เล่ม ๑
ช้า
๑๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์เรืองศรี |
ครั้นสิ้นแสงสุริยาราตรี | สถิตย์ที่แท่นทองห้องใน |
นิ่งนึกคะนึงถึงสีดา | ไม่รู้ว่าจะยากเย็นเปนไฉน |
จำจะใช้ให้ทหารชาญไชย | ไปสืบข่าวอรไทยถึงลงกา |
ทั้งจะได้ดูตำบลหนทาง | จะไปล้างอสุรศักดิยักษา |
พระนิ่งนึกตรึกไตรไปมา | จนสุริยาเยี่ยมยอดยุคันธร |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๒๏ จึ่งชำระสระสรงทรงเครื่อง | รุ่งเรืองจำรัสประภัศร |
จับพระแสงพรหมมาศนาดกร | บทจรออกหน้าพลับพลาไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๓๏ พรั่งพร้อมเสนาพานรินทร์ | พวกกระบินทร์บังคมประนมไหว้ |
จึ่งตรัสเรียกวายุบุตรวุฒิไกร | เข้ามาใกล้แท่นสุวรรณแล้วบัญชา |
ท่านกับองคตชมภูพาล | จงตั้งจิตคิดอ่านอาสา |
คุมโยธาห้าร้อยรีบไคลคลา | ไปยังกรุงลงกาธานี |
สืบข่าวราวเรื่องในเมืองมาร | ให้พบพานสีดามารศรี |
บอกว่าเราเศร้าโศกโศกี | ยกโยธีตามนางมากลางไพร |
ว่าพลางทางหยิบสไบทรง | กับทั้งเทพธำมรงค์ส่งให้ |
แล้วบอกว่าผ้านี้ของทรามไวย | ฝากวานรไว้ในหิมวา |
ธำมรงค์วงนั้นก็ของนาง | ทศกรรฐ์มันขว้างเอาปักษา |
ท่านจงเอาไปให้สีดา | แจ้งกิจจาให้สิ้นกินใจ |
แล้วดูทางกลางป่าพนาเวศ | ที่ประเทศน้ำท่าอาไศรย |
จะสำนักพักพลตำบลใด | กว่าจะไปถึงลงกาธานี |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๔๏ บัดนั้น | วายุบุตรประนตบทศรี |
ทูลสนองบัญชาว่าข้านี้ | นางเทวีไม่รู้จักภักตรา |
จะเอาของสองสิ่งไปถวาย | เห็นโฉมฉายจะทรงซักหนักหนา |
ด้วยสไบธำมรงค์อลงการ์ | ตกอยู่กลางป่าพนาไลย |
ถึงจะทูลข้อความตามรับสั่ง | ก็เห็นยังจะพะวงสงไสย |
ขอพระองค์จงดำริห์ตริไตร | อย่าให้โฉมยงสงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๕๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
ฟังคำขุนกระบี่มีปัญญา | พระตรึกตราแล้วดำรัสตรัสไป |
ซึ่งท่านว่ามานี้ก็ควรนัก | ไม่รู้จักแล้วก็คงจะสงไสย |
แต่ความหลังครั้งหนึ่งอยู่ในใจ | ใครใครไม่ประจักษ์แจ้งการณ์ |
เมื่อคราวท้าวชนกให้ยกศิลป์ | ในบุรินทร์มิถิลาราชฐาน |
เราแลพบสบเนตรนงคราญ | นางเยี่ยมอยู่ที่บ้านบัญชรไชย |
มาทแม้นมิเชื่อเผื่อจะซัก | จึ่งประจักษ์เล่าแจ้งแถลงไข |
ถ้าเสร็จสรรพกลับมาเพลาไร | เราทรงเครื่องสิ่งใดจะให้ปัน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๖๏ บัดนั้น | สามกระบี่ฤทธิแรงแขงขัน |
ถวายบังคมลาพากัน | มาจัดสรรพหลพลโยธา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๗๏ เลือกเหล่าบ่าวไพร่เคยใช้สอย | ได้ห้าร้อยเรี่ยวแรงแขงกล้า |
ออกจากที่ประทับพลับพลา | บ่ายหน้าไปทิศหรดี |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก เชิด
๘๏ ประมาณมาห้าโยชน์ไม่หยุดหย่อน | พอรอนรอนอ่อนแสงสุริย์ศรี |
บรรลุถึงสระโบกขรณี | ประกอบมีโกมุทบุษบัน |
สารพัดสัตบงบัวหลวง | ดอกดวงเขียวแดงดังแกล้งสรรค์ |
ทั้งน้ำท่าอาไศรยได้ครบครัน | ปฤกษากันยั้งหยุดโยธา |
แล้วสามนายผ่อนพักสำนักนิ์นั่ง | ที่ร่มรังบนแท่นแผ่นผา |
เหล่ากระบี่ที่เหน็ดเหนื่อยมา | บ้างอาบน้ำอาบท่าหาฟืนไฟ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๙๏ ครั้นสิ้นแสงสุริยันจันทร์กระจ่าง | ส่องสว่างเวหาป่าใหญ่ |
ต่างนอนเล่นลมชายสบายใจ | ก็หลับไปทั้งพหลพลโยธี |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ พิราบรอน (ยักษ์ออก)
๑๐๏ บัดนั้น | อสุรศักดิปักหลั่นในสระศรี |
ดึกสงัดมัชฌิมราตรี | ขึ้นจากชลธีเที่ยวมา |
เลียบรอบขอบสระปะพวกลิง | นอนกลิ้งเกลื่อนกลาดดาดป่า |
เห็นกระบี่มีเครื่องประดับประดา | กายาเขียวขำอำไพ |
นิ่งพินิจคิดสำคัญมั่นหมาย | ไอ้ตัวนี้ดีร้ายเปนนายใหญ่ |
จะสังหารผลาญมันให้บรรไลย | แล้วจะได้จับพหลพลกระบินทร์ |
คิดพลางย่างย่องมองเมียง | ฟังเสียงเงียบระงับหลับสิ้น |
จึ่งสำแดงแผลงฤทธิ์อสุรินทร์ | โถมถีบหลานอินทร์ด้วยศักดา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๑๏ เมื่อนั้น | องคตตื่นยืนเขม้นเห็นยักษา |
จึ่งเรียกพวกพหลพลโยธา | ต่างฟื้นตื่นตาขึ้นพร้อมกัน |
ชมภูพาลลูกพระพายนายใหญ่ | ช่วยกันไล่เลี้ยวลัดสกัดกั้น |
เหล่าลิงเล็กน้อยพลอยพัลวัน | จับยักษ์ปักหลั่นสนั่นไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๒๏ ครั้นจับได้ไต่ถามอสุรา | มึงนี้มาแต่ตำบลหนไหน |
นามวงษ์พงษ์ประยูรอย่างไร | เหตุใดลอบมาในราตรี |
ไม่เกรงกูหมู่กระบินทร์สิ้นทั้งหลาย | ล้วนทหารพระนารายน์เรืองศรี |
ฤๅผู้ใดใช้สอยอสุรี | จงแจ้งความตามที่จริงไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๏ บัดนั้น | ปักหลั่นฟังแจ้งแถลงไข |
จึ่งล้มกราบขุนกระบี่ด้วยดีใจ | จะเล่าให้ท่านฟังแต่หลังมา |
เมื่อแรกเริ่มเดิมข้าเปนเทวราช | รองบาทสหัสไนยไตรตรึงษา |
ไปเปนชู้สู่สมภิรมยา | กับสุรางค์นางฟ้าชื่อมาลี |
พระเปนเจ้าดาวดึงษ์จึ่งสาปสัน | ให้เปนยักษ์ปักหลั่นเฝ้าสระศรี |
ต่อพบปะทหารพระจักรี | ผลาญชีวาข้านี้ให้บรรไลย |
จึ่งจะได้ไปเกิดเปนเทวัญ | อยู่ฉ้อชั้นวิมานทองผ่องใส |
ได้พบท่านวันนี้ก็ดีใจ | จงโปรดให้ข้าพ้นทนทรมาน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๔๏ เมื่อนั้น | สามกระบี่มีจิตรคิดสงสาร |
จึ่งตอบว่าถ้าจะใคร่บรรไลยลาญ | จะช่วยท่านให้พ้นเวทนา |
ว่าแล้วลูกพาลีมีศักดิ | ฉวยชักพระขรรค์เงื้อง่า |
กระหยับย่างสามขุมเข้ามา | พิฆาฏฆ่ากุมภัณฑ่ให้บรรไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง โอด
๑๕๏ เสร็จสังหารผลาญยักษ์ปักหลั่น | สุริยันแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล |
จึ่งตรวจตราพาพหลพลไกร | คลาไคลไปตามมรคา |
ฯ ๒ คำ ฯ รุกร้น
๑๖๏ ล่วงตำบลหนทางมาโยชน์หนึ่ง | บรรลุถึงเมืองร้างที่กลางป่า |
ทั้งสามกระบี่มีศักดา | เพ่งพิจารณาดูไป |
เห็นเขตรขัณฑ์เสมาปราการ | ภูมิฐานที่ทางกว้างใหญ่ |
จึ่งเร่งรีบรี้พลสกลไกร | เข้าไปหยุดอยู่นอกบุรี |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๑๗๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานชาญไชยศรี |
ปฤกษาว่ากับสองกระบี่ | เมืองนี้น่าฉงนเปนพ้นรู้ |
ช่างเย็นเยียบเงียบสงัดชอบกล | เหมือนไม่มีประชาชนคนผู้ |
เราจะเข้าไปผู้เดียวเที่ยวดู | ร้ายดีก็จะรู้เปนแน่นอน |
องคตชมภูพาลชาญไชย | จงพักพลไกรอยู่นี่ก่อน |
ว่าพลางขุนกระบี่มีฤทธิรอน | บทจรเข้าไปในประตู |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๑๘๏ ลดเลี้ยวเที่ยวทั่วทั้งจังหวัด | เงียบสงัดประชาชนคนผู้ |
ยิ่งพะวงสงไสยจะใคร่รู้ | จึ่งขึ้นสู่ปราสาทแก้วแววฟ้า |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
ชมโฉม
๑๙๏ เห็นนางหนึ่งงามชแล่มแช่มช้อย | นั่งร้อยดอกดวงพวงบุบผา |
ทรงโฉมประโลมเลิศลักขณา | ภักตราจิ้มลิ้มยิ้มแย้ม |
ผิวเนื้อนวลลอองเปนสองสี | โอษฐนางอย่างลิ้นจี่จีนแต้ม |
ขอบขนงก่งเหมือนดังเดือนแรม | ทั้งสองแก้มเพียงพระจันทร์วันเพ็ง |
เอวบางร่างรัดกำดัดสวาดิ | ดูผุดผาดสารพัดครัดเคร่ง |
เข้าแอบฉากแพรแสแลเล็ง | ยิ่งเพ่งยิ่งพิศยิ่งติดใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๒๐๏ แล้วคิดว่านางอยู่แต่ผู้เดียว | ถึงมิรักจักเกี้ยวให้จงได้ |
จึ่งออกจากฉากกั้นทันใด | เข้าใกล้กัลยาแล้วพาที |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชาตรี
๒๑๏ โฉมเอยโฉมเฉลา | จะถามเจ้าหน่อยนะน้องอย่าหมองศรี |
อันกรุงไกรใหญ่กว้างถึงอย่างนี้ | มีทั้งที่ปรางมาศปราสาทไชย |
อย่างไรอยู่ผู้คนจึ่งไม่เห็น | สงัดเปนป่าดงน่าสงไสย |
อนึ่งนางโฉมงามนี้นามใด | ร้อยดอกไม้สันทัดได้หัดปรือ |
น่าเอนดูอยู่แต่ลำพังตัว | เจ้าหากลัวผีหลอกไม่ดอกฤๅ |
ว่าพลางทางทำเปนแบมือ | ขอมาลีที่ถือเถิดเปนไร |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๒๒๏ เมื่อนั้น | นางบุษมาลีศรีใส |
กระถดถอยหนีลิงทิ้งดอกไม้ | ทรามไวยประหวั่นครั่นคร้าม |
แม้นมิบอกออกอรรถบัดนี้ | จะเซ้าซี้ซักไซ้ไต่ถาม |
รำคาญจิตรจึ่งแถลงแจ้งความ | เรานี้นามนางบุษมาลี |
เปนข้าองค์อมรินทร์ปิ่นเมรุมาศ | รับราชการเปนงานที่ |
เหตุด้วยท้าวเจ้าเมืองมายันนี้ | ผู้มีชื่อว่าตาวัน |
ขึ้นเฝ้าองค์อินทราสามิภักดิ | แล้วริรักสุรางค์นางสวรรค์ |
ให้ข้าช่วยสื่อชักให้รักกัน | เนื้อความนั้นทราบถึงเจ้าตรึงษ์ไตร |
จึ่งสาปท้าวเจ้าเมืองด้วยเคืองขัด | ให้วิบัติยศศักดิตักไษย |
แต่ข้าผู้รู้เห็นเปนใจ | ต้องอยู่ในธานีไม่มีคน |
เราแจ้งความตามจริงเจ้าลิงป่า | จงกลับไปเที่ยวหาผลาผล |
อย่าเฝ้าเซ้าซี้ทังวี้ทังวล | มิใช่กลใช่การรำคาญใจ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
โอ้โลม
๒๓๏ ทรามเอยทรามสงวน | เจ้าสำนวนหนักหนาจะหาไหน |
สมเปนนางฟ้าสุราไลย | ไม่มีใครทัดเทียบเปรียบนาง |
ถึงตัวพี่เปนลิงก็จริงอยู่ | แต่ว่ารู้สารพัดไม่ขัดขวาง |
ถ้าโทษทัณฑ์ของเจ้าพอเบาบาง | ช่วยแก้ไขได้บ้างอยู่นะน้อง |
ถึงมาทแม้นยังมิได้ไปสวรรค์ | พอพูดกันเช้าเย็นอยู่เปนสอง |
จะขอถามทรามสงวนนวลลออง | เจ้าสิต้องโทษาอยู่ช้านาน |
ไฉนนางนฤมลจะพ้นทุกข์ | ไปเมืองฟ้าผาศุกเกษมสานต์ |
ขอเชิญเจ้าเล่าแถลงให้แจ้งการ | เยาวมาลย์อย่าอายชม้ายเมิน |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๔๏ เมื่อนั้น | นางบุษมาลีให้ขวยเขิน |
เห็นลิงพูดสัพยอกหยอกเอิน | สทกสเทินเมินหน้าแล้วว่าไป |
มาซักไซ้ไต่สวนเอาถ้วนถี่ | เออนี่จะประสงค์ที่ตรงไหน |
เฝ้าพูดจาน่าเบื่อเหลือใจ | ถ้าบอกให้แล้วเจ้าอย่าเซ้าซี้ |
อันตัวข้าถ้านารายน์วายุกูล | ลงมาปราบประยูรยักษี |
ให้ทหารอาสามาทางนี้ | ชื่อกระบี่หณุมานชาญชิต |
ช่วยอุ้มข้าขว้างไปในอากาศ | จะสิ้นชาติสิ้นกรรมที่ทำผิด |
อันผู้อื่นจะช่วยป่วยการคิด | จงแจ้งจิตรเถิดเจ้าอย่าเฝ้าล้อ |
ฯ ๘ คำ ฯ
โอ้โลม
๒๕๏ น้องเอยน้องรัก | ไม่รู้จักพี่ยาน่าหัวร่อ |
มิใคร่จะบอกออกอรรถตัดพ้อ | จะต้องง้อเรามั่งแล้วครั้งนี้ |
พี่ฤๅคือคำแหงหณุมาน | ยอดทหารพระนารายน์เรืองศรี |
รับสั่งใช้ไปลงกาธานี | ถวายแหวนเทวีสีดา |
จริงนะนงลักษณ์อย่าควักค้อน | มาวิงวอนวานพี่ดีกว่า |
จะช่วยส่งสาวสวรรค์ไปชั้นฟ้า | ตามคำอินทราเธอว่าไว้ |
แต่ฝ่ายเจ้าจะให้อะไรพี่ | ต้องมีค่าจ้างบ้างจึ่งได้ |
ว่าพลางทางฉวยชายสไบ | ถอยหนีพี่ไยกัลยา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๖๏ เมื่อนั้น | นางบุษมาลีเสนหา |
ฟังคำรำพรรณจำนรรจา | จึ่งแกล้งว่าแนมเหน็บให้เจ็บใจ |
นี่ฤๅหณุมานชาญฉกรรจ์ | วานอย่าว่าข้ากลั้นยิ้มไม่ได้ |
เชิญกลับไปป่าหาลูกไม้ | ข้าไม่เคยพบประจบประแจง |
จะบอกเจ้าเอาบุญขุนกระบี่ | เมื่อโกสีย์สาปไว้เราได้แจ้ง |
หณุมานชาญชิตฤทธิแรง | แล้วก็แผลงฤทธิ์หาวเปนดาวเดือน |
ไม่ว่าเล่นเช่นเจ้าเรารู้จัก | อยู่สำนักนิ์ยูงยางกลางเถี่อน |
ถ้าแม้นดีมีฤทธิ์อย่าบิดเบือน | ทำดาวเดือนดูเล่นก็เปนไร |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๗๏ น้องเอยน้องแก้ว | ไม่พ้นมือพี่แล้วอย่าสงไสย |
มาตบมือพนันกันไว้ | จะหาวให้เจ้าเห็นเปนสำคัญ |
ว่าพลางทางแผลงสำแดงเดช | หิมเวศเวียงไชยไหวหวั่น |
เหาะหาวเห็นเหมือนเดือนตวัน | อยู่ตรงบัญชรแก้วแววไว |
ฯ ๔ คำ ฯ คุกภาษ
๒๘๏ เมื่อนั้น | นางบุษมาลีศรีใส |
เห็นประจักษ์ทักแท้แน่แก่ใจ | อรไทยขวยเขินเมินเมียง |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๙๏ เมื่อนั้น | หณุมานกระแอมไอให้เสียง |
มาจูงนางนฤมลขึ้นบนเตียง | แล้วกล่าวเกลี้ยงสัพยอกหยอกเย้า |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้โลม
๓๐๏ เจ้าเอยเจ้าพี่ | ทีนี้จะสงไสยฤๅไม่เล่า |
ที่สัญญาว่าไว้อย่างไรเรา | อย่ามาเฝ้าอายเอียงเมียงมัน |
ท้าวโกสีย์สาปจำเภาะเจาะจง | ให้พี่ส่งทรามไวยไปสวรรค์ |
ไหนไหนก็รู้อยู่ด้วยกัน | จงผินผันภักตรามาพาที |
ว่าพลางทางประโลมลูบต้อง | อุยหน่าน้องอย่าหยิกพลิกผลักพี่ |
สาวสวรรค์ขวัญตาจงปรานี | ผินหน้ามาข้างนี้เถิดนงลักษณ์ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๓๑๏ เมื่อนั้น | นางบุษมาลีมีศักดิ |
ได้ฟังลิงวิงวอนทำค้อนควัก | ขวยเขินเมินภักตร์แล้วตอบไป |
ถึงเจ้าหาวให้เห็นเปนสำคัญ | แต่เท่านั้นเชื่อฟังยังไม่ได้ |
แม้นส่งน้องไปถึงตรึงษ์ไตร | เหมือนอินทราว่าไว้จะเห็นจริง |
เจ้าใช้สอยสิ่งใดก็ไม่ขัด | สารพัดจะประนอมยอมทุกสิ่ง |
เอออะไรนี้เล่าเฝ้าแอบอิง | นางสบิ้งสบัดปัดป้องกัน |
ฯ ๖ คำ ฯ
โอ้โลม
๓๒๏ สุดเอยสุดสวาดิ | แสนฉลาดลิ้นลมคมสัน |
ลวงล่อเลือกว่าสารพัน | ถ้าเช่นนั้นโฉมฉายสบายใจ |
ขึ้นอยู่ถึงสวรรค์ชั้นอินทร์พรหม | ใครจะตามไปชมเชยได้ |
จะลวงกันให้เก้อเอออะไร | พอรู้เท่าเข้าใจอยู่ดอกน้อง |
ว่าพลางทางทำทอดสนิท | แนบชิดเชยชมสมสอง |
ระทวยทอดกอดเกี่ยวกรตระกอง | ตามทำนองเสนหาประสาลิง |
บังเกิดเปนคลื่นคลั่งฝั่งสมุท | กุมภาผุดฝ่าละลอกกลอกกลิ้ง |
ฟ้าลั่นครั่นครื้นดังปืนยิง | พยุยิ่งฮือฮือกระพือพัด |
ประเดี๋ยวดลฝนตกลงซู่ซู่ | ท่วมคูขอบวังทั้งจังหวัด |
ถ้อยทีภิรมย์โสมนัศ | ตามกำหนัดเสนหาอาวรณ์ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ นางนก
ช้า
๓๓๏ เมื่อนั้น | นางบุษมาลีศรีสมร |
ร่วมภิรมย์สมสวาดิวานร | บังอรประดิพัทธผูกพัน |
ลืมถวิลสิ้นกังวลที่ทนทุกข์ | เปนศุขกว่าได้ไปสวรรค์ |
อิงแอบแนบนั่งนวดฟั้น | เกษมสันต์สมถวิลยินดี |
เห็นวานรหลอนหลอกหยอกเอิน | นางอายเอียงเมียงเมินภักตร์หนี |
สัพยอกหยอกหยิกซิกซี้ | แย้มสรวลยวนยีปรีดา |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๓๔๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรสุดแสนเสนหา |
เชยชมสมสวาดิไม่คลาศคลา | ด้วยนางเทพธิดายาใจ |
แล้วคิดถึงราชการพระผ่านเกล้า | ให้สร้อยเศร้าสท้อนถอนใจใหญ่ |
จำเปนจำพรากจากไป | จึ่งลูบไล้โลมนางพลางพูดจา |
เจ้าพี่เอ๋ยเคยแอบแนบข้าง | ถ้าอยู่ได้ไม่ร้างเสนหา |
นี่จนจิตรจำใจไปลงกา | ส่วนสุดาก็จะไปไตรตรึงษ์ |
จะแลลับนับปีมิได้เห็น | ทุกเช้าเย็นพี่จะนึกลำฦกถึง |
แต่โฉมตรูอยู่แดนดาวดึงษ์ | จะคนึงนึกบ้างฤๅอย่างไร |
ฯ ๘ คำ ฯ
๓๕๏ เมื่อนั้น | นางบุษมาลีศรีใส |
ได้ฟังคำร่ำว่ายิ่งอาไลย | กราบไหว้วิงวอนชอ้อนลา |
ซึ่งตัวน้องต้องสาปท้าวโกสีย์ | จะพึ่งบุญขุนกระบี่เปนศุขา |
แต่ทุกข์ถึงท่านจะไปในหิมวา | มรคากันดารสงสารนัก |
ถึงตัวน้องจะได้ไปสวรรค์ | ไม่วายวันวิตกเพียงอกหัก |
ว่าพลางนางกรรแสงซบภักตร์ | ร่ำรักพระยาวานร |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๓๖๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรสุดเสียดายสายสมร |
จึ่งโลมเล้าลูบหลังบังอร | สท้อนถอนใจใหญ่อาไลยลา |
เปนบุญพี่กับเจ้าเท่านั้น | ค่อยประสบพบกันต่อชาติหน้า |
จะช่วยส่งสาวสวรรค์ไปชั้นฟ้า | แล้วจะลาทรามไวยไปราชการ |
ว่าพลางอิงแอบแนบสนิท | จุมพิตเชยภักตร์สมัคสมาน |
พิไรร่ำล่ำลาอยู่ช้านาน | แล้วจูงองค์นงคราญลีลามา |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๓๗๏ ถึงพระลานพื้นล่างข้างปราสาท | ใจจะขาดด้วยความเสนหา |
ต่างสอื้นยืนเช็ดชลนา | ขอษมาพาทีพิรี้พิไร |
แล้วกลับนึกมานะสละรัก | จะพิศภักตร์กัลยาก็หาไม่ |
ประคองกรช้อนองค์อรไทย | ขว้างไปยังสวรรค์ชั้นวิมาน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๓๘๏ ครั้นเสร็จส่งนางบุษมาลี | ขุนกระบี่เปล่าจิตคิดสงสาร |
บทจรจากชลาน่าพระลาน | รีบออกนอกทวารเวียงไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๓๙๏ ครั้นพบสองกระบี่กับรี้พล | ต่างตนยินดีจะมีไหน |
วายุบุตรบอกยุบลแต่ต้นไป | โดยได้ประสบพบนารี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๔๐๏ แล้วให้ตรวจตราวานร | พรั่งพร้อมนิกรกระบี่ศรี |
คลี่คลายขยายยกโยธี | จรลีไปตามพนาวา |
ฯ ๒ คำ ฯ รุกร้น
๔๑๏ ครั้นถึงฝั่งสมุทไทยใหญ่กว้าง | แลเห็นนางแน่งน้อยเสนหา |
เหมือนคำบุษมาลีที่บอกมา | ก็รู้ว่าพระสมุทหยุดถามไป |
ดูก่อนกัลยาในวารี | เมืองลงกาธานีไปทางไหน |
เรานี้ชื่อหณุมานชาญไชย | ทหารใหญ่องค์พระหริรักษ์ |
รับสั่งใช้ให้เอาธำมรงค์ | ไปเฝ้าองค์มเหษีมีศักดิ |
แล้วจะยกทวยหาญไปผลาญยักษ์ | จงประจักษ์แจ้งให้เราไคลคลา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๔๒๏ เมื่อนั้น | พระสมุทฟังคำที่ร่ำว่า |
นิ่งรฦกนึกได้ในวิญญา | เหมือนคำเจ้าโลกาว่าไว้ |
ปางนี้นารายน์อวตาร | จะมาผลาญพวกยักษ์ให้ตักไษย |
จึ่งร้องบอกหณุมานชาญไชย | หนทางไปข้างทิศหรดี |
ที่ดูเหมือนเมฆาเมื่อสายัณห์ | คือเขาเหมติรันคิรีศรี |
ครั้นเสร็จคำร่ำบอกขุนกระบี่ | ก็หายไปในที่ชโลธร |
ฯ ๖ คำ ฯ รัว
๔๓๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานชาญสมร |
จึ่งปฤกษาสองกระบี่มีฤทธิรอน | อันมหาสาครนี้กว้างครัน |
เราจะนิมิตรหางต่างตะพาน | ให้ทวยหาญทั้งหลายผายผัน |
ว่าแล้วหณุมานชาญฉกรรจ์ | ยืนยันร่ายเวทวิทยา |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๔๔๏ บันดาลกายใหญ่เยี่ยมเทียมเวหน | หางกระหวัดรัดต้นพฤกษา |
ตัวไปอยู่ฟากขโน้นตะโกนมา | ให้โยธาเร่งข้ามตามไป |
ฯ ๒ คำ ฯ
๔๕๏ บัดนั้น | บรรดาพวกพหลพลไพร่ |
ไต่ตามหางนายสบายใจ | ถือกิ่งไม้รำต่างหางนกยูง |
บ้างทำทีไต่ลวดอวดกันเล่น | นี่แน่ดูกูจะเปนพวกไม้สูง |
บ้างกลัวตกต้องคลานวานเพื่อนจูง | ข้ามไปได้ทั้งฝูงวานร |
ฯ ๔ คำ ฯ ปี่กลอง
๔๖๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรห้าวหาญชาญสมร |
ครั้นเสร็จข้ามโยธาพ้นสาคร | ก็รีบร้อนพาพลด้นเดินไพร |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๔๗๏ ล่วงทางกลางป่าพนาวัน | มาถึงเหมติรันเขาใหญ่ |
ไม่มีมรคาจะคลาไคล | ล้วนหนามไหน่รกรอบขอบคิริน |
จะไปโดยป่าชัฏก็ขัดขวาง | ต้องเดินทางชง่อนก้อนหิน |
ทั้งสามนายพาพหลพลกระบินทร์ | เลียบตามเนินคิรินรีบไป |
ฯ ๔ คำ ฯ พระยาเดิน
๔๘๏ ถึงยอดเหมติรันบรรพต | พร้อมหมดพลนิกายนายไพร่ |
ดูสูงเยี่ยมเทียมเมฆวิเวกใจ | อยู่ใกล้ฝั่งมหาวารี |
เห็นศิลาลายเลื่อมเงื้อมง้ำ | เปนปากถ้ำที่อยู่หมู่ปักษี |
วายุบุตรหยุดพักพวกกระบี่ | ให้คลายคลี่ที่เหนื่อยเลื่อยล้า |
ฯ ๔ คำ ฯ
๔๙๏ บัดนั้น | พวกวานรเหน็ดเหนื่อยเมื่อยขา |
บ้างนั่งยืนเหยียดหยัดดัดกายา | ต่างโหยหิวนิ่วหน้าเข้าหากัน |
บ้างก็ว่ามาถึงทเลกว้าง | สิ้นตำบลหนทางจะผายผัน |
เห็นแต่น้ำกับฟ้าน่าอัศจรรย์ | จะพากันมาค้างอยู่อย่างนี้ |
ที่ใจฅอท้อแท้ก็ทุกข์ร้อน | มาทแม้นม้วยมรณ์อยู่ที่นี่ |
ลูกเมียจะเห็นใจก็ไม่มี | พวกกระบี่บ่นบ้าต่อหน้านาย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๕๐๏ เมื่อนั้น | หณุมานเห็นพลระส่ำระสาย |
จึ่งแกล้งพูดชักทำเนียบเปรียบปราย | เราอาสาพระนารายน์มาครั้งนี้ |
จงดูเยี่ยงสดายุที่วายปราณ | จึ่งควรเปนทหารผลาญยักษี |
ถึงม้วยมุดสุดสิ้นชีวี | ความดีก็จะอยู่คู่ดินฟ้า |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๕๑๏ เมื่อนั้น | สำพาทีที่อยู่ในคูหา |
ได้ยินว่าสดายุมรณา | ก็ออกมาจากถ้ำอำไพ |
ฯ ๒ คำ ฯ คุกภาษ
๕๒๏ หยุดยืนยังชวากปากเหว | เห็นลิงเลววิ่งตะเพิ่นเนินไศล |
แต่สามนายยืนขวางทางไว้ | จึ่งปราไสไต่ถามเนื้อความพลัน |
ดูราวานรสามนาย | ท่านผันผายมาไยในไพรสัณฑ์ |
ซึ่งสุดายุตายวายชีวัน | ใครฆ่าฟันช่วยแถลงแจ้งกิจจา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๓๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานหาญกล้า |
จึ่งเล่าเรื่องทศภักตร์ลักสีดา | จนปักษาสิ้นชีวันบรรไลย |
บัดนี้องค์พระอวตาร | จะตามผลาญโคตรยักษ์ให้ตักไษย |
จึ่งใช้เราผู้ทหารชาญไชย | ไปสืบข่าวอรไทยในเมืองมาร |
เออไฉนไยขนจึ่งหล่นร่วง | ไม่เหมือนนกทั้งปวงน่าสงสาร |
นี่เปนเพศพืชพันธุ์สันดาน | ฤๅเหตุการณ์เคืองเข็ญเปนอย่างไร |
ฯ ๖ คำ ฯ
๕๔๏ เมื่อนั้น | สำพาทีฟังกระบินทร์สิ้นสงไสย |
รู้ว่าน้องร่วมครรภ์บรรไลย | สลดใจเปนพ้นคณนา |
แล้วเล่าความตามตัวต้องสาปสัน | มาอยู่เหมติรันภูผา |
ต่อนารายน์วายุกูลลงมา | ใช้ทหารไปลงกาธานี |
ให้พร้อมพรั่งตั้งโห่ขึ้นสามหน | จึ่งขนจะงอกงามตามที่ |
บัดนี้ท่านก็มาจงปรานี | เราจะชี้ทางให้ไปลงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๕๕๏ เมื่อนั้น | สามกระบินทร์ยินดีเปนหนักหนา |
จึ่งเรียกพวกพหลพลโยธา | มาพร้อมหน้าแล้วโห่ขึ้นสามที |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว เจรจา
๕๖๏ เมื่อนั้น | สำพาทีราชปักษี |
ขนงอกออกสิ้นก็ยินดี | จึ่งพาทีกับสามวานร |
ท่านสงเคราะห์เพราะเมตตาการุญ | เปนบุญคุณใหญ่ยิ่งกว่าศิงขร |
ซึ่งสงไสยไม่แจ้งทางจร | เราจะบอกวานรอย่าร้อนใจ |
อันลงกาธานีไม่มีทาง | เปนเกาะตั้งอยู่กลางทเลใหญ่ |
พอรุ่งแสงสุริยาจะพาไป | ช่วยบอกให้เห็นทวีปเมืองมาร |
ฯ ๖ คำ ฯ
๕๗๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ |
จึ่งว่ากับองคตชมภูพาล | เราท่านอาสามาครั้งนี้ |
เปนความลับรับสั่งให้สืบสาว | พอรู้ข่าวองค์พระมเหษี |
ไปมากนักยักษ์มารมันรู้ที | เสียแรงที่เราท่านป่วยการมา |
พี่จะใคร่ให้น้องทั้งสองคน | คุมพลคอยอยู่ที่ภูผา |
แต่ตัวพี่นี้จะลอบไปลงกา | สืบข่าวนางสีดายาใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๕๘๏ ครั้นปฤกษาพร้อมเสร็จสำเร็จการ | หณุมานยินดีจะมีไหน |
จึ่งว่ากับปักษาช่วยพาไป | บอกให้เห็นเกาะลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๕๙๏ เมื่อนั้น | สำพาทีเกษมสันต์หรรษา |
จึ่งให้ขุนกระบี่มีศักดา | ขึ้นบนหลังสกุณาทันใด |
ทยานยืนเหยียบชง่อนก้อนหิน | เผ่นกระพือปีกบินแผ่นดินไหว |
ผันผยองล่องฟ้านภาไลย | ลอยไปคว้างคว้างกลางอัมพร |
ฯ ๔ คำ ฯ แผละ
๖๐๏ มาถึงกึ่งกลางเวหา | สกุณาราปีกเรื่อยร่อน |
แล้วบอกว่าดูราวานร | โน่นนครลงกาธานี |
เหมือนจอกน้อยลอยอยู่กลางสมุท | แลสุดสายเนตรในวิถี |
นั่นนินทกาลาคิรี | อยู่ที่ท่ามกลางเมืองมาร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๑๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ |
แลเขม้นเห็นยอดนินทกาล | หณุมานยินดีปรีดา |
จึ่งว่ากับพระยาสำพาที | ครั้งนี้มีคุณข้าหนักหนา |
เรารู้แห่งเมืองยักษ์ประจักษ์ตา | จะขอลาท่านเร่งรีบไป |
ว่าแล้วเลื่อนลงจากหลังนก | ให้วิหคกลับมาที่อาไศรย |
ลูกพระพายหมายมุ่งกรุงไกร | เหาะไปลงกาธานี |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด พิราบรอน (ยักษ์ออก)
๖๒๏ เมื่อนั้น | นางผีเสื้อสมุทยักษี |
กายาใหญ่หลวงพ่วงพี | เที่ยวอยู่ที่กลางสมุทผุดขึ้นมา |
ผันแปรแลเหลือบเห็นวานร | จะเหาะข้ามไปนครยักษา |
กระเดาะปากกระดากลิ้นเหลือกตา | ขึ้นขวางหน้าหณุมานชาญชิต |
ดุเดือดเงือดเงื้อกระบองเหล็ก | แล้วว่าเหวยลิงเล็กกระจิหริด |
ไม่เกรงหมู่อสุรีมีฤทธิ์ | บังอาจจิตรจะตรงไปลงกา |
กูอยู่ในวังวนชลธาร | เปนแดนด่านทศภักตร์ยักษา |
จะสังหารผลาญมึงให้มรณา | ว่าพลางแกว่งคทาเข้าโถมตี |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๖๓๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานชาญไชยศรี |
แขงข้อต่อสู้อสุรี | ถ้อยทีสัปรยุทธยุทธแย้ง |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๖๔๏ บัดนั้น | ผีเสื้ออสุรากล้าแขง |
ยิ่งพิโรธโกรธเกรี้ยวเรี่ยวแรง | ทำอำนาจผาดแผลงศักดา |
นิ่วหน้าอ้าโอษฐใหญ่กว้าง | มืดมิดปิดทางขวางหน้า |
ทลึ่งโลดโดดไล่ไขว่คว้า | จะคาบเคี้ยวกายาวานร |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๖๕๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานชาญสมร |
รบรับจับประจัญฟันฟอน | หมายสังหารราญรอนอสุรา |
แล้วเข้าไปในปากกุมภัณฑ์ | ออกทางข้างกรรณเบื้องขวา |
กลับเข้ากรรณซ้ายด้วยศักดา | ทลุออกกระบอกตาอสุรี |
แล้วลงตามลำไส้ด้วยไวว่อง | เอาตรีแตระแหวะท้องยักษี |
ลากไส้ออกมาจากนาภี | อสุรีล้มดิ้นสิ้นชีวา |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๖๖๏ เสร็จสังหารผลาญผีเสื้อสมุท | วายุบุตรเกษมสันต์หรรษา |
ผาดแผลงสำแดงเดชา | เหาะข้ามคงคาสาคร |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๖๗๏ มาถึงโสฬศศีขรินทร์ | คิดว่านินทกาลาศิงขร |
ก็เคลื่อนคล้อยลอยลงจากอัมพร | หยุดยืนยังชง่อนก้อนศิลา |
พอเหลือบเห็นหลังคาอาศรม | ที่เชิงไศลใต้ร่มพฤกษา |
ขุนกระบินทร์ยินดีปรีดา | ก็อ่านเวทวิทยาอาคม |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๖๘๏ จำแลงกายกลายกลับเปนลิงน้อย | กระจ้อยร่อยหงอยเหงาเกาผม |
ลงจากเขาเขินเนินพนม | ตรงเข้ามาอาศรมพระสิทธา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๖๙๏ เมื่อนั้น | พระมุนีนารทพรตกล้า |
อยู่ปลายแดนแผ่นดินเมืองลงกา | วิทยาสารพัดจัดเจน |
พวกชาวป่ามาเปนศิษย์ติดสอย | ทั้งลูกเล็กเด็กน้อยเณรเถร |
ครั้นรอนรอนอ่อนแสงสุริเยนทร์ | เล่าสวดมนต์กนเกนก้องไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๗๐๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
แลเห็นพระมุนีก็ดีใจ | จึ่งเขาไปกราบลงตรงภักตรา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๗๑๏ เมื่อนั้น | องค์พระอาจารย์ฌานกล้า |
ไม่รู้จักว่าใครใส่แว่นตา | มองเขม้นเห็นหน้าวานรน้อย |
จึ่งทักถามไปพลันทันใด | มาแต่ไหนไอ้ลิงกระจ้อยร่อย |
ไม่มีเพื่อนพวกพ้องเที่ยวกรองกรอย | ฤๅเปนง่อยเปนเปลี้ยเสียหูตา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๒๏ บัดนั้น | วายุบุตรเสแสร้งแกล้งว่า |
ได้ยินเขาเล่าเรื่องเมืองลงกา | อุประมาเหมือนสวรรค์ชั้นวิมาน |
จะใคร่ไปดูเล่นให้เห็นแจ้ง | ไม่รู้แห่งนัคเรศเขตรสถาน |
จึ่งหลงมาอาศรมพระทรงญาณ | จงโปรดปรานชี้แจงให้แจ้งใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๓๏ เมื่อนั้น | พระมุนีมิทันสงไสย |
จึ่งว่าเคอะจริงจริงไอ้ลิงไพร | ช่างผิดเพื่อนเหมือนไม่มีลูกตา |
โน่นแน่แลดูตรงกูชี้ | คือบุรีทศภักตร์ยักษา |
เองจำเอาเขานินทกาลา | อยู่ท่ามกลางลงกาธานี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๔๏ บัดนั้น | หณุมานหมายจำคำฤๅษี |
แล้วเสแสร้งสนทนาพาที | วันนี้สุริยนสนธยา |
ถึงจะไปในค่ำจำมิได้ | ขออาไศรยพระองค์ทรงสิกขา |
หลับนอนให้สบายหายเลื่อยล้า | พอรุ่งแสงสุริยาจะลาไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๕๏ เมื่อนั้น | องค์พระสิทธาอัชฌาไศรย |
จึ่งว่ากับวานรอย่าร้อนใจ | ศาลามีกว้างใหญ่ไอ้กะโต |
กูทำไม้ทองหลางไว้ต่างหมอน | เองหลับนอนให้บรมศุโข |
แล้วเลือกหยิบส้มสูกลูกตะโก | เอาใส่โอให้กระบินทร์กินตามจน |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๗๖๏ ครั้นค่ำจึ่งว่ากับวานร | กูจะจำเริญพรแผ่ผล |
เองไปนอนให้สบายหายร้อนรน | ที่บนศาลาหน้ากุฎี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๗๗๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานชาญไชยศรี |
คำนับรับคำพระมุนี | จรลีตรงมาศาลาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๗๘๏ นั่งเอกเขนกนิ่งอิงเสา | กอดเข่าคิดพะวงสงไสย |
ไฉนหนอพระมุนีชีไพร | มาอยู่ในแว่นแคว้นแดนยักษ์มาร |
จะเปนแต่แก่แล้วออกสร้างพรต | ฤๅปรากฎวิทยาจึ่งกล้าหาญ |
จำจะต้องลองฤทธิ์พระอาจารย์ | ให้แจ้งการว่าเจ้ากูรู้อย่างไร |
ดำริห์พลางทางนิ่งสำรวมกาย | ลูกพระพายนบนิ้วประนมไหว้ |
อ่านอาคมขลังตั้งใจ | ให้กายใหญ่คับบรรณศาลา |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๗๙๏ แล้วร้องว่าเจ้าคุณพระมุนี | ศาลาหลังนี้เล็กหนักหนา |
มิรู้ที่จะขยับกลับกายา | ต้องงอขาคุดคู้อยู่อย่างไร |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๘๐๏ เมื่อนั้น | พระดาบศหลากจิตรคิดสงไสย |
เมื่อศาลาห้าห้องเขาสร้างไว้ | ไฉนไอ้ลิงป่าว่าอย่างนี้ |
มันจะแกล้งกวนกูอยู่ไม่ศุข | ฉวยเทียนจุดผุดลุกขึ้นจากที่ |
จับไม้ท้าวก้าวลงจากกุฎี | จรลีมาศาลาน่าวัด |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๘๑๏ เขม้นมองป้องหน้าเห็นวานร | ทั้งกายกรโตใหญ่ไอ้สนัด |
น้อยฤๅแกล้งข้าสารพัด | ทุดไอ้สัตวเดรฉานเจ้ามารยา |
แม้นมิแผลงฤทธิไกรให้มันดู | จะหลบหลู่ฤๅษีชีป่า |
ดำริห์พลางทางสำรวมวิญญา | โอมอ่านคาถาทันใด |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๘๒๏ เดชะวิทยาพระอาจารย์ | ศาลานั้นบันดาลกว้างใหญ่ |
จึ่งว่าเหวยไอ้ลิงนิ่งอยู่ไย | มิมุดหัวนอนให้เต็มศาลา |
เมื่อตะกี้น้อยฤๅร้องอื้อฉาว | จะใคร่แพ่นด้วยไม้ท้าวให้หัวผ่า |
จองหองลองฤทธิ์กับสิทธา | บ่นพลางทางมายังกุฎี |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๘๓๏ บัดนั้น | หณุมานหัวร่อล้อฤๅษี |
จำจะลองเจ้ากูดูอิกที | แล้วกระบี่สำรวมกายร่ายมนตรา |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๘๔๏ ตัวโตเต็มศาลาทั้งห้าห้อง | แล้วแกล้งร้องว่าช่วยด้วยเจ้าข้า |
ที่เล็กกระจิริดให้นิทรา | มิเชื่อมาดูเอาเถิดเจ้าคุณ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๘๕๏ เมื่อนั้น | พระนักสิทธิคิดโมโหหันหุน |
จะสวดมนต์ภาวนาหาส่วนบุญ | ไอ้เจ้ากรรมทำวุ่นทั้งวัดวา |
จำจะไปดูแลแก้เผ็ด | เอาให้เข็ดให้ได้ไอ้ลิงป่า |
ฉวยไม้ท้าวก้าวลงจากศาลา | บ่นด่าพึมพำพร่ำไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๘๖๏ มองเขม้นเห็นลิงเผือกผู้ | คุดคู้คับศาลาอาไศรย |
จึ่งคิดว่าวานรนี้อาจใจ | จำจะให้ตากฝนทนเวทนา |
ดำริห์แล้วพระอาจารย์อ่านอาคม | บังเกิดลมตึงตังไปทั้งป่า |
พระพิรุณร่วงโรยโปรยลงมา | ต้องวายุบุตรวุฒิไกร |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ รัว
๘๗๏ บัดนั้น | หณุมานถูกฝนทนไม่ได้ |
รูปจำแลงแปลงกายก็หายไป | เหมือนจับไข้สั่นท้าวหนาวสท้าน |
ให้เยือกเย็นเปนเหน็บทุกขุมขน | สุดทนทรมาจึ่งว่าขาน |
เท่านั้นเถิดเจ้าข้าพระอาจารย์ | ทีนี้ฉานหลาบเข็ดจงเมตตา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๘๘๏ เมื่อนั้น | พระนารทหัวเราะพลางทางว่า |
เปนไรไม่โตเต็มศาลา | สมน้ำหน้าจองหองร้องทำไม |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๘๙๏ ครั้นเห็นตัวสั่นท้าวหนาวเต็มที | เวทนาปรานีเสียไม่ได้ |
จึ่งว่าเหวยไอ้ลิงมาผิงไฟ | แล้วพาไปกุฎีที่เพลิงกอง |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๙๐๏ บัดนั้น | วายุบุตรสุดทนขนสยอง |
เข้าผิงหน้าผิงหลังนั่งยองยอง | อุส่าห์มองโก่งฅอก่ออัคคี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๙๑๏ ครั้นค่อยเคลื่อนคลายหายหนาว | จึ่งแกล้งกล่าวสรรเสริญพระฤๅษี |
คุณของผู้เปนเจ้าคราวนี้ | ให้อัคคีผิงกายสบายใจ |
ว่าพลางทางลาพระนักธรรม์ | จรจรัลมาศาลาที่อาไศรย |
เอนเอกเขนกนอนกับหมอนไม้ | ก็หลับไปในเพลาราตรี |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๙๒๏ เมื่อนั้น | พระมหานารทฤๅษี |
จึ่งคิดว่าวานรตัวนี้ | ท่วงทีทนงนึกฮึกฮัก |
มันลองกูกูจะต้องลองมันมั่ง | ดูกำลังฤทธิไกรให้ประจักษ์ |
แล้วออกจากกุฎีที่สำนักนิ | ฉวยชักไม้ท้าวก้าวเดินมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๙๓๏ ครั้นถึงสระโบกขรณี | จึ่งหยุดยืนอยู่ที่แผ่นผา |
บริกรรมสำรวมวิญญา | เศกไม้ท้าวพระสิทธาด้วยฤทธี |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๙๔๏ แล้วทิ้งน้ำซ้ำสาปให้เปนปลิง | จงคอยลิงลงมาท่าสระศรี |
คเนเมื่อหมอบก้มอมวารี | เกาะเอาที่ลูกคางอย่าวางมัน |
ถึงมาทแม้นมีฤทธิ์จะปลิดปลด | อย่าหลุดหมดเหมือนคำพร่ำสาปสัน |
แล้วงกเงิ่นเดินกลับมาฉับพลัน | คืนเข้าอรัญกุฎี |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๙๕๏ บัดนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรไชยศรี |
ครั้นรุ่งรางส่างแสงพระรวี | ขุนกระบี่ฟื้นกายสบายใจ |
ลุกขึ้นบิดขี้เกียจเหยียดแขนขา | ตามประสาเพศลิงนิ่งไม่ได้ |
แล้วลงจากศาลาคลาไคล | ตรงไปสระโบกขรณี |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๙๖๏ แต่พอก้มอมน้ำที่ในสระ | ชัลลุกะเกาะคางกระบี่ศรี |
สดุ้งโดดโลดลอยขึ้นทันที | ขุนกระบี่เห็นปลิงวิ่งวุ่นวาย |
สองมือจับหลับตากระชากฉุด | ปลิงไม่หลุดล้มคว่ำคมำหงาย |
กลัวจะคืบเข้าปากขากน้ำลาย | ลูกพระพายปลิดปลิงเปนสิงคลี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๙๗๏ ยิ่งดึงยิ่งลื่นยิ่งคลื่นไส้ | เปนจนใจวิ่งมาหาฤๅษี |
นั่งลงตรงหน้าแล้วพาที | พระมุนีโปรดด้วยช่วยปลิดปลิง |
ฯ ๒ คำ ฯ
๙๘๏ เมื่อนั้น | พระดาบศบริกรรมทำนั่งนิ่ง |
จะฉุดชักผลักไสไม่ไหวติง | แกล้งให้ลิงวอนว่าอยู่ช้านาน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๙๙๏ แล้วทำเปนเขม้นมองป้องหน้า | ถามว่าอะไรไอ้เดรฉาน |
ไยมิแผลงฤทธิไกรไชยชาญ | แต่ปลิงเท่าสายพานต้องวานกู |
นี่ทำไว้ให้รู้จักสำนึก | เองอย่าฮึกต่อไปนะไอ้หู |
แล้วปลิดปลิงจากคางวางให้ดู | คือไม้ท้าวของกูไปเกาะมึง |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๐๏ บัดนั้น | ขุนกระบี่มิรู้ที่จะโกรธขึ้ง |
หัวเราะพลางทางนิ่งนึกรำพึง | เราคิดไปไม่ถึงพระสิทธา |
จึ่งก้มเกล้ากราบไหว้อไภยโทษ | ขอพระองค์จงโปรดเกษา |
ซึ่งได้คิดผิดพลั้งแต่หลังมา | อย่าเปนเวราแก่ข้าน้อย |
สายอยู่แล้วจะลาพระอาจารย์ | ไปเที่ยวชมเมืองมารเล่นสักหน่อย |
แล้วออกจากอาวาศคลาศคล้อย | เหาะลอยลิ่วตรงไปลงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด กราว (ยักษ์ออก)
๑๐๑๏ เมื่อนั้น | นางอังกาศตไลมารหาญกล้า |
เปนปิศาจเสื้อเมืองเรืองฤทธา | สี่หน้าแปดมือถืออาวุธ |
เห็นลิงเหาะลอยลงมาตรงวัง | ให้แค้นคั่งขัดใจดังไฟจุด |
ร้องเรียกพลพวกผีมีฤทธิรุตม์ | ขึ้นขวางหน้าวายุบุตรแล้วถามไป |
เหวยเหวยสวาวานร | จะเหาะข้ามนครไปไหน |
กูคือเสื้อเมืองเรืองฤทธิไกร | จะสังหารมึงให้วายปราณ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๐๒๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ |
โกรธาว่าเหวยปิศาจมาร | กูเปนหลานพาลีมีศักดา |
มึงเปนแต่ปิศาจชาติยักษ์ | มาฮึกฮักกีดทางขวางหน้า |
เร่งหลบหลีกไปอย่าได้ช้า | แม้นขืนอยู่กูจะฆ่าเสียบัดนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๓๏ เมื่อนั้น | เสื้อเมืองเคืองคำกระบี่ศรี |
จึ่งว่าเหม่ไอ้ลิงหยิ่งเต็มที | มึงจะมีฤทธิไกรกะไรมา |
พลางทำอำนาจประกาศก้อง | สั่งพวกพ้องผีพรายร้ายกล้า |
จงจับไอ้ลิงไพรอย่าได้ช้า | พิฆาฏฆ่าให้มันบรรไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๔๏ บัดนั้น | อสุรีปีศาจน้อยใหญ่ |
พรั่งพร้อมล้อมลิงเข้าชิงไชย | หมายใจจะฆ่าวานร |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๐๕๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานชาญสมร |
โจนจับประจัญบานราญรอน | หลอกหลอนไล่กระชิดติดพัน |
ทยานขึ้นยืนเหยียบพวกผี | แกว่งตรีป้องปัดผัดผัน |
แขงข้อต่อแย้งแทงฟัน | พลกุมภัณฑ์ผีพรายตายเต็มไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ตีกาก
๑๐๖๏ เมื่อนั้น | เสื้อเมืองเคืองขัดอัชฌาไศรย |
ถือคทาธรแกว่งดังแสงไฟ | เข้าชิงไชยรบรุกคลุกคลี |
หวดซ้ายป่ายขวาสามารถ | ลิงฉลาดหลอกโลดโดดหนี |
ยิ่งโกรธาดาแดงดังอัคคี | ตามตีติดพันกระชั้นมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๐๗๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า |
รบรับสัปรยุทธยุทธนา | แกล้วกล้ากลอกกลับจับประจัญ |
ขึ้นเหยียบบ่าคว้าฉวยชิงกระบอง | ปัดป้องเปลี่ยนผลัดผัดผัน |
ว่องไวไล่กระชิดติดพัน | หักโหมโรมรันราวี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๐๘๏ ปิศาจเสื้อเมืองมารซานทรุด | วายุบุตรยุดเหยียบยักษี |
แกว่งพระขรรค์ฟันเศียรอสุรี | สุดสิ้นชีวีวายปราณ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๐๙๏ เสร็จสังหารอสุราเพลาเย็น | จึ่งแลเห็นลงการาชฐาน |
มีพวกยักษ์รักษาป้อมปราการ | หณุมานนิ่งพินิจแล้วคิดพลาง |
จำจะแปลงปลอมปนพลกุมภัณฑ์ | มันจะพูดจากันอย่างไรบ้าง |
เผื่อจะรู้เรื่องราวข่าวนาง | ดำริห์พลางลูกพระพายร่ายมนต์ |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๑๑๐๏ เปนยักษ์หนุ่มนุ่งลายตะพายย่าม | ลงเดินตามแถวทางกลางถนน |
เข้าพวกอสูรเหล่าชาวพล | ปลอมปนเที่ยวดูในบูรี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๑๑๏ บัดนั้น | พวกยักษ์รักษาน่าที่ |
ครั้นสิ้นแสงสุริยาราตรี | เสียงอึงมี่ตีฆ้องกองไฟ |
พวกชาวป้อมล้อมวังทั้งหลาย | มีหมื่นขุนมุลนายกำกับไพร่ |
สารวัดเที่ยวตรวจทุกหมวดไป | เห็นใครนอนหลับจับตัวตี |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๑๑๒๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
สถิตย์แท่นไสยาในราตรี | กับเทวีมณโฑโสภา |
ครั้นเสื้อเมืองม้วยชีวันบรรไลย | พเอิญให้เยือกเย็นทุกเส้นหญ้า |
พระยายักษ์ตึงเศียรเวียนไนยนา | นิทราเคลิ้มระงับหลับไป |
ฯ ๔ คำ ฯ กล่อม
ร่าย
๑๑๓๏ เมื่อนั้น | หณุมานมีศักดาอัชฌาไศรย |
เที่ยวฟังข่าวคำพหลพลไกร | ไม่มีใครออกนามนางสีดา |
เห็นแต่พวกนั่งยามตามตะเกียง | รายเรียงพิทักษ์รักษา |
จึ่งอ่านอาคมขลังบังนิทรา | สกดหมู่อสุราทั้งเวียงไชย |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๑๑๔๏ เดชะพระเวทอันเชี่ยวชาญ | ทั้งเมืองมารเงียบระงับหลับใหล |
จึ่งกลับรูปเปนกระบี่มีฤทธิไกร | ตรงขึ้นปราสาทไชยที่ใกล้ทาง |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ รัว เชิดฉิ่ง
๑๑๕๏ เห็นยักษ์หนึ่งนอนเตียงเคียงผู้หญิง | มีกระดานชนวนพิงอยู่ข้าง ๆ |
จึ่งพิศดูนรลักษณ์ภักตร์นาง | เห็นรูปร่างแก่ไปใช่สีดา |
ริมแท่นที่มีดินสอสมุดอยู่ | พลิกขึ้นดูเห็นล้วนแต่เลขผา |
อสุรีนี้ชรอยเปนโหรา | จึ่งตรงมาปราสาทสองเข้าห้องใน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๖๏ เห็นยักษ์หนึ่งนอนกรนอยู่บนแท่น | แขนแมนรูปร่างช่างโตใหญ่ |
กับนางหนึ่งนอนชิดพิศดูไป | เปนสาวใหญ่ใช่สีดานารี |
มีคทาธรวางไว้ข้างอาศน์ | กลางปราสาทล้วนเหล่าสาวศรี |
จึ่งลงจากอัฒจันท์ทันที | ขึ้นสู่ที่ปราสาทสามไม่ขามใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๗๏ เห็นอสุรีสีเขียวเคี้ยวขบฟัน | เปนหนุ่มน้อยผิวพรรณผ่องใส |
ริมข้างที่มีธนูศิลป์ไชย | ฤทธิไกรจะทายาดดูลาดเลา |
แล้วดูนางที่เคียงบนเตียงนอน | ถึงหน้าอ่อนก็เห็นทีมีลูกเต้า |
จึ่งเดินลัดแลงแฝงเงา | ตรงไปเข้าปราสาทที่สี่พลัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๘๏ เห็นอสูรหนึ่งสนิทนิทรา | ยี่สิบกรสิบหน้าขบขัน |
รู้ประจักษ์ทักแท้ว่าทศกรรฐ์ | แล้วเห็นนางหนึ่งนั้นแนบอินทรีย์ |
พินิจดูรูปโฉมประโลมจิตร | สำคัญคิดว่าสีดามารศรี |
เอะไฉนไยมาเปนเช่นนี้ | ขุนกระบี่ลูบอกตกใจ |
จึ่งเข้าชิดพิศดูเปนครู่พัก | ก็รู้จักมั่นคงไม่สงไสย |
มณโฑเมียพาลีที่บรรไลย | ทศกรรฐ์มันไปขอมา |
แต่องค์พระมเหษีมีศักดิ | ฤๅมันให้อยู่ตำหนักรักษา |
จึ่งลงจากปราสาทไชยไคลคลา | เที่ยวค้นคว้าทั่วทั้งวังใน |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๑๙๏ ไม่ประสบพบองค์นงคราญ | หณุมานหลากจิตรคิดสงไสย |
เห็นแสงทองส่องฟ้านภาไลย | จะนิ่งอยู่มิได้ในลงกา |
จำจะกลับไปป่าพนาลี | ลวงถามพระมุนีดูดีกว่า |
คิดพลางทางแผลงฤทธา | เหาะมายังอรัญบรรพต |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๒๐๏ ถึงอาศรมพระสิทธาเวลาสาย | จึ่งลงท้ายจงกรมอาศรมบท |
ตรงเข้าไปหาพระนารท | ก้มเกล้าประนตบทมาลย์ |
แล้วทำเสแสร้งแกล้งว่า | ข้าไปถึงลงกามหาสถาน |
แสนสนุกศุโขมโหฬาร | นิเวศน์วังดังวิมานเมืองฟ้า |
แต่ข้าได้ยินข่าวคราวหนึ่ง | เขาเลื่องฦๅอื้ออึงหนักหนา |
ว่าทศกรรฐ์นั้นไปเที่ยวหิมวา | ได้นางสีดามาไว้ |
งามล้ำสัตรีไม่มีคู่ | จะใคร่ดูรูปเล่นหาเห็นไม่ |
พระมุนีนี้อยู่ริมกรุงไกร | รู้มั่งฤๅไม่พระอาจารย์ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๒๑๏ เมื่อนั้น | พระนารทหัวเราะร่าแล้วว่าขาน |
ถึงตัวกูอยู่ทวีปเมืองมาร | ไม่คบไอ้ใจพาลพวกยักษ์ |
แต่ได้ยินคำเขาชาวเมือง | มาเล่าเรื่องให้กูรู้ประจักษ์ |
อันไอ้ใจคดทศภักตร์ | มันไปลักเมียเขาเหล่าโคธา |
ชื่อว่าสีดานารี | รูปร่างนางนั้นดีหนักหนา |
มันลดเลี้ยวเกี้ยวพานพูดจา | เขาด่าว่าไม่ยอมพร้อมใจ |
เดี๋ยวนี้ให้ไปอยู่เสียสวนขวัญ | หาได้อยู่ด้วยมันในเมืองไม่ |
จะสูงต่ำดำขาวคราวใคร | กูก็ไม่เห็นแก่ตาว่าตามจริง |
เออก็เองนี้หนักหนาน่าหัวร่อ | ทำใจฅอเฟื่องฟุ้งสุงสิง |
ไม่เจียมตัวว่าเปนแต่เช่นลิง | จะอยากดูผู้หญิงไปทำไม |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๑๒๒๏ บัดนั้น | หณุมานได้ยินสิ้นสงไสย |
ก้มกราบพระสิทธาแล้วว่าไป | จะเล่าให้แจ้งความตามตรง |
ซึ่งข้ามาลงกาด้วยปรารภ | ตั้งใจจะใคร่พบนวลหง |
ด้วยสามีสีดาโฉมยง | พระองค์ทรงนามพระรามา |
คือสมเด็จพระนารายน์วายุกูล | มาล้างเหล่าประยูรยักษา |
บัดนี้พระองค์ทรงศักดา | ยังประชุมโยธาพลากร |
ทั้งขีดขินชมภูหมู่กระบี่ | ล้วนฤทธีห้าวหาญชาญสมร |
ได้พร้อมพรั่งตั้งแรมประทับร้อน | อยู่ศิงขรคันธมาทน์คิรี |
จึ่งใช้ข้าวานรลูกพระพาย | มาถวายแหวนพระมเหษี |
สืบข่าวราวเรื่องว่าร้ายดี | แล้วจะยกโยธีมาชิงไชย |
คืนนี้ข้าเที่ยวดูไม่รู้ความ | จึ่งมาถามพระองค์ด้วยสงไสย |
บัดนี้แจ้งกิจจาจะลาไป | ให้พบองค์อรไทยเทวี |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๑๒๓๏ เมื่อนั้น | พระมหานารทฤๅษี |
ได้ฟังคำคิดดูรู้คดี | ปางนี้ต้องในไตรดายุค |
นารายน์อวตารมาผลาญยักษ์ | ไตรจักรจะอยู่เย็นเปนศุข |
ตบมือหัวร่อร่าว่าพ้นทุกข์ | จะสวดมนต์ให้สนุกน้ำใจกู |
จึ่งอวยพรลูกพระพายนายทหาร | ยักษ์มารอย่ารอต่อสู้ |
แม้นขัดขวางข้างน่ามาหากู | จะช่วยบอกให้รู้ทุกประการ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๑๒๔๏ บัดนั้น | วายุบุตรคำนับรับบรรหาร |
ก้มเกล้ากราบลาพระอาจารย์ | เหาะรเห็จเตร็จทยานไปลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๒๕๏ ครั้นถึงสวนจวนเวลาสายัณห์ | เห็นกุมภัณฑ์เฝ้าแหนแน่นหนา |
มีตำหนักสามหลังทั้งพลับพลา | ต้นโสกค้อมข้ามหลังคาพาไล |
จึ่งนึกว่าองค์พระมเหษี | อยู่ที่นี่มั่นคงไม่สงไสย |
จำจะบังกายเราเข้าไป | อย่าให้ใครพะวงสงกา |
คิดพลางทางสำรวมอารมณ์ | นบนิ้วประนบเหนือเกษา |
โอมอ่านพระเวทวิทยา | กำบังตาพหลพลไกร |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๑๒๖๏ แล้วลงต้นโสกใหญ่ใกล้ตำหนัก | พวกยักษ์หาเห็นกายไม่ |
ค่อยย่องเหยียบเลียบตามกิ่งไม้ | ลอบแลเข้าไปในพลับพลา |
เห็นเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล | นั่งพูดจากันอยู่พร้อมหน้า |
กับนางหนึ่งนั่งแท่นแสนโสภา | ประไพภักตร์ลักขณาลาวรรณ |
จะพิศไหนไม่เสียแต่สักอย่าง | งามสรรพสรรพางค์ดังนางสวรรค์ |
จึ่งตรึกไตรในจิตรคิดสำคัญ | เห็นแม่นมั่นองค์นี้นางสีดา |
ดูลาดเลาเศร้าซูบโศกนัก | นึกสงสารนงลักษณ์หนักหนา |
จะตรงเข้าเฝ้าแหนกัลยา | เห็นกิจจาจะแจ้งแพร่งพราย |
อย่าเลยต่อย่ำค่ำลง | จึ่งจะเอาธำมรงค์ไปถวาย |
ตริพลางทางนิ่งอิงแอบกาย | มุ่งหมายคอยเวลาราตรี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ รัว
ช้า
๑๒๗๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
ตั้งแต่ได้สีดานารี | มาไว้ในที่อุทยาน |
สุดแสนเสนหาอาไลย | หมายจะใคร่ร่วมรักสมัคสมาน |
ดูเหล่าสาวสุรางค์นางยักษ์มาร | ไม่เห็นการรูปร่างช่างพีโต |
ทั้งนางอยู่งานพัดดัดจริต | เกลียดกระบิดกระบวนกวนโทโส |
ยิ่งเคืองขุ่นงุ่นง่านพาลพาโล | จนสิ้นแสงสุริโยอโนไทย |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๑๒๘๏ จึ่งตรัสเรียกท้าวนางมาข้างที่ | จงไปบอกเสนีนายใหญ่ |
ให้ตำรวจตรวจตราเตรียมไว้ | จะคลาไคลไปยังอุทยาน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๒๙๏ บัดนั้น | ท้าวนางคำนับรับบรรหาร |
ลงจากไพชยนต์ลนลาน | ออกไปที่สั่งการทวารวัง |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๑๓๐๏ จึ่งร้องเรียกเสนีที่ข้างน่า | เข้ามาบอกความตามรับสั่ง |
กระซิบกันเปนในมิให้ดัง | จะเสด็จไปยังอุทยาน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๓๑๏ บัดนั้น | เสนีแจ้งความตามว่าขาน |
ออกมาที่กรมวังสั่งหมู่มาร | พนักงานของใครไปให้ครบ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ยานี
๑๓๒๏ จัดตำรวจน่าหลังคั่งคับ | กำชับเกณฑ์กันเข้าบรรจบ |
รักษาองค์ถือพลองส่องไต้คบ | สบทบทุกหมวดตรวจตรา |
พวกปืนแดงนั่งหลามตามฉนวน | เขนงเขาเต้าชนวนลูกสบ้า |
เหล่ามารมหาดเล็กเด็กชา | ตรวจตราจัดแจงพระแสงง้าว |
พวกถือทวนล้วนด้ามเงินงาม | ปลายผูกภู่จามรีขาว |
แล้วต่างนุ่งสองปักชักพกยาว | เตรียมคอยท่าท้าวเจ้าลงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๓๓๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเกษมสันต์หรรษา |
เสด็จจากแท่นที่ลีลา | มาสระสรงคงคาวาริน |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ชมตลาด
๑๓๔๏ สถิตย์แท่นแผ่นผาศิลาทอง | อาบลอองสุหร่ายสายสินธุ์ |
ขัดสีวารีรดหมดมลทิน | ทรงสุคนธารประทิ่นกลิ่นเกลา |
น้ำดอกไม้เทศทาอ่าองค์ | บรรจงทรงพระสางเศียรเกล้า |
พระฉายตั้งคันฉ่องส่องเงา | เวียนแต่เฝ้ากรีดพระหัดถ์ผัดภักตรา |
ทรงภูษาผ้าต้นพื้นตอง | เขียนทองเรืองอร่ามงามหนักหนา |
คาดเข็มขัดรัดองค์อลงการ์ | ประดับพลอยถมยาราชาวดี |
คล้องพระคอสีดอกคำร่ำอบ | หอมตระหลบอบองค์ยักษี |
ใส่แหวนเพ็ชรเม็ดแตงแต่งเต็มที่ | จะไปอวดมั่งมีนางสีดา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๓๕๏ ถือพัดด้ามจิ้วจันทน์บรรจง | พวงมาไลยใส่ทรงพระกรขวา |
แล้วลงจากปราสาทยาตรา | ขึ้นทรงรัถาคลาไคล |
ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน
๑๓๖๏ ครั้นถึงซึ่งสวนอุทยาน | ให้หยุดพลมารน้อยใหญ่ |
ลงจากรถแก้วแววไว | ตรงไปตำหนักห้างนางสีดา |
ฯ ๒ คำ ฯ ฉุยฉาย
๑๓๗๏ แอบลับแลกั้นชั้นเฉลียง | มองเมียงยิ้มละไมอยู่ในหน้า |
กระซิบเรียกสาวสรรค์กัลยา | ออกมาซักถามเปนความใน |
ค่อยตระโบมโลมเล้าเยาวมาลย์ | เปนการเหมือนว่าฤๅหาไม่ |
ฤๅยังคุมแค้นขัดตัดอาไลย | เปนกะไรท่วงทีนางสีดา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๘๏ บัดนั้น | กำนัลนางต่างทูลจะเอาหน้า |
ได้พูดพาดดูลองสองเวลา | ก็เห็นว่าจะไม่กะไรนัก |
ตะกี้ดอกออกพระนามถามไถ่ | ทีจะใคร่พบองค์พระทรงศักดิ |
ดูชั้นเชิงโฉมยงนงลักษณ์ | แววจะรักมั่นคงไม่สงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๓๙๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเกษมสันต์หรรษา |
พลางดำเนินเดินนาดยาตรา | ขึ้นนั่งเตียงเคียงสีดาแล้วพาที |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชาตรี
๑๔๐๏ โฉมเอยโฉมเฉลา | ยุพเยาว์ยอดฟ้ามารศรี |
พี่คิดถึงทุกทิวาราตรี | จนวันนี้นอนกลางวันก็ฝันไป |
จึ่งอุส่าห์มาง้อขอโทษ | หมายว่าเจ้าเล่าจะโกรธไปถึงไหน |
คำบุราณท่านย่อมว่าไว้ | มิตรจิตรมิตรใจกะไรน้อง |
จะรังเกียจเดียดฉันกันไยเล่า | บุญเราเคยภิรมย์สมสอง |
พี่จะรับทรามสงวนนวลลออง | ไปครอบครองวังในเหมือนใจคิด |
จะจัดแจงแต่งการอภิเศก | เปนองค์เอกมเหษีที่สนิท |
ว่าพลางทางขยับจะเข้าชิด | ให้ร้อนดังเพลิงพิศม์ติดกายา |
ถอยหลังเหลียวมาคว้าหยิบพัด | โบกปัดพระกายทั้งซ้ายขวา |
แล้วปลอบโยนโอนอ่อนด้วยวาจา | แก้วตาอย่าสลัดตัดอาไลย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๑๔๑๏ เมื่อนั้น | นางสีดานารีศรีใส |
ได้ฟังคำแค้นนักจึ่งชักไม้ | มาปักไว้ตรงหน้าด่าเปรียบปราย |
เหวยเหวยไอ้ไม้ใจฉกรรจ์ | มึงอย่าคิดสำคัญมั่นหมาย |
อันใจกูสู้สิ้นชีวาวาย | ไม่ขอเห็นเช่นชายชาตินี้ |
หากว่าอยู่ผู้เดียวที่ศาลา | มึงจึ่งหาญอหังกาพาหนี |
แม้นพบพระหริรักษ์จักรี | ชีวีมึงจะม้วยมรณา |
อย่าพักพูดเกี้ยวพานป่วยการปาก | กูไม่อยากเชื่อฟังชังน้ำหน้า |
ว่าพลางนางเมินภักตรา | ฟูมฟายชลนาไม่พาที |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
โอ้โลม
๑๔๒๏ สุดเอยสุดสวาดิ | ช่างฉลาดเลมียดเสียดสี |
เสนาะคำน้ำเสียงเพียงดนตรี | เออเช่นนี้ฤๅว่าจะน่าฟัง |
เห็นรักแล้วฤๅไม่ถือโทษ | จงเหือดหายคลายโกรธลงเสียมั่ง |
มิใช่พี่นี้ทำด้วยชิงชัง | จะปลูกฝังโฉมยงนงลักษณ์ |
อย่าครวญคร่ำรำพึงถึงพระราม | ถึงรูปงามก็จนคนต่ำศักดิ |
ไม่ควรอยู่คู่เคียงเรียงภักตร์ | เจ้าหลงรักเปล่าเปล่าไม่เข้ายา |
จงไปชมสมบัติพัศถาน | ในเมืองมารมั่งมีดีหนักหนา |
อย่าสลัดตัดรักชักช้า | สาวสวรรค์ขวัญตาจงปรานี |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๔๓๏ เมื่อนั้น | นวลนางสีดามารศรี |
ยิ่งเดือดด่าว่าเหวยไอ้ไม้นี้ | มึงไม่มีอายเจ็บเท่าเล็บมือ |
ยังแค่นขืนฝืนหน้ามาหัวเราะ | พูดออกไปให้เพราะเสียเถิดฤๅ |
ตายไหนตายไปให้เขาฦๅ | สมที่ดื้อด้านดีไม่มีอาย |
เพี้ยงเอ๋ยให้พระรามตามมาโปรด | พิฆาฏโคตรไอ้ไม้ให้ฉิบหาย |
นางบ่นแช่งแกล้งประเทียบเปรียบปราย | หยาบคายด่าว่าไม่ปรานี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๔๔๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
เหลือที่อ้อนวอนว่าพาที | เทวีด่าร่ำรำพรรณ |
ให้คิดอับอายขายหน้า | อสุราเคืองขุ่นหุนหัน |
พลางเสด็จจากที่แท่นสุวรรณ | ออกมาจากฉากกั้นนอกลับแล |
กริ้วเหล่าสาวสรรค์กำนัลนาง | ดูดู๋ช่างสอพลอตอแหล |
ซักซ้อมพร้อมหน้าสารแน | ล้วนแต่โฉมยงคงเอนดู |
นางกลับเคืองขัดตัดเยื่อใย | ทำให้อัปรยศอดสู |
มึงไม่เล้าโลมโฉมตรู | ให้มาอยู่นอนกินสิ้นทั้งนั้น |
แม้นกูมาทีหลังยังเช่นนี้ | จะสังหารชีวีให้อาสัญ |
ตรัสพลางทางเสด็จจรจรัล | ลงจากตำหนักพลันทันใด |
ขึ้นทรงรถสุวรรณบัลลังก์ | พร้อมพรั่งเสนาน้อยใหญ่ |
เร่งรีบรัถาคลาไคล | เข้าในลงกาธานี |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด
๑๔๕๏ บัดนั้น | เหล่านางกำนัลสาวศรี |
ร้อนตัวกลัวไภยอสุรี | เห็นทีจะถูกเฆี่ยนเจียนตาย |
แล้วพากันเข้าไปในตำหนัก | ตั้งกระทู้ขู่ซักนางโฉมฉาย |
เออจะมาพาเราให้หลังลาย | ปากร้ายเกินตัวไม่กลัวใคร |
จนเสด็จออกมาว่าวอน | ยังเคืองขัดตัดรอนไม่รักใคร่ |
ทังสมบัติวัดถาไม่อาไลย | จะพอใจอยู่ป่าน่าทุบตี |
บ้างว่าบุญหนักหนาหาไม่ปะ | ข้าก็อยากเปนพระมเหษี |
เสียแต่รูปร่างไม่อย่างนี้ | เออนี่น้อยฤๅยังดื้อดึง |
อุส่าห์สู้อยู่พิทักษ์รักษา | ก็หมายว่าถ้ากะไรจะได้พึ่ง |
แค้นใจหนักหนาน่าหยิกทึ้ง | ต่างพิโรธโกรธขึ้งอึงไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๑๔๖๏ เมื่อนั้น | องค์ภัควดีศรีใส |
สุดแสนเจ็บช้ำระกำใจ | ชลไนยคลอเนตรนางโฉมยง |
ให้กลุ้มกลัดอัดอั้นตันจิตร | พ่างเพียงชีวิตรจะผุยผง |
แล้วแกล้งคลี่คลุมประธมห่มองค์ | ซบลงครวญคร่ำร่ำโศกา |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
โอ้ปี่
๑๔๗๏ โอ้ว่าพระองค์ทรงเดช | พระคุณเคยปกเกษเกษา |
เหตุไฉนไม่ตามเมียมา | ให้มันหยาบช้าสารพัน |
แต่ครองใจไว้ท่าพระสามี | ก็เหลือทนพ้นที่จะอดกลั้น |
ชรอยเวรเวรามาทัน | จะสุดสิ้นอาสัญบรรไลย |
เปนกรรมของน้องแล้วจึ่งแคล้วคลาศ | ขอรองลอองบาทต่อชาติใหม่ |
ยิ่งคิดยิ่งแค้นแน่นฤไทย | ทรามไวยซบลงทรงโศกี |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๑๔๘๏ ครั้นเวลาล่วงสามยามเศษ | ชำเลืองเนตรดูเหล่าสาวศรี |
เห็นหลับใหลไม่รู้สมประดี | ลงจากที่แท่นทองย่องย่างมา |
ฯ ๒ คำ ฯ ทยอย
๑๔๙๏ ถึงต้นโสกยิ่งสลดกำสรดเศร้า | เข้าหยุดนั่งบังเงาพฤกษา |
จะผูกสอเสียให้ตายวายชีวา | แล้วคิดถึงภัศดาโศกาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
โอ้ปี่
๑๕๐๏ โอ้พระทูลกระหม่อมของเมียแก้ว | วันนี้แล้วน้องรักจะตักไษย |
เสียแรงเปนเพื่อนลำบากยากไร้ | ไม่เห็นใจเมียแล้วพระจักรี |
สิ่งใดแต่หลังได้พลั้งพลาด | ให้ขัดเคืองเบื้องบาทบทศรี |
จะทูลลาอาสัญเสียวันนี้ | ขออย่ามีเวราแก่ข้าไป |
ร่ำพลางนางทรงแสนเทวศ | ชลเนตรแถวถั่งหลั่งไหล |
โศกศัลย์รันทดสลดใจ | สอึกสอื้นไห้ไปมา |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๑๕๑๏ บัดนั้น | วายุบุตรอยู่บนต้นพฤกษา |
ได้ยินคำรำพรรณโศกา | ก็รู้ว่านางสีดายาใจ |
สงสารพระมเหษีมีศักดิ | เพราะเคืองแค้นทศภักตร์จะตักไษย |
จะผูกสอวายวางฤๅอย่างไร | คิดแล้วแกล้งแฝงไม้เมียงมอง |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๒๏ เมื่อนั้น | นางสีดาเปลี่ยวเปล่าเศร้าหมอง |
เห็นเวลาจวนแจ้งแสงทอง | กลัวกำนัลมันจะย่องตามมา |
จึ่งสพักสไบบางที่นางทรง | จีบจัดรัดพระองค์โจงภูษา |
แขงพระไทยไม่เสียดายชีวา | อุส่าห์ปีนขึ้นบนต้นไม้ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๕๓๏ จึ่งเอาผ้าผูกพันกระสันรัด | เกี่ยวกระหวัดไว้กับกิ่งโสกใหญ่ |
ชายหนึ่งผูกสออรไทย | แล้วทอดองค์ลงไปจะให้ตาย |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๕๔๏ บัดนั้น | วายุบุตรแก้ได้ดังใจหมาย |
จึ่งเข้ามานบนอบยอบกาย | กราบถวายบังคมก้มภักตร์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๕๕๏ เมื่อนั้น | นางสีดานารีมีศักดิ |
แลเห็นลิงไพรสงไสยนัก | ไม่รู้จักจึ่งถามเนื้อความไป |
เหวยไอ้สวาวานร | เที่ยวด้นดั้นสัญจรมาแต่ไหน |
กูจะม้วยชีวันบรรไลย | การอะไรของมึงจึ่งจัณฑาล |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๖๏ บัดนั้น | วายุบุตรฟังบัญชาว่าขาน |
จึ่งทูลว่าข้าชื่อหณุมาน | เปนทหารพระรามสุริวงษ์ |
เสด็จยกโยธาพลากร | มาแรมรอนอยู่ในไพรระหง |
พระทรงฤทธิ์คิดคนึงถึงโฉมยง | กรรแสงทรงโศกาทุกราตรี |
จึ่งตรัสใช้ให้ข้าวายุบุตร | ข้ามสมุทมานครของยักษี |
แสวงหวังฟังข่าวพระเทวี | ทุกวันนี้เคืองเข็ญเปนอย่างไร |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๕๗๏ เมื่อนั้น | องค์ภัควดีศรีใส |
ได้ฟังลิงนิ่งนึกตรึกไตร | เห็นไม่สมความจึ่งถามซัก |
ซึ่งท่านว่าเปนข้าพระสามี | เหตุไฉนเรานี้มิรู้จัก |
ดีร้ายเองออเจ้านี้เหล่ายักษ์ | ทศภักตร์มันใช้ให้ปลอมมา |
จึ่งแกล้งบอกออกนามพระผ่านเกล้า | มิให้เราสิ้นชีวังสังขาร์ |
ชะช่างคิดอ่านเจ้ามารยา | อย่าพักมาสอพลอไม่ขอฟัง |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๕๘๏ บัดนั้น | หณุมานทูลไปดังใจหวัง |
เมื่อแรกสามกระษัตริย์พลัดเวียงวัง | คราวนั้นยังมิได้มาเปนข้าไท |
ต่อเมื่อยักษ์ลักพระองค์มาลงกา | ข้าจึ่งได้เปนข้าเข้าอยู่ใหม่ |
แล้วหยิบธำมรงค์รัตน์ตรัจไตร | กับสไบกรองทองของสำคัญ |
จึ่งทูลว่าผ้านี้กระบี่ป่า | ถวายพระจักรารังสรรค์ |
กับพระยาสดายุนกนั้น | ให้สำคัญธำมรงค์วงนี้ |
จึ่งใช้ข้าวานรนายทหาร | มาประทานองค์พระมเหษี |
แล้วจะยกโยธามาราวี | ผลาญหมู่อสุรีให้บรรไลย |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๕๙๏ เมื่อนั้น | นางสีดานารีศรีใส |
เห็นแหวนก้อยกับภูษาผ้าสไบ | ที่ทรามไวยทรงมาจากธานี |
แต่ของไม่ได้อยู่กับทรงฤทธิ์ | ให้นึกแหนงแคลงจิตรนางโฉมศรี |
จึ่งตรัสตอบวาจาพาที | ของนี้ตกค้างอยู่กลางไพร |
ท่านเปนพวกพ้องของทศกรรฐ์ | เที่ยวไปในอรัญเก็บมาได้ |
จะกล่าวแกล้งแต่งอุบายให้ตายใจ | เรามิได้ลุ่มหลงอย่าสงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๖๐๏ บัดนั้น | วายุบุตรเห็นยังกังขา |
จึ่งว่าพระหริรักษ์จักรา | ก็สั่งมาสารพัดเมื่อตรัสใช้ |
ถ้าแม้นพระมเหษีมิเชื่อฟัง | ให้ยกข้อความหลังแถลงไข |
เมื่อครั้งไปยกศิลป์ไชย | ที่ในธานินทร์มิถิลา |
เสด็จเดินเข้าไปในนิเวศน์ | ทอดพระเนตรชำเลืองแลหา |
พระองค์แอบบานแกลแลลงมา | ไนยนาพอพบประสบกัน |
จึ่งตรัสบอกกับข้ามาทั้งนี้ | ให้เทวีเห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
ด้วยเปนความข้อขำสำคัญ | รู้กันแต่กับองค์นงคราญ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๖๑๏ เมื่อนั้น | นางสีดาเยาวยอดสงสาร |
ได้ฟังคำกำแหงหณุมาน | ก็แจ้งการว่าพระหริรักษ์ |
จึ่งรับของสองสิ่งมาเพ่งพิศ | ยิ่งคิดถึงองค์พระทรงศักดิ |
ชลเนตรคลอคลองนองภักตร์ | นงลักษณ์ทรุดองค์ทรงโศกี |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
โอ้ปี่
๑๖๒๏ โอ้แสนสงสารพระผ่านเกล้า | จะโศกเศร้าถึงน้องหมองศรี |
เคยเปนศุขทุกทิวาราตรี | ไม่พอที่จะนิราศคลาศคลา |
เพราะห้ามเมียไม่ฟังรับสั่งห้าม | จึ่งได้ความเคืองแค้นแสนสา |
โทษน้องผิดพ้นคณนา | จะสู้สิ้นชีวาไม่อาไลย |
หากทหารผ่านฟ้ามาทัน | ชีวันน้องรักไม่ตักไษย |
ถ้าแม้นล่วงเวลาช้าไป | ไม่เห็นใจเมียแล้วพระภูมี |
ร่ำพลางนางหยิบธำมรงค์ | สอดทรงหัดถามารศรี |
ลำฦกถึงพระลักษณ์พระจักรี | โศกีสอื้นไห้ไปมา |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๑๖๓๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานหาญกล้า |
เห็นโฉมยงทรงโศกโศกา | รำพรรณถึงภัศดาสามี |
จึ่งก้มเกล้ากราบลงตรงภักตร์ | แล้วทูลองค์นงลักษณ์มเหษี |
แม่จะใคร่ไปเฝ้าพระจักรี | ข้อนี้อย่าประหวั่นพรั่นพระไทย |
เชิญเสด็จขึ้นบนฝ่ามือข้า | จะพาเหาะไปพลับพลาที่อาไศรย |
ถ้ากุมภัณฑ์มันติดตามไป | จะสังหารผลาญให้สิ้นชีวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๖๔๏ เมื่อนั้น | นวลนางสีดามารศรี |
จึ่งตรัสตอบวาจาพาที | ท่านว่านี้ไม่ต้องทำนองใน |
อันตัวเรายากเย็นเพราะเปนหญิง | ไม่สิ้นสิ่งพะวงสงไสย |
ประเดี๋ยวยักษ์ลักมาลิงพาไป | เทพไทจะติฉินนินทา |
จงทูลพระอวตารผ่านเกล้า | ว่าตัวเราบังคมก้มเกษา |
ไม่ลืมคิดถึงพระคุณกรุณา | แต่ครองใจไว้ท่าก็กว่าปี |
เชิญเสด็จผ่านฟ้ามาโปรด | พิฆาฏโคตรทศภักตร์ยักษี |
ให้สิ้นทั้งลงกาธานี | จึ่งสมที่มันอาจอหังกา |
มาทแม้นทศกรรฐ์มันไม่ตาย | เราจะวายชีวังสังขาร์ |
แล้วตรัสขับขุนกระบี่ให้ลีลา | เสด็จมาตำหนักจันทน์ทันใด |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
๑๖๕๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
ครั้นนางเสด็จกลับลับไป | อโนไทยแจ่มแจ้งจักรวาฬ |
จึ่งคิดว่าถ้าจะกลับไปพลับพลา | อุประมาเหมือนไม่ใช่ทหาร |
เสียแรงเราเข้ามาถึงกรุงมาร | จำจะผลาญพลเมืองให้เปลืองตา |
คิดพลางแผลงศักดาถาโถม | เข้าน้าวโน้มหักโค่นต้นพฤกษา |
ถอนรากกระชากฉุดลมุดสีดา | ทั้งพวาสาลี่ลิ้นจี่จีน |
เหนี่ยวหน่วงม่วงปรางลางสาด | บ้างหักขาดกระเด็นเปนสีน |
คว้าฉวยกล้วยตีบถีบด้วยตีน | เที่ยวป่ายปีนหักมะพร้าวน้าวตาล |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๑๖๖๏ บัดนั้น | อสูรเหล่าเฝ้าสวนล้วนกล้าหาญ |
แลเห็นลิงทโมนโจนทยาน | เที่ยวหักรานต้นหมากรากไม้ |
ตะโกนก้องร้องบอกกันเอะอะ | โน่นแน่วะลิงป่าเข้ามาได้ |
บ้างว่าจับเอาตัวกลัวมันไย | ออกล้อมรอบต้นไม้ทั้งไพร่นาย |
บ้างวิ่งไปวิ่งมาเที่ยวหาเชือก | กูจะคล้องลิงเผือกไปถวาย |
บ้างยืนยัดปืนไฟใส่ลูกปราย | เขม้นหมายมุ่งมองจ้องจะยิง |
บ้างฉวยได้ไม้แหลมแหลนหลาว | โห่ฉาวซัดพุ่งยุ่งยิ่ง |
บ้างถืออิฐแอบข้างขว้างทิ้ง | บ้างก็ยิงด้วยกระสุนวุ่นไป |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๑๖๗๏ เมื่อนั้น | หณุมานไม่พรั่นหวั่นไหว |
เผ่นโผนโจนจากค่าคบไม้ | ถอนได้พฤกษาเปนอาวุธ |
กวัดแกว่งแผลงศักดาถาโถม | เข้าหักโหมโจมจับสัปรยุทธ |
ตีอสูรหมู่มารซานทรุด | บ้างม้วยมุดชีวันบรรไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๖๘๏ บัดนั้น | อสูรพลพวกเหล่าบ่าวไพร่ |
ที่เหลือตายกลัวลิงไม่ชิงไชย | วิ่งไปเฝ้าสหัสกุมาร |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๖๙๏ ครั้นถึงจึ่งตรงเข้าในวัง | พอเสด็จออกนั่งอยู่น่าฉาน |
บ้างล้มลุกจุกอกอุส่าห์คลาน | มากราบกรานโอรสทศกรรฐ์ |
