เล่ม ๒
ช้า
๑๔๗๑๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
สถิตย์แท่นไสยาในราตรี | อสุรีรันทดสลดใจ |
นิ่งนอนกรก่ายพระวิลาศ | ไสยาศน์ไม่ระงับหลับใหล |
ลำฦกถึงพงษ์พันธุ์ที่บรรไลย | สท้อนถอนฤไทยไปมา |
แสนเสียดายอินทรชิตสิทธิศักดิ | กุมภกรรฐ์น้องรักยักษา |
ทั้งอาไลยไวยราพนัดดา | คิดสงสารลูกยาทั้งสิบรถ |
แต่ล้วนเรืองฤทธากล้าหาญ | ก็วายปราณย่อยยับอัปรยศ |
ยิ่งสุดแสนโศกศัลย์รันทด | กำสรดสร้อยเศร้าเปล่าอุรา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๔๗๒๏ พลางลำฦกนึกได้ถึงสหาย | เพื่อนตายร่วมรักกันหนักหนา |
ชื่อท้าวมูลพลำอันศักดา | เปนฝ่ายน่านครปางตาล |
จำจะให้ไปเชิญมาช่วยคิด | ล้างชีวิตรข้าศึกที่ฮึกหาญ |
คนึงนึกตรึกไตรเห็นได้การ | พระยามารไม่สนิทนิทรา |
ครั้นรุ่งรางส่างแสงสุริยง | จึ่งชำระสระสรงทรงภูษา |
ประดับเครื่องเรืององค์อลงการ์ | เสด็จมาพระโรงรัตน์ชัชวาลย์ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๑๔๗๓๏ ลดองค์ลงนั่งเหนืออาศน์ | พร้อมอำมาตย์มาตยาปรีชาหาญ |
จึ่งสั่งเปาวนาสูรขุนมาร | จงรีบไปปางตาลนัครา |
บอกมูลพลำสหายรัก | ว่าข้าศึกฮึกฮักหนักหนา |
เราจงใจให้เชิญเสด็จมา | ช่วยเข่นฆ่าพี่น้องสองมนุษย์ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๔๗๔๏ บัดนั้น | เสนายักษ์รับสั่งไม่ยั้งหยุด |
มาขึ้นควบพาชีตีรุด | ออกประตูช่องกุดเผ่นไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๔๗๕๏ ครั้นถึงปางตาลนัคเรศ | ลงจากม้าน่านิเวศน์วังใหญ่ |
พอได้เวลาก็คลาไคล | เข้าไปประนตบทมาลย์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๑๔๗๖๏ เมื่อนั้น | ท้าวมูลพลำกำแหงหาญ |
สถิตย์ที่แท่นรัตน์ชัชวาลย์ | อำมาตย์มารหมอบกลาดดาษดา |
ตรัสประภาศราชการบ้านเมือง | มิให้เคืองบทเรศพระเชษฐา |
พอแลเห็นข้าเฝ้าเจ้าลงกา | อสุรายิ้มพรายภิปรายทัก |
นี่เสนามาไยถึงเมืองเรา | จงเล่าแถลงแจ้งประจักษ์ |
อันพระองค์ทรงยศทศภักตร์ | พระยายักษ์อยู่ดีฤๅมีไภย |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๔๗๗๏ บัดนั้น | เปาวนาสูรก้มบังคมไหว้ |
ทูลว่าพระองค์ทรงภพไตร | ใช้ให้มาประนตบทมาลย์ |
ด้วยบัดนี้มีมนุษย์กับวานร | มาราญรอนรุกราษฎ์อาจหาญ |
พวกข้าเฝ้าเผ่าพงษ์วงษ์วาน | ออกต้านทานเสียทัพอัปรา |
อินทรชิตกุมภกรรฐ์ก็บรรไลย | ทั้งเสียไพร่พลยักษ์เปนหนักหนา |
จึ่งให้เชิญพระองค์ทรงศักดา | ขึ้นไปช่วยเข่นฆ่าราวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๔๗๘๏ เมื่อนั้น | ท้าวมูลพลำยักษี |
โกรธาตาแดงดังอัคคี | กระทืบที่แท่นรัตน์แล้วตรัสไป |
ดูดู๋พระสหายทำขายหน้า | เมื่อแรกหาบอกเล่ากับเราไม่ |
แต่มนุษย์กับลิงมาชิงไชย | ยังควรให้เสียวงษ์พงษ์พันธุ์ |
กูจะยกจัตุรงค์ไปยงยุทธ | ผลาญมนุษย์ลิงป่าให้อาสัญ |
แล้วลุกจากแท่นแก้วแพรวพรรณ | จรจรัลขึ้นเฝ้าเจ้าภารา |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๑๔๗๙๏ ครั้นถึงจึ่งประนตบทมาลย์ | พระผู้ผ่านนัคเรศเชษฐา |
กราบทูลแถลงแจ้งกิจจา | โดยดังเสนามาบอกความ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๔๘๐๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะชาญสนาม |
ได้ฟังน้องตรองตรึกการสงคราม | อันลักษณ์รามเห็นจะดีมีศักดา |
ทศเศียรสุดรู้สู้ไม่ได้ | จึ่งใช้เสนาในให้มาหา |
จำจะไปด้วยช่วยอนุชา | พระตรึกตราแล้วดำรัสตรัสไป |
ทศกรรฐ์นั้นเปนสหายเจ้า | ก็เหมือนน้องของเรารักใคร่ |
พี่จะไปด้วยช่วยชิงไชย | สังหารให้ไพรินสิ้นชีวา |
ตรัสพลางทางสั่งอำมาตย์มาร | จัดทหารให้พระน้องเปนกองน่า |
ทั้งทัพหลวงเราจะยกยาตรา | ไปช่วยเจ้าลงการาวี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๔๘๑๏ บัดนั้น | กาลสูรรับสั่งไล่เกษี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | อสุรีรีบออกไปกะเกณฑ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๑๔๘๒๏ จัดทหารกองน่าห้าสมุท | ถืออาวุธหอกดาบดั้งเขน |
กองหลวงล้วนสันทัดจัดเจน | บาญชีเกณฑ์เก้าสมุทอาวุธครบ |
ให้ขุนช้างผูกช้างรวางต้น | เคยออกศึกฝึกฝนเจนจบ |
ทหารม้าชำนาญในการรบ | ขี่สินธพถือล้วนทวนแทง |
ขุนรถเทียมรถด้วยราชสีห์ | เสือหมีมหิงษากล้าแขง |
พลเท้าถือแต่พื้นปืนแดง | เหี้ยมกำแหงห้าวหาญการณรงค์ |
แล้วเทียมสองรถมณีที่นั่ง | บุษบกบัลลังก์ลอยรหง |
มาเทียบกับเกยสุวรรณบรรจง | คอยองค์อสุรีจะลีลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๔๘๓๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะเชษฐา |
จึ่งดำรัสตรัสชวนอนุชา | เสด็จมาสรงชลฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๔๘๔๏ ลูบไล้สุคนธ์ปนปรุง | เฟื่องฟุ้งประทิ่นกลิ่นกลั่น |
สนับเพลาพลอยรายพรายพรรณ | นุ่งยกแย่งสุวรรณกระสันทรง |
ห้อยน่าผ้าทิพย์ทองแล่ง | ชายแครงเครือกระหนกวิหคหงษ์ |
โหมดเทศตาดทองฉลององค์ | สวมทรงเกราะกระสันกันอาวุธ |
คาดปั้นเหน่งเนาวรัตน์ตรัจเตร็จ | สังวาลเพ็ชรบานพับประดับบุษย์ |
ทองกรเก้าคู่ชมพูนุท | ทรงมงกุฎกรรเจียกจรจินดา |
สอดใส่ธำมรงค์ประจงจัด | เพ็ชรรัตน์พร่างพรายทั้งซ้ายขวา |
ท้าวสหัสเดชะทรงคทา | อนุชาจับหอกฤทธิรอน |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๔๘๕๏ ครั้นเสร็จเสด็จมาน่าพระลาน | พร้อมพหลพลมารชาญสมร |
พอฤกษ์ดีกรีธาพลากร | เข้าดงดอนเดินหลามไปตามทาง |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
โทน
๑๔๘๖๏ รถเอยรถทรง | ฝากระจกบรรจงกว้างขวาง |
บุษบกบัลลังก์ตั้งกลาง | มีห้องหับสำหรับนางบำเรอเรียง |
กิเลนลากข้างละหมื่นครื้นครึก | ก้องกึกกงลั่นสนั่นเสียง |
มิ่งไม้ที่ริมทางข้างเคียง | อ่อนเอียงเอนทาบลงราบดิน |
คชสารสีหราชผาดผก | ตื่นตกใจวิ่งทิ้งถิ่น |
