๑๓

ขณะนั้นหัวเมืองรู้กิตติศัพท์ไปว่า ไผ่ก๋องโอบอ้อมอารีแก่บรรดาหัวเมืองรายทางก็เข้าด้วยเป็นอันมาก ไผ่ก๋องก็ออกจากเมืองปักเฉียงอิบมาถึงเมืองโกเอียง อ๋องเต๊กเจ้าเมืองรู้ว่ากองทัพไผ่ก๋องมา ก็ชวนกรมการออกไปต้อนรับเชิญไผ่ก๋องเข้าเมือง ไผ่ก๋องจึงว่า ซึ่งท่านออกมาเชิญให้เราเข้าไปในเมืองนั้นขอบใจยิ่งนัก แต่เราจะเข้าไปไพร่บ้านพลเมืองจะตกใจกลัว ตัวท่านนั้นเห็นทีมีสติปัญญาจะเป็นที่ปรึกษาได้ ครั้งนี้เราจะยกไปตีเมืองห้ำเอี๋ยงไม่มีผู้ใดที่จะปรึกษาในการศึก จะใคร่ให้ท่านไปด้วย อ๋องเต๊กได้ฟังจึงคุกเข่าลงคำนับแล้วว่า ซึ่งท่านกรุณาจะเอาข้าพเจ้าไปเป็นที่ปรึกษาด้วยนั้นคุณหาที่สุดมิได้ แต่ในเมืองโกเอียงทุกวันนี้แม้นตัวข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ ก็ไม่มีผู้ใดจะบังคับบัญชาชาวเมืองผู้ที่เป็นพาลก็มีใจกำเริบ ที่เป็นพลเมืองและลูกค้าก็จะระส่ำระสายไป ซึ่งท่านจะหาคนดีมีสติปัญญานั้น ข้าพเจ้าเห็นชายผู้หนึ่งอยู่ในเมืองนี้ชื่อหลีเสงอายุได้หกสิบแปดปี มีน้ำใจสว่างดังดาวในอากาศ ประกอบทั้งสติปัญญาเล่าเรียนก็รู้มาก แต่ซ่อนวิชาอยู่เพราะกลัวเมื่อครั้งพระเจ้าจี๋นซีฮองเต้ให้เผาตำรับตำราแลให้จับคนที่รู้ศิลปศาสตร์มาจำไว้ หลีเสงจึงแกล้งทำเป็นเสียจริต เสพสุราเมาเที่ยวกลางถนน แต่คำหลีเสงว่าอยู่เนืองๆ ถ้าพบผู้มีบุญเมื่อใดจึงจะหายบ้า

ไผ่ก๋องได้ฟังมีความยินดี จึงว่าท่านจงใช้ทหารไปเชิญหลีเสงมาสนทนากับเราก็จะรู้ซึ่งดีแลร้าย อ๋องเต๊กคำนับรับคำแล้วก็ไปหาแจ้งความว่า ไผ่ก๋องเป็นแม่ทัพใหญ่ยกมาตีเมืองห้ำเอี๋ยง บัดนี้ยกมาตั้งอยู่นอกเมืองรู้ว่าท่านมีสติปัญญา ไผ่ก๋องจะใคร่ได้ท่านไปเป็นที่ปรึกษาให้เรามาเชิญท่าน อันลักษณะไผ่ก๋องมีบุญญาธิการเห็นจะได้เมืองหลวง ท่านจงไปช่วยคิดการให้สำเร็จโดยง่าย หลีเสงจึงว่า เราได้ยินข่าวไผ่ก๋องมาช้านานว่ามีใจกว้างขวางโอบอ้อมอารีแก่ราษฎร เราคิดจะใคร่ไปลองดูใจ ถ้ารู้จักคนดีก็จะเป็นที่พึ่งได้กลัวแต่จะว่าเราเป็นบ้า อ๋องเต๊กจึงว่า ท่านก็มีสติปัญญาย่อมรู้อยู่ทุกสิ่ง ถ้าไปกับเราก็จะได้เห็นใจไผ่ก๋อง หลีเสงกับอ๋องเต๊กก็พากันมา ณ ค่าย ไผ่ก๋องนอนตื่นขึ้น กำลังล้างหน้ามิทันทักหลีเสงๆ เห็นไผ่ก๋องตึงอยู่มิได้ว่าประการใด จึงร้องเข้าไปว่า ท่านยกทัพมาจะตีหัวเมืองซึ่งไม่ขึ้นแก่เมืองห้ำเอี๋ยงนั้นหรือ ไผ่ก๋องเห็นหลีเสงพูดจาหาอัชฌามิได้ สำคัญว่าเป็นคนบ้า ไม่ทันจะพิเคราะห์จึงร้องตวาดว่า หารู้ไม่หรือไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้ความเดือดร้อนมาช้านานแล้ว พระเจ้าไฝ่อ๋องงี่เต้รับสั่งให้เราเป็นแม่ทัพยกมาทางตะวันตกตีเมืองห้ำเอี๋ยง ทำไมท่านจึงว่าเป็นพวกชาวเมืองห้ำเอี๋ยงมาตีเมืองทั้งปวงอีกเล่า หลีเสงว่า ท่านยกกองทัพมาจะตีเมืองหลวง เหตุใดจึงทำให้ผิดกับคนที่มีสัจธรรมอันจะรักษาแผ่นดินกลับมาดูหมิ่นผู้เฒ่าผู้แก่ไม่ต้อนรับตามประเพณี ท่านกระทำอย่างนี้คนที่มีสติปัญญาเห็นจะไม่เข้าด้วย ทำไฉนจะมีผู้ร่วมคิดซึ่งจะดับร้อนของราษฎรให้เป็นสุขเล่า

ไผ่ก๋องได้ฟังก็รู้ว่าหลีเสงมีปัญญา จึงลุกขึ้นคำนับเชิญหลีเสงให้นั่งที่สมควรแล้วขออภัยว่า ข้าพเจ้าไม่ทันรู้ว่าท่านเป็นคนดีจึงมิได้ต้อนรับ หลีเสงเห็นว่าไผ่ก๋องรู้จักผู้มีสติปัญญาก็นึกรักใคร่ จึงชักเรื่องกษัตริย์มาเล่าให้ไผ่ก๋องฟัง แต่เจ็ดเมืองทำศึกนั้นแต่เมืองจี๋นองอาจจึงปราบได้ทั้งสี่ทิศ เมื่อพระเจ้าจี๋นซีฮองเต้ครองสมบัติในเมืองจี๋นจึงเปลี่ยนชื่อว่าเมืองห้ำเอี๋ยง อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน ดังนอนในกระทะน้ำมันอันตั้งอยู่บนกองเพลิงจนมาพระเจ้ายี่ซีฮองเต้ทุกวันนี้ ไผ่ก๋องได้ฟังหลีเสงเล่าความแต่หนหลังถูกถ้วน จึงถามว่าเราจะไปทำศึกแก่เมืองห้ำเอี๋ยงนั้นท่านจะคิดอุบายประการใด หลีเสงจึงว่าซึ่งท่านยกมาครั้งนี้ทหารในกองทัพมีประมาณสิบหมื่นเศษ ซึ่งจะตีเมืองหลวงนั้นเปรียบเหมือนไล่ฝูงเนื้อเข้าปากเสือ ถึงพระเจ้ายี่ซีฮองเต้กับเตียวโก๋กระทำชั่ว ทหารที่ดีในเมืองก็ยังมากนัก ไหนจะนิ่งให้เสียเมือง ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองตันหลิวเป็นต้นทางไปเมืองห้ำเอี๋ยง ผู้คนแลเสบียงอาหารก็บริบูรณ์ จะขอไปเกลี้ยกล่อมตินต๋องเจ้าเมืองให้มาสามิภักดิ์แก่ท่าน ถ้าสมคิดได้ทหารมากขึ้นแล้ว จึงค่อยยกไปกระทำแก่เมืองหลวง

