๒๑ นิทานเรื่องอำมาตย์ของท้าววิริยายันต์คิดขบถ

ในกาลก่อนยังมีพระมหากระษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าท้าววิริยายันตมหาราช ได้เสวยราชสมบัติในเมืองวิชิตนคร พระองค์ประกอบไปด้วยศิลปศาสตราคมแกล้วกล้า หาผู้ใดเสมอมิได้ อยู่มาสมเด็จพระมหากระษัตริย์นั้น ยกจัตุรงค์เสนาพลากรทวยหาญทั้งปวง ออกไปประพาสมฤคยานในไพรวัน กาลวันนั้นมีพระมหากระษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าท้าวมาตังควิไชย ท่านนั้นครองสมบัติอยู่เมืองมาตังคนคร มนตรีผู้หนึ่งชื่อวิริยันตัง พระเจ้าวิริยายันตราชตั้งไว้ให้รักษาเมืองปลายแดนเมืองวิชิตนคร ต่อกันกับเมืองมาตังคนคร มนตรีผู้นั้นคิดร้ายต่อท้าววิริยายันตมหาราช ลอบส่งข่าวสารเปนการลับไปถึงท้าวมาตังควิไชย ในราชสารนั้นว่าท้าววิริยายันตมหาราชไปประพาสมฤคยานอยู่กลางป่า หาผู้ใดรักษาเมืองวิชิตนครมิได้ ขอเชิญให้พระองค์เจ้ามารบเอาเมืองวิชิตนครเถิด เห็นจะได้ง่ายนัก ครั้นสมเด็จพระเจ้ามาตังควิไชยได้ฟังสารอันทูตทูลดังนั้น ก็ดีพระทัยนัก จึ่งให้บำรุงช้างม้ารี้พลทั้งปวงให้ครบครันตามคำอำมาตย์กราบทูลแล้วก็ยกไปเอาเมืองวิชิตนคร เพราะไม่มีผู้ใหญ่รักษาเมือง ท้าวมาตังควิไชยเสด็จเข้าเมืองได้โดยสดวก ส่วนท้าววิริยายันตมหาราชครั้นทราบว่า ข้าศึกยกมาติดเมืองท่าน ๆ ก็ยกช้างม้ารี้พลรีบกลับมา จึ่งให้ยกพลเข้าปล้นเอาเมืองก็มิได้ เพราะท้าวมาตังควิไชยให้เอาสัตรีภรรยาเสนามนตรีทั้งปวงนั้นจำไว้

ฝ่ายพวกพลท้าววิริยายันตมหาราชคิดจะหนี แลมนตรีผู้คิดร้ายมิได้ซื่อตรงต่อท้าววิริยายันตมหาราชนั้น ก็อยู่ณที่นั้นด้วย จึงแสร้งกราบทูลท้าววิริยายันตมหาราช ว่าพระองค์เจ้าไซ้ก็เปนมหากระษัตริย์อันประเสริฐ ซึ่งจะมาหนีสงครามนั้นจะเสื่อมเสียพระเกียรติยศไป ท้าววิริยายันตมหาราชสำคัญว่ามนตรีนั้นซื่อสัตย์ต่อพระองค์อยู่ มิได้ทรงพิจารณาโดยละเอียด ท้าววิริยายันตมหาราชเข้าชนช้างด้วยท้าวมาตังควิไชย ท้าววิริยายันตมหาราชขาดเศียรในสมรภูมินั้นแล เพราะเหตุการณ์ที่พระมหากระษัตริย์ไว้พระหฤทัยแก่มนตรี มิได้พิจารณาให้ถ่องแท้แก่ปัญญาตน มนตรีจึ่งคิดร้ายแก่พระมหากระษัตริย์จนเสียพระองค์แลราชสมบัติได้ฉนี้ ขอพระองค์เจ้าทรงพระดำริห์ดูโดยควรก่อนเถิด

ท้าวกฤษณุราชได้ทรงฟังท้าวเทพราชนัดดาแลมนตรีทั้งสี่ ถวายนิยายทำเนียบดังนั้น ก็เคืองพระหฤทัยทรงพระพิโรธแก่ท้าวเทพราชผู้เปนพระราชนัดดากับมนตรีสี่คนนั้นเปนกำลัง ท้าวเทพราชกลัวท้าวกฤษณุราชผู้เปนพระบิตุลา ก็กลับไปเมืองโลทนครของพระองค์นั้น

ครั้นท้าวเทพราชเสด็จกลับไปแล้ว ท้าวกฤษณุราชจึ่งตรัสสั่งให้อำมาตย์ไปนิมนต์พระดาบสผู้ชื่อโคดมมหาฤๅษี อันเปนอาจารย์ของพระองค์นั้นเข้ามาในพระราชวัง ครั้นพระดาบสเข้ามาแล้ว นิมนต์ให้นั่งบนอาสน์สูงสมควร ท้าวกฤษณุราชถวายนมัสการ มีพระราชโองการตรัสเล่าพระดาบสว่า ข้าพเจ้าไปเที่ยวป่ารับนางกระษัตริย์มา ข้าพเจ้าชุบเลี้ยงเปนมเหษี เดิมทีนางนั้นเปนภรรยาพระยาปิศาจ ๆ ให้อยู่แต่ผู้เดียวในปราสาทที่กลางป่า ข้าพเจ้าไปพบเข้าก็ชักชวนรับนางมา พระดาบสจึ่งว่าเมื่อเปนฉนี้ ถ้าพระยาปิศาจจะตามมารบกวนจะมิเสียเมืองฤๅ พระองค์จะคิดป้องกันอย่างไร พระยากฤษณุราชตรัสตอบว่าการข้างภูติปิศาจนั้น ข้าพเจ้าหาได้นับถือไม่ แต่ก่อนครั้งเมื่อข้าพเจ้ายังเยาว์ดรุณอยู่นั้นข้าพเจ้าได้ถือตามเขาไปบ้าง ตั้งแต่เจริญใหญ่มาแล้ว ข้าพเจ้ามิได้ฝักฝ่ายในการเส้นวักบวงสรวงแก่ภูตปิศาจเลย ด้วยข้าพเจ้ามิได้ถือปิศาจแลเทพารักษทั้งปวง พระดาบสจึ่งถามว่าพระองค์ยังมีพระราชบุตรบ้างฤๅมิได้ พระมหากระษัตริย์ตรัสว่าข้าพเจ้ามีอยู่บ้าง พระดาบสจึ่งถามว่าพระองค์ย่อมเสียสพ้นบ้างฤๅ พระมหากระษัตริย์ตรัสว่าได้เสียอยู่บ้าง พระดาบสจึ่งถวายพระพรว่าบพิตรมิถือปิศาจแล้วเปนไรจึ่งให้ทำเล่า พระมหากระษัตริย์ตรัสว่าให้ทำด้วยความเมตตาแก่ทารกกับเสียปิศาจเล็กน้อยดอกมิเปนไร พระดาบสถวายพระพรว่าเสียปิศาจน้อยก็ดีมากก็ดีเหมือนกัน บพิตรถือดังนี้ผิด ถึงท่านผู้วิเศษแต่ก่อน ๆ มา ก็ย่อมนับถือบูชาเทพารักษสืบ ๆ มาเปนอันมาก บพิตรมิบูชาบวงสรวงตามบุราณราชนั้นมิบังควร ขอเชิญบพิตรทำตามประเพณีสืบมานั้นเถิด พระมหากระษัตริย์จึ่งตรัสว่าถ้าข้าพเจ้าทำตามคำพระผู้เปนเจ้าแล้ว พระผู้เปนเจ้าจะให้ทำฉันใด จึ่งจะให้กันปิศาจมิให้ทำอันตรายแก่ชาวบ้านชาวเมืองช้างม้าทั้งปวงนั้นได้ พระดาบสถวายพระพรว่ารูปจะเศกทรายโปรยไว้รอบเมือง แลให้เอาทรายนั้นไปโปรยที่เมืองขึ้นทั้งปวง ให้เอาไว้รอบแดนเมือง จะทำยันต์ปิดประตูเมืองทุกประตู แลจะทำนั้นต้องคำนับให้เทพารักษในเมืองนอกเมืองให้รู้ด้วย พระมหากระษัตริย์ถามว่า เมื่อจะทำการทั้งปวงต้องให้บอกคำนับเทพารักษด้วยเหตุอันใด พระดาบสจึ่งถวายพระพรว่า ครั้นบอกให้เทพารักษรู้ท่านย่อมให้ภูตปิศาจไปรักษา ครั้นปิศาจจรมาทำร้ายย่อมยุทธต่อกันตามประเพณีปิศาจนั้น