พระยาครุธยุดเหยียบนาคินทร์ | ก็วางนาคบากบินไปสิมพลี |
อันองค์ท้าวเจ้ากรุงปางตาล | แสนสำราญพระไทยในวิถี |
สาวสุรางค์นางบำเรอดนตรี | ขับร้องมโหรีเรื่อยมา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๔๘๗๏ เมื่อนั้น | พระยามูลพลำยักษา |
ครั้นมาถึงพิไชยลงกา | ให้โบกธงสัญญาหยุดยั้ง |
แล้วสั่งเปาวนาสูรเสนี | อันโยธีสองทัพคับคั่ง |
แม้นเข้าในนัคเรศนิเวศน์วัง | จะอึงอึกกระทึกทั้งธานี |
ท่านรีบไปทูลองค์เจ้าลงกา | ว่าเรากับเชษฐามาถึงนี่ |
ให้พระสหายร่วมชีวี | ออกมาเชิญภูมีเข้าภารา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๔๘๘๏ บัดนั้น | จึ่งเปาวนาสูรยักษา |
คำนับรับสั่งบังคมลา | เข้าในทวาราธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๔๘๙๏ ครั้นถึงพระโรงรัตน์ชัชวาลย์ | จึ่งก้มกรานกราบประนตบทศรี |
ทูลท้าวทศกรรฐ์ทันที | บัดนี้พระสหายเสด็จมา |
ยับยั้งอยู่นอกนัคเรศ | กับพระองค์ทรงเดชเชษฐา |
ให้ข้ามาทูลแถลงแจ้งกิจจา | จงทราบบาทาฝ่าธุลี |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๔๙๐๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
ทรงสำรวลเริงร่าพาที | ครั้งนี้รอดตัวไม่กลัวใคร |
พระเชษฐามาด้วยช่วยสงคราม | ลักษณ์รามปรปักษ์จะตักไษย |
ตรัสพลางทางสั่งเสนาใน | กูจะไปรับสองกระษัตรา |
จงเทียมราชรถแก้วแพรวพรัน | เกณฑ์กุมภัณฑ์แห่แหนให้แน่นหนา |
สั่งพลางทางเสด็จมาเกยลา | คอยท่าพหลพลไกร |
ครั้นโยธาน่าหลังพรั่งพร้อมหมด | ขึ้นทรงรถมณีศรีใส |
ทหารหอกแห่น่าคลาไคล | ตรงไปทวาราธานี |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๑๔๙๑๏ ถึงกองทัพยับยั้งพลนิกาย | พอเห็นพระสหายเรืองศรี |
ทั้งทรงเดชเชษฐาธิบดี | สถิตย์ที่รถเรียงเคียงกันมา |
จึ่งให้เคลื่อนเลื่อนรถเข้าไปใกล้ | ถวายบังคมไหว้พระเชษฐา |
แล้วปราไสไต่ถามถึงภารา | ไพร่ฟ้าผาศุกฤๅทุกข์ไภย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๔๙๒๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะเปนใหญ่ |
มูลพลำมารชาญไชย | จึ่งว่าไม่ขัดเคืองที่เมืองเรา |
อุดมทั้งเข้าปลากระยาหาร | ไม่มีการวิโยคโศกเศร้า |
ไพร่ฟ้าผาศุกทุกค่ำเช้า | สุริวงษ์พงษ์เผ่าก็พร้อมพรัก |
บัดนี้แจ้งว่าปัจจามิตร | มาประชิดลงกาอาณาจักร |
จึ่งรีบยกพหลพลยักษ์ | มาช่วยการหาญหักไพรี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๔๙๓๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรตอบสนองสองยักษี |
เสด็จยกโยธามาครั้งนี้ | พระคุณล้นพ้นที่จะเปรียบปาน |
ขอเชิญสองพระองค์ทรงเดช | เข้าในนัคเรศราชฐาน |
จะได้พักพหลพลมาร | ให้สำราญรื่นเริงบรรเทิงใจ |
ว่าพลางทางสั่งสารถี | ให้กลับรถมณีศรีใส |
นำทัพขับพหลสกลไกร | เข้าในประตูพระบูรี |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๔๙๔๏ ครั้นถึงวังยั้งหยุดโยธา | จึ่งเชิญสองอสุราเรืองศรี |
ต่างองค์ลงจากรถมณี | เข้าสู่ที่ท้องพระโรงรจนา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ เจรจา
๑๔๙๕๏ สามกระษัตริย์ทรงนั่งบัลลังก์อาศน์ | พร้อมอำมาตย์เฝ้าฝ่ายซ้ายขวา |
พนักงานเชิญเครื่องเนื่องมา | ตั้งถวายพระยาอสุรี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๔๙๖๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะยักษี |
จึ่งตรัสถามทศกรรฐ์ทันที | พี่นี้นึกแหนงแคลงใจ |
อันมนุษย์สองรากับวานร | ความคิดฤทธิรอนเปนไฉน |
ซึ่งพวกเราเฝ้าอัปราไชย | ขัดขวางอย่างไรอนุชา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๔๙๗๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรทูลแก้หน้า |
อันมนุษย์พี่น้องสองรา | ดูปัญญาความคิดติดยังเยาว์ |
แต่พวกยักษ์ฆ่าตายลงหลายครั้ง | ครั้นลับหลังแล้วฟื้นขึ้นมาเล่า |
เหตุทั้งนี้พิเภกพวกเรา | มันไปเข้าเปนใจด้วยไพริน |
ถึงจะคิดกลศึกฦกลับ | มันบอกกับมนุษย์เสียสุดสิ้น |
จึ่งเสียวงษาข้าแผ่นดิน | ก็เพราะไอ้ใจทมิฬมันคิดคด |
สองกระษัตริย์เสด็จมาครานี้ | เห็นไพรีจะมอดม้วยหมด |
ข้าจะได้แก้แค้นแทนทด | ให้ปรากฎเกียรดิไว้ในโลกา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๔๙๘๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะเชษฐา |
โกรธเกรี้ยวเคี้ยวฟันสนั่นฟ้า | แล้วตรัสว่าดูดู๋เปนถึงเช่นนี้ |
ชิชะช่างกระไรไอ้พิเภก | โหยกเหยกหยาบช้าจะฆ่าพี่ |
ทั้งมนุษย์ลิงไพรไพรี | วันนี้เล่นกันไม่พรั่นพรึง |
จะเสี่ยงสับสูบเลือดเชือดเนื้อ | แต่กระบี่มิให้เหลือสักตัวหนึ่ง |
ลุกขึ้นกระทืบเตียงเสียงอึง | มันอยู่ถึงไหนไปจะไคลคลา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๔๙๙๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษา |
จึ่งทูลว่าพระองค์ทรงศักดา | เสด็จมาป่ากว้างทางไกล |
เห็นพวกพลนิกรอ่อนกำลัง | จงยับยั้งหยุดอยู่สักครู่ใหญ่ |
ว่าพลางทางสั่งเสนาใน | จะเล่นให้เปนศุขสนุกสบาย |
จงจัดเครื่องหวานคาวเหล้ายา | ถวายพระเชษฐากับสหาย |
เลี้ยงทั้งพวกพหลพลนิกาย | ให้ไพร่นายอิ่มหนำสำราญ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๑๕๐๐๏ บัดนั้น | มโหทรคำนับรับบรรหาร |
ออกมาทิมกรมวังสั่งการ | พนักงานของใครให้จัดแจง |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๕๐๑๏ บัดนั้น | นางวิเสศเครื่องใหญ่ครั้นได้แจ้ง |
ช่วยกันระดมต้มแกง | ไก่พแนงเนื้อพล่าปลาทอดมัน |
ทั้งห่อหมกหมูแนมแกล้มเหล้า | ยำเต่าเป็ดผัดมัดสมั่น |
แล้วเทียบทานหวานคาวครบครัน | เอาเหล้ากลั่นใส่ขวดตรวจตรา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๕๐๒๏ บัดนั้น | สาวสรรค์พนักงานซ้ายขวา |
ต่างคนจัดแจงแต่งกายา | ผัดหน้าเปนนวลยวนใจ |
นุ่งยกอย่างดีสีม่วงตอง | ห่มสไบกรองทองผ่องใส |