ไผ่ก๋องได้ฟังเห็นชอบ จึงว่าเชิญท่านรีบไปพูดกับตินต๋องเจ้าเมืองตันหลิวเถิด หลีเสงคำนับลาขึ้นม้าไปถึงเมืองตันหลิว จึงบอกกับผู้รักษาประตูให้ไปแจ้งความแก่ตินต๋องๆ แจ้งว่าหลีเสงมาจึงคิดว่า หลีเสงเป็นคนชอบพอกันแต่ก่อน ก็ออกมารับเข้าไปข้างใน ให้ยกโต๊ะมาตั้งชวนหลีเสงเสพสุราสองต่อสอง หลีเสงจึงแจ้งความแก่ตินต๋องว่า ธรรมดาเกิดมาเป็นนกย่อมจะอาศัยต้นไม้ใหญ่ ผู้มีสติปัญญาก็ย่อมหาเจ้าแผ่นดินซึ่งอยู่ในยุติธรรมเป็นที่พึ่ง ครั้งนี้พระเจ้าจี๋นซีฮองเต้เป็นกษัตริย์ลำดับมา ถึงพระเจ้ายี่ซีฮองเต้ก็เชื่อถือแต่เตียวโก๋คนพาล คิดให้แผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้า หัวเมืองทั้งปวงมีใจกำเริบมากขึ้น จึงทำเป็นบ้าเที่ยวหาผู้มีบุญ บัดนี้เราเห็นไผ่ก๋องต้องลักษณะมีบุญญาธิการ แล้วก็เมตตาแก่อาณาประชาราษฎรไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เป็นแม่ทัพมาทางทิศตะวันตกจะไปตีเมืองห้ำเอี๋ยง แต่บรรดาเจ้าเมืองทั้งปวงรู้ข่าวก็ยอมไปเข้าด้วยเป็นอันมาก เมืองท่านเล็กเท่านี้ที่ทางก็เลเพเห็นจะรับศึกใหญ่มิได้ ถ้าไผ่ก๋องยกมาผู้ที่มีปัญญาก็จะหนีเอาตัวรอด ที่โฉดเขลาเหลืออยู่กับท่านเห็นจะเอาตัวไว้คอยรับคมอาวุธ เราวิตกถึงท่านกลัวจะคิดผิดจึงมาช่วยเตือนสติให้ ตินต๋องจึงว่า ท่านพูดทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่เรากินเบี้ยหวัดพระเจ้าแผ่นดินเมืองห้ำเอี๋ยงตั้งให้เป็นเจ้าเมืองจะเอาใจไปเข้าด้วยข้าศึกนั้น สักพันชาติก็ไม่หายชั่ว เรากลัวความนินทานัก หลีเสงจึงว่า เยี่ยงอย่างแต่ก่อนนั้นก็มีอยู่เราจะเล่าให้ฟัง ครั้งพระเจ้าติวอ๋องครองสมบัติเป็นฮองเต้ มีเมืองขึ้นแปดร้อยเมือง แต่พระเจ้าติวอ๋องมิได้อยู่ในยุติธรรม คนทั้งแผ่นดินก็คิดจะทำร้าย พอพระเจ้าบู๊อ๋องยกไปตีเมืองพระเจ้าติวอ๋อง แต่บรรดาหัวเมืองอาณาประชาราษฎรไปเข้าด้วยพระเจ้าบู๊อ๋อง จับตัวพระเจ้าติวอ๋องฆ่าเสียบ้านเมืองจึงได้อยู่เป็นสุข ไม่มีผู้ใดนินทาว่าหัวเมืองขึ้นกลับไปเข้าด้วยข้าศึก พระเจ้ายี่ซีฮองเต้ก็ชั่วเหมือนพระเจ้าติวอ๋อง ถึงท่านจะไปเข้าด้วยช่วยไผ่ก๋องกำจัดพระเจ้ายี่ซีฮองเต้ดับร้อนราษฎรครั้งนี้เราเห็นว่าหามีผู้ใดจะนินทาท่านได้ไม่ ตินต๋องได้ฟังก็ยืนขึ้นคำนับแล้วว่าขอบใจท่านให้สติควรข้าพเจ้าจะทำตาม ว่าแล้วก็นั่งเสพสุราอยู่ด้วยกันเป็นที่สบาย