ครั้นเอาทรายไปแล้วให้ปลูกศาลเทพารักษ แลแต่งเครื่องบวงสรวงปิศาจจะมาทำร้ายนั้นแล เทพารักษในเมืองบพิตรนี้อยู่รักษาศาลนั้นด้วย พระมหากระษัตริย์ตรัสถามว่า ชีต้นว่าจะเศกทรายไปไว้ในเมืองนอกเมืองให้กันปิศาจ แลทำยันต์ปิดไว้ทุกประตูเมืองนั้น ทำกระไรจะรู้ว่าเศกทรายแลทำยันต์นั้นเปนจริง ปิศาจจะยำเกรงไม่เข้ามาทำร้ายได้ให้แน่แก่ใจของข้าพเจ้า ๆ จะได้ลงใจเห็นด้วย พระดาบสถวายพระพรว่า เมื่อจะเศกทรายทำการทั้งนี้ให้ความพิเศษเกิดในตัวสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ดี ในจักษุก็ดี ทำการนั้นจึ่งประสิทธิ พระมหากระษัตริย์ตรัสถามพระดาบสว่า การทั้งนี้จะให้ผู้ใดกระทำ พระดาบสถวายพระพรว่ารูปจะทำ พระมหากระษัตริย์ตรัสแก่ดาบสว่า พระผู้เปนเจ้าจะทำการทั้งนี้เองนั้น ข้าพเจ้าจะวางใจลงมิได้ พระผู้เปนเจ้าทำเองรู้เองนั้น ถ้ามิถึงกำหนดพอจิตรแลกายพระผู้เปนเจ้าเปนขึ้นมานั้น การนี้ก็จะเสียไปไม่เปนพยานได้ ข้าพเจ้าขออภัยแก่ชีต้นอย่าน้อยใจแก่ข้าพเจ้าเลย แลพระชีต้นว่าไปให้ข้าพเจ้าเห็นด้วยก่อน พระดาบสจึ่งถวายพระพรว่า ถ้าดังนั้นเชิญบพิตรกระทำเถิดรูปจักครอบให้ พระมหากระษัตริย์ตรัสแก่พระดาบสว่า ชีต้นว่าดังนี้ข้าพเจ้าเห็นด้วยแล้ว ข้าพเจ้าจะให้มนตรีผู้หนึ่งชื่อมิทเสนาทำแล้ว มนตรีผู้นั้นเปนคนซื่อสัจนักหนา ข้าพเจ้ากับชีต้นจงนั่งดูให้เห็นประจักษ์แก่ตาเถิด พระดาบสก็ถวายพระพรว่า ตามพระไทยบพิตรเถิด พระดาบสจึ่งให้เอาทรายใส่ภาชนะอันหนึ่งมาแล้ว ๆ พระดาบสให้มิทเสนาชำระตัวให้หมดมลทิน แล้วให้อยู่แก่ความสัจ แล้วพระดาบสจึ่งครอบพระเวทให้มิทเสนาเศกทรายนั้นต่อหน้าพระที่นั่ง ครั้นถ้วนกำหนดตัวมิทเสนาเปนวิปริตต่าง ๆ แล้วจึ่งมีพระราชโองการตรัสถามมิทเสนาว่า จักษุแลจิตรของท่านเปนประการใดบ้าง มิทเสนากราบทูลว่า จักษุแลจิตรข้าพเจ้าวิปริตไปมิได้เปนปรกติ พระมหากระษตรัย์จึ่งตรัสแก่พระดาบสว่า มิทเสนาเปนดังนี้แลจะทำเปนกลใด พระดาบสถวายพระพรว่า ทำการดังนี้ประสิทธิแล สมเด็จท้าวกฤษณุราชมีพระราชโองการตรัสแก่มิทเสนา แต่วันนี้ไปให้พนักงารเร่งทำโรงศาลเทพารักษในเมืองนอกเมือง แลเมืองซึ่งขึ้นแก่เรานั้นให้ทำจงฉับพลัน แลโรงศาลเคยได้ให้คนรักษาแต่ก่อนนั้นอย่างไร ก็จงเกณฑ์คนให้เฝ้ารักษาเหมือนอย่างแต่ก่อน เคยแต่งเครื่องบวงสรวงเปนประการใด ก็ให้แต่งเครื่องบวงสรวงตามแต่ก่อนมา แลคนที่เคยเสียเคราะห์ตามธรรมเนียม แลคนนั้นอย่าให้เข้ามาในกรุงแลโรงศาล พระมหากระษัตริย์แต่ก่อนเคยเสด็จไปบวงสรวงแก่เทพารักษฉันใด เราจะให้บวงสรวงตามบุราณราชประเพณีฉันนั้น