ครั้นเสร็จก็พากันคลาไคล | เชิญเครื่องเนื่องไปแต่ในวัง |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๑๕๐๓๏ ครั้นถึงพระโรงรัตน์ชัชวาลย์ | ค่อยแหวกม่านคลานมาน่าที่นั่ง |
ตั้งเครื่องสุวรรณบนบัลลังก์ | แล้วกราบบังคมคัลอัญชลี |
ลางนางบ้างเข้ารินสุรา | ถวายสามพระยายักษี |
บ้างอยู่งานโบกปัดพัดวี | ทำท่วงทีชม้ายชายตา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๐๔๏ เมื่อนั้น | สามพระองค์ทรงศักดิยักษา |
เสวยเหล้ากลั่นเข้มเต็มประดา | จนลืมตาไม่ขึ้นมึนเมา |
ต่างองค์ทรงถือตะเกียบจ้อง | คีบของกินแกล้มแกมกับเหล้า |
แล้วพูดถึงการรบตบพระเพลา | กำลังเมาสรวลสันต์สนั่นดัง |
ฯ ๔ คำ ฯ เส้นเหล้า เจรจา
๑๕๐๕๏ บัดนั้น | สาวสุรางค์นางบำเรอพร้อมพรั่ง |
คลานมาน่าสุวรรณบัลลังก์ | ถวายบังคมคัลวันทา |
ฯ ๒ คำ ฯ
เบ้าหลุด
๑๕๐๖๏ จึ่งจับระบำรำฟ้อน | ทอดกรกรีดกรายซ้ายขวา |
ตีวงเวียนไขว่กันไปมา | ทำท่วงทีกิริยาแยบคาย |
แล้วทวนทบตระหลบหลีกเลี่ยง | เคล้าคลอรอเรียงเมียงม่าย |
หันเหียนเปลี่ยนแทรกมาข้างซ้าย | แล้วย้ายมาขวาทำท่าทาง |
ซ้อนจังหวะประเท้าเคล่าคล่อง | เปนทำนองมยุเรศฟ้อนหาง |
เวียนรวันหันวงอยู่ตรงกลาง | กำนัลนางนารีปรีดา |
ฯ ๖ คำ ฯ เพลง
ร่าย
๑๕๐๗๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะเชษฐา |
กับทั้งมูลพลำอนุชา | ทัศนานางรำรบำบรรพ์ |
ให้เพลิดเพลินพระไทยใหลหลง | ด้วยรูปทรงสำอางดังนางสวรรค์ |
ดูพลางทางประภาศพูดจากัน | เกษมสันต์สรวลเสเฮฮา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๕๐๘๏ บัดนั้น | วิเสศนอกบอกกันมาพร้อมหน้า |
จัดแจงแต่งสำรับกับเข้าปลา | แล้วยกมาตั้งเรียงเลี้ยงไพร่พล |
พวกเจ๊กเจ้ากระทรวงตวงเหล้าเข้ม | ใส่เต็มตุ่มหามตามถนน |
เที่ยวแจกจ่ายรายตั้งทั้งคนน | เลี้ยงพวกพหลพลโยธา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๕๐๙๏ บัดนั้น | พลนิกายนายไพร่พร้อมหน้า |
ล้อมสำรับกับเข้ากินเหล้ายา | เต็มประตาดุดันเอากันเอง |
บ้างอวดกล้าว่ากูความรู้มาก | ตีฝีปากโป้งโหยงโฉงเฉง |
บ้างนั่งล้อมพร้อมพรักล้วนนักเลง | ร้องเพลงไก่ป่าฮาเฮ |
ที่เมามายมุทลุงุงะ | ทำเอะอะอึกกระทึกฮึกขี้เหร่ |
เที่ยวพาลด่าพาโลโสเก | เดินสดุดทรุดเซเก้กัง |
บ้างลุกขึ้นยืนหยัดซัดชาตรี | เพื่อนตีกรับพร้อมล้อมน่าหลัง |
บ้างวิวาททุ่งเถียงเสียงดัง | อึงอึกกระทึกทั้งเมืองลงกา |
ฯ ๘ คำ ฯ เส้นเหล้า
๑๕๑๐๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะยักษา |
เสร็จเสวยเอมโอชโภชนา | พอเพลาสายแสงอโนไทย |
จึ่งว่ากับทศภักตร์ยักษี | จะนิ่งอยู่อย่างนี้ก็มิได้ |
พี่กับอนุชาจะลาไป | ลุยไล่สังหารผลาญไพรี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๑๑๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี |
ชื่นชมสมถวิลยินดี | อัญชลีแล้วช่วยอวยพร |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๕๑๒๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะชาญสมร |
ทั้งมูลพลำฤทธิรอน | รับพรเจ้าลงกาธานี |
แล้วจัดแจงแต่งองค์ทรงเครื่อง | รุ่งเรืองจำรัสรัศมี |
จับพระแสงสาตราเคยราวี | ออกมาที่พักพหลพลมาร |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๑๕๑๓๏ ให้นายหมวดตรวจตราโยธาทัพ | พร้อมสรรพม้ารถคชสาร |
พอได้ฤกษ์เบิกทางโขลนทวาร | โห่ร้องก้องสท้านออกจากวัง |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว เชิด
๑๕๑๔๏ ครั้นถึงที่รณรงค์ยงยุทธ | จึ่งยั้งหยุดโยธาน่าหลัง |
ให้โห่สามลาลั่นสนั่นดัง | พร้อมพรั่งตั้งรายริมชายไพร |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๑๕๑๕๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
เสด็จออกนั่งน่าพลับพลาไชย | สำราญราชหฤไทยทรงธรรม์ |
พรั่งพร้อมเสนาวานร | หมู่กระบี่นิกรล้วนแขงขัน |
พระทรงคิดกิจการผลาญกุมภัณฑ์ | ยังมิทันว่าขานประการใด |
ได้ยินเสียงโห่สนั่นลั่นเลื่อน | พสุธาสเทื้อนสท้านไหว |
ผงคลีกลุ้มคลุ้มกลบตระหลบไป | ต่อจะเปนทัพใหญ่ในลงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๑๕๑๖๏ ตริพลางทางมีบรรหาร | ถามโหราจารย์ยักษา |
วันนี้ทัพใหญ่ใครยกมา | เสียงคึกคักหนักหนากว่าทุกที |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๕๑๗๏ บัดนั้น | พิเภกประนตบทศรี |
พิเคราะห์ดูรู้ความตามคัมภีร์ | อัญชลีทูลแถลงแจ้งกิจจา |
อันนายทัพครั้งนี้มีตระบะ | ชื่อสหัสเดชะเชษฐา |
กับมูลพลำอนุชา | สหายเจ้าลงกาพระยามาร |
พี่ชายพันภักตร์สองพันกร | ฤทธิรอนร้ายกาจอาจหาญ |
ทั้งสองครองกรุงปางตาล | มาช่วยการรณรงค์สงคราม |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๕๑๘๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกทั้งสาม |
ฟังพิเภกทูลแถลงแจ้งความ | เห็นสงครามหนักหนากว่าทุกที |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งสุครีพ | จงเร่งรีบจัดพลกระบี่ศรี |
เราจะยกยาตราเวลานี้ | ไปต่อตีขุนมารชาญไชย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๑๙๏ บัดนั้น | สุครีพเสนาอัชฌาไศรย |
รับสั่งบังคมพระภูวไนย | ออกไปที่กว้างข้างพลับพลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๑๕๒๐๏ เกณฑ์กระบวนโยธาน่าหลัง | อิกทั้งเกียกกายซ้ายขวา |
สารวัดนายหมวดตรวจตรา | โยธาพร้อมเพรียงเสียงครื้นเครง |
บ้างแบกปืนนกสับขับขี่เสือ | ใส่เสื้อสักลาดคาดเขนง |
เหล่าพวกลิงถุงนุ่งกางเกง | ขี่อีเก้งถือพร้าร่าเริง |
บ้างได้ผ้าลงยันต์พันโพกหัว | แต่งตัวเหน็บกระบี่ขี่วัวเถลิง |
บ้างแกว่งขวานขึ้นนั่งหลังแรดเพลิง | โลดลำพองลองเชิงออกนำทาง |
บ้างขึ้นขี่ช้างพังนั่งต่อต่อ | ตั้งแต่ฅอหลามล้นไปจนหาง |