ฝ่ายไผ่ก๋องครั้นใช้หลีเสงไปเมืองตันหลิวหลายวันแล้ว จึงสั่งให้ยกกองทัพออกจากเมืองโกเอียงไปตามทางเมืองตันหลิว หลีเสงกับตินต๋องรู้ว่าไผ่ก๋องยกกองทัพมาก็ออกไปคำนับเชิญไผ่ก๋องเข้าเมือง ไผ่ก๋องเห็นตินต๋องออกมาคำนับก็ปราศรัยว่า ท่านมีน้ำใจองอาจจึงออกมาหาเรา แล้วก็ชวนเสียวโหโจฉำกับคนร้อยสิบคนเข้าไปในเมือง ตินต๋องเชิญไผ่ก๋องนั่งที่สมควรให้ยกโต๊ะมาตั้ง ตินต๋องก็นั่งรินสุราคำนับให้ไผ่ก๋อง แลเสียวโหโจฉำกับทหารแต่บรรดามาในเมืองตามสมควร ไผ่ก๋องเสพสุราจนเวลาบ่ายแล้วกลับออกมาค่าย กำชับเหล่าทหารไม่ให้กระทำย่ำยีแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวง แต่ไผ่ก๋องมาตั้งอยู่ประมาณเดือนเศษ ชาวบ้านชาวเมืองทำมาหากินเป็นปกติ ต่างคนสรรเสริญว่า ไผ่ก๋องโอบอ้อมอารีมีอานุภาพ ควรจะปราบแผ่นดินครองสมบัติได้ อยู่วันหนึ่งไผ่ก๋องจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า แต่เราได้หลีเสงมาไว้เกลี้ยกล่อมหัวเมือง ได้ไพร่พลเข้ากระบวนทัพถึงห้าหมื่น ความชอบหลีเสงนี้ควรที่เราให้เป็นก๋องเอียกุ๋นที่ปรึกษา หลีเสงได้ฟังไผ่ก๋องยกความชอบจึงตอบว่า ข้าพเจ้าทำการแต่เพียงนี้ ท่านยกย่องว่ามีความชอบจะตั้งให้เป็นที่ปรึกษา สติปัญญาข้าพเจ้ายังน้อยอยู่ จะช่วยกันให้สำเร็จเมืองห้ำเอี๋ยงนั้นยังไม่ได้ ด้วยพ้นเมืองนี้ไปยังมีคนดีอยู่ โดยผู้ที่มีสติปัญญาในแผ่นดินก็ไม่มีเสมอถึงสอง ถ้าจะเปรียบเหมือนลีบองซึ่งเป็นที่ปรึกษาครั้งแผ่นดินตัวก๊กจิว มิดังนั้นเหมือนอิอี๋นครั้งแผ่นดินเสียงถาง ถ้าได้ผู้นี้มาอย่าวิตกที่จะมิได้เมืองห้ำเอี๋ยง ไผ่ก๋องได้ฟังก็ดีใจจึงถามว่า คนที่ท่านว่าอยู่เมืองไหน หลีเสงว่าอยู่เมืองฮั่นแซ่เตียวชื่อเหลียง แต่คนเรียกว่าเตียวจือปัง พรรคพวกเป็นขุนนางในเมืองฮั่นห้าชั่วมาแล้ว ได้ตำรับความรู้ของเทวดา ตัวอุตส่าห์เล่าเรียนจนชำนาญโดยความรู้ แต่น้ำใจเตียวเหลียงนั้นจะแก้แค้นแทนเจ้าเมืองฮั่นเก่า แต่เจ้าเมืองฮั่นใหม่พึ่งจะตั้งตัว สติกำลังน้อยอยู่จึงไม่คิดการใหญ่ได้ ถ้าท่านได้เตียวเหลียงมาไว้ดุจแก้วแกมทองจะประเสริฐยิ่งขึ้นไปมาก ไผ่ก๋องจึงว่า เขาเป็นขุนนางอยู่เมืองฮั่นยังจะยอมมาอยู่กับเราหรือ ทำประการใดจึงจะได้ตัวมาเล่า หลีเสงว่าข้าพเจ้าคิดเห็นอุบายอยู่อย่างหนึ่ง ที่จะได้เตียวเหลียงมานั้น ขอท่านแต่งหนังสือไปแจ้งกับฮั่นอ๋อง ว่าท่านจะยกทัพไปตีเมืองห้ำเอี๋ยง ขัดด้วยเสบียงอาหารจะขอยืมข้าวกินจะได้หรือไม่ เห็นจะได้ตัวจือปังคือเตียวเหลียงมาหาท่าน ถ้าเตียวเหลียงมาถึงท่านก็เห็นจะสมคะเน ไผ่ก๋องได้ฟังก็มีความยินดี จึงทำหนังสือส่งให้หลีเสงๆ ไปวันหนึ่งก็ถึงเมืองฮั่น จึงเข้าไปคำนับแล้วส่งหนังสือให้ฮั่นอ๋อง ๆ รับหนังสือมาอ่านได้ความว่า ไผ่ก๋องเป็นเจ๋งไสไต้เจียงกุ๋นแม่ทัพใหญ่ฝ่าย ตะวันตกยกมาแต่เมืองฌ้อ มีหนังสือมาถึงฮั่นอ๋อง ด้วยพระเจ้ายี่ซีฮองเต้ไม่ครองสมบัติโดยยุติธรรม ให้หกหัวเมืองใหญ่แลประชาราษฎรเดือดร้อน เจ็บใจจนกระดูกคิดแค้นอยู่ทุกเมือง บัดนี้ยกทัพใหญ่จะมาช่วยดับแค้นให้อยู่เย็นเป็นสุขทุกตัวคน แต่กองทัพยกมาเดินทางวันละพันเส้น แจกเงินทหารสิ้นวันละหมื่นตำลึง ข้าวของซึ่งจะปูนบำเหน็จรางวัลแก่ทแกล้วทหารก็ยังบริบูรณ์อยู่ แต่จะไปตีเมืองห้ำเอี๋ยงนั้นการยังยืดยาวเห็นจะขัดด้วยเสบียงซึ่งจะเสียทหารในกองทัพ ด้วยมาตามทางนั้นหัวเมืองสิบแห่งจะมีเข้าแห่งหนึ่ง แล้วไม่ให้ทหารริบราชบาตรบุคคลผู้ใด จึงให้หลีเสงมาขอยืมข้าวท่านห้าพันเกวียน เมื่อตีเมืองห้ำเอี๋ยงได้จึงจะใช้ให้สองเท่า การทั้งนี้ไม่ใช่ธุระข้าพเจ้าผู้เดียว ท่านจงเห็นแก่การแผ่นดินด้วยเถิดข้าพเจ้ารีบมาเป็นการร้อน ถึงท่านไม่ให้ทหารมาช่วยก็ไม่ว่า ได้แต่เสบียงมาพอเป็นกำลังทหารก็เป็นความชอบมากเหมือนกัน หนังสือมาถึงวันใดท่านเอาเป็นธุระด้วยให้ได้โดยเร็ว ฮั่นอ๋องแจ้งข้อความจึงปรึกษาขุนนางว่า เมืองเราพึ่งตั้งตัวผู้คนยังระส่ำระสาย มิได้ทำมาหากิน ข้าวปลาอาหารก็ยังไม่บริบูรณ์ ซึ่งไผ่ก๋องให้ยืมเสบียงจะหาที่ไหนให้ทันที ขุนนางทั้งปวงจึงว่า ซึ่งท่านพูดนี้ก็ควรอยู่แต่ไผ่ก๋องเห็นจะได้จึงมีหนังสือมาแม้นไม่ได้ห้าพันเกวียน จำจะจัดส่งไปสักกึ่งหนึ่งก่อน แต่พอเป็นทางไมตรีไว้จึงจะไม่แค้นเคือง ไพร่บ้านพลเมืองจะได้อยู่เย็นเป็นสุข ฮั่นอ๋องจึงว่าท่านทั้งหลายพูดนี้ก็ชอบดอก แต่ซึ่งจะหาเสบียงส่งเกลือกจะไม่ทันท่วงที เตียวเหลียงได้ฟังนั่งยิ้มอยู่ด้วยรู้ในอุบาย