มิทเสนารับสั่งแล้วให้แต่งการตามรับสั่งทุกประการ แลพระมหากระษัตริย์ก็เสด็จไปบวงสรวงเทพารักษแล้ว พระองค์ก็เชิญเทพารักษให้รักษาบ้านเมืองแลหัวเมืองขึ้นทั้งปวงแล้วจึ่งตรัสว่า เราจะให้เอาทรายที่พระดาบสเศกไว้นั้น ไปโปรยปรายไว้รอบเมืองแล้วแลจะให้เอาไปปรายไว้ณแดนเมืองขึ้นของเรา ท่านจงช่วยพิทักษรักษาด้วยเถิด อย่าให้ปิศาจอื่นมาทำร้ายแก่ไพร่เมืองเราได้ ให้คุ้มช้างคุ้มม้าทั้งหลายด้วยเทอญ ครั้นพระมหากระษัตริย์เชิญเทพารักษดังนั้นแล้ว ก็เสด็จมาปราสาท จึงสั่งให้อำมาตย์ผู้หนึ่งชื่อเทพย์เสนาให้เอายันต์ไปปิดประตูเมืองแล้ว จึงให้เอาทรายนั้นปรายไว้รอบเมืองแลทรายอันเหลือนั้นให้เอาไปปรายไว้แดนเมืองซึ่งขึ้นแก่เมืองหลวง อันเทพารักษคือพระเสื้อเมืองพระทรงเมืองอันเปนใหญ่มีฤทธิอยู่ในเมือง ก็ใช้ทหารทั้งปวงเปนปิศาจนั้นไปทุกเมือง อันขึ้นแก่เมืองหลวงนั้น แลสั่งทหารอันไปนั้นว่าบัดนี้ท้าวกฤษณุราชซื้อที่เราแล้ว แลมาบวงสรวงเชิญเราให้ช่วยรักษาบ้านเมืองทั้งปวง ให้เทพารักษซึ่งสิงอยู่ณเมืองใด ๆ แขวงใด ๆ แลสิงอยู่ท่าถ้ำเขาทั้งปวงอันขึ้นแก่เรานี้ จงชวนกันมารับเอาเครื่องบวงสรวง แล้วจงจัดออกไปพิทักษรักษาแดนเมืองซึ่งขึ้นแก่เมืองหลวง ถ้าปิศาจอื่นจะมาทำร้ายไพร่ฟ้าประชาราษฎรช้างม้าโคกระบือ จงช่วยกันกำจัดเกียจกันอย่าให้เปนอันตราย แลจงอย่าไว้ใจช่วยกันรบให้ถึงขนาด ถ้าเห็นหนักมิฟังให้บอกเข้ามาถึงเรา ๆ จะให้ไปช่วย ถ้าฟังแล้วก็บอกเข้ามาจงแจ้ง ทหารเทพารักษรับคำสั่งพระเสื้อเมืองพระทรงเมืองแล้ว เอาคำสั่งนั้นไปบอกแก่เทพารักษทั้งปวง ครั้นเทพารักษทั้งปวงรู้คดีดังนั้นแล้ว ก็แต่งกันออกอยู่พิทักษรักษาตามสั่งนั้นรอบคอบทุกตำบล แลในเมืองนั้นพระเสื้อเมืองพระทรงเมือง ก็แต่งให้พิทักษรักษาทุก ๆ ประตูเมือง ให้จัดผลัดเปลี่ยนกันตระเวนทั้งกลางวันกลางคืนพิทักษรักษาอยู่กวดขัน แลท้าวกฤษณุราชนั้นครั้นเสียเคราะห์เมืองในเมืองหลวงแลหัวเมืองขึ้นทั้งปวงตามโบราณราชประเพณีแล้ว ก็อยู่สุขเกษมเปรมปราหาอันตรายมิได้ ด้วยเดชะบุญพระมหากระษัตริย์แลพระฤๅษีแลเทพารักษช่วยพิทักษรักษานั้น