แล้วเลื่อนราชรัถาเข้ามาพลาง | ประทับเกยแก้วข้างทวารา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๕๒๑๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
ชวนพระลักษณ์ลีลาศยาตรา | มาสรงชลบนศิลาบัลลังก์รัตน์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๕๒๒๏ ทรงสุคนธ์ปนปรุงจรุงใจ | ลูบไล้กรีดกรายปลายพระหัดถ์ |
เหล่าลิงหมอบกรานอยู่งานพัด | สองกระษัตริย์สอดซับสนับเพลา |
นุ่งยกแย่งอย่างต่างกัน | กรวยเชิงสามชั้นฉลุเฉลา |
ฉลององค์เลื่อมลายพรายเพรา | ปั้นเหน่งเนาวรัตน์จำรัสเรือง |
กรองสอสังเวียนวิเชียรช่วง | ทับทรวงสายสร้อยห้อยเฟื่อง |
พาหุรัดรจนาค่าเมือง | ทองกรประดับเนื่องเรืองรยับ |
ธำมรงค์ลงยาราชาวดี | มงกุฎแก้วมณีสีสลับ |
ห้อยอุบะเพ็ชรแพรวแวววับ | ต่างจับศรสิทธิ์ฤทธิไกร |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๕๒๓๏ ครั้นเสร็จลีลาศยาตรา | ลงจากพลับพลาที่อาไศรย |
พอฤกษ์ดีตีฆ้องเอาไชย | สั่งให้เคลื่อนพหลพลนิกาย |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๑๕๒๔๏ รถเอยราชรถทรง | ขององค์อินทรามาถวาย |
แอกอ่อนงอนรหงธงปลาย | แท่นท้ายที่นั่งบัลลังก์รัตน์ |
เทียมเทพพาชีมีกำลัง | พระลักษณ์นั่งน่ารถประนตหัดถ์ |
เครื่องสูงสองแถวแนวพนัศ | กรรชิงฉัตรชุมสายพรายโพยม |
เสียงฆ้องกลองตีมี่ก้อง | แซ่ซ้องสังข์แตรแห่โหม |
เหล่าทหารโห่ฮึกครึกโครม | พิภพเพียงจะโทรมทรุดลง |
พวกพลแออัดยัดเยียด | เหยียบไม้ไล่เลอียดเปนผุยผง |
พระเร่งทัพขับราชรถทรง | หมายตรงมาสมรภูมิไชย |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๕๒๕๏ บัดนั้น | โยธาวานรน้อยใหญ่ |
ครั้นถึงทิวไม้รายริมชายไพร | ทัพไชยประทะปะกัน |
เห็นจอมพลบนราชรัถา | กายากำยำล่ำสัน |
พันเศียรซับซ้อนกรสองพัน | เนตรนั้นโชติช่วงดังดวงดาว |
ต่างตกใจวิ่งทิ้งอาวุธ | อุตลุตแล่นหนีมี่ฉาว |
บ้างบุกเข้ารกเรี้ยวเกรียวกราว | นายบ่าวแตกกระจัดพลัดแพลง |
ลางลิงล้มลุกจุกเจ็บป่วย | เห็นเหวห้วยหินหุบเข้าฟุบแฝง |
บ้างมุดเข้าใต้ขอนนอนตะแคง | ที่มีแรงก็ยิ่งวิ่งวุ่นไป |
ฯ ๘ คำ ฯ รัว
๑๕๒๖๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์หวาดจิตรคิดสงไสย |
เห็นโยธีหนียักษ์เข้าพงไพร | จะห้ามไว้ไม่หยุดสุดปัญญา |
ยังยืนสู้อยู่แต่ทหารเอก | กับพระยาพิเภกยักษา |
จึ่งไต่ถามตามจิตรคิดสงกา | เหตุไฉนไยมาเปนดังนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๒๗๏ บัดนั้น | พิเภกพิดทูลถ้วนถี่ |
อันสหัสเดชะอสุรี | มันใหญ่หลวงพ่วงพีพ้นนัก |
ทั้งได้พรหรหมมานหาญฮึก | ให้ข้าศึกเกรงฤทธิ์สิทธิศักดิ |
เหล่ากระบี่มิอาจอยู่รอภักตร์ | จึ่งหนียักษ์แยกย้ายกระจายไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๒๘๏ เมื่อนั้น | พระราเมศรัศมีศรีใส |
ฟังทูลแถลงแจ้งพระไทย | จึ่งดำรัสตรัสใช้อนุชา |
กับสุครีพนิลนนท์หณุมาน | องคตชมภูพาลหาญกล้า |
จงรีบไปไล่ต้อนโยธา | ให้กลับคืนเข้ามาอย่าช้าที |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๒๙๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์รับสั่งใส่เกษี |
ชวนบรรดาวานรเสนี | เที่ยวกู่เรียกโยธีมี่อึงมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๕๓๐๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวพันภักตร์ยักษา |
เห็นมนุษย์ยืนรถรัตนา | กับกระบี่สี่ห้าหกเจ็ดตัว |
ชี้พระหัดถ์ตรัสบอกแก่อำมาตย์ | ทศเศียรแสนขี้ขลาดชาติชั่ว |
สงครามเท่านี้เองยังเกรงกลัว | มันน่าหัวร่อเล่นพึ่งเห็นใจ |
เราจะฆ่าวานรกับมนุษย์ | เสียสง่าอาวุธหาควรไม่ |
บ่นพลางทางคิดเคืองพระไทย | สั่งให้เลิกทัพกลับมา |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๕๓๑๏ เมื่อนั้น | พระยามูลพลำยักษา |
เห็นองค์อสุรีพี่ยา | เลิกล่ากองทัพกลับไป |
มิได้รู้เหตุผลต้นปลาย | กลัวพระสหายจะติได้ |
จึ่งให้กลับรถแก้วแววไว | ขับพลสกลไกรตามมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๕๓๒๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าเคียงรถ | น้อมประนตบทเรศพระเชษฐา |
แล้วทูลว่าพระองค์ทรงศักดา | เสด็จมาช่วยการผลาญไพรี |
จนทัพไชยได้ประทะถึงกัน | ยังมิทันรบลิงก็วิ่งหนี |
เห็นไฉนให้กลับโยธี | ภูมีจะไปหนตำบลใด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๓๓๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะแถลงไข |
เดิมสหายของเจ้าเล่าความไว้ | ว่าศึกใหญ่แกล้วกล้าเปนน่ากลัว |
เมื่อตะกี้พี่เห็นพวกไพริน | จะจับปันกันกินก็ไม่ทั่ว |
มนุษย์กับลิงป่าห้าหกตัว | ทศกรรฐ์แค่นกลัวชั่วเหลือใจ |
จะให้เราเผ่าพงษ์กระษัตรา | มาเข่นฆ่าลิงค่างเหมือนอย่างไพร่ |
พี่อับอายเทวาสุราไลย | จะเลิกทัพกลับไปยังภารา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๕๓๔๏ เมื่อนั้น | พระยามูลพลำจึ่งซ้ำว่า |
อันถ้อยคำขององค์เจ้าลงกา | เห็นน่าจะจริงทุกสิ่งไป |
แรกมนุษย์ยกมาดูหนาแน่น | โยธาทัพนับแสนอสงไขย |
หากพระองค์ทรงเดชเดโชไชย | ด้วยได้พรบรมพรหมมาน |
ปัจจามิตรคิดขยาดย่อท้อ | ไม่อาจรอเข้ามาตรงน่าฉาน |
ขอพระองค์จงได้โปรดปราน | กลับไปผลาญชีวาปัจจามิตร |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๕๓๕๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวพันภักตร์ประจักษ์จิตร |
จึ่งตรัสตอบชอบแล้วพี่ลืมคิด | ปัจจามิตรเกรงเราเพราะเท่านี้ |
กระนั้นเจ้าจงไปไล่ต้อน | โยธาวานรที่หลบหนี |
ให้มันออกนอกป่ามาทางนี้ | จะให้หมู่อสุรีรุมจับไว้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๓๖๏ เมื่อนั้น | พระยามูลพลำบังคมไหว้ |
จึ่งพาพวกพหลพลไกร | ลดเลี้ยวเที่ยวไปทุกตำบล |
ปะเหล่าลิงค่างกลางป่า | โยธาไล่จับสับสน |