จึงว่าท่านจงเลี้ยงผู้ถือหนังสือเสียก่อน ฮั่นอ๋องรู้ทีเตียวเหลียงจึงปราศรัยกับหลีเสงว่า ท่านได้มาถึงเมืองเราแล้วไปกินโต๊ะเสพสุราให้สบายก่อนจึงมาพูดจากันเล่นอีก หลีเสงก็ออกไปกินโต๊ะแลเสพสุราภายนอก เตียวเหลียงจึงเข้าไปพูดกับฮั่นอ๋องว่า ท่านอย่าเป็นธุระกับเสบียงอาหารไว้พนักงานข้าพเจ้าเอง แต่จะขอลาท่านไปดูทีไผ่ก๋องก่อนฮั่นอ๋องจึงว่า ท่านไปพูดจาให้ดีอย่าให้เสียทางไมตรีทั้งสองฝ่าย พวกขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีเห็นชอบพร้อมกัน

ฝ่ายหลีเสงกินโต๊ะแล้วจึงเข้าไปพูดกับฮั่นอ๋องว่า ซึ่งการเสบียงอาหารท่านจะโปรดประการใด ฮั่นอ๋องจึงว่า เราจะให้เตียวเหลียงไปกับท่าน ซึ่งเสบียงอาหารจะจัดส่งไปให้ภายหลัง หลีเสงได้ฟังจึงนึกว่าเห็นจะสมความคิดเราครั้งนี้แล้ว ก็ชวนเตียวเหลียงลาออกมาขึ้นม้ารีบไปถึงเมืองตันหลิว หลีเสงก็พาเตียวเหลียงเดินตามทางผ่ากองทัพไปอยู่ประตูค่าย เตียวเหลียงพิเคราะห์ดูทหารนายไพร่ในกองทัพเสบียงอาหารก็บริบูรณ์ จึงคิดว่าซึ่งไผ่ก๋องมีหนังสือไปขอเสบียงอาหารนั้น โดยอุบายของหลีเสงจะให้เราไปทำศึกกับไผ่ก๋อง 

ขณะนั่นหลีเสงขึ้นไปข้างหน้า ทำกิริยาให้ไผ่ก๋องรู้ว่าได้ตัวเตียวเหลียงมา ไผ่ก๋องก็ให้ห้วนโก้ยออกไปรับ เตียวเหลียงแลดูห้วนโก้ยเห็นลักษณะดีจริง นึกว่าทหารผู้นี้เกิดมาสำหรับผู้มีบุญ ห้วน โก้ยมาถึงก็พาเตียวเหลียงเข้าไปในประตู เตียวเหลียงแลเห็นไผ่ก๋องกับเสียวโห โจฉำ กินหิน โลก๋วน เตงก๋ง อ่องหลิน หกนายยืนอยู่ประตูดุจหนึ่งจะคอยรับ พอเดินเข้าไปใกล้เห็นไผ่ก๋องต้องลักษณะทั้งราศีประจำกายสัณฐานดังมังกร เห็นว่าไผ่ก๋องผู้นี้มีบุญญาธิการ นานไปจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินโดยแท้ ทหารเหล่านี้เกิดมาสำหรับบุญผู้จะปราบเสี้ยนศัตรูในแผ่นดิน จะบำรุงไพร่ฟ้าให้เป็นสุข คิดถึงคำของอุยโจะก๋งอาจารย์เราสั่งสอน บัดนี้พบไผ่ก๋องต้องคำนับท่าน ควรเราต้องทำราชการจึงจะชอบ เตียวเหลียงก็ตรงเข้าไปคุกเข่าลงคำนับ ไผ่ก๋องยืนขึ้นต้อนรับเชิญเตียวเหลียงให้นั่งที่สมควร เตียวเหลียงจึงว่าซึ่งท่านยกกองทัพมาครั้งนี้ ราษฎรหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวงนิยมยินดีมีใจสามิภักดิ์ต่อท่าน ทหารแลเสบียงก็สมบูรณ์ เหตุไฉนท่านเชื่อคำคนบ้าแกล้งให้ไปขอยืมเสบียงเล่า ท่านจะเอาข้าพเจ้าไปช่วยคิดการศึกด้วยหรือ ไผ่ก๋องได้ฟังเตียวเหลียงพูดต้องใจนั่งยิ้มอยู่ แล้วจึงว่าหนังสือที่เราให้ไปท่านก็รู้ในอุบายแล้ว ท่านจะคิดประการใดเล่า