ส่วนพระยากัลปประลัยอันเปนพระยาแก่ปิศาจทั้งปวง ไปประพาสกลับมาที่เรือนหลวงอันนางจรประภาพาลสุดาเทวีอยู่นั้น ทอดพระเนตรมิได้เห็นนางอยู่ที่นั้น จึงตรัสถามปิศาจผู้อยู่รักษา ปิศาจทั้งปวงอันอยู่รักษานั้นก็ทูลว่า มีพระมหากระษัตริย์มนุษย์องค์หนึ่ง ทรงพระนามชื่อท้าวกฤษณุราชเสวยสมบัติในเมืองตรีนคร แลท่านนั้นมาประพาสป่า เห็นเรือนหลวงซึ่งพระอรรคมเหษีเสด็จอยู่นั้น ก็ขึ้นบนเรือน แล้วรับพระอรรคมเหษีของพระองค์ไปเมืองตรีนคร พระองค์จงทราบเหตุเถิด พระยาปิศาจครั้นได้ฟังปิศาจซึ่งอยู่รักษานางกราบทูลดังนั้น ก็ทรงพระโกรธนัก ว่าพระยากฤษณุราชดูถูกเรานักหนา จึงให้หาภูตเสนีทั้งสี่ตนคือ คือโขมดดารพลวง โขมดมายา โขมดดารหลวง โขมดดวงไพร มาส่งว่าท่านทั้งสี่ตนจงคุมไพร่พลของท่านให้ครบครัน แล้วเข้าไปรบเอาเมืองตรีนครให้ได้ ได้ไพร่พลมามากน้อยเท่าใดให้เอาบาญซีมาบอกแก่เรา แลจงให้งดไว้แต่ท้าวกฤษณุราช แลนางจรประภาพาลสุดาเทวีนั้นเราจะเข้าไปจับมาเอง พระยาปิศาจสั่งเสนาแล้วก็ขับให้ไป

โขมดดารพลวงนั้นไปสั่งไพร่พลของตัวนั้นว่า ท่านจงไปในเมืองตรีนคร ถ้าหญิงใดมืครรภ์อ่อนก็ดีแก่ก็ดีท่านจงหักฅอบุตรในครรภ์มารดานั้นแล้ว ท่านจงเข้าประจำตัวหญิงมีครรภ์นั้นทำมารยาต่าง ๆ แลทำให้สิ้นชีวิตแล้วพามาสำนักเรา สั่งบ่าวเท่านั้นแล้วก็ขับไป