เห็นเซิงซุ้มพุ่มไม้เข้าไปค้น | พบพลกระบี่ตีต้อนไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๕๓๗๏ บัดนั้น | เหล่าลิงวิ่งหอบเหื่อไหล |
ต่างมาร่วมทางกลางไพร | แลไปเห็นพระอนุชา |
ทั้งสุครีพนิลนนท์หณุมาน | เหล่าทหารดีใจเข้าไปหา |
พอเห็นพวกกุมภัณฑ์กระชั้นมา | ก็กลับหน้าคอยสู้อสุรี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๓๘๏ เมื่อนั้น | พระยามูลพลำยักษี |
เห็นมนุษย์น้อยหนุ่มคุมกระบี่ | ทำท่วงทีตั้งทัพจะรับรบ |
จึ่งร้อยเย้ยเหวยมนุษย์นามใด | เที่ยวพาไพร่พลลิงวิ่งหลีกหลบ |
เราเที่ยวหาช้านานพึ่งพานพบ | จงเร่งมาน้อมนบอภิวันท์ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๓๙๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ฤทธิแรงแขงขัน |
จึ่งว่าเหวยอสุราอาธรรม์ | อย่าดุดันหยาบช้าพาที |
นามกรเราฤๅชื่อพระลักษณ์ | เปนน้องพระหริรักษ์เรืองศรี |
มาสกัดตัดเศียรอสุรี | ไม่หลบลี้หนีเร้นอย่าเจรจา |
ท่านนี้มีนามกรใด | บังอาจใจฮึกฮักหนักหนา |
ช่างอวดว่าตัวดีมีศักดา | ครั้งนี้ชีวาจะม้วยมิด |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๕๔๐๏ เมื่อนั้น | พระยามูลพลำซ้ำเคืองจิตร |
จึ่งว่าเหวยพระลักษณ์อย่าพักคิด | กระจิริดเท่านั้นไม่คัณนา |
เราฤๅชื่อมูลพลำ | เลิศล้ำฦๅฤทธิ์ทุกทิศา |
เปนสหายกับองค์เจ้าลงกา | อุปราชฝ่ายน่าปางตาล |
จะมาจับคนร้ายนายลิง | ที่เที่ยวชิงสมบัติพัศถาน |
ว่าพลางทางขับพลมาร | ให้หักหาญเข่นฆ่าราวี |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๕๔๑๏ บัดนั้น | พวกอสุรศักดิยักษี |
ต่างคนสำแดงแผลงฤทธี | เข้าโจมตีทัพน่าวานร |
พุ่งซัดสาตราอาวุธ | อุตลุดไล่ลิงยิงด้วยศร |
บ้างแกว่งง้าวหลาวโล่ห์โตมร | ไล่ต้อนตีทัพจับกุม |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๔๒๏ บัดนั้น | พวกวานรหนุนเพื่อนเข้าเกลื่อนกลุ้ม |
ได้ทีตีกระทบรบรุม | เปนกลุ่มกลุ่มกลอกกลับจับประจัญ |
พวกลิงชิงอาวุธฉุดชัก | สังหารยักษ์โยธาอาสัญ |
ว่องไวไล่พิฆาฏฟาดฟัน | กุมภัณฑ์แพ้พ่ายวายปราณ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๕๔๓๏ เมื่อนั้น | พระยามูลพลำกำแหงหาญ |
เห็นเหล่าลิงไล่บุกรุกราญ | พลมารแตกตายกระจายไป |
จึ่งโจนจากรถทรงองอาจ | กระทืบทำสิงหนาทหวาดไหว |
ขยับหอกกลอกแกว่งดังแสงไฟ | โลดไล่แทงลิงกลิ้งเกลื่อนมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๕๔๔๏ เมื่อนั้น | น้องพระอวตารหาญกล้า |
เห็นมูลพลำทำศักดา | พระกริ้วโกรธโกรธาเข้าราวี |
ขึ้นเหยียบเข่าขุนมารทยานยุด | กลอกกลับสัปรยุทธยักษี |
รับรองป้องกันประจันตี | ถ้อยทีหนีไล่พัลวัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๕๔๕๏ เมื่อนั้น | พระยามูลพลำแขงขัน |
ไม่ย่อท้อต่อแย้งแทงฟัน | เข้าประจัญโจมจับกับพระลักษณ์ |
ครั้นเห็นว่าไพรีมีกำลัง | ทำถอยหลังฬ่อลวงหน่วงหนัก |
กลับกลอกหอกแก้วของขุนยักษ์ | หมายมุ่งพุ่งพระลักษณ์ปักอุรา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง โอด
๑๕๔๖๏ บัดนั้น | สุครีพตระหนกตกประหม่า |
เข้าประคองน้องนารายน์ฟายน้ำตา | ให้โยธาทั้งนั้นออกกันไว้ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๕๔๗๏ บัดนั้น | วายุบุตรฉุดหอกออกเสียได้ |
แล้วอ่านอาคมขลังตั้งใจ | เป่าให้แผลติดสนิทดี |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๑๕๔๘๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ฟื้นยืนเขม้นเห็นยักษี |
กริ้วโกรธโกรธาพาที | ครั้งนี้ตัวมึงจะถึงตาย |
ว่าพลางทางขยับจับศร | ทอดกรเอี้ยวองค์ก่งสาย |
เหนี่ยวน้าวก้าวชำเลืองเยื้องกราย | มุ่งหมายกุมภัณฑ์แล้วลั่นไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๕๔๙๏ ลูกศรลอยเลื่อนเกลื่อนกล่น | ไปถูกพลพวกยักษ์ตักไษย |
แล้วต้ององค์พระยามารชาญไชย | ล้มดิ้นสิ้นใจมรณา |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๕๕๐๏ ครั้นเสร็จสังหารผลาญยักษ์ | พระลักษณ์เกษมสันต์หรรษา |
จึ่งพาพวกพลไกรไคลคลา | กลับมาเฝ้าพระอวตาร |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๕๕๑๏ ครั้นถึงจึ่งนั่งน้อมประนต | พร้อมหมดมาตยาโยธาหาญ |
พระลักษณ์ทูลแถลงแจ้งการ | เหมือนรอนราญอสุรีมีไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๕๕๒๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
ชื่นชมโสมนัศตรัสไป | ขอบใจคำแหงหณุมาน |
ความชอบหนักหนาครานี้ | ผู้ใดไม่มีเสมอสมาน |
พลางปฤกษาว่าเรื่องราชการ | อันขุนมารพี่น้องสองรา |
บัดนี้น้องชายวายชนม์ | แต่ไพร่พลหนีไปได้หนักหนา |
เห็นท่วงทีพี่ชายจะกลับมา | เราคอยท่าห้ำหั่นให้บรรไลย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๕๕๓๏ บัดนั้น | พิเภกโหราอัชฌาไศรย |
จึ่งทูลพระอวตารชาญไชย | ขอพระองค์จงได้ตรึกตรา |
อันสหัสเดชะอสุรี | ฤทธีเชี่ยวชาญหาญกล้า |
ได้พรบรมพรหมา | ทั้งคทาธรเพ็ชรวิเศษนัก |
ถ้าแม้นชี้ข้างต้นคนก็ตาย | ชี้ข้างปลายกลับเปนเห็นประจักษ์ |
จงดำริห์ตริการผลาญยักษ์ | หาญหักอย่าให้ใกล้เข้ามา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๕๕๔๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
ฟังทูลแถลงแจ้งกิจจา | พระตรึกตราแล้วดำรัสตรัสไป |
ดูก่อนหณุมานชาญชิต | ท่านเรืองฤทธิ์แกล้วกล้าอัชฌาไศรย |
จงไปอยู่ต้นทางกลางไพร | คิดอ่านผลาญไอ้อสุรา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๕๕๏ บัดนั้น | วายุบุตรคำนับรับอาสา |
ก้มกรานคลานคล้อยถอยออกมา | แผลงศักดาเหาะลิ่วปลิวไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๕๕๖๏ ครั้นถึงหว่างเวิ้งเชิงคิรี | จำเภาะมีทางเดินเนินไศล |
จึ่งเหาะตรงลงยืนยังร่มไม้ | ตรึกไตรตรองการจะราญรอน |