แล้วทูลว่าบัดนี้ยังมีลิง | มาหักกิ่งมิ่งไม้ในสวนขวัญ |
ท่านหัวสิบทิพผลพลกุมภัณฑ์ | เข้าจับมันฆ่าตายวายชีวา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๗๐๏ เมื่อนั้น | สหัสกุมารหาญกล้า |
ได้ฟังพวกอสูรทูลมา | สำคัญว่าลิงดงพงพี |
จึ่งชี้หน้าว่าเหม่ไอ้กุมภัณฑ์ | จนชั้นแต่ลิงก็วิ่งหนี |
ให้เจ้านายขายหน้าทั้งตาปี | เช่นนี้เฆี่ยนซ้ำจึ่งหนำใจ |
ว่าพลางทางสั่งเสนามาร | จึงเรียกเหล่าทหารที่บ้านใกล้ |
ทั้งพวกปืนเกณฑ์หัดจัดเอาไป | จะล้อมยิงลิงไพรให้มรณา |
สั่งแล้วแต่งองค์ทรงศร | บทจรจากตำหนักยักษา |
มาร้องเร่งพหลพลโยธา | พร้อมหมู่อสุราแล้วรีบไป |
ฯ ๘ คำ ฯ กราว
๑๗๑๏ ครั้นถึงซึ่งสวนอุทยาน | ทวยหาญโห่สนั่นหวั่นไหว |
พอเห็นลิงวิ่งมาขวางหน้าไว้ | โตใหญ่เผือกผู้ดูพ่วงพี |
จึ่งคิดว่าถ้าเราจะเข้าจับ | ไอ้ลิงอัปรลักษณ์เสียศักดิศรี |
ดำริห์พลางทางสั่งโยธี | จับกระบี่ให้ได้อย่าไว้มัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๗๒๏ บัดนั้น | มารหมู่พหลพลขันธ์ |
ยังไม่รู้ฤทธิ์ลิงชิงกัน | เข้าโรมรันรบรุมตลุมบอน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๗๓๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานชาญสมร |
สัปรยุทธฉุดชิงคทาธร | ตีต้อนหมู่มารไม่ทานทน |
พวกอสูรหนุนเพื่อนเข้าเกลื่อนกลุ้ม | จับกุมกลอกกลับสับสน |
ลูกพระพายเผ่นโผนโจนประจญ | สังหารพลยักษ์ตายลงก่ายกัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๗๔๏ เมื่อนั้น | พวกโอรสทศเศียรรังสรรค์ |
เห็นรากษษตายยับลงนับพัน | กรูกันเข้าพร้อมล้อมวานร |
ต่างต่างต่อแย้งแทงฟัน | บ้างฟาดด้วยพระขรรค์รันด้วยศร |
บ้างเขม้นหมายมุ่งพุ่งโตมร | เงื้อง่าคทาธรเข้าโจมตี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๗๕๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรไชยศรี |
แขงข้อต่อสู้อสุรี | ได้ทีถาโถมโจมประจัญ |
เผ่นโผนโจนทยานขึ้นเหยียบบ่า | ย้ายท่าผลัดเปลี่ยนเหียนหัน |
กลอกกลับรับรองป้องกัน | พัลวันหนีไล่กันไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๗๖๏ ขุนกระบี่มีกำลังโลดโผน | กระโจมโจนจับยักษ์หักแขนขา |
ชิงหอกดาบประหารผลาญชีวา | อสุราทั้งพันบรรไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด โอด
๑๗๗๏ บัดนั้น | พวกพลเหลือตายทั้งนายไพร่ |
กลัวลิงวิ่งหอบหายใจ | ตรงไปที่เฝ้าเจ้าลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๗๘๏ ถึงวังพอเวลาห้าโมง | เสด็จออกท้องพระโรงข้างน่า |
พากันก้มกรานคลานเข้ามา | วันทาทูลแถลงแจ้งความ |
บัดนี้มีลิงทโมนใหญ่ | มาหักไม้สวนหลวงที่หวงห้าม |
พระโอรสพันองค์ออกสงคราม | ก็ถึงความมรณาพิราไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๗๙๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเคืองขัดอัชฌาไศรย |
ลุกขึ้นกระทืบบาทตวาดไป | เหม่ไอ้เดรฉานชาญฉกรรจ์ |
มาหักไม้ในสวนแล้วมิสา | ซ้ำสังหารลูกยาจนอาสัญ |
ลบหลู่ดูหมิ่นถิ่นแคลนครัน | แค้นมันกูไม่ไว้ชีวา |
จะให้องค์อินทรชิตไปคิดอ่าน | ล้างผลาญชีวังให้สังขาร์ |
ตรัสพลางทางสั่งเสนา | ไปบอกพระลูกยามาบัดนี้ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๘๐๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งใส่เกษี |
ก้มเกล้ากราบงามสามที | ออกจากที่พระโรงไชยไคลคลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๘๑๏ ครั้นถึงจึ่งประนตบทบงสุ์ | ทูลองค์อินทรชิตยักษา |
รับสั่งพระบิตุรงค์ทรงศักดา | ให้ข้ามาเชิญเสด็จไป |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๘๒๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตฟังแจ้งแถลงไข |
จึ่งแต่งองค์อสุราแล้วคลาไคล | สาวสรรค์กำนัลในก็ตามมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า
๑๘๓๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอภิวาท | พระบิตุรงค์ธิราชนาถา |
เมียงหมอบยอบองค์อสุรา | คอยฟังบัญชาพระยายักษ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๘๔๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริวงษ์ทรงศักดิ |
จึ่งดำรัสตรัสบอกพระลูกรัก | ไอ้ลิงป่ามาหักสวนเรา |
ครั้นสหัสกุมารเข้าล้อมจับ | มันก็กลับฆ่าม้วยเสียด้วยเล่า |
แม้นละไว้ไอ้ลิงจะดูเบา | จะให้เจ้าไปสังหารผลาญชีวา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๕๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิยักษา |
จึ่งบังคมก้มกราบทูลบิดา | ทำไมกับลิงป่าพนาวัน |
ถึงมาทแม้นจะดีมีฤทธิ์ | มิได้คิดขยาดหวาดหวั่น |
จะขอไปไล่สพัดมัดมัน | มาถวายทรงธรรม์วันนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๖๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี |
สรวลสันต์หรรษาแล้วพาที | มิเสียแรงเจ้ามีฤทธิรอน |
จงรีบเร่งออกไปให้ทันที | หาไม่มันจะหนีไปเสียก่อน |
ว่าพลางทางสั่งมโหทร | เร่งเกณฑ์พลนิกรบัดนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๗๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งใส่เกษี |
ก้มเกล้ากราบงามสามที | อสุรีรีบรัดไปจัดแจง |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๑๘๘๏ ตรวจเตรียมทวยหาญชำนาญศึก | ล้วนพิฦกล่ำสันขันแขง |
เกณฑ์หัดจัดพื้นปืนแดง | สพายแล่งเขนงเขาเต้าชนวน |
บ้างไปชักเลขผามาจากด่าน | สับสนอลหม่านเปนการด่วน |
บ้างถือโล่ห์แหลนหลาวง้าวทวน | สารวัดจัดกระบวนโยธา |
นายไพร่แต่งตนอลหม่าน | ปลุกเศกเครื่องอานอ่านคาถา |
แล้วเตรียมราชรถแก้วแววฟ้า | ประทับกับเกยลาน่าพระลาน |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๘๙๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตฤทธิไกรใจหาญ |
ถวายบังคมลาพระยามาร | มาชำระสระสนานนที |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๙๐๏ ไขสหัสธาราดังห่าฝน | ซาบสกลกายายักษี |
ทรงสุคนธ์ตระหลบอบมาลี | นางอยู่งานพัชนีรำเพยพัด |
สอดใส่สนับเพลาเพราผจง | ภูษาทรงพื้นแดงแย่งรูปสัตว |
ฉลององค์เกราะเก็จเพ็ชรรัตน | ชายแครงแกว่งกวัดสบัดปลาย |
ห้อยน่าผ้าทิพขลิบสุวรรณ | เข็มขัดคาดมั่นกระสันสาย |
ทับทรวงสังวาลวรรณพรรณราย | ตาบประดับสลับลายลงยา |
ทองกรพาหุรัดกระหวัดวง | ธำมรงค์เพ็ชรพรายทั้งซ้ายขวา |
ทรงมงกุฎกรรเจียกแก้วแววฟ้า | ห้อยห่วงพวงบุบผามาลี |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๙๑๏ ครั้นเสร็จสรรพจับศรนาคบาศ | ลงจากปรางมาศปราสาทศรี |
เคลื่อนคลายขยายยกโยธี | ออกประตูบูรีรีบมา |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
๑๙๒๏ ครั้นถึงซึ่งสวนอุทยาน | แลเห็นลิงวิ่งผ่านมาขวางหน้า |
จึ่งนิ่งนึกตรึกไตรในวิญญา | ไอ้กระบี่นี้กล้าไม่กลัวยักษ์ |
จำจะพูดไต่ถามตามทำนอง | มันพวกพ้องผู้ใดให้ประจักษ์ |
ดำริห์แล้วโอรสทศภักตร์ | ประกาศก้องร้องทักถามไป |
ดูราวานรเผือกผู้ | เองอยู่แห่งหนตำบลไหน |
มาเที่ยวถึงเมืองยักษ์หักต้นไม้ | มิได้เกรงพระราชอาชญา |
แล้วมิหนำซ้ำฆ่าโยธาหาญ | ทั้งสหัสกุมารโอรสา |
บัดนี้มีรับสั่งพระบิดา | ให้กูมาสังหารผลาญชีวี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๙๓๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานชาญไชยศรี |
ได้ฟังอสุราพาที | ขุนกระบี่เสแสร้งแกล้งตอบไป |
ตัวเราเปนสวาวานร | ถิ่นฐานนานดอนหามีไม่ |
ผู้เดียวเที่ยวเล่นเห็นลูกไม้ | ไม่รู้ว่าของใครก็เก็บกิน |
เมื่อพวกพ้องของท่านทำหยาบช้า | พูดจาองอาจประมาทหมิ่น |
เข้าจับเราเราจึ่งสู้อสุรินทร์ | ตายสิ้นสมน้ำหน้าสาแก่ใจ |
ท่านนี้มีนามไฉนเล่า | จะมาม้วยด้วยเขาฤๅไฉน |
จงเลิกทัพกลับคืนเข้าเวียงไชย | แล้วตัวเราก็จะไปไพรวัน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๙๔๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตเคืองขุ่นหุนหัน |
จึ่งว่าเหม่เดรฉานชาญฉกรรจ์ | มุทลุดุดันดื้อดึง |
ไม่รู้จักกูฤๅชื่ออินทรชิต | ทศทิศไม่มีที่เปรียบถึง |
แสนมหาหัสไนยเจ้าไตรตรึงษ์ | รบกับกูครู่หนึ่งก็แพ้ฤทธิ์ |
มึงเปนแต่วานรสัญจรป่า | พูดจาอาจองทนงจิตร |
จะให้พวกพลมารผลาญชีวิตร | อย่าพึงคิดที่จะรอดตลอดไป |
ว่าพลางทางสั่งเสนี | จงจับไอ้กระบี่นี้ให้ได้ |
มันพลบลี้หนีออกข้างด้านใคร | จะฆ่าเสียไม่ไว้ทั้งไพร่นาย |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๙๕๏ บัดนั้น | เหล่าพวกอสุรินทร์สิ้นทั้งหลาย |
รับสั่งอินทรชิตไม่คิดตาย | ทั้งไพร่นายสมทบเข้ารบรุม |
บ้างตีรันฟันฟาดด้วยสาตรา | บ้างง้างหินศิลาขึ้นทิ้งทุ่ม |
บ้างแกว่งหอกกลอกกลับเข้าจับกุม | เปนกลุ่มกลุ่มกลุ้มตีกระบี่ไพร |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๙๖๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
ประจัญจับรับรองว่องไว | โลดไล่ตระหลบรบรับ |
ขึ้นเหยียบยักษ์หักฅอพิฆาฏฆ่า | ชิงสาตราฟันฟาดดังฉาดฉับ |
สังหารพวกพลนิกายลงตายยับ | ทรากศพทบทับธรณี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๙๗๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิยักษี |
เห็นหมู่มารล้มตายวายชีวี | อสุรีแกว่งศรเข้ารอนราญ |
เผ่นขึ้นเหยียบบ่าวายุบุตร | ยงยุทธย้ายท่ากล้าหาญ |
รุกรบขบฟันประจัญบาน | ตีต้องหณุมานซานไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๙๘๏ เมื่อนั้น | หณุมานไม่พรั่นหวั่นไหว |
สัปรยุทธชิงฉุดศรไชย | รบไล่กระชิดติดพัน |
ทยานขึ้นยืนเหยียบบ่ายักษ์ | หาญหักผลัดเปลี่ยนเหียนหัน |
หลอนหลอกกลอกกลับจับประจัญ | พัลวันหนีไล่กันไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๙๙๏ เมื่อนั้น | โอรสทศภักตร์ยักษา |
ประจัญบานราญรอนอ่อนระอา | จึ่งถอยมานิ่งนึกตรึกไตร |
ไอ้ลิงนี้มีฤทธิ์ทายาดอยู่ | จะต่อสู้เคี่ยวเข็นเห็นไม่ได้ |
คิดพลางทางเสี่ยงศิลป์ไชย | ขึ้นสายแผลงไปมิได้ช้า |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๒๐๐๏ ศรเปนนาคบาศกลาดเกลื่อน | ลอยเลื่อนมากลางเวหา |
เข้ารวบรัดมัดกระบี่มีศักดา | ล้มกับพสุธาทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๒๐๑๏ จึ่งสั่งไพร่ให้มัดลิงเผือก | กระชากเชือกฉุดคร่าไม่ปราไส |
แล้วเลิกพวกพหลพลไกร | เข้าในลงกาธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา เชิด
๒๐๒๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า | ก้มเกล้าประนตบทศรี |
ทูลแถลงแจ้งเรื่องซึ่งราวี | บัดนี้จับได้ไอ้ลิงมา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๐๓๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสรวลสันต์หรรษา |
เข้ากอดจูบลูบหลังพระลูกยา | ใครจะมาสู้ได้นั้นไม่มี |
เจ้าเหน็ดเหนื่อยมาหนักหนาอยู่ | จงไปสู่ปรางมาศปราสาทศรี |
ไอ้ลิงไพรไว้บิดาจะฆ่าตี | ให้สมที่หยาบช้าสามาญ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๐๔๏ ว่าพลางทางสั่งตั้งสิงหนาท | เหวยพวกเพ็ชฌฆาฏอาจหาญ |
จงเอาไอ้ลิงไพรใจพาล | ไปล้างผลาญชีวันให้บรรไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๐๕๏ บัดนั้น | เพ็ชฌฆาฏรับสั่งบังคมไหว้ |
ออกมาพรั่งพร้อมล้อมลิงไพร | ฉุดคร่าพาไปตะแลงแกง |
ฯ ๒ คำ ฯ เตียว
๒๐๖๏ จึ่งปักเสาเอาลิงเข้าผูกมัด | ช่วยกันรัดเชือกปอข้อแขง |
บ้างถือดาบหอกจ้องลองแรง | รุมกันฟันแทงวานร |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๐๗๏ จนหอกพับดาบบิ่นสิ้นหลายเล่ม | เหนื่อยเต็มกำลังนั่งหยุดหย่อน |
บ้างฉวยได้ขวานพร้าคทาธร | พะเนินขอนเหล็กตีกระบี่ไพร |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๐๘๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรสบัดพลัดออกได้ |
ชิงอาวุธยุดยักษ์เหยียบไว้ | ฟาดฟันบรรไลยด้วยฤทธา |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๒๐๙๏ บัดนั้น | นครบาลตัวนายซ้ายขวา |
เร่งให้กลิ้งครกยกสากมา | แล้วจับวานรใส่ลงในนั้น |
อสูรสำหรับตำล่ำไม่เล็ก | ถือสากเหล็กคนละเล่มเข้มขัน |
ลองแรงแกว่งกวัดกัดฟัน | เขย่งยันเยื้องโยกโขลกลงไป |
ฯ ๔ คำ ฯ ใช้เรือ
๒๑๐๏ เมื่อนั้น | ขุนกระบินทร์ดิ้นโดดโลดขึ้นไล่ |
ชิงกระชากสากเหล็กว่องไว | ตีกุมภัณฑ์บรรไลยทั้งสองรา |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๒๑๑๏ บัดนั้น | อสูรเสนามารหาญกล้า |
จึ่งเร่งให้ไปผูกช้างมา | เข้าแทงไอ้ลิงป่าอย่าช้าการ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๑๒๏ บัดนั้น | กรมช้างต่างตนอลหม่าน |
วิ่งหืดขึ้นฅอทั้งหมอควาญ | ผูกสังหารคชสีห์มีน้ำมัน |
สอดชนักชักสายพานน่า | ข้อรารัตคนเครื่องมั่น |
มารสำหรับขับขี่ขึ้นพร้อมกัน | เอาเหล้ากลั่นใส่กระบอกกรอกเข้าไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๑๓๏ แล้วขับเดินตามทางกลางถนน | เห็นผู้คนแปร๋แปร้นแล่นไล่ |
ที่ขี่พังนำน่ามาไกลไกล | ถือหลอดเขาเป่าไปเปนสำคัญ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๑๔๏ ถึงที่ฆ่าวานรเผือกผู้ | หยุดอยู่ยืนป่วนหวนหัน |
ควาญเปิดขอขับฉับพลัน | ช้างน้ำมันมุ่งตรงเข้าลงงา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๑๕๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรหลุดออกหลอกยักษา |
เข้าจับช้างหักฅอมรณา | ทั้งหมอน่าควาญท้ายวายชีวัน |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๒๑๖๏ บัดนั้น | พวกผู้คุมเข็ดฤทธิ์คิดพรั่น |
ไปทูลเจ้าลงกาสารพัน | ไอ้ลิงป่าฆ่ามันไม่มรณา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๑๗๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
ได้ฟังนิ่งนึกตรึกตรา | แล้วตรัสว่าไอ้นี่มีฤทธิไกร |
ให้ฆ่าฟันมันไม่มอดม้วย | ถ้าลวกด้วยน้ำเย็นเห็นจะได้ |
ว่าพลางทางสั่งเสนาใน | จงออกไปเอาตัวมันเข้ามา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๑๘๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกษา |
มาลากลิงเข้าไปมิได้ช้า | เฝ้าเจ้าลงกาพระยามาร |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๑๙๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรศักดาปรีชาหาญ |
เห็นลิงไม่นบนอบหมอบกราน | กิริยาอาการไม่กลัวใคร |
จึ่งเสแสร้งแกล้งประภาศพูดจา | เปนทีทางเมตตาปราไส |
ดูก่อนกระบี่มีฤทธิไกร | รู้ฤๅไม่โทษมึงนี้ถึงตาย |
แต่หากเห็นเปนลิงละเลิงอยู่ | ยังไม่รู้พระกำหนดกฎหมาย |
อันโทษที่ทำผิดคิดร้าย | กูก็หายโกรธาไม่ฆ่าตี |
จะเลี้ยงไว้ใช้สอยเปนข้าเฝ้า | จะยอมฤๅไม่เล่ากระบี่ศรี |
แม้นซื่อตรงจงรักภักดี | ทั้งเบี้ยหวัดผ้าปีจะให้ปัน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๒๐๏ เมื่อนั้น | ลูกลมฉลาดคิดบิดผัน |
จึ่งเสแสร้งแกล้งทูลทศกรรฐ์ | พระคุณนั้นเลิศลบภพไตร |
แต่หากว่าข้าน้อยนี้บอบช้ำ | ด้วยเขาทำโทษาไม่ปราไส |
ถึงมาทแม้นจะเลี้ยงไว้เวียงไชย | ก็เห็นไม่ตลอดรอดชีวา |
แม้นพระองค์ทรงฤทธิ์คิดสงสาร | โปรดประหารชีวังให้สังขาร์ |
จะได้พ้นทนทุกข์เวทนา | ดีกว่าเลี้ยงไว้ในบุรี |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๒๒๑๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี |
ได้ฟังลิงป่าพาที | จึ่งมีพจนาดถ์ประภาศไป |
กูจะช่วยอนุเคราะห์เพราะเอนดู | เองก็ว่าหาอยู่ด้วยได้ไม่ |
จะซ้ำวานผลาญชีวันให้บรรไลย | เปนจนใจที่จะขัดทัดทาน |
เองก็เรืองฤทธิรงค์คงกระพัน | แต่สาตราฆ่าฟันไม่สังขาร |
ซึ่งจะใคร่ให้พ้นทรมาน | เองจะให้ประหารด้วยสิ่งใด |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๒๒๏ เมื่อนั้น | ขุนกระบินทร์ยินดีจะมีไหน |
สมหวังดังจิตรที่คิดไว้ | จะเอาไฟเผาวังเสียครั้งนี้ |
ตริแล้วทูลปดทศกรรฐ์ | อันชีวันข้าบาทบทศรี |
จะวายวางอย่างเดียวด้วยอัคคี | ข้อนี้จริงใจมิได้พราง |
จงเอาผ้าชุบน้ำมันพันพัว | หุ้มให้ทั่วทั้งกายจนปลายหาง |
ทั้งนุ่นเคล้าเข้ากับน้ำมันยาง | ประสมฟางต่างเชื้อมาผูกพัน |
แล้วจึ่งเอาเพลิงแรงแสงกล้า | มาจุดเข้าเผาข้าให้อาสัญ |
ซึ่งทูลความตามจริงทุกสิ่งอัน | ทรงธรรม์จงทราบบาทบงสุ์ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๒๓๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเสียเชิงละเลิงหลง |
จึ่งว่ากับลิงไพรดังใจจง | กูก็คงจะช่วยเผาเองเอาบุญ |
ตรัสพลางทางสั่งพวกกุมภัณฑ์ | จงไปเอาน้ำมันมากับนุ่น |
เสียแรงเราได้เมตตาการุญ | ช่วยลงทุนปลงศพให้ครบครัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๒๔๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งแล้วผายผัน |
วิ่งเรียกเหล่าบ่าวไพร่พร้อมกัน | ไปเบิกนุ่นน้ำมันดังบัญชา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๒๕๏ ฉีกกระชุกคลุกเคล้าเข้ากับฟาง | น้ำมันยางชุ่มชื้นทุกผืนผ้า |
เอาพันพัวตัวลิงเหลือแต่ตา | แล้วจูงไปไว้ชลาน่าพระลาน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๒๖๏ เมื่อนั้น | ทศภักตร์ศักดากล้าหาญ |
ครั้นเสร็จสรรพจับหอกสุรการ | เสด็จมาน่าพระลานทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๒๗๏ กวัดแกว่งแสงหอกกลอกกลับ | สว่างวับจับแสงสุริย์ใส |
เอาจุดจี้ที่ฟางเชื้อไฟ | เปนเพลิงไหม้รุ่งโรจโชติชัชวาลย์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๒๒๘๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ |
พอเพลิงลุกโลดโผนโจนทยาน | วิ่งผ่านเข้าไปในพระโรง |
แกล้งลดเลี้ยวเที่ยวทั่วทุกจังหวัด | เผาปรัศเรือนจันทน์ควันโขมง |
ขึ้นจุดปรางปราสาทไชยไฟโพลง | ไปจุดโรงม้ารถคชา |
ทั้งตึกกว้านบ้านเรือนอาณาราษฎร์ | เอาไฟฟาดเข้าไปไหม้เฝืองฝา |
แล้วสลัดเพลิงพิศม์ที่ติดมา | เหาะออกนอกลงกากรุงไกร |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๒๒๙๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเวียนวงวิ่งหลงใหล |
จูงสองมเหษีหนีไฟ | กำนัลในวิ่งตามหลามมา |
กุมภกรรฐ์กับจันทวดี | วิ่งหนีเปลวไฟไปข้างน่า |
อินทรชิตฉุดสุวรรณกันยุมา | พิเภกลากตรีชดาออกมาตาม |
เจ้าขรัวนายท้าวนางต่างเก็บของ | เงินทองหีบผ้าให้ข้าหาม |
พวกโขลนจ่าคว้าฉวยได้ถ้วยชาม | วิ่งตามหลวงแม่เจ้าฉาวออกมา |
นางสาวสาวเข้าของไม่วิตก | ฉวยกระจกเครื่องแต่งแป้งผัดหน้า |
แหนบตะไกรไม้สอยสนงา | อุส่าห์วิ่งประคองร้องอึงไป |
พวกหญิงชายชาวบ้านร้านช่อง | บ้างขนเข้าของวิ่งร้องไห้ |
ต่างเก็บคว้าผ้าผ่อนท่อนสไบ | โอ่งไหใส่สาแหรกแบกหามมา |
บ้างหิ้วหีบหอบมุ้งจูงแม่ยาย | เมียหายเที่ยวมองร้องเรียกหา |
พวกผู้หญิงสาวแก่แม่ค้า | แบกตะกร้ากระบุงพะรุงพะรัง |
พวกขุนนางต่างจูงท่านผู้หญิง | นางเมียน้อยพลอยวิ่งตามหลัง |
บ้างไปบ้างมาละล้าละลัง | เสียงอึกกระทึกทั้งเมืองลงกา |
ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา
๒๓๐๏ ทศกรรฐ์ครั้นออกมานอกวัง | พร้อมพรั่งพระวงษ์พงษา |
ขึ้นทรงบุษบกแก้วแววฟ้า | ไปยังเขาสัตนาเนินคิรี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๓๑๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานชาญไชยศรี |
เหาะออกนอกลงกาธานี | เปลวอัคคีติดหางสว่างมา |
จะปัดเป่าเท่าไรก็ไม่ดับ | เที่ยวร่อนรับร่อนเร่บนเวหา |
พิศม์เพลิงร้อนรุ่มกลุ้มอุรา | ก็โถมลงคงคาทันใด |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๓๒๏ ทลึ่งโลดเล่นน้ำดำดั้น | เพลิงนิดเท่านั้นหาดับไม่ |
วายุบุตรสุดแสนแค้นใจ | ก็เหาะไปศาลาพระอาจารย์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๓๓๏ ครั้นถึงจึ่งลงริมกุฎี | เห็นฤๅษีผินหลังนั่งขัดป้าน |
กำลังร้อนร้องนิมนต์ลนลาน | พระอาจารย์โปรดด้วยช่วยดับไฟ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๓๔๏ เมื่อนั้น | พระนักสิทธิ์คิดพะวงสงไสย |
จึ่งว่าไอ้เจ้ากรรมทำอย่างไร | ให้เปลวไฟติดหางมาอย่างนี้ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๓๕๏ บัดนั้น | หณุมานกรานกราบพระฤๅษี |
จึ่งแจ้งความตามเรื่องราวี | จนลวงเผาบุรีลงกา |
แต่เพลิงนิดติดหางหาดับไม่ | ขัดสนจนใจจึ่งมาหา |
ขอพระมุนีมีปัญญา | ช่วยโปรดข้าให้พ้นทรมาน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๓๖๏ เมื่อนั้น | พระนารทหัวเราะร่าแล้วว่าขาน |
เพราะฤทธิ์หอกออกเปนอัคคีกาล | จึ่งบันดาลติดไหม้เหมือนไฟฟ้า |
จะแก้ไขให้หายก็ง่ายดอก | กูจะบอกให้คิดปฤษณา |
อันน้ำบ่อน้อยที่มีมา | เปนคงคาสำหรับดับไฟ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๓๗๏ บัดนั้น | หณุมานชาญชิตคิดได้ |
จึ่งจับหางขึ้นอมอัดลมไว้ | ประเดี๋ยวไฟดับสิ้นดังจินดา |
จึ่งสรรเสริญคุณพระมุนี | บอกลัทธิครั้งนี้ดีนักหนา |
ว่าพลางทางก้มกราบลา | เหาะข้ามฝั่งมหาสาคร |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๓๘๏ ถึงเขาเหมติรันบรรพต | พบองคตชมภูพาลชาญสมร |
จึ่งแจ้งเรื่องราชการราญรอน | เผานครย่อยยับแล้วกลับมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๓๙๏ บัดนั้น | สองนายเกษมสันต์หรรษา |
ทั้งลิงพวกพหลพลโยธา | ชมปัญญาขุนกระบินทร์ด้วยยินดี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๔๐๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานชาญไชยศรี |
จึ่งปราไสปักษาสำพาที | ท่านก็มีความชอบเราขอบใจ |
ช่วยชี้บอกตำบลหนทาง | ได้ไปล้างผลาญยักษ์ตักไษย |
บัดนี้เราจะลาคลาไคล | จงอยู่ให้หรรษาสถาวร |
ว่าพลางทางพาพลนิกาย | ผันผายลงจากศิงขร |
สังเกตจำน้ำท่าป่าดอน | แล้วรีบร้อนเร่งพลด้นเดินมา |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๒๔๑๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
อยู่ยังยอดเขาสัตนา | ทอดพระเนตรลงกาธานี |
ครั้นเห็นไฟไหม้เมืองหมดสิ้น | อสุรินทร์ตรึกตรองหมองศรี |
กูเสียรู้ลิงป่าพนาลี | เสียบุรีราษฎรก็ร้อนใจ |
จำจะวานเทวาลงมาสร้าง | ให้กว้างขวางรุ่งเรืองเปนเมืองใหม่ |
ดำริห์พลางทางสั่งเสนาใน | จงขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นฟ้า |
บอกกับท้าวโกสีย์ตรีเนตร | ทั้งเทเวศร์ทั่วทศทิศา |
เราจะสร้างราชฐานวานลงมา | ช่วยนิมิตรเมืองลงกาเวลานี้ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๔๒๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งใส่เกษี |
ก้มเกล้ากราบงามสามที | อสุรีรีบเหาะรเห็จไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๔๓๏ เที่ยวบอกเทวัญชั้นวิมาน | สุรารักษ์มัฆวานเปนใหญ่ |
บัดนี้พระยามารชาญไชย | ให้ท่านไปช่วยนิมิตรเมืองลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ยานี
๒๔๔๏ เมื่อนั้น | อมรินทร์ปิ่นดาวดึงษา |
ทั้งเทเวศร์ทุกสถานพิมานฟ้า | รู้ว่าเจ้าลงกาให้หาไป |
ต่างต่างแต่งองค์ทรงเครื่อง | อร่ามเรืองรัศมีศรีใส |
องค์พระอินทร์ออกน่าสุราไลย | เหาะตรงลงไปเมืองมาร |
ฯ ๔ คำ ฯ โคมเวียน
ร่าย
๒๔๕๏ ครั้นถึงจึ่งท้าวโกสีย์ | ให้ปันเปนน่าที่ทั้งสี่ด้าน |
กะเกณฑ์กันเสร็จสำเร็จการ | ต่างอ่านมนต์นิมิตรด้วยฤทธา |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ เจรจา
๒๔๖๏ บังเกิดเปนปราสาทราชวัง | พร้อมทั้งที่ตำหนักรักษา |
แล้วสำเร็จเสร็จสิ้นดังจินดา | เทวาไปสวรรค์ชั้นวิมาน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๔๗๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรศักดาหาญ |
เห็นเทวาอารักษ์มัฆวาน | นิมิตรบ้านเมืองให้ดังใจจง |
ดูภาราน่าสนุกสนานนัก | พระยายักษ์ชื่นชมสมประสงค์ |
จึ่งชวนสองอรรคราชญาติวงษ์ | กับเอกองค์โอรสบทจร |
ขึ้นทรงบุษบกแก้วแววฟ้า | ออกจากเขาสัตนาเนินศิงขร |
พวกหญิงชายไพร่ฟ้าประชากร | บ้างแบกคอนหาบหามตามกันไป |
ฯ ๖ คำ ฯ พระยาเดิน
๒๔๘๏ ครั้นถึงนัคเรศนิเวศน์วัง | จึ่งลงยังเกยมณีศรีใส |
ชวนพระวงษ์พงษาเสนาใน | คลาไคลไปตามรัถยา |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชมตลาด
๒๔๙๏ ทอดพระเนตรป้อมปราการบ้านเมือง | รุ่งเรืองล้วนแก้วแววเวหา |
ปรางปราสาทสูงเยี่ยมเทียมฟ้า | พระปรัศซ้ายขวาน่าพระไชย |
ท้องพระโรงที่สำราญชานพัก | ทั้งตึกแถวแนวตำหนักน้อยใหญ่ |
ฉนวนลงสู่ท่าชลาไลย | ข้างชั้นในมีทิมริมกำแพง |
สิบสองพระคลังตั้งตามขนัดเนื่อง | ทั้งห้องเครื่องทิมตำรวจโรงแสง |
ข้างทิศเบื้องบุรพาพลับพลาแดง | ทุกตำแหน่งโรงรถคชา |
แถวถนนหนทางก็ราบรื่น | พ่างพื้นปัถพีไม่มีหญ้า |
ลดเลี้ยวเที่ยวทอดทัศนา | วงมาจนรอบขอบเวียงไชย |
ฯ ๘ คำ ฯ เพลงฉิ่ง
ร่าย
๒๕๐๏ จึ่งดำรัสตรัสสั่งมโหทร | จงป่าวร้องราษฎรน้อยใหญ่ |
ที่ภูมิฐานบ้านช่องของใคร | ให้ไปอยู่ตามความสบาย |
แล้วชวนพระมเหษีสององค์ | กับพวกยักษ์ญาติวงษ์ทั้งหลาย |
ต่างองค์ยุรยาตรนาดกราย | ผันผายเข้ายังวังใน |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ วรเชฐ
๒๕๑๏ บัดนั้น | ประชาชนจำที่มิใคร่ได้ |
ทุ่มเถียงชิงกันสนั่นไป | สิ้นทั้งเข็ญใจไพร่ผู้ดี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๕๒๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
เสด็จออกพระโรงรัตน์รูจี | สถิตย์ที่แท่นแก้วแววฟ้า |
พร้อมพระวงษ์พงษาข้าราชการ | หมอบกรานเฝ้าฝ่ายซ้ายขวา |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนา | จะสมโภชภาราสักเจ็ดวัน |
ให้มีงานการเล่นเต้นรำ | หกคเมนมวยปล้ำทุกสิ่งสรรพ์ |
จะเลี้ยงทั้งพวกพหลพลกุมภัณฑ์ | จงบอกกันให้รู้ทั้งบูรี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๕๓๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งใส่เกษี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ออกมานั่งยังที่ศาลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๕๔๏ ให้เขียนหมายรายบอกข้าราชการ | พลเรือนทหารถ้วนหน้า |
พวกเต้นรำสำหรับนัครา | จงเร่งมาตามกำหนดจดหมายไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๕๕๏ บัดนั้น | จึ่งเจ้าพนักงานน้อยใหญ่ |
พวกตำรวจขนจากลากไม้ | รีบไปปลูกพลับพลาที่น่าวัง |
สนามมวยแผ้วกวาดเอาคราดชัก | ข้างขอบนอกตอกหลักขึงเชือกหนัง |
บ้างปลูกโรงเต้นรำทำใบบัง | แล้วจัดทั้งที่คนดูปูกระดาน |
พวกขุนนางต่างตั้งราชวัตร | ปักฉัตรรายรอบราชฐาน |
บ้างตั้งโรงน้ำทำฉ้อทาน | แต่งการพร้อมพรั่งดังบัญชา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๒๕๖๏ บัดนั้น | พวกงิ้วหุ่นลครพร้อมหน้า |
รำเต้นเล่นสมโภชภารา | เสียงเฮฮาโห่ร้องก้องไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๕๗๏ บัดนั้น | ฝูงประชามาดูเดินไขว่ |
ทั้งผู้ดีขี้ข้าเข็ญใจ | หลีกหลบกระทบไหล่กันไปมา |
พวกผู้หญิงสาวสาวชาวบ้านนอก | ห่มขาวมุ้งนุ่งบัวปอกพอกผัดหน้า |
เดินสดุดซุดเซเขาเฮฮา | หน้าตาตื่นเก้อกะเบ้อกะบัง |
พวกหม่อมเมียขุนนางเดินกางร่ม | หวีผมจับเขม่าบ่าวตามหลัง |
นางข้าหลวงสาวสาวชาววัง | มาเที่ยวนั่งดูลครทำอ่อนฅอ |
พวกขี้เมาโมเยเซซวน | เห็นใครชวนชกกันขันข้อ |
ปะขุนนางขวางหน้าก็ด่าทอ | เขาผูกฅอดิ้นสบัดวัดแวง |
เหล่าเจ้าชู้ผู้ชายหลายพวกพ้อง | เที่ยวเมียงมองทุกลเมาะเสาะแสวง |
บ้างตัดผมสอยสันชันเปนแปลง | ทำกล้องแกล้งเกี้ยวผู้หญิงทิ้งดอกไม้ |
บ้างนุ่งผ้าพกยาวชาวสวน | ลอยชายข้ามฉนวนเขาจับได้ |
นายประตูขู่สำทับจับหวายไว้ | ขอให้สี่สลึงจึ่งวางมือ |
ไอ้เจ๊กเจ้าตังเมเร่ร้องขาย | ปะผู้ร้ายฉวยชิงออกวิ่งตื๋อ |
ไล่จับตัวตามถนนคนแตกฮือ | อึงอื้ออลหม่านพล่านไป |
ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา
๒๕๘๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรเปนใหญ่ |
ครั้นบ่ายแสงสุริโยอโนไทย | เสด็จไปโสรจสรงคงคา |
แต่งองค์ทรงเครื่องเรืองระยับ | กระจ่างจับผิวภักตร์ยักษา |
พร้อมสนมกำนัลกัลยา | เสด็จไปพลับพลาที่น่าวัง |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๒๕๙๏ นั่งเหนือพระยี่ภู่ปูลาด | หมู่อำมาตย์นอบน้อมพร้อมพรั่ง |
พอร่มแสงสุริย์ฉายบ่ายบัง | จึ่งดำรัสตรัสสั่งให้ทิ้งทาน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๖๐๏ บัดนั้น | เสนีคำนับรับบรรหาร |
ลุกขึ้นวิ่งแหวกคนลนลาน | มาบอกให้ทิ้งทานทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๖๑๏ บัดนั้น | พวกประจำกำมพฤกษ์บังคมไหว้ |
ลุกขึ้นหมดปลดผ้าลงวางไว้ | ปลิดได้มนาวโปรยโดยกำลัง |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๖๒๏ บัดนั้น | ชายหญิงชิงรับคับคั่ง |
ไล่ตะครุบทุบถองกันตึงตัง | น่าที่นั่งที่ลุกรุกเข้าไป |
ที่เรี่ยวแรงแขงข้อย่อขยับ | โจนประจบตบปับรับเอาได้ |
บ้างพลัดมือรื้อขยี้เหยียบไว้ | เสียงอึกอักผลักไสกันไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๖๓๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนา | จงเรียกมวยเข้ามาอย่าช้าการ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๖๔๏ บัดนั้น | คู่มวยวิ่งมาตรงน่าฉาน |
กราบถวายบังคมก้มกราน | ต่างคนลนลานลุกขึ้นชก |
ทำเสียหลักลวงให้ไล่ถลา | หมัดคว้าเข้าดักอักเข้าอก |
ปะเตะตีนต่อยปับกะหมับฟก | ได้สองยกหยุดอยู่มวยหมู่มา |
ฯ ๔ คำ ฯ แทงวิไสย
๒๖๕๏ ดาบสองมือคู่สู้กับดั้ง | ขยับยั้งเยื้องหลอกกลอกหน้า |
โถมถลันฟันรับจับสาตรา | จนสิ้นท่าถึงปล้ำซ้ำต่อยกัน |
ฯ ๒ คำ ฯ กลองแขก
๒๖๖๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ครั้นดาบดั้งหยุดยกตกรางวัล | แล้วตรัสสั่งกุมภัณฑ์พวกขุนนาง |
เปรียบมวยผู้หญิงลองสักสองคู่ | พอได้ดูตามสบายให้หลายอย่าง |
เอาที่ดีมีครูรู้ท่าทาง | ใครจะรักชกบ้างให้เข้ามา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๖๗๏ บัดนั้น | พวกตำรวจรับสั่งใส่เกษา |
ออกไปที่กว้างข้างศาลา | เรียกหามวยผู้หญิงวิ่งวุ่นไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๖๘๏ ได้คู่โรงสีวิเสศนอก | ตำรวจบอกให้ผัวแต่งตัวให้ |
ใส่เสื้อกางเกงกันกระสันไว้ | แล้วแหวกวงตรงเข้าไปน่าพลับพลา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๖๙๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสรวลพลางทางว่า |
ผัวมันมีฤๅไม่ให้เข้ามา | ให้น้ำให้ท่ากันตามใจ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๗๐๏ บัดนั้น | มวยผู้หญิงกราบก้มบังคมไหว้ |
ลุกขึ้นตั้งชั่งหมัดเหมือนแกว่งใน | เข้าหลับตาคว้าไขว่ไล่ต่อยตำ |
ต่างทุบถองพล่องแพล่งแว้งวัด | กอดกัดปัดป่ายตะกายปล้ำ |
ปะเตะตีนติดพกหกคมำ | ถองซ้ำถูกขาฮาก้องไป |
ฯ ๔ คำ ฯ แทงวิไสย
๒๗๑๏ บัดนั้น | พวกยืนดูยัดเยียดเบียดไม่ไหว |
บ้างเอะอะอึดอัดขัดใจ | ผลักไสสรวลเสเสียงเฮฮา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๗๒๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
ครั้นพลบค่ำย่ำแสงสุริยา | จึ่งให้จุดรทาดอกไม้ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๗๓๏ บัดนั้น | พวกยักษ์พนักงานน้อยใหญ่ |
เอาโคมกลิ้งสิงโตเต้นเข้าไป | เลี้ยวไล่เล่นหางอยู่กลางเตียน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๗๔๏ พวกถือโคมกระถางต่างตั้งท่า | ซ้ายขวาไขว่กันหันเหียน |
บ้างลงล่างขึ้นบนวนเวียน | แทรกเปลี่ยนพลัดไพล่กันไปมา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๗๕๏ พวกมังกรฬ่อแก้วเปนแถวท่อง | ล้วนไวว่องวิ่งวนตามคนน่า |
ศีศะเสือกเกลือกกลิ้งกลอกในตา | เล่นถวายพระยาอสุรี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๗๖๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี |
ครั้นย่ำฆ้องสองทุ่มก็จรลี | ไปสู่ที่ปราสาทแก้วแพรวพรัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๒๗๗๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์รังสรรค์ |
ครั้นยามค่ำย่ำแสงสุริยัน | ทรงธรรม์สถิตย์ในที่ไสยา |
คิดคนึงถึงคำแหงหณุมาน | กับองคตชมภูพาลไปอาสา |
จะพบภัควดีสีดา | ฤๅว่าจะขัดขวางเปนอย่างไร |
ยิ่งปรารภรัญจวนป่วนจิตร | พระทรงฤทธิ์ไม่ระงับหลับใหล |
จนแสงทองส่องฟ้านภาไลย | ไก่ขันสนั่นในวนาดร |
หอมตระหลบกลบกลิ่นบุปผชาติ | ที่เชิงเขาคันธมาทน์ศิงขร |
ดาวเดือนเลื่อนลับยุคันธร | ทินกรรุ่งรางสว่างฟ้า |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๗๘๏ เสด็จจากแท่นทองห้องตำหนัก | กับพระลักษณ์ร่วมจิตรขนิษฐา |
พร้อมบรรดาวานรเสนา | ลีลาศมาท่าน้ำลำธาร |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า
๒๗๙๏ ต่างผลัดภูษาผ้าชุบสรง | เสด็จลงชำระสระสนาน |
ทั้งพวกพลกระบี่บริวาร | เล่นน้ำสำราญริมคิรี |
ฯ ๒ คำ ฯ ลงสรง
๒๘๐๏ บัดนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรไชยศรี |
ล่วงทางกลางป่าพนาลี | มาถึงที่ประทับพลับพลา |
รู้ว่าเสด็จลงสรงสนาน | จึ่งตามไปท้องธารที่เชิงผา |
กับองคตชมภูพาลคลานเข้ามา | หมอบอยู่ริมท่าชลาไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๘๑๏ เมื่อนั้น | พระราเมศรัศมีศรีใส |
เห็นคำแหงหณุมานชาญไชย | ดีพระไทยขึ้นมาจากวารี |
มิทันผลัดภูษาบัญชาถาม | อย่างไรบ้างทั้งสามกระบี่ศรี |
ท่านไปเกาะลงกาธานี | พบสีดานารีฤๅฉันใด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๘๒๏ บัดนั้น | วายุบุตรบังคมประนมไหว้ |
จึ่งทูลความตามยุบลแต่ต้นไป | จนได้เผาเมืองเปนเรื่องมา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๘๓๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
ได้ฟังคำเคืองขัดอัธยา | ตวาดว่าน้อยฤๅช่างซื้อรู้ |
เราใช้ให้ไปสืบแต่ข่าวนาง | กับดูทางกลางไพรอย่างไรอยู่ |
ไม่ตามคำทำการให้เกินกู | ไปรบสู้กับเขาเผานคร |
ถ้าแม้นทศกรรฐ์มันโกรธา | ว่าเกิดเหตุเพราะสีดาดวงสมร |
จะตัดศึกสังหารผลาญบังอร | ม้วยมรณ์แล้วจะทำประการใด |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๘๔๏ บัดนั้น | ลูกพระพายสารภาพกราบไหว้ |
ข้าผิดพลั้งครั้งนี้เพราะเบาใจ | มิได้คิดเห็นเช่นบัญชา |
แต่เมื่อรบกับยักษ์มันซักถาม | ข้าลวงหลอกบอกความว่าลิงป่า |
ตัวคนเดียวเที่ยวเล่นก็หลงมา | มิได้ว่าเปนข้าฝ่าธุลี |
ถ้าแม้นเจ้าลงกาพระยามาร | ให้ประหารองค์พระมเหษี |
จงลงโทษโทษาข้านี้ | ให้สุดสิ้นชีวีวายปราณ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๒๘๕๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน |
ได้ฟังทูลทานบนหณุมาน | จึ่งโองการประกาศคาดโทษไว้ |
พลางดำรัสตรัสเรียกภูษาทรง | มาผลัดผ้าชุบสรงแล้วส่งให้ |
ซึ่งเราสั่งว่ามาเมื่อใด | ถ้าทรงเครื่องสิ่งไรจะให้ปัน |
บัดนี้มีแต่ผ้าชุบอาบ | พอเปนลาภลูกพระพายที่ผายผัน |
แล้วลูบไล้พระสุคนธ์ปนอำพัน | กระแจะจันทน์หอมฟุ้งจรุงใจ |
ประดับองค์ทรงเครื่องเรืองระยับ | กระจ่างจับรับแสงสุริย์ใส |
เสด็จจากธารท่าชลาไลย | กลับไปสุวรรณพลับพลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
๒๘๖๏ ลดองค์ลงนั่งเหนืออาศน์ | พร้อมอำมาตย์เฝ้าฝ่ายซ้ายขวา |
จึ่งมีพระราชบัญชา | สั่งสุครีพมหาเสนาใน |
จงจัดสรรบรรดาวานร | สองนครเข้าสลับทัพใหญ่ |
เราจะยกโยธาคลาไคล | ไปตั้งให้ใกล้ฝั่งคงคา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๘๗๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษา |
ก้มเกล้ากราบงามสามลา | ออกมาจัดพหลพลนิกาย |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๒๘๘๏ เกณฑ์กำแหงหณุมานเปนกองน่า | ดำเนินนำโยธาผันผาย |
ปีกขวาวาหุโรมเปนตัวนาย | ปีกซ้ายขุนกระบินทร์นิลนนท์ |
พวกกองหลวงกองหลังทั้งนั้น | พลขันธ์คั่งคับสับสน |
บ้างรีบรัดจัดแจงแต่งตน | ใส่เสื้อขนคาดพุงพะรุงพะรัง |
บ้างถือทวนง้าวหลาวแหลนโล่ห์ | พร้าโต้เล่มสนัดขัดหลัง |
บ้างแบกคอนหาบหามตามกำลัง | เสบียงกรังจะได้เอาไปกิน |
แล้วเทียมราชรถแก้วแพรวพราย | สุครีพจัดมาถวายแต่ขีดขิน |
สารวัดนายหมวดตรวจกระบินทร์ | พลพฤนท์พร้อมพรั่งดังบัญชา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๘๙๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
ครั้นเสร็จจัดพหลพลโยธา | จึงตรัสชวนอนุชายาใจ |
ต่างองค์ทรงจับพระแสงศร | บทจรจากพลับพลาที่อาไศรย |
ขยายยกโยธาคลาไคล | ตรงไปตามทางกลางดงดอน |
ฯ ๔ คำ ฯ กราวนอก
๒๙๐๏ ประทับรอนแรมมาสิบห้าวัน | ถึงเขาเหมติรันศิงขร |
จึ่งตรัสสั่งเสนาวานร | ให้รีบร้อนตั้งประทับพลับพลา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๙๑๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษา |
เกณฑ์กระบี่ที่ถือขวานพร้า | เที่ยวตัดไม้ในป่าพนาลี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ยานี
๒๙๒๏ ปลูกพลับพลาห้าหลังตั้งค่าย | เรียงรายริมเชิงคิรีศรี |
มีคูขอบเขื่อนขัณฑ์กันไพรี | สนามที่ซ้อมหัดจัตุรงค์ |
ข้างฝั่งน้ำทำฉนวนแน่นหนา | เปนที่สองกระษัตราลงโสรจสรง |
ทั้งหอรบนางจรัลมั่นคง | ปักธงเปนทิวปลิวระยับ |
ทิมกระท่อมล้อมรอบขอบค่าย | ให้ไพร่นายไว้ของเปนห้องหับ |
เกยคชาพาชีที่ประทับ | พอเสร็จสรรพสุริยนสนธยา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๒๙๓๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
ชวนพระลักษณ์ลีลาศยาตรา | ขึ้นพลับพลาสุวรรณทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๙๔๏ บัดนั้น | โยธาวานรน้อยใหญ่ |
ครั้นราตรีตีฆ้องกองไฟ | ตระเวนไปรอบทัพพลับพลา |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก เจรจา
๒๙๕๏ บัดนั้น | คงคาสมุทมารหาญกล้า |
คุมทหารเหาะรเห็จเตร็จมา | ตระเวนริมฝั่งมหาสาคร |
แลเห็นค่ายรายรอบขอบคัน | ที่ริมเหมติรันศิงขร |
สังเกตดูโยธาพลากร | ล้วนวานรนับโกฏิโจษจรร |
ใครหนอนายใหญ่จะใคร่รู้ | ตั้งค่ายคูตามตำหรับทัพขัน |
จึ่งแอบเงาเขาเหมติรัน | พวกกุมภัณฑ์ลอบแลมาแต่ไกล |
เห็นมนุษย์สองคนบนพลับพลา | พิเคราะห์ดูรู้ว่านายใหญ่ |
ชรอยลักษณ์รามที่เปนชีไพร | จะข้ามไปรบพุ่งกรุงลงกา |
คิดจะใคร่โจมทัพให้ยับย่อย | แต่พวกพลเราน้อยกว่าหนักหนา |
จำจะไปทูลแถลงแจ้งกิจจา | แล้วเหาะข้ามคงคามากรุงไกร |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๒๙๖๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบทูล | ท้าวราพนาสูรเปนใหญ่ |
บัดนี้มีมนุษย์กับลิงไพร | มาตั้งทัพอยู่ใกล้ฝั่งคงคา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๙๗๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษา |
ได้ฟังนั่งนึกตรึกตรา | ชรอยว่าลักษณ์รามมาตามนาง |
จึ่งตรัสด้วยอสุราคงคาสมุท | ทำไมกับมนุษย์ลิงค่าง |
ไม่รู้จักเหาะเหินเดินตามทาง | จึ่งมาค้างอยู่ยังฝั่งชลธี |
เมืองลงกาสาครเปนคูคั่น | น้ำหน้ามันมาไม่ได้ถึงนี่ |
ตรัสประภาศพูดจาจนราตรี | เข้าสู่ที่แท่นแก้วแพรวพรัน |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๒๙๘๏ บัดนั้น | ฝ่ายฝูงสุรางค์นางสาวสรรค์ |
พวกเจ้าจอมหม่อมอยู่งานโปรดปรานครัน | เข้านวดฟั้นบั้นพระองค์อสุรี |
บ้างยกพานพวงบุบผามาไลย | ขึ้นไปตั้งวางข้างที่ |
บ้างหมอบกรานอยู่งานพัชนี | ทำท่วงทีแยบคายชม้ายเมียง |
นางบำเรอสำหรับขับตีนม่าน | ก็สีซอขับขานประสานเสียง |
โอดพันไพเราะห์เพราะพร้อมเพรียง | นางจำเรียงบำเรออสุรา |
ฯ ๖ คำ ฯ กล่อม
ช้า
๒๙๙๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษา |
ดึกสงัดปัจฉิมเวลา | นิทราระงับหลับไป |
บังเกิดลางวิปริตนิมิตรฝัน | เมื่อไก่ขันจวนแจ้งปัจจุสไสมย |
สดุ้งตื่นตระหนกตกใจ | แต่นิ่งนึกตรึกไตรไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๓๐๐๏ ครั้นเวลาสุริย์ฉายสายแสง | ก็จัดแจงแต่งองค์ทรงภูษา |
จับพระแสงศรสิทธิฤทธา | ลีลาออกท้องพระโรงไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๓๐๑๏ นั่งเหนือแท่นแก้วแพรวพรัน | พร้อมพระวงษ์พงษ์พันธุ์น้อยใหญ่ |
เรียกพิเภกอนุชามาทันใด | แล้วเล่าความตามในนิมิตร |
มีแร้งเผือกบินมาในอากาศ | ทำอำนาจอาจองทนงจิตร |
พบแร้งดำท้าวหาญชาญชิต | ต่างกล้าแขงแรงฤทธิ์เข้าจิกตี |
ฝ่ายพระยาแร้งดำนั้นแพ้พ่าย | ตกลงดินดิ้นตายอยู่กับที่ |
ร่างกายกลายกลับไปทันที | เปนรูปอสุรีปลาดตา |
ว่าเราเอากะลาน้ำมันยาง | ใส่ไส้แล้ววางกลางหัดถา |
มีหญิงวิ่งถืออัคคีมา | จุดไส้ในกะลาขึ้นทันที |
เพลิงลุกลามลนจนสิ้นไส้ | ติดกะลาตามไปไหม้มือพี่ |
พิศม์ไฟร้อนรุ่มกลุ้มอินทรีย์ | ฝันนี้ดีร้ายประการใด |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๓๐๒๏ เมื่อนั้น | พิเภกรับสั่งบังคมไหว้ |
พิเคราะห์ดูรู้ว่าจะเกิดไภย | ตกใจทูลความตามสัจจา |
ซึ่งแร้งเผือกชนะคือพระราม | จะหยาบหยามย่ำยียักษา |
แร้งดำคือพระองค์ทรงศักดา | จะอัปราพ่ายแพ้แก่ไพรี |
อันกะลาที่ไฟไหม้หมด | จะเสียองค์ทรงยศแลกรุงศรี |
น้ำมันนั้นองค์อสุรี | จะสุดสิ้นชีวีมรณา |
ซึ่งสัตรีที่นำเพลิงเผา | คือนงเยาว์เจ้าสำมนักขา |
อันข้อที่ไฟไหม้กะลา | คือสีดาที่เลี้ยงไว้เวียงไชย |
พิเคราะห์ดูลักษณพระสุบิน | ร้ายสิ้นหามีดีไม่ |
ขอพระองค์จงดำริห์ตริไตร | อย่าให้เกิดเหตุเภทพาล |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๓๐๓๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์แจ้งใจดังไฟผลาญ |
ให้โศกเศร้าเร่าร้อนรำคาญ | จึ่งพจนาว่าขานแก่อนุชา |
เจ้าจะช่วยคิดอ่านประการใด | ให้พ้นไภยอันตรายภายน่า |
จะเสดาะเคราะห์นามตามตำรา | ฤๅว่าจะแก้ไขอย่างไรดี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๓๐๔๏ เมื่อนั้น | พิเภกประนตบทศรี |
จึ่งทูลว่าข้าดูในคัมภีร์ | อันพระเคราะห์ครั้งนี้หนักครัน |
ไม่ต้องตามตำหรับดับโพยไภย | ด้วยเหตุใหญ่ยิ่งยวดกวดขัน |
แม้นจะให้ยืนยงคงชีวัน | จงฟังน้องครองธรรม์ประเพณี |
นางสีดาเมียเขาเอาไว้ไย | จงส่งไปให้ผัวนางโฉมศรี |
ก็จะสิ้นสงครามความราคี | พระภูมีจะเปนศุขทุกเวลา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๓๐๕๏ เมื่อนั้น | องคท้าวทศภักตร์ยักษา |
ได้ยินว่าจะให้ส่งองค์สีดา | อสุรากริ้วกราดตวาดอึง |
ชิชะช่างกะไรไอ้พิเภก | เจ้าหมอเอกดังกูไม่รู้ถึง |
มนุษย์นี้ดีร้ายเปนพวกมึง | กลศึกฦกซึ้งข้าเข้าใจ |
ซึ่งฝันร้ายให้ส่งองค์สีดา | ในตำราเจ้ามีอยู่ที่ไหน |
เพราะมึงรักลักษณ์รามลิงไพร | จึ่งแช่งให้กูตายวายชนม์ |
ธรรมดาแก้ฝันกันแต่ก่อน | เขาก็ช่วยอวยพรสถาผล |
นี่ว่าเล่นเปนอัประมงคล | จะทำให้ไพร่พลกูเสียใจ |
ว่าพลางทางสั่งอำมาตย์มาร | ไอ้พิเภกพวกพาลไม่เลี้ยงได้ |
เอาลงเภตราพาข้ามไป | ส่งให้ขึ้นยังฝั่งคงคา |
มันจะได้ไปเปนพวกพระราม | สมความมุ่งมาดปราถนา |
ริบทั้งเงินทองของนานา | จนไม้ขว้างกาอย่าให้มี |
แต่เมียมันนั้นส่งไปไว้สวน | เปนข้านวลนางสีดามารศรี |
ตรัสพลางย่างเยื้องจรลี | เข้าสู่ที่ปรางมาศปราสาทไชย |
ฯ ๑๔ คำ ฯ เสมอ
๓๐๖๏ บัดนั้น | มโหทรยักษาเสนาใหญ่ |
จึ่งเตือนพิเภกว่าช้าอยู่ไย | รับสั่งได้ยินอยู่ด้วยกัน |
เข้าของข้าไทสิ่งใดมี | บอกบาญชีตามจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
แล้วเรียกไพร่ให้คุมกุมภัณฑ์ | พากันไปปราสาทอสุรา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๓๐๗๏ ครั้นถึงจึ่งให้ทำบาญชี | เครื่องอานพานพระศรีแลเสื้อผ้า |
เงินทองเข้าของนานา | ทั้งตำหรับตำราบรรดามี |
ข้าผู้ชายจ่ายเดือนให้เหมือนไพร่ | พวกสาวใช้นั้นส่งไปโรงสี |
แล้วสั่งไพร่ให้ขนของดีดี | ไปส่งที่พระคลังดังบัญชา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๓๐๘๏ เมื่อนั้น | พิเภกเพียงชีวังจะสังขาร์ |
มาหาลูกสาวศรีกับตรีชดา | แล้วเล่าแจ้งกิจจาสารพัน |
วันนี้พี่ไปเฝ้าทศภักตร์ | พระยายักษ์ให้ทายทำนายฝัน |
พี่ทูลความตามจริงทุกสิ่งอัน | พระทรงธรรม์นึกระแวงแคลงใจ |
ว่าตัวพี่นี้เปนพวกพระราม | จะทูลความผ่อนผันหาทันไม่ |
ในริบเอาเข้าของข้าไท | แล้วขับพี่มิให้อยู่ธานี |
ทั้งตัวเจ้าเขาให้ไปเปนข้า | อยู่ด้วยสีดามารศรี |
จะพลัดพรากจากกันวันนี้ | อสุรีบอกพลางทางร่ำไร |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๓๐๙๏ บัดนั้น | สองนางพ่างเพียงจะตักไษย |
สร้วมสอดกอดบาทพิเภกไว้ | ต่างสอึกสอื้นไห้ไปมา |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
โอ้
๓๑๐๏ โอ้ว่าพระองค์ทรงเดช | พระคุณเคยปกเกษเกษา |
ได้อยู่เย็นเปนศุขทุกเวลา | เวราสิ่งไรจะไกลกัน |
มิเสียแรงพระเชษฐานิจาเอ๋ย | กระไรเลยมีบุญแล้วหุนหัน |
ถึงกระไรไล่เลียงให้เที่ยงธรรม์ | ถ้าแม้นเปนเช่นนั้นไม่น้อยใจ |
เมื่อไม่มีความผิดสักนิดหนึ่ง | มาโกรธขึ้งสำทับขับไล่ |
โอ้แสนสงสารพระทรงไชย | จะต้องไปเหนื่อยยากลำบากองค์ |
เมียอยู่หลังตั้งแต่จะตรอมจิตร | น่าที่ชีวิตรจะผุยผง |
ร่ำพลางทางซบภักตร์ลง | กรรแสงทรงโศกาจาบัลย์ |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๓๑๑๏ เมื่อนั้น | พิเภกแสนวิโยคโศกศัลย์ |
ฟังเมียรักร่ำรำพรรณ | อุส่าห์กลั้นชลนาแล้วพาที |
เปนกรรมแล้วแก้วตาอย่าร้องไห้ | จงหักใจเสียเถิดน้องอย่าหมองศรี |
อยู่ถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงบุตรี | จะด่วนตีตนตายไม่ต้องการ |
แต่ตัวพี่นี้คราวเคราะห์ร้าย | จำกำจัดพลัดพรายจากสถาน |
ถ้าแม้นไม่ล้มตายวายปราณ | ถึงเนิ่นนานก็จะมาเห็นหน้ากัน |
เจ้าจะได้ไปอยู่ด้วยสีดา | จงอุส่าห์โอนอ่อนผ่อนผัน |
แล้วสั่งสอนธิดาวิลาวรรณ | อย่าโศกศัลย์นักเลยนะลูกรัก |
สิ้นบุญพ่อแล้วแก้วแม่เอ๋ย | ทรามเชยเจ้าอุส่าห์รักษาศักดิ |
ว่าพลางทางกรรแสงซบภักตร์ | พระยายักษ์สอื้นไห้ไปมา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
๓๑๒๏ บัดนั้น | มโหทรสิทธิศักดิยักษา |
จึ่งสั่งไพร่ให้เลื่อนลำเภตรา | เข้ามาจอดทอดท่าเตรียมไว้ |
แล้วทูลเตือนพิเภกกุมภัณฑ์ | จะโศกศัลย์ช้าทีอยู่มิได้ |
ว่าพลางทางพาคลาไคล | ตรงไปน่าวังฝั่งคงคา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๓๑๓๏ ครั้นถึงจึ่งนำลงสำเภา | พร้อมเหล่าต้นหนล้าต้า |
ออกจากปากอ่าวเมืองลงกา | แล่นมากลางท้องสมุทไทย |
ฯ ๒ คำ ฯ โล้
๓๑๔๏ พอเห็นฝั่งหยั่งดิ่งดูร่องน้ำ | ทอดสมอรอลำสำเภาใหญ่ |
พาพิเภกลงสำปั้นทันใด | โล้เข้าไปฝั่งมหาวารี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๓๑๕๏ ครั้นเสร็จส่งองค์พระอนุชา | กลับมาสำเภาจอดทอดที่ |
ถอนสมอขึ้นพลันทันที | พอลมดีใช้ใบไปลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๓๑๖๏ เมื่อนั้น | พิเภกเศร้าสร้อยลห้อยหา |
เปลี่ยวเปล่าเศร้าใจในวิญญา | จึ่งรำพึงถึงตำราที่เรียนรู้ |
เห็นลักษณ์จันทร์ชัณษาพยากรณ์ | ไม่ม้วยมรณ์ยังมีที่พึ่งอยู่ |
จำเภาะให้ไปหาพวกศัตรู | จะมีผู้เลี้ยงไว้ให้ได้ดี |
อันพระรามคือนารายน์วายุกูล | จะมาปราบประยูรยักษี |
จำจะไปเปนข้าฝ่าธุลี | อสุรีตรึกตราแล้วคลาไคล |
ฯ ๖ คำ ฯ
โอ้ร่าย
๓๑๗๏ เดินตามหาดทรายชายสมุท | คิดถึงบุตรภรรยาน้ำตาไหล |
เคยอยู่พร้อมพรั่งที่วังใน | วิบากกรรมจำให้ไกลกัน |
โอ้สงสารปานนี้ตรีชดา | กับลูกยาจะวิโยคโศกศัลย์ |
ยิ่งคิดยิ่งให้ใจผูกพัน | ทุกข์ทนอ้นอั้นตันอุรา |
พลางคนึงถึงตัวต้องตกยาก | น้ำตาพรากพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา |
สอึกสอื้นออกนามพระรามา | โศกาครวญคร่ำร่ำไรไป |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด วรเชฐ (กองตระเวนออก)
ร่าย
๓๑๘๏ บัดนั้น | กองตระเวนวานรน้อยใหญ่ |
ลดเลี้ยวเที่ยวมาในป่าไม้ | พอได้ยินสำเนียงเสียงโศกี |
ต่างสงไสยไต่ถามกันอึงอื้อ | จะเปนนกทึดทือฤๅว่าผี |
จึ่งหยุดฆ้องมองเมียงมาทันที | เห็นยักษีครวญคร่ำร่ำไร |
เดินสอื้นออกนามพระราเมศ | ผิดสังเกตคิดพะวงสงไสย |
ตะโกนร้องเรียกกันสนั่นไป | พรั่งพร้อมล้อมไล่จับกุมภัณฑ์ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๓๑๙๏ บ้างฉุดแขนขวาคร่าแขนซ้าย | ตัวนายร้องกำชับจับให้มั่น |
แล้วมัดด้วยเชือกเขาเถาวัล | ช่วยกันลากมาพลับพลาไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา เตียว
๓๒๐๏ ครั้นถึงจึ่งจูงเข้าไปหา | ท่านสุครีพเสนาผู้ใหญ่ |
แลเล่าเรื่องยักษาโศกาไลย | ข้าจับได้มัดมาไม่ฆ่าตี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๓๒๑๏ บัดนั้น | สุครีพนั่งตรวจพลบนเก้าอี้ |
ได้ฟังคำทำสง่าไม่พาที | ให้กระบี่จุดกล้องลองสูบยา |
แล้วสั่งให้เสมียนเขียนคำถาม | จึ่งคุกคามขู่ซักยักษา |
ไยเองออกพระนามหยามหยาบช้า | ตัวผู้เดียวเที่ยวมาริมกองทัพ |
อันถิ่นฐานบ้านเมืองมึงอยู่ไหน | ชื่อไรเร่งบอกอย่ากลอกกลับ |
ฤๅคิดการกลศึกฦกลับ | อย่าให้ต้องเฆี่ยนขับรับดีดี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๓๒๒๏ เมื่อนั้น | พิเภกตอบคำกระบี่ศรี |
ข้าเปนน้องเจ้าลงกาธานี | ชื่อพิเภกเรียนคัมภีร์โหรา |
ทศกรรฐ์ฝันเห็นให้ทำนาย | ว่าฝันร้ายก็พิโรธโกรธหนักหนา |
ให้ริบจนสิ้นสุดบุตรภรรยา | แล้วขับข้ามิให้อยู่ในบูรี |
จึ่งเที่ยวท่องร้องหาพระราเมศ | หวังพระเดชปกเกล้าเกษี |
จะขออยู่เปนข้าฝ่าธุลี | จนชีวีอาสัญบรรไลย |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๓๒๓๏ บัดนั้น | สุครีพยังพะวงสงไสย |
หยิบสมุดที่เสมียนเขียนคำไว้ | แล้วพาไปเฝ้าพระหริรักษ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๓๒๔๏ เคารพอภิวาทบาทมูล | กราบทูลแถลงแจ้งประจักษ์ |
ตระเวนไพรไปจับได้พวกยักษ์ | แล้วอ่านความตามซักอสุรา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๓๒๕๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
จึ่งทรงซักยักษ์ด้วยปรีชา | ดูราพิเภกกุมภัณฑ์ |
เมื่อพี่น้องท้องเดียวกันเจียวนี่ | ผิดแต่ที่ทักทายทำนายฝัน |
ว่าเคืองขัดตัดญาติขาดกัน | ฤๅพิเภกเศกสรรจำนรรจา |
ฤๅจะคิดแยบยนต์กลอุบาย | เขาจับตัวกลัวตายจึ่งแกล้งว่า |
จงเร่งบอกออกความตามจริงมา | จึ่งจะไว้ชีวาไม่ฆ่าตี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๓๒๖๏ เมื่อนั้น | พิเภกประนตบทศรี |
แล้วว่าข้าเซซังมาครั้งนี้ | ด้วยภักดีต่อพระองค์ทรงศักดา |
มิได้คิดกลับกลอกยอกย้อน | จะหนีร้อนพึ่งเย็นอยู่เปนข้า |
มาทแม้นทรงธรรม์ไม่กรุณา | น่าที่ชีวาจะบรรไลย |
ทศกรรฐ์นั้นถึงเปนพี่น้อง | ก็หยาบคายร้ายรองไม่พึ่งได้ |
มาแก้ฝันข้าทายทำนายไป | ให้ท้าวไทคืนส่งองค์สีดา |
ก็เคืองขุ่นงุ่นง่านพาลเอาผิด | ว่าเปนพวกปัจจามิตรฤษยา |
ขับไล่ไม่มีเมตตา | ให้เสนาริบราชกวาดลูกเมีย |
ถึงแต่ก่อนผิดกันก็ฉันญาติ | ไม่ตัดขาดกระทำส่ำเสีย |
ครั้งนี้ร้อนใจดังไฟเลีย | แล้วโศกาน้ำตาเรี่ยร่ำไร |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
๓๒๗๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
ฟังพิเภกพูดจาโศกาไลย | ภูวไนยนึกสมเพชเวทนา |
แล้วพินิจพิศดูกุมภัณฑ์ | เห็นโศกศัลย์สมคำที่ร่ำว่า |
จะเลี้ยงไว้ใช้สอยเปนโหรา | ดูฤกษ์พาสำหรับทัพไชย |
ดำริห์แล้วปฤกษาพวกวานร | อันยักษีหนีร้อนมาอาไศรย |
ซึ่งเท็จจริงสิ่งนี้ไม่เห็นใจ | จะเลี้ยงไว้ดูทีกิริยา |
ไม่ซื่อตรงคงสัตย์สุจริต | จึ่งสังหารผลาญชีวิตรยักษา |
แต่ให้ถือน้ำพระพัฒน์สัจจา | ต่อหน้าท้าวพระยาเสนาใน |
ว่าพลางทางยื่นพระแสงศร | ให้สุครีพวานรนายใหญ่ |
จงรีบนำอสุราคลาไคล | ออกไปถือน้ำตามธรรมดา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๓๒๘๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษา |
ทั้งวานรข้าเฝ้าเหล่าเสนา | พาพิเภกออกมาน่าพระลาน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๓๒๙๏ ให้ยกเตียงมาตั้งทั้งหม้อน้ำ | จุดธูปเทียนเขียนคำอธิฐาน |
แล้วโสรจสรงศรพระอวตาร | ให้ขุนมารอ่านคำสัตยา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๓๓๐๏ เมื่อนั้น | พิเภกพระยายักษา |
จงรักภักดีปรีดา | อสุรากราบก้มบังคมคัล |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๓๓๑๏ จึ่งตั้งความสัตย์อธิฐาน | ขอเทวัญชั้นวิมานเมืองสวรรค์ |
ทั้งปู่เจ้าเขาเขินเนินอรัญ | พร้อมกันช่วยเห็นเปนพยาน |
ถ้าข้ามิสุจริตคิดกลับกลาย | ให้ศรศักดิจักรนารายน์สังหาร |
ทั้งเทวัญบรรดาเชี่ยวชาญ | จงรอนราญผลาญชีพชีวี |
แม้ข้าตรงจงรักพระจักรา | ไม่ชั่วช้าเปนอุบายหน่ายหนี |
ให้ผาศุกทุกทิวาราตรี | แล้วยักษีเคารพอภิวันท์ |
ฯ ๖ คำ ฯ สาธุการ
ร่าย
๓๓๒๏ จึ่งรับน้ำชำระศรศักดิ | พระยายักษ์ดื่มกินจนสิ้นขัน |
จึ่งกล่าวคำให้ได้ยินสิ้นด้วยกัน | จะอาสาทรงธรรม์คุ้มวันตาย |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๓๓๓๏ บัดนั้น | สุครีพชื่นชมสมหมาย |
เห็นพิเภกสามิภักดิ์รักนารายน์ | จึ่งภิปรายปราไสเปนไมตรี |
นี่แน่ดูราพระยายักษ์ | ท่านเปนน้องทศภักตร์ยักษี |
ตัวเราก็เปนน้องของพาลี | ถ้อยทีถิ่นฐานก็ปานกัน |
บัดนี้เราเข้ามาเปนข้าบาท | พระจักรีธิราชรังสรรค์ |
จะอาสาฆ่าพวกอาธรรม์ | ควรผูกพันเปนสหายหมายพึ่งพา |
จงมาตั้งสัตย์ปฏิญาณ | ให้ทหารเขาฟังพรั่งพร้อมหน้า |
ฤๅจะคิดอย่างไรในวิญญา | จงว่ามาให้แจ้งแห่งคดี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๓๓๔๏ บัดนั้น | พิเภกปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
จึ่งอ่อนน้อมยอมใจเปนไมตรี | ถ้อยทีให้สัตย์ปฏิญาณ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๓๓๕๏ บัดนั้น | สุครีพฤทธิไกรใจหาญ |
ครั้นสมัครักกันกับขุนมาร | จึ่งพูดจาว่าขานการธานี |
อันเจ้ากรุงลงกาเชษฐาท่าน | ทั้งพงษ์เผ่าเหล่ามารยักษี |
ความคิดฤทธิไกรใครจะดี | ทั้งโยธีเมืองยักษ์สักเท่าไร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๓๓๖๏ บัดนั้น | พิเภกจึ่งแจ้งแถลงไข |
อันองค์ทศกรรฐ์นั้นไซ้ | ปราบได้ดินฟ้าบาดาล |
สุริวงษ์พงษ์พันธุ์มิตรสหาย | มากมายหลายบุรินทร์ถิ่นฐาน |
อันโยธีรี้พลพ้นประมาณ | ล้วนห้าวหาญชาญชิตฤทธิรงค์ |
ถือเทพอาวุธสุดศักดา | ใครรบรายับยุ่ยเปนผุยผง |
อันกระบี่ที่เปนข้าบาทบงสุ์ | จะอาจองอย่างไรมิได้รู้ |
ถ้าฤทธีฝีมือเหมือนหณุมาน | เมื่อเผาผลาญลงกาหนักหนาอยู่ |
แต่นอกนั้นเปนอย่างไรจะใคร่รู้ | แม้นได้ดูพอจะเทียบเปรียบมือมาร |
ฯ ๘ คำ ฯ
๓๓๗๏ บัดนั้น | สุครีพฟังวาจาจึ่งว่าขาน |
อันพระจอมโยธีปรีชาชาญ | คือนารายน์อวตารมาผลาญยักษ์ |
แต่บรรดาเสนาวานร | ฤทธิรอนปราบได้ทั้งไตรจักร |
ทั้งกระบี่รี้พลก็มากนัก | ล้วนเรืองฤทธิ์สิทธิศักดิสิ้นทั้งนั้น |
ถึงทำการรบราต้องอาวุธ | ไม่รู้สุดสิ้นชีวาอาสัญ |
พอต้องลมเย็นเย็นเปนขึ้นพลัน | ทั้งฤทธิ์นั้นกลับมีทวีมา |
ซึ่งท่านว่าอสุรีมีฤทธิรอน | เปรียบวานรไม่ได้ไกลหนักหนา |
บอกพลางทางชวนไคลคลา | เข้ามาเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๓๓๘๏ กราบถวายบังคมก้มเกล้า | นบนอบหมอบเฝ้าอยู่ที่นั่น |
แล้วทูลแจ้งกิจจาสารพัน | ข้าพากันถือน้ำสำเร็จการ |
แต่พิเภกบอกว่าในธานี | ยักษีมีศักดากล้าหาญ |
ปราบได้ทั้งสวรรค์ชั้นบาดาล | หมู่มารเหลือล้นคณนา |
แต่ว่าชมฤทธิรณหณุมาน | เมื่อเผาผลาญเมืองยักษ์หนักหนา |
อันกระบี่ที่อยู่ในพลับพลา | จะขอดูศักดาว่าอย่างไร |
ถ้าแม้นเหมือนหณุมานชาญสนาม | จะปราบปรามพวกยักษ์ตักไษย |
ข้อนี้มิควรประการใด | ภูวไนยงดโทษโปรดปราน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๓๓๙๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน |
จึ่งว่าท่านอย่าช้าพาขุนมาร | ไปดูฤทธิ์ทหารชำนาญยุทธ |
จงร้องเรียกกันไปทั้งไพร่นาย | ที่เชิงผาน่าค่ายชายสมุท |
ให้ทหารเข้มแขงแผลงฤทธิรุตม์ | กว่าจะสุดสิ้นศักดาวานร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๓๔๐๏ บัดนั้น | สุครีพห้าวหาญชาญสมร |
พาพิเภกกับกระบี่มีฤทธิรอน | บทจรจากน่าพลับพลาพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๓๔๑๏ ครั้นถึงหาดทรายชายฝั่ง | พาพิเภกหยุดยั้งนั่งที่นั่น |
ให้โยธาพานรินทร์สิ้นทั้งนั้น | ชวนกันสำแดงแผลงฤทธา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๓๔๒๏ บัดนั้น | วานรฤทธิไกรใจกล้า |
ต่างตนประกวดอวดศักดา | ก็แผลงฤทธิ์วิทยาวุ่นวาย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๓๔๓๏ บ้างไปช้อนเขาสุทัศน์อัศกรรณ | ใส่ฝ่ามือเหาะหันผันผาย |
บ้างโถมถีบภูผาศิลาทลาย | เอาหินปรายโปรยขว้างไปกลางแปลง |
บ้างเหาะลิ่วปลิวไปในอัมพร | กำบังสีรวีวรสิ้นแสง |
บ้างลงน้ำดำอวดประกวดแรง | วิดสมุทจนแห้งแล้งไป |
บ้างจับปลาอานนต์นั้นมาขี่ | ถือพระยานาคีตัวใหญ่ |
บ้างแหวกน้ำดำดั้นสมุทไทย | บัดเดี๋ยวใจไปอยู่ยุคันธร |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๓๔๔๏ บัดนั้น | ลิงเลวเหล่าทหารชาญสมร |
ครั้นเห็นนายสำแดงฤทธิรอน | พวกนิกรกู่กันสนั่นอึง |
ลางเหล่าเอาต้นยางใหญ่ | มาแล่นไล่ตีขว้างต่างไม้หึ่ง |
บ้างจับช้างสารขี่ตีตะบึง | ครั้นถึงเสยไสให้ชนกัน |
บ้างไปได้พระยาราชสีห์ | มาขับควบตีคลีทีขยัน |
บ้างได้เสือโคร่งใหญ่ในไพรวัน | มาปักเปี้ยวพนันกันวิ่งวาง |
บ้างได้แรดควายวัวตัวกล้า | มาขี่เล่นเช่นม้าสบัดย่าง |
บ้างอุ้มเอาก้อนศิลามาโยนกลาง | ปะเตะต่างตะกร้อเล่นกันเปนวง |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา เชิด
ช้า
๓๔๕๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรสูงส่ง |
สถิตย์ที่แท่นสุวรรณบรรจง | พร้อมพระวงษ์พงษาเสนามาร |
ได้ยินเสียงสเทือนเลื่อนลั่น | เปรี้ยง ๆ เพียงพระกรรณจะแตกฉาน |
แผ่นดินไหวไตรภพจะแหลกลาญ | พระยามารหวั่นหวาดปลาดใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๓๔๖๏ จึ่งเผยแกลแลดูสุริยน | เห็นมืดมนท์มัวหมองไม่ผ่องใส |
แต่ทางทิศบุรพานภาไลย | เสียงสนั่นหวั่นไหวทั้งโลกา |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งสุกระสาร | อัศจรรย์บันดาลหลากนักหนา |
เสียงโผงผางข้างเบื้องบุรพา | อสุราไปดูให้รู้ความ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๓๔๗๏ บัดนั้น | อสูรสุกระสารชาญสนาม |
รับสั่งทศกรรฐ์ไม่ครั่นคร้าม | กราบสามลาแล้วก็ลุกมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๓๔๘๏ หยุดยืนยังพระลานอ่านเวท | จำแลงแปลงเพศยักษา |
เดชะพระมนต์อสุรา | กายาเปนเหยี่ยวบินเที่ยวไป |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ รัว แผละ
๓๔๙๏ ครั้นถึงฝั่งสมุทหยุดราร่อน | เห็นวานรมากมายทั้งนายไพร่ |
ต่างตนสำแดงแผลงฤทธิไกร | ง้างเอาเขาใหญ่ไล่ทิ้งกัน |
ศิลาแตกกระจายถูกปลายปีก | ก็หลบหลีกลงในไพรสัณฑ์ |
จึ่งแปลงกายกลายเปนวานรพลัน | เข้าปนกันกับลิงวิ่งไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ รัว
๓๕๐๏ เมื่อนั้น | พิเภกอสุรศักดิยักษา |
เขม้นดูรู้แน่ในวิญญา | ว่ายักษาปลอมปนพลไกร |
จึ่งพยักกวักเรียกหณุมาน | มาแถลงแจ้งการให้ใกล้ใกล้ |
ไอ้ยักษีนีฤมิตรเหมือนลิงไพร | เข้าปลอมไพร่พลอยู่ดูจับมัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๓๕๑๏ บัดนั้น | วายุบุตรฤทธิแรงแขงขัน |
จึ่งซักไซ้ไต่ถามกุมภัณฑ์ | จำสำคัญรูปร่างมันอย่างไร |
ฯ ๒ คำ ฯ
๓๕๒๏ เมื่อนั้น | พิเภกจึ่งแจ้งแถลงไข |
อันกระบี่รี้พลสกลไกร | ทั้งนายไพร่ย่อมกระหยิบพริบตา |
แต่ยักษีมิได้พริบเนตร | จงสังเกตจำคำเราร่ำว่า |
ท่านคิดอ่านผ่อนผันด้วยปัญญา | จับไอ้อสุราอย่าช้าการ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๓๕๓๏ บัดนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ |
สังเกตจำคำพิเภกขุนมาร | แล้วโอมอ่านมนตราพานรินทร์ |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๓๕๔๏ กายใหญ่เท่าบรมพรหมา | เอามือครอบโยธาไว้ทั้งสิ้น |
ให้นายหมวดตรวจพหลพลพฤนท์ | ปล่อยกระบินทร์จากที่ทีละตน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๓๕๕๏ บัดนั้น | สุกระสารกลัวฤทธิ์คิดขัดสน |