โขมดมายาอันเปนนายแก่อสุรกายทั้งปวงมาสั่งบ่าวว่า ท่านจงคุมทัพเข้าไปรบเอาเมืองตรีนคร แลท่านเข้าไปในเมืองนั้นแล้ว จงทำให้ชาวบ้านชาวเมืองสดุ้งตกใจกลัว จงทำเปนเสียงร้องไห้แลหัวเราะ บ้านใดมั่งคั่งจงเข้าไปให้เห็นตัวผ่านไปผ่านมา แล้วทำให้ไข้เจ็บต่างๆ เถิด ถ้าชาวเมืองสิ้นชีวิตแล้วท่านจงคุมมาหาเรา

โขมดดารหลวงเปนนายแก่ฝูงแม่ห่าทั้งปวง มาสั่งแก่บ่าวทั้งนั้น ท่านจงช่วยกันแต่งยาอันจะให้บังเกิดไข้เจ็บต่างๆ ให้เจือไปกับน้ำกับลมกับฝนกับแสงพระอาทิตย์แลต้นยาอันจะแก้นั้น ท่านทำไปไว้อย่าให้โรคนั้นคลายได้ ที่ประตูเมืองประตูบ้านผู้ไข้นั้น ท่านเอาสิ่งอัประมงคลไปไว้ ถ้าแลหมอล่วงเข้าไปให้มนต์นั้นเสื่อมอย่าให้แก้คนไข้ได้ ถ้าหมอพลั้งคุณแล้วท่านจงทำหมอนั้นให้สิ้นชีวิต แล้วท่านสำแดงตัวท่านให้ชาวเมืองเห็นตัว แลตีเกราะเคาะไม้ให้วุ่นวายทั้งเมืองขึ้นแก่เมืองหลวง แลท่านชวนกันไปรบเอาเมืองตรีนครให้ได้เถิด ถ้าได้ไพร่พลมามากน้อยเท่าใดท่านคุมมาหาเราเถิด

โขมดดวงไพรเปนนายผีโป่งผีป่าทั้งปวงมาสั่งบ่าวไพร่ว่า ท่านจงไปเมืองตรีนคร จงแต่งยาทั้งปวงให้รคนไปด้วยลมด้วยฝนด้วยแดดแลไปดลใจสัตว์ทั้งปวง คือช้างม้าโคมหิงษาทั้งหลายอันพระยาเลี้ยงก็ดี เสนาบดีเลี้ยงก็ดี ให้เร่าร้อนในอกให้กินน้ำผึ่งแดด อันยาที่ทำไปนั้นท่านให้ทหารเอายาเข้ารดสัตว์ทั้งปวง ให้บังเกิดไข้เจ็บ ให้เนื้อพังหนังเปื่อย ให้เจ็บฅอปากเปื่อยเน่าเปนหนอง ให้ยาพิษนั้นกลุ้มเข้าไปในหัวใจ ท่านจงสั่งทหารทำให้ตายแล้วพามาหาเราเถิด ครั้นเสนาพระยาปิศาจทั้งสี่สั่งแก่บ่าวแล้วก็ส่งไป

ส่วนโขมดทั้งสี่นั้นก็แต่งตัวตามไปประจำทิศ โขมดดารพลวงเข้าทิศตวันออก โขมดมายาเข้าทิศตวันตก โขมดดารหลวงเข้าทิศเหนือ โขมดดวงไพรเข้าทิศใต้แว่นแคว้นเมืองตรีนคร

อันเทพารักษซึ่งอยู่รักษาแดนเมืองตรีนครเห็นทัพปิศาจมาตั้ง จึงบอกเข้ามาถึงเทพารักษผู้ใหญ่ ๆ ก็แต่งทหารเปนอันมาก ให้ออกผจญด้วยทัพปิศาจแล้วบอกมาถึงเมืองหลวง พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองก็จัดกองทัพแลทหารออกไปเปนอันมาก จัดทั้งการป้องกันนครโดยรอบคอบ

