ท่านกับหยินโป้รู้จักกันอยู่หรือ ควั่นฌ้อจึงบอกว่า ข้าพเจ้ากับหยินโป้เป็นเพื่อนรักกัน แต่ครั้งจี๋นซีฮองเต้ใช้ให้ปราบเขาลิสารร่วมคิดการสัญญาไว้ ถ้าผู้ใดได้ดีจะช่วยทำนุบำรุง แต่จากกันมาหลายปีแล้ว หยินโป้คนนี้มีกำลังมากสู้คนได้ถึงพัน หยินโป้จึงว่ากับห้างอี๋ว่า ควั่นฌ้อเป็นเพื่อนรักอยู่กับท่าน ตัวข้าพเจ้าก็จะยอมอยู่กับท่านด้วย ห้างอี๋ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพาหยินโป้เข้ามาหาห้างเหลียง แล้วเล่าความให้ฟังทุกประการ

ฝ่ายหยินโป้ก็คำนับห้างเหลียงตามธรรมเนียม ห้างเหลียงเห็นหยินโป้จึงปราศรัย ว่า ท่านมาอยู่ด้วยเราครั้งนี้ดังเราได้บ้วนหลีตึงเสีย คือกำแพงยาวสิบหมื่นเส้น ซึ่งพระเจ้าจี๋นซีฮองเต้สร้างกั้นแดนไว้ เรามีใจยินดีนัก ตั้งแต่ห้างเหลียงได้หยินโป้มาไว้มีอำนาจดุจเสือแล้ว ปรึกษานายทหารทั้งปวงว่า จะคิดไปตีเอาเมืองหํ้าเอี๋ยงครั้งนี้ทแกล้วทหารก็บริบูรณ์ แต่ยังไม่มีกุ๋นสือที่จะปรึกษาในการสงคราม เราได้ข่าวว่ามีผู้เฒ่าคนหนึ่งชื่อฟัมแจ้ง อายุได้เจ็ดสิบปีอยู่บ้านกี๋เจ๋าแดนเมืองไฟเอี๋ยง มีสติปัญญาดังซุยหมูจู้แลหงอคี ครั้งแผ่นดินเลียดก๊กต้นกษัตริย์ จำจะจัดคนที่ฉลาดไปเชิญจึงจะได้ตัวมา กี๋โป้จึงว่าข้าพเจ้าได้ยินคนออกชื่อฟัมแจ้งนี้นานแล้ว แต่ไม่รู้จักตัว จะสืบเสาะไปให้พบ พาฟัมแจ้งมาหาท่านให้จงได้ ห้างเหลียงได้ฟังกี๋โป้ว่าก็ชอบใจ จึงจัดแพรเจ็ดพับกับสิ่งของสำหรับเชิญกุ๋นสือให้กี๋โป้ๆ ได้สิ่งของทั้งปวงแล้วก็คำนับลา พาทหารพันหนึ่งกับสิ่งของเครื่องคำนับรีบไป

ฝ่ายตันเซ่งยกทัพไปถึงปลายแดนเมืองหํ้าเอี๋ยง ก็ให้ตั้งค่ายพักลงไว้ให้ทหารไปสืบดูการ

ฝ่ายชาวด่านรู้ว่าศึกยกมา ก็เข้าไปคำนับขุนนาง ณ เมืองหํ้าเอี๋ยงแจ้งความทุกประการ ขุนนางก็เข้าไปทูลพระเจ้ายี่ซีฮองเต้ว่ากองทัพมาตั้งอยู่ปลายแดน

ฝ่ายพระเจ้ายี่ซีฮองเต้ทราบข่าวว่าศึก สั่งให้เจียงหำเป็นแม่ทัพคุมทหารสิบหมื่นยกออกไปตีข้าศึกให้แตกฉาน เจียงหำคำนับลาออกมาจัดทหารครบแล้วยกไป ครั้นถึงตำบลแห่งหนึ่งเป็นที่ชัยภูมิ จึงสั่งให้จองแกเป็นกองโจร คุมทหารสองหมื่นไปซุ่มอยู่สองข้างทาง แล้วให้อ๋องเฮ็กคุมทหารสองหมื่นไปตั้งมั่นรับหน้าไว้ ต่อเมื่อใดข้าศึกยกมาตีค่ายมั่นจึงให้ระดมกันตีขนาบ

ฝ่ายจองแกอ๋องเฮ็กสองนาย คำนับลาพาทหารไปตามเจียงหำสั่งทุกประการ ตันเซ่งเร่งรีบยกทัพเข้ามา พอเห็นค่ายชาวเมืองหํ้าเอี๋ยงออกไปตั้งรับก็ขับทหารเข้าตีค่าย

ฝ่ายเจียงหำรู้ก็เร่งขับทหารหนุนออกไปช่วยอ๋องเฮ็กๆ เมื่อเจียงหำยกหนุนมาช่วยก็ดีใจ ขับม้าออกไปรบกับตันเซ่งได้สิบเพลง ทหารต่อทหารรบกันยิงเกาทัณฑ์พุ่งศัสตราวุธ ทหารเมืองหํ้าเอี๋ยง ได้ทีตีทหารตันเซ่งแตกกระจัดพลัดพรายล้มตายเป็นอันมาก ตันเซ่งเห็นทหารพ่ายพังลงมา แลไปข้างหน้าเห็นทหารเมืองหํ้าเอี๋ยงหนุนมามากก็เสียใจ จึงชักม้าพาทหารแตกหนีเข้าป่าไปได้ประมาณสามร้อยคน

ฝ่ายจองแกก็ขับทหารก้าวสกัด เห็นตันเซ่งเสียทีก็ฟันด้วยง้าวคอขาดตกม้าลงให้ทหารหิ้วศีรษะตันเซ่งเข้าไปให้แก่เจียงหำผู้เป็นแม่ทัพ เจียงหำเห็นจองแกได้ศีรษะตันเซ่งมาก็ยินดี จึงสั่งให้เลิกทัพกลับเข้าเมืองห้ำเอี๋ยงนำเอาข้อความเข้าไปทูลแก่พระเจ้ายี่ซีฮองเต้ทุกประการ

ฝ่ายพระเจ้ายี่ซีฮองเต้ได้ฟังก็ทรงพระสรวล แล้วปูนบำเหน็จให้แม่ทัพนายกองซึ่งนำความชอบมา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