พิเภกว่าอาวุธมันมีฤทธิ์ | จำจะคิดปลิ้นปลอกหลอกหลอน |
ลวงเอาสาตราคทาธร | ให้ได้ไว้ก่อนจึ่งชิงไชย |
ตริแล้วหณุมานชาญชิต | สำรวมจิตรนบนิ้วประนมไหว้ |
โอมอ่านพระเวทเกรียงไกร | ตั้งใจจำแลงแปลงกายา |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๑๕๕๗๏ กลายเปนกระบี่กะจิริด | ยืนบิดขี้เกียจเหยียดแขนขา |
แล้วขึ้นบนต้นกร่างข้างมรรคา | คอยท่าพระยามารชาญไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๕๕๘๏ บัดนั้น | พวกยักษ์เหลือตายทั้งนายไพร่ |
หนีลิงวิ่งลนด้นดั้นไพร | เข้าในรกเรี้ยวเกรียวมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๕๕๙๏ ถึงทัพท้าวสหัสเดชะ | พบปะเพื่อนกันสั่นเกษา |
จึ่งเข้าไปทูลแถลงแจ้งกิจจา | เหนื่อยมาหอบฮักกระอักกระไอ |
แล้วว่าพระอนุชาพาพวกพล | ไปเที่ยวค้นคว้าหาในป่าใหญ่ |
พบพระลักษณ์นายลิงเข้าชิงไชย | ภูวไนยปลดปลงในสงคราม |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๕๖๐๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะชาญสนาม |
ได้ฟังพวกอสูรทูลความ | เข่นเขี้ยวเคี้ยวกรามโกรธา |
เหม่เหม่มนุษย์ทุจริต | ทนงจิตรฮึกฮักหนักหนา |
ผลาญน้องกูตายวายชีวา | กูจะฆ่าให้ม้วยไปด้วยกัน |
ว่าพลางทางกระทืบรถทรง | กำกงก้องสเทือนเลื่อนลั่น |
ให้ยกทัพขับพวกพลกุมภัณฑ์ | ยัดเยียดเบียดกันไปกลางทาง |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๕๖๑๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรอยู่บนต้นกร่าง |
เห็นกองทัพธงทิวปลิวคว้าง | มาตามหว่างคิรีก็ปรีดา |
มองเขม้นเห็นใกล้ดังใจจง | กระโดดลงกลางทางหว่างรัถา |
ทำวิ่งวนลนลานด้วยมารยา | เหลียวน่าเหลียวหลังรวังรไว |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๖๒๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะคิดสงไสย |
จึ่งรอรถที่นั่งสั่งพลไกร | จงจับไอ้ลิงป่ามาให้กู |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๕๖๓๏ บัดนั้น | พวกพลอลหม่านทุกหมวดหมู่ |
เข้าล้อมน่าล้อมหลังพรั่งพรู | จับได้ลิงเผือกผู้พามา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๕๖๔๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวพันภักตร์ยักษา |
มิได้แจ้งแห่งกลมารยา | สำคัญว่าลิงค่างกลางดงดาน |
จึ่งแกล้งทำคึกคักซักไซ้ | มึงชื่อเรียงเสียงไรไอ้เดียรฉาน |
ทำไมจึ่งเผ่นโผนโจนทยาน | มาวิ่งผ่านหน้ากูดูเบา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๖๕๏ เมื่อนั้น | ลิงจำแลงแกล้งทำเปนหงอยเหงา |
จึ่งลวงหลอกบอกความตามลำเนา | ข้าพเจ้าชื่อสังขวานร |
เปนลูกหมู่อยู่ด้วยองค์พระราม | ทำสงครามมิใคร่ได้หยุดหย่อน |
กลางวันนั้นใช้ให้หาบคอน | กลางคืนนอนจุกช่องที่กองทัพ |
จึ่งหลบลี้หนีมาในป่ากว้าง | ขึ้นอยู่บนต้นกร่างจนม่อยหลับ |
เสียงโยธามาใกล้ตกใจวับ | คิดว่าเขาตามจับก็โจนมา |
ซึ่งจาบจ้วงล่วงลัดตัดน่าฉาน | จงประทานยกโทษโปรดเกษา |
ข้าขอถามพระองค์ทรงศักดา | เสด็จมาแต่ตำบลหนใด |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๕๖๖๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะเปนใหญ่ |
สำคัญคิดว่าจริงทุกสิ่งไป | หลงใหลเล่ห์กลหณุมาน |
จึ่งว่าเหวยไอ้สังขวานร | มึงทุกข์ร้อนร่ำว่าน่าสงสาร |
อันตัวกูผู้บำรุงกรุงปางตาล | จะยกมาสังหารผลาญลักษณ์ราม |
แม้นมึงยังคั่งแค้นมนุษย์อยู่ | ไปกับกูเถิดเองอย่าเกรงขาม |
จะได้ดูรณรงค์สงคราม | กูจะฆ่าลักษณ์รามให้บรรไลย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๕๖๗๏ เมื่อนั้น | ลิงเล็กลูกพระพายหมายได้ |
แกล้งทำทีดีเนื้อดีใจ | ข้าขอไปด้วยองค์พระทรงธรรม์ |
แม้นชนะพระรามเหมือนอย่างว่า | จะเริงร่าหัวเราะเยาะหยัน |
ผู้ใดที่ตีด่าข้านั้น | จะสับฟันแก้แค้นแทนทด |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๕๖๘๏ เมื่อนั้น | พระยามารฟังลิงเห็นจริงหมด |
จึ่งให้ขึ้นนั่งสบายบนท้ายรถ | แล้วขับทศโยธาคลาไคล |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๕๖๙๏ เมื่อนั้น | หณุมานหมายชนะกะได้ |
แกล้งตบมือหัวเราะเยาะไยไพ | หลอกให้แล้วทำรำฟ้อน |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวรำ
๑๕๗๐๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะชาญสมร |
เห็นท่วงทีกิริยาวานร | หลอกหลอนโลดเต้นเล่นตัว |
ให้กริ้วโกรธโกรธาด่าประจาน | ไอ้โว้เว้เดรฉานชาติชั่ว |
ไม่มีความยำเยงเกรงกลัว | มึงมาหัวเราะร่ำทำอะไร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๗๑๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรกล่าวแกล้งแถลงไข |
ข้าได้พึ่งพระองค์ผู้ทรงไชย | ความดีใจสุดที่จะชี้แจง |
ถึงพระรามเห็นข้าจะด่าทอ | ไม่ย่อท้อคงเถียงจนเสียงแห้ง |
ไอ้เจ้าขุนมุลนายที่ร้ายแรง | ข้าจะแกล้งหลอนหลอกกลอกหน้าตา |
จึ่งตบมือหัวเราะเพราะเท่านี้ | ไม่ลบหลู่ภูมีเหมือนอย่างว่า |
ขอพระองค์จงได้เมตตา | อดโทษโปรดข้าปัญญาเยาว์ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๕๗๒๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะโฉดเฉา |
สำรวลร่าว่ากูไม่รู้เค้า | เองหัวเราะเยาะเขาก็แล้วไป |
ว่าพลางทางเคลื่อนโยธา | แสนสุรเสนาน้อยใหญ่ |
โห่ร้องก้องป่าพนาไลย | เร่งให้ขับรถบทจร |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๕๗๓๏ เมื่อนั้น | ลูกพระพายหลายเล่ห์หลอกหลอน |
จะลวงเอาสาตราคทาธร | ราญรอนกุมภัณฑ์ให้บรรไลย |
จึ่งแกล้งทำกอดเข่าเจ่าจุก | เปนทุกข์เปนร้อนถอนใจใหญ่ |
สอึกสอื้นอู้อี้พิรี้พิไร | ร้องไห้ร้องห่มไม่ประสมดี |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๑๕๗๔๏ เมื่อนั้น | ห้าวสหัสเดชะยักษี |
จึ่งว่าน่าแค้นจริงลิงตัวนี้ | มันจู้จี้กวนใจกระไรเลย |