อยู่ในหว่างหัดถาเข้าตาจน | จะแปลงตนหนีไปก็ไม่ทัน |
แต่เขยื้อนขยับลับฬ่อ | รั้งรอระรัวตัวสั่น |
พวกวานรออกไปได้ทั้งนั้น | แต่กุมภัณฑ์เวียนวนจนใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๓๕๖๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
นับวานรได้ถ้วนจำนวนไป | เหลือแต่ไอ้ลิงแปลงก็แจ้งการ |
จึ่งจับตัวพินิจพิศดูหน้า | ไม่กระหยิบพริบตาเหมือนว่าขาน |
ก็รู้ว่าศัตรูหมู่มาร | ให้ทหารมัดยักษ์แล้วซักไซ้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๓๕๗๏ บัดนั้น | อสุรินทร์สิ้นแรงแถลงไข |
ข้าชื่อสุกระสารชาญไชย | ทศกรรฐ์นั้นใช้ให้มาดู |
เห็นวานรแผลงฤทธิ์สิทธิศักดิ | จะดูเล่นเปนยักษ์ก็กลัวอยู่ |
จึ่งแปลงปลอมพลไกรจะใคร่รู้ | ท่านผู้เปนใหญ่ได้เมตตา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๓๕๘๏ บัดนั้น | หณุมานฤทธิไกรใจกล้า |
แจ้งความนามกรอสุรา | ก็พากันเข้ามาพลับพลาไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เตียว
๓๕๙๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า | ก้มเกล้าประนมบังคมไหว้ |
ทูลแถลงแจ้งความทั้งปวงไป | ตามคดีที่ได้ขุนมารมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๓๖๐๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงตรึกแล้วปฤกษา |
จะฆ่าฟันมันให้มรณา | ก็เห็นว่ากิติศัพท์จะลับไป |
จงเฆี่ยนเสียสองร้อยให้ย่อยยับ | พอเปนสง่าทัพที่จับได้ |
แล้วเอาหมึกสักหน้าเปนตราไว้ | จงปล่อยตัวส่งไปให้นายมัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๓๖๑๏ บัดนั้น | สุครีพฤทธิแรงแขงขัน |
รับสั่งพระองค์ทรงธรรม์ | ร้องเรียกพวกราชมันมาทันที |
ให้ตอกหลักน่าพาดคายาว | บ้างผูกเท้าผูกเอวอึงมี่ |
เชือกกระหวัดรัดรึงตึงเต็มที | จับศีศะอสุรีเข้าใส่คา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๓๖๒๏ บัดนั้น | ราชมันเหน็บรั้งตั้งท่า |
แลชำเลืองเยื้องกรายหวายตะค้า | ตีขวาตีซ้ายรายเรียง |
ฯ ๒ คำ ฯ
๓๖๓๏ บัดนั้น | สุกระสารร้องดิ้นสิ้นเสียง |
หัวสบัดขัดคาฅอเอียง | พ่างเพียงจะพินาศขาดใจ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๓๖๔๏ บัดนั้น | สุครีพมหาเสนาใหญ่ |
เฆี่ยนถามสามยกแล้วหยุดไว้ | ให้ปลดเปลื้องเครื่องไม้เอาตัวมา |
จึ่งสั่งลิงสัสดีมีฝีมือ | เขียนหนังสือลงหน้ายักษา |
เปนใจความตามโทษปลอมโยธา | เอาหมึกตราเช็ดซ้ำให้ดำดี |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๓๖๕๏ แล้วสุครีพขู่ซ้ำกำชับ | มึงจงเร่งกลับไปกรุงศรี |
ถ้าทีหลังยังทำเช่นนี้ | จะตัดหัวไว้ที่กองทัพ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๓๖๖๏ บัดนั้น | สุกระสารเสียอารมณ์แทบลมจับ |
อุส่าห์แขงใจไปให้ลับ | แล้วเหาะกลับข้ามฝั่งสมุทมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๓๖๗๏ ครั้นถึงนัคเรศนิเวศน์วัง | ทั้งเจ็บหลังที่ลายทั้งอายหน้า |
เข้าในที่เฝ้าเจ้าลงกา | กราบบังคมก้มหน้าโศกาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๓๖๘๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรหลากจิตรคิดสงไสย |
เห็นเสนาหน้าคล้ำดำไป | หลังไหล่ลายยับเปนสับปลา |
ตกพระไทยไต่ถามสุกระสาร | เราใช้ท่านเที่ยวดูในเวหา |
ใครเฆี่ยนขับจับสักหน้าตา | จึ่งกลับมาครวญคร่ำร่ำไร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๓๖๙๏ บัดนั้น | สุกระสารทูลแจ้งแถลงไข |
ข้าแปลงกายเปนเหยี่ยวเที่ยวไป | จนถึงฝั่งสมุทไทยทิศอุดร |
เห็นพลรามลักษณ์อักนิษฐ | สำแดงฤทธิ์ขว้างหินขึ้นบินว่อน |
ข้าจึ่งแปลงกายาเหมือนวานร | เข้าปลอมปนพลนิกรเที่ยวดูไป |
เห็นพิเภกองค์พระอนุชา | ไปเปนข้ารามลักษณ์รักใคร่ |
ยังมิหนำซ้ำบอกความใน | ให้จับตัวข้าได้แล้วโบยตี |
อนึ่งทราบว่าพระรามจะข้ามมา | ทำศึกชิงนางสีดามารศรี |
ทั้งไอ้ลิงที่มาเผาธานี | ก็เปนข้าอยู่ที่พระรามา |
อันวานรในทัพนับสมุท | แต่กระบี่มีมงกุฏก็หนักหนา |
บัดนี้ตั้งที่ประทับพลับพลา | อยู่ริมฝั่งมหาวารี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๓๗๐๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี |
ประจักษ์แจ้งพระไทยว่าไพรี | จะข้ามมาราวีถึงเวียงไชย |
ยิ่งร้อนรำคาญจิตรคิดวิตก | ให้คับอกไม่ออกปากได้ |
จึ่งเสด็จลีลาคลาไคล | เข้าในแท่นที่ศรีไสยา |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๓๗๑๏ เอนองค์ลงเหนือบรรจฐรณ์ | ยอกรก่ายภักตร์ยักษา |
ทุกข์ร้อนถอนฤไทยไปมา | ตรึกตราถึงสงครามรามลักษณ์ |
ครั้งนี้ทีศึกเห็นใหญ่หลวง | จะลุล่วงลงกาอาณาจักร |
เหตุด้วยสีดายุพาภักตร์ | จึ่งเกิดการหาญหักชิงไชย |
จำจะคิดถ่ายเทด้วยเล่ห์กล | ตัดรอนผ่อนปรนแก้ไข |
ให้ข้าศึกเลิกทัพกลับไป | จึ่งจะไม่เหนื่อยยากลำบากกาย |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๓๗๒๏ ดำริห์ตริไตรเห็นได้การ | พระยามารชื่นชมสมหมาย |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งเจ้าขรัวนาย | ให้หานางเบญกายมาบัดนี้ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๓๗๓๏ บัดนั้น | ท้าวนางประนตบทศรี |
รับสั่งเจ้าลงกาธานี | ถวายอัญชลีแล้วรีบมา |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๓๗๔๏ ครั้งถึงห้องแก้วแพรวพราย | จึ่งทูลนางเบญกายยักษา |
บัดนี้ทรงฤทธิ์บิตุลา | ให้หาโฉมยงจงขึ้นไป |
ฯ ๒ คำ ฯ
๓๗๕๏ เมื่อนั้น | เบญกายฟังแจ้งแถลงไข |
คิดประหลาดหวาดหวั่นพรั่นใจ | จะร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ |
ด้วยตกอยู่กลางระหว่างโทษ | ท่านกริ้วโกรธบิดาหนักหนาอยู่ |
แล้วแขงขืนฝืนจิตรโฉมตรู | ขึ้นไปสู่ที่เฝ้าเจ้าลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า
๓๗๖๏ ครั้นถึงปราสาทไชยไพชยนต์ | นฤมลบังคมก้มหน้า |
คอยฟังท่วงทีกิริยา | จะบัญชาว่าขานประการใด |
ฯ ๒ คำ ฯ
๓๗๗๏ เมื่อนั้น | ทศภักตร์พงษ์พรหมเปนใหญ่ |
ทอดพระเนตรเห็นนัดดายาใจ | จึ่งปราไสโฉมยงนงเยาว์ |
อนิจาสงสารหลานรัก | ดูผิวภักตร์ผิดรูปซูบเศร้า |
เปนเคราะห์กรรมจำให้ลุงใจเบา | ขับบิดาเจ้าไปจากไกล |
เดี๋ยวนี้ค่อยเคลื่อนคลายหายโกรธ | จะถือโทษโทษานั้นหาไม่ |
ครั้นจะรับกลับคืนมาเวียงไชย | ก็คิดอดสูใจแก่ไพรี |
จึ่งให้ไปหาเจ้าขึ้นมา | จะให้แปลงเปนสีดามารศรี |
ทำตายลอยไปในวารี | อยู่ที่ฉนวนท่าพลับพลาไชย |
แม้นพระรามลงสรงคงคา | จะคิดว่าเมียรักตักไษย |
เห็นจะล่าเลิกทัพกลับไป | ลุงจะได้รับพ่อเจ้าคืนมา |
อันอุบายครั้งนี้เห็นดีนัก | หลานรักจงรับอาสา |
เหมือนไว้ยศทดแทนคุณบิดา | ให้กลับคืนลงกาธานี |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๓๗๘๏ เมื่อนั้น | เบญกายประนตบทศรี |
จึ่งทูลทศกรรฐ์ไปทันที | ซึ่งบัญชามานี้เปนจนใจ |
อันแยบยนต์กลศึกฦกลับ | ข้าจะรับอาสานั้นไม่ได้ |
ตัวเปนผู้หญิงจะวิ่งไป | ถึงกองทัพพลับพลาไชยไพรี |
ถ้าลักษณ์รามรู้ระแบบแยบคาย | เครื่องจะอายขายบาทบทศรี |
แต่สุกระสารเสนาที่กล้าดี | ยังต้องตีนับร้อยปล่อยมา |
จะซ้ำใช้ให้ข้าไปอิกเล่า | คงเขาจะห้ำหั่นฟันฆ่า |
ไหนเลยจะรอดตายวายชีวา | ทรงฤทธิ์บิตุลาจงปรานี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๓๗๙๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
จึ่งแกล้งกล่าวมารยาพาที | ข้อนี้ลุงเห็นไม่เปนไร |
สุกระสารวานนี้ไปปลอมทัพ | พิเภกบอกดอกจึ่งจับตัวได้ |
ครั้งนี้นัดดาอาสาไป | เห็นพ่อเจ้าเขาจะไม่บอกมนุษย์ |
อย่าได้คิดบิดพลิ้วเกียจคร้าน | ราชการครั้งนี้เปนที่สุด |
เหมือนตัดศึกสิ้นณรงค์ยงยุทธ | ให้มนุษย์เลิกทัพกลับไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
๓๘๐๏ เมื่อนั้น | เบญกายกัลยาอัชฌาไศรย |
จะขัดขืนขอตัวก็กลัวไภย | จำใจคำนับรับบัญชา |
แต่จะจำแลงแปลงอินทรีย์ | ข้านี้นึกพะวังกังขา |
ด้วยองค์ภัควดีสีดา | ไม่เห็นว่ารูปร่างเปนอย่างไร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๓๘๑๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรโสมนัศตรัสปราไส |
แม้นเสร็จศึกสมหวังดังใจ | จะแบ่งสมบัติให้แก่นัดดา |
ว่าพลางทางสั่งเถ้าแก่ | จงไปบอกหุ้มแพรที่ข้างน่า |
ให้เร่งรัดจัดวอช่อฟ้า | นัดดากูจะไปอุทยาน |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๓๘๒๏ บัดนั้น | เถ้าแก่คำนับรับบรรหาร |
ออกมาที่ประตูวังสั่งงาน | เตรียมการพร้อมกันดังบัญชา |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ เจรจา
๓๘๓๏ เมื่อนั้น | นางเบญกายยักษา |
นบนิ้วประนมบังคมลา | ออกมาจากที่มณเฑียรทอง |
จึ่งขึ้นทรงวอสุวรรณพรรณราย | วิสูตรสายม่านมิดปิดป้อง |
โขลนจ่าเถ้าแก่แซ่ซ้อง | ออกมาจากห้องฉนวนในไคลคลา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๓๘๔๏ ครั้นถึงสวนศรีที่หยุดยั้ง | จึ่งไปยังชนนีเสนหา |
บังคมก้มกราบกับบาทา | ฟูมฟายชลนาโศกาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๓๘๕๏ เมื่อนั้น | ตรีชดาหลากจิตรคิดสงไสย |
ปลอบถามลูกน้อยกลอยใจ | ทุกข์ร้อนสิ่งไรจึงโศกี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๓๘๖๏ เมื่อนั้น | นวลนางเบญกายโฉมศรี |
แถลงเล่าเหตุผลชนนี | ตามที่บิตุลาบัญชาใช้ |
จะให้ลูกนฤมิตรเหมือนสีดา | ไปลวงพระรามาว่าตักไษย |
จะบิดพลิ้วหลบลี้มิไป | เกรงจะให้ลงอาญาฆ่าฟัน |
ถึงลูกจะบรรไลยก็ไม่ว่า | กลัวจะพามารดาอาสัญ |
จึ่งมาเฝ้านางสีดาวิลาวรรณ | จำสำคัญไปจำแลงแปลงกาย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๓๘๗๏ เมื่อนั้น | ตรีชดาหวาดหวั่นขวัญหาย |
ได้ฟังดังชีวิตรจะวางวาย | จึ่งว่ากับเบญกายลูกรัก |
อันองค์สมเด็จพระราเมศ | ทรงเดชเรืองฤทธิ์สิทธิศักดิ |
พ่อเจ้าก็ได้ไปสำนักนิ์ | เปนที่พึ่งพักของบิดา |
ฉวยกระไรไม่พ้นโทษทัณฑ์ | จะพากันสิ้นชีวังสังขาร์ |
ยากเย็นเปนมิรู้ที่พูดจา | กัลยาร่ำพลางทางโศกี |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๓๘๘๏ เมื่อนั้น | เบญกายตริตรองหมองศรี |
นบนิ้วทูลสนองชนนี | ทั้งนี้ก็ตามแต่เวรา |
สารพัดขัดข้องทั้งสองข้าง | ไปสู้ตายวายวางเอาข้างน่า |
ว่าพลางทางถวายบังคมลา | ไปเฝ้านางสีดานารี |
ฯ ๔ คำ ฯ ทยอย
๓๘๙๏ ครั้นถึงจึ่งประนตบทบงสุ์ | เข้าไปเฝ้าองค์นางโฉมศรี |
แสร้งทำมารยาไม่พาที | อสุรีก้มหน้าโศกาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๓๙๐๏ เมื่อนั้น | องค์ภัควดีศรีใส |
ชำเลืองเห็นเบญกายมาร่ำไร | นางมิได้รู้จักภักตรา |
จึ่งเอื้อนโอษฐดำรัสตรัสถาม | ถ้อยความเปนไฉนเจ้าไม่ว่า |
มาครวญคร่ำกำสรดโศกา | เปนน่าฉงนสนเท่ห์ใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๓๙๑๏ เมื่อนั้น | เบญกายนารีศรีใส |
ได้ฟังบังคมอรไทย | แล้วกราบทูลไปด้วยใจภักดิ์ |
ตัวข้าชื่อว่าเบญกาย | มาถวายตัวไว้ให้รู้จัก |
เปนบุตรีพิเภกพระยายักษ์ | ที่ไปอยู่ด้วยพระลักษณ์พระรามา |
อันนางตรีชดานารี | นั้นเปนชนนีของข้า |
ทูลพลางทางชม้ายชายตา | ดูรูปร่างนางสีดานารี |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๓๙๒๏ ครั้นจำสำคัญได้มั่นคง | จึ่งลาองค์อัคเรศโฉมศรี |
ออกจากสวนขวัญทันที | ทรงวอจรลีเข้าลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๓๙๓๏ ครั้นถึงจึ่งประทับฉับพลัน | ลงจากวอสุวรรณเลขา |
จึ่งจำแลงแปลงกายกายา | เหมือนรูปทรงองค์สีดาบังอร |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๓๙๔๏ โฉมงามทรามไวยวิไลยลักษณ์ | ไม่เพี้ยนภัควดีศรีสมร |
แล้วย่างเยื้องยุรยาตรนาดกร | ขึ้นเฝ้าเจ้านครลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ ฉุยฉาย
๓๙๕๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
แลเห็นเบญกายจำแลงมา | สำคัญคิดว่าสีดานารี |
แย้มยิ้มพยักหน้าง่าพระหัดถ์ | พลางดำรัสตรัสเชิญนางโฉมศรี |
เห็นหยุดยั้งรั้งรอไม่จรลี | อสุรีรีบมารับฉับไว |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๓๙๖๏ เข้าชิดพิศดูไม่วางตา | น้อยฤๅงามหนักหนาน่ารักใคร่ |
ยิ่งแสนพิศวาศจะขาดใจ | จึ่งปราไสทอดสนิทติดพัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชาตรี
๓๙๗๏ ยอดเอยยอดมิ่ง | เปนความในใจจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
หวังสวาดิมาดหมายไม่วายวัน | จะรับขวัญไนยนามาธานี |
พี่ผูกใจจึ่งไปดลจิตรเจ้า | ให้โฉมนางนงเยาว์มาถึงนี่ |
ขอเชิญดวงดอกฟ้าสุมาลี | อยู่เปนศรีนัคเรศนิเวศน์วัง |
เจ้าจงดูปราสาทราชฐาน | ทั้งตึกกว้านมากมายหลายหลัง |
คลังเงินคลังทองสิบสองพระคลัง | ทรัพย์สินมั่งคั่งเรามั่งมี |
ขอเชิญโฉมเฉลาเปนเจ้าของ | ครอบครองสารพัดสมบัติพี่ |
จงผินผันภักตรามาข้างนี้ | พูดจาพาทีกับพี่ยา |
ควรฤๅทำสเทินเมินเฉย | ไม่เห็นเลยว่ารักเจ้าหนักหนา |
มาหยุดอยู่นี่ไยจงไคลคลา | ไปนั่งแท่นแว่นฟ้าเถิดเทวี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๓๙๘๏ เมื่อนั้น | นวลนางเบญกายโฉมศรี |
ทูลสนองบัญชาว่าข้านี้ | มิใช่ภัควดีสีดา |
ยังขืนลดเลี้ยวเกี้ยวพาน | วิบากกรรมรำคาญหนักหนา |
ดูเอาเถิดทรงฤทธิ์บิตุลา | อะไรมาหลงใหลได้เช่นนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
โอ้โลม
๓๙๙๏ โฉมเอยโฉมเฉลา | ยุพเยาว์ยอดฟ้ามารศรี |
เจ้าอายเหนียมเรียมไยณเทวี | เสียแรงพี่จงรักไปลักมา |
หวังจะเศกสาวสวรรค์ขวัญเนตร | เปนเอกองค์อัคเรศเสนหา |
ครองสมบัติพัศถานทั้งลงกา | พี่มิให้แก้วตาอนาทร |
อันพระรามฤๅษีสามีน้อง | ไม่ควรครองคู่เคียงเรียงหมอน |
พี่จะยกไปสังหารราญรอน | ให้มวยมรณ์สิ้นเสี้ยนศัตรูเรา |
ว่าพลางทางขยับจับต้อง | เลียมลองเล้าโลมโฉมเฉลา |
ฉวยชายสไบทรงนงเยาว์ | นิจาเจ้าอย่าสลัดตัดเยื่อใย |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๔๐๐๏ เมื่อนั้น | เบญกายกัลยาอัชฌาไศรย |
อัปรยศอดสูหมู่นางใน | ก็ร่ายเวทกลายไปเปนเบญกาย |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ เจรจา
๔๐๑๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์ครั้นเห็นก็ใจหาย |
จึ่งเมินภักตร์ตรัสว่าตาลุงลาย | ให้คลับคล้ายเคลิ้มจิตรไม่คิดทัน |
ผิดจริงเจียวนัดดาเจ้าน่าโกรธ | อย่าถือโทษลุงเลยณหลานขวัญ |
ตรัสพลางทางดูหมู่กำนัล | เห็นสรวลสันต์ก็สเทิ้นเขินอาย |
สู้แขงขืนยืนเก้อเพ้อตรัส | แม้นหลานตัดศึกสมอารมณ์หมาย |
เมืองมารจะเปนศุขสนุกสบาย | เร่งผันผายรีบไปให้ทันการ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๔๐๒๏ เมื่อนั้น | เบญกายรับราชบรรหาร |
ออกจากปราสาทรัตน์ชัชวาลย์ | เหาะข้ามชลธารผ่านมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๔๐๓๏ ครั้นถึงเหมติรันบรรพต | เลื่อนลดลงจากเวหา |
หยุดยืนอยู่ยังฝั่งคงคา | กัลยาจำแลงแปลงอินทรีย์ |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๔๐๔๏ เหมือนรูปทรงองค์สีดาวิลาวรรณ | ผิวพรรณนวลลอองผ่องศรี |
ทำตายลอยมาในวารี | จนใกล้ที่พระรามสรงคงคา |
ฯ ๒ คำ ฯ โล้
ช้า
๔๐๕๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
บรรธมตื่นจากที่ศรีไสยา | พอเวลาล่วงสามยามปลาย |
เสนาะเสียงสำเนียงนกการเวก | ออกจากเมฆแซ่ซ้องร้องถวาย |
ไก่ขันแจ้วเจื้อยเฉื่อยชาย | มยุเรศร้องร่ายบนปลายไม้ |
เผยพระแกลแลดูดาวเดือน | เห็นคล้อยเคลื่อนเลื่อนลับเหลี่ยมไศล |
แสงทองส่องฟ้านภาไลย | จวนจะใกล้ไขสีรวีวรรณ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๔๐๖๏ จึ่งดำรัสตรัสชวนอนุชา | ลงจากพลับพลาผายผัน |
พร้อมพวกกระบี่นี่นัน | จรจรัลมายังฝั่งนที |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า
๔๐๗๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นรูปจำแลง | ที่กลายแกล้งเปนสีดามารศรี |
ตกพระไทยไม่เปนสมประดี | เข้าอุ้มองค์เทวีใส่ตักไว้ |
แล้วเรียกพระอนุชามาเพ่งพิศ | จะเพี้ยนผิดสีดาก็หาไม่ |
สองกระษัตริย์สลดระทดใจ | ต่างครวญคร่ำร่ำไรโศกา |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
โอ้
๔๐๘๏ โอ้อนิจาสีดาเอ๋ย | ไฉนเลยมาม้วยสังขาร์ |
เสียแรงพี่พยายามตามมา | จนถึงฝั่งมหาสาคร |
หมายจะฆ่าโคตรวงษ์พงษ์ยักษ์ | เพราะความรักความเสียดายสายสมร |
ยังมิทันทำการราญรอน | มาม้วยมรณ์มรณาน่าอาไลย |
เจ้าพี่เอ๋ยอุส่าห์พาทรากศพ | มาให้พบผัวรักเมื่อตักไษย |
พี่ตกยากจากเมืองมาอยู่ไพร | จะได้โกษฐที่ไหนมาใส่น้อง |
ถ้าแม้นอยู่บูรีราชฐาน | จะทำการให้พิฦกกึกก้อง |
ชักศพเจ้าเข้าสู่พระเมรุทอง | มีงานการฉลองให้หลายวัน |
นี่อยู่ป่าสารพัดจะขัดสน | เมื่อยามจนเจ้ามาอาสัญ |
เห็นแต่โขดเขาเขินเนินอรัญ | ต่างสุวรรณเมรุรัตน์รจนา |
พฤกษาสูงยูงยางกลางดง | ต่างฉัตรธงเรียงรายซ้ายขวา |
จักรจั่นเรไรในหิมวา | จะต่างสังข์เสภาดนตรี |
เสียงคลื่นครื้นครั่นสนั่นก้อง | จะต่างฆ้องกลองประโคมนางโฉมศรี |
ร่ำพลางทางทรงโศกี | ดังชีวีพระนารายน์จะวายปราณ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด
ร่าย
๔๐๙๏ แล้วคิดครั้งลูกพระพายถวายแหวน | ไปทำแค้นทศภักตร์หักหาญ |
จึ่งบัญชาว่าเหวยหณุมาน | ตัวไปผลาญลูกเขาเผานคร |
บัดนี้เจ้าลงกาก็ฆ่านาง | เหมือนอย่างเราว่ามาแต่ก่อน |
อันคำมั่นสัญญาของวานร | ให้ทำโทษโรธกรประการใด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๔๑๐๏ บัดนั้น | วายุบุตรอกสั่นหวั่นไหว |
พินิจพลางทางทูลสนองไป | ข้าสงไสยเปนพ้นคณนา |
แม้นนางม้วยด้วยอาญาฆ่าตี | ก็จะมีบาดแผลแน่หนักหนา |
อันรูปนี้ดีร้ายจะแปลงมา | มิใช่องค์สีดานารี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๔๑๑๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์เรืองศรี |
ยิ่งกริ้วโกรธโกรธาพาที | ว่าไยอย่างนี้หณุมาน |
เมื่อเมียเรารู้จักตระหนักแน่ | ยังเชือนแชแก้หน้าว่าขาน |
ซึ่งมิใช่โฉมฉายวายปราณ | จงคิดอ่านให้แจ้งที่แคลงใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๔๑๒๏ บัดนั้น | หณุมานชาญฉลาดเฉลยไข |
ข้าเห็นว่าลงกากรุงไกร | อยู่ใต้กองทัพพลับพลา |
น้ำลงถ่ายเดียวเชี่ยวคว้าง | ศพนางฤๅจะทวนขึ้นมาหา |
ขอพระองค์จงได้เมตตา | ตัวข้าจะขอชัณสูตรดู |
เอาทรากศพขึ้นใส่ไฟเผา | ถ้านงเยาว์ตายจริงจะนิ่งอยู่ |
แม้นไพรีนีฤมิตรเหมือนโฉมตรู | ก็จะจู่หนีไปมิได้ช้า |
ถ้ามั่นคงองค์พระมเหษี | เทวีสิ้นชีวังสังขาร์ |
ขอพระองค์ลงราชอาชญา | ประหารข้าให้ม้วยไปด้วยกัน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๔๑๓๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์รังสรรค์ |
ฟังคำแหงหณุมานชาญฉกรรจ์ | เห็นเหมาะมั่นถูกต้องทำนองใน |
จึ่งตรัสว่าถ้าท่านยังแคลงความ | จะชัณสูตรก็ตามอัชฌาไศรย |
ว่าพลางทางสั่งเสนาใน | ช่วยทำเชิงตะกอนไฟขึ้นบัดนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๔๑๔๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษี |
ออกมาร้องเรียกบ่าวเหล่ากระบี่ | ให้โยธีเร่งรัดตัดไม้ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๔๑๕๏ ครั้นผูกทำสำเร็จเชิงตะกอน | เอาฟืนตองกองซ้อนสุมใส่ |
จงยกทรากศพนางขึ้นวางไว้ | จุดไฟแล้วล้อมอยู่พร้อมกัน |
ฯ ๒ คำ ฯ ปี่กลอง
๔๑๖๏ บัดนั้น | เบญกายปิ้มว่าจะอาสัญ |
ร้อนแรงด้วยแสงเพลิงนั้น | ก็เหาะตามเกลียวควันทันที |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๔๑๗๏ บัดนั้น | ลูกลมแลเขม้นเห็นยักษี |
กริ้วโกรธโดดตามข้ามอัคคี | ขุนกระบี่เหาะไล่ไขว่คว้า |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๔๑๘๏ สกัดกั้นทันนางกลางโพยม | จู่โจมจับเปนไม่เข่นฆ่า |
แล้วเหาะตรงลงยังพสุธา | จูงมาเฝ้าพระหริรักษ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๔๑๙๏ เมื่อนั้น | พระนารายน์สุริวงษ์ทรงศักดิ |
แลเห็นรูปร่างนางยักษ์ | มิใช่ภัควดีสีดา |
พระเคืองขัดตรัสสั่งเสนาใน | จงคุมไปถามซักให้หนักหนา |
คือใครใช้สอยมันมา | จึ่งคิดการมารยาอย่างนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๔๒๐๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษี |
บังคมลาพานางอสุรี | ออกไปที่หาดทรายชายไพร |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๔๒๑๏ จึ่งสั่งบ่าวเหล่าลิงกรมเมือง | ให้เตรียมเครื่องเฆี่ยนปักหลักใหญ่ |
ผูกอียักษ์นักโทษเข้าทันใด | ติดไม้แล้วล้อมอยู่พร้อมกัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๔๒๒๏ สุครีพคุกคามถามซัก | เหวยอียักษ์อย่าได้เศกสรร |
อันชื่อเสียงสุริวงษ์พงษ์พันธุ์ | ของตัวนั้นอยู่ตำบลหนใด |
ทำไมมึงจึ่งแสร้งแปลงรูปทรง | มาลวงพระหริวงษ์ให้หลงใหล |
มึงตั้งจิตรคิดเองฤๅใครใช้ | ที่จริงใจจงรับอย่าอับอาย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๔๒๓๏ บัดนั้น | เบญกายอกสั่นขวัญหาย |
จึ่งให้การอิงแอบเปนแยบคาย | ข้าชื่อว่าเบญกายนารี |
เปนบุตรีพิเภกอสุรา | แม่ชื่อตรีชดายักษี |
อยู่ยังลงกาธานี | อุส่าห์มาทั้งนี้เพราะทุกข์ร้อน |
ได้ยินข่าวเล่าว่าบิดาตาย | ด้วยอาญาพระนารายน์ทรงศร |
ครั้นจะเปนยักษ์มาหาบิดร | ก็กลัวว่าวานรจะฆ่าตี |
ข้าจึ่งแสร้งแปลงเปนนางโฉมตรู | หวังมิให้ใครรู้ว่ายักษี |
พอได้ข่าวราวเรื่องร้ายดี | จะกลับไปบุรีลงกา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๔๒๔๏ เมื่อนั้น | สุครีพซ้ำซักยักษา |
ซึ่งเองว่ามาเยี่ยมดูบิดา | แล้วแกล้งแปลงกายามาไย |
เหตุใดไม่มาประสาซื่อ | ใครไล่จับขับรื้อฤๅไฉน |
แก้เกี้ยวเปล่าเปล่ากูเข้าใจ | ที่ความในนั้นไม่แจ้งแพร่งพราย |
อันเองนี้มีผู้จะใช้สอย | แต่เจ็บน้อยจึ่งไม่บอกออกง่ายง่าย |
จะทนได้แล้วทนไปจนตาย | ตำรวจเร่งลงหวายอย่าไว้ช้า |
ฯ ๖ คำ ฯ
๔๒๕๏ บัดนั้น | ราชมันสองนายซ้ายขวา |
ยืนเขย่งเยื้องกรายหวายตะค้า | เฆี่ยนห้าทีถามเอาความจริง |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๔๒๖๏ บัดนั้น | เบญกายเจ็บปวดยวดยิ่ง |
ทั้งถูกตีฝีมือตำรวจลิง | จึ่งแจ้งความตามจริงทุกสิ่งไป |
ทศกรรฐ์นั้นแกล้งให้แปลงกาย | มาลวงองค์พระนารายน์ให้หลงใหล |
หวังจะให้เลิกทัพกลับไป | มิได้รณรงค์ในลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๔๒๗๏ เมื่อนั้น | สุครีพได้ฟังไม่กังขา |
เห็นจริงจังทั้งหมดจดหมายมา | เข้าเฝ้าพระจักราฤทธี |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๔๒๘๏ ก้มเกล้าประนตบทมาลย์ | แล้วอ่านคำให้การของยักษี |
เบญกายแสนกลตนนี้ | เปนบุตรีพิเภกกุมภัณฑ์ |
ทศกรรฐ์มันแกล้งให้แปลงมา | เหมือนเทวีสีดาอาสัญ |
หวังจะให้พระองค์ทรงธรรม์ | เลิกพหลพลขันธ์คืนไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๔๒๙๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
นิ่งนึกดำริห์ตริไตร | แล้วถามไถ่พิเภกผู้ภักดี |
อันอีอสุรีเบญกาย | ก็เปนเนื้อเชื้อสายของยักษี |
มันคิดอ่านมารยามาอย่างนี้ | เห็นจะมีโทษทัณฑ์ฉันใด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๔๓๐๏ บัดนั้น | พิเภกรับสั่งบังคมไหว้ |
จึ่งทูลพระหริวงษ์ทรงไชย | ตามในกำหนดบทไอยการ |
เบญกายผิดพลั้งครั้งนี้ | ถึงที่ชีวังสังขาร |
ตัดเกษาผ่าทรวงเสียบประจาน | หมู่มารจึ่งจะเกรงพระเดชา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๔๓๑๏ เมื่อนั้น | พระหริรักษ์จักรแก้วแววเวหา |
จึ่งว่ากับพิเภกอสุรา | ท่านได้มาจงรักภักดี |
ซึ่งความผิดเบญกายถึงวายปราณ | เรายกโทษโปรดประทานยักษี |
ให้กลับไปนัคราธานี | แจ้งคดีกับองค์เจ้าลงกา |
ตรัสพลางทางมีบัญชาการ | สั่งศรีหณุมานหาญกล้า |
จงไปส่งเบญกายกัลยา | ให้ถึงแดนลงกากรุงไกร |
ฯ ๖ คำ ฯ
๔๓๒๏ บัดนั้น | วายุบุตรรับสั่งบังคมไหว้ |
มาอุ้มนางพลางแผลงฤทธิไกร | เหาะข้ามฟากไปดังใจปอง |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๔๓๓๏ ครั้งถึงฝั่งพระสมุทก็หยุดยั้ง | วางนางลงนั่งสองต่อสอง |
แล้วกล่าวเกลี้ยงเลี่ยงเลี้ยวเลียมลอง | ตามทำนองสนทนาประสารัก |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชาตรี
๔๓๔๏ เจ้าเอยเจ้าพี่ | แต่แรกเริ่มเดิมทีไม่รู้จัก |
ต่อเห็นหน้าโฉมยงนงลักษณ์ | สงสารนักด้วยน้องต้องโทษกร |
จะทูลขอก็เห็นยังกริ้วกราด | ใจจะขาดเพราะเสียดายสายสมร |
แม้นสั่งให้ไปสังหารราญรอน | จะผันผ่อนขอไว้มิให้ตาย |
พอครั้งนี้มีรับสั่งให้มาส่ง | สมจำนงในจิตรที่คิดหมาย |
จะฝากรักไปกว่าชีวาวาย | โฉมฉายอย่าสลัดตัดอาไลย |
พี่จะถนอมนวลสงวนน้อง | เปนคู่ครองเชยชิดพิศมัย |
ไม่ทิ้งขว้างร้างรักแรมไกล | ดวงใจจงเมตตาปรานี |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๔๓๕๏ เมื่อนั้น | เบญกายขวยเขินเมินหน้าหนี |
พลางตอบวาจาพาที | มาสงสารปานนี้น่าขอบใจ |
ฤๅเห็นว่าไม่ม้วยจะช่วยขอ | พูดแต่พอให้พะวงหลงใหล |
ถึงเปนคนโทษโหดไร้ | พอรู้เท่าเข้าใจอย่าเจรจา |
ต้องมาผิดพลั้งครั้งนี้ | ก็เปนที่ขายภักตร์หนักหนา |
ยังมิหนำซ้ำตัวจะชั่วช้า | จะเอาหน้าไปแฝงไว้แห่งไร |
ซึ่งท่านพาข้าข้ามมาถึงฝั่ง | เพราะบังคับรับสั่งไม่ขัดได้ |
ถึงตลิ่งแล้วจะลาคลาไคล | ท่านจงไปกองทัพพลับพลา |
ฯ ๘ คำ ฯ
โอ้โลม
๔๓๖๏ สุดเอยสุดสวาดิ | เฉลียวฉลาดแหลมหลักหนักหนา |
พี่อุส่าห์มาส่งถึงลงกา | หมายจะฝากเสนหาอาไลย |
ควรฤๅถือแต่ว่ารับสั่ง | จะเห็นดีพี่มั่งก็หาไม่ |
นิจาเอ๋ยอาภัพลับไป | เสียน้ำใจจริงเจ้าเยาวมาลย์ |
เมื่อสุดแสนเสนหาไม่ว่าเล่น | หวังจะเปนคู่รักสมัคสมาน |
มิใช่จะแกล้งแต่งกลเกี้ยวพาน | เยาวมาลย์อย่าแหนงแคลงใจ |
จงผินมาพาทีกับพี่บ้าง | จะหมองหมางมึนตึงไปถึงไหน |
พลางหยอกยุดฉุดฉวยชายสไบ | ถูกต้องลองใจกัลยา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๔๓๗๏ เมื่อนั้น | เบญกายค้อนพลางทางว่า |
เฝ้าลดเลี้ยวเกี้ยวพานพูดจา | สมเพชเวทนาน่ารำคาญ |
ก่นแต่ฉวยฉุดยุดยื้อ | กระนี้ฤๅว่ารักทำหักหาญ |
แม้นจะช่วยปลูกฝังจิรังกาล | ค่อยค่อยคิดอ่านก็เปนไร |
ถ้าเสร็จศึกสงครามก็ตามที | มิใช่น้องจะหนีไปข้างไหน |
บอกจริงจริงแล้วเมื่อมิเชื่อใจ | ข้าจะให้คำมั่นสัญญา |
ฯ ๖ คำ ฯ
โอ้โลม
๔๓๘๏ แสนเอยแสนเฉลียว | ช่างเลี่ยงเลี้ยวลวงฬ่อกันต่อหน้า |
พี่รักเจ้าเท่าเทียมดวงชีวา | จะชักช้ามิให้ชมนั้นสุดใจ |
ว่าพลางอิงแอบแนบน้อง | เคียงประคองเชยชิดพิศมัย |
เมฆตั้งบังแสงอโนไทย | ลมประไลยโลกลั่นครั่นครื้น |
ฝนฝอยพรอยพร่ำซ้ำสาด | เย็นทุกรุกขชาติชุ่มชื้น |
ชลาล้นท้นท่วมพ่างพื้น | สองสมภิรมย์รื่นฤๅดี |
ฯ ๖ คำ ฯ โลม
ช้า
๔๓๙๏ เมื่อนั้น | เบญกายกัลยามารศรี |
แสนสนิทพิศวาศเปรมปรีดิ์ | ด้วยกระบี่วายุบุตรวุฒิไกร |
หัวเหิ่มเริ่มแรกแปลกปลื้มจิตร | เอนแอบแนบชิดพิศมัย |
เสนหาปลดปลงจงใจ | มิใคร่ไปไกลพ้นหณุมาน |
นางซบทับกับตักแล้ววอนว่า | น้องได้มาร่วมรักสมัคสมาน |
ที่ถ้อยคำก้ำเกินไม่ควรการ | จงประทานโทษน้องจะขอลา |
แม้นนานไปสำเร็จเสร็จราวี | แล้วอย่าลืมพาทีที่ท่านว่า |
ขอฝากแต่พิเภกผู้บิดา | เหมือนได้กรุณาแก่น้องนี้ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๔๔๐๏ เมื่อนั้น | หณุมานเล้าโลมนางโฉมศรี |
อย่านึกแหนงแคลงคำพาที | ร้อยปีพี่ไม่ลืมเจ้าปลื้มใจ |
แต่จะจำพลัดพรากจากกันก่อน | บังอรอย่าทุกข์ทนหม่นไหม้ |
แม้นเว้นว่างณรงค์ลงวันใด | พี่จะไปสมสู่เปนคู่เคล้า |
อันพิเภกโหราพระยามาร | ไว้เปนภารธุระพี่เถิดเจ้า |
เชิญนางโฉมยงนงเยาว์ | คืนเข้าไปกรุงลงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๔๔๑๏ เมื่อนั้น | นวลนางเบญกายเสนหา |
นบนิ้วคำนับรับวาจา | กราบกับบาทาสามี |
ลาแล้วลาเล่าเศร้าเสียใจ | ชลไนยคลอคลองหมองศรี |
นางแขงขืนฝืนใจจรลี | ขุนกระบี่ก็กลับไปพลับพลา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
ช้า
๔๔๒๏ เมื่อนั้น | พระหริรักษ์จักรแก้วแววเวหา |
เสด็จออกวานรเสนา | เฝ้าฝ่ายซ้ายขวาพร้อมกัน |
จึ่งตรัสปฤกษาว่าเมืองมาร | ภูมิฐานเปนเกาะเหมาะมั่น |
มีทเลล้อมรอบขอบคัน | ดังขุนเขาสัตภัณฑ์สีทันดร |
แต่บรรดาเสนาพานรินทร์ | ทั้งชมภูขีดขินชาญสมร |
จะคิดข้ามโยธาพลากร | ไปนครลงกาประการใด |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๔๔๓๏ บัดนั้น | เสนาวานรน้อยใหญ่ |
รับสั่งบังคมภูวไนย | แล้วทูลไปตามคิดด้วยฤทธิ์ตน |
บ้างว่าจะโน้มเอาเขาพระเมรุ | ให้เอียงเอนทอดขวางต่างถนน |
บ้างว่าจะแผลงฤทธิรณ | นิมิตรตนเปนตะพานโยธา |
บ้างจะวิดสมุทไทยให้แห้งหาย | ข้ามพลง่ายดายหนักหนา |
แต่บรรดาวานรเสนา | ต่างทูลอาสาทุกหน้าไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
๔๔๔๏ บัดนั้น | ชามภูวราชบังคมประนมไหว้ |
แล้วกราบทูลทานทัดขัดไว้ | ขอพระองค์จงได้เงือดงด |
แม้นจะข้ามตามฤทธิ์พานรินทร์ | ก็ได้สิ้นสมเสร็จสำเร็จหมด |
แต่ว่าอานุภาพเกียรติยศ | ไม่ปรากฎโลกาสากล |
ขอให้ขนศิลามาระดม | ทิ้งถมท้องน้ำทำถนน |
ให้ถึงเกาะลงกากลางชล | เปนทางข้ามพหลพลนิกาย |
ข้าเห็นว่าภูผาศิลานั้น | จะอยู่ชั่วกัปกัลป์ไม่รู้หาย |
เปนถนนหนทางปางนารายน์ | ข้ามไปปราบราพร้ายในลงกา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๔๔๕๏ เมื่อนั้น | พระหริรักษ์จักรีนาถา |
ได้ฟังชามภูวราชทูลมา | ต้องตามจินดาพระภูวไนย |
จึงตรัสสั่งสุครีพฤทธิรอน | ให้เกณฑ์พลพานรน้อยใหญ่ |
เร่งระดมถมท้องสมุทไทย | ทำให้เปนถนนจนเมืองมาร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๔๔๖๏ บัดนั้น | สุครีพฤทธิแรงกำแหงหาญ |
รับสั่งสมเด็จพระอวตาร | ชลีแล้วแคล้วคลานออกมา |
จึ่งจัดแจงถ้วนทั่วตัวนาย | เกณฑ์กระบี่นิกายซ้ายขวา |
พร้อมพรั่งทั้งสองภารา | แล้วออกจากพลับพลาคลาไคล |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๔๔๗๏ ครั้นถึงที่ท่าน้ำตำบล | ซึ่งจะข้ามพวกพลทัพใหญ่ |
สุครีพเสนาจึ่งว่าไป | รับสั่งใช้ให้เรามาคุมพล |
อันการครั้งนี้เปนที่สุด | จะถมท้องพระสมุททำถนน |
ฝ่ายข้างนิลพัทฤทธิรณ | จงคุมพลชมภูหมู่กระบินทร์ |
ให้คำแหงหณุมานชาญสมร | เปนนายวานรข้างขีดขิน |
ผลัดกันอยู่ถมท่าวาริน | เปลี่ยนกันไปขนหินศิลามา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๔๔๘๏ บัดนั้น | นิลพัทหณุมานหาญกล้า |
สองนายคำนับรับวาจา | ต่างคุมโยธาพลากร |
เที่ยวแรกขีดขินคอยรับ | อยู่กับหณุมานนายกองก่อน |
นิลพัทชวนชมภูพานร | ไปเที่ยวขนศิงขรในหิมพานต์ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๔๔๙๏ ครั้นถึงเนินแนวแถวคิรี | จึ่งหยุดยั้งโยธีทวยหาญ |
นิลพัทตริตรึกนึกเดือดดาล | คิดแค้นหณุมานแต่เดิมมา |
วันนี้กูจะดูฤทธิไกร | มันจะเปนกะไรไปหนักหนา |
คิดพลางทางช้อนบรรพตา | ใส่บ่าแบกข้างละคิรี |
แล้วเรียกเร่งโยธาวานร | ง้างชง่อนก้อนผาอึงมี่ |
ได้ครบถ้วนทั่วตัวกระบี่ | ก็เหาะกลับไปที่ชลาไลย |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๔๕๐๏ ครั้นถึงจึ่งร้องว่าขาน | ดูก่อนหณุมานทหารใหญ่ |
เราจะโยนคิรีนี้ลงไป | เร่งรับฉับไวเถิดนายกอง |
ฯ ๒ คำ ฯ
๔๕๑๏ บัดนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรไวว่อง |
โลดโผนโจนจับรับรอง | ทิ้งส่งลงในท้องธารา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๔๕๒๏ แล้วตริตรึกนึกคิดเคืองขัด | ไอ้กระบินทร์นิลพัทนี้หนักหนา |
มันแกล้งอวดกำลังวังชา | อหังกาว่าเรืองฤทธิไกร |
เปนไรมีดีแล้วได้เห็นกัน | กูจะแก้มือมันให้จงได้ |
คิดพลางทางพาวานรไพร | ตรงไปภูผาพนาวัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๔๕๓๏ ครั้นถึงจึ่งแผลงศักดาเดช | หิมเวศสเทือนเลื่อนลั่น |
จู่โจมโถมง้างศิลาพลัน | หักสบั้นเกลื่อนกลาดดาษดา |
แล้วผูกลูกเขาเข้ากับเส้นขน | เต็มตัวทั่วตนแน่นหนา |
พรั่งพร้อมรี้พลขนศิลา | ก็เหาะกลับมาท่าวารี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๔๕๔๏ ครั้นถึงจึ่งเรียกนิลพัทไป | ท่านผู้เรืองฤทธิไกรไชยศรี |
เร่งมารับกันให้ทันที | เราจะโยนคิรีศิลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๔๕๕๏ บัดนั้น | นิลพัทโจนจับรับภูผา |
ไม่ทันทิ้งยิ่งโยนประดังมา | เกลื่อนกล่นคณนากว่าหมื่นพัน |
ขุนกระบี่ไขว่คว้าละล้าละลัง | แต่กลับหน้ากลับหลังผินผัน |
จะรับรองสองมือก็ไม่ทัน | เอาเท้าช่วยฉวยพัลวันไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๔๕๖๏ บัดนั้น | หณุมานดาลเดือดดังเพลิงไหม้ |
จึ่งชี้หน้านิลพัทด้วยขัดใจ | เหวยเหวยเฮ้ยไอ้อหังกา |
เมื่อทีเองเร่งเรียกโยนคิรี | เราก็รับโดยดีด้วยหัดถา |
ถึงทีกูโยนมั่งดังสัญญา | มึงแกล้งเอาบาทาขึ้นรับรอง |
เองจะอวดฤทธิไกรใครนี้เหวย | ไอ้ลิงลูกชเลยจองหอง |
เฝ้าแต่คอยคิดร้ายหมายปอง | มึงจะลองฝีมือกูฤๅไร |
ฯ ๖ คำ ฯ
๔๕๗๏ บัดนั้น | นิลพัทหุนหันหมั่นไส้ |
จึ่งว่าเหวยหณุมานชาญไชย | ทนงใจว่าดีมีฤทธิ์ |
เองแกล้งโยนศิลามาเกินการ | ทำแยบคายคิดอ่านพาลเอาผิด |
ใครจะไม่รู้เท่าอ่อเจ้าคิด | จะอวดฤทธิ์ลิงเลวให้มันฦๅ |
ถ้าแม้นกูทำบ้างเหมือนอย่างนี้ | ถึงใครดีก็จะรับจับทันฤๅ |
กูจึงเอาเท้าฉวยช่วยมือ | อย่าพักถือดีเลยเฮ้ยหณุมาน |
เองก็เปนว่านเครือเชื้อพระพาย | ชาติชายเดชาศักดาหาญ |
กูก็เปนเผ่าพงษ์องค์พระกาล | พอต่อต้านกับเองไม่เกรงกัน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๔๕๘๏ บัดนั้น | หณุมานโกรธมุ่นหุนหัน |
โถมถีบนิลพัทฉับพลัน | เสียงสนั่นครั่นครื้นสุธาดล |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๔๕๙๏ บัดนั้น | นิลพัทไม่ระคายปลายขน |
รับรอต่อต้านทานทน | โจนประจญหณุมานรานรบ |
ถ้อยทีมีฤทธิ์ก้ำกึ่ง | โถมถึงต่างปะเตะต่อยตบ |
เสียงสเทือนเลื่อนลั่นอรรณพ | กัดขบรบรับจับประจัญ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๔๖๐๏ บัดนั้น | สุครีพวิ่งเข้าขวางกางกั้น |
ห้ามทั้งสองข้างให้วางกัน | จงฟังเราเท่านั้นเถิดนัดดา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๔๖๑๏ เมื่อนั้น | พระรามเรืองฤทธิ์ทุกทิศา |
ได้ยินเสียงครื้นครั่นสนั่นมา | พระจินดาประหลาดหลากนัก |
จึ่งว่าแก่อนุชายาใจ | เสียงอะไรอื้ออึงคนึงหนัก |
ฤๅพวกเราพานพบรบกับยักษ์ | น้องรักเร่งไปอย่าได้ช้า |
ฯ ๔ คำ ฯ
๔๖๒๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์เรืองฤทธิ์ขนิษฐา |
รับสั่งบังคมชลีลา | ไปยังท่าวารินสินธู |
ฯ ๒ คำ ฯ พราหมณ์เข้า
๔๖๓๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นหณุมาน | กับนิลพัทต่อต้านกันอยู่ |
พระตรัสห้ามแล้วถามสุครีพดู | ทั้งสองสู้รบกันด้วยอันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ
๔๖๔๏ บัดนั้น | สุครีพเสนาอัชฌาไศรย |
ถวายบังคมคัลทันใด | แล้วทูลไปแต่ต้นจนปลาย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๔๖๕๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ฟังแถลงแจ้งเงื่อนสาย |
จึ่งพาวานรทั้งสามนาย | ไปเฝ้าพระนารายน์ยังพลับพลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๔๖๖๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอภิวาท | แทบบาทพระราเมศเชษฐา |
แล้วกราบทูลมูลความที่ถามมา | ให้ทรงทราบบาทาฝ่าธุลี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๔๖๗๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิ์ล้ำพระสุริย์ศรี |
ได้ฟังเรื่องเคืองข้องสองกระบี่ | จึ่งมีสิงหนาทบัญชา |
ดูดู๋นิลพัทหณุมาน | ทำประมาทอาจหาญหนักหนา |
เหตุใดไปวิวาทวาทา | ไม่เกรงกลัวอาญาอย่างนี้ |
แม้นว่าถ้าศึกไม่ติดพัน | กูจะให้ห้ำหั่นบั่นเกษี |
เสียบประจานไว้ยังฝั่งนที | ให้สาสมสองกระบี่ชเลยใจ |
ว่าพลางทางตรัสปฤกษา | แก่สุครีพเสนาผู้ใหญ่ |
อันกระบินทร์นิลพัทนี้ไซ้ | จะเอาไว้ใช้สอยกับหณุมาน |
เห็นจะไม่ออมอดลดกัน | จะดุดันดึงไปด้วยใจหาญ |
อัปรยศยักษาน่ารำคาญ | จะคิดอ่านผ่อนผันฉันใดดี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๔๖๘๏ บัดนั้น | สุครีพประนตบทศรี |
จึ่งกราบทูลไปพลันทันที | อันสองเสนีนี้เกรียงไกร |
ประมาณเหมือนช้างงาบ้ามัน | จะผูกโรงเดียวกันนั้นไม่ได้ |
แม้นโปรดเกล้าเอาสองกระบี่ไว้ | ก็จะเคืองพระไทยไปอัตรา |
อันเมืองชมภูกับขีดขิน | ท้าวชมภูพานรินทร์นั้นรักษา |
ผู้เดียวปกป้องสองภารา | ข้าเห็นจะพว้าพวังใจ |
ขอให้นิลพัทขุนกระบินทร์ | ไปอยู่ยังขีดขินกรุงใหญ่ |
แต่ตัวหณุมานชาญไชย | เอาไว้ใช้ใต้เบื้องพระบาทา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๔๖๙๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงฟังก็หรรษา |
จึ่งมีพระราชบัญชา | สุครีพว่านี้ชอบเราขอบใจ |
แล้วตรัสสั่งนิลพัทพานรินทร์ | ให้ไปรั้งขีดขินกรุงใหญ่ |
จงไปอยู่ดูแลระวังระไว | อย่าให้มีเหตุเภทพาล |
ถึงเดือนเร่งหาผลาผล | มาส่งพวกพหลทวยหาญ |
ถ้าขาดไปไม่ทันบัญชาการ | ตัวท่านจะม้วยด้วยอาญา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๔๗๐๏ บัดนั้น | นิลพัทบังคมก้มหน้า |
อัปรยศอดสูหมู่เสนา | ก็ฟูมฟายน้ำตาโศกาไลย |
ครั้นจะทูลอยู่ทำแก้ตัว | ก็เกรงกลัวอาญาไม่ว่าได้ |
ชลีลาจรดลด้วยจนใจ | ก็เดินร่ำร้องไห้ออกมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๔๗๑๏ จึ่งสั่งพวกพหลพลชมภู | ทั่วทุกหมวดหมู่พร้อมหน้า |
ต่างตนไพร่นายฟายน้ำตา | โศการ่ำรักขุนกระบินทร์ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๔๗๒๏ ครั้นระงับดับโศกเศร้าหมอง | สั่งเสียพวกพ้องกันเสร็จสิ้น |
ก็แผลงอิทธิฤทธาพานรินทร์ | เหาะไปขีดขินธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๔๗๓๏ เมื่อนั้น | พระสุริวงษ์องค์นารายน์เรืองศรี |
จึ่งมีบัญชาพาที | ดูก่อนกระบี่หณุมาน |
เราใช้ให้ไประดมถมคงคา | จะข้ามพลโยธาทวยหาญ |
วิวาทกันมี่ฉาวจนร้าวราน | ก็เพราะท่านนิลพัทจึ่งพลัดไป |
สิพอใจจะแบกสองบ่า | ก็ได้ดังจินดาอัชฌาไศรย |
จงเร่งไปถมท้องสมุทไทย | แม้นมิได้จะประหารผลาญชีวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๔๗๔๏ บัดนั้น | หณุมานประนตบทศรี |
บังคมลาพาสุครีพเสนี | สองกระบี่เร่งรีบไคลคลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๔๗๕๏ ครั้นถึงที่ทำถนนชลธาร | จึ่งจัดแจงทวยหาญซ้ายขวา |
ให้สุครีพอยู่ยังฝั่งคงคา | แล้วพาพลไปป่าพนาดร |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๔๗๖๏ วายุบุตรสำแดงแผลงฤทธี | เอาบ่าแบกคิรีศิงขร |
พร้อมพรั่งทั้งพลพานร | เข้าง้างขนคนละก้อนแล้วกลับมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๔๗๗๏ ครั้นถึงซึ่งฝั่งสมุทไทย | ทุกหมู่หมวดตรวจไตรถ้วนหน้า |
จึ่งให้ทิ้งระดมถมศิลา | ลงในท้องคงคาวารี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๔๗๘๏ บัดนั้น | ฝ่ายกองคอยเหตุยักษี |
แฝงกายแลดูหมู่กระบี่ | เห็นหามขนคิรีมามี่อึง |
แล้วชวนกันทิ้งลงคงคาไลย | เปนแถวถนนไปจะใกล้ถึง |
สองอสูรตระหนกตกตลึง | กลัวลิงวิ่งตะบึงไปลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๔๗๙๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบทูล | ท้าวราพนาสูรยักษา |
แล้วเล่าความตามมีที่เห็นมา | ให้ทราบบาทาพระภูมี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๔๘๐๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี |
ได้ฟังสองอสูรทูลคดี | อสุรีนิ่งนึกตรึกตรา |
ชิชะไพรีนี้สามารถ | องอาจจองถนนด้วยภูผา |
คิดพลางทางสั่งเสนา | ไปหานางมัจฉามาฉับไว |
ฯ ๔ คำ ฯ
๔๘๑๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งบังคมไหว้ |
ชลีลาแล้วแผลงฤทธิไกร | ประดาดำลงไปในวารี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๔๘๒๏ ครั้นถึงจึ่งแถลงแจ้งกิจจา | แก่สุพรรณมัจฉาโฉมศรี |
ว่าองค์พระบิดาธิบดี | ให้หานางนารีขึ้นไป |
ฯ ๒ คำ ฯ
๔๘๓๏ เมื่อนั้น | นางสุพรรณมัจฉาศรีใส |
ได้แจ้งแห่งคำเสนาใน | ก็คลาไคลไปเฝ้าพระบิดา |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า
๔๘๔๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุรศักดิยักษา |
จึ่งมีพระราชบัญชา | ว่าแก่มัจฉายาใจ |
ซึ่งบิดาหาเจ้าขึ้นมานี้ | ด้วยไพรีจ้วงจาบหยาบใหญ่ |
ยกพหลโยธีกระบี่ไพร | ถมท้องสมุทไทยจะข้ามมา |
เจ้าจงใช้ให้ปลาบริวาร | คิดอ่านคาบขนเอาภูผา |
ไปทิ้งไว้ในอ่าวคงคา | อย่าให้ศึกข้ามมาถึงธานี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๔๘๕๏ เมื่อนั้น | นางสุพรรณมัจฉามารศรี |
กราบกับบาทมูลทูลคดี | แต่เพียงนี้มิให้เคืองเบื้องบาทา |
ซึ่งจะทำลายถนนชลธาร | ไว้นักงานลูกรักจักอาสา |
ว่าพลางทางถวายบังคมลา | กลับมายังท้องสมุทไทย |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงเร็ว
๔๘๖๏ จึ่งสั่งให้ไปเที่ยวป่าวร้อง | พวกพ้องมัจฉาปลาใหญ่ |
อยู่ที่แห่งหนตำบลใด | เร่งให้รีบรัดมาบัดนี้ |
ฯ ๒ คำ ฯ โล้
๔๘๗๏ ครั้งฝูงปลามาประชุมพร้อมกัน | นางสุพรรณมัจฉาเกษมศรี |
จึ่งพาไปให้คาบขนคิรี | มาทุ่มทิ้งเสียที่ทเลฦก |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๔๘๘๏ เมื่อนั้น | สุครีพเห็นผิดคิดตริตรึก |
เสียงอะไรใต้น้ำคึกคึก | แล้วนิ่งนึกพะวงสงกา |
ครั้นแลดูภูผาศิลาเล่า | ก็หายห่างบางเบาไปหนักหนา |
จึ่งว่าแก่หณุมานนัดดา | วันนี้น้าปลาดหลากใจ |
แถวถนนพ้นภูลหลังสมุท | แล้วกลับเคลื่อนเลื่อนทรุดไปเสียไหน |
ดีร้ายในใต้ท้องสมุทไทย | จะเปนเหตุอะไรสักสิ่งอัน |
เจ้าจงลงไปค้นดู | ถ้ากระไรจะได้รู้แม่นมั่น |
แม้นพบพวกศัตรูหมู่กุมภัณฑ์ | จงสังหารผลาญมันให้มรณา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๔๘๙๏ เมื่อนั้น | หณุมานชาญไชยใจกล้า |
คำนับรับคำทำศักดา | ร่ายคาถาประดาน้ำดำลงไป |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๔๙๐๏ พบพวกฝูงปลาน่ากลัว | แต่ละตัวโตเท่าภูเขาใหญ่ |
นับแสนแน่นท้องสมุทไทย | คาบศิลาพาไปเปนหมู่กัน |
ขุนกระบี่พิโรธโกรธหนัก | ฉวยชักตรีเพ็ชรระเห็จหัน |
ถาโถมโจมจับฉับพลัน | ไล่พิฆาฏฟาดฟันฝูงปลา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๔๙๑๏ แล้วแลไปในน้ำที่ถ้ำกลาง | เห็นโฉมยงองค์นางมัจฉา |
รูปร่างเปนมนุษย์สุดโสภา | มีหางอย่างปลาน่าอัศจรรย์ |
เอวองค์อรชรอ้อนแอ้น | เหมือนแม้นสุรางค์นางสวรรค์ |
ปลาดกับมัจฉาปลาทั้งนั้น | สำคัญคิดเห็นว่าเปนนาย |
หณุมานนิ่งนึกตรึกไตร | จะจับตัวให้ได้ดังใจหมาย |
ดำริห์ตริแล้วลูกพระพาย | แหวกว่ายชลาไลยไล่นาง |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๔๙๒๏ เมื่อนั้น | นางมัจฉาหนีไปเสียให้ห่าง |
ความกลัวตัวสั่นทั้งสรรพางค์ | โบกหางวางว่ายร่ายเรียง |
เห็นง่าเงื้อพระขรรค์จะฟันฟาด | ร้องกรีดหวีดหวาดไม่ขาดเสียง |
ครั้นวานรเลี้ยวไล่เข้าใกล้เคียง | สบิ้งสบัดวัดเหวี่ยงวุ่นไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๔๙๓๏ เมื่อนั้น | หณุมานสกัดหน้าคว้าไขว่ |
ฉวยฉุดหลุดมือก็ขัดใจ | รื้อไล่กระชั้นชิดติดตาม |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๔๙๔๏ จับได้นางมัจฉานารี | ขุนกระบี่ตั้งกระทู้ขู่ถาม |
ดูก่อนมัจฉาปลารูปงาม | เจ้านี้มีนามกรใด |
น้อยฤๅนางช่างชวนเอาฝูงปลา | มาคาบขนศิลาไปข้างไหน |
จะธุระประสงค์สิ่งไร | อย่าย้อนยอกบอกไปแต่โดยดี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๔๙๕๏ เมื่อนั้น | นางมัจฉาอกสั่นขวัญหนี |
จึ่งเสแสร้งแกล้งว่าข้านี้ | เคยอยู่ที่ท่าท้องทเลวน |
เห็นคิรินหินผากีดขวาง | จะไปมาท่าทางก็ขัดสน |
คิดจะใคร่ให้กว้างที่กลางชล | จึ่งพาปลามาขนคาบไป |
อนึ่งเล่าเหล่าพวกพ่อค้า | สำเภาเลากาเขาเดินได้ |
มิใช่จะประสงค์สิ่งใด | ท่านจงได้เมตตาปรานี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๔๙๖๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรใคร่ครวญดูถ้วนถี่ |
เห็นไม่จริงจึ่งว่าแก่นารึ | เจ้านี้อำพรางทุกอย่างไป |
เมื่อภูเขาเราขนมาถมน้ำ | หมายจะทำถนนหนทางใหญ่ |
พระหริวงษ์องค์นารายน์เรืองไชย | จะข้ามไปรบพุ่งกรุงลงกา |
นางนี้ดีร้ายเปนพวกยักษ์ | จึ่งพาปลามาลักหินผา |
ดูรูปร่างท่วงทีกิริยา | ก็ผิดกับมัจฉาปลาทั้งนั้น |
ไม่บอกความตามจริงแล้วฤๅเจ้า | อะไรเฝ้าสดุ้งดิ้นผินผัน |
ทำกริ้วโกรธโกรธาจะฆ่าฟัน | ประเดี๋ยวนี้ชีวันจะบรรไลย |
ฯ ๘ คำ ฯ
๔๙๗๏ เมื่อนั้น | นางมัจฉาอกสั่นหวั่นไหว |
จึ่งวอนว่าข้าขอชีวิตรไว้ | จะบอกให้แจ้งความตามสัจจา |
ข้าฤๅชื่อมัจฉานารี | เปนบุตรีทศภักตร์ยักษา |
รับสั่งใช้ให้บ่าวฝูงปลา | มาลักหินศิลาของท่านไป |
หวังมิให้ถมน้ำทำถนน | ข้ามพลไปเกาะลงกาได้ |
ข้าผิดพลั้งทั้งนี้เพราะท่านใช้ | จงโปรดไว้ชีวาอย่าฆ่าฟัน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๔๙๘๏ เมื่อนั้น | หณุมานแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
จึ่งคิดว่าถ้าจะผลาญชีวัน | ก็เสียคมพระขรรค์ไม่เข้ายา |
แม้นปลอบให้ไปพาพวกพล | คืนขนคิรีมาดีกว่า |
คิดพลางทางชม้ายชายตา | พูดจาโลมเล้าเอาใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ชาตรี
๔๙๙๏ โฉมเอยโฉมเฉลา | ถ้าผิดเจ้าเทวีแล้วที่ไหน |
นี่ชรอยกุศลดลฤไทย | พเอิญให้เมตตาปรานี |
เมื่อตะกี้พี่ถามเจ้าไม่บอก | จึ่งขู่หยอกดอกน้องอย่าหมองศรี |
เจ้างามสรรพสารพางค์อย่างนี้ | จะฆ่าตีเยาวมาลย์ประการใด |
ซึ่งโทษทัณฑ์ทำผิดพี่คิดโกรธ | เจ้างอนง้อขอโทษก็ยกให้ |
แต่จะขอออกปากฝากอาไลย | ด้วยหวังไว้ชีวันกับกัลยา |
จะปรานีพี่บ้างฤๅไม่เล่า | อะไรเฝ้าขวยเขินเมินหน้า |
ทำฉุดฉวยชายสไบไขว่คว้า | แก้วตาอย่าสลัดตัดไมตรี |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๕๐๐๏ เมื่อนั้น | นางสุพรรณมัจฉาโฉมศรี |
ได้ฟังคำรำพรรณพาที | เทวีขวยเขินสเทินใจ |
ทั้งกลัวทั้งอายชม้ายชม้อย | พลางค่อยค่อยพูดจาอัชฌาไศรย |
อันไมตรีที่จะฝากน้องไว้ | เปนจนใจไม่รู้ที่เจรจา |
เมื่อข้าเปนมัจฉาอยู่สาคร | ท่านก็เปนวานรสัญจรป่า |
ไม่ควรคู่สู่สมภิรมยา | จงเมตตาอย่าให้ได้อาย |
ซึ่งเงือดงดอดโทษไม่โกรธน้อง | คุณของขุนกระบี่มีมากหลาย |
จะขอบใจไปกว่าชีวาวาย | ไม่กลับกลายแกล้งว่าจงปรานี |
ฯ ๘ คำ ฯ
โอ้โลม
๕๐๑๏ สุดเอยสุดสวาดิ | แสนฉลาดเหลือแล้วแก้วพี่ |
จะต้องขอบใจอยู่ไยมี | เชิญช่วยรับไมตรีของพี่ไว้ |
ถึงมัจฉาวานรเปนคู่ครอง | ก็เห็นว่าหาต้องห้ามไม่ |
จะบิดเบือนเอื้อนอำไปทำไม | สุดแท้แต่ใจจะเมตตา |
ว่าพลางคลึงเคล้าเล้าโลม | ร่วมภิรมย์ชมโฉมนางมัจฉา |
อัศจรรย์บันดาลในคงคา | เกิดพยุพัดกล้าสลาตัน |
คลื่นละลอกกลอกกลิ้งกลางสมุท | ปลาวาฬผุดพ่นน้ำดำดั้น |
สองสมภิรมย์แรกรักกัน | เกษมสันต์สำราญบานใจ |
ฯ ๘ คำ ฯ โลม
ช้า
๕๐๒๏ เมื่อนั้น | นางมัจฉานารีศรีใส |
ได้ร่วมรักวายุบุตรวุฒิไกร | กราบไหว้อภิวันท์จำนรรจา |
จะขอสืบสนองรองบาท | จนสิ้นชาติชีวังสังขาร์ |
ซึ่งผิดพลั้งทั้งนั้นได้กรุณา | ไปเบื้องน่าอย่าให้น้องได้อาย |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๕๐๓๏ เมื่อนั้น | หณุมานเล้าโลมนางโฉมฉาย |
ปลอบพลางทางประคองต้องกาย | เจ้าสายสุดสวาดิอย่าอาวรณ์ |
แม้นรักพี่จงใช้ให้ฝูงปลา | ไปคาบขนภูผามาเสียก่อน |
พี่จะได้พ้นโทษโรธกร | พุ่มพวงดวงสมรจงเมตตา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๐๔๏ เมื่อนั้น | นวลนางสุพรรณมัจฉา |
จึ่งสั่งเหล่าเผ่าพวกฝูงปลา | ให้คาบขนศิลามาคืนคง |
ฯ ๒ คำ ฯ
๕๐๕๏ บัดนั้น | ฝูงปลาน้อยใหญ่ไม่หลอหลง |
ต่างคาบภูผามาวางลง | เปนทางตรงภูลพ้นชลธี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๕๐๖๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
พลางตระโบมโลมลูบนารี | แล้วมีมธุรศพจนา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๕๐๗๏ น้องเอยน้องแก้ว | เห็นแล้วว่าเจ้ารักพี่หนักหนา |
แม้นไม่มีราชกิจติดตัวมา | พี่ยาฤๅจะห่างร้างรัก |
นี่สุดที่จะคิดผันผ่อน | พี่อาวรณ์วิตกเพียงอกหัก |
จะอยู่ชมโฉมเฉลาเยาวลักษณ์ | ช้านักก็กลัวราชอาญา |
จำเปนจำนิราศคลาศแคล้ว | พี่จะลาก่อนแล้วนางมัจฉา |
แม้นสำเร็จเสร็จณรงค์ในลงกา | จะกลับมาหาน้องในนที |
ฯ ๖ คำ ฯ
๕๐๘๏ เมื่อนั้น | นางมัจฉาเศร้าสร้อยหมองศรี |
ทอดองค์ลงกับตักขุนกระบี่ | แล้วโศกีครวญคร่ำร่ำไร |
ครั้งนี้มิชั่วก็เหมือนชั่ว | กรรมของตัวจะโกรธโทษใครได้ |
จะมีผัวก็ไม่ทันข้ามวันไป | ไปแล้วที่ไหนจะได้มา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๐๙๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรสุดแสนเสนหา |
ปลอบนางพลางเช็ดชลนา | เจ้าแก้วตาอย่าทรงโศกี |
ค่อยอยู่เถิดนวลลอองน้องแก้ว | ว่าแล้วโลมลามารศรี |
จึ่งสำแดงแผลงอิทธิฤทธี | ขุนกระบี่ขึ้นจากสมุทไทย |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๕๑๐๏ ครั้นถึงท่าวารีที่ทำการ | จึ่งกราบกรานสุครีพผู้ใหญ่ |
แล้วเล่าเหตุผลแต่ต้นไป | โดยได้พบพานฝูงปลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๕๑๑๏ เมื่อนั้น | สุครีพเกษมสันต์หรรษา |
จึ่งสั่งให้จัดแจงแต่งมรรคา | ทุกหมู่หมวดตรวจตราลุ่มดอน |
ที่สูงนั้นให้เจาะเราะลงเสีย | แล้วกลบเกลี่ยเรี่ยรายด้วยทรายอ่อน |
ก็สำเร็จเสร็จทางบทจร | จนนครลงกาธานี |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๕๑๒๏ เมื่อนั้น | นางสุพรรณมัจฉาโฉมศรี |
ได้ร่วมรักหณุมานชาญฤทธี | เทวีมีครรภ์แต่นั้นมา |
นางคิดหวาดหวั่นพรั่นใจ | ทุกข์ถึงตัวกลัวไภยเปนหนักหนา |
แม้นความรู้ถึงหูพระบิดา | น่าที่ชีวาจะวอดวาย |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๕๑๓๏ จำจะเข้าไปยังฝั่งสมุท | สำรอกบุตรให้ครรภ์นั้นแห้งหาย |
รื้อรำพึงถึงลูกก็เสียดาย | คิดพลางนางว่ายแหวกมา |
ฯ ๒ คำ ฯ โล้
๕๑๔๏ ครั้นถึงเนินทรายชายสาคร | จึ่งยอกรกึ่งเกษเกษา |
ไหว้ฝูงเทวัญทุกชั้นฟ้า | ขอให้ข้าสำรอกออกโดยดี |
ฯ ๒ คำ ฯ
ยานี
๕๑๕๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงท้าวสหัสไนยเรืองศรี |
เสด็จออกเทวัญจันทรี | บนแท่นที่พิมานไชยไพชยนต์ |
จึ่งสอดส่องทิพเนตรสังเกตการ | ทุกถิ่นฐานสมุทไทยไพรสณฑ์ |
ก็รู้ว่ามัจฉานฤมล | จะสำรอกลูกคนให้พ้นครรภ์ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๕๑๖๏ จึ่งมีเทวบัญชาชวน | เทพบุตรกับนวลนางสวรรค์ |
พรั่งพร้อมล้อมเสด็จจรจรัล | ผายผันลงจากฟากฟ้า |
ฯ ๒ คำ ฯ โคมเวียน
๕๑๗๏ ครั้นถึงหาดทรายชายฝั่ง | จึ่งตรัสสั่งนางอัปศรซ้ายขวา |
จงช่วยกันอุปถัมภ์นำพา | นวลนางมัจฉานารี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๕๑๘๏ บัดนั้น | ฝูงเทพธิดามารศรี |
รับคำอำมรินทร์ด้วยยินดี | ก็เข้าช่วยเทวีอยู่วุ่นวาย |
ลางนางบ้างเข้าหนุนหลัง | บ้างก็นั่งเคียงข้างนางโฉมฉาย |
บ้างลงมือถือท้องต้องกาย | แปรผันหันย้ายไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๕๑๙๏ เมื่อนั้น | นวลนางสุพรรณมัจฉา |
ครั้นฤกษ์พานาทีถึงเวลา | ก็สำรอกออกมาเปนวานร |
ฯ ๒ คำ ฯ มโหรี
๕๒๐๏ เมื่อนั้น | เทเวศร์สุรางค์นางอัปศร |
ครั้นเห็นลูกนฤมลพ้นอุทร | เปนพานรเผือกผู้โสภา |
ดูลม้ายคล้ายพ่อทั้งรูปร่าง | เหมือนแม่แต่หางเปนมัจฉา |
จึ่งเอานามตามนางข้างเพศปลา | กับบิดาวานรประสมกัน |
ให้ชื่อมัจฉาณุกุมาร | จงห้าวหาญกำแหงแขงขัน |
เสร็จแล้วฝูงเทพเทวัญ | ก็กลับไปสู่สวรรค์ชั้นฟ้า |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
โอ้
๕๒๑๏ เมื่อนั้น | โฉมนางสุพรรณมัจฉา |
จึ่งอุ้มใส่ตักพิศภักตรา | กัลยาสท้อนถอนใจ |
โอ้พ่อทูลเกล้าเจ้าแม่เอ๋ย | จะชมเชยช้านักก็ไม่ได้ |
จะพาไปกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้ | ก็เกรงกลัวโพยไภยไอยกา |
เสียแรงเจ้ากำเนิดเกิดเปนชาย | แม่เสียดายลูกรักนี้หนักหนา |
จะจำพรากจากอกมารดา | ชรอยกรรมเวรามาตามทัน |
เจ้าดูหน้าตาแม่เสียยังแล้ว | แม่จะลาลูกแก้วผายผัน |
ตั้งแต่นี้ตายเปนไม่เห็นกัน | ร่ำพลางโศกศัลย์โศกาไลย |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๕๒๒๏ ครั้นค่อยส่างห่างเหือดที่กรรแสง | จึ่งรำพรรณบอกแจ้งแถลงไข |
เจ้าจงจำค่าแม่จะสั่งไว้ | สืบไปเบื้องน่าอย่าลืมความ |
บิดาเจ้าเผ่าพงษ์พานรินทร์ | ในแว่นแคว้นแดนดินย่อมเข็ดขาม |
เปนยอดทหารของพระราม | ทรงนามชื่อศรีหณุมาน |
มีกุณฑลขนแก้วแล้วเหาะหาว | เปนเดือนดาวแลดวงสุริย์ฉาน |
แม้นเจ้าเห็นเช่นแม่แจ้งการ | นั้นและแน่แท้ท่านเปนบิดา |
ร่ำพลางนางยกมือไหว้ | ฝากฝูงเทพไททุกทิศา |
จงช่วยอุปถัมภ์ลูกกำพร้า | กัลยาว่าแล้วก็จรลี |
ฯ ๘ คำ ฯ ทยอย
ช้า
๕๒๓๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงพระยาไวยราพยักษี |
ได้ครอบครองไพร่ฟ้าประชาชี | ในธานีบาดาลนานมา |
วันนั้นพลบค่ำย่ำฆ้อง | บรรธมที่แท่นทองเลขา |
ดึกสงัดปัจฉิมเวลา | พอหลับสนิทนิทราก็ฝันไป |
ว่าเทวัญนั้นขึ้นบนแท่นที่ | เอามณีมาวางกลางหัดถ์ให้ |
พระยามารกำมือถือไว้ | ดีใจจนตื่นฟื้นกาย |
นั่งกระหยิ่มยิ้มย่องประคองถือ | แบมือเปล่าไปก็ใจหาย |
เกิดมาพึ่งพบปะชะเสียดาย | ดีร้ายกูฝันไปมั่นคง |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๕๒๔๏ พอรุ่งแจ้งแสงศรีสุริยัน | กุมภัณฑ์บ้วนพระโอษฐโสรจสรง |
สอดใส่เครื่องประดับสำหรับองค์ | เสด็จตรงออกท้องพระโรงไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๕๒๕๏ ลดองค์ลงนั่งบัลลังก์รัตน์ | จึ่งดำรัสตรัสเรียกโหรผู้ใหญ่ |
แล้วเล่าความตามฝันทั้งนั้นไป | โดยในนิมิตรทุกประการ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๕๒๖๏ บัดนั้น | ขุนโหรคำนับรับบรรหาร |
พิเคราะห์ใคร่ในนิมิตรพระยามาร | ต้องตามบุราณท่านกล่าวมา |
จึ่งบังคมทูลพลันทันที | พระสุบินดังนี้ดีหนักหนา |
ว่าจะได้ทหารชาญเดชา | ไว้เปนหลักนัคราธานี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๒๗๏ เมื่อนั้น | ไวยราพสิทธิศักดิยักษี |
ได้ฟังโหรทำนายทายว่าดี | อสุรีชื่นชมภิรมยา |
ด้วยเทวัญบันดาลดลใจ | คิดจะใคร่ไปเที่ยวพิพาศป่า |
จึ่งตรัสสั่งบังคับเสนา | จงตรวจตราพลไกรให้พร้อมกัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๒๘๏ บัดนั้น | เสนาชำนาญการขยัน |
ก้มเกล้ารับสั่งบังคมคัล | แล้วออกมาเกณฑ์กันดังบัญชา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๕๒๙๏ เมื่อนั้น | ไวยราพสิทธิศักดิยักษา |
จึ่งเสด็จลีลาศยาตรา | ไปสระสรงคงคาสาคร |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๕๓๐๏ สำอางองค์ทรงเครื่องพระสุคนธ์ | ปรุงปนอำพันกลั่นเกสร |
สอดใส่สนับเพลาเชิงงอน | ภูษายกแย่งกินรรำราย |
ผ้าทิพย์ขลิบทองชายแคลง | เกราะเก็จเพ็ชรแดงแสงฉาย |
เกี้ยวกระหวัดรัดอกกระหนกกราย | เฟื่องห้อยสร้อยสายทับทรวง |
ตาบทิศติดทับสังวาลวรรณ | สอดกระสันปั้นเหน่งแน่นหน่วง |
ทองกรประดับทับทิมรวง | ธำมรงค์เรือนควงดวงมณี |
ทรงมงกุฎเก็จเพ็ชรรัตน์ | กรรเจียกจรจำรัสรัศมี |
ขัดคทาอาวุธอสุรี | จรลีออกมาน่าพระลาน |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๕๓๑๏ พรั่งพร้อมเกณฑ์แห่แออัด | โบกพระหัดถ์ให้เดินโยธาทาญ |
ออกจากภาราบาดาล | พลมารแห่มาน่ารถ |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
โทน
๕๓๒๏ รถเอยรถทรง | ดุมวงกงแก้วมรกฏ |
อ่อนแอกแปรกบังบัลลังก์รถ | งอนชดชูรหงธงชาย |
เทียมสิงห์วิ่งวางข้างละพัน | โลทันเตือนต้อนผันผาย |
เครื่องสูงคู่เคียงเรียงราย | ชุมสายสามชั้นกันภิรุม |
แซ่เสียงสังข์แตรแห่โหม | กลองชนะประโคมโครมครุ่ม |
สเทื้อนท้องธรณีผงคลีคลุ้ม | อากาศกลบกลุ้มชอุ่มไป |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
ชมตลาด
๕๓๓๏ เสด็จโดยเนินทรายชายสมุท | ขาวสีบริสุทธิแสงใส |
มีทั้งกรวดแก้วแววไว | แลไปปนสลับอยู่กับทราย |
บ้างเลื่อมเหลืองประหลาดกลาดเกลื่อน | ดูเหมือนเพ็ชรฑูรย์ประสานสาย |
บ้างเปนเช่นทับทิมเพทาย | ที่เหล่าลายคล้ายราชาวดี |
บ้างเขียวเขียวขำน้ำใสสด | ดังมรกฏนิลเนียรกันถี |
บ้างโชติช่วงดังดวงแก้วมณี | แสงสีจับแสงสุริยัน |
ลมจัดพัดพาคงคาคลื่น | โครมครื้นสำเนียงเสียงสนั่น |
ดูพลางทางเลื่อนรถสุวรรณ | เลียบคันเนินทรายสบายใจ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๕๓๔๏ จึ่งเหลือบเห็นกุมาราวานร | อัศจรรย์สัญจรมาแต่ไหน |
กะจ้อยร่อยน่ารักเปนพ้นไป | เผือกผู้ผ่องใสดังสำลี |
ประหลาดจริงลิงหางเปนหางปลา | แต่หน้าตาตัวเปนกระบี่ศรี |
ดีร้ายจะสำคัญเหมือนฝันดี | คิดพลางทางมีบัญชาไป |
ดูก่อนกุมารวานร | นี่ถิ่นฐานนานดรอยู่หาไหน |
กระบี่นี้มีนามกรใด | เปนลูกเต้าเหล่าใครกุมารา |
เออทำไมมาอยู่ผู้เดียวดาย | ที่กลางเนินหาดทรายชายป่า |
เรามีจิตรคิดพะวงสงกา | จงบอกมาแต่ตามความจริงไป |
ฯ ๘ คำ ฯ
๕๓๕๏ เมื่อนั้น | มัจฉาณุกุมาราอัชฌาไศรย |
อภิวันท์อัญชลีด้วยดีใจ | บังคมไหว้สนองพระบัญชา |
อันนามกรมารดรนั้น | ชื่อนางสุพรรณมัจฉา |
ข้าชื่อมัจฉาณุกุมารา | จงทรงทราบบาทาพระภูวไนย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๓๖๏ เมื่อนั้น | ไวยราพยิ้มแย้มแจ่มใส |
จึ่งว่าตัวเจ้ากับเราไซ้ | เคยได้เปนบุตรบิดากัน |
พ่อก็ไร้โอรสสุริวงษ์ | จะสืบพงษ์ไปในไอสวรรย์ |
จะเลี้ยงเจ้าเปนบุตรบุญธรรม์ | มาไปด้วยกันเถิดวันนี้ |
ว่าแล้วลงจากบัลลังก์รัตน์ | อุ้มมัจฉาณุกระบี่ศรี |
ให้ขึ้นนั่งยังท้ายรถมณี | แล้วเลิกพลมนตรีไปบาดาล |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๕๓๗๏ ครั้นถึงแดนด่านชั้นใน | จึ่งหยุดยั้งสั่งให้โยธาหาญ |
เร่งขุดสระสร้างสวนอุทยาน | ให้กุมารลูกกูอยู่ที่นี้ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๕๓๘๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกษี |
เอาเชือกชักปักปันไปทันที | แล้วน่าที่ของใครให้ขุดลง |
บ้างทำท่อก่ออิฐเสิมสอบ | ปักเขื่อนติดกรอบรอบสระสรง |
บ้างขุดขนต้นไม้กับบุษบง | ปลูกลงสรรพสรรพ์ดังบัญชา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๕๓๙๏ เมื่อนั้น | ไวยราพเกษมสันต์หรรษา |
จึ่งสั่งมัจฉาณุกุมารา | ให้รักษาแดนด่านชั้นใน |
แม้นศัตรูจู่จ้วงล่วงด่าน | จงสังหารผลาญเสียให้ตักไษย |
สั่งแล้วแคล้วเคลื่อนรถไชย | เข้าในนัคราธานี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๕๔๐๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายสุครีพหณุมานชาญไชยศรี |
สองนายจึ่งปฤกษาพาที | ว่าการที่มรคาในสาคร |
เราก็ทำสำเร็จเสร็จสรรพ | จำจะกลับคลาไคลไปทูลก่อน |
ว่าพลางทางพาพวกวานร | บทจรมาเฝ้าพระอวตาร |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๕๔๑๏ ครั้นถึงจึ่งประนตบทบงสุ์ | ทูลองค์พระหริรักษ์ศักดาหาญ |
ว่าที่ทางจองถนนชลธาร | แล้วดังโองการพระผ่านฟ้า |
ฯ ๒ คำ ฯ
๕๔๒๏ เมื่อนั้น | พระหริรักษ์จักรแก้วแววเวหา |
ได้ฟังสุครีพทูลมา | แสนโสมนัศาเปนพ้นไป |
จึ่งปฤกษาเสนาวานร | ทั้งสองพระนครกรุงใหญ่ |
เราจะยกโยธาคลาไคล | ข้ามไปประชิดติดลงกา |
จงจัดสรรกระบี่ที่ซื่อตรง | ทั้งสามารถอาจองแกล้วกล้า |
ให้ถือธงนำทัพยาตรา | จะเห็นหน้าใครมั่งในครั้งนี้ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๕๔๓๏ บัดนั้น | ไชยามพวานกระบี่ศรี |
ได้ฟังรับสั่งก็ยินดี | อัญชลีสนองพระบัญชา |
ว่าองค์พระสยมบรมนารถ | ทรงประสาทพรไว้ให้ข้า |
สำหรับถือธงไชยไคลคลา | นำเสด็จผ่านฟ้าไปปราบยักษ์ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๔๔๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงฟังแจ้งประจักษ์ |
ชื่นชมสมถวิลแล้วผินภักตร์ | สั่งพิเภกพระยายักษ์ไปทันใด |
ท่านผู้มีปรีชาจงหาฤกษ์ | เราจะเลิกโยธาทัพใหญ่ |
ข้ามไปตั้งยังเกาะกรุงไกร | จะยาตราคลาไคลวันใดดี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๔๕๏ บัดนั้น | พิเภกรับสั่งใส่เกษี |
คำนวณดูรู้เพลานาที | บังคมคัลอัญชลีแล้วทูลไป |
พรุ่งนี้เสาร์ห้าอุษาโยค | เปนมหาสิทธิโชคฤกษ์ใหญ่ |