ขณะนั้นเสียวโหจึงพูดกับเตียวเหลียงว่า ไผ่ก๋องนายข้าพเจ้าให้มีหนังสือเป็นแยบคายไปนั้นหมายจะยืมตัวท่าน ซึ่งท่านมาครั้งนี้เหมือนหนึ่งจะรู้ตัวยังหาภักดีโดยสุจริตไม่ น้ำใจท่านคิดว่าไผ่ก๋องนั่นจะเหมือนชังไหก๋ง ซึ่งมีกำลังเป็นเพื่อนรักของท่าน ร่วมคิดกันไปตีรถพระเจ้าจี๋นซีฮองเต้จะแกล้งมาดูทีดังนั้นหรือ ครั้นท่านมาเห็นรูปกายไผ่ก๋องประกอบด้วยลักษณะควรจะเป็นที่พึ่งแก้แค้นแทนชาวเมืองฮั่นได้ จึงว่าจะมาอยู่ด้วย ถ้าท่านพึ่งบารมีนายเราไปช่วยตีเมืองห้ำเอี๋ยงก็จะมีความชอบลือชื่อไว้ในแผ่นดิน เตียวเหลียงได้ฟังเสียวโหว่าต้องใจก็คุกเข่าลงคำนับแล้วตอบว่า ซึ่งคำไผ่ก๋องกับท่านพูดนั้นจริงในใจทั้งสิ้น ข้าพเจ้าจะขอทำราชการด้วยไผ่ก๋องกว่าจะหาชีวิตไม่ แต่ขอไปลาฮั่นอ๋องเสียก่อนจึงจะกลับมา

ไผ่ก๋องได้ฟังมีความยินดี พูดว่าเวลาพรุ่งนี้จึงค่อยไปด้วยกัน ว่าแล้วสั่งเสียวโหแลนายทหารชวนให้เตียวเหลียงกินโต๊ะพูดจาเล่นให้คุ้นเคย ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าไผ่ก๋องก็ยกออกจากเมืองตันหลิวไป ประทับรออยู่เมืองกุ๋นจี๋ว

ฝ่ายเจ้าเมืองกุ๋นจี๋วรู้ว่าไผ่ก๋องยกทัพมา ก็ออกไปอ่อนน้อมคำนับ ไผ่ก๋องก็ต้อนรับตามธรรมเนียม แล้วไผ่ก๋องยกออกจากเมืองกุ๋นจี๋วไปถึงเมืองฮั่น ให้ตั้งค่ายใหญ่ประทับอยู่นอกเมือง เตียวเหลียงก็เข้าไปแจ้งความแก่ฮั่นอ๋องว่า ไผ่ก๋องผู้มีลักษณะจะเป็นถึงฮองเต้ ซึ่งแต่งหนังสือมานั้น โดยอุบายหวังจะเอาข้าพเจ้าไปช่วยตีเมืองหลวงด้วย ฮั่นอ๋องได้แจ้งก็ไปคำนับเชิญไผ่ก๋องจะให้เข้าเมือง ไผ่ก๋องจึงปราศรัยกับฮั่นอ๋องว่า ซึ่งท่านมีน้ำใจออกมารับเราครั้งนี้ขอบใจนัก แล้วสั่งให้ทหารทั้งปวงอยู่รักษาค่าย อย่าให้ทำอันตรายแก่อาณาประชาราษฎร แล้วก็ชวนเสียวโห โจฉำ ห้วนโก้ย กับทหารซึ่งเคยเข้าเมืองตันหลิวร้อยสิบคนขึ้นม้าพากันเข้าเมือง ครั้นถึงฮั่นอ๋องก็เชิญไผ่ก๋องให้นั่งที่สมควร