เมื่อตะกี้หัวร่อครั้นต่อว่า | เดี๋ยวนี้มาร้องไห้ได้เฉยเฉย |
ฤๅคิดถึงนายมุลที่ค้นเคย | อย่ากลัวเลยเล่าความตามจริงไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๗๕๏ เมื่อนั้น | ลิงจำแลงแต่งกลแก้ไข |
ข้าคิดขัดสนจนใจ | จึ่งร้องไห้รักตัวกลัวตาย |
ด้วยพระรามพระลักษณ์ศักดา | ชังข้าพยาบาทมาดหมาย |
ถ้าชิงไชยชุลมุลวุ่นวาย | อยู่ที่ท้ายรถไชยเห็นไม่พ้น |
ครั้นจะคิดรบรับสัปรยุทธ | เครื่องสาตราอาวุธก็ขัดสน |
ครั้งนี้เห็นว่าเข้าตาจน | จึ่งกระวนกระวายฟายน้ำตา |
ยังเห็นแต่พระองค์ทรงธรรม์ | ถือพระแสงสองพันหัดถา |
อาวุธสิ่งใดดีมีศักดา | ประทานข้าสักอันพอกันตัว |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๑๕๗๖๏ เมื่อนั้น | ห้าวสหัสเดชะยิ้มหัว |
จึ่งว่าไอ้ลิงป่ามึงอย่ากลัว | กูจะให้กันตัวเต็มดี |
อันเทพสาตราคทาธร | ฤทธิรอนล้ำฟ้าราษี |
ถ้าแม้นชี้ต้นตายวายชีวี | เอาปลายชี้เปนได้ดังใจนึก |
ว่าพลางยื่นคทาให้วานร | เองถือไว้ราญรอนรบศึก |
แล้วเร่งพวกพลมารหาญฮึก | โห่ร้องก้องกึกไปกลางไพร |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๕๗๗๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
เห็นยักษีเสียเชิงละเลิงใจ | หมายได้สมถวิลยินดี |
จะรบรับจับเปนไปถวาย | องค์พระนารายน์เรืองศรี |
คิดพลางทางสำรวมอินทรีย์ | ขุนกระบี่ร่ายเวทวิทยา |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๑๕๗๘๏ กลับกลายกายเปนหณุมาน | ยืนทยานเหยียบท้ายรัถา |
ถีบสหัสเดชะอสุรา | ตกรถรัตนาถลาไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๕๗๙๏ แล้วตบมือหัวเราะเยาะเย้ย | ว่าเหวยไอ้ยักษ์จะตักไษย |
กูคือหณุมานชาญไชย | ทหารใหญ่ของพระนารายน์ |
บัดนี้ตรัสใช้ให้เรามา | ตัดศีศะอสุราไปถวาย |
แม้นขุนยักษ์รักตัวกลัวตาย | อย่าอับอายอ่อนง้อขอชีวิตร |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๕๘๐๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะสลดจิตร |
ให้ร้อนอกหมกไหม้ดังไฟพิศม์ | แล้วกลับคิดมานะไม่ละลด |
จึ่งชี้หน้าว่าเหวยไอ้ชาติลิง | เย่อหยิ่งโยโสโป้ปด |
ให้อาไศรยได้สบายบนท้ายรถ | ยังกลับคดคิดอักตัญญู |
มาทแม้นว่ามึงมาซึ่งน่า | จะจับผ่าอกทิ้งให้กลิ้งอยู่ |
นี่หมายใจได้ตะบองของกู | มาขันสู้ศักดาหน้าไม่อาย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๕๘๑๏ เมื่อนั้น | หณุมานตอบไปดังใจหมาย |
อันความคิดแยบยนต์กลอุบาย | สำหรับชายชำนาญการณรงค์ |
เหมือนเช่นเองไอ้โง่โตเสียเปล่า | ไม่รู้เท่าชั้นเชิงละเลิงหลง |
กลับติฉินนินทาว่าไม่ตรง | หมายทนงนึกหยิ่งจะชิงไชย |
อันตะบองของเองอวดศักดา | ไม่มุ่งมาดปราถนาอย่าสงไสย |
ว่าแล้วหักกลางขว้างไป | มืงเก็บไว้เถิดวะอสุรา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๕๘๒๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะยักษา |
เข่นเขี้ยวเกรี้ยวโกรธโกรธา | น้อยฤๅหยาบช้าไอ้วานร |
มึงหมายสู้กูแต่ลำพังตัว | จะตัดหัวให้เด็ดสักเจ็ดท่อน |
ว่าพลางทางสั่งพลนิกร | เร่งรุมฆ่าวานรให้ม้วยมุด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๘๓๏ บัดนั้น | โยธาทัพรับสั่งไม่ยั้งหยุด |
ต่างแกว่งสาตราอาวุธ | อุตลุดล้อมลิงชิงไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๕๘๔๏ บัดนั้น | หณุมานไม่พรั่นหวั่นไหว |
ชักตรีเพ็ชรแกว่งดังแสงไฟ | โลดไล่อสูรหมู่มาร |
ตีนเหยียบมือยุดอาวุธยักษ์ | จับหักฅอฟัดประหัดประหาร |
ต่อแย้งแทงฟันประจัญบาน | พลมารตายล้มไม่สมประดี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๕๘๕๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวพันภักตร์ยักษี |
เห็นพวกพลไพร่นายวายชีวี | อสุรีแขงข้อเข้าต่อยุทธ |
กุมพระแสงสองพันฟันฟอน | วานรรบรับสัปรยุทธ |
เคล่าคล่องป้องปัดสาตราวุธ | อุตลุดหนีไล่กันไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๕๘๖๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานหาญกล้า |
ต่อตีมีกำลังวังชา | เปลี่ยนท่าจับกุมตลุมบอน |
ขึ้นเหยียบยักษ์หักหอกดาบสบั่น | แขงขันขู่ตะคอกหลอกหลอน |
ไล่กระชิดติดพันฟันฟอน | ราญรอนรับรองว่องไว |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๕๘๗๏ วายุบุตรยุดไว้ได้ที | เหยียบขยี้อสุรินทร์ดิ้นไม่ไหว |
มือหนึ่งทึ้งเถาวัลย์ทันใด | มัดไพล่หลังลากกระชากมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เตียว
๑๕๘๘๏ ถึงชายไพรใกล้กับทัพพระราม | จึ่งผูกล่ามเชือกไว้ใต้พฤกษา |
เศกให้ติดตึงตรึงตรา | แล้วเข้ามาเฝ้าพระหริรักษ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๕๘๙๏ ประนตนั่งบังคมก้มเกล้า | ทูลเล่าแถลงแจ้งประจักษ์ |
ข้าอุบายหลายเล่ห์ลวงยักษ์ | แล้วหาญหักมัดมาไม่ฆ่าฟัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๕๙๐๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์รังสรรค์ |
ชมคำแหงหณุมานชาญฉกรรจ์ | เชิงชั้นชำนาญการชิงไชย |
ตรัสพลางทางดูอสุรี | เห็นท่วงทีถือตัวหากลัวไม่ |
จึ่งสั่งลิงเหล่าพหลพลไกร | ให้เยาะเย้ยไยไพพระยามาร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๙๑๏ บัดนั้น | เหล่าลิงคำนับรับบรรหาร |
วิ่งเสลือกสลนลนลาน | อลหม่านมาพร้อมล้อมกุมภัณฑ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
เย้ย
๑๕๙๒๏ ต่างตนขู่ตะคอกหลอกล้อ | กลอกฅอหัวเราะเยาะหยัน |
นี่ฤๅเจ้าปางตาลชาญฉกรรจ์ | ดูมั่นตั้นเติบโตแต่โง่งุน |
บ้างว่าจมูกปากมากกว่าเพื่อน | หัวหูดูเหมือนลูกขนุน |
มึงยืนนิ่งอยู่ไยไม่ไหว้บุญ | จะถูกเท้าเจ้าประคุณคมำไป |
บ้างว่าเองไอ้โง่โตสนัด | ให้เขามัดอกแอ่นแค้นฤๅไม่ |
บ้างทำท่าทีตำรวจหวดด้วยไม้ | ยักษ์ไล่ถีบลิงวิ่งกระจุย |