จะมีลาภประเสริฐเลิศไกร | ในตำราว่าจะได้ทางอัมพร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๔๖๏ เมื่อนั้น | พระนารายน์สุริวงษ์ทรงศร |
ได้ฟังอสุราพยากรณ์ | ภูธรศุขเกษมเปรมปรีดิ์ |
จึ่งตรัสสั่งสุครีพให้ตรวจตรา | โยธาวานรสองกรุงศรี |
เข้ากระบวนถ้วนตามบาญชีมี | ทั้งเสนีนายไพร่ให้พร้อมกัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๔๗๏ บัดนั้น | สุครีพเชี่ยวชาญการขยัน |
กมเกล้ารับสั่งบังคมคัล | มาเร่งรัดจัดสรรโยธา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๕๔๘๏ ให้คำแหงหณุมานชำนาญยุทธ | คุมพลสิบสมุทเปนทัพน่า |
ชมภูพาลพลสิบสมุทตรา | เปนปีกขวาอาจองยงยุทธ |
เกณฑ์กระบินทร์นิลราชเปนปีกซ้าย | คุมกระบี่นิกายสิบสมุท |
ทัพหลังรั้งท้ายพระทรงครุธ | นิลขันฤทธิรุตม์เปนตัวนาย |
ยุกรบัตรนั้นสัตพลี | เคยชำนาญบาญชีได้จดหมาย |
สุรการสุรเสนเปนเกียกกาย | ไพร่นายครบถ้วนกระบวนทัพ |
ให้ตั้งกองท่องแถวบทจร | เปนพยุหมังกรเสร็จสรรพ |
กองหลวงกองหลังคั่งคับ | คอยรับเสด็จยาตรา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ยานี
๕๔๙๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงท้าวสหัสไนยไตรตรึงษา |
รู้ว่าพระหริรักษ์จักรา | จะยกทัพข้ามมหาสมุทไทย |
จึ่งสั่งเทพเทวาสารถี | พระจักรีจะไปทำสงครามใหญ่ |
จงเร่งเอารถทรงนี้ลงไป | ถวายให้พระรามข้ามคงคา |
แล้วตัวท่านจงอยู่ด้วยภูมี | เปนสารถีสำหรับขับรัถา |
ต่อการศึกเสร็จสรรพจึ่งกลับมา | อย่าช้ารีบไปให้ทันการ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๕๕๐๏ บัดนั้น | สารถีรับเทวบรรหาร |
บังคมลามาขึ้นรถพิมาน | แล้วขับอาชาชาญเหาะไป |
ฯ ๒ คำ ฯ พระยาเดิน
๕๕๑๏ ครั้นถึงที่น่าพลับพลาพลัน | อภิวันท์แล้วทูลแถลงไข |
ว่าองค์อำรินทร์แจ้งใจ | จึ่งใช้ให้รีบเอารถมา |
ให้พระองค์ทรงข้ามมหาสมุท | ไปณรงค์ยงยุทธกับยักษา |
ให้ข้าอยู่โดยเสด็จพระผ่านฟ้า | ไปกว่าจะเสร็จสงครามนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๕๒๏ เมื่อนั้น | พระราเมศปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
จึ่งบัญชาปราไสด้วยยินดี | เราขอบใจโกสีย์ครั้งนี้นัก |
เอารถทิพย์มาให้ไปณรงค์ | ทั้งองค์พระมาตุลีมีศักดิ |
ว่าแล้วสมเด็จพระหริรักษ์ | ชวนพระลักษณ์ลีลามาสรงชล |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
โทน
๕๕๓๏ ไขสุหร่ายซ่านเซ็นกระเด็นต้อง | อาบลอองโปรยปรายดั่งสายฝน |
เย็นฉ่ำน้ำกุหลาบซาบสกนธ์ | ทรงสุคนธ์ปนทองทั้งสององค์ |
สอดใส่สนับเพลาเพราพราย | ภูษาลายเขียนทองก่องก่ง |
ชายไหวไกวกวัดสบัดทรง | ฉลององค์งามงอนอ่อนลมุน |
ทับทรวงสร้อยสังวาลบานพับ | คาดปั้นเหน่งพลอยประดับซับหนุน |
ธำมรงค์เรืองรองทองนพคุณ | ทองกรกุดั่นดุนชมพูนุท |
พระอนุชาชาญไชยใส่ชฎา | พระหริวงษ์ทรงมหามงกุฎ |
พระลักษณ์จับพระขรรค์เทพอาวุธ | พระทรงครุธถือศิลป์สำหรับองค์ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๕๕๔๏ ครั้นเสร็จสรงทรงเครื่องอำไพ | พอได้ศุภฤกษ์สูงส่ง |
ให้ยกโยธาเดินดำเนินธง | ยาตราตรงไปถนนชลธี |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๕๕๕๏ รถเอยรถอินทร์ | เทียมสินธพเทพทั้งสี่ |
พระลักษณ์นั่งบัลลังก์ลดรถมณี | สารถีขี่ขับยาตรา |
เครื่องสูงเรียงริ้วเปนทิวท่อง | แตรสังข์ฆ้องกลองก้องป่า |
วานรฮึกโห่เปนโกลา | บรรเทิงทำกิริยาเปนท่าทาง |
บ้างโลดเต้นเผ่นผกหกกลับ | กระโดดจับแมลงวันคันสีข้าง |
บ้างนั่งลงหาเหาเกาแข้งคาง | เริงร่ามากลางทางสาคร |
เสียงรถเสียงพลรนคนอง | สเทื้อนท้องสมุทไทยไหวกระฉ่อน |
ฝูงปลาว่ายแหวกแตกขจร | เร่งกระบี่นิกรจรลี |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๕๕๖๏ ครั้นถึงฝั่งฟากเกาะลงกา | พระจักราปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
จึ่งสั่งให้พักพลมนตรี | อยู่ที่ริมราวอรัญวา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๕๕๗๏ บัดนั้น | ฝ่ายกองคอยเหตุยักษา |
ครั้นเห็นทัพพระรามข้ามมา | ก็รีบเข้าลงกาธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว
๕๕๘๏ ครั้นถึงจึ่งถวายบังคมทูล | ท้าวราพนาสูรยักษี |
ว่าพระรามข้ามพลโยธี | มาถึงที่ฟากฝั่งสาคร |
ประมาณดูกองทัพนับสมุท | เดินไม่สิ้นสุดหยุดหย่อน |
แต่ล้วนเหล่าโยธาวานร | ภูธรจงทราบบทมาลย์ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๕๕๙๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรอสุราศักดาหาญ |
ได้ฟังว่าปัจจามิตรคิดรำคาญ | พระยามารตรึกไตรไปมา |
กูจะตัดศึกใหญ่ไว้ยศ | ให้ฦๅชาปรากฎไปภายน่า |
คิคพลางทางมีพระบัญชา | สั่งภาณุราชเสนาใน |
จงไปคิดนิมิตรพนาลี | ให้ถูกที่ไชยภูมิ์ทัพใหญ่ |
ทั้งพฤกษาท่าธารบันดาลไว้ | แล้วท่านจงลงไปอยู่ใต้ดิน |
ถ้าแม้นกองทัพมนุษย์นั้น | มายับยั้งตั้งมั่นลงเสร็จสิ้น |
จงสำแดงแผลงพลิกธรณินทร์ | ให้ไพรินมรณาในสาคร |
ฯ ๘ คำ ฯ
๕๖๐๏ บัดนั้น | ภาณุราชอาจหาญชาญสมร |
รับสั่งบังคมประนมกร | แล้วออกจากนครลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๕๖๑๏ ครั้นถึงที่กลางหว่างบรรพต | นอกเขามรกฏภูผา |
จึ่งร่ายเวทนิมิตรด้วยฤทธา | เปนถิ่นฐานธาราพนาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๕๖๒๏ แล้วสำแดงแผลงฤทธิ์อสุรินทร์ | ชำแรกแทรกแผ่นดินลงไปได้ |
สองกรกุมภัณฑ์ดันขึ้นไว้ | คอยเขม้นอยู่ในใต้ดิน |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๕๖๓๏ เมื่อนั้น | พระนารายน์สุริวงษ์ทรงศิลป์ |
ครั้นข้ามพลโยธาพานรินทร์ | ถึงสิ้นพร้อมกันทันใด |
จึ่งมีพระวาจาบัญชาการ | สั่งศรีหณุมานทหารใหญ่ |
ให้หาที่ตั้งชานพลับพลาไชย | ตามในแนวป่าพนาดร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๖๔๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานชาญสมร |
รับราชวาทีชลีกร | ก็บทจรดูไปในหิมวา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๕๖๕๏ มาประสบพบที่นฤมิตร | สำคัญจิตรคิดว่าเปนกลางป่า |
เห็นภูมิ์ฐานสอ้านสอาดตา | ทั้งพฤกษาท่าธารสำราญใจ |
เดินเที่ยวพินิจพิเคราะห์ดู | ชมเล่นเปนครู่แล้วสงไสย |
ไฉนหนึ่งนกกาคณาใน | ไม่จับจิกผลไม้บินไปมา |
ดีร้ายใต้พื้นปัถพี | จะมีหมู่อสุรีอยู่รักษา |
จึ่งฉวยชักตรีเพ็ชรฤทธา | แทงประดาลงไปในธรณี |
ฯ ๖ คำ ฯ คุกภาษ
๕๖๖๏ บัดนั้น | อสุราภาณุราชยักษี |
แลเห็นสาตราราวี | ก็หลบหนีอาวุธผุดขึ้นมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๕๖๗๏ เมื่อนั้น | หณุมานคอยเขม้นเห็นยักษา |
กระทืบบาทกราดกริ้วโกรธา | จู่โจมโถมถาเข้าฟาดฟัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๕๖๘๏ บัดนั้น | ภาณุราชป้องปัดผัดผัน |
แล่นโลดโดดรับขึ้นจับกัน | ถ้อยทีโรมรันไม่ครั่นคราม |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๕๖๙๏ เมื่อนั้น | หณุมานว่องไวในสนาม |
ชิงไชยได้ทีในสงคราม | ไล่กระชิดติดตามจะรวบรัด |
ตีต้องกุมภัณฑ์หันเห | ลูกลมสมคเนก้าวสกัด |
มือขวาคว้าขวางหางตะพัด | เกี่ยวกระหวัดมัดฉุดกระชากมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๕๗๐๏ เหยียบอกลงไว้แล้วไต่ถาม | มึงมีนามชื่อไรไอ้ยักษา |
นี่ใครใช้ให้ทำมารยา | จงบอกมาอย่าพรางจะวางวาย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๕๗๑๏ บัดนั้น | ภาณุราชอกสั่นขวัญหาย |
จึ่งร้องว่าข้านี้ก็ถึงตาย | จะบรรยายแต่ตามความจริงไป |
ข้าชื่อภาณุราชอสุรา | ทหารเจ้าลงกากรุงใหญ่ |
มีรับสั่งดำรัสตรัสใช้ | ให้นิมิตรมิ่งไม้ไว้ทั้งนี้ |
ถ้าพระรามข้ามพลโยธา | มาตั้งทัพพลับพลาลงที่นี่ |
จะพลิกคว่ำแผ่นพื้นปัถพี | ให้ไพรีจมลงในคงคา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๕๗๒๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรกริ้วโกรธเปนหนักหนา |
ฉุดกระชากลากเอาตัวมา | ก็ฆ่าภาณุราชเสียทันที |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๕๗๓๏ แล้วเอาตรีเพ็ชรฤทธิรอน | ฟันกายฟันกรยักษี |
ตัดเกล้าเอาเศียรอสุรี | ขุนกระบี่หิ้วเดินดำเนินมา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๕๗๔๏ ถึงที่เหล่าเขาแก้วมรกฏ | เห็นกว้างขวางหว่างบรรพตภูผา |
ทั้งถิ่นฐานสอ้านสอาดตา | น้ำท่าอาไศรยได้ครบครัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๕๗๕๏ เดินพินิจพิศดูถ้วนถี่ | พอเปนที่หยุดยั้งตั้งมั่น |
จึ่งปักไม้หมายกรุยเปนสำคัญ | แล้วหิ้วเศียรกุมภัณฑ์พามา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๕๗๖๏ ครั้นถึงจึ่งเคารพอภิวาท | ถวายเศียรภาณุราชยักษา |
แล้วทูลความตามพบอสุรา | จนเข่นฆ่ากุมภัณฑ์บรรไลย |
แล้วข้าดูภูผาแห่งหนึ่งนั้น | เห็นเหมาะมั่นที่ทางกว้างใหญ่ |
อุดมทั้งผลหมากรากไม้ | ทั้งน้ำท่าอาไศรยพร้อมมูล |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๕๗๗๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์นเรนทร์สูรย์ |
ฟังกระบี่ชี้แจงกราบทูล | ยิ่งเพิ่มภูลยินดีปรีดา |
จึ่งชำระสระสรงทรงเครื่อง | อร่ามเรืองระยับจับเวหา |
ถือพระแสงศรศรีลีลา | ให้ยาตราพหลมนตรี |
ฯ ๔ คำ ฯ รุกร้น
๕๗๘๏ ครั้นถึงเขาแก้วมรกฏ | พระทรงยศปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
จึ่งตรัสสั่งสุครีพเสนี | ให้โยธีตั้งทัพพลับพลาพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๕๗๙๏ บัดนั้น | สุครีพเชี่ยวชาญการขยัน |
รับสั่งบังคมแล้วจรจรัล | ออกมาเกณฑ์กันทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๕๘๐๏ ให้กระบินทร์นิลเอกฤทธิรอน | คุมพลพานรเปนนายใหญ่ |
เที่ยวตระเวนแว่นแคว้นแดนไพร | ระวังระไวไพรีจะมีมา |
กุมมิตันนั้นตั้งเปนกองนอก | สามหอกเจ็ดหอกออกเดินป่า |
ให้สอดแนมนั่งทางข้างลงกา | ตระเวนมาสมทบบรรจบกัน |
แล้วเอาเชือกชักปักน่าที่ | ริมคิรีราวป่าพนาสัณฑ์ |
ให้ก่อทำกำแพงสามชั้น | ด้านสกัดจดกันกับบรรพต |
บ้างไปปลูกตำหนักรักษา | ที่ประทับพลับพลาอลงกฎ |
ทำทั้งที่นั่งเย็นเปนหลั่นลด | แล้วหมดครบครันดังบัญชา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๕๘๑๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์องค์นารายน์นาถา |
ครั้นเย็นย่ำค่ำควรเวลา | ก็ขึ้นสู่พลับพลาพนาวัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๕๘๒๏ บัดนั้น | ฝ่ายอสูรคอยเหตุเข้มขัน |
เห็นกองทัพยับยั้งอยู่ที่นั้น | ก็ผายผันรีบมายังธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๕๘๓๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอภิวาท | แล้วทูลว่าภาณุราชยักษี |
มีวานรหนึ่งมาราวี | ไล่ล้างอสุรีมรณา |
บัดนี้เดินทัพมายับยั้ง | อยู่ยังมรกฏภูผา |
ตั้งมั่นกองทัพพลับพลา | จงทราบบาทาพระยายักษ์ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๘๔๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริวงษ์ทรงศักดิ |
ได้แจ้งการร่านร้อนฤไทยนัก | จึ่งสั่งเสนายักษ์ไปทันที |
ให้เร่งรัดจัดแจงโยธา | ขึ้นพิทักษ์รักษาทุกน่าที่ |
ประจำซองป้องกันไพรี | ทั้งทิวาราตรีอย่านอนใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๘๕๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งบังคมไหว้ |
ชลีลามาเกณฑ์พลไกร | จัดไว้เสร็จสรรพ์ดังบัญชา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ เจรจา
ช้า
๕๘๖๏ เมื่อนั้น | พระทรงภพลบโลกนาถา |
บรรธมตื่นฟื้นฟังสกุณา | แซ่ซ้องก้องป่าพนาดร |
พระนิ่งนึกตรึกตรองทำนองยุทธ | จะสัปรยุทธชิงไชยในสมร |
แต่ครวญใคร่รำพึงคนึงนอน | จนทินกรพวยพุ่งรุ่งเรือง |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๕๘๗๏ เสด็จจากแท่นสุวรรณบรรจง | มาเข้าที่โสรจสรงทรงเครื่อง |
จับพระแสงศรธนูคู่เมือง | ย่างเยื้องออกนั่งน่าพลับพลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๕๘๘๏ จึ่งมีมธุรศพจนาดถ์ | ตรัสประภาศการศึกปฤกษา |
ดูก่อนข้าเฝ้าเหล่าเสนา | แต่บรรดามานั่งพรั่งพร้อมกัน |
จึ่งเรายกโยธามาครั้งนี้ | ก็ได้ที่ตั้งทัพขับขัน |
ยังแต่จะสังหารผลาญกุมภัณฑ์ | จะผ่อนผันคิดอ่านประการใด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๘๙๏ บัดนั้น | ท้าวพระยาวานรน้อยใหญ่ |
ต่างทูลว่าข้าขอชิงไชย | สังหารให้ปลดปลงทั้งลงกา |
บ้างว่าอย่าให้ถึงรบรับ | จะไปจับทศภักตร์ยักษา |
ทั้งเผ่าพงษ์วงษ์วานอสุรา | มัดมาถวายภูวไนย |
บ้างว่าข้าขอสำแดงฤทธิ์ | นฤมิตรกายาให้โตใหญ่ |
จะช้อนเกาะลงกาพาไป | ทุ่มทิ้งเสียในทเลฦก |
ต่างคนต่างจะใคร่ได้หน้า | ชิงกันขันอาสาออกรบศึก |
ทั้งลิงเลวเล็กน้อยพลอยพูดฮึก | มิได้นึกย่อท้อต่อไพรี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๕๙๐๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี |
ฟังบรรดาวานรเสนี | ภูมีแย้มยิ้มอิ่มพระไทย |
จึ่งตรัสว่าถ้าทำเหมือนคำท่าน | เข้าหักหาญรณรงค์ก็คงได้ |
ถึงพวกพลทศภักตร์สักเท่าไร | จะบรรไลยไม่ทันพริบตา |
แต่เราคิดจะใคร่ไว้ยศ | ให้ปรากฎฦๅเลื่องไปเบื้องน่า |
ตรัสพลางทางผินภักตร์มา | สั่งพระยาสุครีพเสนี |
จงแต่งราชสาส์นส่งให้องคต | ไปถึงทศภักตร์ยักษี |
แม้นไม่ส่งองค์สีดานารี | จะสุดสิ้นชีวีวายปราณ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๕๙๑๏ บัดนั้น | สุครีพคำนับรับบรรหาร |
มาสั่งลิงอาลักษณ์พนักงาน | แต่งสารแล้วส่งให้องคต |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๕๙๒๏ บัดนั้น | ลูกพาลีมีศักดาปรากฎ |
รับสาราลาองค์พระทรงยศ | ออกมาน่าบรรพตแล้วเหาะไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๕๙๓๏ ครั้นถึงลงกาอาณาเขตร | จึ่งลงนอกนิเวศน์วังใหญ่ |
เดินโดยรัถยาคลาไคล | เข้าไปยังที่ทวารา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๕๙๔๏ บัดนั้น | นายประตูผู้พิทักษ์รักษา |
บ้างนอนนั่งตีกรับขับเสภา | สานตะกร้ากระเช้าเหลาไม้คาน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๕๙๕๏ พอเห็นกระบี่สีเขียว | ตนเดียวเดินมาดูกล้าหาญ |
ปิดประตูบูรีตะลีตะลาน | แล้วช่วยกันลั่นดานดันไว้ |
บ้างฮึกฮักทักถามว่าวานร | ถิ่นฐานนานดรท่านอยู่ไหน |
จะเข้าไปนิเวศน์ด้วยเหตุใด | ชื่อเรียงเสียงไรเร่งบอกความ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๙๖๏ เมื่อนั้น | องคตห้าวหาญชาญสนาม |
จึ่งว่ากูผู้เปนทูตพระราม | มีนามองคตขุนกระบี่ |
รับสั่งใช้ให้ถือสารมา | ถึงเจ้าลงกากรุงศรี |
จะว่าขานการเมืองแต่โดยดี | เปิดประตูบูรีจะเข้าไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๕๙๗๏ บัดนั้น | ขุนหมื่นนายประตูผู้ใหญ่ |
จึ่งห้ามปรามตามทำนองเสนาใน | ถึงเปนทูตก็ยังไม่ให้เข้ามา |
จงรอรั้งยั้งหยุดอยู่นั่นก่อน | ตามประเวณีนครยักษา |
เราจะไปทูลแถลงแจ้งกิจจา | ถ้าแม้นโปรดให้หาจะพาไป |
พลางกำชับพวกพหลพลมาร | อย่าให้ลิงหักหาญเข้ามาได้ |
สั่งแล้วลีลาคลาไคล | ตรงไปยังพระโรงรจนา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๕๙๘๏ ครั้นถึงจึ่งกราบบังคมทูล | ท้าวราพนาสูรยักษา |
บัดนี้มีทูตพระรามมา | ชื่อว่าองคตยศไกร |
จะเข้ามาว่าขานการธานี | ทำท่วงทีจ้วงจาบหยาบใหญ่ |
ข้ากลัวผิดปิดทวารวังไว้ | จงทราบใต้บทมาลย์พระผ่านฟ้า |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๕๙๙๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรทรงฟังไม่กังขา |
รู้ประจักษ์ตระหนักแน่ในวิญญา | ไอ้องคตบุตราพาลี |
ซึ่งจะมาว่าขานการเมือง | ก็ด้วยเรื่องสีดามารศรี |
แม้นจะให้เข้ามาเวลานี้ | น่าที่มันจะทำให้ช้ำใจ |
ถึงจะห้ามมิให้มาหาเรา | มันก็คงขืนเข้ามาจงได้ |
จำจะเอาดีต่อง้องอนไว้ | อย่าให้เคืองขัดอัธยา |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๖๐๐๏ ตริพลางทางสั่งสาวสุรางค์ | ไปบอกนางมณโฑเสนหา |
องคตลูกผัวเก่าของเขามา | อยู่ที่ทวาราเวียงไชย |
ให้แต่งเครื่องโภชนากระยาหาร | บรรจงจัดเครื่องอานออกไปให้ |
ปลอยโยนโอนอ่อนเอาใจ | เกลี้ยกล่อมไว้ในนัครา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๐๑๏ บัดนั้น | นางกำนัลนบนิ้วเหนือเกษา |
กราบกรานคลานคล้อยถอยออกมา | ไปปราสาทรัตนานางเทวี |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๖๐๒๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า | ก้มเกล้าประนตบทศรี |
ทูลแถลงแจ้งความตามคดี | โดยมีพระราชบัญชา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๖๐๓๏ เมื่อนั้น | นวลนางมณโฑเสนหา |
แจ้งว่าองคตโอรสมา | กัลยาตระหนกตกใจ |
ครั้งนี้ลงกาอาณาเขตร | จะเกิดเหตุเสี้ยนหนามสงครามใหญ่ |
ดำริห์พลางนางสั่งวิเสศใน | จงแต่งเครื่องไปให้อย่าได้ช้า |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๐๔๏ บัดนั้น | นางวิเสศรับสั่งพรั่งพร้อมหน้า |
ไปแต่งเครื่องเอมโอชโภชนา | แล้วยกมาถวายนางเทวี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๖๐๕๏ เมื่อนั้น | นางมณโฑโสภามารศรี |
จึ่งเลือกสรรบรรดานารี | แต่ล้วนลูกผู้ดีมียศ |
งามจริตรูปร่างเหมือนอย่างหุ่น | พึ่งแรกรุ่นสาว ๆ คราวกันหมด |
ให้เชิญเครื่องโภชนาสุธารศ | ไปประทานองคตยศไกร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๐๖๏ บัดนั้น | นางกำนัลรับสั่งบังคมไหว้ |
เชิญเครื่องครบกันทันใด | คลาไคลไปที่ทวารา |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๖๐๗๏ ครั้นถึงเปิดประตูบูรี | นางสาวศรีออกไปได้พร้อมหน้า |
เห็นองคตขุนกระบี่มีศักดา | ดูท่วงทีกิริยาเหมือนขัดเคือง |
ให้ขวยเขินขามจิตรคิดพรั่นพรั่น | นางกำนัลทรุดนั่งทั้งเครื่อง |
ทำหลบเลี่ยงเอียงอายชายชำเลือง | ยักเยื้องแยบคายให้ตายใจ |
แล้วว่าของคาวหวานพระมารดา | จัดแจงแต่งมาประทานให้ |
ทั้งลางสาดส้มสูกลูกลำไย | ผลไม้ต่าง ๆ ล้วนอย่างดี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๖๐๘๏ เมื่อนั้น | องคตตอบเหล่าสาวศรี |
เองกลับไปทูลพระชนนี | ว่าของนี้ให้มาเหมือนยาพิศม์ |
กูเปนข้าฝ่าลอองธุลีบาท | นารายน์ราชหริรักษ์จักรกฤษณ์ |
จะอาสากว่าจะสิ้นชีวิตร | พระมารดาอย่าคิดเปนห่วงไย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๐๙๏ บัดนั้น | นางกำนัลกัลยาอัชฌาไศรย |
จึ่งวอนว่าพาทีพิรี้พิไร | ขอพระองค์จงได้โปรดปราน |
ถึงเข้าปลาว่าไม่เสวยหมด | จงชิมรศลิ้มลองแต่ของหวาน |
พลางประนตน้อมนั่งตั้งเครื่องอาน | บ้างอยู่งานโบกปัดพัดวี |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๖๑๐๏ เมื่อนั้น | องคตคิดเคืองเหล่าสาวศรี |
จึ่งชี้หน้าว่าเหม่อีเหล่านี้ | เฝ้าเซ้าซี้เก้อเก้อเอออะไร |
น้อยฤๅดัดจริตกระบิดกระบวน | อย่ามากวนใจกูดูไม่ได้ |
ว่าพลางทางแกว่งพระขรรค์ไชย | ทำขัดใจจะประหาญผลาญชีวี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๑๑๏ บัดนั้น | นางสาวใช้ตัวสั่นขวัญหนี |
ฉวยคว้าเครื่องวิ่งทิ้งฝาชี | จิตรใจไม่มีอยู่กับกาย |
เหลียวหลังยังเห็นเงื้อพระขรรค์ | พัลวันวิ่งล้มผ้าห่มหาย |
หมู่มารหมื่นขุนมุลนาย | วุ่นวายวิ่งพัลวันไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๖๑๒๏ เมื่อนั้น | องคตเคืองขัดอัชฌาไศรย |
จึ่งว่าเหวยอสุราเสนาใน | เจ้ามึงว่ากะไรจะใคร่รู้ |
เปนไฉนไม่ออกมาบอกเลย | ไปนิ่งเฉยเสียหมดไม่อดสู |
ฤๅสุดสิ้นความคิดปิดประตู | ทำให้กูคอยท่าอยู่ช้านาน |
ว่าพลางทางแผลงสำแดงเดช | สเทือนทั่วนัคเรศราชฐาน |
กระทืบเท้าเผ่นโผนโจนทยาน | ถีบปราการด้วยกำลังวังชา |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๖๑๓๏ กำแพงพังทั้งประตูแตกหัก | เห็นพวกยักษ์ย่อท้อไม่รอหน้า |
จึ่งเข้าไปในพระโรงรัตนา | เห็นอำมาตย์มาตยาอยู่พร้อมเพรียง |
แกล้งเดินข้ามข้าเฝ้าเหล่ากุมภัณฑ์ | มาตรงแท่นทศกรรฐ์ไม่หลีกเลี่ยง |
เอาหางขดเข้ามั่งนั่งต่างเตียง | ให้สูงเพียงอาศน์องค์เจ้าลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๑๔๏ แล้วจึ่งร้องพูดจาว่ากล่าว | ดูก่อนท้าวสิบภักตร์ยักษา |
เราเปนทูตถือสารพระรามา | มิ่งมงกุฎอยุทธยาธานี |
เสด็จยกโยธามาพร้อมหมด | อยู่เขาแก้วมรกฏคิรีศรี |
ให้เราถือรับสั่งมาครั้งนี้ | ตามประเวณีกระษัตรา |
แม้นท่านทำความชั่วกลัวตาย | ไปถวายบังคมก้มเกษา |
จะรับแต่โฉมยงองค์สีดา | กลับไปอยุทธยาไม่ราวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๖๑๕๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี |
ได้ฟังคั่งแค้นดังอัคคี | อสุรีจึ่งดำรัสตรัสไป |
เหม่ไอ้สวาวานร | กูคิดว่าสัญจรมาแต่ไหน |
มิรู้ว่าองคตยศไกร | เหตุใดอหังกาพาที |
ไม่เกรงกูผู้เปนปิ่นกระษัตริย์ | พงษ์จัตุรภักตร์ยักษี |
ถึงเทพเทวัญจันทรี | อัญชลีกูจบภพไตร |
เองเปนแต่ทูตถือหนังสือสาร | ฮึกหาญเกินกูผู้เปนใหญ่ |
อนึ่งเล่าเข้ามาถึงวังใน | เหตุใดไม่ถวายบังคมคัล |
ฯ ๘ คำ ฯ
๖๑๖๏ เมื่อนั้น | องคตฤทธิแรงแขงขัน |
หัวร่อร่าว่าเหวยทศกรรฐ์ | จะเคารพอภิวันท์ด้วยอันใด |
เปนกระษัตริย์ขัติยาก็จริงอยู่ | แต่จะเปนเจ้ากูก็หาไม่ |
อย่าทำถือยศศักดิให้หนักไป | จะพากันบรรไลยทั้งเมืองมาร |
จงก้มเกล้าเคารพอภิวาท | รับรศพจนาดถ์ราชสาส์น |
ดึงดื้อถือตัวไม่ต้องการ | ว่าพลางทางอ่านอักษรไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
ช้า
๖๑๗๏ ในสารพระหริวงษ์ทรงสังข์ | สถิตย์ยังฝั่งกระเษียรสมุทใหญ่ |
ฤๅษีเทวาสุราไลย | เชิญให้อวตารมาผลาญยักษ์ |
ทรงพระนามราเมศมิ่งโมฬี | ผ่านศรีอยุทธยาอาณาจักร |
เสด็จออกสร้างพรตทศภักตร์ | ไปลักอรรคชายามาธานี |
พระจึ่งยกพลตามข้ามสมุท | มายั้งหยุดเหยียบนครของยักษี |
แม้นจะลุยลงกาสักนาที | ก็จะเปนภัศม์ธุลีแหลกลาญ |
แต่องค์พระทรงฤทธิ์คิดอนุกูล | จึ่งให้ทูตจำทูลราชสาส์น |
แม้นไม่ส่งองค์สีดาเยาวมาลย์ | จะสังหารชีวันให้บรรไลย |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๖๑๘๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์เคืองขัดอัชฌาไศรย |
ชี้นิ้วกริ้วโกรธตรัสไป | มึงเห็นใครลักสีดาพาที |
เมื่อนางอยู่ผู้เดียวในดงดอน | เห็นกูวอนให้พามากรุงศรี |
ถ้าเจ้าเองงอนง้อขอโดยดี | ก็จะมีอนุกูลไม่สูญใจ |
นี่กลับอวดอ้างฝีมือซื้อรู้ | ไปบอกเถิดว่ากูหาให้ไม่ |
ถึงพาพวกพลลิงมาชิงไชย | จะบรรไลยไม่ทันพริบตา |
อันเจ้ามึงนั้นกูก็รู้หมด | หลบลี้หนีพระพรตมาอยู่ป่า |
ให้ไปรบน้องครองภารา | แล้วจึ่งมาต่อสู้กับหมู่มาร |
ฯ ๘ คำ ฯ
๖๑๙๏ เมื่อนั้น | องคตตอบไปด้วยใจหาญ |
เหวยท้าวทศกรรฐ์อันธพาล | ช่างมุสาว่าขานทุกสิ่งอัน |
เมื่อครั้งพระหริรักษ์ออกแรมป่า | พระพรตติดตามมากรรแสงศัลย์ |
จึ่งเทวาดาบศประชุมกัน | ห้ามสองพระน้องนั้นให้กลับไป |
แต่พระหริวงษ์องค์พระลักษณ์ | จะมาฆ่าโคตรยักษ์ให้ตักไษย |
อย่าองอาจอวดกล้าชล่าใจ | จะพากันบรรไลยทั้งลงกา |
เหมือนยักษีตรีเศียรทูตขร | ก็ต้องศรสิ้นชีวังสังขาร์ |
ถ้าท่านทำซื้อรู้สู้ศักดา | น่าที่ชีวาจะวายปราณ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๖๒๐๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรศักดากล้าหาญ |
ยิ่งคั่งแค้นเคืองใจดังไฟกาล | จึ่งว่าไอ้ใจพาลเปนพวกกัน |
ช่างยกย่องสองมนุษย์ว่านารายน์ | ไม่มีอายไอ้โง่โมหันธ์ |
เขาฆ่าพ่อตัวตายวายชีวัน | กลับเห็นเปนธรรม์มาให้ใช้ |
มึงเปนลูกนางมณโฑโสภา | โดยจะว่าก็กูเปนผู้ใหญ่ |
ยังกลับหลู่ดูถูกทุกอย่างไป | อวดอิทธิ์ฤทธิไกรแต่รามา |
ทำไมกลับสังหารผลาญทูตขร | ฤทธิรอนอ่อนแอไม่แก่กล้า |
เปนยักษ์อยู่บานนอกขอกนา | ไม่เหมือนชาวลงกาธานี |
แต่ล้วนรู้เหาะเหินเดินอากาศ | ฤทธิรงค์องอาจดังราชสีห์ |
ซึ่งเจ้ามึงหมายมาจะราวี | เพราะจะถึงที่ตายวายชีวัน |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๖๒๑๏ เมื่อนั้น | องคตแสร้งหัวเราะเยาะหยัน |
แล้วร้องเย้ยเหวยท้าวทศกรรฐ์ | อย่าดึงดันอวดดีมีฝีมือ |
อันทูตขรตรีเศียรกากนา | มิใช่น้าพี่น้องของท่านฤๅ |
เขารู้ทุกบ้านเมืองเลื่องฦๅ | ยังพูดดื้อถือตัวไม่กลัวใคร |
ยังมิหนำซ้ำว่าพระราเมศ | ผลาญชีวิตรบิตุเรศตักไษย |
เนื้อความนี้แจ้งจบภพไตร | ว่าพระไทยทรงธรรม์กรุณา |
แต่หากบิดากูจะสู้ตาย | มิให้แผลพานกายเท่าเกษา |
จึ่งสั่งไว้ให้เรากับพระอาว์ | อยู่เปนข้าบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ |
นี่กลการอะไรที่ไหนเล่า | จึ่งเอามาว่าไม่น่าขัน |
เมื่อครั้งบิดากูยังอยู่นั้น | จับได้ไอ้กุมภัณฑ์ตนหนึ่งไป |
รูปร่างช่างเหมือนพระยายักษ์ | สิบเศียรสิบภักตร์เราจำได้ |
พระบิตุเรศผูกรัดมัดไว้ | กูพาไปลากเล่นเหมือนเช่นปู |
เอาเข้าเย็นเดนนางพระกำนัล | ให้กินวันละปั้นจึ่งรอดอยู่ |
ยังกลับอ้างอวดฝีมือซื้อรู้ | ลบหลู่บิดากูว่าไร |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๖๒๒๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์แค้นคั่งฟังไม่ได้ |
ลุกขึ้นกระทืบบาทตวาดไป | เหม่ไอ้ลิงไพรใจพาล |
ไม่เกรงกูผู้เปนปิ่นกระษัตริย์ | สารพัดหยาบช้าว่าขาน |
ตรัสพลางทางสั่งอำมาตย์มาร | จับประหารชีวันให้บรรไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๒๓๏ บัดนั้น | สี่อสูรรับสั่งบังคมไหว้ |
เข้าพรั่งพร้อมล้อมลิงชิงไชย | น่าที่นั่งตั้งใจประจัญบาน |
ได้ทีถาโถมเข้าโจมจับ | กลอกกลับแกล้วกล้าศักดาหาญ |
เงื้อง่าคทาธรรอนราญ | ต่อต้านตีผิดไล่ติดพัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๖๒๔๏ เมื่อนั้น | องคตฤทธิแรงแขงขัน |
ผู้เดียวเคี่ยวขับจับประจัญ | รับรองป้องกันกายา |
สองเท้าเหยียบสองอสุรินทร์ | กรกระบินทร์กุมกระบองสองยักษา |
เปลี่ยนผลัดปัดป้องไปมา | ย้ายท่าทำนองว่องไว |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๖๒๕๏ ลูกพาลีมีกำลังห้าวหาญ | ประจัญบานบันบุกรุกไล่ |
ขึ้นเหยียบยันฟันสี่เสนาใน | ล้มดิ้นสิ้นใจบรรไลยลาญ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๖๒๖๏ แล้วตบมือหัวเราะเยาะเย้ย | ว่าเหวยเจ้าลงกากล้าหาญ |
กูจะใคร่ได้เศียรของขุนมาร | ไปถวายพระอวตารผ่านฟ้า |
แต่ครั้งนี้มิได้มีอาญาสิทธิ์ | จึ่งจำใจไว้ชีวิตรยักษา |
ว่าพลางทางแผลงฤทธา | เหาะมากองทัพพลับพลาไชย |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๖๒๗๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า | ก้มเกล้าประนมบังคับไหว้ |
ทูลความตามยุบลแต่ต้นไป | ดังได้พูดจาราวี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๖๒๘๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี |
ได้ฟังคำขุนกระบินทร์ก็ยินดี | จึ่งมีมธุรศพจมาน |
อันความคิดฤทธิรงค์องคต | ก็ปรากฎแกล้วกล้าปรีชาหาญ |
เราใช้ไปได้เรื่องราชการ | แล้วซ้ำผลาญกุมภัณฑ์บรรไลย |
ทั้งมิได้เพลี่ยงพล้ำคำโต้ตอบ | เปนความชอบนักหนาจะหาไหน |
ตรัสแล้วลีลาคลาไคล | เข้าในแท่นที่ศรีไสยา |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๖๒๙๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
นิ่งนั่งคั่งแค้นแน่นอุรา | มันหยาบช้านี่กระไรไอ้องคต |
สังหารสี่เสนีแล้วมิหนำ | ทั้งถ้อยคำสำทับให้อัปรยศ |
จำจะคิดแก้แค้นแทนทด | ฆ่าเสียให้หมดทั้งทัพไชย |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๖๓๐๏ ว่าพลางทางตรัสกับเสนี | สงครามครั้งนี้เปนการใหญ่ |
จำจะทำแยบคายภายใน | ให้มีไชยลักษณ์รามด้วยความคิด |
อันฉัตรแก้วมณีที่คำนับ | อยู่สำหรับเมืองยักษ์ศักดิสิทธิ์ |
ยกขึ้นตั้งบังแสงพระอาทิตย์ | ให้มืดมิดเหมือนเวลาราตรี |
พวกศัตรูดูมาไม่เห็นเรา | ดังลับเงาเขาพระเมรุคิรีศรี |
ข้างพวกเราแลไปเห็นไพรี | ด้วยแสงแก้วมณีมีฤทธิไกร |
แต่ขอบฉัตรชั้นล่างกว้างกว่าโยชน์ | คนสักสองสามโกฏิจึ่งยกไหว |
เร่งระดมสมนอกสมใน | หามไปเขานินทกาลา |
ให้โหรดูฤกษ์งามยามปลอด | ยกขึ้นตั้งยังยอดภูผา |
จงเร่งรีบออกไปอย่าได้ช้า | ตรวจตราเกณฑ์กันให้ทันการ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๖๓๑๏ บัดนั้น | มโหทรคำนับรับบรรหาร |
มาสั่งเวรเกณฑ์ไพร่พลมาร | สับสนอลหม่านมี่ไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๖๓๒๏ ครั้นนายมุลขุนหมื่นมาพร้อมพรั่ง | ทั้งไพร่หลวงสมกำลังล่ำใหญ่ |
จึ่งให้หามฉัตรแก้วแววไว | ตรงไปยังนินทกาลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๖๓๓๏ ครั้นถึงจึ่งขึ้นบนยอดเขา | ให้ปักเสาเคียงคู่ที่ภูผา |
พอฤกษ์ดีตีฆ้องกลองสัญญา | อสุรายกฉัตรขึ้นบัดใจ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา รัว
๖๓๔๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริวงษ์เปนใหญ่ |
เห็นฉัตรตั้งบังแสงอโนไทย | สมหวังดังใจจินดา |
จึ่งตรัสชวนมณโฑเทวี | ทั้งนวลนางอัคคีเสนหา |
จะพาเจ้าไปที่ฉัตรรัตนา | ดูกองทัพพลับพลาพวกไพรี |
ว่าพลางต่างองค์ทรงเครื่อง | รุ่งเรืองจำรัสรัศมี |
แล้วนำนางย่างเยื้องจรลี | ฝูงกำนัลขันทีก็ตามมา |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ กลองโยน
ทองย่อน
๖๓๕๏ ครั้นถึงจึ่งขึ้นบนบรรพต | เลี้ยวลดเลียบเดินตามเนินผา |
สำราญรื่นร่มฉัตรรัตนา | อสุราผันแปรแลไป |
เห็นที่พลับพลาทองกองทัพ | คั่งคับนับแสนอสงไขย |
บอกมณโฑโสภายาใจ | เจ้าดูเล่นเปนไรนางเทวี |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๖๓๖๏ เมื่อนั้น | นวลนางมณโฑมเหษี |
ผันแปรแลไปเห็นไพรื | ตั้งที่ประทับพลับพลาไชย |
ทั้งพลลิงแลกลาดดาษดื่น | ดูดังคลื่นกลิ้งกลางทเลใหญ่ |
พวกชมภูพาลีมีฤทธิไกร | นางตกใจจึ่งทูลภัศดา |
การณรงค์สงครามครั้งนี้ | เห็นไพรีคึกคักหนักหนา |
จะเปนเสี้ยนศึกใหญ่ในลงกา | ผ่านฟ้าอย่าไว้วางพระไทย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๖๓๗๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรยิ้มย่องสนองไข |
สาวสวรรค์ขวัญตายาใจ | เจ้าจะกลัวมันไยกับไพริน |
พี่รุ่งเรืองฤทธาศักดาเดช | ปราบประเทศทิศใดก็ได้สิ้น |
มนุษย์กับลิงค่างอย่างยุงริ้น | จะมาบินเข้าไฟบรรไลยลาญ |
แล้วพานางเลียบเดินเนินศิงขร | ดูโยธาวานรนายทหาร |
กับทั้งเหล่าสาวสนมนงคราญ | ต่างสำราญรื่นเริงบรรเทิงใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๖๓๘๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
สถิตย์นั่งยังน่าพลับพลาไชย | แลไปมืดสิ้นทั้งดินฟ้า |
ฯ ๒ คำ ฯ
ลำหรุ่ม
๖๓๙๏ ไม่ประจักษ์แจ้งความถามพิเภก | เหตุใดเมฆหมอกมัวทั่วทิศา |
ฤๅราหูจู่จับสุริยา | ปลาดกว่าแต่ก่อนร่อนชะไร |
ฯ ๒ คำ ฯ
ร่าย
๖๔๐๏ บัดนั้น | พิเภกกราบก้มบังคมไหว้ |
จึ่งทูลความตามจริงทุกสิ่งไป | มิใช่สุริยุปราคา |
บัดนี้ทศกรรฐ์มันทำกล | ยกฉัตรบังบนพระเวหา |
อันฉัตรนี้มีเดชเดชา | แต่ครั้งพระบิดาข้าให้ไว้ |
แม้นข้าศึกติดเมืองเคืองขัด | ให้ยกฉัตรขึ้นตั้งบังสุริย์ใส |
จึ่งแต่งเหล่าทหารชาญไชย | ออกลุยไล่หักโหมโจมประจญ |
บัดนี้มืดมิดด้วยฤทธิฉัตร | ถ้ามีศึกสารพัดจะขัดสน |
ไม่ถึงเย็นเห็นยักษ์จักยกพล | มาประจญเข่นฆ่าราวี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๖๔๑๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์เรืองศรี |
ได้ฟังทูลแถลงแจ้งคดี | จึ่งมีมธุรศพจนา |
ดูก่อนท้าวพระยาพานรินทร์ | ทั้งขีดขินชมภูอยู่พร้อมหน้า |
ใครจะอาสาได้ไปลงกา | หักฉัตรอสุราเสียบัดนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๔๒๏ บัดนั้น | สุครีพประนตบทศรี |
จึ่งทูลพระหริรักษ์จักรี | ข้านี้จะขออาสาไป |
ล้างพิธีทศภักตร์หักฉัตร | ให้เปนภัศม์ธุลีลงจงได้ |
ขอพระอวตารชาญไชย | จงโปรดให้สมจิตรเจตนา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๔๓๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
ฟังคำขุนกระบี่มีศักดา | ผ่านฟ้าชื่นชมโสมนัศ |
จึ่งบัญชาว่าขอบใจสุครีพ | อย่าช้าการท่านรีบไปหักฉัตร |
จงแคล้วคลาศสาตราสารพัด | ให้อาสัตย์มอดม้วยด้วยฤทธา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๔๔๏ บัดนั้น | สุครีพรับพรอ่อนเกษา |
ก้มกรานคลานคล้อยถอยออกมา | หมายตรงลงกาแล้วเหาะไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๖๔๕๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นทศกรรฐ์ | ยืนอยู่ใต้ชั้นฉัตรใหญ่ |
กับมณโฑเทวีพี่สใภ้ | สาวสรรค์กำนัลในพร้อมพรัก |
ขุนกระบินทร์ยินดีปรีดา | จึ่งเหาะตรงลงมาที่ฉัตรปัก |
แสร้งตบมือหัวเราะเยาะยักษ์ | แล้วว่าเหวยทศภักตร์พาลา |
มาซุ่มยกฉัตรไชยอยู่ในกรุง | ไม่อาจออกรบพุ่งเหมือนปากว่า |
บัดนี้พระหริวงษ์ทรงศักดา | ให้กูมาตัดศีศะอสุรี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๖๔๖๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี |
เห็นสุครีพน้องพระยาพาลี | อสุรีคิดพรั่นหวั่นวิญญา |
แต่มานะกระษัตริย์ตรัสตวาด | เหวยไอ้ชาติลิงไพรใจกล้า |
ซึ่งกูไม่ไปสงครามกับรามา | เพราะมิให้ไพร่ฟ้าลำบากใจ |
จะนิ่งอยู่ดูเล่นตามสบาย | เจ้านายมึงจะทำอะไรได้ |
ซึ่งตัวเองอาสามาชิงไชย | จะต้องตัดหัวไว้เสียบประจาน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๖๔๗๏ เมื่อนั้น | สุครีพฟังคั่งแค้นดังเพลิงผลาญ |
จึ่งว่าเหวยทศกรรฐ์กุมภัณฑ์พาล | ทนงนึกฮึกหาญอหังกา |
ซึ่งกูรับอาสามาวันนี้ | จะตัดเกล้าเกษีของยักษา |
ว่าพลางแผลงอิทธิฤทธา | เข้าหักฉัตรอสุราระยำไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๖๔๘๏ แล้วแกว่งยอดฉัตรเยาะหัวเราะเล่น | ทำเปนกริ้วโกรธโลดไล่ |
ขู่ตะคอกหลอกนางกำนัลใน | คว้าไขว่ไล่กระชิดติดพัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๖๔๙๏ บัดนั้น | สาวสนมหนีลิงวิ่งตัวสั่น |
ล้มลุกหลีกหลบกระทบกัน | พัลวันแอบองค์เจ้าลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๖๕๐๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษา |
เปนห่วงด้วยสาวสรรค์กัลยา | แต่เหลียวหลังเหลียวหน้าราวี |
แขงใจรบรับจับประจัญ | ต่อแย้งแทงฟันกระบี่ศรี |
แกล้วกล้าถาโถมโจมตี | ถ้อยทีหนีไล่กันไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๖๕๑๏ เมื่อนั้น | สุครีพฤทธิแรงแขงกล้า |
โจมจับสัปรยุทธยุทธนา | ย้ายท่าทำนองว่องไว |
ได้ทีโถมแทงแพลงพลาด | ซ้ำพิฆาฏฟาดฟันกระชั้นไล่ |
ถีบถูกทศกรรฐ์กำนัลใน | ตกไศลล้มกลาดดาษดิน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๕๒๏ เห็นยักษีเสือกกลิ้งนิ่งนอน | กรรเจียกจรมงกุฎก็หลุดสิ้น |
จึ่งคีบด้วยเท้าขวาพานรินทร์ | ขุนกระบินทร์เย้ยเยาะเจ้าลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวรำ
๖๕๓๏ แล้วว่านี่แน่ดูรู้ฤๅไม่ | หัวของใครทศภักตร์ยักษา |
นี่หากไม่ได้อาญาสิทธิ์มา | กูจึ่งไว้ชีวาอสุรี |
จะเอาแต่มงกุฎไปถวาย | องค์พระนารายน์เรืองศรี |
ว่าพลางสำแดงแผลงฤทธี | ขุนกระบี่เหาะกลับไปพลับพลา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๖๕๔๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบกราน | องค์พระอวตารนาถา |
ทูลเรื่องรณรงค์ในลงกา | จนได้มงกุฎมาจากธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๖๕๕๏ เมื่อนั้น | พระราเมศทรงสวัสดิรัศมี |
จึ่งตรัสชมน้องพระยาพาลี | ท่านมีความชอบเราขอบใจ |
ไปหักฉัตรย่อยยับสัปรยุทธ | เอามงกุฎเจ้าลงกามาได้ |
ประกอบด้วยความคิดฤทธิไกร | ควรเปนทหารใหญ่ในพลับพลา |
ถ้าแม้นการณรงค์สงครามเสร็จ | จึ่งจะปูนบำเหน็จให้หนักหนา |
ตรัสพลางชวนพระอนุชา | เข้าพลับพลาสุวรรณทันที |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๖๕๖๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
สถิตย์แท่นไสยาในราตรี | อสุรีนิ่งนึกตรึกตรา |
ครั้งก่อนหณุมานผลาญเผาเมือง | ได้แค้นเคืองขายภักตร์หนักหนา |
ภายหลังยังไอ้องคตมา | พิฆาฏฆ่าทั้งสี่เสนีตาย |
ครั้งนี้สุครีพมันรีบรัด | มาหักฉัตรเสียได้ไม่เหมือนหมาย |
ถึงสามครั้งตั้งแต่จะอับอาย | ยิ่งคิดไปไม่สบายวิญญา |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๖๕๗๏ พอรุ่งรางพลางนึกลำฦกได้ | ถึงไวยราพยักษา |
ประกอบทั้งความคิดวิทยา | จะหามาสังหารผลาญไพรี |
ตริแล้วแต่งองค์ทรงเครื่อง | รุ่งเรืองรยับสลับสี |
จับพระแสงศรสิทธิ์ฤทธี | ออกมาที่ท้องพระโรงรจนา |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๖๕๘๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์ชัชวาลย์ | อำมาตย์มารเฝ้าแหนแน่นหนา |
มิได้ตรัสว่าขานการภารา | แต่ตรึกตราโกรธลิงจะชิงไชย |
จึ่งเรียกสองกุมารหลานเอก | นนยะวิกวายุเวกเข้ามาใกล้ |
แล้วว่าเจ้าจงพากันคลาไคล | ลงไปภาราบาดาล |
บอกให้ไวยราพรู้เหตุ | ว่าศึกติดนัคเรศราชฐาน |
ไพร่บ้านพลเมืองเคืองรำคาญ | ขอเชิญหลานรักมาช่วยราวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๖๕๙๏ บัดนั้น | นนยะวิกวายุเวกยักษี |
รับสั่งออกมาขึ้นพาชี | อสุรีรีบขับไปฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว เชิด
๖๖๐๏ ครั้นถึงนัคราบาดาล | ลงจากอาชาชาญผายผัน |
เข้าไปในท้องพระโรงคัล | อภิวันท์มอบเฝ้าเจ้าภารา |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๖๖๑๏ เมื่อนั้น | ไวยราพสิทธิศักดิยักษา |
สถิตย์เหนือแท่นแก้วแววฟ้า | พรั่งพร้อมท้าวพระยาเสนาใน |
ตรัสด้วยการนัคเรศนิเวศน์วัง | ที่ปรักหักพังให้ทำใหม่ |
ทั้งการฟ้องร้องฎีกาว่าไป | อย่าให้ราษฎรร้อนรำคาญ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๖๖๒๏ พอเห็นสองอสุรศักดิรู้จักหน้า | บุตรพระยาม้ารีศกำแหงหาญ |
จึ่งปราไสไต่ถามถึงเหตุการณ์ | นี่กุมารสองราออกมาไย |
พระเจ้ากรุงลงกาอาณาจักร | พระยายักษ์ยังสำราญฤๅไฉน |
ฤๅมีเหตุเภทพาลประการใด | จงบอกไปให้แจ้งประจักษ์ความ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๖๓๏ บัดนั้น | สองอสูรได้ฟังรับสั่งถาม |
จึ่งทูลว่าลงกาเกิดสงคราม | ด้วยลักษณ์รามพี่น้องสองมนุษย์ |
ได้ลิงค่างกลางไพรเปนไพร่พล | ทั้งพวกพ้องจองถนนข้ามสมุท |
มาประจญรณรงค์ยงยุทธ | ยังยั้งหยุดอยู่ริมภารา |
อันไพรีมีอำนาจอาจหาญ | อหังการเกินศักดิหนักหนา |
พระยามารจึ่งใช้ให้ข้ามา | เชิญเสด็จไปลงกาธานี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๖๖๔๏ เมื่อนั้น | ไวยราพสิทธิศักดิยักษี |
ฟังสองอสูรทูลคดี | อสุรีโกรธใจดังไฟกาล |
ชิชะมนุษย์กับลิงป่า | อ้างอวดศักดาว่ากล้าหาญ |
ไม่เกรงเจ้าลงกาพระยามาร | กูจะผลาญชีวันให้บรรไลย |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนา | เร่งตระเตรียมโยธาทัพใหญ่ |
กูจะยกพหลพลไกร | ไปชิงไชยช่วยณรงค์ในลงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๖๖๕๏ บัดนั้น | จิตรโกฏิเสนีมียศถา |
รับสั่งองค์อสุรีชลีลา | มาจัดแจงโยธาบาดาล |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ เจรจา
ยานี
๖๖๖๏ เกณฑ์ไพร่พลรบครบจำนวน | เลือกล้วนฤทธิแรงกำแหงหาญ |
กองน่าอสูรหมู่มาร | กุมคทาทยานยืนยัน |
ปีกซ้ายปีกขวาโยธาทัพ | ถือดาบดั้งคั่งคับแขงขัน |
กองหลวงเหล่าพหลพลกุมภัณฑ์ | ถือเกาทัณฑ์ธนูดูเปนทิว |
พวกกองหลังแบกปืนดื่นดาษ | เขนงคาดใส่กระสุนดินประสิว |
บ้างถือทวนธงชายปลายปลิว | แน่นนั่งตั้งตาริ้วรายไป |
สารวัดเที่ยวตรวจทุกหมวดหมาย | พรั่งพร้อมพลนิกายนายไพร่ |
แล้วเทียมราชรถแก้วแววไว | มาเทียบไว้คอยท่าเจ้าธานี |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๖๖๗๏ เมื่อนั้น | ไวยราพฤทธิไกรไชยศรี |
ครั้นพรั่งพร้อมไพร่พลมนตรี | มาโสรจสรงชลธีวารีรด |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๖๖๘๏ ทรงสุคนธารประทิ่นกลิ่นฟุ้ง | ปนปรุงน้ำดอกไม้ใสสด |
สนับเพลาเชิงงอนอ่อนชด | ภูษาลายก้านขดเขียนสุวรรณ |
ห้อยน่าผ้าทิพย์ทองแล่ง | ชายแครงเครือกระหนกผกผัน |
ฉลององค์เลื่อมลายพรายพรรณ | สวมเกราะแก้วกันสาตราวุธ |
ปั้นเหน่งเพ็ชรโพโรจโชติช่วง | ทับทรวงสอดซับประดับบุษย์ |
ทองกรเก้าคู่ชมพูนุท | แล้วสวมทรงมงกุฎกรรเจียกเพ็ชร |
สอดใส่ธำมรงค์ประจงจัด | ล้วนค่าเมืองเรืองจำรัสตรัจเตร็จ |
จับกล้องแก้วกุดั่นกัลเม็ด | ครั้นเสร็จเสด็จมาน่าพระลาน |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๖๖๙๏ พรั่งพร้อมทุกหมู่จัตุรงค์ | ทวนธงม้ารถคชสาร |
ขยายยกโยธาจากบาดาล | พลมารแห่แหนแน่นนัน |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว
โทน
๖๗๐๏ รถเอยรถทรง | เสียงกงก้องกึกพิฦกลั่น |
เทียมไกรสรสีห์สี่พัน | โลทันขับคว้างมากลางทัพ |
เครื่องสูงสองแถวแพรวพราย | อภิรุมชุมสายแทรกสลับ |
ทวนทองธงทิวปลิวรยับ | แตรสังข์คั่งคับฆ้องกลอง |
ม้าแซงแข่งขับเผ่นโผน | กระทืบโกลนแผงพะนังดังก้อง |
เสียงรถเสียงคชสารร้อง | เสียงฆ้องกระแตตีแซ่ไป |
เสียงโห่โยธาห้าแสน | พิภพแผ่นดินดาลสท้านไหว |
เร่งทัพขับพลสกลไกร | ขึ้นไปลงกาธานี |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๖๗๑๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดจัตุรงค์ | เสด็จลงจากรถมณีศรี |
ยุรยาตรนาดกรจรลี | เข้ามาที่ท้องพระโรงรจนา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๖๗๒๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
แลเห็นไวยราพนัดดา | เสด็จมาต้อนรับฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๖๗๓๏ จูงกรขึ้นนั่งบัลลังก์รัตน์ | ประคองหัดถ์โลมลูบหลานขวัญ |
แล้วปราไสไต่ถามถึงพงษ์พันธุ์ | ยังอยู่พร้อมมูลกันฤๅฉันใด |
ทั้งโฉมยงองค์ชนนีหลาน | ค่อยเปนศุขสำราญฤๅไฉน |
ลำฦกถึงนัดดาว่าจะไป | ก็จนใจปัจจามิตรมาติดเมือง |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๗๔๏ เมื่อนั้น | ไวยราพทูลความไปตามเรื่อง |
พระมารดาข้าบาทไม่ขัดเคือง | ทั้งบ้านเมืองมีศุขทุกเวลา |
ได้ทราบว่าข้าศึกมารบพุ่ง | พระเจ้าลุงตรัสใช้ให้ไปหา |
จึ่งรีบรัดจัดทัพแล้วยกมา | จะอาสารณรงค์ยงยุทธ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๗๕๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรยินดีเปนที่สุด |
จึ่งบอกว่าบัดนี้มีมนุษย์ | ชาวอยุทธยาธานี |
ได้พวกพลสวาพานรินทร์ | ทั้งชมภูขีดขินกระบี่ศรี |
จองถนนข้ามมาจะราวี | อยู่คิรีมรกฏรจนา |
ลุงจึ่งให้เชิญเจ้ามาด้วย | จะได้ช่วยตัดศึกปฤกษา |
สกดทัพจับองค์พระรามา | ไปสังหารชีวาเสียบาดาล |
ภายหลังเหล่ากระบี่รี้พล | ต่างตนจะแยกแตกฉาน |
ไม่พักออกหักโหมโรมราญ | ฤๅหลานจะเห็นเปนอย่างไร |
ฯ ๘ คำ ฯ
๖๗๖๏ เมื่อนั้น | ไวยราพกราบก้มบังคมไหว้ |
แล้วว่าอย่าปรารมร้อนฤไทย | จะให้ได้ดังจิตรบิตุลา |
แต่หลานรักจักกลับไปบาดาล | ทำการประกอบโอสถา |
แม้นสำเร็จเสร็จสรรพสัพยา | จะกลับมาคิดการราญรอน |
ลอบสกดหมดสิ้นทั้งกองทัพ | ให้ล้มหลับกลาดเกลื่อนเหมือนไม้ขอน |
ลักมนุษย์นายใหญ่ไปนคร | จะได้ต้มต่างสุกรแกล้มสุรา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๖๗๗๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสรวลสันต์หรรษา |
จึ่งว่าหลานนานไปนานมา | อยู่พูดจากันสักหน่อยจึ่งค่อยไป |
อันสงครามรามลักษณ์ที่เจ้ารับ | เหมือนเสร็จสรรพหมายชนะกะได้ |
ว่าพลางทางสั่งเสนาใน | ไปบอกให้วิเสศทำสำรับ |
กูจะเสวยกับพระหลาน | ทั้งเมไรยไชยบานให้เสร็จสรรพ |
แล้วเลี้ยงเหล่าอสุราโยธาทัพ | ตามอันดับน้อยใหญ่ไพร่ผู้ดี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๖๗๘๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งใส่เกษี |
ออกจากพระโรงคัลทันที | มาหมายบอกตามมีบัญชาการ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๖๗๙๏ บัดนั้น | พวกวิเสศสับสนอลหม่าน |
ช่วยกันจัดแจงแต่งเครื่องอาน | พแนงห่านหมูหันขยันดี |
เป็ดต้มทั้งตัวคั่วกะต่าย | พล่าควายแกงกวางช้างฉู่ฉี่ |
แล้วเลือกเหล้ากลั่นเข้มเต็มที | ใส่ขวดแก้วมณีตีตรา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๘๐๏ บัดนั้น | สาวสรรค์พนักงานซ้ายขวา |
ต่างแต่งประกวดอวดกายา | แล้วเชิญเครื่องเนื่องมาพระโรงไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๖๘๑๏ ครั้นถึงจึ่งค่อยคุกคลาน | ก้มกรานกิริยาอัชฌาไศรย |
ตั้งเครื่องถวายรายเรียงไป | แล้วนางในนบนอบหมอบกราน |
ลางนางบ้างเข้ารินสุรา | ถวายเจ้าลงกาศักดาหาญ |
แล้วรินให้ไวยราพขุนมาร | บ้างอยู่งานโบกปัดพัดวี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๖๘๒๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรเรืองศรี |
ชวนนัดดาดื่มซ้ำทำที | เสวยช้างฉู่ฉี่ชอบพระไทย |
ต่างถือตะเกียบทองจ้องจับ | แกล้มกับแกงเผ็ดเป็ดไก่ |
เสวยพลางทางพูดถึงชิงไชย | ฮึกฮักยักไหล่ไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เส้นเหล้า
๖๘๓๏ บัดนั้น | สาวสุรางค์นางบำเรอซ้ายขวา |
ครั้นเสวยเอมโอชโภชนา | ก็คลานมานอบนบอภิวันท์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
พระทอง
๖๘๔๏ จึ่งจับระบำรำถวาย | เยื้องกรายใส่จริตบิดผัน |
เคล้าคลอรอเรียงเคียงกัน | เชิงชั้นชายตาทำท่าทาง |
ซ้อนจังหวะประเท้าเคล่าคล่อง | เลี้ยวลอดสอดคล้องไปตามหว่าง |
เวียนรวันหันวงอยู่ตรงกลาง | กำนัลนางนารีปรีดา |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
ร่าย
๖๘๕๏ เมื่อนั้น | ไวยราพสิทธิศักดิยักษา |
เสวยพลางทางทอดทัศนา | ดูบรรดาสาวสุรางค์นางบำเรอ |
ทั้งเอวองค์อ้อนแอ้นแขนอ่อน | รำฟ้อนเต็มดีไม่มีเสมอ |
ดูพลางทางตรัสพูดเพ้อ | สำรวลเร่อร่าเริงบรรเทิงใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๖๘๖๏ บัดนั้น | วิเสศนอกแต่งสำรับไม่นับได้ |
บ้างใส่คานสาแหรกแบกหามไป | เลี้ยงพหลพลไกรทั้งไพร่นาย |
พวกเจ๊กเจ้ากระทรวงตวงสุรา | หามมาท้องสนามตามหมาย |
กรมวังตั้งตุ่มสุราราย | คอยแจกจ่ายโยธาบาดาล |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๖๘๗๏ บัดนั้น | พวกกองทัพสับสนอลหม่าน |
ชุมนุมนั่งตั้งกระพอกจอกจาน | รับประทานเหล้าเข้มเต็มตึง |
บ้างเห็นช้างเท่าหมูกูแล้วฤๅ | การฝีมือมวยดีไม่มีถึง |
บ้างอวดกล้าว่ากูจะสู้มึง | ลุกทลึ่งล้มปะทะปะกัน |
ลางพวกรำเต้นเปนนักเลง | ร้องเพลงไก่ป่าฮาสนั่น |
บ้างชักท่าชาตรีตีประชัน | เพื่อนกันตีกรับรับรักแร้ |
บ้างเดินเที่ยวเกี้ยววิเสศเรดย่า | พูดจากลอกฅออ้อแอ้ |
เข้าฉวยคว้าผ้าห่มขอชมแพร | เขาด่าทอกอแกเกะกะไป |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๖๘๘๏ เมื่อนั้น | ไวยราพนัดดาอัชฌาไศรย |
เสร็จเสวยไชยบานสำราญใจ | จึ่งกราบทูลท้าวไททศกรรฐ์ |
หลานรักจักลาไปทำการ | คิดสังหารรามาให้อาสัญ |
ว่าพลางทางถวายบังคมคัล | จรจรัลจากพระโรงรจนา |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๖๘๙๏ ครั้นถึงที่ประทับจัตุรงค์ | เสด็จทรงรถแก้วแววเวหา |
ขับพลชำแรกแทรกสุธา | เร่งทัพกลับมายังธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๖๙๐๏ ครั้นถึงท้ายภาราบาดาล | ที่เขาแก้วสุรการคิรีศรี |
จึ่งยับยั้งสั่งพัทราวี | จงปลูกโรงพิธีที่ร่มไทร |
เอาหัวผีมาวางต่างก้อนเส้า | ตั้งเตาโลหะกะทะใหญ่ |
หาเห็ดเมาเพลาโตงกโขลกไว้ | เราจะได้ปนปรุงหุงยา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๖๙๑๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกษา |
จึ่งเกณฑ์ไพร่ให้ตัดไม้มา | ปลูกมหาโรงราชพิธี |
บ้างเที่ยวเก็บโหรายาเมา | บ้างได้เพลาโตงกกะโหลกผี |
ทำก้อนเส้าเตาไฟไว้ดิบดี | ดังมีพระราชบัญชา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๖๙๒๏ เมื่อนั้น | ไวยราพฤทธิไกรใจกล้า |
ครั้นแล้วโรงพิธีก็ปรีดา | เสด็จมาโสรจสรงคงคาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๖๙๓๏ ชำระสระสนานน้ำกลั่น | ขัดสีฉวีวรรณผ่องใส |
ทรงสุคนธ์ปนปรุงจรุงใจ | ลูบไล้ภักตราพระยามาร |
จีบประจงทรงผ้าพื้นดำ | บงเฉียงสไบคร่ำน้ำว่าน |
สอดสายธุรำรัตน์ชัชวาลย์ | ชฎาธารห่อเกล้าเมาฬี |
ถือประคำสำหรับร่ายเวท | เอาเพศเปนพรหมฤๅษี |
ครั้นเสร็จสรรพจับกล้องแก้วมณี | เข้าสู่โรงพิธีทันใด |
ฯ ๖ คำ ฯ พราหมณ์เข้า
ชมตลาด
๖๙๔๏ จึ่งหยิบสรรพยามารคน | ปรุงปนลงกลางกะทะใหญ่ |
ย่างขึ้นบนบัลลังก์ที่ตั้งไว้ | ให้โหมไฟเรืองโรจโชตนา |
ยกพระหัดถ์มัสการเหนือเกษ | สำรวมกายร่ายพระเวทคาถา |
ครั้นถ้วนร้อยแปดจบครบตำรา | ก็เป่าลงตรงยาทันใด |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ เชิญ
ร่าย
๖๙๕๏ บังเกิดเปนรูปทรงอนงค์นาง | ขึ้นกลางโลหะกะทะใหญ่ |
ไม่ต้องตามตำหรับบังคับไว้ | ขัดใจฟาดฟันเสียทันที |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๖๙๖๏ แล้วรื้อนั่งระงับหลับเนตร | โอมอ่านพระเวทของยักษี |
ให้เปลวเพลิงโพลงกล้าอาหุดี | ก็เป่าลงตรงที่กะทะยา |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระสันนิบาต
๖๙๗๏ เปนสองเสือสู้ฟัดกัดกัน | ยืนยันอยู่ตรงภักตร์ยักษา |
ขัดใจไม่ต้องตามตำรา | พิฆาฏฆ่าเสือร้ายวายชนม์ |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๖๙๘๏ แล้วกลับหยุดยั้งตั้งสติ | ตามลัทธิครูสั่งไว้สามหน |
ประนมหัดถ์มัสการอ่านมนต์ | นิ่งบ่นบริกรรมซ้ำเป่าลง |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ ประทมไพร
๖๙๙๏ เดชะพระเวทอสุรี | บังเกิดเปนราชสีห์สมประสงค์ |
ทั้งสองสัตวสามารถอาจอง | ทยานยงยุทธรบขบกัน |
ไวยราพตบหัดถ์ฉัดฉาน | แสนสำราญสำรวลสรวลสันต์ |
จึ่งจับสองสิงหราชฟาดฟัน | กุมภัณฑ์ผ่าล้วงเอาดวงใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๐๐๏ แล้วประกอบกับสรรพยา | วางลงตรงน่าศิลาใหญ่ |
อ่านอาคมพรหมมานประทานไว้ | เศกโอสถบดไปมิได้ช้า |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๗๐๑๏ ครั้นทำสำเร็จเสร็จสรรพ | ตามตำหรับรู้หลักของยักษา |
กำเริบจิตรคิดคนองลองยา | ขยี้ทาเนื้อตัวทั่วไป |
เดชะพระเวทวิเศษขลัง | ก็กำบังรูปกายหายได้ |
แกล้งนั่งดูหมู่พหลพลไกร | ใครจะว่าอย่างไรทั้งไพร่นาย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๐๒๏ บัดนั้น | อสุรศักดิยักษ์มารทั้งหลาย |
ที่ล้อมวงระวังนั่งราย | ไม่เห็นนายตกใจกะไรเลย |
เที่ยวถามกันสับสนอลหม่าน | พระยามารหนีไปข้างไหนเหวย |
จะเล่นข้าท่าไรยังไม่เคย | ต่างก้มเงยแหงนชแง้แลไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๗๐๓๏ เมื่อนั้น | ไวยราพยินดีจะมีไหน |
ทรงพระแสงกล้องแก้วแววไว | เที่ยวไล่เคาะพหลพลกุมภัณฑ์ |
พลางร้องมาว่ากูอยู่นี่ | ไม่พอที่เที่ยวหาจ้าละหวั่น |
แล้วสรงน้ำสำหรับพิธีกรรม์ | ให้กุมภัณฑ์เห็นกายหายสงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๗๐๔๏ แล้วจึ่งดำรัสตรัสสั่ง | กูเจ็บหลังนั่งนานนักหนา |
จะเลิกทัพกลับคืนเข้าภารา | นิทราผ่อนพักเสียสักวัน |
พรุ่งนี้ค่ำจึ่งจะได้ไปสงคราม | จับพระรามมาฆ่าให้อาสัญ |
ว่าพลางทางขึ้นรถพลัน | ขับพหลพลขันธ์เข้าเวียงไชย |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๗๐๕๏ ครั้นถึงเกยลาน่าปราสาท | ลงจากราชรถทองผ่องใส |
พอสิ้นแสงสุริโยอโนไทย | ก็ตรงไปเข้าที่ศรีไสยา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
พัดชา
๗๐๖๏ เอนองค์ลงเหนือแท่นบรรธม | พร้อมสนมกรมในซ้ายขวา |
สำราญรื่นชื่นจิตรนิทรา | อสุราก็ระงับหลับไป |
ฯ ๒ คำ ฯ กล่อม
ร่าย
๗๐๗๏ ครั้นเวลาล่วงสามยามเศษ | บังเกิดเหตุอัศจรรย์ฝันใฝ่ |
ผวาตื่นฟื้นตระหนกตกใจ | แต่นิ่งนึกตรึกไตรไปมา |
พอรุ่งรางส่างแสงสุริยง | จึ่งชำระสระสรงทรงภูษา |
ประดับเครื่องเรืององค์อลงการ์ | เสด็จมาพระโรงคัลทันใด |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
สารถี
๗๐๘๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์ชัชวาลย์ | จึ่งเรียกโหราจารย์เข้ามาใกล้ |
แล้วบอกว่าราตรีนี้ไซ้ | เราฝันว่าแลไปในท้องฟ้า |
เห็นดาวดวงหนึ่งน้อยลอยเลื่อน | ขึ้นอยู่ตรงวงเดือนบนเวหา |
แล้วเปล่งแสงแจ้งแจ่มกระจ่างตา | พระจันทรานั้นลับดับดวงไป |
เท่านั้นก็ฟื้นตื่นสดุ้ง | พอย่ำรุ่งรู้สึกนึกสงไสย |
จะร้ายดีมีเหตุประการใด | อย่าเกรงใจแจ้งความตามตำรา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๗๐๙๏ บัดนั้น | ขุนโหรรับสั่งใส่เกษา |
ลงเลขไล่ขับนับนาฬิกา | แล้วเทียบกับชตาธานี |
พิเคราะห์ดูรู้ว่านิมิตรร้าย | จึ่งทูลทายพระยายักษี |
ซึ่งเดือนดับลับเมฆเมฆี | พระภูมีจะสวรรคาไลย |
อันดาวดวงช่วงโชติชัชวาลย์ | พระวงษ์ยักษ์จักได้ผ่านกรุงใหญ่ |
ข้าทูลความตามตำราว่าไว้ | จงทราบใต้บาทาฝ่าธุลี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๗๑๐๏ เมื่อนั้น | ไวยราพร้อนใจดังไฟจี้ |
จึ่งว่าวงษ์พงษาบรรดามี | อยู่ที่นี่พร้อมพรั่งทั้งนั้น |
พระโหราเร่งดูว่าผู้ใด | จะได้ผ่านกรุงไกรไอสวรรย์ |
ถ้าสงไสยไล่เลียงเอาคืนวัน | ดูกันเสียให้สิ้นกินใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๑๑๏ บัดนั้น | โหรารับสั่งบังคมไหว้ |
จึ่งถามปีเดือนวันเปนหลั่นไป | เอาขับไล่ฤกษ์ยามตามตำรา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๗๑๒๏ ก็รู้ว่าไวยวิกขุนมาร | จะได้ผ่านบ้านเมืองไปเบื้องน่า |
เห็นพร้อมกันมั่นคงไม่สงกา | จึ่งกราบทูลพระยาอสุรี |
อันไวยวิกวงษ์ของทรงเดช | พระราหูอยู่เมษราษี |
ทั้งได้ราชาโชคโยคเกณฑ์ดี | ถึงที่บำรุงกรุงบาดาล |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๑๓๏ เมื่อนั้น | ไวยราพฤทธิไกรใจหาญ |
ได้ฟังโหรเห็นจริงยิ่งรำคาญ | จึ่งแกล้งพาลพาโลโกรธา |
เหม่ไอ้ไวยวิกทรลักษณ์ | เสียแรงกูพิทักษ์รักษา |
ยังคิดร้ายหมายชิงเอาภารา | ไม่เจียมตัวชั่วช้าสารพัน |
ตรัสพลางทางสั่งเสนาใน | อันโทษไอ้ไวยวิกถึงอาสัญ |
ทั้งอีพิรากวนแม่มัน | เอาแยกกันตรากตรำจำไว้ |
ต่อกูได้พระรามลงมา | จึ่งจะฆ่าเสียด้วยให้ม้วยไหม้ |
สั่งแล้วลีลาคลาไคล | เข้าในแท่นสุวรรณบัลลังก์ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๗๑๔๏ บัดนั้น | อสุรีตรีพัทผู้รับสั่ง |
จึ่งออกมาที่ทิมริมวัง | แล้วทำดังบัญชาพระยามาร |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๗๑๕๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกทุกสถาน |
เสด็จออกพลับพลาว่าราชการ | เหล่าทหารนอบน้อมอยู่พร้อมพรัก |
ฯ ๒ คำ ฯ
แขกมอญ
๗๑๖๏ เมื่อเวลาราตรีจะมีเหตุ | จึ่งอาเภทลางใหญ่ให้ประจักษ์ |
ลมกระพือพาผงมาตรงภักตร์ | เวียนเปนทักขิณวัฏพัดขึ้นไป |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
ร่าย
๗๑๗๏ เห็นประหลาดหลากอยู่ไม่รู้ความ | จึ่งตรัสถามโหราอัชฌาไศรย |
อันลมลางอย่างนี้จะมีไภย | ฤๅจะให้ศรีสวัสดิวัฒนา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๗๑๘๏ บัดนั้น | พิเภกรับสั่งใส่เกษา |
พิเคราะห์ดูรู้ความตามตำรา | จึ่งทูลว่าวันนี้จะมีไภย |
ไวยราพเรืองฤทธิ์มันคิดอ่าน | จะทำการสกดทัพให้หลับใหล |
แล้วจะลอบลักพระองค์ลงไป | ถึงในนัคราบาดาล |
แต่ไม่ถึงย่อยยับอับจน | คงจะพ้นพระเคราะห์เพราะทหาร |
จะปรากฎยศถากฤษฎาการ | ด้วยได้ผลาญกุมภัณฑ์บรรไลย |
แต่ราตรีนี้เคราะห์ยังกวดขัน | จงป้องกันพระองค์ให้จงได้ |
ต่อล่วงสามยามเศษแล้วเมื่อใด | จะพ้นไภยผาศุกทุกเวลา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๗๑๙๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
ได้ฟังทูลแถลงแจ้งกิจจา | จึ่งตรัสสั่งพระยาสุครีพพลัน |
เร่งตรวจตราว่ากล่าวบ่าวไพร่ | ให้นั่งยามตามไฟให้กวดขัน |
กองตระเวนเกณฑ์เดินประจบกัน | รอบสุวรรณพลับพลาพนาลี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๒๐๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษี |
บังคมสมเด็จพระจักรี | มาตรวจตราน่าที่ทุกแห่งไป |
สั่งกำชับกำชาพลากร | อย่าเห็นแก่หลับนอนทั้งนายไพร่ |
ผลัดกันนั่งยามตามไฟ | ทั้งชั้นนอกชั้นในจงตรวจตรา |
แล้วมานั่งเก้าอี้ที่ประตู | คอยดูมิให้ใครแปลกหน้า |
แต่คำแหงหณุมานชาญศักดา | อยู่ที่ทวาราพลับพลาไชย |
พวกกระบี่มีมงกุฎทั้งนั้น | เปนนายรายกันกำกับไพร่ |
พอเพลาสายัณห์ลงไรไร | ให้ตีเกราะเคาะไม้เปนโกลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
สมิงทองมอญ
๗๒๑๏ เมื่อนั้น | พระยาไวยราพยักษา |
ครั้นพลบค่ำย่ำแสงสุริยา | เสียงฟ้าร้องต้องตำราฤกษ์ดี |
จึ่งแต่งองค์ทรงเครื่องคร่ำว่าน | แก้วประพาฬเพ็ชรรัตน์จำรัสศรี |
ครั้นเสร็จสรรพจับกล้องแก้วมณี | แทรกพื้นปัถพีขึ้นมาพลัน |
ฯ ๔ คำ ฯ กราว
ร่าย
๗๒๒๏ ครั้นถึงกองทัพพลับพลา | เห็นโยธาเที่ยวตรวจกวดขัน |
ทั้งแสงเพลิงโพลงสว่างเหมือนกลางวัน | กุมภัณฑ์ค่อยย่องมองเข้าไป |
ฯ ๒ คำ ฯ
๗๒๓๏ บัดนั้น | ลิงเหล่าพหลพลไพร่ |
ทุกน่าที่ตีฆ้องกองไฟ | ตระเวนไปรอบทัพพลับพลา |
บ้างเรียกเพื่อนเตือนว่าใครอย่าหลับ | อยู่คอยจับไวยราพยักษา |
สารวัดนายหมวดเที่ยวตรวจตรา | ใครหลับตาโบยตีมี่ไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๗๒๔๏ เมื่อนั้น | ไวยราพฤทธาอัชฌาไศรย |
ยืนแฝงฟังลิงกริ่งใจ | เอะไฉนมันรู้ว่ากูมา |
อย่าเลยจะแสร้งจำแลงตน | เข้าปลอมพลพวกกระบี่ดีกว่า |
จะได้ยินกับหูรู้กับตา | อสุราคิดพลางทางแปลงกาย |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๗๒๕๏ เปนกระบี่พีพ่วงทลวงวิ่ง | เข้าปลอมปนพลลิงทั้งหลาย |
แกล้งทำเทียมหมื่นขุนมุลนาย | ถือหวายเที่ยวหวดตรวจตรา |
เห็นกระบี่ที่เปนนายประตู | คอยชูคบส่องมองดูหน้า |
ตกใจไม่เคยก็เลยมา | ละล้าละลังระวังระไว |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๒๖๏ บัดนั้น | โยธาวานรน้อยใหญ่ |
เดินตระเวนวงเลี้ยวเที่ยวไป | มิได้หยุดพักตักเตือนกัน |
บ้างว่าขอพอสามยามปลาย | จะสิ้นเคราะห์พระนารายน์รังสรรค์ |
แต่ยามสองยามค่ำนี้สำคัญ | เราป้องกันไปจนพ้นเวลา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๗๒๗๏ เมื่อนั้น | ไวยราพฤทธิแรงแขงกล้า |
ได้ยินลิงเหล่านั้นจำนรรจา | อสุรารู้แท้แน่นอน |
จำจะต่องถ่ายเทด้วยเล่ห์กล | ให้ลิงพลพวกมนุษย์หยุดหย่อน |
คิดแล้วเลี้ยววงเข้าดงดอน | เปนยักษ์แผลงฤทธิรอนรเห็จมา |
ฯ ๔ คำ ฯ รัว เชิด
๗๒๘๏ ครั้นถึงจึ่งลงเขาโสลาศ | องอาจยืนอยู่ยอดภูผา |
กวัดแกว่งกล้องแก้วแววฟ้า | สว่างดังดาราประกายพฤกษ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ กระบองกัน
๗๒๙๏ บัดนั้น | พวกวานรสับสนอยู่จนดึก |
เห็นแสงกล้องร้องบอกกันอึกทึก | ดาวประกายพฤกษ์ขึ้นโน่นแล้ว |
บ้างเงยแหงนชแง้แลดูฟ้า | บ้างพลอยว่าแสงทองก็ผ่องแผ้ว |
สิ้นพระเคราะห์ภูวนารถคลาศแคล้ว | ร้องไชโยพ่อแก้วเกรียวไป |
แล้วต่างตนหยุดหย่อนผ่อนกำลัง | ลงนั่งเล่นเอนหลังเอนไหล่ |
บางพวกก็ยังนั่งผิงไฟ | มิได้ตรวจตราว่ากล่าวกัน |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๗๓๐๏ เมื่อนั้น | ไวยราพฤทธิแรงแขงขัน |
ครั้นเสร็จแกว่งกล้องแก้วแพรวพรัน | กุมภัณฑ์เหาะกลับมาฉับไว |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๗๓๑๏ ครั้นถึงจึ่งลงริมพลับพลา | จะเห็นเดินตรวจตราก็หาไม่ |
ทั้งห่างเสียงตีเกราะเคาะไม้ | ดีใจสมถวิลจินดา |
จึ่งเดินด้อมอ้อมขึ้นข้างเหนือลม | นบนิ้วประนมเหนือเกษา |
อ่านอาคมขลังบังนิทรา | แล้วเทยาใส่กล้องส่องเป่าไป |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ เชิดฉิ่ง
๗๓๒๏ ต้องพวกพหลพลลิง | หลับกลิ้งกลางทรายทั้งนายไพร่ |
ค่อยย่องยาวก้าวข้ามพลไกร | ล่วงเข้าไปได้ในประตู |
ฯ ๒ คำ ฯ
๗๓๓๏ เห็นพลับพลาฝากระดานทวารบัง | หณุมานยังนั่งระวังอยู่ |
จึ่งเทยาใส่กล้องมองเมียงดู | แล้วเป่าลิงเผือกผู้ผอยหลับไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๗๓๔๏ ค่อยจดจ้องย่องข้ามหณุมาน | เสดาะดานทวาราเข้ามาได้ |