ฝ่ายกองทัพปิศาจก็ยกเข้ามาทั้งสี่ทิศ ครั้นมาถึงทรายที่พระดาบสให้เอาไปปรายไว้นั้น ทัพปิศาจก็หยุดมิอาจล่วงเข้ามาได้ กองทัพเทพารักษนั้นก็รุกออกไป กองทัพปิศาจจึงบอกว่า ปัดนี้พระยาปิศาจให้เรามารบเมืองขึ้นแลเมืองหลวง ทำให้คนแลช้างม้าโคกระบือตายจะให้กระดูกขาวไปทั้งเมืองแล้วเราจึงจะกลับไป เทพารักษซึ่งออกไปรักษาหน้าที่อยู่นั้น ก็ตอบว่าอย่าเข้ามา ถ้ามิฟังจะชวนกันฉิบหายสิ้น น้ำแลลมอันพายามานั้น เทพารักษกันไว้มิให้เข้ามาได้ ทัพปิศาจมิฟังจะหักหาญให้แก้อาถรรพ์ที่กันอยู่นั้น เทพารักษอันอยู่รักษาเมืองให้รบพุ่งเปนสามารถทั้งสี่ทิศ ทัพปิศาจแตก เทพารักษนายกองให้ไล่จับได้ตัวปิศาจอันเปนหมอเอายามานั้น จำส่งตัวเข้ามา แต่ยานั้นให้ฝังเสียกลางป่านอกแดนเมือง แลทหารเทพารักษซึ่งหนุนกันออกไปจับเอาปิศาจอันเปนเชลยนั้นจำส่งสืบ ๆ กันมา ถวายพระเสื้อเมืองพระทรงเมืองณทัพหลวงนั้นเปนอันมาก พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองไต่ถามหมอปิศาจเชลยนั้นว่า ท่านแต่งกองทัพมารบบัดนี้ปราถนาอันใด หมอปิศาจบอกว่า บัดนี้พระยากัลปประลัยขัดเคืองท้าวกฤษณุราช ว่าไปลักพาอรรคมเหษีมา จึ่งให้ยกกองทัพมาทำร้ายแก่บ้านเมือง แลจะเอาไพร่พลนี้ไปให้สิ้น แล้วจะเอาช้างม้าโคกระบือทั้งปวงไปจงมาก ให้ข้าพเจ้าทำยาใส่น้ำใส่ลมมา เทพารักษจึงถามว่า เจ้าเอามาใส่แล้วถ้าเปนเหตุจะเอายาสิ่งใดแก้ ให้บอกตามสัจ มิบอกเราจะฆ่าหมอเสีย หมอปิศาจก็บอกตามสัจว่า ถ้าคนช้างม้าโคกระบือเปนเหตุการเอายาสิ่งนั้น ๆ แก้ ถ้าถูกยานั้นแล้วแก้มิได้ บัดนี้ยาที่ข้าพเจ้าทำมานั้นเข้ามามิได้ถึง เทลงน้ำ ๆ มิได้ไหล เทใส่ลม ๆ มิได้พัด จะฝากแสงพระอาทิตย์ ๆ ก็บดอยู่ ทหารของท่านเอายาไปฝังเสียนอกแดน แล้วประทับพระเวทลงไว้ ยานั้นเสื่อมเสียสิ้นแล้ว แต่ตัวข้าพเจ้าผู้ทำนี้ส่งเข้ามาถึงท่าน ๆ จงรู้เถิด เทพารักษนำคดีไปทูลพระเสื้อเมืองพระทรงเมือง ๆ สั่งให้เอาตัวจำใส่ตรางไว้มั่นคงอย่าให้หนีได้ แต่งให้ตระเวนตรวจตรารักษาทั้งกลางวันกลางคืน แล้วก็ประทานผ้าแพรพรรณเครื่องบวงสรวงออกไปแก่กองทัพแลเทพารักษอันมีความชอบ แล้วพระเสื้อเมืองพระทรงเมืองจึงให้นางเทพธิดาอันเปนพระอรรคมเหษีพระองค์นั้น ไปประจำรักษานางพระยานั้นไว้ ให้สำแดงอาการทั้งปวงให้ท้าวกฤษณุราชฟัง ท้าวกฤษณุราชได้ฟังข้อคดีแล้วก็ไปบวงสรวงแก่พระเสื้อเมือง ถวายผ้าผ่อนเงินทองเปนอันมาก แล้วให้มีตราบอกไปแก่หัวเมืองทังปวง ให้บูชาเทพารักษแลบวงสรวงยิ่งกว่าแต่ก่อน แล้วทำรูปช้างม้าไว้เปนอันมากเอาถวายแก่พระเสื้อเมือง ๆ ชุบให้เปนช้างม้า แล้วพระราชทานไปแก่นายทัพนายกองเทพารักษผู้ใหญ่ทุก ๆ เมือง แล้วพระเสื้อเมืองจึงสั่งแก่เทพารักษซึ่งรักษาปิศาจอันเปนหมอซึ่งจับมาได้ให้จำไว้นั้นว่า ให้หมอทำยันต์แลอาถรรพ์ป้องกันหัวเมืองทั้งปวง อันเปนเมืองขึ้นแก่เมืองหลวง ให้ป้องกันเมืองหลวงอย่าให้ไพร่ฟ้าประชาราษฎรช้างม้าโคกระบือเปนอันตรายได้ ถ้าเปนอันตรายจะฆ่าเสีย แลเทพารักษอันรักษาหมอปิศาจอยู่นั้น ก็เอาคดีที่พระเสื้อเมืองสั่งนั้นไปว่าแก่หมอปิศาจ ๆ ก็รับคำว่าอย่าร้อนใจ ข้าพเจ้าทำกันไว้มิให้เปนอันตราย ถ้าเปนอันตรายให้ฆ่าตูข้าพเจ้าเสียเถิด เทพารักษผู้นั้นก็ให้หมอปิศาจสบถแล้วให้ทำทานบนให้ เทพารักษก็เอาทานบนแลคำสาบาลหมอปิศาจนั้นถวายพระเสื้อเมือง แล้วก็ให้จัดการป้องกันรักษาเมืองนั้น หมอปิศาจแต่งอาถรรพ์แลยา ให้ฝังไว้แดนเมืองหลวงแลเมืองหลวง ทั้งกันความไข้อันตรายทั้งปวงมิให้เข้ามาได้ แลเมืองตรีนครอยู่เปนผาสุกไม่มีอันตราย