ไผ่ก๋องจึงว่า เรายกกองทัพมาครั้งนี้มิได้เบียดเบียนบ้านเล็กเมืองน้อย ตั้งใจจะไปตีเมืองห้ำเอี๋ยงช่วยแก้แค้นหัวเมืองทั้งปวง เกลือกอาหารจะขาดลงจึงให้มายืมเสบียงท่าน ฮั่นอ๋องจึงว่า พระเจ้าจี๋นซีฮองเต้ให้ทหารมาตีเมืองฮั่นได้ พระเจ้าจี๋นซีฮองเต้ฆ่าบิดาข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าพึ่งตั้งตัวขึ้นได้ บ้านเมืองยังไม่บริบูรณ์เหมือนแต่ก่อน ซึ่งท่านให้มาว่าด้วยเสบียงข้าพเจ้าก็ให้เตียวเหลียงไปหาท่าน ว่าแล้วฮั่นอ๋องให้เจ้าพนักงานยกโต๊ะเข้ามาตั้งเชิญไผ่ก๋องเสพสุรา แล้วเลี้ยงบรรดาทหารมากับไผ่ก๋องเป็นที่สบาย ไผ่ก๋องกินสุราสนทนากับฮั่นอ๋องว่า ซึ่งเสบียงอาหารเมืองท่านก็กันดารพึ่งจะตั้งตัวอย่าเป็นธุระเลย เราไม่มีความน้อยใจแก่ท่านดอก เราจะไปทำการศึกครั้งนี้มีแต่ทหารฝีมือเข้มแข็ง ยังไม่มีคนผู้ซึ่งจะเป็นที่ปรึกษา เห็นขุนนางของท่านชื่อเตียวเหลียงจะได้ช่วยคิดการปราบแผ่นดินได้ จะขอยืมไปแต่พอเสร็จศึกจึงจะให้กลับมาอยู่กับท่าน ฮั่นอ๋องจึงว่าเมืองข้าพเจ้าทุกวันนี้ก็ได้ อาลัยเตียวเหลียงผู้เดียวจึงค่อยได้ความสุข ซึ่งท่านจะยืมเตียวเหลียงไปเสียนั้น ข้าพเจ้าไม่มีผู้ใดจะว่าราชการเมือง แต่ทว่าเจียงกุ๋นได้ออกปาก จะวานเตียวเหลียงไปช่วยกำจัดพระเจ้ายี่ซีฮองเต้เป็นการแผ่นดินใหญ่หลวง ข้าพเจ้าขัดมิได้ยังว่าตัวจะไปช่วยท่าน ถ้าสำเร็จราชการแล้วจงกรุณาข้าพเจ้า ให้เตียวเหลียงกลับมาเหมือนคำท่านว่าไว้

ไผ่ก๋องได้ฟังก็รับคำ ครั้นกินโต๊ะแล้วก็กลับออกมาค่าย เตียวเหลียงก็ลาฮั่นอ๋องตามไผ่ก๋องมาถึงค่าย ไผ่ก๋องจัดแจงทหารพร้อมแล้ว ก็ยกออกมาจากเมืองฮั่นไปตามทางเมืองห้ำเอี๋ยง ถึงที่ประทับแห่งใดไผ่ก๋องจะกินโต๊ะก็เรียกเตียวเหลียงกินด้วย จะนอนก็ร่วมเตียงเดียวกัน ไผ่ก๋องจึงถามเตียวเหลียงด้วยการกลศึกสงคราม เตียวเหลียงชี้แจงให้ไผ่ก๋อง ๆ ก็จำได้ทุกประการ เตียวเหลียงถอนใจใหญ่แล้วปีกว่า อุยโจะก่งสั่งสอนเราได้เล่าเรียนมาหลายปี ขึ้นอยู่แต่เพียงนี้พูดกับผู้ใดก็ว่ามิได้รู้ แต่บอกไผ่ก๋องครั้งเดียวก็จำได้ทั้งสิ้น ไผ่ก๋องยิ่งมนุษย์ดุจดังเทพยดาจะหาผู้เสมอสองมิได้

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