เห็นองค์พระอวตารชาญไชย | บรรธมหลับอยู่ในที่ไสยา |
พินิจดูรู้แน่ว่าพระราม | สมความมุ่งมาดปราถนา |
เข้าอุ้มองค์ลงจากชานพลับพลา | แทรกสุธาหมายมุ่งมากรุงไกร |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๗๓๕๏ ถึงพิภพภาราบาดาล | จึ่งสั่งมารมหาเสนาใหญ่ |
จงเร่งพามนุษย์นี้ไป | ใส่กรงเหล็กไว้ในดงตาล |
เกณฑ์ไพร่ให้พิทักษ์รักษา | ดูกำชับกำชาว่าขาน |
แล้วเอากะทะมาน่าพระลาน | ตั้งต้มชลธารเตรียมไว้ |
ให้อีพิรากวนอสุรี | ตักน้ำเติมที่กะทะใหญ่ |
ต่อรุ่งรางส่างแสงอโนไทย | จะต้มไอ้ไวยวิกกับรามา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๗๓๖๏ สั่งกำชับสรรพเสร็จสำเร็จการ | ขุนมารเกษมสันต์หรรษา |
จึ่งเสด็จลีลาศยาตรา | เข้าที่แท่นไสยาผาศุกใจ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๗๓๗๏ บัดนั้น | เสนาข้าเฝ้าน้อยใหญ่ |
เสด็จขึ้นแล้วหามพระรามไป | ใส่ในกรงขังดังบัญชา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๗๓๘๏ บัดนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า |
ครั้นลมพัดต้องกายคลายฤทธา | ก็ลืมตาตื่นตระหนกตกใจ |
แลดูประตูเปิดเปนช่อง | เห็นแต่ที่แท่นทองผ่องใส |
ไม่เห็นพระหริวงษ์ทรงไชย | จึ่งเข้าไปปลุกพระอนุชา |
ทั้งพิเภกพวกกระบี่มีมงกุฎ | ต่างจุดคบวิ่งมาพร้อมหน้า |
แล้วแยกกันดั้นด้นค้นคว้า | ไม่พบพานผ่านฟ้าก็ตกใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๗๓๙๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์แสนโศกศัลย์ไม่กลั้นได้ |
ลำฦกถึงเชษฐาโศกาไลย | สอื้นไห้ครวญคร่ำรำพรรณ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
โอ้
๗๔๐๏ โอ้สงสารผ่านฟ้านิจาเอ๋ย | พระไม่เคยวิโยคโศกศัลย์ |
ต้องตกถึงมือมารชาญฉกรรจ์ | น่าที่ชีวันจะบรรไลย |
เสียแรงน้องระวังนั่งอยู่ด้วย | ควรฤๅไม่ช่วยพระองค์ได้ |
เสียแรงเลี้ยงเหล่าทหารชาญไชย | ให้มีไภยถึงองค์พระทรงธรรม์ |
น้องไม่ขออยู่จะสู้ม้วย | ตายด้วยภูวไนยไปสวรรค์ |
ร่ำพลางโศกาจาบัลย์ | พลขันธ์ไพร่นายฟายน้ำตา |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๗๔๑๏ บัดนั้น | พิเภกพระยายักษา |
จึ่งบังคมสมเด็จพระอนุชา | แล้วทูลว่าอย่าทรงโศกาไลย |
อันองค์พระจักรีสี่กร | จะม้วยมรณ์มรณานั้นหาไม่ |
ขอให้แต่งทหารชาญไชย | ตามไปภาราบาดาล |
สังหารไวยราพที่หยาบคาย | ให้วอดวายชีวังสังขาร |
เชิญเสด็จองค์พระอวตาร | มาสถานที่ประทับพลับพลา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๗๔๒๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ทรงฟังไม่กังขา |
ค่อยเคลื่อนคลายวายโศกโศกา | จึ่งสั่งวายุบุตรวุฒิไกร |
ท่านรีบตามอสุราไปบาดาล | สังหารผลาญยักษ์ให้ตักไษย |
เชิญเสด็จพระองค์ทรงไชย | ขึ้นมาในเวลาราตรี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๔๓๏ บัดนั้น | หณุมานรับสั่งใส่เกษี |
แต่ยังไม่รู้แห่งแจ้งคดี | จึ่งพาทีถามพิเภกโหรา |
ซักไซ้ได้ความแจ้งประจักษ์ | บังคมลาพระลักษณ์ขนิษฐา |
แผลงฤทธิ์ชำแรกแทรกสุธา | ตรงไปภาราบาดาล |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๗๔๔๏ ถึงตำบลต้นทางกลางไพร | เห็นยุงเท่าแม่ไก่กองด่าน |
เปนกลุ่ม ๆ กลุ้มพงดงดาน | ออกบินต้านต่อสู้เปนหมู่มุง |
ขุนกระบี่ตีตบรบรับ | กระโจมจับพิฆาฏฟาดผลุง |
ว่องไวไล่ขยี้บี้ยุง | รบพุ่งหักด่านราญรอน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๗๔๕๏ ครั้นเห็นยุงวอดวายกระจายหนี | ขุนกระบี่มิได้หยุดหย่อน |
หมายทิศบุรพาพนาดร | รีบร้อนไปตามมรคา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๗๔๖๏ ถึงที่ด่านกั้นชั้นกลาง | แลเห็นช้างยืนเยี่ยมเทียมเวหา |
โก่งหางกางหูฮึดมา | แทงถลาไล่เลี้ยวเรี่ยวแรง |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๗๔๗๏ ลูกพระพายโผนจับสัปรยุทธ | ทยานยุดหักฅอข้อแขง |
เปลี่ยนท่าง่าพระขรรค์ฟันแทง | เลือดแดงเปนสาดขาดใจตาย |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๗๔๘๏ ครั้นเสร็จสังหารผลาญช้าง | จึ่งดูทางสำคัญมั่นหมาย |
กำหนดจำคำพิเภกบรรยาย | ลูกพระพายรีบมาในราตรี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๗๔๙๏ ถึงสระหนึ่งน้ำใสใหญ่กว้าง | มีบัวใหญ่ในกลางสระศรี |
ประกอบกอโกมลจงกลนี | ขุนกระบี่ยืนพินิจพิศดู |
ฯ ๒ คำ ฯ
๗๕๐๏ บัดนั้น | มัจฉาณุซึ่งรักษาสระอยู่ |
เห็นลิงใหญ่ใจหมายว่าศัตรู | ก็โบกหางวางวู่แหวกมา |
ทยานขึ้นยืนขวางทางไว้ | แล้วว่าเหวยลิงใหญ่ใจกล้า |
ไวยราพให้เราเฝ้าคงคา | รักษาด่านกั้นอยู่ชั้นใน |
ตัวท่านอาจอุกรุกราน | จะข้ามด่านไปตำบลหนไหน |
ไม่รู้ว่าชีวันจะบรรไลย | จงเร่งกลับคืนไปอย่าได้ช้า |
ฯ ๖ คำ ฯ
๗๕๑๏ เมื่อนั้น | ลูกพระพายเพ่งพิศคิดกังขา |
วานรนี้มีหางเหมือนอย่างปลา | พูดจาองอาจประหลาดใจ |
จึ่งร้องมาว่าเหวยไอ้ลิงเล็ก | จะเจียมตัวว่าเด็กก็หาไม่ |
มึงอย่ามาขวางทางไว้ | กูจะไปภาราบาดาล |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๕๒๏ บัดนั้น | มัจฉาณุโกรธใจดังไฟผลาญ |
จึ่งว่าเหวยลิงใหญ่ใจพาล | ไม่รู้จักพระกาลทำหาญฮึก |
ถึงตัวเราเปนเด็กดังเหล็กเพ็ชร | ไม่ขามเข็ดศักดาข้าศึก |
จะชิงไชยให้รู้จักสำนึก | พลางสอึกเข้าประหารราญรอน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๕๓๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานชาญสมร |
รบรับจับกุมตลุมบอน | เห็นข้ออ่อนอุ่นใจไล่สำทับ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๗๕๔๏ บัดนั้น | มัจฉาณุโลดโผนโจนจับ |
ตัวเล็กเลี่ยงหลบรบรับ | เคี่ยวขับขบกัดฟัดยี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๗๕๕๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานชาญไชยศรี |
ไล่ตระหลบรบรุกคลุกคลี | เหยียบขยี้ยุดสนัดฟัดฟาดไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๗๕๖๏ เห็นลิงเล็กไม่ลื้นยืนหัวร่อ | กลับผัดเจ้าฬ่อจะให้ไล่ |
วายุบุตรหยุดหย่อนอ่อนใจ | พลางดำริห์ตริไตรในวิญญา |
ไอ้วานรตัวนี้กระจิริด | แต่มีฤทธิ์กว่ายักษ์หนักหนา |
ดูรูปกายคล้ายเราทั้งกายา | ฤๅว่าพงษ์เผ่าไม่เข้าใจ |
คิดพลางทางว่าเหวยวานร | บิดรมารดาอยู่หาไหน |
นามวงษ์พงษ์ประยูรอย่างไร | เหตุใดมีหางเหมือนอย่างปลา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๗๕๗๏ บัดนั้น | มัจฉาณุนิ่งฟังไม่กังขา |
คิดถึงคำมารดรซึ่งสอนมา | ว่าบิดาเปนกระบี่มีฤทธิ์ |
ทรงกุณฑลขนเพ็ชรมาไลย | ดูลิงใหญ่ตนนี้ไม่มีผิด |
ฤๅแล้วจะเปนเหมือนเช่นคิด | สงไสยจิตรจึ่งแถลงแจ้งกิจจา |
เราชื่อมัจฉาณุอายุอ่อน | มารดรชื่อสุพรรณมัจฉา |
ไวยราพรักใคร่ไปเอามา | ให้เราเฝ้ารักษาสระนี้ |
บิตุเรศนั้นฤๅชื่อหณุมาน | เปนทหารพระรามเรืองศรี |
จะขอถามลิงใหญ่ไพรี | ท่านนี้มีนามกรใด |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๗๕๘๏ เมื่อนั้น | หณุมานฟังแจ้งแถลงไข |
รู้ว่าบุตรสุดสวาดิเพียงขาดใจ | จึ่งเข้าใกล้กล่าวคำรำพรรณ |
เราฤๅคือคำแหงหณุมาน | ยอดทหารพระนารายน์รังสรรค์ |
เมื่อมัจฉาชนนีเจ้ามีครรภ์ | ก็จากกันกับบิดาได้ห้าปี |
บัดนี้ไอ้ไวยราพทำหยาบคาย | ไปลอบลักพระนารายน์มากรุงศรี |
พ่อจะตามไปประหารผลาญชีวี | เจ้าช่วยชี้ทางให้ไคลคลา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๗๕๙๏ บัดนั้น | มัจฉาณุกุมารหาญกล้า |
ได้ฟังยังรแวงแคลงวิญญา | จึ่งร้องว่าเหม่ไม่เกรงใจกัน |
โอหังตั้งตัวว่าเปนพ่อ | น่าหัวร่อนี่กระไรช่างไม่ขัน |
ถ้าท่านหาวให้เปนดาวเดือนตวัน | เห็นสำคัญจึ่งจะว่าบิดาเรา |
นี่ถามไถ่ได้ความกระจ่างแจ้ง | มาเศกแสร้งมุสาว่าเปล่าเปล่า |
หากเห็นเปนผู้ใหญ่ไม่ใจเบา | หาไม่เราจะว่าบ้างอย่างนั้น |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๗๖๐๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรฤทธิแรงแขงขัน |
เห็นมัจฉาณุยังดุดัน | จึ่งรับขวัญลูกยาแล้วว่าไป |
เจ้าอย่าเพ่อเคืองขุ่นวุ่นวาย | พ่อจะทำให้หายสงไสย |
ว่าพลางแผลงอิทธิ์ฤทธิไกร | หาวให้เห็นเหมือนเดือนตวัน |
ฯ ๔ คำ ฯ คุกภาษ
๗๖๑๏ บัดนั้น | มัจฉาณุเห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
สารภาพกราบบาทบิดาพลัน | พลางรำพรรณขอษมาพาที |
ลูกนี้มิได้แจ้งเหตุ | ว่าเปนองค์บิตุเรศเรืองศรี |
ได้จ้วงจาบหยาบช้าราวี | ขออย่ามีเวราแก่ข้าไป |
นิจาเอ๋ยอาภัพอัปรลักษณ์ | จะรู้จักบิดาก็หาไม่ |
ว่าพลางครวญคร่ำร่ำไร | สอึกสอื้นไห้ไปมา |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๗๖๒๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรสุดแสนเสนหา |
เข้ากอดจูบลูบหลังลูกยา | แก้วตาอย่าลห้อยน้อยใจ |
ด้วยสองข้างต่างคนต่างอยู่ | พ่อลูกจึ่งหารู้จักกันไม่ |
ซึ่งหยาบช้าว่าขานประการใด | ก็มิได้ถือโทษโกรธลูกรัก |
แต่ครั้งนี้มีธุระร้อนอก | คิดวิตกถึงองค์พระทรงศักดิ |
เจ้าเปนบุตรบิดาสามิภักดิ | ช่วยบอกทางเมืองยักษ์อย่าอำพราง |
ฯ ๖ คำ ฯ
๗๖๓๏ บัดนั้น | มัจฉาณุถือสัตย์ขัดขวาง |
จะบอกออกมิได้แต่ไม่พราง | ดำริห์พลางทางตอบคำบิดา |
แม้นลูกนี้ชี้บอกหนทางให้ | ก็เหมือนไม่รู้จักคุณยักษา |
หนทางใดบิตุรงค์ลงมา | อย่าหยุดยั้งตั้งหน้าไปทางนั้น |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๗๖๔๏ เมื่อนั้น | หณุมานหาญกล้าปัญญาขยัน |
คเนนึกตรึกดูก็รู้พลัน | จึ่งรับขวัญลูกน้อยกลอยใจ |
ค่อยอยู่เถิดบิดาจะลาก่อน | การร้อนหนักหนาช้าไม่ได้ |
แล้วหักก้านบุษบงลงทันใด | แทรกไปด้วยกำลังวังชา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๗๖๕๏ ถึงด่านกั้นชั้นสี่มีกำแพง | ประตูศิลาแลงปิดแน่นหนา |
จึ่งเผ่นโผนโจนถีบด้วยบาทา | ทวาราหักโค่นไม่ทนทาน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๗๖๖๏ บัดนั้น | พวกยักษ์รักษาประตูด่าน |
เห็นลิงเข้ามาได้ในปราการ | ต่างตนอลหม่านเข้าจับกุม |
บ้างฉวยได้ดาบหอกกลอกแกว่ง | เข้าทิ่มแทงฟันฟาดกลาดกลุ้ม |
ทั้งน่าหลังล้อมกระทบรบรุม | เปนกลุ่มกลุ่มกลุ้มกลัดสกัดสแกง |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๗๖๗๏ เมื่อนั้น | ลูกพระพายห้าวหาญชาญกำแหง |
ต่อสู้ผู้เดียวเรี่ยวแรง | ไม่พลาดแพลงรบรับจับประจัญ |
เผ่นขึ้นยืนทยานเหยียบบ่า | ชิงสาตราป้องปัดผัดผัน |
ชักตรีเพ็ชรแกว่งแทงฟัน | ต้องกุมภัณฑ์ล้มตายกระจายไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๗๖๘๏ ครั้นเสร็จสังหารมารม้วยมรณ์ | จะหยุดหย่อนอยู่ช้าก็หาไม่ |
สำแดงแผลงอิทธิ์ฤทธิไกร | รีบไปเมืองยักษ์ด้วยศักดา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๗๖๙๏ ครั้นถึงนัคเรศเขตรสถาน | เห็นประตูหมู่มารอยู่รักษา |
จึ่งคิดว่าจะตรงเข้าค้นคว้า | มันเห็นหน้าก็จะตื่นครื้นครึก |
ด้วยพระหริวงษ์ทรงไชย | ยังอยู่ในอาญาข้าศึก |
ค่อยด้อมเดินดูไปดังใจนึก | พอพบสระน้ำฦกริมกำแพง |
เห็นยักษามาตักอยู่ขวักไขว่ | จึ่งแอบไม้มองฟังนั่งฟุบแฝง |
ได้ยินเสียงเอียงหูคอยตะแคง | จะใคร่แจ้งเรื่องราวข่าวคำ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๗๗๐๏ เมื่อนั้น | นวลนางพิรากวนครวญคร่ำ |
ด้วยลูกเต้าเข้าติดในเวรจำ | ตัวก็ต้องตักน้ำดำเนินมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
โอ้
๗๗๑๏ ครั้นถึงสระสิ้นกำลังลงนั่งหยุด | คิดถึงบุตรบ่นพลางเหมือนอย่างบ้า |
โอ้ว่าไวยวิกของแม่อา | เมื่อโทษาไม่ผิดสักนิดเลย |
มันจะให้ไปต้มกับพระราม | ต้องตายตามเขาแล้วลูกแก้วเอ๋ย |
ทั้งถูกขื่อคาตรวนล้วนไม่เคย | กะไรเลยทำได้ไม่ปรานี |
แม้นลูกยาข้าตายจะตายด้วย | ไม่ขออยู่สู้ม้วยไปเมืองผี |
ยิ่งคิดยิ่งแค้นแสนทวี | นางนั่งตีทรวงซ้ำร่ำไร |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๗๗๒๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรได้ยินสิ้นสงไสย |
จึ่งออกจากสุมทุมพุ่มไม้ | เข้าไปใกล้กัลยาแล้วพาที |
ลูกชายยายฤๅเราขอถาม | จะต้องต้มด้วยพระรามเรืองศรี |
จงบอกแจ้งกิจจาอย่าโศกี | อันเรานี้มาตามพระรามา |
มันจำไว้ที่ไหนจะใคร่พบ | แล้วจะรบสังหารผลาญยักษา |
ทั้งลูกชายยายจะพ้นมรณา | อย่าอยู่ช้าพาเราเข้าไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
๗๗๓๏ เมื่อนั้น | พิรากวนจึ่งแจ้งแถลงไข |
อันพระรามนายท่านนั้นไซ้ | เขาใส่กรงเหล็กไว้ในดงตาล |
ไวยวิกลูกยาของข้านี้ | ติดอยู่ที่ในทิมริมราชฐาน |
แต่ที่จะพาเจ้าเข้าเมืองมาร | เราเห็นการเกินตัวกลัวนัก |
ด้วยนายทวารามีตราชู | ชั่งดูมิได้ให้เบาหนัก |
ถึงจะคิดเหาะข้ามกำแพงยักษ์ | ก็ต้องจักรกรดนั้นบรรไลย |
สารพัดขัดขวางอยู่อย่างนี้ | ขุนกระบี่จงคิดแก้ไข |
ถ้าเห็นดีแล้วข้าจะพาไป | แต่ว่าอย่าให้เสียการ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๗๗๔๏ เมื่อนั้น | หณุมานแจ้งจิตรจึ่งคิดอ่าน |
แล้วตอบคำโฉมยงนงคราญ | พอแก้ได้ดอกการแต่เพียงนี้ |
เราจะแสร้งแปลงกายเปนใยบัว | มิให้ยักษ์เห็นตัวทั้งกรุงศรี |
ติดสไบไปกับนางเทวี | จะไม่มีใครระแวงแคลงใจ |
เมื่อถึงประตูตราชูชั่ง | เขาว่าเอียงเถียงมั่งก็จะได้ |
ไม่เห็นเนื้อเห็นตัวกลัวมันไย | จะทำได้ฤๅไม่ได้ให้ว่ามา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๗๗๕๏ ครั้นนางยักษ์ยอมจิตรเหมือนคิดอ่าน | หณุมานแปลงกายร่ายคาถา |
เปนยองใยไม่เห็นกายา | ติดสไบไปบนบ่านารี |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๗๗๖๏ เมื่อนั้น | นางพิรากวนยักษี |
เห็นฤทธิ์ขุนกระบินทร์ก็ยินดี | ลงตักน้ำแล้วลีลามา |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๗๗๗๏ บัดนั้น | นายประตูผู้พิทักษ์รักษา |
จึ่งให้นางพิรากวนกัลยา | ขึ้นตราชูชั่งดังทุกคราว |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๗๗๘๏ คันชั่งนางหนักก็หักผาง | นายประตูรูต่างตาขาว |
เข้าจับตัวนางยักษ์ชักหวายยาว | ว่ากล่าวคุกคามถามซัก |
ตัวเอาสิ่งใดใส่ซ่อนมา | จึ่งหนักตราชูยนตร์จนหัก |
จงบอกความตามจริงอย่าเยื้องยัก | ต่างคึกคักขู่รู่ดูที |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๗๗๙๏ เมื่อนั้น | พิรากวนขึ้นเสียงเถียงอึงมี่ |
เมื่อตราชูอยู่มากว่าร้อยปี | ไม่ดีเดาะหักจักโทษใคร |
มารุมขู่กูเล่นเห็นตกยาก | เหมือนหนึ่งน้ำท่วมปากไม่เถียงได้ |
มันจะฆ่าจะฟันฉันใด | กูก็ไม่ขอตัวกลัวตาย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๘๐๏ บัดนั้น | นายประตูตันจิตรคิดหมาย |
ถึงชั่วดีพี่น้องของเจ้านาย | ไม่ถือคำหยาบคายนางนงลักษณ์ |
ทั้งคิดว่าตราชูก็เก่าแก่ | มันเปนแต่สบเคราะห์เดาะหัก |
แล้วนางเถียงถูกรบอบชอบนัก | พวกยักษ์นายประตูดูตากัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๘๑๏ เมื่อนั้น | พิรากวนลิ้นลมคมสัน |
เถียงพลางนางรีบจรจรัล | เข้าในปราการกั้นทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๗๘๒๏ ถึงเกยช้างข้างชลาน่าพระลาน | หณุมานก็กลับเปนลิงใหญ่ |
นางยินดีชี้แจงให้แจ้งใจ | ไวยราพอยู่ในปราสาทนี้ |
โอรสเราเขาไว้ริมนิเวศน์ | หว่างประตูวิเศษไชยศรี |
โน่นดงต้นตาลรายท้ายบุรี | คือที่เขาจำพระรามา |
จงแก้ไขให้เสร็จสำเร็จคิด | แล้วโปรดด้วยช่วยชีวิตรลูกข้า |
อย่าให้ม้วยมอดรอดชีวา | เหมือนคำมั่นสัญญาเจ้าว่าไว้ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๗๘๓๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
รับคำอสุรีด้วยดีใจ | แล้วหมายไม้มุ่งตรงมาดงตาล |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๗๘๔๏ ครั้นถึงเห็นหมู่อสุรา | ตรวจตราสับสนอลหม่าน |
จึ่งแฝงกายร่ายเวทวิชาการ | สกดมารหมู่พหลพลไกร |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๗๘๕๏ บัดนั้น | พวกอสูรนับร้อยน้อยใหญ่ |
ผลัดกันนอนนั่งรวังรไว | ตีฆ้องกลองไฟเที่ยวไตรตรา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๗๘๖๏ ครั้นต้องเวทมนต์หณุมาน | ให้ซาบซ่านสยองพองเกษา |
ต่างตนล้มหลับกับสุธา | บ้างพูดจาลเมอเพ้อพึม |
ฯ ๒ คำ ฯ
๗๘๗๏ เมื่อนั้น | ลูกพระพายได้ยินกรนกระหึม |
จึ่งแฝงเงาเข้าไปตามไม้ครึ้ม | เสียงงึมงึมชโงกมองแล้วย่องมา |
ฯ ๒ คำ ฯ คุกภาษ
๗๘๘๏ จึ่งเห็นสมเด็จพระหริวงษ์ | บรรธมหลับอยู่ในกรงยักษา |
วายุบุตรทรุดลงตรงบาทา | โศการ่ำรักพระจักรี |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้
๗๘๙๏ โอ้ว่าพระองค์ทรงเดช | มีพระคุณอุ่นเกษกระบี่ศรี |
มาเสื่อมฤทธิ์เสียรู้อสุรี | เสียทีเลี้ยงทหารชาญไชย |
เมื่อรู้ว่าข้าศึกจะลอบลัก | แต่เท่านี้มิรักษาได้ |
จนกุมภัณฑ์มันพาภูวไนย | มาลำบากยากไร้ทรมาน |
นิจาเอ๋ยเคยบรรธมทิพอาศน์ | มาไสยาสน์กลางกรงน่าสงสาร |
ร่ำพลางทางก้มลงกราบกราน | หณุมานสอื้นไห้ไปมา |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๗๙๐๏ ครั้นส่างโศกสำแดงแผลงฤทธิรงค์ | เข้าแหกกรงเหล็กใหญ่ยักษา |
สอดกรช้อนองค์พระจักรา | ขึ้นใส่บ่าแบกออกนอกนคร |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๗๙๑๏ ครั้นถึงคิรีวันบรรพต | จึ่งเลื่อนลดลอยลงตรงศิงขร |
เห็นที่แท่นแผ่นผาน่านอน | ดังบรรจ์ฐรณ์ทิพรัตน์ชัชวาลย์ |
จึ่งวางองค์ทรงธรรม์ให้บรรธม | ระรื่นร่มรังใหญ่ไพรสาณฑ์ |
ประกาศฝากเทพไทในดงดาน | แล้วกราบกรานลากลับมาฉับไว |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๗๙๒๏ ครั้นถึงปราสาทไชยไวยราพ | แผลงศักดาอานุภาพแผ่นดินไหว |
ถีบบานบัญชรบังพังเข้าไป | แล้วร้องว่าเหวยไอ้ใจพาล |
ไปลักพระหริวงษ์ลงมา | ไม่รู้ว่าชีวังจะสังขาร |
อันตัวกูผู้ชื่อหณุมาน | เปนทหารตามมาจะฆ่ายักษ์ |
ชีวิตรมึงวันนี้ไม่มีรอด | ยังนอนกอดเมียหลับอัปรลักษณ์ |
ว่าพลางทางทำคึกคัก | หยาบช้าท้ายักษ์ให้โกรธา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๗๙๓๏ เมื่อนั้น | ไวยราพรู้สึกนึกกังขา |
จับพระขรรค์เคยทรงตรงออกมา | ถึงชาลาพอลิงวิ่งเข้ารบ |
อสุรีตีรันฟันฟอน | วานรปลิ้นปลอกหลอกหลบ |
กระทืบบาทหวาดไหวไตรภพ | ประจัญจับรับรบกันกลางแปลง |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๗๙๔๏ เมื่อนั้น | หณุมานต้านต่อข้อแขง |
ไล่กระชิดติดพันฟันแทง | เรี่ยวแรงรอนรันประจัญตี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๗๙๕๏ เมื่อนั้น | ไวยราพยับย่อยไม่ถอยหนี |
แกว่งพระขรรค์ฟันลิงหลายที | เห็นกระบี่ยืนยงคงอาวุธ |
ให้เหนื่อยเหน็ดเข็ดฤทธิ์คิดมายา | หวังจะฬ่อลวงฆ่าวายุบุตร |
จึ่งว่าเหวยลิงขาวบ่าวมนุษย์ | เรายงยุทธไม่แพ้ชนะกัน |
จะรบทางธรรมยุทธสุจริต | ให้ฦๅยศทศทิศสรวงสวรรค์ |
เอาตาลสามต้นตบิดติดพัน | แล้วผลัดกันตีคนละสามที |
ท่านก็เปนชาติทหารชาญไชย | จงตริไตรดูเถิดกระบี่ศรี |
ซึ่งคำมั่นสัญญาว่าทั้งนี้ | จะเห็นดีฤๅไรให้ว่ามา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๗๙๖๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานหาญกล้า |
ทำคึกคักคั้นคำซ้ำสัญญา | นี่แกล้งว่าลวงลิงฤๅจริงใจ |
กระนั้นตัวเรานี้จะตีก่อน | สามตึงจึงจะนอนลงให้ |
เอาฤๅอสุราว่าอย่างไร | จะได้ไปตบิดติดต้นตาล |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๙๗๏ เมื่อนั้น | ไวยราพฤทธากล้าหาญ |
จึ่งตอบคำกำแหงหณุมาน | อันตัวท่านอวดกล้ามาแต่ไกล |
ต้องให้เราเจ้าของพระนคร | ตีก่อนสามตึงจึ่งจะได้ |
ซึ่งกลัวว่าไม่จริงกริ่งใจ | เราจะให้ความสัตย์ปัฏิญาณ |
ถ้ากลับถ้อยคืนคำทำอุบาย | ให้ต้องสายสุนีบาตฟาดสังหาร |
เพียงสามทีถ้าไม่บรรไลยลาญ | จะทอดองค์ลงให้ท่านทำเรา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๗๙๘๏ เมื่อนั้น | ขุนกระบี่ดีใจใครจะเท่า |
จึ่งแกล้งร้องตอบความตามลำเนา | ท่านเลือกเอาเปรียบกันสัญญา |
แต่หากได้ปฏิญาณสาบาลตัว | ครั้นมิรับจะว่ากลัวยักษา |
จะตีก่อนก็ถอนต้นตาลมา | จะนอนให้อสุราดังว่าไว้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๗๙๙๏ เมื่อนั้น | ไวยราพยินดีจะมีไหน |
จึ่งสำแดงแผลงอิทธิ์ฤทธิไกร | เข้าถอนต้นตาลใหญ่มิได้ช้า |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๘๐๐๏ ได้สามต้นตีเกลียวเรี่ยวแรง | กวัดแกว่งต่างตะบองแล้วร้องว่า |
เหวยคำแหงหณุมานชาญศักดา | จงเข้ามาสู่กรรมคว่ำลง |
ฯ ๒ คำ ฯ
๘๐๑๏ เมื่อนั้น | หณุมานอ่านเวทเศกฝุ่นผง |
เอาทาตัวทั่วตนทนคง | แล้วนอนลงกวักเรียกอสุรา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๘๐๒๏ เมื่อนั้น | ไวยราพลองกำลังตั้งท่า |
เงือดเงื้อตะบองตาลทยานมา | ตีวานรซ้ำร่ำลงไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๘๐๓๏ เมื่อนั้น | หณุมานไม่ลื้นยืนขึ้นได้ |
จึ่งว่านอนลงมั่งไอ้จังไร | ยื่นตะบองมาให้กูดีดี |
แม้นรักตัวกลัวตายวายปราณ | จงกราบกรานประนตบทศรี |
จึ่งจะได้ให้ทานชีวี | ถ้าแม้นตีสามตึงมึงก็ตาย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๘๐๔๏ เมื่อนั้น | ไวยราพประหวั่นขวัญหาย |
แล้วกลั้นจิตรคิดมานะนึกอาย | ลูกผู้ชายตายไหนก็ตายไป |
ดำริห์พลางทางว่าเหวยไอ้ลิง | ทำเย่อหยิ่งอย่างกูสู้ไม่ได้ |
ถึงมาทแม้นม้วยชีวันบรรไลย | กูก็ไม่อยากของ้องอน |
ซึ่งสัญญาว่าไว้จะให้ตี | ไม่พาทีกลับกลอกหลอกหลอน |
ว่าพลางทางยื่นคทาธร | แล้วลงนอนให้มั่งดังสัญญา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๘๐๕๏ เมื่อนั้น | ลูกพระพายร่ายตะบองเงื้อง่า |
ยืนเขย่งเยื้องโผนโจนมา | สังเกตตาตีรันลงทันที |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๘๐๖๏ สามตึงตาลหักยักษ์ตาย | ลูกพระพายแค้นขัดตัดเกษี |
เสร็จแล้วหิ้วศีศะอสุรี | เข้าสู่ที่ท้องพระโรงรจนา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๘๐๗๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์ชัชวาลย์ | พวกยักษ์มารข้าเฝ้าก็เข้าหา |
จึ่งสั่งให้ถอดไวยวิกมา | มอบแสนสวรรยาธานี |
แล้วตั้งให้ลูกยามัจฉาณุ | ช่วยบำรุบำรุงกรุงศรี |
เปนฝ่ายน่าว่าขานการบุรี | แทนที่กระษัตริย์ขัติยา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๘๐๘๏ ครั้นจัดแจงสำเร็จเสร็จการ | หณุมานหิ้วเศียรยักษา |
พาเหาะละลิ่วปลิวฟ้า | ตรงมาคิรีวันทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๘๐๙๏ ครั้นถึงจึ่งลงเหลี่ยมศิงขร | เห็นภูธรไสยาศน์ไม่หวาดไหว |
ค่อยสอดกรช้อนองค์พระทรงไชย | เหาะละลิ่วปลิวไปในราตรี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๘๑๐๏ ครั้นถึงกองทัพพลับพลา | พอเพลารุ่งแจ้งแสงสี |
ค่อยวางพระหริรักษ์จักรี | ลงเหนือที่แท่นแก้วแพรวพรัน |
แล้วผินหน้ามาเคารพอภิวาท | พระอนุชาธิราชรังสรรค์ |
ถวายเศียรอสุราอาธรรม์ | รำพรรณทูลแถลงแจ้งกิจจา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๘๑๑๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
ครั้นรุ่งรางส่างเวทวิทยา | ผ่านฟ้าฟื้นองค์ดำรงกาย |
เห็นเสนาวานรกับน้องรัก | มาอยู่พรักพร้อมกันไม่ทันสาย |
มิได้รู้เหตุผลต้นปลาย | จึ่งภิปรายถามพระอนุชา |
เมื่อคืนนี้พิเภกว่าพวกยักษ์ | จะลอบลักเราไปไกลหนักหนา |
บัดนี้สุริยนพ้นเวลา | เห็นผิดคำโหราที่ว่าไว้ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๘๑๒๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์กราบก้มบังคมไหว้ |
จึ่งทูลพระหริวงษ์ทรงไชย | เมื่อคืนนี้มีไวยราพมา |
ลักพระองค์ลงไปถึงบาดาล | หากคำแหงหณุมานออกอาสา |
ตามไปผลาญมารม้วยมรณา | เชิญเสด็จกลับมาพลับพลาไชย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๘๑๓๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
ได้ฟังน้องนึกตระหนกตกพระไทย | จึ่งถามไถ่คำแหงหณุมาน |
ท่านตามเรามาได้ไม่ทันรุ่ง | ช่างรบพุ่งเร็วนักหักหาญ |
ฤๅพิภพภาราบาดาล | ไม่มีด่านรับรองป้องกัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๘๑๔๏ บัดนั้น | วายุบุตรบรรยายเมื่อผายผัน |
เมื่อรบยักษ์หักด่านถึงสี่ชั้น | จนได้องค์ทรงธรรม์มาพลับพลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๘๑๕๏ ครั้นแล้วบังคมก้มกราบ | ถวายเศียรไวยราพยักษา |
พลางทูลแกลงแจ้งกิจจา | ศีศะเจ้าภาราบาดาล |
ฯ ๒ คำ ฯ
๘๑๖๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน |
จึ่งดำรัสตรัสกับหณุมาน | อันความชอบของท่านเปนพ้นไป |
อุส่าห์สู้สงครามตามติด | เหมือนช่วยชุบชีวิตรเราไว้ได้ |
แม้นเสร็จศึกสมหวังดังใจ | จะเศกให้ผ่านศรีอยุทธยา |
แล้วถอดทิพธำมรงค์ทรงประทาน | ให้คำแหงหณุมานต่อหัดถา |
ชวนพระลักษณ์ลีลาศยาตรา | เสด็จมาแท่นรัตน์ชัชวาลย์ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๘๑๗๏ บัดนั้น | ตรีพัทเมฆนาศนายทหาร |
ครั้นไวยราพตายวายปราณ | ก็หนีจากบาดาลแดนไตร |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๘๑๘๏ ครั้นถึงพิภพลงกา | พอเพลาสายแสงสุริย์ใส |
ทั้งสองเสนาก็คลาไคล | เข้าในที่เฝ้าเจ้าธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๘๑๙๏ เคารพอภิวาทบาทมูล | แล้วกราบทูลทศภักตร์ยักษี |
ไวยราพนัดดาฝ่าธุลี | เมื่อคืนนี้ยามเศษเสด็จมา |
จับพระรามไปได้ใส่กรงขัง | จะต้มทั้งไวยวิกวงษา |
หณุมานตามไปในภารา | สังหารพระนัดดาชีวาวาย |
แล้วตั้งให้ไวยวิกว่าขาน | ราชการแผ่นดินสิ้นทั้งหลาย |
แต่ตัวมันนั้นพามนุษย์นาย | ผันผายกลับมาในราตรี |
ข้าไม่ยอมน้อมนบคบค้า | จึ่งหนีมาพึ่งบาทบทศรี |
ขอพระองค์ทรงธรรม์พันปี | ภูมีจงทราบบาทมูล |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๘๒๐๏ เมื่อนั้น | พระปิ่นเกษลงกาพนาสูร |
ได้ฟังทั้งสองเสนาทูล | ให้อาดูรเดือดดิ้นในวิญญา |
แสนสงสารหลานรักเรืองเดช | ชลเนตรนองภักตร์ยักษา |
กอดกรถอนฤไทยไปมา | อสุรารำพึงคนึงใน |
ชิชะมนุษย์เปนสุดแค้น | จักแหล่นมรณาแล้วมาได้ |
เห็นจะนึกฮึกฮักหนักขึ้นไป | ทำไฉนหนอจะชนะมัน |
แม้นนิ่งอยู่ดูเหมือนไม่มีฤทธิ์ | จำจะคิดเข่นฆ่าให้อาสัญ |
ดำริห์พลางทางสั่งนางกำนัล | จงไปหากุมภกรรฐ์มาบัดนี้ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๘๒๑๏ บัดนั้น | นางกำนัลรับสั่งใส่เกษี |
บังคมลาพากันจรลี | มาที่ปราสาทพระอนุชา |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๘๒๒๏ ครั้นถึงจึ่งค่อยคุกคลาน | มากราบกรานตรงภักตร์ยักษา |
พลางทูลแถลงแก้งกิจจา | รับสั่งพระเชษฐาให้หาไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๘๒๓๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์ครั้นแจ้งแถลงไข |
จึ่งจัดแจงแต่งองค์อำไพ | แล้วคลาไคลขึ้นเฝ้าเจ้าลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๘๒๔๏ ครั้นถึงจึ่งนั่งเหนืออาศน์ | ที่องค์อุปราชฝ่ายน่า |
ถวายบังคมคัลวันทา | คอยฟังพระเชษฐาบัญชาการ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๘๒๕๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรศักดากล้าหาญ |
จึ่งตรัสบอกอนุชาว่าหณุมาน | ฆ่าไวยราพหลานเราม้วยมุด |
อันสงครามรามลักษณ์เห็นหนักแน่น | พี่แสนแค้นครั้งนี้เปนที่สุด |
เจ้าเร่งจัตุรงค์ไปยงยุทธ | สังหารผลาญมนุษย์ให้มรณา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๘๒๖๏ เมื่อนั้น | พระยากุมภกรรฐ์ยักษา |
เห็นผิดอย่างทางธรรม์ที่บัญชา | จึ่งทูลทัดเชษฐาธิบดี |
อันลักษณ์รามข้ามสมุทรมารบพุ่ง | ใช่จะคิดหมายมุ่งเอากรุงศรี |
เปนเหตุด้วยสีดานารี | ที่ภูมีไปพาเอามาไว้ |
แม้นส่งนางคืนไปให้มนุษย์ | เห็นสิ้นสุดศึกเสือเหนือใต้ |
ทั้งสองข้างต่างบำรุงกรุงไกร | ก็จะได้อยู่เย็นเปนไมตรี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๘๒๗๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสิบภักตร์ยักษี |
จึ่งว่าเจ้าพูดผิดคิดเช่นนี้ | ไม่ปรานีพี่น้องของเรา |
เมื่อเขาทำสำมนักขาก่อน | แล้วซ้ำฆ่าทูตขรตรีเศียรเล่า |
ทำจาบจ้วงจู่ลู่ดูเบา | ทีหลังเราจึ่งไปลักสีดามา |
มันซ้ำใช้ให้คำแหงหณุมาน | มารอนราญรบยักษ์หักพฤกษา |
ฆ่ากุมารหลานเจ้าเผาลงกา | อนุชาไปไหนจึ่งไม่รู้ |
แล้วองคตถือสารมาผลาญยักษ์ | สุครีพหักฉัตรไชยให้อดสู |
เจ้าถือสัตย์สัญญาว่าตราชู | ใครชอบผิดคิดดูก็เปนไร |
ฯ ๘ คำ ฯ
๘๒๘๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์ตรึกตรองสนองไข |
ซึ่งพระองค์ทรงตรัสเช่นนี้ไซ้ | ข้าเห็นไม่ต้องตามประเพณี |
อันอีสำมนักขามันหน้าด้าน | ไปเกี้ยวพานผู้ชายขายภักตร์พี่ |
ข้างเขาเห็นเปนยักษ์ไม่ไยดี | จึ่งทุบตีตัดตีนสีนมือ |
ซึ่งทูตขรตรีเศียรสิ้นชีวา | เพราะฟังสำมนักขาหาไม่ฤๅ |
พระทรงยศทศทิศย่อมเลื่องฦๅ | อย่าเชื่อถือหญิงพาลมารยา |
ถึงองคตสุครีพหณุมาน | มันทำการของเจ้าจะเอาหน้า |
อันรบรับสัปรยุทธยุทธนา | ผู้ใดดีมีศักดาได้กัน |
ไม่ควรยกโทษเขาเอาเปนผิด | พระจงคิดดูก่อนผ่อนผัน |
ข้าทูลความตามจริงทุกสิ่งอัน | ทรงธรรม์อย่าแหนงแคลงฤไทย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๘๒๙๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์เคืองขัดอัชฌาไศรย |
ลุกขึ้นกระทืบบาทตวาดไป | เหม่ไอ้เจ้าเล่ห์เพทุบาย |
คิดว่าดีขี้ขลาดดังชาติเนื้อ | ได้สาบเสือตัวสั่นขวัญหาย |
เสียแรงกำเนิดเกิดเปนชาย | ไม่มีอายมีเจ็บเท่าเล็บมือ |
เมื่อข้าศึกมาประชิดไม่คิดรบ | จะให้นบนอบมันกระนั้นฤๅ |
หมายว่าน้องต้องปฤกษาหารือ | ชะเจ้าคนซื่อถือสัตย์ธรรม์ |
จงไปหาลักษณ์รามตามพิเภก | จะได้เศกให้ผ่านไอสวรรย์ |
อันตัวกูสู้ตายวายชีวัน | มิขอพันผูกรักกับลักษณ์ราม |
ฯ ๘ คำ ฯ
๘๓๐๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์พรั่นจิตรคิดขาม |
จึ่งก้มกราบบาทมูลทูลความ | ข้าห้ามปรามตามตรงอย่าสงกา |
แม้นพระพี่มิฟังคำน้อง | ไม่ขัดข้องข้าคงจะอาสา |
ถึงมาทแม้นม้วยมุดสุดชีวา | มิให้เคืองบาทาสารพัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๘๓๑๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสำรวลสรวลสันต์ |
เข้าสร้วมสอดกอดจูบกุมภกรรฐ์ | เออกระนั้นฤๅพี่จะดีใจ |
อันรามลักษณ์ลิงป่าปัจจามิตร | ไม่ต่อฤทธิ์รับรองกับน้องได้ |
พ่อเร่งยกโยธาคลาไคล | ออกไปสังหารผลาญชีวา |
ตรัสพลางทางสั่งมโหทร | จงเกณฑ์พวกพลนิกรแกล้วกล้า |
ตั้งกระบวนพยุหบาตรยาตรา | ให้พระอนุชาไปราวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๘๓๒๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งใส่เกษี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ออกมาที่จักรวรรดิจัดพล |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๘๓๓๏ เกณฑ์ถ้วนกระบวนทัพคับคั่ง | ทั้งซ้ายขวาน่าหลังหลามถนน |
ขุนข้างขี่ช้างกางสัปรทน | เคยบำรูสู้ชนชนะงา |
ขุนพลพาชีขี่สนธพ | ไม่หลีกหลบเลื่อมตื่นปืนผา |
ขุนรถเทียมโตโคลา | โยธาเดินเท้าถือเกาทัณฑ์ |
ต่างใส่เสื้อแสงแต่งตัว | โพกหัวจ้ำม่ำล่ำสัน |
บ้างก็กินว่านทายาน้ำมัน | คงกระพันสาตราสารพัด |
พวกขุนหมื่นนายหมวดตรวจทหาร | อลหม่านเซงแซ่แออัด |
แล้วเทียมรถพระที่นั่งบัลลังก์รัตน์ | คอยท่าองค์พงษ์กระษัตริย์อสุรา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๘๓๔๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์สิทธิศักดิยักษา |
กราบถวายอัญชลีพระพี่ยา | เสด็จมาอ่าองค์สรงน้ำ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๘๓๕๏ ขัดสีฉวีวรรณผุดผ่อง | ทรงสุคนธ์ปนทองสุกก่ำ |
สนับเพลาเนาหน่วงเหน็บประจำ | ภูษาตองทองช้ำชายแครง |
ห้อยน่าตาชุนเชิงขลิบ | ผ้าทิพย์ปักกรองทองแล่ง |
ฉลององค์ทรงเกราะกุดั่นแดง | ปั้นเหน่งสายลายแทงทับทิมพราย |
ตาบทิศทับทรวงห่วงห้อย | สอดสร้อยสังวาลประสานสาย |
พาหุรัดเรียบร้อยพลอยพราย | ทองกรจำหลักลายลงยา |
สวมใส่ธำมรงค์ประจงจัด | เพ็ชรรัตน์พร่างพรายทั้งซ้ายขวา |
ทรงกรรเจียกจรแก้วแววฟ้า | ถือคทาธรเทพอาวุธ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๘๓๖๏ ครั้นเสร็จเสด็จมาน่าพระลาน | ตรวจทหารพร้อมสามสิบสมุท |
ให้ยกทัพขับพหลพลยุทธ | รีบรุดตัดทางไปหว่างเนิน |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
โทน
๘๓๗๏ รถเอยรถที่นั่ง | ดูดังจะลอยฟ้าเวหาเหิน |
ล้วนเหล็กหล่อห่อหุ้มดุมเดิน | กระหนกเกรินแก้วกิ่งพริ้งเพรียว |
เทียมโตตัวคนองลำพองเผ่น | สารถีขี่เขม้นเข่นเขี้ยว |
นายทหารขานโห่ขึ้นลาเดียว | รับเกรียวกราวดังไปทั้งทัพ |
ม้ารถคชสารแซ่เสียง | สำเนียงเพียงลมบรรไลยกัป |
ดังไกรลาศศิงขรจะอ่อนพับ | ราหูจับจันทร์ขยายคายคืน |
สเทื้อนทุกด้าวแดนแผ่นพิภพ | มหรรณพนทีตีคลื่น |
พลเพียบสุธาทางพ่างพื้น | ดาษดื่นเดินทัพขับกันมา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๘๓๘๏ ถึงทุ่งหนึ่งกึ่งกับทัพพระราม | จึ่งตั้งที่สีหนามเนินผา |
สั่งไพร่ให้โห่ขึ้นสามลา | ทุกหมู่หมวดตรวจตรากันพร้อมพรัก |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๘๓๙๏ เมื่อนั้น | พระรามราชสุริวงษ์ทรงศักดิ |
สถิตย์เหนือแท่นที่นั่งทั้งพระลักษณ์ | พร้อมพรักท้าวพระยาวานร |
ทั้งสุครีพนิลนนท์หณุมาน | องคตชมภูพาลชาญสมร |
คับคั่งทั้งสองพระนคร | ชลีกรกราบก้มบังคมคัล |
พระทรงฤทธิ์คิดดำริห์ตริการ | จะสังหารยักษาให้อาสัญ |
พอได้ยินสำเนียงเสียงกุมภัณฑ์ | โห่สเทื้อนเลื่อนลั่นโลกา |
คิดสงไสยไม่แจ้งประจักษ์ความ | จึ่งตรัสถามพิเภกยักษา |
เสียงสนั่นครั่นครื้นพื้นสุธา | ผู้ใดมารณรงค์สงคราม |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๘๔๐๏ บัดนั้น | พิเภกได้ฟังรับสั่งถาม |
จึ่งลงเลขไล่ขับจับยาม | แล้วทูลความตามเคยสังเกตมา |
อันทัพนี้พี่ยาข้าพระบาท | อุปราชทศภักตร์ยักษา |
อยู่ในยุติธรรม์ไม่ฉันทา | ชื่อว่ากุมภกรรฐ์ชาญไชย |
ชรอยเจ้าลงกาจะว่าขาน | หักหาญให้ออกมาจงได้ |
ขอพระจักรกฤษณ์ฤทธิไกร | จงโปรดไว้ชีวาพระยามาร |
ฯ ๖ คำ ฯ
๘๔๑๏ เมื่อนั้น | พระทรงสังข์ฟังว่าน่าสงสาร |
จึ่งตรัสตอบวาจาโหราจารย์ | แม้นพี่ท่านเที่ยงธรรม์ไม่ฉันทา |
ผู้ใดทำชอบผิดจะคิดเห็น | ไม่ชั่วเช่นทศภักตร์ยักษา |
ท่านจงไปห้ามปรามตามกิจจา | ให้เชษฐาเลิกทัพกลับไป |
เราทำศึกสำเร็จเสร็จการ | สมบัติทั้งเมืองมารจะมอบให้ |
แม้นขืนอยู่สู้รบฤทธิไกร | จะบรรไลยไม่ทันพริบตา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๘๔๒๏ บัดนั้น | พิเภกรับสั่งใส่เกษา |
ก้มเกล้ากราบงามสามลา | แล้วออกจากพลับพลาคลาไคล |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๘๔๓๏ ถึงกองทัพลับฬ่อแลมอง | ดูแซ่ซ้องพลนิกายนายไพร่ |
เห็นเชษฐาฤทธิรงค์ทรงรถไชย | อกใจทึกทึกนึกภาวนา |
แต่เปนการรับสั่งไม่ยั้งหยุด | รีบรุดเข้าไปใกล้รัถา |
นั่งลงตรงภักตร์พระพี่ยา | อสุราบังคมก้มกราน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๘๔๔๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์ฤทธิแรงกำแหงหาญ |
เห็นพิเภกมาประนตบทมาลย์ | ให้เดือดดาลกริ้วกราดตวาดไป |
เหม่ไอ้สอพลอทรลักษณ์ | จะรู้จักวงษาก็หาไม่ |
ไปเปนข้ามนุษย์สนุกใจ | เดี๋ยวนี้มาว่าไรไอ้อัปรี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๘๔๕๏ เมื่อนั้น | พิเภกประนตบทศรี |
จึ่งว่าข้ามาเฝ้าฝ่าธุลี | จะทูลความตามที่สัจจา |
พระรามองค์นี้ฤๅคือนารายน์ | จะมาปราบราพร้ายฤษยา |
พระพี่ทรงสัตย์ธรรม์ไม่ฉันทา | จะพลอยมาเกี่ยวข้องไม่ต้องการ |
บัดนี้พระนารายน์วายุกุล | ใช้ข้ามาทูลว่าขาน |
ให้พระองค์ทรงถือศีลทาน | อย่ารอนราญเลิกทัพกลับไป |
แม้นสำเร็จเสร็จศึกสงคราม | ปราบปรามปรปักษ์ตักไษย |
สมบัติทั้งกรุงลงการาไชย | จะมอบให้พระองค์ทรงธรรม์ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๘๔๖๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์ฤทธิแรงแขงขัน |
ได้ฟังอนุชามารำพรรณ | ตบหัดถ์สรวลสันต์แล้วว่าไป |
ช่างยกย่องสองมนุษย์ว่านารายน์ | เพราะเปนนายของมึงจึ่งรักใคร่ |
พระรามเปนเจ้าลงกาฤๅว่าไร | จะยกเมืองมาให้แก่กู |
ช่างเจรจาพาทีไม่มีอาย | หยาบคายคนพาลรำคาญหู |
จะเปรียบเปนปฤษณาว่าให้รู้ | พระพี่กูต้องอย่างช้างงารี |
เมื่อเมียตัวอักนิษฐไม่คิดรัก | ไปลอบลักภรรยาเขาพาหนี |
อันลักษณ์รามพี่น้องสองคนนี้ | คือชีเฉาโฉดโหดไร้ |
เปนชายถึงสองมาท่องเที่ยว | แต่หญิงเดียวไม่รักษาได้ |
ครั้นหาเมียไม่พบตระหลบไป | ชิงไชยสังหารผลาญพาลี |
หญิงโหดโทษร้ายขายหน้า | คืออีสำมนักขาบัดสี |
หนึ่งชายทรชนคนอัปรี | คือตัวมึงนี้ไอ้ทรยศ |
พระพี่ขับกลับเข้าด้วยข้าศึก | ที่ข้อขำล้ำฦกก็บอกหมด |
อันตัวกูสุจริตไม่คิดคด | จะแทนทดคุณองค์เจ้าลงกา |
เองไอ้คนอักตัญญู | ตัวกูไม่ควรคบหา |
จงไปให้นารายน์นายมึงมา | กูจะคอยเข่นฆ่าให้วอดวาย |
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๘๔๗๏ เมื่อนั้น | พิเภกหวาดหวั่นขวัญหาย |
ความกลัวพี่ยาจะฆ่าตาย | ก็ผันผายรีบกลับมาฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๘๔๘๏ ครั้นถึงจึ่งประนตบทบงสุ์ | ทูลพระหริวงษ์รังสรรค์ |
ซึ่งโปรดให้ไปว่ากุมภกรรฐ์ | ก็โกรธขึ้งดึงดันพาที |
เจรจาจ้วงจาบหยาบใหญ่ | มิควรกราบทูลใต้บทศรี |
ขับข้ามาเฝ้าฝ่าธุลี | ให้กรีธาพลไปรณรงค์ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ช้า
๘๔๙๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสูงส่ง |
จึ่งตรัสว่ากุมภกรรฐ์นั้นทนง | จะณรงค์สงครามก็ตามใจ |
ตรัสพลางทางสั่งสุครีพ | จงเร่งรีบจัดพหลพลไพร่ |
ออกไปผลาญกุมภกรรฐ์ให้บรรไลย | อย่าให้ถึงทัพใหญ่ไปราวี |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๘๕๐๏ เมื่อนั้น | พระยาสุครีพกระบี่ศรี |
รับสั่งบังคมพระจักรี | ออกมาจัดโยธีรี้พล |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๘๕๑๏ เกณฑไพร่ได้สามสิบหมื่น | แต่พื้นเคยศึกฝึกฝน |
ถือสาตราอาวุธสำหรับตน | ครั้นเสร็จสรรพขับพลรีบมา |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
๘๕๒๏ ครั้นถึงทิวทุ่งกว้างกลางแปลง | เห็นธงเทียวเขียวแดงดาดป่า |
พอเกือบใกล้ให้หยุดโยธา | คอยดูทีกิริยาอสุรี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๘๕๓๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์สิทธิศักดิยักษี |
เห็นสุครีพน้องพระยาพาลี | รู้ว่ามีกำลังวังชา |
เมื่อครั้งหักฉัตรไชยในกรุง | ได้รบพุ่งทศภักตร์หนักหนา |
จำจะลวงล้างผลาญด้วยมารยา | จึ่งร้องว่าเหวยสุครีพขุนกระบี่ |
เองคิดฆ่าพี่ชายวายปราณ | หมายใจจะได้ผ่านกรุงศรี |
มาให้เขาใช้เล่นอยู่เช่นนี้ | ไม่พอที่จะเปนข้ามนุษย์ |
เมื่อเองเปนลิงค่างต่างชาติ | องอาจยกทัพมาสัปรยุทธ |
กูอายแก่เทวานาคาครุธ | จะณรงค์ยงยุทธกันอย่างไร |
จงเลิกทัพกลับคืนไปแจ้งความ | ให้ลักษณ์รามออกมาอย่าช้าได้ |
กูจะผลาญชีวันให้บรรไลย | มิให้ช้าได้ถึงกึ่งวัน |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๘๕๔๏ เมื่อนั้น | สุครีพฤทธิแรงแขงขัน |
โกรธาว่าเหวยกุมภกรรฐ์ | หยาบช้าสารพันพูดจา |
ท่านอย่าอวดฤทธิไกรไปนัก | ทนงศักดิหยาบใหญ่ให้เกินหน้า |
อันพาลีพี่เรามรณา | เพราะว่าสาบาลตัวไว้ |
อันองค์พระอวตารผ่านภพ | หาควรคู่สู้รบกับมึงไม่ |
จึ่งใช้กูผู้เรืองฤทธิไกร | คุมไพร่มาสังหารผลาญยักษ์ |
ท่านเปนน้องเจ้าลงกาธานี | เราก็น้องพาลีมีศักดิ |
อย่าเพ่อพูดทนงนึกฮึกฮัก | ไม่ช้านักชีวันจะบรรไลย |
ฯ ๘ คำ ฯ
๘๕๕๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์ตอบคำแก้ไข |
แม้นท่านดีมีฤทธิ์จงเร่งไป | ถอนต้นรังใหญ่ในหิมพานต์ |
แม้นได้ฉับเฉียวประเดี๋ยวนี้ | จะเห็นมีฤทธาเหมือนว่าขาน |
นี่อวดกันเปล่าเปล่าไม่เข้าการ | จะรอนราญเสียสง่าอาวุธ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๘๕๖๏ เมื่อนั้น | สุครีพโกรธใจดังไฟจุด |
จึ่งเขาพระสุเมรุเอนทรุด | เราช่วยฉุดให้ตรงคงไว้ |
ซึ่งจะดูพฤกษาพระยารัง | มิทำดังวาจาจะว่าได้ |
ว่าพลางทางแผลงฤทธิไกร | เหาะไปหิมพานต์พนาวัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๘๕๗๏ เห็นรังใหญ่ไม่น้อยสักร้อยอ้อม | จึ่งลงจอมเขาใหญ่ไพรสัณฑ์ |
สองหัดถ์รัดรวบต้นรังพลัน | เท้ายันโยกชักด้วยศักดา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๘๕๘๏ ฉุดกระชากรากขาดขึ้นมาได้ | สมหวังดังใจปราถนา |
มิได้หยุดยั้งรั้งรา | ใส่บ่าแบกกลับมาฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๘๕๙๏ ครั้นถึงจึ่งลงหยุดยั้ง | ชูต้นรังหัวเราะเยาะหยัน |
ประกาศก้องร้องเหวยกุมภกรรฐ์ | มิใช่รังต้นนั้นฤๅฉันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ
๘๖๐๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์หมายชนะกะได้ |
จึ่งว่าเองโง่เง่าไม่เข้าใจ | กูจะจับเปนไปประเดี๋ยวนี้ |
แล้วเผ่นโผนโจนจากรถทรง | โถมตรงเข้าจับกระบี่ศรี |
ตีต้องถูกกายหลายที | น้องพาลีหันเหเซไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๘๖๑๏ เมื่อนั้น | สุครีพขุนกระบี่หาหนีไม่ |
แรงน้อยถอยรบรับไว้ | ชิงไชยป้องปัดสาตรา |
ยักษาถาโถมเข้าโจมจับ | กลอกกลับหันเหียนเปลี่ยนท่า |
ต่อแย้งแทงฟันกันไปมา | หมายเขม้นเข่นฆ่าราวี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๘๖๒๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์รุกไล่มิให้หนี |
ขึ้นเหยียบเข่าน้าวเศียรขุนกระบี่ | ได้ทีตีซ้ำร่ำไป |
บุกบั่นประจัญบานหาญหัก | จับสุครีพหนีบนักแร้ได้ |
ให้เลิกทัพขับพลสกลไกร | ทั้งนายไพร่โห่ร้องก้องมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๘๖๓๏ บัดนั้น | พลกระบี่นิกายซ้ายขวา |
เห็นเขาจับนายไปไม่อยู่ช้า | ก็วิ่งไปพลับพลาพนาวัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๘๖๔๏ ครั้นถึงลนลานคลานเข้าเฝ้า | ทูลเล่าตามจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
สุครีพพ่ายแพ้แก่กุมภกรรฐ์ | เดี๋ยวนี้มันหนีบพาไปธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๘๖๕๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านฟ้าราษี |
แจ้งว่าสุครีพขุนกระบี่ | เสียทีกุมภกรรฐ์พรั่นพระไทย |
จึ่งสั่งองคตหณุมาน | สองทหารเร่งตามไปแก้ไข |
เห็นจะทันมั่นคงจงรีบไป | ชิงได้แล้วกลับมาพลับพลา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๘๖๖๏ บัดนั้น | สองนายรับสั่งใส่เกษา |
ถอยหลังลนลานคลานออกมา | แต่พอลับแล้วพากันเหาะไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๘๖๗๏ ทันทัพแทบทวารชานกำแพง | ไม่รอแรงรีบโถมโจมไล่ |
ถีบถูกกุมภกรรฐ์หันเซไป | สุครีพพลัดออกได้ไล่ตามตี |
หณุมานรวบรัดกัดหูขวา | องคตขบนาสายักษี |
สุครีพถีบซ้ำอิกสองที | สามกระบี่เข้ากลุ้มรุมรัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๘๖๘๏ เมื่อนั้น | พระยามารซานเซเหหัน |
ไม่ทันชักกระบองออกป้องกัน | วิ่งถลันหลบองค์เข้าลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๘๖๙๏ บัดนั้น | สามกระบี่มีไชยแก่ยักษา |
สุครีพรีบชวนสองนัดดา | เหาะมากองทัพพลับพลาไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๘๗๐๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า | ก้มเกล้าประนมบังคมไหว้ |
สุครีพครั่นคร้ามขามใจ | เมียงหมอบมิได้เงยภักตร์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๘๗๑๏ เมื่อนั้น | พระนารายน์สุริวงษ์ทรงจักร |
คิดแค้นเคืองในพระไทยนัก | เพ่งภักตร์แล้วดำรัสตรัสไป |
ดูดู๋สุครีพขุนกระบี่ | เสียทีเปนบุตรพระสุริย์ใส |
ช่างโง่เง่าเฉาเชิงชิงไชย | เสียแรงเปนผู้ใหญ่ในพลับพลา |
กลศึกเพียงนี้ยังมิรู้ | อดสูพวกยักษ์หนักหนา |
หากคิดถึงความดีที่มีมา | หาไม่ชีวาจะวอดวาย |
แม้นถ้าทีหลังยังไม่เข็ด | เห็นศีศะจะเด็ดกระเด็นหาย |
พระกริ้วกราดคาดโทษมากมาย | แล้วผันผายเข้าสุวรรณพลับพลาไชย |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๘๗๒๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์ร้อนอกหมกไหม้ |
หูวิ่นจมูกแหว่งแขงใจ | เลือดไหลโซมซาบอาบองค์มา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๘๗๓๏ เข้าในพระโรงรัตน์ชัชวาลย์ | กราบกรานบทเรศพระเชษฐา |
คั่งแค้นแน่นอกอสุรา | สอึกสอื้นโศกาจาบัลย์ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๘๗๔๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรรังสรรค์ |
ลดองค์ลงกอดกุมภกรรฐ์ | เจ้าโศกศัลย์สิ่งไรอย่าได้พราง |
แล้วแลดูหูจมูกก็หวะแหว่ง | เลือดแดงโซมหน้าดังทาฝาง |
ช่วยคัดเลือดแล้วถามเนื้อความพลาง | เจ้าเปนอย่างไรนี่อนุชา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๘๗๕๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์แจ้งเหตุพระเชษฐา |
ข้าจับได้สุครีพหนีบแขนมา | จนจะถึงทวาราเวียงไชย |
ไอ้องคตหณุมานตามมาชิง | ทั้งสามลิงรุกรบหลบไม่ไหว |
มันกัดหูจมูกข้าน่าน้อยใจ | คิดจะใคร่สังหารผลาญชีวัน |
น้องขอลาพระองค์ทรงเดช | ขึ้นไปเฝ้าพรหเมศเมืองสวรรค์ |
เอาโมกขศักดิมาฆ่าพวกมัน | ให้ทันที่แค้นแน่นใจ |
ทูลพลางทางถวายบังคมลา | ออกมาน่าพระโรงทองผ่องใส |
สำแดงแผลงอิทธิ์ฤทธิไกร | เหาะไปเมืองสวรรค์ชั้นวิมาน |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๘๗๖๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปนั่งลง | บังคมองค์ธาดาแล้วว่าขาน |
ข้ามาเฝ้าเจ้าฟ้าจงโปรดปราน | ขอประทานโมกขศักดิซึ่งฝากไว้ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๘๗๗๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวธาดาอัชฌาไศรย |
หยิบหอกเห็นเปนถนิมไป | จึ่งยื่นให้อสุราแล้วพาที |
ไฉนอาวุธนี้วิประลาศ | เองประมาทสิ่งไรฤๅยักษี |
จงเร่งรักษาองค์ให้จงดี | เห็นเภทไภยจะมีมาบีฑา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๘๗๘๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์ทูลไปไม่มุสา |
เดิมทีนั้นองค์เจ้าลงกา | ไปลักนางสีดามาไว้ |
ผัวเขาตามประจญรณรงค์ | ฆ่าพงษ์พวกยักษ์ตักไษย |
พระเชษฐาใช้ข้าออกชิงไชย | ข้าได้ทูลขัดทัดทาน |
กลับยกโทษโกรธเกรี้ยวเคี่ยวเข็น | จำเปนจึงต้องออกหักหาญ |
มิใช่จะประพฤติด้วยพวกพาล | เปนความสัตย์ปฏิญาณอย่างนี้ |
ข้าหมายว่าถ้าแม้นม้วยมิด | เอาชีวิตรทดแทนคุณพี่ |
ทูลพลางทางลาจรลี | อสุรีเหาะตรงไปลงกา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๘๗๙๏ ครั้นถึงจึ่งสั่งฤทธิการ | เราจะไปจักรวาฬภูผา |
ลับหอกให้ดีมีศักดา | จงเร่งจัดโยธาเวลานี้ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๘๘๐๏ บัดนั้น | ฤทธิการรับสั่งใส่เกษี |
มาเทียมรถรีบรัดจัดโยธี | พร้อมพรั่งดังมีบัญชาการ |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม เจรจา
๘๘๑๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์ฤทธิแรงกำแหงหาญ |
ครั้นเสร็จจัดพหลพลมาร | มาอ่าองค์สรงสนานนที |
แล้วสอดใส่เครื่องประดับสำหรับองค์ | พระหัดถ์ทรงโมกขศักดิของยักษี |
ให้คลี่คลายขยายยกโยธี | ออกจากบุรีลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ กราวใน
๘๘๒๏ ครั้งถึงฝั่งนทีสีทันดร | ล้วนศิงขรเขียวชอุ่มพุ่มพฤกษา |
เห็นศิลาทับทิมริมคงคา | จึ่งหยุดยั้งสั่งมหาเสนาใน |
จงเร่งรัดจัดปลูกโรงพิธี | ให้ร่มที่แผ่นผาศิลาใหญ่ |
ทั้งธูปเทียนเข้าตอกดอกไม้ | ล้วนเครื่องแดงแต่งไว้ตามตำรา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๘๘๓๏ บัดนั้น | ฤทธิการรับสั่งใส่เกษา |
มาเกณฑ์ไพร่ให้เที่ยวเกี่ยวคา | บ้างตัดไม้ในป่าพนาวัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ชมตลาด
๘๘๔๏ ปลูกโรงพิธีสี่มุข | สีสุกล้วนแดงแสงฉัน |
ข้างนอกติดช่อฟ้าน่าบัน | ข้างในนั้นตั้งอาศน์ดาดเพดาน |
รายรอบราชวัตรฉัตรเบญจรงค์ | ปักธงสีแดงแสงฉาน |
พร้อมพรั่งตั้งเครื่องมัสการ | เตรียมท่าพระยามารดังบัญชา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๘๘๕๏ เมื่อนั้น | น้องท้าวทศภักตร์ยักษา |
ครั้นแล้วโรงพิธีก็ปรีดา | จึ่งสั่งมหาเสนาใน |
จงเกณฑ์กันตรวจตราในสาคร | เน่าหนอนอย่าให้มีมาได้ |
สั่งแล้วพระยามารชาญไชย | เข้าในโรงพิธีมิได้ช้า |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
ชมตลาด
๘๘๖๏ จุดธูปเทียนสุวรรณพรรณราย | โปรยปรายเข้าตอกดอกบุบผา |
จับพระแสงโมกขศักดิเพียงภักตรา | ไหว้มหาพรหมมานชาญไชย |
แล้วร่ายเวทวิธีบริกรรม | เรียกน้ำท่วมน่าศิลาใหญ่ |
จึ่งลับโมกขศักดินั้นทันใด | ไม่หยุดยั้งตั้งใจภาวนา |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
ช้า
๘๘๗๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
เสด็จออกอำมาตย์มาตยา | เฝ้าฝ่ายซ้ายขวาเยียดยัด |
สำราญองค์ทรงนั่งฟังข่าว | แต่เช้าจนเที่ยงเสียงสงัด |
เห็นศึกว่างเว้นวันสันทัด | จึ่งดำรัสตรัสถามโหรา |
เหตุไฉนกุมภกรรฐ์วันนี้ | จึ่งไม่ยกโยธีมาเข่นฆ่า |
จะหยุดหย่อนผ่อนกำลังวังชา | ฤๅว่าจะคิดอ่านประการใด |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๘๘๘๏ บัดนั้น | พิเภกรับสั่งบังคมไหว้ |
จึ่งจับยามตามสังเกตเภทไภย | เห็นแน่ใจแล้วทูลขึ้นทันที |
กุมภกรรฐ์นั้นไปจักรวาฬ | ลับอานโมกขศักดิยักษี |
เจ็ดวันหอกกรดหมดราคี | ก็จะมีอานุภาพปราบแดนไตร |
ขอพระองค์ทรงฤทธิ์จงคิดอ่าน | อย่าให้การสำเร็จเสร็จได้ |
อันพระยากุมภกรรฐ์นั้นไซ้ | พอใจแต่สำอางอย่างดี |
ถ้าเน่าเหม็นเห็นแล้วก็รากท้น | อ่านมนต์ไม่เปนศุขจะลุกหนี |
คงจะเสียการกิจพิธี | พระจักรีจงดำริห์ตริการ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๘๘๙๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงฟังว่าขาน |
จึ่งตรัสสั่งองคตหณุมาน | สองทหารจงจำคำโหรา |
ไปล้างกิจพิธีกุมภกรรฐ์ | อย่าให้มันทำสมปราถนา |
ซึ่งหนทางทิศใดจะไคลคลา | ถามพระยาพิเภกให้แจ้งใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๘๙๐๏ บัดนั้น | องคตหณุมานทหารใหญ่ |
ถวายบังคมลาคลาไคล | เหาะไปนทีสีทันดร |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๘๙๑๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นโรงพิธี | ตั้งที่หาดทรายชายศิงขร |
เห็นยักษ์เที่ยวตรวจตราริมสาคร | สองวานรลอบลงให้ลับตา |
หณุมานนิมิตรด้วยฤทธิรงค์ | เปนสุนักข์เน่าส่งกลิ่นกล้า |
องคตน้องชายกลายเปนกา | จับจิกลอยมาตรงหน้ายักษ์ |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ โล้
๘๙๒๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์นั่งลับโมกขศักดิ |
ได้กลิ่นเหม็นเห็นกากินสุนักข์ | พระยายักษ์รากท้นไม่ทนทาน |
จับหอกออกจากโรงพิธี | อสุรีเดือดด่าโยธาหาญ |
แล้วเลิกทัพกลับพหลพลมาร | ไปสถานลงกาธานี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๘๙๓๏ บัดนั้น | สองนายกลายเปนกระบี่ศรี |
ต่างตนสำแดงแผลงฤทธี | เหาะข้ามวารีรีบมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๘๙๔๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบทูล | พระนารายน์วายุกูลนาถา |
ตามได้คิดอ่านมารยา | อสุราเสียกิจพิธี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๘๙๕๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี |
ตรัสชมสองกระบินทร์ด้วยยินดี | ไม่เสียทีทำได้ดังใจคิด |
แล้วสั่งสัตพลีให้จดหมาย | เปนความชอบสองนายสุจริต |
พอรอนรอนอ่อนแสงพระอาทิตย์ | ทรงฤทธิ์เข้าในที่ไสยา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๘๙๖๏ เมื่อนั้น | พระยากุมภกรรฐ์ยักษา |
พอสิ้นแสงสุริยงถึงลงกา | เข้ามาพระโรงรัตน์ชัชวาลย์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๘๙๗๏ น้อมประนมก้มเกล้าเคารพ | พระปิ่นภพลงกามหาสถาน |
ทูลแถลงแจ้งเหตุเภทพาล | จนเสียการตระบะกิจพิธี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๘๙๘๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรฟังน้องให้หมองศรี |
จึ่งว่าเหตุซึ่งเปนถึงเช่นนี้ | ใช่จะมีมาในชลธาร |
ปัจจามิตรคิดการแก้ไข | หมายมิให้เหมือนจิตรคิดอ่าน |
เพราะพิเภกจรรไรใจพาล | มันจะผลาญสุริวงษ์พงษ์พันธุ์ |
พรุ่งนี้เช้าเจ้าจงไปยงยุทธ | ฆ่ามนุษย์ลิงป่าให้อาสัญ |
ไอ้พิเภกพี่แสนแค้นมัน | ให้กุมภัณฑ์มัดมายังธานี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๘๙๙๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์ประนตบทศรี |
ทูลลาพระเชษฐาธิบดี | ไปปราสาทมณีที่สำนักนิ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๙๐๐๏ เอนองค์ลงบนบรรจฐรณ์ | ให้อาวรณ์วิตกเพียงอกหัก |
ยอกรก่ายวิลาศพาดภักตร์ | คิดสงครามรามลักษณ์จนหลับไป |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๙๐๑๏ ครั้นดาวเดือนเลื่อนลับเมฆา | สุริยาแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล |
ประดับองค์ทรงเครื่องอำไพ | ออกท้องพระโรงไชยฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๙๐๒๏ จึ่งสั่งมารกาลสูรเสนา | จงตระเตรียมโยธาทัพขัน |
เราจะยกพหลพลกุมภัณฑ์ | ไปโรมรันรามลักษณ์อิกสักที |
ฯ ๒ คำ ฯ
๙๐๓๏ บัดนั้น | กาลสูรรับสั่งใส่เกษี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ออกมาที่ศาลาน่าวัง |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๙๐๔๏ รีบรัดจัดทัพสำหรับรบ | ตามขนบซ้ายขวาน่าหลัง |
เกียกกายเกณฑ์รดมสมกำลัง | แมวเซาเฝ้าฟังยุบลความ |
ขุนช้างผูกช้างรวางใหญ่ | เคยดับไฟหักค่ายส่ายขวากหนาม |
ทหารม้าขี่ม้ากล้าสงคราม | ถือทวนผูกภู่จามรีกรอง |
ขุนรถเทียมโตโคถึก | เคยออกศึกฝีเท้าเคล่าคล่อง |
พลเท้าสันทัดทำนอง | เคยรับรองรบรุกบุกบัน |
จัดทัพนับถ้วนสิบสมุท | ถืออาวุธใส่เกราะเหมาะมั่น |
แล้วเทียมราชรถแก้วแพรวพรรณ | โลทันมาประทับกับเกยลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๙๐๕๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์สิทธิศักดิยักษา |
เสด็จจากแท่นแก้วแววฟ้า | มาโสรจสรงคงคาอ่าองค์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๙๐๖๏ ชำระสระสนานนที | มุรธาวารีภิเศกสรง |
ทรงสุคนธ์ปนสุวรรณบรรจง | อบองค์อสุรินทร์กลิ่นขจร |
สนับเพลาพลอยพรายลายกระหนก | ภูษายกแย่งทองตองอ่อน |
ฉลององค์ทรงเกราะเกล็ดมังกร | กรองสอซ้อนสังเวียนวิเชียรรัตน์ |
ปั้นเหน่งเพ็ชรเพทายสายประสาน | สอดสังวาลโอบองค์วงกระหวัด |
ทับทรวงแซมดอกไม้ไหวทัด | พาหุรัดมรกฎรจนา |
ทับทิมทองกรซ้อนทรง | ธำมรงค์พรรณรายทั้งซ้ายขวา |
ทัดกรรเจียกจรแก้วแววฟ้า | ขัดคทาสำหรับกรรอนราญ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๙๐๗๏ ครั้นเสร็จสรรพจับหอกโมกขศักดิ | พระยายักษ์เสด็จมาน่าฉาน |
ให้เดินทัพขับพหลพลมาร | เหล่าทหารโห่ร้องก้องไป |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
โทน
๙๐๘๏ รถเอยราชรถทรง | เสียงกงก้องสนั่นหวั่นไหว |
โตกตั้งบัลลังก์แก้วแววไว | งอนรหงธงไชยโบกบน |
เทียมไกรสรราชผาดผยอง | ดังจะล่องลอยฟ้าเวหาหน |
เครื่องสูงบังแสงสุริยน | เบื้องบนบดคลุ้มชอุ่มควัน |
เสียงสังข์เสียงแตรแซ่ซ้อง | ฆ้องกลองโครมครึกพิฦกลั่น |
พวกพหลพลมารชาญฉกรรจ์ | แห่แหนแน่นนันพนาไลย |
ต่างสำแดงแผลงเดชเดชา | สเทื้อนท้องหิมวาป่าใหญ่ |
สัตวสิงวิ่งหนีเข้าพงไพร | เร่งร้นพลไกรเกรียวมา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๙๐๙๏ ครั้นถึงสนามยุทธให้หยุดทัพ | คั่งคับพลนิกายซ้ายขวา |
ตั้งกองป้องกันเปนปีกกา | คอยจะยุทธนาราวี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๙๑๐๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี |
เสด็จออกพลับพลาน่าคิรี | เสนีก้มเกล้าเคารพ |
ตรัสประภาศราชกิจคิดอ่าน | กระทำการสงครามตามขนบ |
พอได้ยินโห่ร้องก้องพิภพ | ผงคลีคลุ้มกลุ้มกลบกลางไพร |
จึ่งตรัสถามพิเภกโหรา | วันนี้เสียงโยธาทัพใหญ่ |
กุมภกรรฐ์ยกมาฤๅว่าใคร | จงดูให้รู้จักตระหนักนาม |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๙๑๑๏ บัดนั้น | พิเภกได้ฟังรับสั่งถาม |
ลงเลขไล่ขับแล้วจับยาม | ก็แจ้งความตามเคยสังเกตมา |
จึ่งทูลพระหริวงษ์ทรงธรรม์ | ทัพนี้กุมภกรรฐ์ยักษา |
ออกมาด้วยโทโสโกรธา | สงครามคราวนี้กล้ากว่าทุกครั้ง |
ฯ ๔ คำ ฯ
๙๑๒๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์ทรงสังข์ |
ทราบว่าไพรีมีกำลัง | จึ่งตรัสสั่งอนุชายาใจ |
เจ้าจงรีบยกทัพไปรับรอง | สังหารน้องทศภักตร์ให้ตักไษย |
อย่าประมาทพลาดพลั้งระวังระไว | ชิงไชยให้ชนะอสุรา |
ว่าพลางทางสั่งสุรเสน | จงรีบเกณฑ์พลนิกายซ้ายขวา |
เลือกล้วนกระบี่มีศักดา | ให้พระอนุชาไปราวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๙๑๓๏ บัดนั้น | สุรเสนรับสั่งใส่เกษี |
บังคมพระหริรักษ์จักรี | ออกไปที่สนามหัดจัดแจง |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๙๑๔๏ กองน่ามายูรตัวนาย | ปีกซ้ายทวิกันขันแขง |
ปีกขวาวาหุโรมฤทธิแรง | กองแซงสุรการชำนาญยุทธ |
กองหลังตั้งนิลปาสัน | กองหลวงนั้นล้วนกระบี่มีมงกุฎ |
พวกลิงถุงถือสาตราอาวุธ | ใส่เสื้อเสนากุฏขึ้นขี่โค |
บ้างโพกผ้าสีชมภูหูกระต่าย | ขึ้นขี่ควายแบกปืนยืนโห่ |
บ้างใส่หมวกตุ้มปี่ขี่สิงโต | ถือพร้าโต้ตั้งท่าจะราวี |
บ้างนุ่งผ้าตาโถงโจงกระเบน | แกว่งหอกกลอกเขนขึ้นขี่หมี |
แล้วเทียมราชรัถาด้วยพาชี | มาเทียบที่เกยน่าพลับพลาไชย |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๙๑๕๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์รัศมีศรีใส |
ครั้นจัดทัพสรรพเสร็จเสด็จไป | สรงน้ำในขันทองรองเรือง |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๙๑๖๏ ลูบไล้สุคนธ์ปนสุวรรณ | ผิวพรรณนวลเนื้อเรื่อเหลือง |
สนับเพลาภูษาค่าเมือง | ชายแครงแสงประเทืองทองรยับ |
ห้อยน่าตาชุนเชิงขลิบ | ผ้าทิพย์ตาดติดเลื่อมสลับ |
ฉลององค์เกราะแก้วแวววับ | คาดปั้นเหน่งบานพับประดับเพ็ชร |
สร้อยสนสังวาลวรรณกุดั่นดวง | ทับทรวงแสงจำรัสตรัจเตร็จ |
พาหุรัดรายพลอยลอยเม็ด | ทองกรซ้อนเจ็ดเส้นทรง |
สวมใส่ชฎามหากระถิน | ห้อยอุบะประทิ่นกลิ่นส่ง |
นิ้วพระหัดถ์จัดเรียบธำมรงค์ | ครั้นเสร็จทรงศรศรีลีลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๙๑๗๏ พรั่งพร้อมพหลพลพฤนท์ | พวกกระบินทร์บังคมก้มเกษา |
ขยายยกพยุหบาตรยาตรา | ดังสุธาจะพลิกคว่ำทำลาย |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๙๑๘๏ รถเอยรถทรง | กำกงวงเวียนวิเชียรฉาย |
บุษบกบัลลังก์แก้วแพรวพราย | งอนรหงธงชายปลายปลิว |
เทียมเทพอาชาพลาหก | เพียงจะผกผันผยองล่องลิ่ว |
เกณฑ์แห่แตรสังข์ตั้งตาริ้ว | ธงทิวทานตวันกันภิรุม |
พลพื้นปืนแดงแซงซ้ายขวา | เสือป่าแมวมองกองซุ่ม |
กึกก้องกลองชนะปะเปิงครุม | เสียงสเทือนสุมทุมพุ่มพง |
วานรนับแสนแน่นเนินผา | เหยียบศิลาลุยแหลกแตกเปนผง |
ไม้ไล่ลู่ล้มระทมลง | เร่งรัดจัตุรงค์ตรงไป |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๙๑๙๏ ครั้นถึงที่รบพบกองทัพ | โกฏิแสนแน่นนับอสงไขย |
จึ่งหยุดพวกพลรบสงบไว้ | จะดูเชิงชิงไชยไพรี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๙๒๐๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์สิทธิศักดิยักษี |
ยืนเขม้นเห็นมนุษย์นายกระบี่ | ท่วงทีงามพร้อมลม่อมลไม |
จึ่งให้เคลื่อนเลื่อนราชรถทรง | มายืนตรงภักตราแล้วปราไส |
ท่านชื่อลักษณ์ฤๅรามนามใด | บังอาจใจจะมาราวี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๙๒๑๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ทรงสวัสดิรัศมี |
จึ่งตอบกุมภกรรฐ์ทันที | เรานี้นามพระลักษณ์ศักดา |
เปนน้องพระหริวงษ์องค์นารายน์ | จะมาปราบราพร้ายฤษยา |