ฝ่ายเสนาพระยาปิศาจทั้งสี่นั้น ครั้นใช้บริวารมาทำจะให้เกิดความไข้เมืองหลวงแลเมืองขึ้นนั้นแลทำมิได้ เพราะเทพารักษจับเอาหมอไปได้ จึ่งไปทูลพระยาปิศาจว่า ข้าพเจ้าแต่งให้หมอทั้งปวง ไปทำการรบเอาเมืองตรีนคร เทพารักษอันรักษาเมืองกล้าแขงมากนัก มาตั้งทัพอยู่แดนเมืองให้ตระเวนรักษากวดขัน ครั้นหมอบ่าวไพร่ข้าพเจ้าแต่งให้เข้าไปแดนเมืองขึ้นนั้น ก็รบพุ่งจับเอาหมอซึ่งตูข้าพเจ้าแต่งไปนั้นได้สิ้น มิได้เหลือมาแต่สักคนหนึ่งจะทำการสืบไปนั้นก็มิได้ พระองค์จงทราบเถิด พระยาปิศาจครั้นได้ฟังโขมดทั้งสี่กราบทูลดังนั้น ก็ทรงพระโกรธนัก ให้สมทบพลโยธาหมอยาแลฝูงปิศาจทั้งปวง ให้เร่งจัดช้างม้ารี้พล เราจะยกไปรบเอาเมืองตรีนครนั้นจงได้ จะให้โคกระบือช้างม้ารี้พลตาย ให้กระดูกขาวดังเห็ดทั้งเมืองเราจึ่งจะนอนตาหลับ โขมดทั้งสี่ทูลว่า ขอพระองค์จงทรงพระดำริห์ก่อน โขมดมายาทูลว่าขอพระองค์จงทรงฟัง ข้าพเจ้าจะถวายนิยายเรื่องหนึ่งว่า

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