ท่านฤๅคือองค์เจ้าลงกา | ที่ไปลักนางสีดามาไว้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๙๒๒๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์ยักษาอัชฌาไศรย |
ฟังพระลักษณ์ทักถามความใน | ให้อายใจจำเปนเจรจา |
เราฤๅคือพระยากุมภกรรฐ์ | ทรงธรรม์ทศพิธไม่อิจฉา |
ซึ่งท่านว่าทศภักตร์ลักสีดา | ไยมิฆ่าฟันกันเมื่อวันลัก |
แกล้งยกทัพมาประชิดติดนคร | ให้เดือดร้อนไพร่ฟ้าอาณาจักร |
เราจึ่งต้องยกพหลพลยักษ์ | มาปราบปรามรามลักษณ์กับลิงไพร |
ได้เห็นท่านรูปร่างอย่างสัตรี | แม้นสู้ฝีมือยักษ์จะตักไษย |
จงคืนเข้าพลับพลาพนาไลย | บอกให้เชษฐามาราวี |
เราจะคอยสังหารผลาญชีวิตร | ด้วยฤทธิ์โมกขศักดิยักษี |
ช่วยห้ามปรามตามเมตตาปรานี | อย่าช้าทีถอยทัพกลับไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๙๒๓๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์รัศมีศรีใส |
จึ่งตอบคำขุนมารชาญไชย | ท่านว่าไม่เปนกลางทางธรรม์ |
ถ้าทศภักตร์ลักนางไปต่อหน้า | จะได้ผลาญชีวาให้อาสัญ |
นี่ลอบเล่นลับหลังทั้งนั้น | จึ่งติดพันรบพุ่งถึงกรุงไกร |
ซึ่งตัวท่านหาญฮึกนึกประมาท | เศียรจะขาดกลิ้งอยู่หารู้ไม่ |
จะให้พระเชษฐาออกมาไย | แต่เราไซ้กับท่านจะราญรอน |
ถึงองค์เจ้าลงกาออกมาด้วย | ก็จะม้วยชีวิตรด้วยฤทธิ์ศร |
อันยักษีตรีเศียรหกกร | กับทูตขรน้องชายตายเพราะใคร |
ฯ ๘ คำ ฯ
๙๒๔๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์เคืองขัดอัชฌาไศรย |
กระทืบบาทกราดเกรี้ยวตรัสไป | เหม่มนุษย์นี้ใจทนงนัก |
จะฆ่าเสียให้ตายวายชีวิตร | เอาโลหิตเซ่นหอกโมกขศักดิ |
แล้วร้องสั่งพหลพลยักษ์ | เร่งตีทัพจับพระลักษณ์มาบัดนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๙๒๕๏ บัดนั้น | พวกพลอสุรศักดิยักษี |
รับสั่งสำแดงแผลงฤทธี | เข้าโจมตีทัพน่าวานร |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๙๒๖๏ บ้างเงื้อหอกทวนแทงแกว่งดาบ | ยิงธนูกำซาบศิลป์ศร |
ทั้งซ้ายขวาดากันฟันฟอน | ตลุมบอนบันบุกรุกรบ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๙๒๗๏ บัดนั้น | พลกระบินทร์ปลิ้นปลอกหลอกหลบ |
ชิงอาวุธฉุดชักหักทบ | บ้างกัดขบกุมภัณฑ์คั้นฅอ |
บ้างเผ่นโผนโจนทยานขึ้นเหยียบบ่า | เงื้อสาตราฟันแทงแขงข้อ |
ได้ทีตีประดังไม่รั้งรอ | อสุรพลย่นย่อท้อถอยไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๙๒๘๏ บัดนั้น | สี่เสนามารทหารใหญ่ |
เห็นโยธาอาสัญบรรไลย | ลิงไล่ติดพันกระชั้นมา |
ต่างกวัดแกว่งตะบองร้องตวาด | องอาจออกสกัดกั้นหน้า |
ตีลิงกลิ้งเกลื่อนกลางสุธา | อสุราไล่รุกบุกบัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๙๒๙๏ บัดนั้น | ฝ่ายกระบินทร์นิลเอกนิลขัน |
สุรเสนสุรการชาญฉกรรจ์ | เข้าประจัญจับสี่เสนียักษ์ |
ถ้อยทีตีรันฟันแทง | เรี่ยวแรงรอนราญหาญหัก |
ฉวยชิงอาวุธฉุดชัก | กลอกกลับจับยักษ์ด้วยศักดา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๙๓๐๏ สี่กระบี่มีกำลังไม่ยั้งหยุด | ทยานยุดยันเหยียบยักษา |
แกว่งพระขรรค์ฟันสี่เสนา | ล้มดิ้นสิ้นชีวาวายปราณ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๙๓๑๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์ฤทธิไกรใจหาญ |
เห็นเสนีนายไพร่บรรไลยลาญ | ยิ่งกริ้วโกรธโดดทยานลงจากรถ |
แกว่งหอกหวดประหารราญรอน | วานรใหญ่น้อยถอยไปหมด |
พระยามารดาลเดือดไม่เงือดงด | รุกเข้ามาน่ารถพระอนุชา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๙๓๒๏ เมื่อนั้น | น้องนารายน์ฤทธิแรงแขงกล้า |
แลเห็นกุมภกรรฐ์กระชั้นมา | จึ่งลงจากรัถาเข้าราวี |
ขึ้นเหยียบเข่าขุนมารทยานยุด | กลอกกลับสัปรยุทธยักษี |
รับรองป้องกันประจันตี | ถ้อยทีหนีไล่กันไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๙๓๓๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์สิทธิศักดิยักษา |
ประจัญบานหาญหักด้วยศักดา | เห็นว่าไม่ชนะมนุษย์ |
จึ่งแกล้งทำลวงฬ่อรอรั้ง | ถอยหลังรบรับสัปรยุทธ |
แกว่งกลอกหอกเทพอาวุธ | เยื้องกรายหมายมนุษย์แล้วพุ่งไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๙๓๔๏ โมกขศักดิปักอกพระอนุชา | จะดำรงกายามิใคร่ได้ |
สุครีพเข้ารับรองประคองไว้ | สลบซบไปไม่สมประดี |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๙๓๕๏ บัดนั้น | โยธาวานรไม่ถอยหนี |
ออกรับรองป้องกันประจันตี | มิให้ไพรีรุกมา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๙๓๖๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์สิทธิศักดิยักษา |
ครั้นมีไชยชนะพระอนุชา | พอโพล้เพล้เวลาสายัณห์ |
จึ่งประชุมพลนิกายนายไพร่ | แล้วสั่งให้โห่ร้องก้องสนั่น |
เสด็จทรงรถแก้วแพรวพรรณ | เลิกพหลพลขันธ์เข้าเมืองยักษ์ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๙๓๗๏ บัดนั้น | พวกพลกระบี่มีศักดิ |
เคียงประคองน้องพระหริรักษ์ | ฉุดชักหอกไชยไม่เคลื่อนคลา |
เปนสุดรู้สุดฤทธิ์จะคิดอ่าน | แสนสงสารพระลักษณ์หนักหนา |
บ้างกลิ้งเกลือกเสือกกายฟายน้ำตา | โศกาอื้ออึงคนึงไป |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๙๓๘๏ แล้วสุครีพปฤกษาว่านิลนนท์ | เราสุดจนพ้นที่จะแก้ไข |
ท่านเร่งรีบกลับไปฉับไว | ทูลให้ทราบบาทบทมาลย์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๙๓๙๏ บัดนั้น | ขุนกระบินทร์นิลนนท์นายทหาร |
รับคำสุครีพรีบลนลาน | เหาะทยานตรงกลับมาพลับพลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๙๔๐๏ ครั้นถึงจึ่งประนตบทบงสุ์ | ทูลองค์พระนารายน์นาถา |
บัดนี้องค์พระอนุชา | ต้องหอกพระยากุมภกรรฐ์ |
พวกข้าเฝ้าเข้าช่วยกันแก้ไข | ไม่หวาดไหวเห็นว่าจะอาสัญ |
ข้าจึ่งมาเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ | รำพรรณทูลพลางทางโศกี |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๙๔๑๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี |
ได้ฟังดังจะสิ้นสมประดี | ไฉนเปนเช่นนี้พระอนุชา |
ว่าพลางทางจับพระแสงศร | พร้อมวานรไพร่นายซ้ายขวา |
ออกจากที่ประทับพลับพลา | นิลนนท์นำน่าคลาไคล |
ฯ ๔ คำ ฯ ทยอย
๙๔๒๏ ครั้นถึงที่รบเห็นศพน้อง | เข้าประคองชักหอกหาออกไม่ |
ค่อยช้อนเกษพระลักษณ์ใส่ตักไว้ | ภูวไนยครวญคร่ำรำพรรณ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
โอ้
๙๔๓๏ โอ้ว่าเจ้าลักษณ์น้องรักพี่ | พ่อมาหนีเชษฐาอาสัญ |
เสียแรงได้เดินป่ามาด้วยกัน | จะเข่นฆ่าอาธรรม์ให้ม้วยมรณ์ |
มิทันเสร็จการศึกซึ่งนึกไว้ | พ่อมากลับบรรไลยไปเสียก่อน |
ให้พี่อยู่ผู้เดียวในดงดอน | จะราญรอนอสุราไปว่าไร |
ถึงมีไชยได้เมียก็เสียน้อง | จะเกี่ยวข้องครหานินทาได้ |
มิขออยู่สู้สิ้นชีวาไลย | ตายไปตามพระอนุชา |
ว่าพลางทางประคองพระน้องรัก | ซบภักตร์แนบชิดขนิษฐา |
พิไรร่ำกำสรดโศกา | ประหนึ่งว่าชีวันจะบรรไลย |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๙๔๔๏ บัดนั้น | พิเภกโหราอัชฌาไศรย |
จึ่งทูลพระอวตารชาญไชย | ภูวไนยจงระงับดับโศกา |
ซึ่งพระน้องต้องหอกอสุรินทร์ | ยังไม่สิ้นชีวังสังขาร์ |
แม้ได้สังกรณีตรีชวา | กับปัญจมหานัที |
ประสมเปนโอสถบดพอก | ให้แก้หอกโมกขศักดิยักษี |
พระลักษณ์ก็จะคืนสมประดี | ภูมีจงดำริห์ตริการ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๙๔๕๏ เมื่อนั้น | พระทรงสังข์ฟังพิเภกว่าขาน |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งหณุมาน | ตัวท่านรีบรัดไปบัดนี้ |
เก็บเอาสังกรณีตรีชวา | ที่เขาสรรพยาคิรีศรี |
แล้วรีบไปอยุทธยาธานี | บอกพระพรตตามมีธุระร้อน |
ให้หยิบปัญจคงคาออกมาให้ | ที่เก็บไว้ข้างสุวรรณบรรจ์ฐรณ์ |
เกลือกไม่เชื่อวาจาวานร | จงเอาศรนี้ไปเปนสำคัญ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๙๔๖๏ บัดนั้น | วายุบุตรฤทธิแรงแขงขัน |
รับสั่งพระองค์ทรงสุบรรณ | รเห็จหันเหาะลิ่วปลิวมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๙๔๗๏ ครั้นถึงสรรพยาศิงขร | วานรลงเดินริมเนินผา |
ร้องเรียกสังกรณีตรีชวา | อยู่ไหนออกมาอย่าช้าที |
ได้ยินขานข้างล่างลงไปค้น | กลับขึ้นกู่อยู่บนคิรีศรี |
จึ่งเอาหางกระหวัดรัดคิรี | มือกระบี่คอยจับสรรพยา |
ฯ ๔ คำ ฯ คุกภาษ
๙๔๘๏ ครั้นเด็ดได้ใบรากมากมาย | ลูกพระพายเกษมสันต์หรรษา |
แผลงฤทธิ์เหาะทยานผ่านฟ้า | ตรงไปอยุทธยาในราตรี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๙๔๙๏ ครั้นถึงนัคเรศนิเวศน์วัง | ลงยังพระโรงทองผ่องศรี |
พอเห็นสองกระษัตริย์สวัสดี | ออกอยู่ที่พระที่นั่งสนามจันทร์ |
จึ่งชูศรทรงพระอวตาร | ค่อยคุกคลานเข้าไปมิได้พรั่น |
ก้มเกล้าเคารพอภิวันท์ | พลางรำพรรณทูลแถลงแจ้งกิจจา |
ข้าชื่อกระบี่หณุมาน | เปนทหารพระราเมศเชษฐา |
บัดนี้ทศภักตร์ลักสีดา | ไปไว้เกาะลงกาธานี |
พระต้องยกพลตามข้ามสมุท | ไปยงยุทธรบพุ่งถึงกรุงศรี |
วันนี้พระอนุชาออกราวี | ต้องหอกอสุรีสลบไป |
จะขอปัญจมหาสุธารศ | ไปประสมโอสถแก้ไข |
กลัวพระองค์จะแหนงแคลงฤไทย | จึ่งโปรดให้ศรทรงองค์นี้มา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๙๕๐๏ เมื่อนั้น | สองกระษัตริย์ทรงฟังไม่กังขา |
คิดสงสารสามกระษัตริย์ขัติยา | อนิจายากเย็นเข็ญใจ |
แล้วมิหนำซ้ำต้องไปผลาญยักษ์ | จนเจ้าลักษณ์ออกรบสลบไสล |
ร่ำพลางทางทรงโศกาไลย | สอื้นไห้ไม่เปนสมประดี |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
ร่าย
๙๕๑๏ ครั้นค่อยคลายวิโยคโศกศัลย์ | จึ่งผายผันเข้าไปในที่ |
หยิบขวดปัญจมหาวารี | มายื่นให้ขุนกระบี่แล้วบัญชา |
ช่วยทูลองค์อวตารผ่านเกล้า | ว่าตัวเราบังคมก้มเกษา |
อยู่หลังตั้งกินแต่น้ำตา | ไม่มีศุขทุกทิวาราตรี |
แม้นพระองค์ปราบปรามสงครามเสร็จ | เชิญเสด็จมาบำรุงกรุงศรี |
แม้นตรัสถามถึงสามพระชนนี | จงทูลว่าอยู่ดีไม่มีไภย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๙๕๒๏ บัดนั้น | วายุบุตรรับสั่งบังคมไหว้ |
ค่อยประคองขวดแก้วแววไว | แผลงอิทธิ์ฤทธิไกรกลับมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๙๕๓๏ ครั้นถึงที่ประจญรณรงค์ | เข้าเฝ้าพระหริวงษ์นาถา |
ถวายสังกรณีตรีชวา | กับทั้งปัญจมหาคงคาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๙๕๔๏ เมื่อนั้น | พระราเมศยินดีจะมีไหน |
สั่งพิเภกกุมกัณฑ์ทันใด | จงแก้ไขบดยาอย่าช้าที |
ฯ ๒ คำ ฯ
๙๕๕๏ บัดนั้น | พิเภกรับสั่งใส่เกษี |
จึ่งประสมสรรพยากับวารี | ร่ายเวทวิธีบดไป |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๙๕๖๏ แล้วหยิบยามาพอกที่หอกยักษ์ | โมกขศักดิก็หลุดออกมาได้ |
แล้วเป่าตรงองค์พระลักษณ์ฤทธิไกร | บัดใจก็ฟื้นคืนมา |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๙๕๗๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ลืมเนตรเห็นเชษฐา |
จึ่งบังคมก้มกราบกับบาทา | แล้วทูลว่าข้าน้อยนี้ผิดนัก |
มาเสียทัพอัปราครานี้ | ขายธุลีบาทบงสุ์พระทรงศักดิ |
ยังโปรดช่วยด้วยพระคุณการุญรัก | จะได้แก้แค้นยักษ์อิกสักที |
ฯ ๔ คำ ฯ
๙๕๘๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี |
จึ่งตรัสปลอบอนุชาด้วยปรานี | แก้วพี่อย่าโศกเสียใจ |
อันต่อตีมิแพ้ก็ชนะ | ซึ่งพี่จะโกรธานั้นหาไม่ |
ว่าพลางทางชวนกันคลาไคล | เลิกไพร่พลกลับเข้าพลับพลา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๙๕๙๏ บัดนั้น | อสูรกองคอยเหตุยักษา |
เห็นมนุษย์ไปได้ไม่มรณา | ก็รีบเข้าลงกาในราตรี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๙๖๐๏ ครั้นมาถึงกรุงพอรุ่งเช้า | เข้าเฝ้าท้าวทศภักตร์ยักษี |
กราบทูลแถลงแจ้งคดี | เมื่อคืนนี้พระรามมาตามน้อง |
ใช้ทหารหายามาแก้ไข | ก็กลับฟื้นขึ้นได้เมื่อยามสอง |
พลลิงยิ่งกำเริบโห่ร้อง | เลิกกองทัพกลับไปพลับพลา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๙๖๑๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเสียใจเปนหนักหนา |
จึ่งดำรัสตรัสแก่อนุชา | ไหนเจ้าว่าไพรินสิ้นชีวิตร |
เดี๋ยวนี้มันกลับเปนเห็นฤๅไม่ | แม้นละไว้จะซ้ำกำเริบจิตร |
เจ้าผู้เรืองฤทธิรงค์จงเร่งคิด | เข่นฆ่าปัจจามิตรให้บรรไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๙๖๒๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์รันทดถอนใจใหญ่ |
แล้วว่าเหตุทั้งนี้ไม่มีใคร | คือไอ้พิเภกอัปรี |
ให้หายามาแก้พระลักษณ์ฟื้น | เพราะมันรักเขาอื่นยิ่งกว่าพี่ |
ข้าจะบังคมลาฝ่าธุลี | ออกไปที่ท่ามกลางสมุทไทย |
จะทดน้ำมิให้ไหลมา | ทางกองทัพพลับพลาพระรามได้ |
ต้องอดสักสามวันก็บรรไลย | ไม่พักไปเข่นฆ่าราวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๙๖๓๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี |
ได้ฟังอนุชาพาที | ยินดีสรวลสันต์สนั่นไป |
แล้วว่าการกลศึกเจ้าฦกล้ำ | เหมือนตัดลำเลียงน้ำมันเสียได้ |
กระนั้นพระอนุชาเร่งคลาไคล | ไปทำให้สำเร็จเสร็จการ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๙๖๔๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์คำนับรับบรรหาร |
ทูลลาแล้วลุกมาน่าพระลาน | พระยามารรีบเหาะรเห็จไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๙๖๕๏ ครั้นถึงท้องทเลลมยมนา | จึ่งนิมิตรกายาให้โตใหญ่ |
แล้วทอดองค์ลงกลางสมุทไทย | เหยียดเท้ายาวไปถึงจักรวาฬ |
จึ่งร่ายเวทวิธีบริกรรม | ทดน้ำในท้องกระแสสาร |
เดชะพระเวทอันเชี่ยวชาญ | ชลธารแห้งขอดตลอดไป |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๙๖๖๏ บัดนั้น | พวกโยธาวานรน้อยใหญ่ |
ครั้นรุ่งรางต่างพากันคลาไคล | ลงไปสู่ท่าวาริน |
ฯ ๒ คำ ฯ พระยาเดิน
๙๖๗๏ ครั้นถึงริมฝั่งก็ยั้งหยุด | เห็นน้ำในสายสมุทแห้งไปสิ้น |
เอะอยู่แล้วทีนี้ไม่มีกิน | พวกกระบินทร์วิ่งกลับมาบอกนาย |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๙๖๘๏ บัดนั้น | สุครีพจำกำหนดจดหมาย |
รีบรัดจัดแจงแต่งกาย | เข้าเฝ้าพระนารายน์ฤทธิไกร |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๙๖๙๏ จึ่งทูลว่าวันนี้วิปลาศ | น้ำขาดขอดฝั่งไม่หลั่งไหล |
เหล่าลิงอดอยากลำบากใจ | จงทราบใต้บทมาลย์พระผ่านฟ้า |
ฯ ๒ คำ ฯ
๙๗๐๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงฟังไม่กังขา |
จึ่งดำรัสตรัสถามโหรา | ไยคงคาจึ่งแห้งแล้งไป |
ฯ ๒ คำ ฯ
๙๗๑๏ บัดนั้น | พิเภกโหราอัชฌาไศรย |
รับสั่งสังเกตดูเหตุไภย | แล้วขับไล่ฤกษ์ยามตามคัมภีร์ |
ครั้นเห็นเที่ยงแท้แน่ตระหนัก | จึ่งทูลพระหริรักษ์เรืองศรี |
กุมภกรรฐ์นั้นไปตั้งพิธี | อยู่ที่ทเลลมยมนา |
ทดน้ำทำให้แห้งขาด | ด้วยอำนาจอาคมคาถา |
หวังจะให้ไพร่พลที่พลับพลา | อดคงคาล้มตายวายปราณ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๙๗๒๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน |
ได้ฟังแจ้งแห่งคำโหราจารย์ | จึ่งตรัสสั่งหณุมานชาญไชย |
จงไปล้างพิธีกุมภกรรฐ์ | ให้น้ำนั้นไหลลงมาจงได้ |
ถึงแถวทางคลางแคลงแห่งใด | จงถามไถ่พิเภกโหรา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๙๗๓๏ บัดนั้น | วายุบุตรคำนับรับอาสา |
ถอยหลังออกไปลับพลับพลา | แผลงอิทธิฤทธาเหาะทยาน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๙๗๔๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นกุมภกรรฐ์ | กายนั้นโตใหญ่ไพศาล |
ลงนอนขวางกลางท้องนทีธาร | ขุนมารหลับเนตรภาวนา |
จึ่งนิมิตรกายาวานร | กลับเปนแปดกรสี่หน้า |
ผลาดแผลงสำแดงเดชา | เข้าโถมถีบอสุราในวารี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๙๗๕๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์ผุดลุกขึ้นจากที่ |
เสียการตระบะกิจพิธี | อสุรีโกรธลิงยิ่งกว่าไฟ |
กวัดแกว่งคทาถาโถม | รุกโรมตีรันกระชั้นไล่ |
หวดซ้ายป่ายขวาว่องไว | ชิงไชยกระชิดติดพัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๙๗๖๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรฤทธิแรงแขงขัน |
เผ่นโผนโจนจับกับกุมภกรรฐ์ | พัลวันกลอกกลับรับรอง |
ทยานขึ้นเหยียบเข่าน้าวเศียร | ผลัดเปลี่ยนหนีไล่ไวว่อง |
สัปรยุทธฉุดชิงได้ตะบอง | ตีต้องพระยามารซานทรุด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๙๗๗๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์ออกรอาวายุบุตร |
เสียสิ้นสาตราอาวุธ | ยงยุทธย่อท้อค่อยรอรับ |
แต่ปล้ำปลุกปลกเปลี้ยเสียที | ขุนกระบี่เผ่นโผนขึ้นโจนจับ |
อสุรีแรงน้อยย่อยยับ | ไม่ต่อตีหนีกลับไปลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๙๗๘๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานหาญกล้า |
ครั้นยักษีหนีไปไกลตา | ก็แผลงฤทธิ์เหาะมาพลับพลาไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๙๗๙๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า | ก้มเกล้าบังคมประนมไหว้ |
ทูลแถลงแจ้งความทั้งปวงไป | ดังได้ล้างกิจพิธี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๙๘๐๏ เมื่อนั้น | พระรามเมศทรงสวัสดิรัศมี |
จึ่งตรัสชมขุนกระบินทร์ด้วยยินดี | ไม่เสียทีสามารถอาจอง |
อันคำแหงหณุมานปานนิ้วเพ็ชร | จะชี้ไหนได้เสร็จสมประสงค์ |
ตรัสพลางทางจับพระแสงทรง | เสด็จตรงเข้าในที่ไสยา |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๙๘๑๏ เมื่อนั้น | พระยากุมภกรรฐ์ยักษา |
ครั้นมาถึงพิไชยลงกา | เสด็จมาพระโรงคัลทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๙๘๒๏ ก้มเกล้าเคารพอภิวาท | พระเชษฐาธิราชเปนใหญ่ |
แล้วทูลว่าหณุมานชาญไชย | มันตามไปฝั่งน้ำทำจัณฑาล |
จนเสียกิจวิทยาอาคม | ไม่เสร็จสมเหมือนจิตรที่คิดอ่าน |
ข้ากลับมาว่าจะเกณฑ์พลมาร | ไปรอนราญรามลักษณ์อิกสักที |
ฯ ๔ คำ ฯ
๙๘๓๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริวงษ์ยักษี |
จึ่งว่าชะช่างกระไรไพรี | มันมีแต่ล่วงรู้ดูแคลน |
ว่าพลางทางสั่งเสนา | จงเกณฑ์พลสักห้าสิบแสน |
น้องกูจะออกไปแก้แค้น | ทดแทนข้าศึกที่ฮึกฮัก |
ฯ ๔ คำ ฯ
๙๘๔๏ บัดนั้น | มโหทรเสนีมีศักดิ |
ก้มเกล้าประนตทศภักตร์ | แล้วขุนยักษ์รีบรัดไปจัดแจง |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๙๘๕๏ เกณฑ์หมู่สุรศักดิยักษา | ทั้งทัพหนุนทัพน่ากล้าแขง |
จัดเปนปีกป้องกองแซง | ตามตำแหน่งพร้อมพรั่งคั่งคับ |
ขุนช้างต่างผูกคชสาร | หมอควาญตัวดีขึ้นขี่ขับ |
ทหารม้ามาเข้ากระบวนทัพ | ถือหอกซัดสำหรับราวี |
ขุนรถรีบรัดจัดรถศึก | เทียมโตโคถึกเสือหมี |
พลเท้าห้าวหาญผลาญไพรี | ถือกระบี่ดั้งโล่ห์โตมร |
ฝ่ายโลทันก็จัดรัถา | เทียมด้วยพระยาไกรสร |
มาเทียบกับเกยสุวรรณอันบวร | พลนิกรพร้อมพรั่งดังบัญชา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๙๘๖๏ เมื่อนั้น | กุมภกรรฐ์สิทธิศักดิยักษา |
ถวายอัญชลีพระพี่ยา | ลีลาไปสรงชลธาร |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๙๘๗๏ นางในไขสุหร่ายสายสินธุ์ | วารินลอองอาบซาบซ่าน |
ทรงสุคนธ์ปนทองรองพาน | พนักงานรำเพยพัชนี |
สนับเพลาเชิงงอนซ้อนกระหนก | ภูษายกแย่งรูปราชสีห์ |
ฉลององค์ทรงสอดใส่อินทรีย์ | สวมเกราะแก้วมณีศรีประเทือง |
ปั้นเหน่งเพ็ชรพรรณรายสายกระสัน | สังวาลวรรณสายสร้อยห้อยเฟื่อง |
พาหุรัดรจนาค่าเมือง | ทองกรประดับเนื่องเนาวรัตน์ |
ธำมรงค์รังแตนแหวนเพ็ชร | น้ำหนักแต่ละเม็ดเจ็ดกรัด |
กรรเจียกจรเจียรไนดอกไม้ทัด | กรีดพระหัดถ์ห้อยห่วงพวงผกา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๙๘๘๏ ครั้นเสร็จสรรพจับพระแสงศรทรง | อาจองเยื้องย่างออกข้างน่า |
เคลื่อนพหลพลไกรไคลคลา | ออกจากลงกาพระนคร |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
โทน
๙๘๙๏ รถเอยราชรถทรง | ดุมวงกงแปรกแอกอ่อน |
บุษบกบัลลังก์กระจังซ้อน | สามงอนงามรหงธงไชย |
เทียมพระยาสิงหราชผาดผยอง | เริงร้องก้องสนั่นหวั่นไหว |
เครื่องสูงแสงแก้วแววไว | แห่แหนแน่นในเนินบรรพต |
สัตวสิงวิ่งตื่นตัดน่าฉาน | ลางบันดาลหลากตาปรากฎ |
กาเหยี่ยวเฉี่ยวโฉบเอางอนรถ | กุมภกรรฐ์รันทดท้อฤไทย |
เสียงโห่โยธาอยู่น่าทัพ | ฟังสำเนียงเสียงกลับเหมือนร้องไห้ |
ก็รู้ว่าชีวันจะบรรไลย | แต่มานะหักใจไคลคลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๙๙๐๏ ครั้นถึงที่ประจญรณรงค์ | ให้ปักธงเรียงรายริมชายป่า |
สารวัดนายหมวดตรวจตรา | ตั้งเปนปีกกาคอยราวี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๙๙๑๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์องค์นารายน์เรืองศรี |
เสด็จออกพลับพลาน่าคิรี | เสนีกราบก้มบังคมคัล |
ตรัสประภาษราชกิจการสงคราม | จะปราบปรามยักษาให้อาสัญ |
พอได้ยินสำเนียงเสียงนี่นัน | ก้องกึกพิฦกลั่นโลกา |
ก็รู้ว่าข้าศึกฮึกหาญ | จึ่งโองการถามพิเภกยักษา |
วันนี้ทัพไชยใครยกมา | เจ้าลงกาฤๅวงษ์พงษ์พันธุ์ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๙๙๒๏ บัดนั้น | พิเภกพิเคราะห์ดูรู้แม่นมั่น |
จึ่งทูลพระหริวงษ์ทรงธรรม์ | กุมภกรรฐ์ยกมาเพลานี้ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๙๙๓๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์เรืองศรี |
จึ่งปฤกษาวานรเสนี | กุมภกรรฐ์มันมีฤทธิไกร |
เมื่อครั้งก่อนก็พุ่งโมกขศักดิ | ต้องพระลักษณ์ซอนซบสลบไสล |
วันนี้เราจะออกชิงไชย | สุครีพไปเร่งรัดจัดโยธา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๙๙๔๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษา |
ก้มกรานคลานคล้อยถอยออกมา | ตรวจตราเตรียมพหลพลนิกร |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๙๙๕๏ ตั้งกระบี่ศรีชมภูพาล | เปนกองน่ากล้าหาญชาญสมร |
ปีกขวาวาหุโรมฤทธิรอน | ปีกซ้ายเกสรทมาลา |
สุรการสุรเสนเจนประจญ | คุมพลเปนเกียกกายซ้ายขวา |
นิลราชกองหลังรั้งโยธา | ทุกหมู่หมวดตรวจตราเตรียมกาย |
พวกลิงไพร่ใส่หมวกกางเกงเสื้อ | บ้างขี่หมูหมีเสือเหลือหลาย |
แล้วเทียมราชรถแก้วแพรวพราย | คอยท่าพระนารายน์ฤทธิไกร |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๙๙๖๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
ชวนพระลักษณ์อนุชาคลาไคล | เสด็จไปสรงสหัสนัที |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๙๙๗๏ ชำระสระสนานสำราญกาย | กรีดกรายพระหัดถ์ขัดสี |
ลูบไล้สุคนธาวารี | กลิ่นผกามาลีตระหลบองค์ |
สอดใส่สนับเพลาเชิงกระหนก | ภูษายกไว้วางหางหงษ์ |
ผ้าทิพย์ขลิบสุวรรณบรรจง | ฉลององค์เกราะแก้วแวววับ |
ปั้นเหน่งเพ็ชรไพโรจโชติช่วง | ทับทรวงเฟื่องห้อยพลอยประดับ |
พาหุรัดทองกรซ้อนซับ | ธำมรงค์เรืองรยับจับตา |
ต่างทรงมงกุฎแก้วเก็จ | กรรเจียกเพ็ชรพรรณรายทั้งซ้ายขวา |
ห้อยอุบะดอกดวงพวงผกา | แล้วทรงศรสาตราเคยราวี |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๙๙๘๏ ครั้นเสร็จเสด็จจรจรัล | จากสุวรรณพลับพลาหลังคาสี |
พิเภกถวายไชยได้ฤกษ์ดี | ให้คลายคลี่เคลื่อนพหลพลรบ |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๙๙๙๏ รถเอยรถวิมาน | แก้วก้านกระหนกกระหนาบคาบขบ |
กงก้องดินดังกระทั่งกระทบ | คุมหมุนฝุ่นตระหลบบนนภางค์ |
งอนรหงธงชายปลายสบัด | เทียมเทพกัณฐัศว์สบัดย่าง |
สารถีเทวาทำท่าทาง | ถือหางนกยูงทองทั้งสองมือ |
อภิรุมชุมสายพรายพริ้ง | ทานตวันกรรชิงล้วนลิงถือ |
ประโคมฆ้องกลองสนั่นบันฦๅ | อึงอื้ออุโฆษโจษจรร |
วานรนายทหารขานโห่ | ก้องโกลาหลถึงบนสวรรค์ |
กองทัพนับแสนแน่นนัน | เร่งร้นพลขันธ์ไคลคลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๐๐๐๏ ครั้นถึงที่รบพบทัพยักษ์ | เห็นธงปักเรียงรายริมชายป่า |
จึ่งให้หยุดรถแก้วแววฟ้า | พร้อมพรั่งตั้งดาเปนน่ากระดาน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๐๐๑๏ เมื่อนั้น | พระยากุมภกรรฐ์กำแหงหาญ |
แลเขม้นเห็นพระอวตาร | พระยามารไม่รู้จักภักตรา |
จึ่งตรัสถามสารถีที่รถทรง | รู้ว่าองค์ราเมศเชษฐา |
กระทืบรถพระที่นั่งสั่งโยธา | จงเร่งเข้าเข่นฆ่าวานร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๐๒๏ บัดนั้น | พวกพหลพลมารชาญสมร |
แกว่งดาบดั้งโล่ห์โตมร | เข้าราญรอนรุกโรมโจมตี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๐๐๓๏ บัดนั้น | ลิงเหล่าทหารชาญไชยศรี |
กวัดแกว่งสาตราเข้าราวี | ถ้อยทีหนีไล่กันไปมา |
บ้างถาโถมโจมจับสัปรยุทธ | อุตลุดหลอนหลอกกลอกหน้า |
ไล่กระชั้นฟันยักษ์โยธา | อสุราแตกยับทั้งทัพไชย |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๐๐๔๏ เมื่อนั้น | พระยากุมภกรรฐ์เปนใหญ่ |
เห็นโยธีหนีตายกระจายไป | ยิ่งพิโรธโกรธใจดังไฟฟ้า |
โจนจากรถทรงองอาจ | เข้าตีลิงกลิ้งกลาดกลางป่า |
ไล่รุกบุกบันกระชั้นมา | จนถึงน่ารถทรงองค์พระราม |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๐๕๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกทั้งสาม |
ลงจากรถสุวรรณไม่ครั่นคร้าม | พระลักษณ์ตามเชษฐาเข้าราวี |
ป้องปัดสาตราอาวุธ | ประจัญจับสัปรยุทธยักษี |
ทั้งสองข้างต่างเรืองฤทธี | ต่อตีหนีไล่กันไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๐๐๖๏ เมื่อนั้น | พระยากุมภกรรฐ์ยักษา |
ประจัญบานราญรอนอ่อนรอา | จึ่งขึ้นศรศักดาแล้วแผลงไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๐๐๗๏ เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงสนั่นครั่นครึก | ก้องกึกกัมปนาทหวาดไหว |
ต้องกระบี่รี้พลสกลไกร | พุงไส้เรี่ยรายวายปราณ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๐๐๘๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน |
จึ่งขึ้นศรวิรุณจักรวาฬ | ยิงแย้งแผลงผลาญไปฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๐๐๙๏ เปนพระพายชายพัดรวยรื่น | วานรฟื้นกายาไม่อาสัญ |
แล้วศรไชยไปต้องกุมภกรรฐ์ | ล้มดิ้นยันยันบรรไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๐๑๐๏ เสร็จสังหารมารม้วยมรณา | พอเพลาบ่ายแสงสุริย์ใส |
จึ่งเลิกทัพขับพลสกลไกร | กลับไปพลับพลาพนาวัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๐๑๑๏ บัดนั้น | อสูรกองคอยเหตุในไพรสัณฑ์ |
เห็นเจ้านายมรณาก็พากัน | ด้นดั้นเดินป่าไปธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๐๑๒๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า | ก้มเกล้าประนตบทศรี |
ทูลความตามเรื่องราวี | บัดนี้กุมภกรรฐ์บรรไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๐๑๓๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรเปนใหญ่ |
ได้ฟังดังจะดิ้นสิ้นใจ | ให้อาไลยในองค์พระน้องรัก |
นิจาเอ๋ยเคยทรงสัตย์ธรรม์ | วิทยาสารพันจะรู้หลัก |
มาม้วยมอดวอดวายเสียดายนัก | พระยายักษ์โศกาอาไลย |
แล้วคิดแค้นมนุษย์สุดแค้น | กูจะทำทดแทนมันให้ได้ |
พลางดำรัสตรัสสั่งเสนาใน | จงเร่งไปหาอินทรชิตมา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๐๑๔๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกษา |
ก้มเกล้ากราบงามสามลา | รีบมาเฝ้าองค์อินทรชิต |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๐๑๕๏ ครั้นถึงจึ่งบังคมก้มเกล้า | แถลงเล่าชี้แจงให้แจ้งจิตร |
รับสั่งใช้ให้เชิญพระทรงฤทธิ์ | ไปช่วยคิดหักหาญการณรงค์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๐๑๖๏ เมื่อนั้น | โอรสทศเศียรสูงส่ง |
รีบรัดจัดแจงแต่งองค์ | ขึ้นเฝ้าบิตุรงค์ทรงศักดา |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า
๑๐๑๗๏ ครั้นถึงจึ่งบังคมก้มเกล้า | หมอบเฝ้าตามตำแหน่งโอรสา |
นิ่งสดับรับรศพจนา | จะบัญชาโปรดปรานประการใด |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๐๑๘๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์ตรมอกหมกไหม้ |
เหลือบเห็นโอรสยศไกร | ดีใจจึ่งแถลงแจ้งกิจจา |
กุมภกรรฐ์วันนี้ออกราญรอน | ก็ต้องศรสิ้นชีวังสังขาร์ |
เจ้าผู้เรืองฤทธิรงค์ทรงศักดา | เคยปราบสิ้นดินฟ้าสุราไลย |
จงอาสาบิดรออกรอนราญ | ไปสังหารรามลักษณ์ให้ตักไษย |
แม้นเสร็จศึกสมหวังดังใจ | จะมอบให้เจ้าบำรุงกรุงลงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๐๑๙๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิยักษา |
ได้ฟังคั่งแค้นแทนอาว์ | ดังไฟฟ้าเผาสุมกลุ้มใจ |
จึ่งทูลว่าพระองค์ทรงพิภพ | อย่าปรารภร้อนรนหม่นไหม้ |
ลูกรักจักอาสาไป | ลุยไล่สพัดมัดมันมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๒๐๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสรวลสันต์หรรษา |
เข้ากอดจูบลูบหลังลูกยา | เจ้าดวงใจไนยนาของบิดร |
อะไรกับสงครามรามลักษณ์ | ไม่ทานฤทธิ์สิทธิศักดิแสงศร |
ว่าพลางทางสั่งมโหทร | จงเกณฑ์พลนิกรให้บัดนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๒๑๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งใส่เกษี |
บังคมลาแล้วคลานจรลี | ออกจากที่พระโรงคัลทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๑๐๒๒๏ กะเกณฑ์พหลพลกุมภัณฑ์ | เลือกเอาเหล่าฉกรรจ์ขึ้นใหม่ |
เร่งรัดสัสดีมี่ไป | ไม่ได้ตัวผัวให้เอาเมียมา |
บ้างบาดหมายนายมุลขุนหมื่น | ให้จ่ายปืนลูกดินหินผา |
ที่เกี่ยวข้องต้องคดีเนิ่นช้า | บอกเลิกเบิกมาเข้ากองทัพ |
อสุราสารวัดจัดกระบวน | ครบถ้วนสิบสมุทอาวุธสรรพ |
บ้างถือดาบโล่ดั้งคั่งคับ | เคยหักโหมโจมทัพนับร้อย |
ทหารหอกปลอกคร่ำด้ามข้อถี่ | ใส่เสื้อดำกำมหยี่สีควันอ้อย |
แล้วเทียมรถที่นั่งบัลลังก์ลอย | มาคอยเคียงประทับกับเกยลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๐๒๓๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิยักษา |
ครั้นพรั่งพร้อมพหลพลโยธา | เสด็จมาอ่าองค์สรงชล |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๐๒๔๏ ชำระสระสนานสำราญกาย | สุหร่ายโรยโปรยปรายดังสายฝน |
ลูบไล้น้ำกุหลาบซาบสกนธ์ | ทรงสุคนธ์ตระหลบอบควันเทียน |
สอดสนับเพลาริ้วพลิ้วแพลง | ภูษาแย่งอย่างย้ายลายทองเขียน |
ฉลององค์ทรงเกราะแก้ววิเชียร | เจียรบาดคาดเนียนกระเสียนกาย |
ปั้นเหน่งเนื่องเนาวรัตน์ขัดขอ | กรองสอสังเวียนวิเชียรฉาย |
ทองกรภุกามแก้วแพรวพราย | ธำมรงค์เพ็ชรรายรูจี |
สวมทรงมงกุฎบุษย์รยับ | กรรเจียกจรซ้อนซับสลับสี |
จับพระแสงศรสิทธิ์ฤทธี | แล้วลีลามาที่ประชุมพล |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๑๐๒๕๏ ขึ้นทรงรถแก้วสุรการ | ทวยหาญกราบงามสามหน |
เสียงฟ้าร้องต้องตำราฤกษ์บน | ให้เดินพลพยุหบาตรดาษเดียร |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
โทน
๑๐๒๖๏ รถเอยราชรถทรง | สำหรับองค์โอรสทศเศียร |
เพลาดุมหุ้มสุวรรณหันเวียน | แก้ววิเชียรประดับวับวาว |
เทียมไกรสรราชผาดผยอง | ดังจะล่องลอยคว้างมากลางหาว |
บุษบกบัลลังก์แก้วแพรวพราว | กว้างยาวราวรถพระอาทิตย์ |
เสียงกงก้องกึกพิฦกลั่น | สเทือนถึงสวรรค์ชั้นดุสิต |
เทพบุตรหับบานทวารมิด | รวังตัวกลัวฤทธิ์อสุรี |
พระยาครุธยุดนาคในนภางค์ | ผวาวางนาคินทร์บินหนี |
ไม้ไล่แหลกลงเปนผงคลี | ยักษีเหยียบยุ่ยลุยแหลกไป |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๐๒๗๏ ครั้นถึงที่ประจญรณยุทธ | จึ่งให้หยุดพลนิกายนายไพร่ |
พวกทหารขานโห่เอาไชย | เสียงสนั่นหวั่นไหวทั้งแดนดิน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๑๐๒๘๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์ทรงศิลป์ |
เสด็จออกพลับพลาน่าคิริน | หมู่กระบินทร์บังคมก้มกราน |
ทอดพระเนตรเสนาข้าเฝ้า | ทั้งสองเหล่าล้วนศักดากล้าหาญ |
สุครีพนิลนนท์หณุมาน | ชมภูพาลพวกพระยาพาลี |
ขุนกระบินทร์นิลเอกนิลขัน | ทวิกันกองชมภูบูรีศรี |
ล้วนชำนาญการณรงค์ราวี | พระจักรีตรัสประภาศราชการ |
พอเสียงโห่โกลาดังฟ้าลั่น | เคยสำคัญข้าศึกฮึกหาญ |
จึ่งตรัสถามโหราปรีชาชาญ | เสียงสท้านทัพใหญ่ใครยกมา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๐๒๙๏ บัดนั้น | พิเภกบังคมก้มเกษา |
นิ่งนับจับยามสามตา | แล้ววันทาทูลพระหริรักษ์ |
ซึ่งเปนจอมจัตุรงค์มาสงคราม | ทรงนามอินทรชิตสิทธิศักดิ |
เปนเอกองค์โอรสทศภักตร์ | อาสาพระยายักษ์ยกมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๓๐๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
ฟังพิเภกทูลแถลงแจ้งกิจจา | จึ่งสั่งพระอนุชายาใจ |
เจ้าจงยกพหลพลนิกร | ไปราญรอนผลาญยักษ์ให้ตักไษย |
แล้วตรัสสั่งสุครีพจงรีบไป | เกณฑ์พหลพลไกรให้บัดนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๓๑๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษี |
ก้มเกล้ากราบงามสามที | ออกมาที่เกยลาน่าพระลาน |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๑๐๓๒๏ ตรวจตรากระบวนทัพสำหรับรบ | เกณฑ์รดมสมทบทวยหาญ |
บ้างใส่หมวกเสื้อมงคลลนลาน | เครื่องอานสวมตัวออกพัวพัน |
พวกเสื้อป่าปีกป้องกองหลัง | ถือดาบดั้งสำหรับรบขบขัน |
ลิงลำลองกองน่าห้าพัน | ไม้พลองตะบองสั้นทั้งสองมือ |
ที่ไม่มีอาวุธยุทธนา | ก็หักกิ่งพฤกษานั้นมาถือ |
ต่างลำพองคนองศึกได้ฝึกปรือ | อึงอื้ออัดแอแซ่ไป |
พวกกระบี่ยกรบัตรปลัดทัพ | ทนายกางกั้นสัปรทนให้ |
แล้วเตรียมรถมาประทับกับเกยไชย | ทุกหมู่หมวตตรวจไพร่พร้อมพรัก |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๐๓๓๏ เมื่อนั้น | พระรามราชสุริวงษ์ทรงศักดิ |
จึ่งอำนวยอวยไชยให้พระลักษณ์ | ให้น้องรักรบชนะอสุรินทร์ |
สารพัดสาตราปัจจามิตร | อย่าต้านติดต่อสู้ธนูศิลป์ |
จะทำศึกตรึกตราเปนอาจิณ | อย่าดูหมิ่นประมาทอาจอง |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๓๔๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ชื่นชมสมประสงค์ |
น้อมคำนับรับพรพระหริวงษ์ | แล้วลีลามาสรงคงคาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๐๓๕๏ ไขสหัสธาราดังห่าฝน | ต้องสกนธ์ซ่านเซนเย็นใส |
ทรงกระแจะจันทน์ปรุงจรุงใจ | ลูบไล้เครื่องต้นสุคนธา |
สอดสนับเพลาพริ้งยิ่งยง | บรรจงทรงทิพยภูษา |
ตาดทองฉลององค์อลงการ์ | ห้อยน่าผ้าทิพย์ขลิบสุวรรณ |
ปั้นเหน่งเพ็ชรไพโรจโชติช่วง | ตาบประดับทับทรวงดวงกุดั่น |
ทองกรภุกามแก้วแพรวพรัน | ธำมรงค์เรือนสุวรรณกำภู |
ทรงมงกุฎแก้วรยับประดับพลอย | อุบะบุบผาร้อยห้อยจรหู |
ขัดพระขรรค์เคยสังหารผลาญศัตรู | จับธนูศรไชยไคลคลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๑๐๓๖๏ ขึ้นทรงรถแก้วสุรการ | ทวยหาญกราบงามสามท่า |
ทหารลิงยิงปืนสัญญา | ให้ไคลคลาเคลื่อนพหลพลนิกาย |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๑๐๓๗๏ รถเอยรถทรง | งอนรหงรเหิดเฉิดฉาย |
พระที่นั่งบัลลังก์แก้วแพรวพราย | แท่นท้ายบุษบกกระหนกเกริน |
เทียมอัศวราชผาดผยอง | ดังจะล่องลอยฟ้าเวหาเหิน |
ธงน่านำพหลพลเดิน | ข้ามลำเนาเขาเขินเนินพนม |
พฤกษาสูงสองข้างหว่างวิถี | ปัถพีพ่างพื้นรื่นร่ม |
เทพบุตรเมืองสวรรค์ชั้นอินทร์พรหม | ชื่นชมเอาใจช่วยอวยพร |
พระพิรุณร่วงโรยโปรยปราย | ลมเรื่อยเฉื่อยชายมาอ่อนอ่อน |
เร่งรีบพหลพลนิกร | วานรโห่ร้องก้องแดนดง |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๐๓๘๏ ครั้นถึงเห็นทัพนับหมื่น | ตั้งดื่นดาษไปในไพรรหง |
จึ่งให้หยุดพลนิกายอยู่ชายดง | แล้วปักธงสำคัญทันที |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๐๓๙๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิยักษี |
เห็นมนุษย์ยกมาจะราวี | ท่วงทีห้าวหาญชาญสงคราม |
จึ่งให้เคลื่อนเลื่อนรถเข้าไปใกล้ | ตั้งสง่าปราไสไต่ถาม |
ดูรามนุษย์รูปงาม | ท่านนี้มีนามกรใด |
เที่ยวคุมพลปล้นเมืองเหมือนโจรป่า | ไม่อับอายขายหน้าฤๅไฉน |
จะประสงค์เงินทองของสิ่งใด | จงบอกให้แจ้งอรรถบัดนี้ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๐๔๐๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ทรงสวัสดิรัศมี |
จึ่งตอบอินทรชิตฤทธี | เรานี้มีนามชื่อพระลักษณ์ |
องค์นารายน์ราเมศเชษฐา | ผ่านศรีอยุทธยาอาณาจักร |
อันของดีมีมากกว่าเมืองยักษ์ | ไม่ประสงค์จงรักสิ่งไร |
เหตุด้วยทศกรรฐ์อันธพาล | กระทำการทุจริตผิดวิไสย |
ลักพระพี่สีดามาไว้ | เราจึ่งได้ตามมาราวี |
ถ้าท้าวทศภักตร์รักเผ่าพงษ์ | เร่งคืนส่งสีดามารศรี |
เราจะได้เลิกทัพกลับโยธี | คืนไปบุรีอยุทธยา |
แม้นไม่ส่งคงขืนขัดไว้ | จะผลาญให้สิ้นชีวังสังขาร์ |
ท่านชื่อใดไม่กลัวมรณา | บังอาจมารณรงค์สงคราม |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๐๔๑๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตชำนาญชาญสนาม |
โกรธาว่าเหม่น้องพระราม | หยาบหยามยกพี่ว่ามียศ |
ไม่รู้จักเราฤๅชื่ออินทรชิต | เรืองฤทธิ์ศักดาปรากฎ |
ปราบได้ถึงสวรรค์ชั้นโสฬศ | เปนโอรสเจ้าลงกาธานี |
ซึ่งว่าพระยายักษ์ไปลักนาง | ไม่มีอย่างอย่ามาว่าที่นี่ |
พระได้นางกลางป่าพนาลี | ผู้ใดไม่มีป้องกัน |
ข้างพระรามตามมาว่าเมียมิ่ง | เพราะจะชิงกรุงไกรไอสวรรย์ |
เปนโจรไพรใจทมิฬสิ้นทั้งนั้น | มาผูกพันพูดจาพาที |
ว่าเกิดเหตุทั้งนี้ด้วยสีดา | จึ่งตามมารบพุ่งถึงกรุงศรี |
ก็เมื่อไปผลาญพระยาพาลี | นั้นเขามีผิดบ้างอย่างไร |
เรารู้เท่าเข้าใจอยู่ทุกสิ่ง | จะลวงได้ก็แต่ลิงให้หลงใหล |
แม้นรักตัวกลัวชีวันจะบรรไลย | จงเลิกทัพกลับไปอยุทธยา |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๑๐๔๒๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ยิ้มพลางทางว่า |
ช่างเคลือบแฝงแต่งคารมชมบิดา | พูดจากลอกกลับไม่อับอาย |
ย่อมรู้อยู่กับใจไพร่พลยักษ์ | ว่าผู้ใดไปลักนางโฉมฉาย |
ให้ม้ารีศเปนกวางจนวางวาย | เพราะผู้ร้ายแต่งกลเข้าปล้นนาง |
อย่าพักพูดผันแปรแก้หน้า | เอาพาลีขึ้นมาว่าขัดขวาง |
เขาถือสัตย์สู้ตายวายวาง | ให้สิ้นทางโทษผิดที่ติดพัน |
ไม่เหมือนชาวลงกาอาณาเขตร | ไม่มีสัตย์ปัฏิเสธทุกสิ่งสรรพ์ |
ทั้งอวดอิทธิ์ฤทธิไกรใครจะทัน | ไม่คิดถึงพงษ์พันธุ์ที่บรรไลย |
อย่าว่าแต่อินทรชิตสิทธิศักดิ | ถึงตัวท้าวทศภักตร์จะตักไษย |
แม้นดีจริงนิ่งช้าอยู่ว่าไร | มาชิงไชยให้เห็นฤทธิรุตม์ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๐๔๓๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตโกรธใจดังไฟจุด |
ชี้หน้าว่าน้อยฤๅมนุษย์ | ช่างอวดอิทธิ์ฤทธิรุตม์สุดใจ |
เปนไรมีดีแล้วได้เห็นกัน | ไม่ทันถึงพักจะตักไษย |
แล้วตรัสสั่งมหาเสนาใน | เร่งขับไพร่เข้าประหารราญรอน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๐๔๔๏ บัดนั้น | อสูรเสนามารชาญสมร |
ต่างแกว่งสาตราคทาธร | ขับนิกรกองน่าเข้าราวี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๐๔๕๏ บัดนั้น | พวกพลอสูรยักษี |
เข้าหักโหมโจมทัพจับกระบี่ | รบรุกคลุกคลีตีประจัญ |
บ้างยกปืนยืนประทับขยับไหล่ | เหนี่ยวไกวางเปรี้ยงเสียงสนั่น |
ทั้งกองหนุนกองน่าดากัน | เข้าโรมรันรบประดังพรั่งพรู |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๔๖๏ บัดนั้น | พวกกระบี่บุกบันประจัญสู้ |
บ้างโห่ร้องเสียงฉาวกราวกรู | หลอนหลอกตะคอกขู่อสุรี |
บ้างฉวยชิงสาตราจับขาฟาด | แขนขาดฅอพับลงกับที่ |
พลกุมภัณฑ์แตกตายวายชีวี | พวกกระบี่บุกบันกระชั้นไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๐๔๗๏ บัดนั้น | อสูรเสนามารทหารใหญ่ |
เห็นพลแตกตื่นยับทั้งทัพไชย | ยิ่งพิโรธโกรธใจดังไฟฟอน |
เข้ารุกไล่เหล่าพหลพลกระบี่ | อสุรีตีรุดไม่หยุดหย่อน |
ฟาดด้วยสาตราคทาธร | วานรย่นย่อไม่ต่อตี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๔๘๏ บัดนั้น | สุรเสนสุรการกระบี่ศรี |
ต่างสำแดงแผลงอิทธิฤทธี | เข้าราวีรับรองสองกุมภัณฑ์ |
ถ้อยทีมีศักดาสามารถ | ไม่พลั้งพลาดผลัดเปลี่ยนเหียนหัน |
ว่องไวไล่กระชิดติดพัน | หักโหมโรมรันประจัญบาน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๐๔๙๏ สองกระบี่มีกำลังโลดโผน | กระโจมโจนจับยักษ์หักหาญ |
ขึ้นเหยียบยันฟันฟอนรอนราญ | ทั้งสองมารม้วยมิดด้วยฤทธี |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๐๕๐๏ เมื่อนั้น | โอรสทศภักตร์ยักษี |
เห็นอสูรสองนายวายชีวี | อสุรีพิโรธโกรธโกรธา |
กวัดแกว่งศรสิทธิ์ฤทธิรงค์ | โจนลงจากราชรัถา |
ไล่ตีวานรสท้อนมา | จนถึงน่ารถทรงองค์พระลักษณ์ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๐๕๑๏ เมื่อนั้น | น้องพระหริวงษ์ทรงศักดิ |
แลเห็นโอรสทศภักตร์ | เข้าหาญหักโยธาวานร |
จึ่งลงจากรถแก้วแววฟ้า | พระหัดถ์ขวากวัดแกว่งพระแสงศร |
รบรับจับกุมตลุมบอน | หักหาญราญรอนอสุรี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๕๒๏ เมื่อนั้น | โอรสทศภักตร์ยักษี |
ไม่ขยั้นย่อท้อต่อตี | ถ้อยทีหนีไล่กันไปมา |
หลบหลีกเคล่าคล่องทำนองยุทธ | กลอกกลับสัปรยุทธย้ายท่า |
ตีกระทบรบรับสาตรา | อสุราหักโหมโรมราญ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๕๓๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ศักดากล้าหาญ |
รับรองป้องกันประจัญบาน | ได้ทีทยานต้านต่อยุทธ |
ขึ้นเหยียบเข่าขุนมารราญรอน | พระกรขยับจับมงกุฎ |
ตีต้องอินทรชิตฤทธิรุตม์ | หันเหเซซุดซวนไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๐๕๔๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตค่อยดำรงทรงตัวได้ |
ยิ่งโกรธาตาแดงดังแสงไฟ | หมายใจจะล้างให้วางวาย |
จึ่งหยุดยืนขึ้นศรนาคบาศ | เผ่นผงาดเงื้อง่าตามุ่งหมาย |
คเนแน่แลชำเลืองเยื้องกราย | น้าวสายศรลั่นไปทันใด |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๐๕๕๏ เปนนาครัดมัดพระลักษณ์กับพลลิง | ล้มกลิ้งเกลื่อนกลาดไม่หวาดไหว |
เหล่ายักษ์โยธีดีใจ | ร้องเย้ยเผยไยไยทั้งไพร่นาย |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวรำ
๑๐๕๖๏ พอแลเห็นพิเภกโหราจารย์ | ขุนมารดาลเดือดไม่เหือดหาย |
จึ่งร้องเย้ยเหวยอาว์หน้าไปอาย | ทำให้ขายบาทาบิดาเรา |
ไปเปนข้ามนุษย์ทุจริต | แล้วบอกกิจการลับให้กับเขา |
ไม่รำพึงถึงตัวมัวเมา | หมายจะเอาลงกาธานี |
เดี๋ยวนี้นายวายวอดมอดม้วย | ไยมิช่วยพระลักษณ์เล่ายักษี |
ตัวสิรู้ฤกษ์พาโหราดี | ให้นาคีมัดนายไม่อายใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๐๕๗๏ เมื่อนั้น | พิเภกแค้นขัดอัชฌาไศรย |
จึ่งว่าเหวยอินทรชิตฤทธิไกร | กูมิได้ต้องประสงค์ลงกา |
เพราะพ่อมึงขึ้งโกรธให้ขับหนี | ไม่ปรานีนับวงษ์พงษา |
กูจนใจไม่มีที่พึ่งพา | ตัวคนเดียวเที่ยวมาในป่าชัฏ |
พวกวานรกองทัพเขาจับได้ | พระรามให้ถือน้ำกระทำสัตย์ |
รู้สิ่งไรให้ว่าสารพัด | ครั้นทรงตรัสถามไถ่จึ่งได้ทูล |
แม้นไม่ถามถึงรู้กูไม่ว่า | เวทนาเผ่าพงษ์วงษ์อสูร |
ซึ่งศรต้องน้องนารายน์วายุกูล | เพราะกูไม่ได้ทูลให้แจ้งใจ |
แม้นเมื่อกี้นี้บอกออกเสียก่อน | ที่ไหนศรมึงจะทันลั่นมาได้ |
ปานนี้ชีวันจะบรรไลย | มิได้ไปลงกาธานี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๐๕๘๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิยักษี |
หุนโมโหโกรธาพาที | ยังถือผีพูดจาสารพัน |
นี่หากคิดนิดหนึ่งว่าเปนอาว์ | หาไม่กูจะฆ่าให้อาสัญ |
กระทืบบาทกราดเกรี้ยวเคี้ยวฟัน | แกว่งคันศรไชยเข้าไล่ตี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๕๙๏ เมื่อนั้น | พระยาพิเภกยักษี |
หลบตัวกลัวหลานผลาญชีวี | วิ่งหนีเข้าในไพรวัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๐๖๐๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตฤทธิแรงแขงขัน |
จะตามตีพิเภกก็ไม่ทัน | พอเวลาสายัณห์เย็นรอน |
จึ่งตรัสกับพหลพลโยธี | พระลักษณ์กับพลกระบี่ที่ต้องศร |
ไม่ทนพิศม์ภุชงค์คงม้วยมรณ์ | จะคืนเปนเช่นก่อนอย่าสงกา |
ทิ้งไว้ให้พี่ออกมาพบ | จะกอดศพร่ำรักกันหนักหนา |
แม้นสลบซบลงทั้งสองรา | จงจับฆ่าให้ม้วยเสียด้วยกัน |
วันนี้ค่ำย่ำแสงอโนไทย | จะกลับไปนคเรศเขตรขัณฑ์ |
แล้วขึ้นทรงรถแก้วแพรวพรัน | ให้เลิกพลกุมภัณฑ์เข้าภารา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๑๐๖๑๏ ครั้นถึงเกยลาน่าปราสาท | เสด็จลงจากราชรัถา |
พร้อมหมู่อสูรเสนา | เข้าเฝ้าเจ้าลงกาพระยามาร |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๐๖๒๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรศักดาหาญ |
เหลือบเห็นอินทรชิตไชยชาญ | แสนสำราญร้องถามความไป |
เจ้าเลิกทัพกลับมาเพลาเย็น | ทำสงครามเคี่ยวเข็นเปนไฉน |
ได้ยินเสียงโห่ร้องก้องพงไพร | เสียทีฤๅมีไชยแก่ไพรี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๖๓๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตประนตบทศรี |
ทูลว่าลูกยาออกราวี | ได้ต่อตีต้านทัพรับพระลักษณ์ |
มนุษย์ชำนาญการรบพุ่ง | เรืองรุ่งฤทธิรอนด้วยศรศักดิ |
ออกเคี่ยวขับสัปรยุทธกับลูกรัก | หลายพักไม่แพ้ชนะกัน |
ข้าจึ่งแผลงแสงศรนาคบาศ | เปนนาคราชไปรัดมัดไว้มั่น |
ทูลแถลงแจ้งจริงทุกสิ่งอัน | ทรงธรรม์จงทราบพระบาทา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๐๖๔๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
ได้ฟังชื่นชมภิรมยา | อสุราสร้วมสอดกอดโอรส |
ลูกกูออกไปแล้วได้การ | สังหารไพรินเสียสิ้นหมด |
สามโลกจะกระเดื่องเลื่องฦๅยศ | ปรากฎฤทธิรอนขจรไป |
ไอ้พิเภกพูดจาว่าพ้อตัด | ไม่ช่วยกันจับมัดมาให้ได้ |
จะใคร่เฆี่ยนขับทำให้หนำใจ | มันมีแต่สาวไส้ให้ไพรี |
เจ้าเหนื่อยพักหนักหนาอย่าช้าอยู่ | กลับไปสู่ปรางมาศปราสาทศรี |
ตรัสพลางทางเสด็จจรลี | เข้าสู่ที่แท่นทองห้องไสยา |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๑๐๖๕๏ เมื่อนั้น | น้องท้าวทศภักตร์ยักษา |
เลี้ยวลัดดัดดั้นอรัญวา | ตรงไปพลับพลาพนาวัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๐๖๖๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอภิวาท | พระนารายน์ธิราชรังสรรค์ |
ซอนซบภักตราจาบัลย์ | สอื้นอั้นโศกาไม่พาที |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๐๖๗๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์เรืองศรี |
เห็นพิเภกอสุรามาโศกี | ภูมีนึกพะวงสงกา |
จึ่งว่าเราไว้เนื้อเชื่อใจ | ให้ออกไปเปนเพื่อนขนิษฐา |
เหตุไฉนไยวิ่งกระเจิงมา | โศกาไม่แถลงแจ้งคดี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๖๘๏ บัดนั้น | พิเภกประนตบทศรี |
ทูลว่าพระอนุชาออกราวี | เสียทีอินทรชิตฤทธิไกร |
แล้วเล่าความตามซึ่งได้รบกัน | รำพรรณทูลพลางทางร้องไห้ |
เชิญเสด็จลีลาคลาไคล | ไปแก้ไของค์พระอนุชา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๖๙๏ เมื่อนั้น | พระรามฟังดังจะสิ้นสังขาร์ |
กัมปนาทหวาดหวั่นวิญญา | ผ่านฟ้าอาวรณ์ร้อนรน |
จึ่งว่าเอออะไรเปนได้เช่นนี้ | ให้น้องรักเสียทีถึงสองหน |
แล้วจับพระแสงศรจรดล | นิลนนท์นำน่าคลาไคล |
ฯ ๔ คำ ฯ พระยาเดิน
๑๐๗๐๏ เดินวกเวียนวงหลงที่รบ | เลี้ยวตระหลบมาข้างทางทิศใต้ |
ด้วยมืดมิดมัวมนท์เปนพ้นไป | จะสำคัญอันใดนั้นไม่มี |
ทรงพิโรธโกรธกริ้วกระทืบบาท | กึกก้องร้องตวาดกระบี่ศรี |
ว่าเหวยนิลนนท์มนตรี | ยังว่าป่านี้ไม่เคยมา |
พระดาลเดือดแล้วงดอดกลั้น | จับจันทวาทิตย์ฤทธิ์กล้า |
ขึ้นศรกรก่งด้วยศักดา | ผ่านฟ้าเสี่ยงพลางทางแผลงไป |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๐๗๑๏ บันดาลดวงเดือนหงายฉายแสง | แจ่มแจ้งแนวทางสว่างไสว |
เห็นนาครัดรี้พลสกลไกร | ทั้งนายไพร่กลิ้งกลาดดาษดา |
อุส่าห์ขืนกลืนกลั้นกรรแสง | เที่ยวแสวงดูองค์ขนิษฐา |
พอเหลือบเห็นองค์พระอนุชา | นาคารวบกระหวัดรัดไว้ |
เสด็จเดินเข้าชิดพิศภักตร์ | สำคัญว่าพระลักษณ์ตักไษย |
ยิ่งโศกศัลย์รันทดสลดใจ | ภูวไนยทรุดลงทรงโศกี |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๑๐๗๒๏ ครั้นค่อยสร่างโศกศัลย์จึ่งบัญชา | ถามพระยาพิเภกยักษี |
อันพระน้องต้องศรอสุรี | กับบรรดากระบี่บริวาร |
จะเปนแต่สลบซบซอน | ฤๅม้วยมรณ์สิ้นชีวังสังขาร |
ท่านจงดำริห์ตริการ | จะคิดอ่านแก้กันฉันใด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๗๓๏ บัดนั้น | พิเภกทูลแจ้งแถลงไข |
พระอนุชาวานรพลไกร | สลบไปด้วยฤทธิ์พิศม์นาคี |
จงทรงแผลงแสงศรเปนครุธราช | ให้สังหารนาคบาศยักษี |
พระอนุชาจะฟื้นตื่นชีวี | ทั้งกระบี่รี้พลสกลไกร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๗๔๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
ฟังทูลถูกต้องทำนองใน | เสี่ยงพระแสงแผลงไปด้วยฤทธี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๐๗๕๏ เปนสุบรรณบินมาบนอากาศ | เข้าโฉบฉวยนาคบาศคลาศจากที่ |
ฉุดกระชากลากจิกขยิกขะยี | จนนาคีสูญสิ้นแล้วบินไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด รัว
๑๐๗๖๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์รัศมีศรีใส |
ทั้งกระบี่รี้พลสกลไกร | ก็กลับฟื้นคืนได้สมประดี |
ลุกขึ้นบังคมคัลวันทา | พระหริรักษ์จักราเรืองศรี |
พระลักษณ์ทูลเชษฐาว่าครานี้ | น้องเสียทีอสุรินทร์อินทรชิต |
ไม่มอดม้วยชนมาพระการุญ | พระคุณนั้นหนักอักนิษฐ |
ขอรองเบื้องบาทบงสุ์พระทรงฤทธิ์ | กว่าชีวิตรจะม้วยไปด้วยกัน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๐๗๗๏ เมื่อนั้น | พระจักรีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
จึ่งชวนพระอนุชาจรจรัล | มาขึ้นทรงรถสุวรรณทันใด |
สั่งให้เลิกโยธาพลากร | วานรโห่สนั่นหวั่นไหว |
คลายคลี่รี้พลสกลไกร | กลับไปพลับพลาพนาลี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๐๗๘๏ บัดนั้น | อสูรสารัณทูตยักษี |
เห็นข้าศึกกลับฟื้นคืนชีวี | พลกระบี่โห่ฉาวกราวกรู |
ก็เหยียบโกลนโผนเผ่นขึ้นหลังม้า | ควบถลาตีกลมลมออกหู |
อารามกลัวตัวเปนเกลียวไม่เหลียวดู | พอเช้าตรู่ถึงนิเวศน์เขตรคัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๐๗๙๏ จึ่งเข้าไปบังคมก้มกราบทูล | ท้าวราพนาสูรรังสรรค์ |
พระลักษณ์กับพลกระบินทร์สิ้นทั้งนั้น | ที่นาครัดมัดมั่นไว้กลางแปลง |
พี่มาร้องไห้รักสักประเดี๋ยว | แล้วหน่วงเหนี่ยวศรสาตรผาดแผลง |
เปนครุธโฉบฉาบเฉี่ยวเรี่ยวแรง | เข้ายุดแย่งขยิกจิกนาคา |
นาคราชหนีครุธไปสุดสิ้น | พวกไพรินรอดชีวังสังขาร์ |
พึ่งจะเลิกกองทัพไปพลับพลา | จงทราบเบื้องบาทาฝ่าธุลี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๐๘๐๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี |
ฟังสารัณแถลงแจงคดี | อสุรีเร่งรำคาญร่านร้อน |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนา | จงไปหาอินทรชิตชาญสมร |
ให้องค์โอรสรีบบทจร | กูทุกข์ทนรนร้อนเหลือกำลัง |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๘๑๏ บัดนั้น | เสนีคำนับรับสั่ง |
ก้มกรานคลานเลี้ยวลับแลบัง | ออกมาพ้นน่าที่นั่งแล้วรีบไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๐๘๒๏ ครั้นถึงจึ่งทูลอินทรชิต | ตามกิจจาแจ้งแถลงไข |
มีรับสั่งพระองค์ทรงภพไตร | ให้ภูวไนยรีบรัดไปบัดนี้ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๐๘๓๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตฤทธไกรไชยศรี |
ไม่ทันจะแต่งองค์สรงนัที | อสุรีรีบครรไลไคลคลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๐๘๔๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอภิวาท | พระบิตุรงค์ธิราชนาถา |
หมอบอยู่น่าที่นั่งฟังบัญชา | จะปฤกษาด้วยสงครามรามลักษณ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๐๘๕๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริวงษ์ทรงศักดิ |
จึ่งดำรัสตรัสบอกลูกรัก | แจ้งประจักษ์ใจความตามเหตุมี |
พวกมนุษย์รอดตายไม่วายชนม์ | ทั้งลิงไพรไพร่พลกระบี่ศรี |
เจ้าจงตรึกตรองการผลาญไพรี | ออกต่อตีห้ำหั่นให้บรรไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๐๘๖๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตทูลแจ้งแถลงไข |
นาคบาศศรสิทธิ์ฤทธิไกร | พระพรหมให้ลูกครั้งแต่ยังเยาว์ |
เช่นน้ำหน้ามนุษย์กับวานร | จะรอดดอนไปได้ที่ไหนเล่า |
เพราะพิเภกพี่น้องของเรา | บอกให้เขาแก้กันไม่บรรไลย |
พระองค์อย่าปรารภรำคาญ | จะสังหารรามลักษณ์ให้ตักไษย |
พระอิศวรประสาทพรหมมาศไว้ | ศิลป์ไชยศักดิสิทธิ์ฤทธิรอน |
จะขอไปสามทิวาราตรี | กระทำกิจพิธีชุบศร |
จงให้ไปขัดทัพรับวานร | ผันผ่อนพอประทังกำลังไว้ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๐๘๗๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรค่อยสบายคลายหม่นไหม้ |
จึ่งว่าเจ้ามีความคิดฤทธิไกร | ประเสริฐในสุริวงษ์พรหมมาน |
มนุษย์กับลิงไพรไพร่พล | ไหนจะทนฤทธาศักดาหาญ |
จงเร่งไปตั้งกิจพิธีการ | ให้เชี่ยวชาญประสิทธิวิทยา |
อันสิ่งของสารพัดบัตรพลี | ให้เสนีรีบรัดช่วยจัดหา |
ตรัสพลางทางเสด็จไคลคลา | เข้าสู่ปราสาทสุวรรณทันที |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๑๐๘๘๏ เมื่อนั้น | โอรสทศภักตร์ยักษี |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนี | ให้เกณฑ์สี่ตำรวจมารชาญไชย |
ไปปลูกโรงพิธีมีมุขลด | ที่หาดแก้วมรกฎสดใส่ |
ทั้งแพะดำโคดำสำรองไว้ | จะได้พลีกรรมดังตำรา |
พลกุมภัณฑ์นั้นให้นุ่งห่มเขียว | สีเดียวทั้งฝ่ายซ้ายขวา |
แต่สองโมงสี่บาทจะยาตรา | เร่งรัดจัดหาให้พร้อมกัน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๐๘๙๏ บัดนั้น | อสูรเสนามารการขยัน |
ถวายบังคมลาออกมาพลัน | เร่งรัดจัดกันดังบัญชา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๐๙๐๏ บัดนั้น | สี่ตำรวจรู้หมายทั้งซ้ายขวา |
จึ่งเกณฑ์ไพร่ให้ถือขวานพร้า | พร้อมแล้วก็พากันคลาไคล |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๐๙๑๏ ครั้นถึงเชิงสัตภัณฑ์บรรพต | ที่หาดแก้วมรกฎสดใส |
ต่างต้อนพหลพลไกร | ให้รีบรัดตัดไม้เกี่ยวคา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๐๙๒๏ บัดนั้น | ฝ่ายหมู่อสุรศักดิยักษา |
บ้างโห่ร้องลองกำลังวังชา | เข้าตัดไม้ในป่าพนาวัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๐๙๓๏ ครั้นได้มากลากขนอลหม่าน | พวกนายงานกะที่ขมีขมัน |
บ้างกล่อมเสาเกลาฟากถากฟัน | รีบรัดจัดกันให้ทันการ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชมตลาด
๑๐๙๔๏ ปลูกโรงพิธีพลันทันใด | กว้างขวางโตใหญ่ไพศาล |
จัดแจงแต่งตามพนักงาน | บ้างปูลาดดาดเพดานดาวราย |
เครื่องบูชาน่าพระปักพุ่ม | กระจกซุ้มติดเสาเปนเงาฉาย |
ห้อยระย้าแก้วกิ่งพริ้งพราย | ม่านสุวรรณพรรณรายรูจี |
พระยี่ภู่ปูอาศน์ลาดผ้าขาว | พระแสงง้าวราวทอดไว้ตามที่ |
ทั้งแพะดำโคดำทำบัตรพลี | จัดครบเครื่องพิธีพลีกรรม์ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๐๙๕๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตฤทธิแรงแขงขัน |
มาอ่าองค์สรงชลฉับพลัน | สอดกระสันเครื่องทรงอลงการ์ |
ครั้นเสร็จสรรพจับศรพรหมมาศ | ยุรยาตรเยื้องย่างออกข้างน่า |
ขึ้นทรงรถแก้วแววฟ้า | ให้ยกพลยาตราคลาไคล |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๐๙๖๏ ครั้นถึงที่เนินทรายชายสมุท | จึ่งให้หยุดพลนิกายนายไพร่ |
ลงจากรถสุวรรณทันใด | เสด็จไปโสรจสรงคงคา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ชมตลาด
๑๐๙๗๏ ชำระสระสนานน้ำกลั่น | กระแจะจันทน์เจิมภักตร์ยักษา |
สอดสนับเพลาทรงอลงการ์ | ภูษาพื้นเขียวเขียนทอง |
จีบจัดรัดโกปินำ | สายธุรำสอดสวมกรวมขนอง |
โพกส่านน่าดอกไม้สีใบตอง | สอดซ้ำประคำทองถมยา |
ล้วนสีเดียวเขียวสิ้นทั้งอินทรีย์ | ลม้ายเหมือนโยคีชีป่า |
ครั้นเสร็จยุรยาตรคลาศคลา | ลีลามาสู่โรงพิธี |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๑๐๙๘๏ จึ่งให้ใส่เพลิงโดยสาตร | เอาพรหมมาศพาดตักยักษี |
ชักประคำสำรวมอินทรีย์ | อสุรีร่ายมนต์บ่นภาวนา |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๑๐๙๙๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษา |
เสด็จออกท้องพระโรงรจนา | พร้อมอำมาตย์มาตยามนตรี |
ปฤกษาซึ่งจะให้ไปขัดทัพ | ตั้งรับรบมนุษย์กระบี่ศรี |
กว่าองค์อินทรชิตฤทธี | จะชุบศรพระศุลีได้สมคิด |
ครั้นจะงดอยู่ท่าช้านัก | รามลักษณ์จักชล่าชเลยจิตร |
เห็นแต่มังกรกรรฐ์นั้นมีฤทธิ์ | พอจะคิดต่อสู้หมู่ไพรี |
คนธรรพ์จงไปบอกนัดดา | ว่าศึกติดลงกากรุงศรี |
ให้ยกพหลหลโยธี | มาช่วยรบราวีอย่านอนใจ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๑๐๐๏ บัดนั้น | คนธรรพ์รับสั่งบังคมไหว้ |
คลานคล้อยถอยจากพระโรงไชย | รีบไปโรมคัลบุรี |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว
๑๑๐๑๏ ครั้นถึงพอเวลาห้าโมง | เสด็จออกท้องพระโรงเรืองศรี |
จึ่งเข้าไปเฝ้าพลันทันที | อัญชลีแล้วหมอบนอบนบ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๑๑๐๒๏ เมื่อนั้น | มังกรกรรฐ์ห้าวหาญชำนาญจบ |
เสด็จออกข้างน่าปรารภ | ปฤกษาความตามขนบประเพณี |
ลักช้างคโมยควายผู้ร้ายซัต | รับเปนสัตย์แล้วส่งไปตามที่ |
จำนวนเลขเก่าใหม่ให้สัสดี | เอาบาญชีจำหน่ายจ่ายจับการ |
พอเหลือบเห็นข้าเฝ้าเจ้าลงกา | อสุรามีราชบรรหาร |
องค์พระบิตุลาพระยามาร | ใช้เองมาว่าขานประการใด |
อันพระจอมอสุรินทร์ปิ่นกระษัตริย์ | ยังไพบูลย์ภูลสวัสดิผ่องใส |
ฤๅมีความทุกข์โศกโรคไภย | จงบอกไปให้แจ้งกิจจา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๑๐๓๏ บัดนั้น | คนธรรพ์บังคมก้มเกษา |
อันทุกข์โศกโรคไภยไม่บีฑา | แต่ลงกาเกิดการจลาจล |
ด้วยรามลักษณ์พี่น้องสองศรี | ที่เปนชีชาวป่าพนาสณฑ์ |
ควบคุมกระบี่รี้พล | จองถนนข้ามฝั่งตั้งติดพัน |
ไพรีมีฤทธิ์ด้วยแสงศร | ทั้งโยธาวานรก็แขงขัน |
พวกเราล้มตายวายชีวัน | โรมรันรับมนุษย์เห็นสุดใจ |
บัดนี้พระผู้ดำรงลงกา | ให้ข้ามาทูลแจ้งแถลงไข |
เชิญเสด็จไปด้วยช่วยชิงไชย | จงทราบใต้บาทบงสุ์พระทรงฤทธิ์ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๑๐๔๏ เมื่อนั้น | มังกรกรรฐ์ฟังแถลงแจ้งจิตร |
รู้ว่ารามาปัจจามิตร | ยิ่งคิดแค้นคั่งแต่หลังมา |
มนุษย์นี้ที่ฆ่าพระบิตุเรศ | ทรงเดชสิ้นชีวังสังขาร์ |
จะไปเฝ้าทรงฤทธิ์บิตุลา | ออกอาสาฆ่าเสียให้บรรไลย |
คิดพลางทางสั่งเสนี | จงตระเตรียมโยธีทัพใหญ่ |
กูจะยกพหลพลไกร | ไปชิงไชยช่วยณรงค์ในลงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๑๐๕๏ บัดนั้น | เสนีรับสั่งใส่เกษา |
ก้มเกล้าดุษดีชลีลา | ออกมาจัดโยธาพลากร |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๑๑๐๖๏ เกณฑ์ไพร่พลรบครบจำนวน | เลือกล้วนห้าวหาญชาญสมร |
กองน่าอสุรีมีฤทธิรอน | ขี่มังกรถือปืนพื้นใบโพ |
กองหลวงขี่กิเลนเกณฑ์ตามตำแหน่ง | ขัดดาบตะพายแล่งถือโล่ห์ |
ทัพหลังโยธีขี่สิงโต | บ้างขี่โคถึกเถลิงเริงแรง |
สารวัดเที่ยวตรวจทุกหมวดหมาย | พรั่งพร้อมไพร่นายตามตำแหน่ง |
บ้างเทียมรถรีบรัดจัดแจง | มาอยู่น่าพลับพลาแดงดาษดา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๑๐๗๏ เมื่อนั้น | มังกรกรรฐ์สิทธิศักดิยักษา |
เสด็จจากแท่นแก้วแววฟ้า | ลีลามาสรงคงคาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๑๐๘๏ พนักงานไขสุหร่ายดังสายฝน | ต้องสกนธ์ซ่านเซนเย็นใส |
ทรงสุคนธรศเร้าเอาใจ | สอดใส่สนับเพลาเพราพราย |
ภูษายกทองท้องพัน | กรวยเชิงสามชั้นเฉิดฉาย |
ฉลององค์ทรงเกราะกระสันกาย | ปั้นเหน่งลายลงยาราชาวดี |
ทับทรวงดวงดอกลอยพลอยรยับ | ตาบประดับมรกฎสดศรี |
สังวาลค่าเมืองเรืองรูจี | ทองกรแก้วมณีเนาวรัตน์ |
สอดทรงธำมรงค์เรือนครุธ | มงกุฎเพ็ชรประดับสำหรับกระษัตริย์ |
กรรเจียกจรเจียรไนดอกไม้ทัด | จับธนูคู่หัดถ์บทจร |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๑๑๐๙๏ สั่งให้เลิกพยู่ห์หมู่จัตุรงค์ | ขนัดธงทวนทิวปลิวสลอน |
ออกนอกโรมคัลพระนคร | พลนิกรโห่ฉาวกราวเกรียว |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
โทน
๑๑๑๐๏ รถเอยรถทรง | แอกอ่อนงอนรหงธงเขียว |
บุษบกบรรจงทรงพริ้งเพรียว | กระหนกกระหนาบกาบเกี้ยวแกมทอง |
อสุราสารถีโลทัน | ขับมังกรสองพันเผ่นผยอง |
เซงแซ่แตรสังข์ฆ้องกลอง | ลั่นพิฦกกึกก้องท้องสุธา |
แห่แหนแน่นขนัดจัตุรงค์ | ทิวธงทวนสล้างมากลางป่า |
โพยมพยับอับแสงสุริยา | เมฆามืดมนท์อนธการ |
เนื้อเบื้อโคกระทิงสิงคนัด | วิ่งพลัดตกห้วยเหวลหาน |
เร่งรีบพหลพลมาร | ล่วงด่านแดนนิเวศน์เขตรลงกา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๑๑๑๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดจัตุรงค์ | เสด็จลงจากราชรัถา |
พอเสด็จออกพระโรงรจนา | ก็เข้ามานอบนบอภิวันท์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๑๑๒๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริวงษ์รังสรรค์ |
สถิตย์เหนือแท่นแก้วแพรวพรรณ | เห็นมังกรกรรฐ์ก็ดีใจ |
จึ่งตรัสเรียกขึ้นนั่งร่วมอาศน์ | พลางประภาศโอภาปราไส |
แถลงเล่าเหตุผลแต่ต้นไป | ซึ่งเกิดไพรีประชิดติดภารา |
คือลักษณ์รามที่ฆ่าบิดาเจ้า | คุมเหล่าลิงค่างต่างภาษา |
มารบรุกบุกบันบีฑา | เคี่ยวฆ่ากุมภกรรฐ์บรรไลย |
อินทรชิตไชยชาญออกหาญหัก | คราวนี้พระลักษณ์ก็ตักไษย |
ให้เลิกทัพกลับเข้าเวียงไชย | มันรื้อเปนขึ้นได้ไม่ม้วยมรณ์ |
เดี๋ยวนี้องค์อินทรชิตเชษฐา | ไปตั้งกิจวิทยาชุบศร |
เจ้าจงคุมพหลพลนิกร | ออกราญรอนรับรองป้องกันไว้ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๑๑๓๏ เมื่อนั้น | มังกรกรรฐ์บังคมก้มกราบไหว้ |
แล้วทูลว่าซึ่งดำรัสตรัสใช้ | จะให้ไปตั้งทัพรับมนุษย์ |
พอสมจิตรคิดหวังครั้งนี้ | ความหลานยินดีเปนที่สุด |
องค์พระบิดาข้าม้วยมุด | เพราะมนุษย์รบรุกบุกบัน |
ยังไม่วายหายแค้นขัดใจ | จะออกไปเข่นฆ่าให้อาสัญ |
เกิดในสุริวงษ์พงษ์กุมภัณฑ์ | ไม่ขยั้นย่อท้อต่อไพริน |
อันไอ้พวกวานรสัญจรป่า | พลอยมาลบหลู่ดูหมิ่น |
จะให้แต่พลยักษ์หักฅอกิน | จนสุดสิ้นพวกพ้องของมัน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๑๑๔๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ลูบหน้าลูบหลังมังกรกรรฐ์ | เออนั่นเปนไรไม่เสียที |
น้อยฤๅห้าวหาญการณรงค์ | สมศักดิสุริวงษ์ยักษี |
แต่จะออกชิงไชยกับไพรี | ไม่ได้ทีอย่ากระโจมเข้าโรมรัน |
จงคอยท่าอินทรชิตฤทธิรอน | ตรวจตราพลากรไว้ให้มั่น |
เห็นได้ทีมีไชยชนะมัน | จึ่งโรมรุกบุกบันชิงไชย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๑๑๕๏ เมื่อนั้น | มังกรกรรฐ์ยินดีจะมีไหน |
ถวายอัญชลีลาคลาไคล | สั่งให้เดินทัพฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๑๑๖๏ ครั้นถึงสมรภูมิไชยศรี | จึ่งให้หยุดโยธีทัพขัน |
ตั้งตามที่เทินเนินอรัญ | กำชับกันทุกหมวดตรวจตรา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๑๑๑๗๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
เสด็จนั่งน่าสุวรรณพลับพลา | เสนาน้อมประนตบทมาลย์ |
ทั้งขีดขินชมภูหมู่วานร | ฤทธิรอนร้ายกาจอาจหาญ |
พระทรงฤทธิ์คิดดำริห์ตริการ | จะรอนราญอาธรรม์ให้บรรไลย |
พอได้ยินสำเนียงเสียงโห่ | ก้องโกลาลั่นหวั่นไหว |
จึ่งถามพิเภกพลันทันใด | วันนี้ใครยกมาราวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๑๑๑๘๏ บัดนั้น | พิเภกประนตบทศรี |
พิเคราะห์ดูรู้ความตามคัมภีร์ | จึ่งทูลพระจักรีสี่กร |
อันตัวนายโยธานั้นกล้าหาญ | ชื่อมังกรกรรฐ์มารชาญสมร |
อยู่บุรีโรมคัลพระนคร | บุตราพระยาขรซึ่งบรรไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๑๙๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
ได้ฟังทูลแถลงแจ้งพระไทย | ภูวไนยนิ่งนึกตรึกตรา |
จำจะไปป้องกันประจัญบาน | จะได้ผลาญอสุรศักดิยักษา |
จึ่งสั่งน้องพาลีมีศักดา | จงตระเตรียมโยธาอย่าช้าที |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๒๐๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ออกมาจัดโยธีทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๑๑๒๑๏ เกณฑ์กระบวนน่าหลังคั่งคับ | พร้อมพรั่งตามตำหรับทัพใหญ่ |
ครบจำนวนถ้วนสิบสมุทไทย | เคยต่อตีมีไชยมาทุกคราว |
ลางลิงตัวดีขี่เลียงผา | ตะพายย่ามลว้าถือหลาว |
บ้างใส่เสื้อกำมหยี่ขี่เสือดาว | ถือง้าวเงื้อง่าท่าทีฟัน |
บ้างนุ่งผ้าตาโถงโจงกระเบน | ขี่กระบือถือเขนขบขัน |
บ้างขี่กระทิงถือปืนยืนยัน | คาดเครื่องคงกระพันกันสาตรา |
บ้างขี่หมีมีกำลังไวว่อง | ถือกระบองสี่ศอกออกน่า |
แล้วเทียมราชรถแก้วแววฟ้า | ประทับท่าคอยเสด็จจรลี |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๑๒๒๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์องค์นารายน์เรืองศรี |
จึ่งชวนพระอนุชาธิบดี | จรลีไปสรงคงคา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๑๒๓๏ สองกระษัตริย์ชำระสระสนาน | สุคนธารประทิ่นกลิ่นบุบผา |
สอดสนับเพลาทรงอลงการ์ | ภูษายกอย่างต่างกัน |
ห้อยน่าผ้าทิพย์ทองรยับ | ชายแครงแสงสลับสีสัน |
ฉลององค์ทรงประภาศตาดสุวรรณ | คาดปั้นเหน่งกุดั่นดุนลอย |
กรองสอสังเวียนวิเชียรช่วง | ทับทรวงประดับเนื่องเฟื่องห้อย |
ทองกรจำหลักเปนรักร้อย | ธำมรงค์เพ็ชรพลอยพรายตา |
ต่างทรงมงกุฎกรรเจียกแก้ว | วาวแวววาบวับจับเวหา |
ครั้นเสร็จสรรพจับพระแสงสาตรา | เสด็จมาเกยสุวรรณทันใด |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๑๑๒๔๏ พรั่งพร้อมพหลพลนิกร | วานรกราบก้มบังคมไหว้ |
ขยายยกโยธาคลาไคล | แห่แหนแน่นในเนินบรรพต |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๑๑๒๕๏ รถเอยรถทรง | กำกงล้วนแล้วแก้วมรกฎ |
บุษบกกระหนกเกรินท้ายรถ | งอนชดเฉิดฉายปลายปักธง |
ชั้นลดช่อตั้งกระจังทอง | บันบัวตัวลำยองหางหงษ์ |
เทียมอัศวราชอาจอง | เคยณรงค์เริงร่านทยานมา |
เครื่องสูงอภิรุมชุมสาย | เรียบริ้วเรียงรายซ้ายขวา |
สังข์แตรแซ่สนั่นอรัญวา | โยธาฮึกโห่เปนโกลี |
สำเนียงเสียงพวกพลากร | สัตว์สิงวิ่งซอนซอกหนี |
ต่างต่างสำแดงแผลงฤทธี | เร่งร้นพลกระบี่บทจร |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๑๒๖๏ ครั้นถึงเห็นทัพคับคั่ง | รายตั้งตามเทินเนินศิงขร |
จึ่งให้หยุดโยธาพลากร | วานรนายทัพกำชับกำชา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๑๒๗๏ เมื่อนั้น | มังกรกรรฐ์สิทธิศักดิยักษา |
เห็นมนุษย์ยกทัพขับโยธา | จะออกมารณรงค์สงคราม |
จึ่งให้เลื่อนรถแก้วแววไว | เข้าไปใกล้มนุษย์แล้วร้องถาม |
ตัวท่านนี้ฤๅชื่อพระราม | บังอาจข้ามคงคามายงยุทธ |
สาเหตุเภทพาลเปนไฉน | จึ่งตั้งใจเคี่ยวขับสัปรยุทธ |
ไม่รักตัวกลัวว่าจะม้วยมุด | ท่านรุ่งเรืองฤทธิรุตม์เปนอย่างไร |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๑๒๘๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ตรัสแจ้งแถลงไข |
เราฤๅคือพระรามฤทธิไกร | น่ารถไชยนั้นพระอนุชา |
เหตุด้วยทศกรรฐ์อันธพาล | ทำการทุจริตอิจฉา |
ไปลักเมียเรามาไว้ในลงกา | จึ่งตามมารณรงค์สงคราม |
ท่านนี้มีนามไฉนเล่า | จะมาม้วยด้วยเขาไม่เข็ดขาม |
จงหยุดยั้งฟังเราห้ามปราม | อย่าลวนลามเลิกทัพกลับไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๑๒๙๏ เมื่อนั้น | มังกรกรรฐ์ฟังแจ้งแถลงไข |
ยิ่งโกรธาตาแดงดังแสงไฟ | จึ่งร้องไปว่าเหวยพระรามา |
เราฤๅชื่อมังกรกรรฐ์ | เทวัญเกรงฤทธิ์ทุกทิศา |
บัดนี้พระเจ้าลุงกรุงลงกา | ให้เรามากำหราบปราบโจรไพร |
อย่าเพ่อพูดประมาทอาจจิตร | ประเดี๋ยวนี้ชีวิตรจะตักไษย |
ว่าพลางขับพลสกลไกร | เข้าไล่หักโหมโจมตี |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๑๓๐๏ บัดนั้น | พวกพลอสุรศักดิยักษี |
ต่างต่างสำแดงแผลงฤทธี | เข้าโจมตีทัพน่าวานร |
บ้างขับม้าหมายมุ่งพุ่งหอกซัด | บ้างยัดปืนใหญ่ใส่หมอน |
ถ้อยทีหักหาญราญรอน | ตลุมบอนบันบุกคลุกคลี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๑๓๑๏ บัดนั้น | โยธาวานรไม่ถอยหนี |
ไม่หลีกหลบรบสู้อสุรี | ต่อตีไล่กระชิดติดพัน |
เข้ารบพุ่งช่วยเพื่อนกันเกลื่อนกลุ้ม | จับกุมผลัดเปลี่ยนเหียนหัน |
พวกกระบี่ไล่รุกบุกบัน | กุมภัณฑ์แตกตายกระจายไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๓๒๏ เมื่อนั้น | มังกรกรรฐ์เห็นยักษ์ตักไษย |
จึ่งจับศรสิทธิ์ฤทธิไกร | โจนไปจากรถด้วยฤทธา |
เข้ารุกไล่เหล่ากระบี่ตีดาย | ขุนมารหวดซ้ายป่ายขวา |
วานรแตกพ่ายกระจายมา | จนถึงน่ารถพระรามไม่ขามฤทธิ์ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๑๓๓๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์จักรกฤษณ์ |
เห็นมังกรกรรฐ์กระชั้นชิด | ตามติดไล่ตีกระบี่มา |
จึ่งจับศรสิทธิ์ฤทธิรงค์ | กับพระลักษณ์ลงจากรัถา |
เข้ารบรับกับองค์อสุรา | หันเหียนเปลี่ยนท่าราวี |
พระเชษฐาเหยียบบ่ากุมภัณฑ์ | พระลักษณ์ยันเหยียบเอวยักษี |
ตลุมบอนบันบุกคลุกคลี | ถ้อยทีหักโหมโรมรัน |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๑๓๔๏ เมื่อนั้น | มังกรกรรฐ์ฤทธิแรงแขงขัน |
ไม่หลีกหลบรบรับจับประจัญ | ขบฟันไล่กระชิดติดตาม |
หนีไล่ไวว่องทำนองยุทธ | รอรั้งยั้งหยุดกลางสนาม |
ขึ้นศรกรก่งไม่ครั่นคร้าม | พาดสายหมายพระรามแล้วแผลงไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๑๓๕๏ สำเนียงเสียงสนั่นครั่นครึก | ก้องกึกกัมปนาทหวาดไหว |
ต้องกระบี่รี้พลสกลไกร | บรรไลยเกลื่อนกลาดดาษดา |
แล้วต้องพระจักรีภูวนารถ | เกราะขาดถึงกระทั่งมังษา |
กลับสท้อนย้อนถอยออกมา | ลอยอยู่ตรงน่าพระอวตาร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๓๖๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน |
เห็นอสุรีแผลงศรมารอนราญ | ภูบาลนิ่งนึกในพระไทย |
ศรศักดิยักษานี้ทายาด | ยิงเกราะกูขาดเข้าไปได้ |
คิดพลางทางขึ้นศิลป์ไชย | ยิงแย้งแผลงไปด้วยฤทธี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๑๓๗๏ เสียงพิฦกกึกก้องกัมปนาท | ไหวหวาดทั่วทิศทั้งสี่ |
กระทบถูกลูกศรอสุรี | ไม่ทานทนป่นปี้เปนจุณไป |
แล้วไล่สังหาญราญรอน | พลนิกรพวกยักษ์ตักไษย |
โยธาวานรที่บรรไลย | กลับเปนขึ้นมาได้ไม่ม้วยมิด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๓๘๏ เมื่อนั้น | มังกรกรรฐ์นึกขยั้นพรั่นจิตร |
ชิชะมนุษย์นี้มีฤทธิ์ | ศรสิทธิสามารถประหลาดใจ |
สังหารผลาญศรกูย่อยยับ | จะรบรับเคี่ยวเข็นเห็นไม่ได้ |
คิดพลางทางเหาะหนีไป | เข้าซ่อนในกลีบเมฆเมฆา |
จึ่งนบนิ้วประนมก้มเกษ | สำรวมกายร่ายเวทคาถา |
นิมิตรเปนรูปทรงองค์อสุรา | เกลื่อนกลาดดาษดานภาไลย |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๑๑๓๙๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
เห็นยักษีหนีเหาะรเห็จไป | ประเดี๋ยวใจลอยเลื่อนเกลื่อนอัมพร |
แต่ล้วนรูปอสุรากว่าหมื่นพัน | เหมือนมังกรกรรฐ์ชาญสมร |
มิรู้ที่จะแผลงผลาญราญรอน | จึ่งเสี่ยงศรพรหมมาศมหิมา |
ถ้าแม้นมังกรกรรฐ์มันอยู่ไหน | จงตรงไปประหารผลาญยักษา |
เสี่ยงแล้วขึ้นศรอันศักดา | ผ่านฟ้าก็ลั่นไปทันที |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๑๔๐๏ เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงศรดังสนั่น | ไปต้องมังกรกรรฐ์ยักษี |
เศียรกระเด็นตกดินสิ้นชีวี | ทั้งรูปที่เหมือนกายก็หายไป |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๑๔๑๏ บัดนั้น | อสูรซึ่งเหลือตายทั้งนายไพร่ |
ครั้นเห็นมังกรกรรฐ์บรรไลย | ตกใจต่างวิ่งทิ้งสาตรา |
บ้างบุกเข้ารกเรี้ยวเลี้ยวหลีกหลบ | ถึงต้นทางต่างพบกันพร้อมหน้า |
ทั้งนายไพร่ไม่เข้ากรุงลงกา | รีบมาโรมคัลบุรี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๑๔๒๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์เรืองศรี |
เสร็จสังหารมารร้ายวายชีวี | เลิกกระบี่กระบวนทัพเข้าพลับพลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๑๔๓๏ บัดนั้น | พลมังกรกรรฐ์ดั้นเดินป่า |
พอพลบค่ำย่ำฆ้องถึงภารา | ไปเฝ้าพระอนุชาฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๑๔๔๏ ต่างบังคมก้มกราบแสงอาทิตย์ | ทูลแถลงแจ้งจิตรทุกสิ่งสรรพ์ |
พระเชษฐาของพระองค์ทรงธรรม์ | อาสาท้าวทศกรรฐ์ออกสงคราม |
ได้รบรับกับมนุษย์วานร | ตลุมบอนชิงไชยในสนาม |
สิ้นกำลังพลั้งพลาดเพลี่ยงพระราม | ถึงแก่ความมรณาพิราไลย |
เสียสิ้นม้ารถคชสาร | พลมารย่อยยับไม่นับได้ |
ทั้งตัวข้าวานรมันล้อมไว้ | แต่ฟันฝ่ามาได้ไม่วายปราณ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๑๔๕๏ เมื่อนั้น | แสงอาทิตย์ฤทธิไกรใจหาญ |
แจ้งว่ามังกรกรรฐ์บรรไลยลาญ | เดือดดาลดังไฟไหม้ฟ้า |
ชิชะมนุษย์รามลักษณ์ | ทนงนึกฮึกฮักหนักหนา |
ครั้งก่อนผลาญชีวิตรพระบิดา | คราวนี้ฆ่าพี่ชายเราวายชนม์ |
กูจะไปตีทัพจับตัว | ตัดหัวเสียบไว้ในไพรสณฑ์ |
ทั้งไอ้ลิงเหล่ากระบี่รี้พล | จะห้ำหั่นให้ป่นเปนเหยื่อกา |
ว่าพลางสั่งพิจิตรไพรี | อันเปนที่พี่เลี้ยงยักษา |
จงรีบเร่งรัดจัดโยธา | เราจะไปลงกาธานี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๑๔๖๏ บัดนั้น | พี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกษี |
มาเกณฑ์พวกพลขันธ์ทันที | พร้อมพรั่งดังมีบัญชาการ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๑๔๗๏ เมื่อนั้น | แสงอาทิตย์ฤทธิไกรใจหาญ |
เสด็จจากแท่นรัตน์ชัชวาลย์ | มาเข้าที่สรงสนานสำราญองค์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๑๔๘๏ ลูบไล้สุคนธ์ปนปรุง | เฟื่องฟุ้งหอมประทิ่นกลิ่นส่ง |
ใส่สนับเพลาสุวรรณบรรจง | ภูษาทรงแย่งยกกระหนกกลาย |
ชายแครงแสงใสไหวสบัด | เกราะเก็จเพ็ชรรัตน์จำรัสฉาย |
รัดอกกระหนกพันกุดั่นลาย | ปั้นเหน่งเพ็ชรเพทายสายสุวรรณ |
สร้อยสังวาลตาบทิศติดสลับ | พลอยประดับทับทรวงดวงกุดั่น |
ทองกรแกมแก้วแพรวพรรณ | ธำมรงค์ควงขันกัลเม็ด |
ใส่ทรงมงกุฎบุษรัตน์ | กรรเจียกจรจำรัสตรัจเตร็จ |
สพักศรกรกุมคทาเพ็ชร | แล้วเสด็จลีลาศยาตรา |
ฯ ๘ คำ ฯ บาทสกุณี
ร่าย
๑๑๔๙๏ ยืนยังเกยแก้วสุรการ | ทวยหาญกราบงามสามท่า |
คลี่คลายขยายยกโยธา | ออกจากภาราเข้าป่าไป |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
โทน
๑๑๕๐๏ รถเอยรถแก้ว | ล้วนแล้วเพ็ชรแดงแสงใส |
ดุมวงกงกำอำไพ | งอนรหงธงไชยสามชาย |
บัลลังก์ลอยช้อยชดลดหลั่น | พื้นภาพสามชั้นคั่นบัวหงาย |
อ่อนแอกแปรกบังกระวังราย | ทูบท้ายบุษบกกระหนกเกริน |
เทียมด้วยคชสีห์มีศักดิ | ดังจะชักรถเพ็ชรรเห็จเหิน |
สารถีขี่ขับให้ด่วนเดิน | ข้ามเนินพนมแนวแถวคิรี |
เครื่องสูงเรียงริ้วเปนทิวท่อง | ฆ้องกลองก้องป่าพนาสี |
เร่งทัพขับรถจรลี | ผลคลีกลุ้มตระหลบนภาไลย |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๑๕๑๏ ครั้นถึงลงกามหาสถาน | ให้หยุดนอกปราการกรุงใหญ่ |
เสด็จจากรถแก้วแววไว | คลาไคลไปเฝ้าเจ้าลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๑๑๕๒๏ เมื่อนั้น | ทศภักตร์พงษ์พรหมนาถา |
เสด็จออกอำมาตย์มาตยา | พอสองสารัณทูตทูลคดี |
แจ้งว่ามังกรกรรฐ์บรรไลย | ให้เร่าร้อนฤไทยดังไฟจี้ |
อินทรชิตก็ยังตั้งพิธี | พึ่งได้สามราตรีสี่ทิวา |
จึ่งตรึกตรองปฤกษาข้าเฝ้า | ครั้งนี้เราจะได้ใครอาสา |
พอแลเห็นแสงอาทิตย์ฤทธา | เสด็จมาต้อนรับฉับพลัน |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๑๑๕๓๏ จูงกรขึ้นนั่งบัลลังก์รัตน์ | แล้วตรัสแจ้งการหลานขวัญ |
เมื่อวานนี้พี่เจ้าออกโรมรัน | ก็สูญสิ้นชีวันบรรไลย |
ประเดี๋ยวนี้ลุงยังนั่งเปนทุกข์ | จะมีศุขสักเวลาก็หาไม่ |
คิดถึงเชษฐาเจ้าให้เศร้าใจ | ตรัสพลางสอื้นไห้ไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๑๑๕๔๏ เมื่อนั้น | แสงอาทิตย์คิดแค้นแสนสา |
จึ่งว่าหลานแจ้งความว่ารามา | ผลาญชีวีพี่ข้าให้บรรไลย |
จึ่งรีบยกพลขันธ์มาวันนี้ | จะต่อตีรามลักษณ์ให้ตักไษย |
ขอกราบบังคมลาคลาไคล | รีบไปเข่นฆ่าปัจจามิตร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๕๕๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรชื่นชมสมจิตร |
เข้าสร้วมสอดกอดจูบแสงอาทิตย์ | เจ้าดังดวงชีวิตรบิตุลา |
มิเสียแรงร่วมวงษ์พงษ์พรหม | ทั้งฤทธาอาคมก็แกล้วกล้า |
จงเร่งรัดจัตุรงคโยธา | ยกไปเข่นฆ่าไพรี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๕๖๏ เมื่อนั้น | แสงอาทิตย์สิทธิศักดิยักษี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ออกมาที่พักพลสกลไกร |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๑๕๗๏ จึ่งตรัสสั่งกาลสูรเสนา | ให้รีบยกโยธาทัพใหญ่ |
ออกประตูบูรพาคลาไคล | ไปสมรภูมิไชยฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๑๕๘๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดรถทรง | จัตุรงค์ยับยั้งตั้งมั่น |
แล้วให้หมู่อสูรกุมภัณฑ์ | โห่สนั่นในสนามสามลา |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว เจรจา
ช้า
๑๑๕๙๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์องค์นารายน์นาถา |
เสด็จนั่งยังน่าพลับพลา | ปฤกษาการณรงค์สงคราม |
พอได้ยินสำเนียงเสียงโห่ร้อง | อึกกระทึกกึกก้องท้องสนาม |
อัศจรรย์พระไทยไม่แจ้งความ | จึ่งตรัสถามพิเภกพระยายักษ์ |
อันทัพนี้คือใครเปนใหญ่มา | เสียงโห่โยธาเห็นหนาหนัก |
ท่านจงเร่งทำนายทายทัก | ให้ประจักษ์จะแจ้งแห่งคดี |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๑๑๖๐๏ บัดนั้น | พิเภกประนตบทศรี |
จึ่งจับยามตามเพลานาที | ต้องที่แล้วทูลพระภูธร |
อันนายทัพอสุรีที่ยกมา | คือองค์โอรสาพระยาขร |
วงษ์วานหลานท้าวยี่สิบกร | เปนน้องร่วมอุทรมังกรกรรฐ์ |
ตัวเพื่อนชื่อว่าแสงอาทิตย์ | เรืองฤทธิเรี่ยวแรงแขงขัน |
มหาพรหมสุริวงษ์พงษ์พันธุ์ | ประสิทธิสรรแว่นไว้ให้อสุรี |
ถ้าแม้นแว่นนั้นส่องต้องผู้ใด | ก็อาสัญบรรไลยดังไฟจี้ |
แต่มิได้เอามายังธานี | อสุรีฝากไว้ในธาดา |
ต่อมีการศึกเหนือเสือใต้ | จึ่งใช้ให้พี่เลี้ยงของยักษา |
ชื่อพิจิตรไพรีอสุรา | ไปเอาแว่นลงมาฆ่าไพรี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๑๖๑๏ เมื่อนั้น | พระทรงสังข์ฟังทูลถ้วนถี่ |
จึ่งดำริห์ตริการผลาญไพรี | แล้วมีพจนาบัญชาการ |
ดูราองคตยศไกร | ท่านเข้าใจเจรจาว่าขาน |
จงนิมิตรคิดลวงพรหมมาน | เอาแว่นแก้วสุรการนั้นลงมา |
แต่ซึ่งจะนิมิตรบิดเบือน | ให้แม้นเหมือนพี่เลี้ยงยักษา |
ท่านสิยังไม่รู้จักภักตรา | ถามพระยาพิเภกให้แจ้งใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๑๖๒๏ บัดนั้น | องคตรับสั่งบังคมไหว้ |
จึ่งถามพิเภกพลันทันใด | ซักไซ้ตามพะวงสงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๑๖๓๏ ครั้นรู้ทีกิริยาอาการ | รูปทรงสัณฐานของยักษา |
จึ่งร่ายมนต์นิมิตรด้วยฤทธา | จำแลงแปลงกายาฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๑๑๖๔๏ เปนยักษาหน้าเขียวสมคิด | เหมือนพี่เลี้ยงแสงอาทิตย์ทั้งล่ำสัน |
ให้พิเภกติเตียนไม่เพี้ยนกัน | บังคมคัลแล้วรเห็จเหาะไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๑๖๕๏ ครั้นถึงที่ถิ่นฐานพิมานพรหม | จึ่งบังคมก้มกรานกราบไหว้ |
ทำสนิทชิดชอบเหมือนเคยใช้ | แล้วใส่ไคล้ทูลแถลงแต่งเจรจา |
บัดนี้มีมนุษย์สองนาย | คุมกระบี่นิกายมาหนักหนา |
เข้าประชิดติดกรุงลงกา | รบร้าฆ่าหมู่อสุรี |
องค์แสงอาทิตย์ฤทธิไกร | จึ่งใช้ให้มาประนตบทศรี |
จะขอเอาอาวุธแว่นมณี | ไปส่องเสี้ยนไพรีให้มรณา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๑๖๖๏ เมื่อนั้น | มหาพรหมได้ฟังไม่กังขา |
สำคัญจิตรคิดว่าอสุรา | พี่เลี้ยงยักษาที่เคยใช้ |
พรหเมศชื่นชมโสมนัศ | กวักพระหัดถ์ตรัสเรียกเข้ามาใกล้ |
แล้วหยิบแว่นศักดิสิทธิ์ฤทธิไกร | ยื่นให้ดีดีด้วยปรีดา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๖๗๏ บัดนั้น | องคตยิ้มลไมอยู่ในหน้า |
ได้แว่นพรหมสมอุบายที่หมายมา | แล้วอำลาเหาะตรงลงแดนดิน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๑๖๘๏ ครั้นถึงจึ่งประนตบทบงสุ์ | พระนารายน์สุริวงษ์ทรงศิลป์ |
แล้วทูลความตามลวงพรหมินทร์ | ถวายแว่นอสุรินทร์เรืองฤทธิ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๑๖๙๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงศักดิจักรกฤษณ์ |
ได้แว่นแก้วอสุราปัจจามิตร | ชื่นชมสมจิตรที่คิดไว้ |
จึ่งสั่งให้สุครีพตรวจตรา | โยธาวานรนายไพร่ |
ให้คำแหงหณุมานชาญไชย | เปนทัพน่าคลาไคลไปครั้งนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๗๐๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ออกมาจัดโยธีเข้าตาทัพ |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๑๑๗๑๏ เกณฑ์กระบี่รี้พลทวยหาญ | ล้วนชำนาญโรมรันประจัญจับ |
สารวัดนายหมวดตรวจนับ | พร้อมสรรพทัพหลวงโดยกระบวน |
ให้กระบี่มีมงกุฎตัวนาย | เปนปีกซ้ายปีกขวาโยธาถ้วน |
กองหนุนกองหลังทั้งมวญ | เลือกล้วนเคยศึกฮึกฮัก |
เกณฑ์ให้หณุมานชาญเดชา | เปนกองน่าจู่โจมโหมหัก |
ทุกหมู่หมวดตรวจเตรียมพร้อมพรัก | คอยเสด็จทรงศักดิจักรี |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๑๗๒๏ เมื่อนั้น | พระสุริวงษ์องค์นารายน์เรืองศรี |
จึ่งตรัสชวนอนุชาจรลี | ไปเข้าที่สระสรงคงคาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๑๗๓๏ ไขสุหร่ายวารินกลิ่นกุหลาบ | กระเซนซาบอาบองค์เย็นใส |
พระสุคนธ์ปนปรุงทองอุไร | ต่างสอดใส่สนับเพลาพลาง |
ทรงภูษายกทองท้องแย่ง | ชายแครงเครือปักหักทองขวาง |
ห้อยน่าผ้าตาดริ้วมะปราง | ฉลององค์งามละอย่างต่างพับ |
คาดปั้นเหน่งเบญมาศแน่นหน่วง | ทับทรวงสังวาลสร้อยพลอยสลับ |
ทองกรเก็จเพ็ชรฑูรย์หนุนซับ | ธำมรงค์ทรงสำหรับการณรงค์ |
มงกุฎแก้วรจนาชฎาจร | จับพระขรรค์ศิลป์ศรสูงส่ง |
แล้วสั่งให้ไชยามโบกธง | ยกตรงไปสมรภูมิพลัน |
ฯ ๘ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๑๑๗๔๏ รถเอยรถทรง | ดุมวงวิเชียรเหียนหัน |
พระที่นั่งบัลลังก์เวไชยันต์ | กางกั้นเสวตรฉัตรจำรัสเรือง |
พระลักษณ์นั่งบังคมประนมกร | ธงงอนริ้วริ้วปลิวเปลื้อง |
เทพอาชาชาติบาทเยื้อง | ขนัดเนื่องเครื่องสูงสังข์แตร |
เสียงประโคมฆ้องกลองก้องกึก | คึกคึกเดินด่วนกระบวนแห่ |
วานรเยียดยัดอัดแอ | ฆ้องกระแตตีเพรียกเรียกพล |
พระมาตุลีขี่ขับรถทรง | เสียงกงก้องป่าพนาสณฑ์ |
ไม้ไล่ใกล้ทางจรดล | หักโค่นต้นเอนรเนนไป |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๑๗๕๏ ครั้นถึงที่ตำบลรณรงค์ | เห็นทัพยักษ์ปักธงอยู่ทิศใต้ |
จึ่งให้หยุดพลรบสงบไว้ | จะดูเชิงชิงไชยพวกไพรี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๑๗๖๏ เมื่อนั้น | แสงอาทิตย์สิทธิศักดิยักษี |
แลไปบนรถรูจี | เห็นมนุษย์กับกระบี่ยกมา |
ให้คิดแค้นโกรธาพยาบาท | มุ่งมาดหมายเขม้นจะเข่นฆ่า |
จึ่งตรัสสั่งกาลสูรเสนา | ให้เร่งขับทัพน่าเข้าโจมตี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๗๗๏ บัดนั้น | กาลสูรรับสั่งใส่เกษี |
ถอดดาบแกว่งไกวไล่โยธี | เข้าต่อตีรบกับทัพมนุษย์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๑๗๘๏ บัดนั้น | หมู่มารหาญเหี้ยมสัปรยุทธ |
ต่างประกวดอวดชำนาญการยุทธ | รำอาวุธสองมือดื้อดึง |
ทนายปืนขึ้นนกยกประทับ | ปล่อยตับผับเดียวทลวงถึง |
ถอดดาบไล่หันฟันตบึง | ไม่พรั่นพรึงโยธาวานร |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๑๗๙๏ บัดนั้น | หมู่กระบี่ทวยหาญชาญสมร |
หลบหลีกกุมภัณฑ์ฟันฟอน | ไม่ย่อหย่อนสาตราอาวุธ |
บ้างถอนต้นยูงยางง้างภูเขา | วิ่งเข้าโจมจับสัปรยุทธ |
ตีต้องหมู่มารซานทรุด | บ้างม้วยมุดแตกพ่ายกระจายไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๑๘๐๏ บัดนั้น | กาลสูรเชี่ยวชาญทหารใหญ่ |
เห็นพวกพลกุมภัณฑ์บรรไลย | ก็โกรธเกรียมเหี้ยมใจขึ้นมา |
กระทืบเท้าโครมครึกกึกก้อง | สองมือถือตะบองเงื้อง่า |
โถมทยานหาญหักทำศักดา | เข้าไล่ตีโยธาวานร |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๑๘๑๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานชาญสมร |
เห็นนายกองทัพน่ามาราญรอน | วานรย่อย่นร่นมา |
ขุนกระบี่กริ้วโกรธโดดรับ | โจนจับกุมภัณฑ์ประจันหน้า |
ต่างยุดฉุดกระชากสาตรา | หันเหียนเปลี่ยนท่าเหยียบยัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๑๘๒๏ บัดนั้น | กาลสูรเรี่ยวแรงแขงขัน |
ถาโถมโรมรุกบุกบัน | โจมประจัญหันกลับรับรอง |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๑๘๓๏ บัดนั้น | หณุมานชาญไชยไวว่อง |
โจมจับกลับกลอกดูทำนอง | เห็นยักษาง่าตะบองเงื้อมา |
ลูกลมล่วงไล่เข้าไปชิด | อสุรีตีผิดล้มถลา |
วานรโจนฟาดด้วยสาตรา | ถูกยักษาอาสัญลงทันที |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๑๑๘๔๏ เมื่อนั้น | แสงอาทิตย์ฤทธิไกรไชยศรี |
เห็นเสนากาลสูรสิ้นชีวี | อสุรีเดือดใจดังไฟฟ้า |
โจนจากรถทรงองค์เดียว | เข่นเขี้ยวเข้าตีกระบี่ป่า |
เหล่าลิงหลบพัลวันมา | จนถึงน่ารถพระอวตาร |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๑๘๕๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน |
ขยับองค์ลงจากรถวิมาน | เข้ารอนราญรบยักษ์ด้วยศักดา |
ถ้อยทีตีรันประจัญแรง | ไม่พลาดแพลงคล่องแคล่วแกล้วกล้า |
ขึ้นเหยียบยักษ์ชักฉวยชิงสาตรา | เปลี่ยนท่าทำนองว่องไว |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๘๖๏ เมื่อนั้น | แสงอาทิตย์ไม่พรั่นหวั่นไหว |
เคี่ยวขับสัปรยุทธชิงไชย | หมายใจเข่นฆ่าราวี |
ถาโถมโจมจับสัปรยุทธ | ยงยุทธด้วยกำลังยักษี |
รบชิดติดพันประจัญตี | ถ้อยทีหนีไล่กันไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๑๘๗๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์องค์นารายน์นาถา |
ได้ทีตีต้องอสุรา | ยักษาหันเหเซทรุด |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๑๘๘๏ เมื่อนั้น | แสงอาทิตย์คิดพรั่นขยั้นหยุด |
แล้วนิ่งนึกตรึกตราว่ามนุษย์ | พี่น้องสองบุรุษนี้เกรียงไกร |
อันสาตราอาวุธสำหรับกร | หาควรคู่สู้ศรมนุษย์ไม่ |
เว้นแต่แว่นสุรการชาญไชย | จึ่งจะผลาญมันได้ให้มรณา |
คิดพลางสั่งพิจิตรไพรี | อันเปนที่พี่เลี้ยงของยักษา |
จงเร่งรีบไปเฝ้าท้าวธาดา | ทูลขอแว่นฟ้าลงมาพลัน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๑๘๙๏ บัดนั้น | พิจิตรไพรีแขงขัน |
ก้มเกล้ารับสั่งบังคมคัล | ลาแล้วกุมภัณฑ์ก็เหาะไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๑๙๐๏ ครั้นถึงท้าวธาดามหาพรหม | จึ่งยกนิ้วประนมแถลงไข |
ว่าครั้งนี้มีพวกพาลไภย | มาชิงไชยลงกาธานี |
แสงอาทิตย์ฤทธิรงค์ทรงยศ | ให้ข้ามาประนตบทศรี |
จะขอแว่นศักดาไปราวี | เผาพวกไพรีให้มรณา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๙๑๏ เมื่อนั้น | พรหเมศฟังแถลงแคลงหนักหนา |
จึ่งบัญชาว่าเมื่อกี้อสุรา | เองขึ้นมาว่าแว่นนายจะเอา |
กูก็หยิบยื่นให้ไปกับมือ | กลับมารื้อซ้อมค้างอย่างนี้เล่า |
มิใช่กูหลงใหลใจเบา | ยังจำเค้าได้อยู่อสุรา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๙๒๏ บัดนั้น | อสุรีพี่เลี้ยงเถียงต่อหน้า |
เออเมื่อกี้ที่ไหนข้าได้มา | พระเจรจาพลั้งพลาดประหลาดใจ |
เอะแล้วไพรีอันมีฤทธิ์ | แกล้งนิมิตรปลอมข้าขึ้นมาได้ |
พระองค์หลงประทานแว่นไป | ช่างกระไรไม่พิจารณา |
เมื่อเปนถึงอินทร์พรหมยังงมเงา | ไม่รู้เท่าลิงค่างอยู่กลางป่า |
คิดแค้นใจไม่อัญชลีลา | อสุราเหาะกลับมาฉับไว |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๑๙๓๏ ครั้นถึงจึ่งถวายบังคมคัล | กุมภัณฑ์ทูลแจ้งแถลงไข |
ข้าไปเฝ้าเจ้าฟ้าสุราไลย | ไม่ได้แว่นแก้วแล้วครั้งนี้ |
ปัจจามิตรคิดขึ้นไปลวงพรหม | ท้าวนิยมงมทักว่ายักษี |
เอาแว่นหลงส่งให้ไพรี | จงทรงทราบธุลีบาทา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๑๙๔๏ เมื่อนั้น | แสงอาทิตย์คิดโทมนัศา |
นิ่งตลึงตึงไปทั้งกายา | ดังชีวาจะม้วยรทวยรทด |
แล้วว่าเหตุทั้งนี้เพราะพิเภก | เจ้าตัวเอกบอกให้ไพรีหมด |
ไปหลอกลวงทวงแว่นถึงโสฬศ | จะคิดคดฆ่าวงษ์พงษ์พันธุ์ |
ว่าพลางกริ้วโกรธพิโรธใจ | ไม่อาไลยแก่ชีวาจะอาสัญ |
จึ่งขึ้นศรกรกุมก่งคัน | แล้วพาดสายหมายมั่นจะลั่นไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๑๙๕๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
จึ่งขึ้นศรพาลจันทันใด | ยิงแย้งแผลงไปมิได้ช้า |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๑๙๖๏ ศรนารายน์ตัดสายศรกุมภัณฑ์ | ขาดสบั้นหลุดพลัดหัดถา |
แล้วปักทรวงแสงอาทิตย์ฤทธา | อสุราล้มดิ้นสิ้นใจ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๑๙๗๏ ครั้นเสร็จสังหารมารม้วยมรณ์ | จึ่งปฤกษาวานรน้อยใหญ่ |
แสงอาทิตย์สิ้นชีวันบรรไลย | ประเดี๋ยวใจก็จะอึงถึงลงกา |
เห็นทีอินทรชิตจะคิดอ่าน | มารอนราญแก้แค้นแทนวงษา |
เจ้าลักษณ์อย่าเพ่อกลับไปพลับพลา | จงควบคุมโยธาอยู่ขัดทัพ |
แล้วแบ่งไพร่ไว้สามสิบสมุท | ให้สิบแปดมงกุฎอยู่กำกับ |
ครั้นเสร็จทรงรถแก้วแวววับ | เสด็จกลับพลับพลาพนาลี |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๑๙๘๏ บัดนั้น | ทั้งสองสารัณทูตยักษี |
เห็นกุมภัณฑ์พ่ายแพ้แก่ไพรี | ก็นำข่าวคดีไปลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว
๑๑๙๙๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบทูล | ท้าวราพนาสูรยักษา |
แสงอาทิตย์เสียทัพอัปรา | สิ้นชีวาอาสัญบรรไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๒๐๐๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสท้อนถอนใจใหญ่ |
ชิชะมนุษย์นี้สุดใจ | ทำไฉนจึงจะล้างมันวางวาย |
จะใช้ใครไปรบก็แพ้ฤทธิ์ | เห็นจะคิดองอาจประมาทหมาย |
ยิ่งกลุ่มกลัดขัดใจไม่สบาย | แสนเสียดายนัดดายาใจ |
จำจะให้อินทรชิตฤทธิรุตม์ | ไปสังหารผลาญมนุษย์เสียให้ได้ |
ดำริห์พลางทางสั่งเสนาใน | จงรีบตามออกไปโรงพิธี |
บอกองค์อินทรชิตฤทธิรอน | ให้เร่งชุบแสงศรเรืองศรี |
แล้วยกไปสังหารผลาญไพรี | อย่าช้าทีข้าศึกจะฮึกฮัก |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๒๐๑๏ บัดนั้น | กาลสูรเสนีมีศักดิ |
รับสั่งบังคมทศภักตร์ | แล้วขุนยักษ์รีบเหาะรเห็จมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๒๐๒๏ ครั้นถึงโรงพิธีมีเฉลียง | ค่อยมองเมียงดูพระโอรสา |
เห็นนั่งนิ่งรงับหลับไนยนา | จึ่งเข้ามากราบก้มบังคมคัล |
แล้วว่าพระบิดาให้ข้าบาท | มาแจ้งราชการทัพขับขัน |
แสงอาทิตย์ฤทธิรอนมังกรกรรฐ์ | ไปโรมรันอัปราปัจจามิตร |
เสียสิ้นมารถคชสาร | ทั้งขุนมารแม่ทัพก็ดับจิตร |
ขอให้พระองค์ทรงฤทธิ์ | ไปเข่นฆ่าปัจจามิตรให้มรณา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๒๐๓๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิยักษา |
ได้ยินบอกออกความอัปรา | โกรธาลืมเนตรเห็นเสนี |
ลุกขึ้นกระทืบบาทหวาดไหว | เหม่ไอ้กาลสูรยักษี |
มาพูดให้เปนลางกลางพิธี | ชีวิตรมึงถึงที่จะบรรไลย |
นี่หากคิดนิดเดียวด้วยรับสั่ง | จะหยุดยั้งยกโทษโปรดให้ |
ว่าพลางทางขับเสียทันใด | แล้วกลับนั่งตั้งใจภาวนา |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๑๒๐๔๏ เดชะพระเวทอสุรินทร์ | พื้นแผ่นดินดังลั่นสนั่นป่า |
ทั้งฟ้าแลบแวววับจับตา | อสุราชื่นชมสมคิด |
จึ่งจับสัตวตัดศีศะใส่ถาด | ให้พรหมมาศสูบกินสิ้นโลหิต |
ครั้นเสร็จสรรพจับศรอันเรืองฤทธิ์ | สำราญจิตรออกจากโรงพิธี |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๑๒๐๕๏ จึ่งตรัสสั่งรุทการชาญกำแหง | จะเปลี่ยนแปลงกายกูเปนโกสีย์ |
จงให้การุณราชอสุรี | แปลงอินทรีย์เปนคชาเอราวรรณ |
อันโยธาทั้งหลายจงกลายเพศ | เปนเทเวศร์สุรางค์นางสวรรค์ |
ให้สำหรับขับรำรบำบรรพ์ | เร่งเตรียมไว้ให้ทันฤกษ์ดี |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๒๐๖๏ บัดนั้น | รุทการประนตบทศรี |
มาเร่งรัดจัดหมู่อสุรี | ให้นิมิตรอินทรีย์ด้วยฤทธา |
ฯ ๒ คำ ฯ
ยานี
๑๒๐๗๏ การุณราชมารชาญฉกรรจ์ | เปนช้างเอราวรรณแกล้วกล้า |
สามสิบสามเศียรโสภา | เศียรหนึ่งเจ็ดงาตระหง่านงอน |
พวกแตรสังข์กังสดาลดุริยางค์ | เปนเทเวศร์สุรางค์นางอับศร |
บ้างแปลงเปนนักสิทธิ์ฤทธิรอน | วิชาธรแห่น่าคชาธาร |
อันโลทันนั้นนิฤมิตรกาย | เปนควาญท้ายสำหรับขับคชสาร |
จัดทัพสรรพเสร็จสำเร็จการ | คอยท่าพระยามารชาญณรงค์ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๒๐๘๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตชื่นชมสมประสงค์ |
จึ่งขึ้นบนแท่นสุวรรณบรรจง | จำแลงแปลงองค์อสุรา |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ รัว
๑๒๐๙๏ เปนโกสีย์ทรงเครื่องเรืองอร่าม | ล้วนแก้วเก้าเงางามวามเวหา |
จับพระแสงพรหมมาศยาตรา | เสด็จมาเกยสุวรรณทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๒๑๐๏ ขึ้นทรงฅอคชาเอราวรรณ | ทหารแห่โห่สนั่นหวั่นไหว |
ขยายยกโยธาคลาไคล | ลอยฟ้ามาในโพยมมาล |
ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน
โทน
๑๒๑๑๏ ช้างเอยช้างนิมิตร | เรืองฤทธิ์เรี่ยวแรงกำแหงหาญ |
ประดับเครื่องเรืองรัตน์ชัชวาลย์ | ล้วนแล้วแก้วประพาฬพรรณราย |
ห้อยหูภู่จามรีรอง | ปกตระพองรัดงาตาข่าย |
เครื่องสูงสามแถวแพรวพราย | อภิรุมชุมสายเปนคู่เคียง |
กลองชนะประโคมโครมครึก | มโหรธึกสังข์แตรแซ่เสียง |
พิณพาทย์ดุริยางค์นางจำเรียง | ประคองเคียงสองข้างช้างทรง |
สาวสุรางค์นางรบำรำฟ้อน | ดังกินรแน่งน้อยนวลหง |
สุรารักษ์นักสิทธิ์ฤทธิรงค์ | ถือทวนธงเปนทิวลิ่วลอยมา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๒๑๒๏ ครั้นถึงที่ประจัญบานราญรอน | เห็นวานรนับแสนแน่นหนา |
กับทั้งองค์พระลักษณ์ศักดา | ยืนรถรัตนาอยู่กลางพล |
จึ่งยั้งหยุดช้างทรงองอาจ | ลอยเลื่อนเกลื่อนกลาดเวหน |
ให้กุมภัณฑ์บรรดาจำแลงตน | ใส่กลขับรำรบำบรรพ์ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๒๑๓๏ บัดนั้น | รูปนิมิตรฤทธิแรงแขงขัน |
สาวสุรางค์นางฟ้าเทวัญ | บังคมคัลคำนับรับบัญชา |
ฯ ๒ คำ ฯ
พระทอง
๑๒๑๔๏ ต่างจับรบำรำฟ้อน | ทอดกรกรีดกรายซ้ายขวา |
ร่ายเรียงเคียงคมประสมตา | เลี้ยวไล่ไขว่คว้าเปนแยบคาย |
แล้วทวนทบตระหลบหลีกเลี่ยง | เคล้าคลอรอเรียงเมียงม่าย |
หันเหียนเปลี่ยนแทรกมาข้างซ้าย | แล้วย้ายมาขวาทำท่าทาง |
ซ้อนจังหวะประเท้าเคล่าคล่อง | เลี้ยวลอดสอดคล้องไปตามหว่าง |
วงเวียนเหียนหันกั้นกาง | เปนคู่คู่อยู่กลางอัมพร |
ฯ ๖ คำ ฯ เพลง
ร่าย
๑๒๑๕๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์สุริวงษ์ทรงศร |
ทั้งพวกพลโยธาวานร | ดูรบำรำฟ้อนบนเมฆา |
สำคัญว่าโกสีย์ตรีเนตร | กับเทเวศร์นางสวรรค์หรรษา |
พระพินิจพิศเพลินจำเริญตา | ทั้งพวกพลสวาวานรไพร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๒๑๖๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตยินดีจะมีไหน |
เห็นข้าศึกเสียเชิงละเลิงใจ | จึ่งจับศรไชยขึ้นบูชา |
แล้วพาดสายหมายเขม้นเข่นเขี้ยว | น้าวเหนี่ยวด้วยกำลังตึงอังษา |
สังเกตตรงองค์พระลักษณ์อนุชา | อสุราก็ลั่นไปทันใด |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๒๑๗๏ ศรเปนประกายไปหลายลูก | ตกถูกลิงพลไม่ทนได้ |
แล้วต้องพระอนุชาเสนาใน | สลบไปไม่เปนสมประดี |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๒๑๘๏ แลเขม้นเห็นแต่หณุมาน | ยืนทยานอยู่ตรงภักตร์ยักษี |
สรวลพลางตบหัดถ์อสุรี | ทั้งโยธีสมคเนเฮฮา |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวรำ
๑๒๑๙๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานหาญกล้า |
กระทืบบาทกราดเกรี้ยวโกรธา | แล้วชี้หน้าว่าเหวยสหัสไนย |
เหตุใดไปเข้าข้างพวกยักษ์ | มาแผลงผลาญพระลักษณ์ตักไษย |
กูจะล้างชีวันให้บรรไลย | จงสาใจอินทราที่อาธรรม์ |
ว่าพลางเผ่นโผนโจนทยาน | ขึ้นตีควาญท้ายคชาอาสัญ |
ง้างหักฅอพระยาเอราวรรณ | ชิงคันศรศักดิมัฆวาน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๒๒๐๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตฤทธิไกรใจหาญ |
ไม่หลีกหลบขบฟันประจัญบาน | รอนราญรับรองว่องไว |
หันเหียนเปลี่ยนท่าง่าเงื้อศร | ไสกุญชรติดพันกระชั้นไล่ |
ตีต้องหณุมานชาญไชย | กระเด็นไปกับเศียรไอยรา |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๑๒๒๑๏ เห็นวานรแน่นิ่งไม่ติงกาย | คิดว่าวายชีวังสังขาร์ |
พอจวนแสงสุริยนสนธยา | จึ่งสั่งสารัณทูตทันใด |
แม้นพระรามตามน้องมาที่รบ | จะกอดศพร่ำรักจนตักไษย |
เองรีบเข้าไปแถลงให้แจ้งใจ | กูจะได้มาประหารผลาญชีวา |
แล้วสั่งให้เลิกทัพกลับพล | ต่างตนบรรเทิงเริงร่า |
รูปกายกลายเปนอสุรา | คืนเข้าลงกาธานี |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๒๒๒๏ ครั้นถึงนัคเรศนิเวศน์วัง | เข้ายังพระโรงทองผ่องศรี |
บังคมบาทบิตุรงค์ทรงฤทธี | แล้วทูลความตามที่มีไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๒๒๓๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์ยินดีจะมีไหน |
ประคององค์โอรสยศไกร | กอดจูบลูกไล้แล้วชมเชย |
ฤทธิรณกลศึกก็ฦกซึ้ง | เปนที่พึ่งพ่อแล้วลูกแก้วเอ๋ย |
เจ้าเหนื่อยมาอย่านั่งนานนักเลย | ไปเสวยสว่ำให้สำราญ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๒๒๔๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตคำนับรับบรรหาร |
ออกจากพระโรงรัตน์ชัชวาลย์ | ไปสถานที่อยู่อสุรา |
ฯ ๒ คำ ฯ พราหมณ์เข้า
ช้า
๑๒๒๕๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
เนาในที่ประทับพลับพลา | คอยพระอนุชาลาวรรณ |
จนโพล้เพล้เวลาอัษฎงค์ | สุริยงลับไม้ไพรสัณฑ์ |
พระเนตรขวากระเหม่นเปนอัศจรรย์ | ผิดประหลาดหวาดหวั่นพรั่นพระไทย |
วันนี้ฟังสำเนียงเสียงศิลป์ | ฟ้าดินเลื่อนลั่นหวั่นไหว |
ฤๅพวกพาลไพรีมันมีไชย | จำจะไปตามพระอนุชา |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๑๒๒๖๏ คิดแล้วแต่งองค์ทรงศร | ชวนวานรไพร่นายทั้งซ้ายขวา |
เสด็จจากที่ประทับพลับพลา | นิลนนท์นำน่าคลาไคล |
ฯ ๒ คำ ฯ พระยาเดิน
๑๒๒๗๏ เดินทางกลางดงหลงเวียนวน | จะเห็นหนมรคาก็หาไม่ |
จึ่งจับจันทวาทิตย์ฤทธิไกร | แผลงไปในเมฆเมฆา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๒๒๘๏ เปนดาวดาดกลาดเกลื่อนเดือนหงาย | แสงฉายสว่างกลางเวหา |
รีบสาวพระบาทยาตรา | ไปตามมรคาพนาวัน |
ฯ ๒ คำ ฯ ทยอย
โอ้ร่าย
๑๒๒๙๏ ครั้นถึงที่รบเห็นศพลิง | เกลื่อนกลิ้งกลางสุธาอาสัญ |
ทั้งคำแหงหณุมานชาญฉกรรจ์ | ทับเศียรเอราวรรณบรรไลย |
ยิ่งรทวยรทดสลดจิตร | ทรงฤทธิ์หยุดยืนสอื้นไห้ |
โอ้ว่าวายุบุตรวุฒิไกร | เคยชิงไชยชนะอสุรา |
ครั้งนี้ชีวิตรมาปลิดปลด | เสียยศเสียศักดิเปนหนักหนา |
กรรแสงพลางทางเสด็จเดินมา | เห็นพระยาสุครีพชมภูพาล |
นิลราชฤทธิรงค์องคต | ขุนอัษฎาทศทวยหาญ |
ล้วนต้องศรนอนกลิ้งกลางดินดาล | พระสงสารทรุดลงทรงโศกา |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๑๒๓๐๏ แล้วอุส่าห์แขงขืนยืนดำรง | เที่ยวหาองค์พระลักษณ์ขนิษฐา |
เห็นศรศักดิปักอกอนุชา | พระวิ่งมากอดน้องประคองไว้ |
ค่อยสอดกรช้อนเกษขึ้นใส่ตัก | แล้วฉุดชักพรหมมาศไม่หวาดไหว |
ยิ่งโศกศัลย์รันทดสลดใจ | ชลไนยไหลลงทรงโศกา |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
โอ้
๑๒๓๑๏ โอ้เจ้าเพื่อนชีวีของพี่เอ๋ย | ไฉนเลยพ่ายแพ้แก่ยักษา |
มาทอดกายวายวางกลางสุธา | พี่ตามมาก็ไม่เห็นใจกัน |
จะหาไหนได้เหมือนพ่อเพื่อนยาก | แต่พรากจากกรุงไกรมาไพรสัณฑ์ |
กับโฉมยงองค์สีดาวิลาวรรณ | ได้เห็นกันเปนสามยามกันดาร |
แต่จากเมียมิหนำซ้ำเสียน้อง | หัวอกพี่เพียงกองเพลิงผลาญ |
เสียทีที่เราอวตาร | จะสังหารกุมภัณฑ์ให้บรรไลย |
บัดนี้พระอนุชาก็มาม้วย | ไม่มีผู้ชูช่วยแก้ไข |
มิขออยู่สู้ตายตามไป | ไม่อาไลยนัคเรศนิเวศน์เวียง |
พระโศกศัลย์กรรแสงสอื้นร่ำ | แต่พลบค่ำจนดึกเดือนเที่ยง |
รทวยองค์แอบน้องประคองเคียง | สิ้นเสียงซอนซบสลบไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
ร่าย
๑๒๓๒๏ บัดนั้น | โยธาวานรนายไพร่ |
เห็นพระองค์ทรงโศกโศกาไลย | จนนิ่งไปไม่เปนสมประดี |
ต่างตนตระหนกตกประหม่า | ฟายน้ำตาน้ำหูยู่ยี่ |
บ้างสร้วมสอดกอดบาทพระจักรี | ฝูงกระบี่ครวญคร่ำรำพรรณ |
โอ้แสนสงสารพระผ่านเกล้า | มาโศกเศร้าโศกาจนอาสัญ |
ทิ้งข้าน้อยไว้ในไพรวัน | จะผินผันไปพึ่งผู้ใด |
ทั้งเจ้าขุนมุลนายก็ตายม้วย | ใครจะช่วยปกครองให้ผ่องใส |
ร่ำพลางทางตีอกใจ | เกลือกกลิ้งนิ่งไปทั้งไพร่นาย |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๑๒๓๓๏ บัดนั้น | อสูรสารัณทูตทั้งหลาย |
เห็นพระลักษณ์พระรามถึงความตาย | ก็พากันผันผายเข้าภารา |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว
๑๒๓๔๏ ครั้นถึงจึ่งตั้งบังคมทูล | ท้าวราพนาสูรยักษา |
บัดนี้พระรามตามออกมา | โศการักกันจนบรรไลย |
พวกพลโยธาวานร | ที่มาด้วยม้วยมรณ์หาเหลือไม่ |
ข้าได้อยู่ดูแลแน่กับใจ | จงทราบใต้บาทาฝ่าธุลี |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๒๓๕๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวทศภักตร์ยักษี |
ทรงสำรวลสรวลร่าพาที | คราวนี้สิ้นธุระปะปัง |
อันนวลนางสีดายุพาพาล | จะสิ้นการเกียจกลเหมือนหนหลัง |
จะให้ไปแจ้งความตามลำพัง | เห็นยังจะแหนงแคลงใจ |
จำจะให้เทวีไปที่รบ | เห็นทรากศพรามลักษณ์ที่ตักไษย |
ดำริห์พลางทางสั่งเสนาใน | จงนำบุษบกไปอุทยาน |
บอกนางสีดานารี | ว่าสามีม้วยชีวังสังขาร |
ให้อีตรีชดาพานงคราญ | ไปพบพานผัวนางที่วางวาย |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๒๓๖๏ บัดนั้น | มโหทรอภิวันท์แล้วผันผาย |
นำบุษบกแก้วแพรวพราย | ออกข้างท้ายเมืองมาในราตรี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๒๓๗๏ ครั้นถึงสวนด่วนเดินเข้าไปหา | พอพบนางตรีชดามารศรี |
จึ่งแจ้งความตามรับสั่งอสุรี | เสนีกำชับแล้วกลับมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๒๓๘๏ บัดนั้น | ตรีชดาตระหนกตกประหม่า |
จึ่งคุกคลานเข้าไปในพลับพลา | กราบทูลนางสีดายาใจ |
วันนี้อินทรชิตฤทธิรอน | แผลงศรต้องพระลักษณ์ตักไษย |
ฝ่ายพระรามตามออกมาร่ำไร | ก็บรรไลยทั้งพหลพลโยธี |
ทศกรรฐ์มันใช้ให้เสนา | นำบุษบกมาถึงสวนศรี |
ให้โฉมยงทรงไปในราตรี | เยี่ยมพระศพสามีที่ม้วยมรณ์ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๒๓๙๏ เมื่อนั้น | นวลนางสีดาดวงสมร |
ได้ฟังดังใจจะขาดรอน | สองกรข้อนอุราโศกาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๒๔๐๏ แล้วแขงขืนกลืนกลั้นกรรแสง | ฤๅมันแกล้งลวงเล่นเปนไฉน |
จึ่งตรัสชวนตรีชดายาใจ | มาจะไปให้รู้ดูร้ายดี |
ว่าพลางนางสพักสไบทรง | ลีลาศลงจากพลับพลาหลังคาสี |
ทั้งนวลนางตรีชดานารี | ตามเสด็จเทวีลีลา |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๑๒๔๑๏ ขึ้นทรงบุษบกแก้วแพรวพรรณ | นางตรีชดานั้นนั่งน่า |
ลอยละลิ่วปลิวลมล่องฟ้า | ตรงมายังสมรภูมิไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๒๔๒๏ ครั้นถึงจึ่งลงแผ่นดินดอน | เห็นวานรตายยับไม่นับได้ |
ยิ่งคิดคร้ามครั่นพรั่นใจ | อรไทยแลหาพระสามี |
ไม่เห็นองค์ทรงฤทธิ์คิดวิตก | จึ่งลงจากบุษบกมณีศรี |
แสงพระจันทร์แจ่มฟ้าในราตรี | ลุยเลือดโยธีเที่ยวมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
โอ้ร่าย
๑๒๔๓๏ แลเห็นคำแหงหณุมาน | ทับเศียรคชสารสังขาร์ |
นางรู้จักจำได้ให้เมตตา | ชลนาไหลลงทรงโศกี |
โอ้เอนดูทหารพระผ่านเกล้า | ได้ไปเผาลงกาฆ่ายักษี |
ควรฤๅตายพ่ายแพ้แก่ไพรี | จนสิ้นชีวาวายเสียดายนัก |
ร่ำพลางนางฟายชลเนตร | แสนเทวศวิตกเพียงอกหัก |
พอเหลือบเห็นองค์พระหริรักษ์ | กอดพระลักษณ์วายวางกลางสุธา |
นางวิ่งเข้าเคารพอภิวาท | กราบกับพระบาททั้งซ้ายขวา |
สองกรข้อนทรวงเข้าโศกา | กัลยาครวญคร่ำร่ำไร |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
โอ้
๑๒๔๔๏ โอ้สงสารพระองค์ทรงศักดิ | มาพ่ายแพ้แก่ยักษ์จนตักไษย |
ควรฤๅไม่ดำริห์ตริไตร | ช่างละให้อนุชามาสงคราม |
จนเสียทีเสียทัพยับย่อย | พระก็พลอยวายวางกลางสนาม |
เสียแรงเรืองฤทธิรงค์ทรงนาม | มาได้ความอัปรยศทศกรรฐ์ |
ทั้งนี้ก็ชั่วอยู่ตัวน้อง | ให้พระต้องตามมาจนอาสัญ |
จะสู้ม้วยด้วยองค์พระทรงธรรม์ | ตามไปเมืองสวรรค์ชั้นฟ้า |
ร่ำพลางนางสอึกสอื้นไห้ | ชลไนยพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา |
ซบลงตรงบาทภัศดา | กัลยาแน่นิ่งไม่ติงกาย |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๑๒๔๕๏ บัดนั้น | ตรีชดาอกสั่นขวัญหาย |
สำคัญคิดว่านางวางวาย | ฟูมฟายชลนาจาบัลย์ |
แล้วแลหาสามีก็ไม่เห็น | จะซ่อนเร้นรอดชีวาฤๅอาสัญ |
นิจาเอ๋ยตายเปนไม่เห็นกัน | นางครวญคร่ำรำพรรณโศกา |
โอ้พระมเหษีมีศักดิ | เสียแรงได้พิทักษ์รักษา |
ฝากกายหมายพึ่งบุญญา | ทั้งพิเภกก็เปนข้าพระสามี |
ควรฤๅสามกระษัตริย์ขัติยวงษ์ | มาปลดปลงวอดวายหน่ายหนี |
จะผินภักตร์พึ่งใครนั้นไม่มี | พลางตีทรวงซ้ำร่ำไร |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๑๒๔๖๏ แล้วอุส่าห์แขงขืนกลืนน้ำตา | ในอุราร้อนรนหม่นไหม้ |
จึ่งต้องดูองค์สีดายาใจ | ยังลไมลมุนอุ่นอ่อนกาย |
เข้านั่งแนบนวดฟั้นบั้นพระองค์ | พลางประจงจับสไบโบกถวาย |
เย็นฉ่ำน้ำค้างพร่างพราย | โฉมฉายค่อยฟื้นสมประดี |
ฯ ๔ คำ ฯ รัว
๑๒๔๗๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์พระมเหษี |
ลืมเนตรสังเกตดูภูมี | ยิ่งโศกีกำสรดสลดใจ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๒๔๘๏ บัดนั้น | นวลนางตรีชดาอัชฌาไศรย |
จึ่งปลอบโยนโอนอ่อนอรไทย | จะตีตัวก่อนไข้ไม่ต้องการ |
อันองค์พระภัศดาสามี | ข้าเห็นทีจะยังไม่สังขาร |
ด้วยพิเภกผัวข้าโหราจารย์ | สังเกตการรู้จบภพไตร |
ถ้าแม้นยังไม่ตายวายชีวา | คงจะหาหยูกยามาแก้ไข |
หนึ่งบุษบกแก้วแววไว | เปนที่เสี่ยงทายให้เห็นสำคัญ |
แม้นหญิงม่ายภัศดาสามี | ขึ้นขับขี่มิได้ผายผัน |
จงดับความโศกาจาบัลย์ | กลับไปสวนขวัญเถิดกัลยา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๒๔๙๏ เมื่อนั้น | นางสีดาเยาวยอดเสนหา |
ฟังคำอสุรีตรีชดา | กัลยาค่อยส่างสว่างใจ |
แล้วดูพระหริวงษ์องค์พระลักษณ์ | ความรักมิใคร่จะจากได้ |
กราบบาทพระภัศดาโศกาไลย | สอึ้กสอื้นไห้ไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๑๒๕๐๏ ครั้นค่อยเคลื่อนคลายวายเทวศ | ประนมนิ้วเหนือเกษเกษา |
นางฝากฝังสั่งเทพเทวา | แล้วลาศพภัศดาคลาไคล |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๑๒๕๑๏ ครั้นถึงบุษบกรัตน์ชัชวาลย์ | นางตั้งจิตรพิศฐานกราบไหว้ |
ขอพรหมินทร์อินทราสุราไลย | จงโปรดให้เห็นแจ้งประจักษ์ตา |
ถ้าแม้นพระหริวงษ์องค์นารายน์ | วอดวายชีวังสังขาร์ |
จงบุษบกแก้วแววฟ้า | อย่าลอยเลื่อนเคลื่อนคลาพาไป |
แม้นพระอวตารชาญณรงค์ | กับองค์พระลักษณ์ไม่ตักไษย |
บุษบกจงพาคลาไคล | ไปยังพิไชยลงกา |
เสี่ยงพลางย่างขึ้นบนบัลลังก์ | นางตรีชดานั่งข้างน่า |
บุษบกเคลื่อนคล้อยลอยฟ้า | กลับมาสวนขวัญทันใด |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๑๒๕๒๏ บัดนั้น | พิเภกโหราอยู่ป่าใหญ่ |
คุมบรรดาวานรพลไกร | เที่ยวเก็บผลไม้ในไพรวัน |
ให้โยธาวานรคอนหาบ | ม่วงปรางลางสาบขนุนขนัน |
พอโพล้เพล้เพลาสายัณห์ | ก็พากันเลี้ยวหลงวงไป |
ฯ ๔ คำ ฯ พระยาเดิน
๑๒๕๓๏ ครั้นถึงที่รบเห็นศพลิง | เกลื่อนกลิ้งกลางสุธาป่าใหญ่ |
พิเภกตระหนกตกใจ | พลไพร่พวกลิงทิ้งหาบคอน |
แล้วเที่ยวดูทรากศพก็พบหมด | ทั้งองคตหณุมานชาญสมร |
สุครีพนิลนนท์พลนิกร | ลูกศรเสียบกายวายชีวา |
แล้วเห็นพระหริวงษ์ทรงศักดิ | กอดพระลักษณ์สิ้นชีวังสังขาร์ |
จึ่งพาพลพวกลิงวิ่งเข้ามา | กราบบาทบาทาโศกาไลย |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
โอ้
๑๒๕๔๏ พิเภกพร่ำร่ำว่านิจาเอ๋ย | ไฉนเลยทรงศักดิมาตักไษย |
จะรู้ที่ผินหน้าไปหาใคร | เหมือนอยู่ใต้บาทบงสุ์พระทรงฤทธิ์ |
ข้าหนีร้อนผ่อนพักมาพึ่งบุญ | พระเมตตาการุญสุจริต |
เคยโปรดเกล้าเช้าเย็นอยู่เปนนิจ | จะชอบผิดไม่ถือโทษทัณฑ์ |
ถึงพลัดพรากจากเมียเสียวงษ์ | ไม่ทุกข์เท่าพระองค์อาสัญ |
ใครจะช่วยปกครองป้องกัน | น่าที่ชีวันจะบรรไลย |
ร่ำพลางทางฟายชลนา | ทั้งโยธาแซ่ซ้องร้องไห้ |
ต่างสอึกสอื้นอั้นตันใจ | สลบไปไม่เปนสมประดี |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ยานี
๑๒๕๕๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงท้าวสหัสไนยเรืองศรี |
สถิตย์แท่นไสยาในราตรี | ดังอัคคีลามลนกระวนกระวาย |
จึ่งแลเล็งเพ่งทิพเนตรดู | ในชมพูแผ่นดินสิ้นทั้งหลาย |
จึ่งเห็นพระหริวงษ์องค์นารายน์ | กับพหลพลนิกายสลบไป |
พระน้องต้องศรพรหมมาศยักษ์ | ล่วงเวลาช้านักจะตักไษย |
จำจะช่วยพระองค์ทรงไชย | กับโยธาอย่าให้ม้วยมรณ์ |
จึ่งอ่านอาคมประนมหัดถ์ | เปนฝนพรมลมพัดมาอ่อนอ่อน |
ต้องพระจักรากับวานร | ที่ไม่ม้วยด้วยศรก็เปนมา |
ฯ ๘ คำ ฯ สาธุการ
ร่าย
๑๒๕๖๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานหาญกล้า |
เห็นพระหริรักษ์จักรา | จึ่งเข้ามาดุษดีชลีกร |
แล้วทูลว่าวันนี้ตรีเนตร | กับเทเวศร์บริวารชาญสมร |
มาลอยเลื่อนจับรบำรำฟ้อน | แล้วแผลงศรต้องพระอนุชา |
ข้าติดตามประจัญบานต้านต่อ | หักฅอช้างที่นั่งสังขาร์ |
จึ่งตัวต้องคันศิลป์อินทรา | ปิ้มว่าชีวันจะบรรไลย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๒๕๗๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงฤทธิ์คิดสงไสย |
ถามพิเภกกุมภัณฑ์ทันใด | เหตุไฉนอินทราจึ่งอาธรรม์ |
ประการหนึ่งซึ่งพระน้องต้องศร | จะม้วยมรณ์ชีวาอาสัญ |
ฤๅจะมีหยูกยารักษากัน | จงผ่อนผันช่วยพระอนุชา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๒๕๘๏ บัดนั้น | พิเภกบังคมก้มเกษา |
จึ่งทูลว่าอินทรชิตฤทธา | มันแปลงเปนอินทรามาชิงไชย |
อันศรนี้มีนามชื่อพรหมมาศ | พระอิศวรประสาทประสิทธิ์ให้ |
ซึ่งยาแก้ศรนี้มีอยู่ไกล | ถึงในภูผาอาวุธ |
แม้นมีใครไปยกเอาศิงขร | มาแก้ศรจะเขยื้อนเลื่อนหลุด |
ถ้ารุ่งแจ้งแสงทองพระน้องนุช | จะม้วยมุดไม่ฟื้นคืนคง |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๑๒๕๙๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสูงส่ง |
จึ่งตรัสสั่งหณุมานชาญณรงค์ | ท่านจงอาสาเราครานี้ |
ไปยกเอาภูผามาให้ได้ | แก้ไขศรศักดิยักษี |
ให้ทันในเวลาราตรี | รีบรัดบัดนี้อย่าได้ช้า |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๒๖๐๏ บัดนั้น | วายุบุตรรับสั่งใส่เกษา |
ที่แคลงใจไต่ถามโหรา | แล้วแผลงอิทธิฤทธาเหาะไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๒๖๑๏ ครั้นถึงภูผาอาวุธ | วายุบุตรลงเดินเนินไศล |
กู่เรียกเทวาสุราไลย | อยู่ไหนจงมาหาเรา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๒๖๒๏ เมื่อนั้น | ฝูงเทพเทวารักษาเขา |
สถิตย์ที่เถื่อนถ้ำลำเนา | ได้ยินเสียงเรียกเร้าริมคิรี |
จึ่งชวนกันผันผายออกมาดู | ก็เห็นลิงเผือกผู้ผ่องศรี |
กายาใหญ่หลวงพ่วงพี | ผิดกับกระบี่ที่กลางไพร |
จึ่งร้องทักถามว่าเหวยวานร | ถิ่นฐานนานดรอยู่ถึงไหน |
มาร้องเรียกเทวัญด้วยอันใด | จงบอกไปให้แจ้งกิจจา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๒๖๓๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานหาญกล้า |
ได้ฟังยินดีปรีดา | จึ่งบอกกับเทวาสุรารักษ์ |
เราชื่อหณุมานชาญณรงค์ | ทหารพระหริวงษ์ทรงศักดิ |
บัดนี้พระน้องต้องศรยักษ์ | ถ้าช้านักจักม้วยมรณา |
จึ่งตรัสใช้ให้เราเอาศิงขร | ไปแก้พิศม์ฤทธิ์ศรยักษา |
ท่านผู้อผู่เฝ้าสรรพยา | จงเมตตาให้เขากับเราไป |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๑๒๖๔๏ เมื่อนั้น | เทวาอารักษ์น้อยใหญ่ |
ฟังคำลำฦกตรึกไตร | ครั้นแจ้งใจจึ่งว่ากับวานร |
ซึ่งพระนารายน์สุริวงษ์ | จะต้องพระประสงค์ศิงขร |
เราจะตามไปช่วยอวยพร | ท่านจงช้อนภูผาคลาไคล |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๒๖๕๏ บัดนั้น | ขุนกระบินทร์ยินดีจะมีไหน |
จึ่งสำแดงแผลงอิทธิ์ฤทธิไกร | เข้าช้อนเอาเขาใหญ่ขึ้นจากดิน |
ครั้นได้ใส่บ่าพานเรศ | เทเวศร์เข้าช่วยด้วยทั้งสิ้น |
เหาะทยานผ่านเมฆเมฆิน | ข้ามสินธุท้องทเลมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๒๖๖๏ ครั้นถึงที่ประจญรณรงค์ | เขาใหญ่ไม่ลงจากเวหา |
คิดสงไสยไต่ถามเทวา | เหตุใดภูผาไม่ลงดิน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๒๖๗๏ เมื่อนั้น | เทพไทใหญ่น้อยทั้งสิ้น |
จึ่งบอกแจ้งกิจจาพานรินทร์ | ภูเขานี้มีกลิ่นตระหลบไป |
อันศพยักษ์ซึ่งตายอยู่ก่ายกอง | ต้องลอองจะฟื้นขึ้นมาได้ |
ท่านผู้ปรีชาปัญญาไว | จงแก้ไขแต่พระอนุชา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๒๖๘๏ บัดนั้น | วายุบุตรได้ฟังไม่กังขา |
จึ่งคิดผ่อนผันด้วยปัญญา | นฤมิตรหัดถาทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๑๒๖๙๏ แล้วครอบคิรีกับรี้พล | เคาะยาให้หล่นจากเขาใหญ่ |
ต้องพระอนุชาเสนาใน | บัดใจก็ฟื้นคืนมา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๒๗๐๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ลืมเนตรเห็นเชษฐา |
บังคมก้มกราบกับบาทา | แล้วทูลแจ้งกิจจาสารพัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๒๗๑๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์รังสรรค์ |
จึ่งบอกพระอนุชาลาวรรณ | อย่าสำคัญเคืองขัดสหัสไนย |
อินทรชิตมันแกล้งแปลงเพศ | เหมือนตรีเนตรให้งงหลงใหล |
ถ้าทีหลังดังนี้อย่าวางใจ | จงตริไตรดูแลให้แน่นอน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๒๗๒๏ เมื่อนั้น | ฝูงเทวามาด้วยในศิงขร |
ครั้นเห็นพระอนุชากับวานร | พลนิกรฟื้นสิ้นก็ยินดี |
ต่างอำนวยอวยพรภูลสวัสดิ | ให้กระษัตริย์ทั้งสองจำเริญศรี |
เสร็จแล้วอำลาพาคิรี | ไปยังที่หิมพานต์สำราญใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๒๗๓๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
จึ่งชวนพระอนุชาเสนาใน | กลับไปพลับพลาในราตรี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๒๗๔๏ บัดนั้น | อสูรสารัณทูตยักษี |
เห็นมนุษย์กลับฟื้นคืนชีวี | ก็รีบวิ่งตลีตลานมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๒๗๕๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบทูล | ท้าวราพนาสูรยักษา |
เมื่อคืนนี้โฉมยงองค์สีดา | ไปเยี่ยมศพแล้วมาในราตรี |
ภายหลังพิเภกกับวานร | ซอกซอนมาในไพรศรี |
แก้ไขให้รอดชีวี | บัดนี้เลิกทัพไปพลับพลา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๒๗๖๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
ฟังทูลแถลงแจ้งกิจจา | อสุราคั่งแค้นแน่นใจ |
ชะกะไรไอ้พิเภกทรลักษณ์ | จะรู้จักวงษาก็หาไม่ |
มันซื่อสัตย์ต่อมนุษย์สุดใจ | แก้ไขรอดตายไปหลายครั้ง |
ตรัสพลางทางว่ากับอินทรชิต | เจ้าเรืองฤทธิ์รู้เวทวิเศษขลัง |
อันสงครามครั้งนี้มีกำลัง | ลูกยายังจะคิดอ่านประการใด |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๒๗๗๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตพิดทูลสนองไข |
ยังเห็นแต่กลศึกที่ตรึกไว้ | จะทำให้สิ้นสงครามกับรามา |
อันไอ้อสุราศุกขาจาร | ขอประทานให้พ้นโทษา |
แล้วจะใช้ให้แปลงเปนสีดา | ใส่ท้ายรัถาไปฆ่าฟัน |
อันพระลักษณ์พระรามความคิดน้อย | จะเศร้าสร้อยโศกาเพียงอาสัญ |
เห็นไม่ได้สีดาลาวรรณ | จะพากันเลิกทัพกลับไป |
กลศึกสิ่งนี้ดีนัก | ด้วยหาพักเหนื่อยยากลำบากไม่ |
หนึ่งนางสีดายาใจ | คงอยู่ในลงกาธานี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๒๗๘๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
ได้ฟังโอรสาพาที | ยินดีจึ่งดำรัสตรัสไป |
อย่าว่าแต่คนผิดติดคุกตราง | ถึงต้องการขุนนางก็จะให้ |
ว่าพลางทางสั่งเสนาใน | ไปถอดไอ้ศุกขาจารมาบัดนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๒๗๙๏ บัดนั้น | กรมเมืองรับสั่งใส่เกษี |
ออกจากพระโรงคัลทันที | ขึ้นขี่แคร่ไม้ไผ่ไคลคลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๒๘๐๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดที่หับเผย | จึ่งว่าเหวยพัศดีซ้ายขวา |
ศุกขาจารอยู่ไหนไปถอดมา | มีรับสั่งให้หาอย่าช้าการ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๒๘๑๏ บัดนั้น | พัศดีสับสนอลหม่าน |
จึ่งถอดเครื่องพันธนาศุกขาจาร | แล้วพามากราบกรานท่านเสนา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๒๘๒๏ บัดนั้น | กรมเมืองมนตรีมียศถา |
พูดจาปราไสแล้วไคลคลา | พาศุกขาจารเข้าไปเฝ้าพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๒๘๓๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริวงษ์รังสรรค์ |
แลเห็นศุกขาจารชาญฉกรรจ์ | เข้ามาบังคมคัลวันทา |
จึ่งแกล้งตรัสปราไสเหมือนไม่โกรธ | มึงทำโทษใส่ตัวชั่วหนักหนา |
บัดนี้กูให้ไปถอดมา | จะให้แปลงเปนสีดานารี |
ออกไปด้วยอินทรชิตฤทธิรุตม์ | ให้มนุษย์นึกว่ามารศรี |
เองจงพูดกับพระรามดูตามที | ให้กลับไปบุรีอยุทธยา |
แม้นมนุษย์มิฟังยังดื้อดึง | จะเอามึงตัดฅอเสียต่อหน้า |
แม้นรับได้ไม่เสียดายชีวา | ญาติกากูจะเลี้ยงไว้เวียงไชย |
ถ้าแม้นคิดบิดเบือนเชือนแช | หาเห็นแก่ราชการบ้านเมืองไม่ |
พวกพี่น้องของมึงมีเท่าไร | จะผลาญให้มอดม้วยไปด้วยกัน |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๒๘๔๏ บัดนั้น | ศุกขาจารฟังตรัสให้อัดอั้น |
แม้นมิรับอาสาให้ฆ่าฟัน | สงสารวงษ์พงษ์พันธุ์จะพลอยตาย |
จึ่งทูลว่าชีวาข้าพเจ้า | จะทูลเกล้าทูลกระหม่อมยอมถวาย |
ขออาสาจำแลงแปลงกาย | ให้เฉิดฉายโฉมงามเหมือนทรามไวย |
แต่องค์ภัควดีสีดา | ตัวข้ายังไม่เห็นเปนไฉน |
ครั้นจะจำแลงแปลงออกไป | กลัวจะไม่เหมือนองค์นงลักษณ์ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๒๘๕๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริวงษ์ทรงศักดิ |
จึ่งตรัสว่านางสีดายุพาภักตร์ | อยู่ตำหนักน้อยในอุทยาน |
ว่าพลางทางผินภักตร์มา | สั่งเสนาผู้ใหญ่ใจหาญ |
จงเร่งนำอสุราศุกขาจาร | ไปดูองค์นงคราญนางสีดา |
ต่อเมื่อถึงจึ่งนิมิตรบิดเบือน | ทำให้เหมือนสาวใช้เข้าไปหา |
สั่งแล้วลีลาศยาตรา | ตรงมาแท่นรัตน์ชัชวาลย์ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๑๒๘๖๏ บัดนั้น | มโหทรเสนาศักดาหาญ |
เสด็จขึ้นแล้วพาศุกขาจาร | ไปยังอุทยานทันที |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๒๘๗๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดอยู่ข้างนอก | ชี้บอกตำหนักนางโฉมศรี |
ท่านจงแปลงกายาเปนนารี | เอามาลีไปถวายนางทรามไวย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๒๘๘๏ บัดนั้น | ศุกขาจารฟังแจ้งแถลงไข |
จึ่งแปลงกายกลายเปนนางสาวใช้ | ถือพานดอกไม้ลีลามา |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ เพลง
๑๒๘๙๏ ครั้นถึงตำหนักห้างกลางสวน | แกล้งยืนเด็ดดอกลำดวนดูซ้ายขวา |
แลเห็นโฉมยงองค์สีดา | โสภาพริ้งพร้อมลม่อมลไม |
จึ่งแกล้งทำยำเกรงก้มกราน | ประคองพานบุบผาเข้ามาใกล้ |
ทำทำนองเหมือนอย่างนางใน | ทูลถวายดอกไม้นางเทวี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๒๙๐๏ เมื่อนั้น | นวลนางสีดามารศรี |
แลเห็นพานบุบผากับนารี | เทวีนึกแหนงแคลงใจ |
นางนี้ดีร้ายทศกรรฐ์ | ให้เอาพรรณบุบผามาให้ |
คิดแล้วนงลักษณ์จึ่งซักไซ้ | นี่ของใครใช้เจ้าให้เอามา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๒๙๑๏ บัดนั้น | ศุกขาจารบังคมก้มเกษา |
จึ่งทูลองค์นงคราญด้วยมารยา | ตัวข้านี้อยู่ในบูรี |
ทราบว่าโฉมยงนงคราญ | พระยามารเอาไว้ในสวนศรี |
องค์พระรามตามมาราวี | อสุรีจะวอดวายพ่ายแพ้ |
ข้าจะถวายตัวไว้แต่เริ่ม | พอได้เปนข้าหลวงเดิมเก่าแก่ |
เห็นโฉมยงคงจะเลี้ยงเที่ยงแท้ | พลางประจ๋อประแจ๋พูดจา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๑๒๙๒๏ แล้วลอบดูองค์นงลักษณ์ | ทั้งทรวดทรงวงภักตร์ผิวมังษา |
สังเกตใจได้แน่ถนัดตา | จึ่งทูลลาผายผันมาทันที |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๑๒๙๓๏ ครั้นออกนอกสวนอุทยาน | ก็กลับเปนศุกขาจารยักษี |
บอกอุบายถ่ายเทกับเสนี | ดังพูดจาพาทีกับทรามไวย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๒๙๔๏ บัดนั้น | มโหทรเสนาอัชฌาไศรย |
ได้ฟังจะแจ้งไม่แคลงใจ | ก็พากันเข้าในนัครา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๒๙๕๏ ครั้นถึงจึ่งประนตบทบงสุ์ | ทูลองค์อินทรชิตยักษา |
ข้าพาศุกขาจารอสุรา | ไปดูองค์สีดามาเดี๋ยวนี้ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๒๙๖๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิยักษี |
จึ่งบัญชาว่าเหวยอสุรี | เร่งนิมิตรอินทรีย์เปนสีดา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๒๙๗๏ บัดนั้น | ศุกขาจารบังคมก้มเกษา |
รับสั่งคลานคล้อยถอยออกมา | จึ่งจำแลงกายาทันที |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๑๒๙๘๏ รูปร่างช่างนิมิตรบิดเบือน | งามเหมือนนางสีดามารศรี |
จึ่งเข้าไปบังคมคัลอัญชลี | ทำท่วงทีชม้ายชายตา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๒๙๙๏ เมื่อนั้น | โอรสทศภักตร์ยักษา |
ดูพลางทางนึกในวิญญา | นางสีดางามพร้อมลม่อมลไม |
กระนี้ฤๅบิตุรงค์ทรงธรรม์ | มิผูกพันพะวงหลงใหล |
คิดพลางทางสั่งเสนาใน | จงออกไปรีบรัดจัดโยธี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๐๐๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งใส่เกษี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ออกจากที่พระโรงคัลทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๓๐๑๏ เกณฑ์หมู่จัตุรงค์องอาจ | ที่ไปคราวพรหมมาศไม่หวาดไหว |
แล้วเทียมทั้งรถแก้วแววไว | มาเทียบไว้ตามเคยที่เกยลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๓๐๒๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิยักษา |
ครั้นพรั่งพร้อมพหลพลโยธา | เสด็จมาสรงสหัสนัที |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๓๐๓๏ เย็นฉ่ำน้ำสุหร่ายดังสายฝน | ซาบสกลกายายักษี |
ลูบไล้สุคนธามาลี | นางอยู่งานพัชนีวีลม |
สนับเพลาเชิงงอนซ้อนกระหนก | ภูษายกพื้นตองทองถม |
ฉลององค์ก้านแย่งดอกกลม | สร้อยมยมสังวาลวรรณประดับองค์ |
ทับอุราพาหุรัดตรัจเตร็จ | ปั้นเหน่งเพ็ชรเรือนฉลุปรุปร่ง |
ทองกรแก้วกุดั่นบรรจง | ธำมรงค์เพ็ชรรัตน์จำรัสตา |
สวมทรงมงกุฎบุษรัตน์ | กรรเจียกจรจำรัสทั้งซ้ายขวา |
ขัดพระขรรค์อันเรืองฤทธา | เสด็จจากมหาปราสาทไชย |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๑๓๐๔๏ พรั่งพร้อมรถรัดจัตุรงค์ | ทวนธงเปนทิวปลิวไสว |
ขยายยกโยธาคลาไคล | พลไกรแห่แหนแน่นนัน |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
โทน
๑๓๐๕๏ รถเอยรถทรง | กำกงก้องสเทือนเลื่อนลั่น |
ที่นั่งองค์โอรสทศกรรฐ์ | กระหนกเกรินสามชั้นเปนหลั่นลด |
บัวหงายลายลำยองทองอร่าม | สลับแก้วภุกามแกมมรกฎ |
ศุกขาจารแปลงกายอยู่ท้ายรถ | รากษษสารถีถือแพน |
เทียมสิงห์สามารถผาดผยอง | ลองเชิงเริงร้องลำพองแล่น |
เสียงแตรสังข์ฆ้องกลองก้องดงแดน | ทหารโห่แห่แหนแน่นไป |
อภิรุมชุมสายรายริ้ว | ธงทิวปลิวยาบวาบไสว |
เร่งหมู่อสุราคลาไคล | ไปสมรภูมิไชยฉับพลัน |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๓๐๖๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดโยธา | ตั้งริมชายป่าพนาสัณฑ์ |
สั่งให้พวกพหลพลกุมภัณฑ์ | โห่ร้องก้องลั่นโกลา |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
ช้า
๑๓๐๗๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
เสด็จออกที่ประทับพลับพลา | พรั่งพร้อมเสนาสองธานินทร์ |
เบื้องซ้ายฝ่ายชมภูพระนคร | เบื้องขวาวานรขีดขิน |
ตรัสประภาศราชการผลาญไพริน | พอได้ยินเสียงโห่เปนโกลา |
ก็แจ้งว่าข้าศึกมาสงคราม | จึ่งตรัสถามพิเภกยักษา |
วันนี้ทัพไชยใครยกมา | อินทรชิตฤๅว่าทศภักตร์ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๑๓๐๘๏ บัดนั้น | พิเภกรับสั่งพระทรงศักดิ |
จึ่งจับยามสามตาตำรายักษ์ | แล้วทูลพระหริรักษ์จักรี |
อันซึ่งเสียงโห่โยธา | มิใช่เจ้าลงกากรุงศรี |
คือทัพอินทรชิตฤทธี | ภูมีจงทราบพระบาทา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๐๙๏ เมื่อนั้น | องค์นารายน์เรืองฤทธิ์ทุกทิศา |
ฟังพิเภกทูลแถลงแจ้งกิจจา | จึ่งสั่งพระอนุชายาใจ |
เจ้าจงไปรอนราญหาญหัก | ผลาญโอรสทศภักตร์เสียให้ได้ |
แล้วตรัสสั่งสุรการชาญไชย | เร่งเกณฑ์พลให้พระอนุชา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๑๐๏ บัดนั้น | สุรการรับสั่งใส่เกษา |
ก้มเกล้ากราบงามสามลา | ออกมาจัดทัพสำหรับรบ |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๑๓๑๑๏ เกณฑ์พหลพลลิงชเลยศักดิ | ทั้งองครักษ์ราชมันเข้าบรรจบ |
น่าหลังตั้งกระบวนถ้วนครบ | ตามขนบธรรมเนียมเตรียมโยธี |
พวกใส่เสื้อแขนด้วนล้วนทโมน | คาตตะกรุดโทนถือกระบี่ |
วานรสารวัดสัสดี | เที่ยวตรวจเกริ่นเดินตีฆ้องกระแต |
บ้างนุ่งผ้าตาโถงถือเสน่า | ทนายปืนพื้นเหล่าลิงแสม |
พวกค่างเกณฑ์เข้าให้เป่าแตร | ใส่หมวกฝักแคขันสิ้นที |
ลิงแขกแบกปืนยักตรา | ล้วนใส่หมวกกะลาสลับสี |
ให้ประทับรัถาเทียมพาชี | คอยท่าน้องพระจักรีลีลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๓๑๒๏ เมื่อนั้น | องค์พระลักษณ์เรืองฤทธิ์ขนิษฐา |
ทูลลาสมเด็จพระพี่ยา | มาโสรจสรงคงคาวาริน |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๓๑๓๏ ขัดสีสารพางค์สำอางอาบ | ทรงสุคนธ์ปนกุหลาบส่งกลิ่น |
สนับเพลาพลอยประดับสลับนิล | ภูษายกแย่งกินรินรำ |
ฉลององค์เลื่อมลายพรายแพรว | สังวาลแววเฟื่องห้อยสร้อยสุกก่ำ |
ผ้าทิพย์เจียรบาดคาดประจำ | ปั้นเหน่งสายทองคำประจำยาม |
ทับอุราพาหุรัดตรัจเตร็จ | ประดับเพ็ชรค่าเมืองเรืองอร่าม |
ทองกรมรกฎงดงาม | มงกุฎแก้วแวววามอร่ามตา |
ธำมรงค์เรือนเก็จเพ็ชรพรายพรรณ | ห้อยอุบะมลิวันพระกรรณขวา |
สพักแล่งแสงศรศักดา | เสด็จมาตรวจพหลพลกระบี่ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๑๓๑๔๏ พอได้พิไชยฤกษ์บน | สุริยนทรงกลดสดแสงศรี |
ให้ทวยหาญขานโห่ขึ้นสามที | คลายคลี่พยุหบาตรยาตรา |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๑๓๑๕๏ รถเอยรถทรง | กำกงแก้วภุกามวามเวหา |
แอกอ่อนงอนชดรจนา | เทียมอาชาเผ่นโผนโจนลำพอง |
อภิรุมชุมสายรายรัด | กรรชิงฉัตรพรายแพรวเปนแถวท่อง |
สนั่นเสียงพิณพาทย์รนาดฆ้อง | ตะโพนกลองก้องดังสังข์แตร |
พวกพหลทวยหาญขานโห่ | บ้างถือโล่ห์ดาบคร่ำรำแต้ |
ทหารปืนเปนขนัดอัดแอ | แหนแห่โห่พิฦกครึกโครม |
แขกลิงยิงปืนยักตรา | สัตวสิงวิ่งถลาถาโถม |
ผงคลีคลุ้มกลุ้มเกลื่อนกลางโพยม | เซงแซ่แห่โหมครึกโครมไป |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๓๑๖๏ ครั้นถึงที่โรมรันประจัญบาน | เห็นหมู่มารคั่งคับไม่นับได้ |
จึ่งหยุดยั้งตั้งมั่นพลไกร | สงบไว้จะฟังกำลังยักษ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๓๑๗๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตฤทธิรงค์ทรงศักดิ |
เห็นโยธาคั่งคับทัพพระลักษณ์ | พร้อมพรักไพร่พลสกลไกร |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งสารถี | ให้เคลื่อนรถมณีเข้าไปใกล้ |
แสร้งยิ้มย่องร้องเย้ยไยไพ | เหวยพระลักษณ์ฤทธิไกรใจพาล |
แต่ต้องศรนอนกลิ้งถึงสองครั้ง | ยังโอหังฮึกฮักมาหักหาญ |
คิดสมเพชเวทนาน่ารำคาญ | มาเกิดการทั้งนี้เพราะสีดา |
ฝ่ายพระองค์ทรงฤทธิ์บิตุรงค์ | ก็จำนงนางเดียวเสนหา |
ต้องหักโหมโรมรันกันมา | จนโยธาสองข้างก็บางเบา |
คิดเห็นเปนไม่ต้องการ | ไพร่บ้านพลเมืองเปลืองเปล่าเปล่า |
บัดนี้สีดานงเยาว์ | ตัวเราจะส่งคืนไป |
นี่แน่แลดูเถิดพระลักษณ์ | องค์ภัควดีฤๅมิใช่ |
ท่านจงมารับพี่สใภ้ | เอาไปให้พระรามสมความคิด |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๑๓๑๘๏ เมื่อนั้น | น้องพระหริรักษ์จักรกฤษณ์ |
แลเห็นรูปร่างนางนิมิตร | สำคัญคิดว่าพระพี่สีดา |
จึ่งตรัสตอบโอรสทศกรรฐ์ | ท่านผ่อนผันครั้งนี้ดีหนักหนา |
จงเร่งเชิญอรไทยไปพลับพลา | ถวายพระเชษฐาธิบดี |
ท่านจะได้คำนับรับผิด | เห็นทรงฤทธิ์จะโปรดโทษยักษี |
จะคืนนางกลางณรงค์ตรงนี้ | ไม่ต้องที่จะรับกลับไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๓๑๙๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตเคืองขัดอัชฌาไศรย |
จึ่งว่าเหวยนายลิงหยิ่งสุดใจ | เรามิได้พ่ายแพ้ฤทธา |
จะต้องให้ไปส่งนงคราญ | ว่าขานเกินศักดิหนักหนา |
แม้นท่านไม่ประสงค์องค์สีดา | เราก็ไม่ปราถนาพากลับไป |
จะห้ำหั่นฟันนางเสียที่นี่ | เอาเกษีให้พระลักษณ์เมื่อตักไษย |
ว่าพลางทางชักพระขรรค์ไชย | ทำขัดใจจะฟันกัลยา |
ฯ ๖ คำ ฯ
โอ้
๑๓๒๐๏ บัดนั้น | ศุกขาจารจำแลงแกล้งเยี่ยมหน้า |
ทำเสียงอ่อนเสียงหวานด้วยมารยา | ว่าวันนี้พี่จะลาแล้วเจ้าลักษณ์ |
ผลกรรมทำไว้แต่ปางหลัง | มาเจาะจังจำเปนเห็นประจักษ์ |
จะมอดม้วยด้วยมือของขุนยักษ์ | พระน้องรักค่อยอยู่ให้จงดี |
ช่วยทูลพระอวตารผ่านเกล้า | ว่าตัวเราประนตบทศรี |
ถวายบังคมลาฝ่าธุลี | ไปคอยท่าภูมีอยู่เมืองฟ้า |
เชิญพระองค์คงคืนเข้านิเวศน์ | เปนปิ่นเกษไอสวรรย์ให้หรรษา |
อย่าชิงไชยให้ยากพระกายา | อันสีดาชีวันจะบรรไลย |
ว่าพลางทางทำกำสรด | รทวยรทดทุกข์ทนหม่นไหม้ |
คิดถึงตัวกลัวตายตันใจ | ยิ่งสอึกสอื้นไห้ไปมา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
ร่าย
๑๓๒๑๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ตระหนกตกประหม่า |
ทั้งบรรดาข้าเฝ้าเหล่าเสนา | สำคัญคิดว่าสีดานารี |
ต่างจับสาตราอาวุธ | จะยงยุทธช่วงชิงนางโฉมศรี |
แต่เกรงยักษ์จักประหารผลาญชีวี | มิรู้ที่จะคิดอ่านประการใด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๒๒๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตเห็นพระลักษณ์หลงใหล |
จึ่งจิกเศียรศุกขาจารชาญไชย | ฟาดฟันบรรไลยด้วยฤทธา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๓๒๓๏ แล้วโยนศีศะลงไปตรงภักตร์ | จึ่งว่าเหวยพระลักษณ์ขนิษฐา |
จงเอาศพพี่สใภ้ไปพลับพลา | ให้พระรามาสามี |
จะได้เชยชมชิดพิศมัย | ให้สาใจที่ร้างนางโฉมศรี |
เราจะยกโยธาไปราวี | รบเอาบุรีอยุทธยา |
สังหารพระพรตพระสัตรุด | ให้สิ้นสุดสุริวงษ์พงษา |
ว่าแล้วเลิกทัพขับโยธา | ตรงไปยังป่าหิมพานต์ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๓๒๔๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์สลดจิตรคิดสงสาร |
สำคัญว่าสีดายุพาพาล | ขุนมารมันฟันให้บรรไลย |
ยิ่งแค้นคั่งดังจะสิ้นสมประดี | จะดูศพเทวีมิใคร่ได้ |
จึ่งให้เลิกพหลพลไกร | กลับไปที่ประทับพลับพลา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๓๒๕๏ ครั้นถึงจึ่งเสด็จจากรถทรง | เข้าเฝ้าองค์ทรงเดชพระเชษฐา |
มิทันทูลแถลงแจ้งกิจจา | กราบกับบาทาโศกาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๓๒๖๏ เมื่อนั้น | พระอวตารตันจิตรคิดสงไสย |
ประโลมปลอบอนุชาแล้วว่าไป | พ่อเปนไรแก้วตาจึ่งจาบัลย์ |
อย่ากรรแสงนักเลยจงเงยภักตร์ | แจ้งประจักษ์ความวิโยคโศกศัลย์ |
ออกไปรบโอรสทศกรรฐ์ | ไฉนนั่นยกทัพกลับมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๒๗๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ทูลเหตุพระเชษฐา |
อินทรชิตพาพระพี่สีดา | ออกมาที่รบได้พบกัน |
เมื่อเดิมทีว่าจะส่งนงคราญ | แล้วว่าขานเกินเลยเย้ยหยัน |
จะช่วงชิงไว้ก็ไม่ทัน | มันฟาดฟันเศียรนางแล้วขว้างมา |
เปนสุดแค้นแสนสุดจะเจ็บอาย | แม้นน้องวายชีวีเสียดีกว่า |
บัดนี้มันนั้นยกโยธา | ไปกรุงศรีอยุทธยาธานี |
จะสังหารพระพรตพระสัตรุด | ทั้งเผ่าพงษ์วงษ์มนุษย์ในกรุงศรี |
ข้าจึ่งมาทูลแถลงแจ้งคดี | ด้วยครั้งนี้สุดแค้นแสนอาย |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๓๒๘๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงฟังก็ใจหาย |
สำคัญคิดว่านางวางวาย | พระฟูมฟายชลนาโศกาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๓๒๙๏ ครั้นค่อยส่างโศกศัลย์จึ่งบัญชา | ถามพิเภกโหราอัชฌาไศรย |
ทศกรรฐ์มันแค้นด้วยข้อใด | จึงให้พาสีดามาฆ่าตี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๓๓๐๏ บัดนั้น | พิเภกรับสั่งใส่เกษี |
พิเคราะห์ดูรู้ความตามคัมภีร์ | อัญชลีทูลแถลงแจ้งกิจจา |
ในยามจันทร์นั้นร้ายว่าตายจริง | แต่ไม่ใช่หญิงมียศถา |
เปนชายนักโทษแกล้งแปลงมา | จงทราบใต้บาทาฝ่าธุลี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๓๑๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี |
ฟังพิเภกทูลแถลงแจ้งคดี | ภูมียังระแวงแคลงพระไทย |
จึ่งตรัสสั่งสุครีพหณุมาน | องคตหลานอินทราอัชฌาไศรย |
ทั้งสามนายเร่งพากันคลาไคล | ไปดูศพนั้นให้แน่นอน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๓๒๏ บัดนั้น | สามกระบึ่ห้าวหาญชาญสมร |
บังคมลาพากันดั้นดงดอน | รีบร้อนมาสมรภูมิไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๓๓๓๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นเปนศพยักษ์ | มีใช่ภัควดีศรีใส |
ทั้งสามนายนึกด่าสาแก่ใจ | ถ่มน้ำลายรดให้แล้วกลับมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๓๓๔๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบกราน | ทูลพระอวตารนาถา |
ข้าไปพบศพชายวายชีวา | มิใช่องค์สีดานารี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๓๓๕๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์เรืองศรี |
ได้ฟังความสามกระบินทร์ก็ยินดี | จึ่งพาทีถามพิเภกโหราจารย์ |
อินทรชิตคิดกำจัดตัดศึก | ก็ล้ำฦกเหลือฉลาดอาจหาญ |
จะให้เราเศร้าโศกถึงนงคราญ | ไม่รอนราญเลิกทัพกลับไป |
แต่ตัวมันนั้นจะไปอยุทธยา | ยังจริงจังดังว่าฤๅไฉน |
ฤๅกล่าวแกล้งแต่งอุบายให้ตายใจ | จงบอกให้แจงอรรถบัดนี้ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๓๓๖๏ บัดนั้น | พิเภกใคร่ครวญถ้วนถี่ |
จึ่งทูลว่าอินทรชิตฤทธี | ทำทั้งนี้ฬ่อลวงหน่วงการ |
หวังจะให้พระองค์พะวงหลัง | เลิกทัพกลับยังราชฐาน |
แต่ตัวมันนั้นไปจักรวาฬ | กระทำการปลุกเวทวิเศษครัน |
อันพิธีนี้ชื่อกุมภนิยา | แม้นทำได้ใครฆ่าไม่อาสัญ |
ทั้งพวกพลรณรงค์คงกระพัน | ต่อเจ็ดวันจึ่งจะเสร็จสำเร็จการ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๓๓๗๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน |
จึ่งสั่งพระอนุชาไชยชาญ | อินทรชิตคิดการกำเริบนัก |
เจ้าจงยกโยธาคลาไคล | ตามไปรอนราญหาญหัก |
ล้างพิธีโอรสทศภักตร์ | ที่เนินจักรวาฬดานดง |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๓๘๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ชื่นชมสมประสงค์ |
จึ่งทูลว่าข้าน้อยนี้งวยงง | ทำให้ขายบาทบงสุ์พระทรงฤทธิ์ |
ซึ่งยกโทษโปรดเกล้าไว้คราวนี้ | ให้ต่อตีทำสงครามตามติด |
จะสังหารผลาญไอ้อินทรชิต | ให้ม้วยมิดชีวันบรรไลย |
ทูลพลางทางถวายบังคมลา | มาตรวจตราพหลพลไพร่ |
พร้อมพรั่งทั้งสำรับเมื่อแรกไป | พระสั่งให้เดินธงเข้าดงดาน |
ฯ ๖ คำ ฯ กราวนอก
๑๓๓๙๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตฤทธิไกรใจหาญ |
ครั้นมาถึงซึ่งเนินจักรวาฬ | จึ่งสั่งการกับมหาเสนาใน |
จงปลูกโรงพิธีตรีมุข | ที่ร่มรุกขากร่างหว่างไศล |
ทั้งธูปเทียนเข้าตอกดอกไม้ | จัดไว้ให้ต้องตามตำรา |
อันโยธีรี้พลทั้งหลาย | ให้รอบรายพิทักษ์รักษา |
ตั้งเปนหมวดหมู่ตรวจตรา | ไปกว่าจะสำเร็จเจ็ดวัน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๓๔๐๏ บัดนั้น | สี่เสนามารการขยัน |
รับสั่งรีบรัดมาจัดกัน | เกณฑ์กุมภัณฑ์กองทัพให้จับการ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๓๔๑๏ บัดนั้น | พวกอสูรสับสนอลหม่าน |
บ้างต้ดไม้เกี่ยวแฝกแบกกระดาน | บ้างจักสานกล่อมเสาเกลาตง |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ยานี
๑๓๔๒๏ ปลูกโรงพิธีสิบสี่ห้อง | ติดจั่วตัวลำยองหางหงษ์ |
รายรอบราชวัตรฉัตรเบญจรงค์ | ปักธงสีสลับจับตา |
ข้างชั้นในใส่ม่านเพดานดัด | โขมพัตรห้อยภู่พวงบุบผา |
แต่งตั้งทั้งพระแท่นแว่นฟ้า | เครื่องบูชาเข้าตอกดอกไม้ |
มีหม้อน้ำสำฤทธิข้างละร้อย | มะกรูดซีกส้มป่อยประสมใส่ |
ทั้งฟืนตองกองก่ายรายเรียงไป | เตรียมไว้พร้อมเสร็จสำเร็จการ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๓๔๓๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตฤทธิแรงกำแหงหาญ |
ครั้นจวนใกล้ได้ฤกษ์ศุภวาร | พระยามารมาสรงคงคา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๓๔๔๏ สรงสุคนธ์ปนปรุงฟุ้งตระหลบ | น้ำกุหลาบอาบอบมังษา |
จุณเจิมเฉลิมภักตร์อสุรา | แล้วนุ่งผ้าพื้นดำอำไพ |
สไบทรงบงเฉียงก็ดำสิ้น | สังวาลนิลมณีศรีใส |
กระหมวดเกล้าเมาฬีเช่นชีไพร | โพกส่านน่าดอกไม้ดำดี |
ถือประคำสำหรับร่ายพระเวท | เอาเพศเปนพรหมฤๅษี |
ครั้นเสร็จสรรพจับศรอสุรี | เข้าสู่โรงพิธีทันใด |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
ชมตลาด
๑๓๔๕๏ ขึ้นนั่งเหนือพระแท่นแว่นฟ้า | บูชาพระเวทตามเพศไสย |
แล้วตรัสสั่งมหาเสนาใน | ให้โหมไฟอาหุดีพิธีกรรม์ |
จึ่งจับศรกรประนมเหนือเกษ | ไหว้บรมพรหเมศรังสรรค์ |
มัธยัดขัดสมาธิ์สองชั้น | ชักประคำรำพรรณภาวนา |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
ร่าย
๑๓๔๖๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ฦๅฤทธิ์ทุกทิศา |
ตามโอรสทศกรรฐ์กระชั้นมา | จนถึงป่าหิมพานต์พนาลี |
พอบ่ายแสงสุริยันตวันเย็น | แลเห็นช่อฟ้าหลังคาสี |
ทั้งเสียงฆ้องกลองตระเวนอสุรี | รู้ว่าโรงพิธีกระทำการ |
จึ่งตรัสสั่งพวกพหลพลไกร | ให้นายไพร่พร้อมพรักเข้าหักหาญ |
รบรุมตลุมบอนรอนราญ | ใครต้านทานแทงฟันให้บรรไลย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๓๔๗๏ บัดนั้น | โยธาวานรน้อยใหญ่ |
รับสั่งสำแดงแผลงฤทธิไกร | เข้าล้อมไล่อสุรีตีรัน |
บ้างโจนจับสัปรยุทธเหยียบบ่า | หักขาแขนฟาดขาดสบั้น |
บ้างชิงดาบหอกแกว่งแทงกุมภัณฑ์ | หักโหมโรมรันราวี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๔๘๏ บัดนั้น | พวกพลอสุรศักดิยักษี |
บ้างรบรับจับลิงเปนสิงคลี | บ้างวิ่งหนีกระจัดพลัดพราย |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๓๔๙๏ บัดนั้น | โยธาพานรินทร์สิ้นทั้งหลาย |
เห็นยักษีหนีแยกแตกกระจาย | เข้าทลายโรงพิธีมี่ไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๓๕๐๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตผิดประหลาดหวาดไหว |
ลืมเนตรเห็นลิงมาชิงไชย | ตกใจลุกทลึ่งตึงตัง |
เผ่นโผนโจนจากบัลลังก์อาศน์ | คิดขยาดย่อท้อถอยหลัง |
ไม่อาจหาญต้านต่อรอรั้ง | ฟังกำลังองค์พระอนุชา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๕๑๏ บัดนั้น | พวกวานรหลอนหลอกกลอกหน้า |
แสร้งหัวเราะเยาะเย้ยอสุรา | จ้วงจาบหยาบช้าพาที |
ฯ ๒ คำ ฯ
เย้ย
๑๓๕๒๏ เหวยไอ้ใจทมิฬอินทรชิต | มาสิ้นคิดคุดคู้อยู่ที่นี่ |
ไยมิยกโยธาไปราวี | รบพุ่งกรุงศรีอยุทธยา |
มีแต่ทำปลิ้นปล้อนหลอนหลอก | ไม่อาจออกประจัญกันซึ่งหน้า |
มึงได้ยักษ์นักโทษที่ไหนมา | นิมิตรเหมือนสีดาแล้วฆ่าตี |
กุ๋ยกุ๋ยน่าอายตายเสียเปล่า | เขารู้เท่าถึงใจแล้วไพล่หนี |
ทำศึกซ่อนเงื่อนเหมือนสัตรี | ครั้งนี้สุดมือแล้วฤๅไร |
แม้นรักตัวกลัวตายวายชีวา | จงเร่งสารภาพกราบไหว้ |
จะงดโทษโปรดยกชีวิตไว้ | ถ้าหาไม่จะยับลงกับมือ |
บ้างว่าเองไอ้โง่โว้เว้ | จะทำเล่ห์ลวงฬ่อต่อไปฤๅ |
อย่าเฉยเชือนเบือนหน้ามาหารือ | พลางตบมือหัวเราะเยาะไยไพ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ กราวรำ
ร่าย
๑๓๕๓๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตแค้นคั่งฟังไม่ได้ |
จึ่งชี้หน้าว่าเหม่ไอ้ลิงไพร | มาแคะไค้ค่อนว่าสามาญ |
อันแยบยนต์กลศึกฦกลับ | เกิดสำหรับชายฉลาดชาติทหาร |
เมื่อพวกมึงกับนายวายปราณ | เพราะโง่งมซมซานการสงคราม |
หากพิเภกอยู่ด้วยช่วยชีวิตร | จึ่งได้ติดตามมาว่าหยาบหยาม |
แม้นหาไม่ไอ้ลิงกับลักษณ์ราม | จะถึงความมรณาเสียช้านาน |
อย่าลบหลู่ดูถูกปัญญายักษ์ | มึงรู้จักอะไรไอ้เดรฉาน |
พลางกวัดแกว่งแสงศรเข้ารอนราญ | ตีลิงวิ่งพล่านพัลวัน |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๑๓๕๔๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ฤทธิแรงแขงขัน |
เสด็จจากรถแก้วแพรวพรรณ | เช้าโรมรันรบยักษ์ด้วยศักดา |
ถ่อยทีตีรันประจัญจับ | กลอกกลับเปลี่ยนซ้ายย้ายขวา |
ขึ้นเหยียบเข่าน้าวเศียรอสุรา | หันเหียนเปลี่ยนท่าราวี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๓๕๕๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิยักษี |
เคล่าคล่องป้องกันประจัญตี | ถ้อยทีหนีไล่ในทำนอง |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๓๕๖๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ฤทธิไกรไวว่อง |
ขึ้นจับลอยคอยขยับรับรอง | ตีต้องขุนมารซานทรุด |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๓๕๗๏ เมื่อนั้น | โอรสทศกรรฐ์ขยั้นหยุด |
จึ่งขึ้นสายศรสิทธิ์ฤทธิรุตม์ | หมายมนุษย์นายลิงแล้วยิงไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๓๕๘๏ เสียงสเทือนเลื่อนลั่นโลกธาตุ | พสุธาอากาศหวาดไหว |
ไปต้องลิงเหล่าพหลพลไกร | พุงไส้เรี่ยรายก่ายกัน |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๓๕๙๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์เห็นโยธาอาสัญ |
จึ่งขึ้นศรพลายวาตพาดสายพลัน | หมายตรงทรงลั่นไปทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๓๖๐๏ เปนพระพายพัดมาต้องวานร | ที่ม้วยมรณ์กลับฟื้นยืนขึ้นได้ |
แล้วต้องอินทรชิตฤทธิไกร | ศิลป์ไชยติดเต็มทั้งกายา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๓๖๑๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตชีวังแทบสังขาร์ |
พิศม์ศรร้อนรุ่มกลุ้มอุรา | ขืนอุส่าห์ทรงกายร่ายมนต์ |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๑๓๖๒๏ เดชะพระเวทฤทธิรอน | ลูกศรมนุษย์หลุดหล่น |
ครั้นจะอยู่สู้รบฤทธิรณ | ก็สิ้นพลผู้เดียวเปลี่ยวใจ |
ทั้งสิ้นสาตราวุธสุดคิด | น่าที่ชีวิตรจะตักไษย |
จำจะลอบหลบลี้หนีไป | แต่พอได้ลาชนกชนนี |
คิดพลางทางอ่านอาคมขลัง | เปนเมฆบังบดในไพรศรี |
จึ่งลัดแลงแฝงองค์อสุรี | เหาะหนีมุ่งตรงเข้าลงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๓๖๓๏ เมื่อนั้น | น้องพระหริรักษ์นาถา |
เห็นบดคลุ้มกลุ้มมืดเมฆา | อสุราคลับคล้ายหายไป |
จึ่งตรัสถามพิเภกโหราจารย์ | อินทรชิตคิดการเปนไฉน |
จึ่งไม่อยู่สู้รบฤทธิไกร | ฤๅจะใช้กลอุบายย้ายยัก |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๖๔๏ บัดนั้น | พิเภกคิดดูรู้ประจักษ์ |
ทูลฉลองน้องพระหริรักษ์ | อันขุนยักษ์สิ้นคิดฤทธิไกร |
จึ่งหลบลี้หนีเข้าลงกา | จะคิดอ่านมารยานั้นหาไม่ |
ด้วยรู้ว่าชีวันจะบรรไลย | หมายจะไปลาชนกชนนี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๖๕๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี |
ได้ฟังทูลแถลงแจ้งคดี | มิรู้ที่จะคิดติดตามไป |
ทั้งเพลาสายัณห์เย็นลง | สุริยงจวนลับเหลี่ยมไศล |
จึ่งเลิกทัพกลับพลสกลไกร | คืนไปที่ประทับพลับพลา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๓๖๖๏ ครั้นถึงจึ่งเสด็จลงจากรถ | ไปประนตบทเรศพระเชษฐา |
ทูลเล่าแถลงแจ้งกิจจา | ดังได้ยุทธนาราวี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๓๖๗๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์องค์นารายน์เรืองศรี |
แจ้งว่าอินทรชิตเสียพิธี | ยินดีจึ่งดำรัสตรัสไป |
อันโอรสทศเศียรสุริวงษ์ | รณรงค์แกล้วกล้าจะหาไหน |
จำจะคิดฆ่ามันให้บรรไลย | จึ่งจะเสร็จศึกใหญ่ในลงกา |
ว่าพลางทางชวนพระน้องรัก | ไปหยุดพักผ่อนผันให้หรรษา |
แล้วลุกจากแท่นที่ลีลา | เข้าที่ไสยาในราตรี |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๑๓๖๘๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิยักษี |
พอสิ้นแสงสุริยาถึงธานี | ไปสู่ที่ราชฐานพระมารดา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๓๖๙๏ ก้มเกล้าเคารพอภิวาท | แทบบาทชนนีเสนหา |
มิทันทูลแถลงแจ้งกิจจา | โศกากำสรดสลดใจ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๓๗๐๏ เมื่อนั้น | นางมณโฑเทวีศรีใส |
เห็นองค์โอรสาโศกาไลย | ตกใจไม่เปนสมประดี |
ลูบหลังลูกรักแล้วซักถาม | เจ้ารบกับพระรามเรืองศรี |
เหตุไฉนจึ่งกลับมาต่อราตรี | อย่าโศกีเลยเล่าให้เข้าใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๗๑๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตกลืนกลั้นกรรแสงไห้ |
จึ่งทูลความตามเรื่องแต่แรกไป | จนชิงไชยเสียทัพอัปรา |
เปนสุดสิ้นความคิดฤทธิรุตม์ | เห็นจะสุดสิ้นชีวังสังขาร์ |
ลูกจึงลอบหลบลี้หนีมา | จะทูลลาบิตุราชมาตุรงค์ |
ทั้งจะฝากสองกุมารหลานขวัญ | กับสุวรรณกันยุมานวลหง |
อันลูกนี้มิได้รองบาทบงสุ์ | พรุ่งนี้คงชีวันจะบรรไลย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๓๗๒๏ เมื่อนั้น | นางมณโฑฟังแจ้งแถลงไข |
แสนสงสารโอรสรทดใจ | เข้าสร้วมสอดกอดไว้แล้วโศกา |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
โอ้
๑๓๗๓๏ โอ้ว่าอินทรชิตสิทธิศักดิ | เสียแรงแม่พิทักษ์รักษา |
กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้จนใหญ่มา | ทุกเวลาเช้าเย็นได้เห็นกัน |
หมายจะสืบสุริวงษ์พงษ์เผ่า | ควรฤๅเจ้าจะมาอาสัญ |
แม่จะกินน้ำตาไม่ราวัน | จะมอดม้วยด้วยกันเปนมั่นคง |
ทั้งนี้สีดาเปนต้นเหตุ | ให้บิตุเรศรักใคร่ใหลหลง |
จนสู้เสียลูกเต้าเผ่าพงษ์ | จะคิดสงสารใครก็ไม่มี |
โอ้เสียดายลงกาอาณาจักร | จะเสื่อมศักดิสูญสิ้นทั้งกรุงศรี |
นางกอดโอรสร่ำพร่ำโศกี | ดังเทวีจะวินาศขาดใจ |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๑๓๗๔๏ แล้วกลืนกลั้นชลนาว่าลูกรัก | อย่าเพ่อด่วนหวนหักตักไษย |
แม่จะพาขึ้นไปเฝ้าท้าวไท | ทูลให้ผ่อนผันด้วยปัญญา |
ว่าพลางย่างเยื้องยุรยาตร | กับองค์โอรสราชเสนหา |
พร้อมเหล่าสาวสรรค์กัลยา | ส่องโคมนำน่าคลาไคล |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๑๓๗๕๏ ถึงปรางรัตน์ทัศนาเห็นสามี | สถิตย์ที่แท่นทองผ่องใส |
จึ่งพาองค์อินทรชิตฤทธิไกร | เข้าไปกราบก้มบังคมคัล |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๑๓๗๖๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริวงษ์รังสรรค์ |
เห็นลูกรักอัคเรศร่วมชีวัน | จึ่งบัญชาถามเนื้อความไป |
อินทรชิตคิดฆ่าศุกขาจาร | ยังสำเร็จราชการฤๅไฉน |
พิธีกุมภนิยาที่ว่าไว้ | ไปทำได้เสร็จแล้วฤๅแก้วตา |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๑๓๗๗๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิยักษา |
จึ่งทูลความตามตอบพระอนุชา | ทั้งเข่นฆ่ารูปนิมิตรเหมือนคิดไว้ |
แล้วไปตั้งพิธีที่จักรวาฬ | ยังทำการหาเสร็จสำเร็จไม่ |
พระลักษณ์ยกพลลิงไปชิงไชย | ทลวงไล่หักหาญผลาญกุมภัณฑ์ |
ทั้งตัวลูกถูกศรสักแสนเล่ม | ติดเต็มกายาแทบอาสัญ |
นี่หากลอบหลบลี้หนีทัน | จึ่งไม่ม้วยชีวันบรรไลย |
เหตุทั้งนี้พิเภกบอกพระราม | จึ่งได้คิดติดตามแก้ไข |
เมื่อทำศึกขัดขวางทุกอย่างไป | จะชิงไชยกับมนุษย์นั้นสุดคิด |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๓๗๘๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์รันทดสลดจิตร |
ซังตายตอบปลอบองค์อินทรชิต | เจ้าทรงฤทธิ์รุ่งเรืองย่อมเลื่องฦๅ |
อันต่อตีมิชนะก็ย่อมแพ้ | จะหมายแต่เอาไชยนั้นได้ฤๅ |
อย่าท้อจิตรคิดการไปแก้มือ | ให้เลื่องฦๅลูกรักว่าศักดา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๗๙๏ เมื่อนั้น | นวลนางมณโฑเสนหา |
ได้ฟังท้าวทศกรรฐ์จำนรรจา | จะขืนให้ลูกยาออกราวี |
จึ่งทูลว่าพระองค์ผู้ทรงเดช | จงโปรดเกษข้าบาทบทศรี |
อินทรชิตชิงไชยกับไพรี | ก็เสียทีแทบตายวายปราณ |
ขืนจะใช้ไปประจญรณรงค์ | ให้โอรสปลดปลงไม่สงสาร |
ขอพระองค์ทรงดำริห์ตริการ | ให้เมืองมารมีศุขสถาวร |
ซึ่งข้าศึกมาประชิดติดลงกา | เพราะเทวีสีดาดวงสมร |
สุริวงษ์พงษ์มารก็ม้วยมรณ์ | ได้เดือดร้อนไพร่ฟ้าประชาชี |
แม้ส่งนางคืนไปให้พระราม | จะสุดสิ้นเสี้ยนหนามในกรุงศรี |
ทั้งลูกรักจักได้รอดชีวี | รองธุลีบทมาลย์พระผ่านฟ้า |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๓๘๐๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
ได้ฟังนางมณโฑโสภา | จะให้ส่งสีดาลาวรรณ |
ยิ่งเคืองขัดตรัสตอบมเหษี | มิเสียทีแยบยนต์กลขยัน |
มาหวงหึงษ์ขึ้งเคียดเกียจกัน | เชิงชั้นเช่นเจ้าพอเข้าใจ |
ตั้งแต่เรารับสีดามาเมือง | ดูแค้นเคืองคับอกหมกไหม้ |
อำมหิดฤษยาตาเปนไฟ | มิให้ใครทัดเทียบเปรียบปาน |
ยังแสร้งซ่อนเงื่อนเกลื่อนกลบ | เอาความรบพุ่งมาว่าขาน |
เจ้ากลัวลูกจะตายวายปราณ | จงให้ผ่านลงกาธานี |
แต่ตัวกูผู้เดียวจะเคี่ยวขับ | รบรับข้าศึกไม่นึกหนี |
ซึ่งจะให้ส่งสีดานารี | ใครอย่ามาพาทีแต่นี้ไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๓๘๑๏ เมื่อนั้น | นางมณโฑเทวีศรีใส |
ฟังท้าวเธอตรัสตัดเยื่อใย | เปนจนใจไม่รู้ที่จะคิด |
จึ่งว่าข้าทูลความตามตรง | พระองค์กลับเห็นว่าเปนผิด |
วิบากกรรมสำหรับจะม้วยมิด | จะขืนครองชีวิตรไว้ว่าไร |
ร่ำพลางนางฟายชลเนตร | คิดสังเวชลูกรักจะตักไษย |
ทั้งแค้นคำภัศดาโศกาไลย | สอึกสอื้นไห้ไปมา |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๑๓๘๒๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิยักษา |
เห็นทรงฤทธิ์บิตุเรศกับมารดา | เคืองขัดอัธยาเปนราคี |
จึ่งก้มเกล้ากราบกรานประทานโทษ | พระบิตุรงค์จงโปรดเกษี |
ลูกเสียทัพกลับมาเพลานี้ | ใช่จะหนีณรงค์สงคราม |
คงจะขออาสาฝ่าพระบาท | จนชีวาตม์วายวางกลางสนาม |
ถึงบรรไลยไว้ชื่อให้ฦๅนาม | ไม่ครั่นคร้ามฤทธิไกรไพรี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๓๘๓๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี |
ได้ฟังโอรสาพาที | ยินดีด้วยสมอารมณ์คิด |
จึ่งว่าเจ้าเผ่าพงษ์พรหเมศ | แต่ตรีเนตรยังไม่รอต่อติด |
ถึงเหล่าลิงลักษณ์รามก็ขามฤทธิ์ | จงช่วยคิดฆ่ามันให้บรรไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๓๘๔๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตกราบก้มบังคมไหว้ |
แล้วลาสองกระษัตราคลาไคล | ตรงไปที่อยู่อสุรี |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๓๘๕๏ นั่งเหนือแท่นสุวรรณบรรจฐรณ์ | ให้รุ่มร้อนฤไทยดังไฟจี้ |
เห็นลูกรักอัคเรศร่วมชีวี | ยิ่งมีเสนหาอาไลย |
ชลไนยไหลลงพรากพราก | จะออกปากพาทีมิใคร่ได้ |
กอดประคองสององค์โอรสไว้ | สอึกสอื้นไห้ไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๑๓๘๖๏ เมื่อนั้น | นางสุวรรณกันยุมาเสนหา |
เห็นสามีมิได้จำนรรจา | แต่กอดโอรสาโศกาไลย |
คิดปลาดหวาดหวั่นขวัญหาย | โฉมฉายกราบก้มบังคมไหว้ |
แล้วทูลถามความซึ่งสงไสยใจ | เปนไฉนพระองค์ทรงโศกา |
ฯ ๔ คำ ฯ
โอ้
๑๓๘๗๏ เมื่อนั้น | องค์อินทรชิตยักษา |
คิดสงสารสุวรรณกันยุมา | อุส่าห์กลั้นชลนาพาที |
เปนกรรมแล้วแก้วตาของผัวเอ๋ย | จะบอกความทรามเชยอย่าหมองศรี |
ด้วยศึกเสือเหลือกำลังครั้งนี้ | มิรู้ที่จะผ่อนผันฉันใด |
ทั้งศรสาตราวุธก็สุดฤทธิ์ | น่าที่ชีวิตรจะตักไษย |
ค่อยอยู่เถิดแก้วตาอย่าอาไลย | จงตั้งใจกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกรัก |
อนึ่งเล่าเจ้าอุส่าห์ฝากองค์ | พระบิตุราชมาตุรงค์ทรงศักดิ |
จะได้เห็นเปนที่พึ่งพำนักนิ์ | อันผัวรักมิได้มาเห็นหน้าน้อง |
ขอฝากเหล่าสาวสนมทั้งนี้ด้วย | โฉมยงจงช่วยปกป้อง |
อันแก้วแหวนแสนทรัพย์เงินทอง | ให้แก่สองโอรสยศไกร |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๑๓๘๘๏ เมื่อนั้น | นางสุวรรณกันยุมาเพียงตักไษย |
เข้ากอดบาทภัศดาด้วยอาไลย | สอื้นไห้ครวญคร่ำรำพรรณ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
โอ้
๑๓๘๙๏ โอ้พระร่มโพธิ์ทองของน้องเอ๋ย | มิควรเลยจะมาอาสัญ |
เคยปกเกล้าเช้าเย็นไม่เว้นวัน | สารพันผาศุกทุกเวลา |
แม้นสิ้นบุญทูลกระหม่อมของเมียแล้ว | ดังดวงแก้วมืดมิดทุกทิศา |
ทั้งโอรสพี่น้องสองรา | เปนกำพรำบิตุเรศสังเวชนัก |
แม้นมีทุกข์ขุกเข็ญไม่เห็นใคร | จะพึ่งได้ดังองค์พระทรงศักดิ |
สำหรับแต่จะอัประภาคภักตร์ | เมียรักจักอยู่ไปไยมี |
ร่ำพลางทางทรงกรรแสงไห้ | ชลไนยนองเนตรนางโฉมศรี |
ทั้งเหล่าสาวสุรางค์นารี | โศกีอื้ออึงคนึงไป |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๑๓๙๐๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตเศร้าสร้อยลห้อยไห้ |
เห็นเมียรักนักสนมกรมใน | ร่ำไรไม่เปนสมประดี |
จึ่งแกล้งตรัสตระโบมโลมเล้า | อย่าโศกเศร้าเลยน้องจะหมองศรี |
อันกำเนิดเกิดมาในธาตรี | แม้นถึงที่ชีวันก็บรรไลย |
พี่เปนชายชำนาญการสงคราม | จะกลัวความมรณานั้นหาไม่ |
จะสู้ตายตามกรรมที่ทำไว้ | จึ่งจะได้เลื่องชื่อฦๅชา |
จงส่างโศกเสียบ้างฟังผัว | สงวนตัวเทวีไว้ดีกว่า |
แต่สั่งเสียเมียขวัญจำนรรจา | จนเวลาย่ำรุ่งสดุ้งใจ |
อุส่าห์ขืนกลืนกลั้นชลเนตร | จะพิศภักตร์อัคเรศมิใคร่ได้ |
เสด็จจากแท่นแก้วแววไว | คลาไคลไปสรงคงคา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๓๙๑๏ ลูบไล้สุคนธ์ปนปรุง | เฟื่องฟุ้งประทิ่นกลิ่นบุบผา |
สอดสนับเพลาทรงอลงการ์ | ภูษาพื้นตองทองรยับ |
ห้อยน่าผ้าทิพโกไสย | ชายไหวชายแครงแสงสลับ |
ฉลององค์เกราะแก้วแวววับ | ปั้นเหน่งเพ็ชรบานพับทับทิมพราย |
ตาบทิศทับทรวงห่วงห้อย | สอดสร้อยสังวาลประสานสาย |
พาหุรัดเรียบร้อยพลอยราย | ทองกรจำหลักลายลงยา |
ธำมรงค์ทรงสวมนิ้วพระหัดถ์ | เพ็ชรรัตน์พรรณรายทั้งซ้ายขวา |
มงกุฎกรรเจียกแก้วแววฟ้า | จับพระแสงสาตราคลาไคล |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๑๓๙๒๏ เมื่อนั้น | นางสุวรรณกันยุมาหม่นไหม้ |
เข้าสร้วมสอดกอดบาทผัวไว้ | สอื้นไห้ไม่เปนสมประดี |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
โอ้
๑๓๙๓๏ เจ้าประคุณทูลกระหม่อมของเมียเอ๋ย | จะละเลยข้าบาทบทศรี |
ทิ้งไว้ให้อยู่ในบูรี | จะรู้ที่ผินหน้าไปหาใคร |
น้องเคยพึ่งบาทบงสุ์ทรงเดช | เสมอเหมือนบิตุเรศรักใคร่ |
แมนพระองค์อาสัญบรรไลย | เมียไม่ขออยู่จะสู้ม้วย |
พระเสด็จไปไหนจะไปตาม | แม้นสงครามวอดวายจะตายด้วย |
นงคราญคร่ำกำสรดรทดรทวย | ปิ้มจะม้วยชีวันบรรไลย |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๑๓๙๔๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตหยุดยืนสอื้นไห้ |
สุดที่จะรั้งรักหักใจ | ยิ่งเปนห่วงบ่วงไยอาไลยลาน |
ลดองค์ลงแอบอัคเรศ | ชลเนตรไหลลงด้วยสงสาร |
ปลอบประโลมโฉมยงนงคราญ | เยาวมาลย์อย่าวิโยคโศกนัก |
อันสงครามครั้งนี้เปนที่สุด | จะยงยุทธต้านต่อปรปักษ์ |
ไม่ปลดปลงคงคืนมาเห็นภักตร์ | น้องรักอย่าเศร้าเสียใจ |
ปลอบนางพลางกลั้นกรรแสง | อุส่าห์แขงขืนหักรักใคร่ |
ลงจากปราสาทแก้วแววไว | คลาไคลไปเฝ้าเจ้าลงกา |
ฯ ๘ คำ ฯ ทยอย
๑๓๙๕๏ ครั้นถึงจึ่งเคารพอภิวาท | พระบิตุรงค์ธิราชนาถา |
แล้วว่าข้าขอบังคมลา | ออกไปยุทธนาราวี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๓๙๖๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี |
ชื่นชมสมถวิลยินดี | จึ่งพาทีโลมเล้าเอาใจ |
มิเสียแรงลูกยากล้าหาญ | ควรจะผ่านภาราลงกาได้ |
จงไปดีมาดีให้มีไชย | อรินไภยพ่ายแพ้แก่ลูกยา |
ว่าพลางทางสั่งอำมาตย์มาร | จัดทหารให้องค์โอรสา |
กำชับสั่งครั้งนี้ใครหนีมา | กูจะผ่าอกซ้ำให้หนำใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๓๙๗๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งบังคมไหว้ |
ออกจากพระโรงคัลทันใด | รีบไปเกณฑ์พหลพลรบ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๑๓๙๘๏ จัดทัพสับสนอลหม่าน | พลมารหลีกลี้หนีหลบ |
ทั้งเดือนออกเอารดมสมทบ | ไม่ได้ครบตามบาญชีตีเร่งรัด |
ที่ไปค้างทางไกลไม่อยู่ | ให้เจ้าหมู่จ้างใส่มิให้ผัด |
พวกนายหมวดตรวจตราสารวัด | ผูกมัดโบยตีกันมี่ไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๓๙๙๏ ครั้นพร้อมพรั่งตั้งกระบวนพยุหบาตร | โดยราชตำหรับทัพใหญ่ |
แล้วเทียมราชรถแก้วแววไว | มาเทียบไว้ตามเคยที่เกยลา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๔๐๐๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิยักษา |
จึ่งบังคมสมเด็จพระบิดา | ออกมาตรวจโยธาน่าพระลาน |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๔๐๑๏ พร้อมพรั่งรถรัดจัตุรงค์ | ให้เดินธงทัพน่ากล้าหาญ |
ขยายยกพหลพลมาร | เสียงสท้านสเทือนทางกลางนคร |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
โอ้ร่าย
๑๔๐๒๏ ครั้นออกนอกกำแพงภารา | เปนลางร้ายแร้งกาว้าว่อน |
บ้างโฉบฉาบคาบจิกกรรเจียกจร | บ้างเฉี่ยวงอนรถทรงธงไชย |
สารพัดอัศจรรย์หวั่นจิตร | น่าที่ชีวิตรจะตักไษย |
เหลียวดูปราสาทเพียงขาดใจ | ตั้งแต่นี้มิได้มาไสยา |
สงสารพระชนกชนนี | จะโศกีเศร้าสร้อยลห้อยหา |
นิจาเอ๋ยสุวรรณกันยุมา | จะกินแต่น้ำตาไม่ราวัน |
แล้วคิดถึงโอรสสลดจิตร | จะม้วยมิดมิได้กลับมารับขวัญ |
สงสารสาวสุรางค์นางกำนัล | จะโศกศัลย์สร้อยเศร้าถึงเรานัก |
ยิ่งคิดคิดไปก็ใจหาย | ไม่เว้นวายวิตกเพียงอกหัก |
แล้วขืนคิดมานะสละรัก | เร่งพหลพลยักษ์ยาตรา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๔๐๓๏ ครั้นถึงที่ผจญรณรงค์ | พอสุริยงร้อนแรงแสงกล้า |
ให้ยับยั้งตั้งมั่นโยธา | อยู่ริมชายป่าพนาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๑๔๐๔๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
เสด็จออกนั่งน่าพลับพลาไชย | เสนาในนอบน้อมพร้อมพรัก |
พระปรารภดำริห์ตริการ | จะสังหารอินทรชิตสิทธิศักดิ |
พอได้ยินสำเนียงเสียงยักษ์ | คึกคักขานโห่เปนโกลา |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๑๔๐๕๏ จึ่งดำรัสตรัสถามโหราเอก | ดูก่อนพิเภกยักษา |
ทัพนี้คือใครเปนใหญ่มา | เจ้าลงกาฤๅวงษ์พงษ์ยักษ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๔๐๖๏ บัดนั้น | พิเภกพิเคราะห์ดูรู้ประจักษ์ |
จึ่งกราบทูลองค์พระหริรักษ์ | มิใช่ทัพทศภักตร์ศักดา |
คือองค์อินทรชิตฤทธิรุตม์ | จะสิ้นสุดชีวังสังขาร์ |
แต่จะใคร่ไว้ชื่อให้ฦๅชา | จงทราบใต้บาทาฝ่าธุลี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๔๐๗๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี |
ได้ฟังทูลแถลงแจ้งคดี | สั่งพระศรีอนุชายาใจ |
เจ้าจงไปรอนราญหาญหัก | ผลาญโอรสทศภักตร์ให้ตักไษย |
สุครีพรีบจัดพลไกร | เปนทัพไชยให้พระอนุชา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๔๐๘๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษา |
ก้มกรานคลานคล้อยถอยออกมา | ตรวจตราเตรียมกระบี่รี้พล |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๑๔๐๙๏ กองน่าวานรนิลราช | เคยองอาจออกศึกฝึกฝน |
กองหนุนนขุนกระบินทร์นิลนนท์ | ให้เกยูรขุนพลเปนปีกซ้าย |
ปีกขวาวาหุโรมเคยโจมทัพ | เคี่ยวขับต่อตีไม่หนีหาย |
ทวิกันกองหลังรั้งท้าย | ทั้งไพร่นายครบถ้วนจำนวนเกณฑ์ |
เหล่าลิงล้อมวงองครักษ์ | ใส่เสื้อกั๊กขี่กระบือถือเขน |
บ้างนุ่งผ้าตาโถงโจงกระเบน | ขี่กิเลนลองกำลังวังชา |
ลิงเลวลางกระบี่ขึ้นขี่แพะ | บ้างขี่แกะกุมตะบองป้องหน้า |
แล้วเทียมราชรถแก้วแววฟ้า | เข้ามาประทับฉับไว |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๔๑๐๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์รัศมีศรีใส |
ถวายบังคมลาคลาไคล | เสด็จไปชำระสระสรงชล |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๔๑๑๏ ลิงไพรไขท่อประทุมทอง | ตกต้องพระกายดังสายฝน |
สำอางองค์ทรงเครื่องพระสุคนธ์ | ปรุงปนจวงจันทน์คันธรศ |
สอดสนับเพลาทรงอลงการ์ | ภูษาเชิงชายลายก้านขด |
ฉลององค์อินท์ธนูดูช้อยชด | เกราะแก้วมรกฏกันทรวง |
คาดปั้นเหน่งเนาวรัตน์ตรัจเตร็จ | ประดับเพ็ชรไพโรจโชติช่วง |
สร้อยสนสังวาลวรรณกุดั่นดวง | ทับทรวงเฟื่องห้อยพลอยรยับ |
พาหุรัดทองกรซ้อนทรง | ธำมรงค์เรือนเก็จเพ็ชรประดับ |
มงกุฎกรรเจียกจรซ้อนซับ | แล้วทรงศรสำหรับราวี |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๔๑๒๏ ครั้นเสด็จยุรยาตรคลาศคลา | ลงจากพลับพลาหลังคาสี |
เหล่าทหารขานโห่สามที | ได้ฤกษ์ดีคลี่คลายขยายพล |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๑๔๑๓๏ รถเอยรถแก้ว | พลอยประดับวับแววเวหน |
บุษบกน่าบันชั้นบน | ดังไพชนต์ชัชวาลย์วิมานทิพย์ |
เทียมเทพกัณฐัศว์สบัดย่าง | ไปตามทางราบเลี่ยนเตียนตลิบ |
รถที่นั่งดังจะเคลื่อนเลื่อนลอยลิบ | พลสิบสมุทเดินดำเนินธง |
เทวาสุราไลยเอาใจช่วย | ให้สังหารมารม้วยเปนผุยผง |
บ้างโปรยปาริกชาติกลาดกลางดง | รองกงราชรถไม่จดดิน |
พระพายชายพัดมาอ่อนอ่อน | หอมเกสรอวลอบตลบกลิ่น |
เร่งทัพขับพหลพลพฤนท์ | พานรินทร์โห่ร้องก้องไป |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๔๑๔๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นทัพยักษ์ | ธงปักเปนทิวปลิวไสว |
ให้หยุดยั้งตั้งมั่นพลไกร | จะดูเชิงชิงไชยไพรี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๔๑๕๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิยักษี |
เห็นพระลักษณ์ยกมาจะราวี | ได้ท่วงทีมิให้หยุดพัก |
กระทืบรถที่นั่งตั้งสิงหนาท | ร้องประกาศสั่งหมู่อสุรศักดิ |
จงเร่งเข้าตีทัพจับพระลักษณ์ | หาญหักห้ำหั่นให้บรรไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๔๑๖๏ บัดนั้น | พวกพหลพลนิกายนายไพร่ |
กลัวลิงยิงปืนไปแต่ไกล | ทั้งธนูหางไก่เกาทัณฑ์ |
พวกกองหนุนรุนหลังพวกกองน่า | เข้าไล่วานรรับกลับขยั้น |
นายทัพขับพลทลวงฟัน | เข้าโรมรันรบลิงเปนสิงคลี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๔๑๗๏ บัดนั้น | โยธาวานรไม่ถอยหนี |
บ้างแกว่งขวานเงื้อพร้าง่าตรี | แขงข้อต่อตีติดพัน |
บ้างเผ่นโผนโจนจับสัปรยุทธ | อุตลุดผลัดเปลี่ยนเหียนหัน |
ว่องไวไล่พิฆาฏฟาดฟัน | พลกุมภัณฑ์แพ้ลิงวิ่งเกรียว |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๔๑๘๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตคิดพิโรธโกรธเกรี้ยว |
โจนจากรถทรงองค์เดียว | เข่นเขี้ยวเข้าตีกระบี่ไพร |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๔๑๙๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ไม่พรั่นหวั่นไหว |
ลงจากรถสุวรรณทันใด | เข้าชิงไชยอินทรชิตฤทธา |
แคล่วคล่องป้องปัดผลัดเปลี่ยน | ขึ้นเหยียบเข่าน้าวเศียรยักษา |
ได้ทีตีรันกระชั้นมา | อสุราหันเหเซทรุด |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๔๒๐๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตเคี่ยวขับสัปรยุทธ |
ล้าเลื่อยเหนื่อยเหน็ดเข็ดมนุษย์ | ยืนหยุดเอี้ยวองค์ก่งศิลป์ไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๔๒๑๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ไม่พรั่นหวั่นไหว |
ขึ้นพระแสงศรสิทธิ์ฤทธิไกร | ยิงแย้งแผลงไปมิได้ช้า |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๔๒๒๏ ศรพระลักษณ์ปักอกอินทรชิต | เข้าสูบเลือดเชือดชีวิตรยักษา |
สุดสิ้นกำลังวังชา | อสุราล้มดิ้นสิ้นชีวัน |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๔๒๓๏ ครั้นเสร็จสังหารผลาญยักษ์ | พระลักษณ์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
พออ่อนแสงสุริยาสายัณห์ | ก็เลิกพวกพลขันธ์เข้าพลับพลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๔๒๔๏ บัดนั้น | อสูรกายคอยเหตุยักษา |
เห็นโอรสเจ้านายวายชีวา | ก็รีบเข้าลงกาธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว เชิด
๑๔๒๕๏ ครั้นถึงอภิวาทบาทมูล | กราบทูลทศภักตร์ยักษี |
พระโอรสพ่ายแพ้แก่ไพรี | บัดนี้ม้วยมอดวอดวาย |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๔๒๖๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเจียนใจจะขาดหาย |
คิดคนึงถึงบุตรสุดเสียดาย | จนลืมอายเสนาโศกาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๔๒๗๏ แล้วลุกขึ้นกระทืบแท่นแค้นนัก | จะเข่นฆ่ารามลักษณ์เสียให้ได้ |
พรุ่งนี้เช้าตรู่กูจะไป | ชิงไชยให้เห็นฤทธา |
มโหทรรีบรัดไปจัดทัพ | เอาสิบขุนกำกับเปนกองน่า |
ทัพหนุนสิบรถลูกยา | ให้โยธาเปนขนัดจัตุรงค์ |
กูจะไปรบหักเอาพักเดียว | ขับเคี่ยวข้าศึกให้ผุยผง |
แล้วลงจากแท่นสุวรรณบรรจง | เสด็จตรงเข้ายังวังใน |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๑๔๒๘๏ บัดนั้น | มโหทรเสนาอัชฌาไศรย |
เสด็จขึ้นพอค่ำย่ำฆ้องไชย | ก็ออกไปรีบรัดจัดแจง |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๑๔๒๙๏ ทัพน่ากล้าศึกทั้งสิบขุน | ทัพหนุนสิบรถเข้มแขง |
ทัพหลวงปีกป้องกองแซง | ใส่เสื้อแดงสักลาดดาษดา |
ขุนช้างผูกช้างรวางต้น | เคยประจญประจามิตรติดมันน่า |
เหล่าทหารพาชีขี่อาชา | ถือทวนโพกผ้าสีชมภู |
ขุนรถเทียมสัตวจัตุบาท | มฤคราชแรดควายหลายคู่ |
พลเท้าห้าวหาญผลาญศัตรู | ถือธนูเสน่าเกาทัณฑ์ |
จัดถ้วนกระบวนทัพสรรพเสร็จ | พอนาทีตีสิบเอ็ดไก่ขัน |
แล้วเทียมราชรถแก้วแพรวพรรณ | มาเทียบกับเกยสุวรรณทันใด |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ช้าครวญ
๑๔๓๐๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์บรรธมไม่หลับใหล |
จนยามดึกตรึกตรองตรมฤไทย | คิดอาไลยพันผูกถึงลูกรัก |
นิจาเอ๋ยอินทรชิตของบิดา | เคยปราบสิ้นดินฟ้าอาณาจักร |
ควรฤๅมาพ่ายแพ้แก่พระลักษณ์ | ให้เสื่อมศักดิสิ้นชื่อที่ฦๅชา |
โอ้เสียน้องแล้วมิหนำซ้ำเสียบุตร | ยิ่งโศกแสนแค้นมนุษย์นักหนา |
เมื่อไรจะรุ่งแจ้งแสงสุริยา | กูจะไปเข่นฆ่าราวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๑๔๓๑๏ แล้วเผยแกลแลดูดาวเดือน | เห็นลอยเลื่อนลับฟ้าราษี |
สุริยนแย้มเยี่ยมเหลี่ยมคิรี | มาเข้าที่สรงน้ำสำอาง |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๔๓๒๏ ลูบไล้ชำระสระสนาน | พนักงานสีขนองทั้งสองข้าง |
ทรงสุคนธารทาสารพางค์ | สาวสุรางค์หมอบกรานอยู่งานพัด |
สอดใส่สนับเพลาเพราผจง | ภูษาทรงจีบจับโจงกระหวัด |
ฉลององค์เกราะเก็จเพ็ชรรัตน์ | ปั้นเหน่งปัทมราชรูจี |
สอดสร้อยสังวาลประสานสาย | ทับทรวงรายมรกฏสดสี |
พาหุรัดรจนาจินดาดี | ทองกรแก้วมณีศรีประเทือง |
สิบเศียรสวมทรงมงกุฎ | ประดับบุษราคำน้ำเหลือง |
ธำมรงค์รจนาค่าเมือง | อร่ามเรืองเพ็ชรรัตน์ตรัจไตร |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๔๓๓๏ ครั้นเสร็จทรงศรศรีลีลาศ | จากปราสาทแก้วมณีศรีใส |
ให้กองนำดำเนินธงไชย | คลาไคลเคลื่อนพหลพลมาร |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
โทน
๑๔๓๔๏ รถเอยรถที่นั่ง | บุษบกบัลลังก์ตั้งตระหง่าน |
กว้างยาวใหญ่เท่าเขาจักรวาฬ | ยอดเยี่ยมเทียมวิมานเมืองแมน |
ดุมวงกงหันเปนควันคว้าง | เทียมสิงห์วิ่งวางข้างละแสน |
สารถีขี่ขับเข้าดงแดน | พื้นแผ่นดินกระเด็นไปเปนจุณ |
นทีตีฟองนองละลอก | คลื่นกระฉอกกระฉ่อนชลค่นขุ่น |
เขาพระเมรุเอนเอียงอ่อนลมุน | อนนต์หนุนดินดาลสท้านสเทือน |
ทวยหาญโห่ร้องก้องกัมปนาท | สุธาวาศไหวหวั่นลั่นเลื่อน |
บดแสงสุริยันตวันเตือน | คลาศเคลื่อนจัตุรงค์ตรงมา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๔๓๕๏ ครั้นถึงที่ผจญรณรงค์ | ให้ปักธงริมรายชายป่า |
ตั้งที่สีหนามตามตำรา | ตรวจตราพหลพลมาร |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๑๔๓๖๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกทุกสถาน |
สถิตย์เหนือแท่นรัตน์ชัชวาลย์ | พร้อมทหารก้มเกล้าเคารพ |
เห็นพยับอับแสงสุริยน | เบื้องบนบดคลุ้มกลุ้มกลบ |
เสียงโห่ฮึกครึกครื้นพื้นพิภพ | ก็แจ้งว่าจะมารบเหมือนทุกที |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๑๔๓๗๏ จึ่งดำรัสตรัสถามโหรเอก | ดูก่อนพิเภกยักษี |
ใครเปนจอมโยธามาวันนี้ | เห็นใหญ่หลวงท่วงทีมีศักดา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๔๓๘๏ บัดนั้น | พิเภกดูรู้ลมในนาสา |
จึ่งทูลว่าทัพองค์เจ้าลงกา | จะออกมาแก้แค้นแทนทด |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๔๓๙๏ เมื่อนั้น | พระรามเรืองฤทธาปรากฎ |
ชื่นชมสมในมโนรถ | จะได้ไปเห็นทศกรรฐ์มาร |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งสุครีพ | จงเร็วรีบเร่งรัดจัดทหาร |
เราจะยกพลนิกรไปรอนราญ | แผลงผลาญทศกรรฐ์ให้บรรไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๔๔๐๏ บัดนั้น | สุครีพเสนาอัชฌาไศรย |
ถวายบังคมลาคลาไคล | มาเร่งให้นายหมวดตรวจเกณฑ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๑๔๔๑๏ ตั้งกระบวนโยธาพลากร | กองน่าวานรสุรเสน |
กองหนุนทวิพัทจัดเจน | เกียกกายเกณฑ์เกยูรเปนขุนพล |
กองหลังตั้งนิลปาสัน | พลขันธ์คั่งคับสับสน |
บ้างโพกผ้าประเจียดลงมงคล | คงทนถือตรีขึ้นขี่แพะ |
บ้างโพกผ้าสีชมภูหูกระต่าย | ขึ้นขี่ควายควบถูกผูกสองแกละ |
ลางกระบี่ขี่ขับเกวียนระแทะ | คอยแทงแกะกุมกะตักหยักรั้ง |
ลางตนตัวดีขี่เสือดาว | ถือหลาวไม้รวกใส่หมวกหนัง |
เทวราชมาตุลีมีกำลัง | ก็เลื่อนรถพระที่นั่งมาเตรียมไว้ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๔๔๒๏ เมื่อนั้น | พระราเมศรัศมีศรีใส |
จึ่งชวนพระอนุชาคลาไคล | เสด็จไปสรงชลบนเตียงรอง |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๔๔๓๏ สองกระษัตริย์ชำระสระสนาน | พระลักษณ์เข้าเอางานสีขนอง |
แล้วต่างองค์ทรงสุคนธ์ปนทอง | ผิวผ่องผุดสีฉวีวรรณ |
สอดใส่สนับเพลาเพรากนก | ภูษายกแย่งอย่างต่างสีสัน |
ฉลององค์เลื่อมลายพรายพรัน | คาดปั้นเหน่งกุดั่นประดับเพ็ชร |
กรองสอสังเวียนวิเชียรช่วง | ทับทรวงสังวาลแววแก้วเก็จ |
พาหุรัดรายพลอยลอยเม็ด | ทองกรข้างละเจ็ดเส้นทรง |
มงกุฎกรรเจียกแก้วแพรวพร้อย | อุบะห้อยหอมประทิ่นกลิ่นส่ง |
กรีดพระหัดถ์จัดเรียบธำมรงค์ | แล้วต่างทรงศรสิทธิ์ฤทธิรุตม์ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๔๔๔๏ ครั้นเสร็จเสด็จมาน่าพระลาน | ตรวจทหารคั่งคับนับสมุท |
ให้ยกพวกพหลพลยุทธ | พิภพเพียงจะทรุดโทรมทลาย |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๑๔๔๕๏ รถเอยรถทรง | ขององค์อินทราเอามาถวาย |
เวไชยันต์บัลลังก์ที่นั่งราย | เคยขี่ปราบราพร้ายพ่ายแพ้ |
เทียมสินธพทยานร่านเริงร่า | สารถีเทวาง่าเงื้อแส้ |
ประโคมฆ้องกลองดังสังข์แตร | ทหารแห่ตามกระบวนแต่ล้วนลิง |
พลพื้นปืนแดงแซงสองข้าง | บ้างขี่เนื้อเสือสางวางวิ่ง |
อภิรุมชุมสายพรายพริ้ง | กรรชิงกลิ้งกลดบดบัง |
โห่ร้องก้องกึกครึกครื้น | พ่ายเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่ง |
เหยียบไม้ไล่ลู่ภูผาพัง | คับคั่งมรคาคลาไคล |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๔๔๖๏ ถึงที่รบพบทัพทศกรรฐ์ | แน่นนันนับหมื่นดังคลื่นใหญ่ |
จึ่งหยุดยั้งตั้งมั่นพลไกร | สงบไว้คอยฟังกำลังยักษ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๔๔๗๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริวงษ์ทรงศักดิ |
เห็นโยธาวานรคึกคัก | ทั้งพระลักษณ์พระรามรูปงามจริง |
ดูเอวองค์อ่อนรทวยนวยนาด | กิริยามารยาดเหมือนอย่างหญิง |
จึ่งร้องเย้ยเหวยมนุษย์นายลิง | ทำเย่อหยิ่งยกพลมาปล้นยักษ์ |
ไม่รู้จักเราฤๅชื่อทศเศียร | จะปราบเสี้ยนศึกในไตรจักร |
ถึงพรหมินทร์อินทราสุรารักษ์ | ก็เกรงฤทธิ์สิทธิศักดิทุกแดนไตร |
ท่านพี่น้องสองรากับวานร | ไม่ทานแรงแสงศรของเราได้ |
แม้นรักตัวกลัวชีวันจะบรรไลย | จงเลิกทัพกลับไปจากลงกา |
ถ้าขืนอยู่สู้รบไม่หลบหลีก | จะจับฉีกขาแขนให้แสนสา |
เราห้ามปรามตามจิตรคิดเมตตา | จงเร่งล่าเลิกทัพกลับไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๔๔๘๏ เมื่อนั้น | พระราเมศยิ้มย่องสนองไข |
ว่าเหวยพระยามารชาญไชย | ช่างกระไรด้านหน้าพาที |
เมื่อตัวทำทุจริตฤษยา | ไปลอบลักนางสีดาพาหนี |
เราจึ่งติดตามมาราวี | กลับว่าตีชิงเมืองเยื้องยัก |
อันเราฤๅชื่อว่าราเมศ | มงกุฎเกษอยุทธยาอาณาจักร |
ไม่นิยมสมบัติของทศภักตร์ | จะผลาญยักษ์สัตบาปที่หยาบคาย |
จงเร่งเชิญโฉมยงองค์สีดา | ทูนศีศะอสุรามาถวาย |
น้อมคำนับรับผิดอย่าคิดอาย | จะรอดตายอยู่บำรุงกรุงลงกา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๔๔๙๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุดแค้นแสนสา |
จึ่งว่าอันโฉมยงองค์สีดา | เราไปป่าได้นางมากลางไพร |
ซึ่งอวดว่าสามีของนงนุช | เมื่อเขาพามามุดอยู่ที่ไหน |
ประจบประแจงแสร้งเสใส่ไคล้ | พวกโจรไพรใจพาลชาญฉกรรจ์ |
อย่าพักคิดคำนึงถึงสีดา | ประเดี๋ยวนี้ชีวาจะอาสัญ |
ว่าพลางทางสั่งเสนาพลัน | ให้ทัพน่าดากันเข้าโจมตี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๔๕๐๏ บัดนั้น | สิบขุนทหารชาญไชยศรี |
ต่างตนต้อนหมู่อสุรี | เข้าราวีเข่นฆ่าวานร |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๔๕๑๏ บัดนั้น | พวกพหลพลมารชาญสมร |
บ้างพุ่งซัดเสโลห์โตมร | กำซาบศรน้าวยิงลิงไพร |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๔๕๒๏ บัดนั้น | พวกลิงเหล่าพหลพลไพร่ |
เข่นเขี้ยวเรี่ยวแรงแกว่งกิ่งไม้ | เข้าโลดไล่อสุรีตีรัน |
บ้างเผ่นโผนโจนจับกลับกลอก | ปลิ้นปลอกเปลี่ยนผลัดผัดผัน |
ว่องไวไล่พิฆาฏฟาดฟัน | พลกุมภัณฑ์แตกตายกระจายไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๔๕๓๏ บัดนั้น | สิบขุนหุนหันมันไส้ |
เข้ารบรับกลับตีกระบี่ไพร | โลดไล่เหล่าลิงวิ่งพัลวัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๔๕๔๏ บัดนั้น | นิลราชนิลเอกนิลขัน |
สุรเสนสุรการทวิกัน | กับนิลปานันโกมุท |
ทั้งมาลุนขุนกระบี่ทวิพัท | ออกสกัดรบรับสัปรยุทธ |
ยักษีตีลิงชิงอาวุธ | อุดลุดไล่ประชิดติดพัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๔๕๕๏ อสุรินทร์สิ้นกำลังพลั้งท่า | ลิงทยานเหยียบบ่าง่าพระขรรค์ |
แรงเรี่ยวเคี่ยวขับจับประจัญ | พลกุมภัณฑ์สิบนายวายปราณ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๔๕๖๏ เมื่อนั้น | สิบโอรสทศเศียรศักดาหาญ |
เห็นทัพน่านายไพร่บรรไลยลาญ | กริ้วโกรธโดดทยานลงจากรถ |
กระทืบโถมโรมรันด้วยคันศร | วานรแรงน้อยถอยไปหมด |
ยิ่งรุกราญดาลเดือดไม่เงือดงด | ไล่เข้ามาน่ารถพระอวตาร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๔๕๗๏ บัดนั้น | สุครีพฤทธิไกรใจหาญ |
ทั้งองคตนิลนนท์หณุมาน | ชมภูพาลสมทบเข้ารบรับ |
ถ้อยทีหนีไล่ไวว่อง | อสูรสองลิงเดียวเคี่ยวขับ |
แกว่งพระขรรค์ฟันยักษ์ย่อยยับ | โจนจับประจัญบานราญรอน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๔๕๘๏ สิบรถปลดเปลี้ยเสียที | ห้ากระบี่รบรุดฉุดชิงศร |
ขึ้นเหยียบยักษ์เงื้อพระขรรค์ฟันฟอน | ราญรอนสิบรถปลดปลง |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๔๕๙๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรสูงส่ง |
เสียสิบขุนสิบรถหมดจัตุรงค์ | จึ่งโจนจากรถทรงเข้ายงยุทธ |
แกว่งศรหวดซ้ายป่ายขวา | จนถึงน่ารถที่นั่งไม่ยั้งหยุด |
ทยานขึ้นรบรับจับมนุษย์ | ต้องคันศรทรุดซวนไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๔๖๐๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
ทั้งพระลักษณ์ต่างองค์ลงรถไชย | เข้ารุมไล่พระยามารราญรอน |
ป้องปัดผลัดเปลี่ยนเหียนหัน | ถ้อยทีตีรันด้วยคันศร |
รบรับจับกุมตลุมบอน | ราญรอนรุกไล่กันไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๔๖๑๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
ยี่สิบกรรอนรันกันกายา | แกล้วกล้าการณรงค์ยงยุทธ |
ได้ทีถาโถมเข้าโจมจับ | พระรามรับรอนรันขยั้นหยุด |
จึ่งขึ้นสายศรสิทธิ์ฤทธิรุตม์ | หมายมนุษย์นายลิงแล้วยิงไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๔๖๒๏ เสียงศิลป์สนั่นลั่นก้อง | จะต้องสองกระษัตราก็หาไม่ |
ไล่สังหารผลาญพลสกลไกร | ลิงไพรกลิ้งกลาดดาษดา |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๔๖๓๏ เมื่อนั้น | พระรามเห็นพลนิกายตายหนักหนา |
จึ่งเอี้ยวองค์ก่งศรศักดา | แล้วแผลงมาแก้แค้นแทนทด |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๔๖๔๏ เปนพายุบุบันครั่นครื้น | วานรกลับฟื้นคืนขึ้นหมด |
แล้วลูกศรส่ายเที่ยวเลี้ยวลด | ไปถูกทศภักตร์ปักอุรา |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๔๖๕๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเจียนจะม้วยสังขาร์ |
ดำรงกายร่ายเวทวิทยา | พอพริบตาศรมนุษย์หลุดไป |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๑๔๖๖๏ แล้วคิดเข็ดขยั้นครั่นคร้าม | อันลักษณ์รามฤทธิล้ำในต่ำใต้ |
จำจะหยุดหย่าทัพกลับไป | ค่อยแก้ไขคิดการราญรอน |
ดำริห์พลางทางว่าเหวยพระราม | เราสงครามตามอย่างแต่ปางก่อน |
วันนี้ค่ำย่ำแสงทินกร | จงหยุดหย่อนผ่อนกำลังวังชา |
จะรบพุ่งพรุ่งนี้จึ่งมาอีก | ไม่เลี่ยงหลีกถอยหลังอย่ากังขา |
ว่าแล้วเลิกทัพกลับโยธา | ตัดป่าข้ามทุ่งไปกรุงไกร |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๔๖๗๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
เห็นเจ้ากรุงลงกาล่าทัพไป | จึ่งเลิกไพร่พลกลับเข้าพลับพลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๔๖๘๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษา |
ครั้นถึงวังยั้งหยุดโยธา | พอเพลาพลบค่ำย่ำฆ้อง |
เสด็จจากรถทรงอลงการ | พนักงานถือโคมคอยส่อง |
ลีลามาทางพระโรงทอง | เข้าสู่ห้องสุวรรณบรรจง |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๑๔๖๙๏ ขึ้นบนพระแท่นแว่นฟ้า | มิได้ผลัดภูษาโสรจสรง |
อ่อนกำลังตั้งกายก็ไม่ตรง | รทวยองค์อยู่ในที่ไสยา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๔๗๐๏ บัดนั้น | สาวสนมกรมในซ้ายขวา |
เห็นเสด็จไปทัพกลับมา | กิริยาไม่สบายภายใน |
นางกำนัลบรรดาที่โปรดปราน | เข้าอยู่งานนวดฟั้นคั้นให้ |
สาวสุรางค์นางบำเรอบำรุงใจ | ก็ร้องรับขับไม้มโหรี |
ฯ ๔ คำ ฯ กล่อมมโหรี