แล้วกลับเข้าพรั่งพร้อมล้อมรอบ | ทำหลบลอบแลมองร้องกุ๋ยกุ๋ย |
ลางตัวเตี้ยต่ำทำปุกปุย | รำซุยเยาะยักษ์พรักพร้อมกัน |
ฯ ๘ คำ ฯ กราวรำ
ร่าย
๑๕๙๓๏ เมื่อนั้น | ท้าวสหัสเดชะให้หุนหัน |
กริ้วโกรธโลดทลึ่งดึงดัน | เถาวัลไม่หลุดสุดปัญญา |
คอยเขม้นเห็นลิงเข้ามาชิด | ปะเตะหวิดเหวี่ยงซ้ายป่ายขวา |
เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันสนั่นฟ้า | อสุราดิ้นรนกระวนกระวาย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๕๙๔๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกทั้งหลาย |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งลูกพระพาย | จงสังหารยักษ์ร้ายให้วายปราณ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๕๙๕๏ บัดนั้น | วายุบุตรคำนับรับบรรหาร |
แกว่งตรีเพ็ชรโผนโจนทยาน | จับขุนมารตัดฅอมรณา |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๕๙๖๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
เสร็จสังหารมารร้ายวายชีวา | ก็เลิกทัพกลับมาพลับพลาพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๕๙๗๏ บัดนั้น | อสูรกองคอยเหตุแขงขัน |
เห็นสหัสเดชะสิ้นชีวัน | ก็ดัดดั้นดงมายังธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๕๙๘๏ ครั้นถึงเข้าเฝ้าเจ้าลงกา | จึ่งกราบทูลพระยายักษี |
ท้าวมูลพลำนำโยธี | ไปต่อตีต้องศิลป์สิ้นชีวา |
ท้าวสหัสเดชะไชยชาญ | ก็เสียกลหณุมานม้วยสังขาร์ |
สิ้นทั้งม้ารถคชา | จงทราบเบื้องบาทาฝ่าธุลี |
ฯ ๔ คำ ฯ
ช้า
๑๕๙๙๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
ได้ฟังสองอสูรทูลคดี | อสุรีรันทดสลดใจ |
สงสารพระสหายกับเชษฐา | ภักตราเศร้าสร้อยลห้อยไห้ |
พระเนตรคลอชลนาอาไลย | ทุกข์ร้อนถอนฤไทยไปมา |
จะได้ใครดีหนอออกต่อยุทธ | เมื่อสิ้นสุดสุริวงษ์พงษา |
แล้วแลดูข้าเฝ้าเหล่าเสนา | ไม่เห็นหน้าผู้ใดจะใช้การ |
มิออกรบราวีบัดนี้เล่า | จะว่าเราย่อท้อไม่ต่อต้าน |
จำจะยกพหลพลมาร | ไปรอนราญรามลักษณ์ดูสักที |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๖๐๐๏ คิดพลางทางมีพระบัญชา | ตรัสสั่งเสนายักษี |
วันนี้จวนเวลาจะราตรี | พรุ่งนี้กูจะออกไปชิงไชย |
จงตระเตรียมโยธาน่าหลัง | แต่งตั้งตามตำหรับทัพใหญ่ |
สั่งแล้วลีลาคลาไคล | เข้าในแท่นที่ศรีไสยา |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๑๖๐๑๏ บัดนั้น | มโหทรสิทธิศักดิยักษา |
เสด็จขึ้นข้างในแล้วไคลคลา | มาตรวจเตรียมโยธาในราตรี |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๑๖๐๒๏ ให้หมื่นขุนมุลนายน้อยใหญ่ | คุมไพร่เข้ากระบวนถ้วนถี่ |
ทั้งซ้ายขวาน่าหลังตั้งบาญชี | สัสดีสารวัดจัดแจง |
ขุนช้างต่างผูกช้างน้ำมัน | ล้วนหนีได้ไล่ทันขันแขง |
ทหารม้าถือทวนล้วนภู่แดง | สพายแล่งกระบี่ขี่อัศดร |
ขุนรถรีบจัดรัถา | เทียมโตโคลากาษร |
พลเท้าถือโล่ห์โตมร | เคยราญรอนรอดตายมาหลายครั้ง |
ฝ่ายโลทันสรรเลือกราชสีห์ | มาเทียมรถมณีที่นั่ง |
เข้าเทียบกับเกยไชยในวัง | พอรฆังตีสิบเอ็ดเสร็จการ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๖๐๓๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวเจ้าลงกาศักดาหาญ |
ครั้นอุไทยไตรตรัจชัชวาลย์ | พระยามารมาสรงคงคา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๖๐๔๏ ชำระสระสนานนที | ยี่สิบหัดถ์ขัดสีมังษา |
ทรงสุคนธ์ปนทองละลายทา | พนักงานพานผ้าเคียงประคอง |
สวมสอดสนับเพลาเพรากระหนก | ภูษายกแย่งครุธผุดผ่อง |
ห้อยน่าผ้าทิพย์ขลิบทอง | ใส่ฉลองพระองค์ทรงเกราะทับ |
ปั้นเหน่งเพ็ชรพรรณรายสายกระสัน | สังวาลวรรณเฟื่องห้อยพลอยประดับ |
พาหุรัดทองกรซ้อนซับ | ธำมรงค์เรืองรยับจับตา |
สิบเศียรสวมทรงมงกุฎ | ประดับบุษย์น้ำขาววาวเวหา |
หอยอุบะเพ็ชรพวงดวงจินดา | จับสาตราศรสิทธิ์ฤทธิไกร |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๖๐๕๏ ครั้นเสร็จเสด็จมาน่าพระลาน | ทวยหาญกราบก้มบังคมไหว้ |
ขยายยกโยธาคลาไคล | พลไกรน่าหลังคั่งคับ |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
โทน
๑๖๐๖๏ รถเอยรถที่นั่ง | บัลลังก์ตั้งลอยพลอยประดับ |
ดุมวงกงแก้วแวววับ | สารถีขี่ขับขยับยืน |
เทียมไกรสีหราชผาดแผดร้อง | ม้าช้างลางกองก็เต้นตื่น |
เสียงทหารโห่สนั่นครั่นครื้น | พ่างพื้นพิภพเพียงจะเอียงทรุด |
ทั่วท้องสมุทไทยไหวหวาด | เหรามัจฉาชาติไม่อาจผุด |
สเทือนถึงเมืองแมนแดนมนุษย์ | นาคครุธครั่นคร้ามขามเข็ดฤทธิ์ |
เทวาในสวรรค์ชั้นช่อง | หับบานวิมานทองป้องปิด |
เมฆหมอกมืดมัวไปทั่วทิศ | สำแดงฤทธิ์เร่งรถปรดปรึงมา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๖๐๗๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดรถทรง | จัตุรงค์ปีกซ้ายฝ่ายขวา |
ตั้งที่สีหนามตามตำรา | อยู่ริมชายป่าพนาดร |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๑๖๐๘๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์ทรงศร |
เสด็จเหนือแท่นสุวรรณอันบวร | พวกพานรนอบน้อมอยู่พร้อมเพรียง |
พระคิดอ่านการศึกปฤกษา | จนเวลาสุริยันตวันเที่ยง |
พอได้ยินโห่ร้องก้องสำเนียง | พิภพเพียงพลิกคว่ำทำลาย |
จึ่งตรัสถามโหราว่าวันนี้ | ฟังเสียงโยธีเห็นเหลือหลาย |
อสูรทรงนามใดได้เปนนาย | มิตรสหายฤๅองค์เจ้าลงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๑๖๐๙๏ บัดนั้น | พิเภกบังคมก้มเกษา |
นิ่งนับจับยามสามตา | ทั้งสูรย์จันทกาลาลมปราณ |
จึ่งทูลว่าข้าศึกมาวันนี้ | มิใช่ต่างบุรีราชฐาน |
คือเจ้ากรุงลงกาพระยามาร | ยกทหารออกมาจะราวี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๖๑๐๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี |
ได้ฟังทูลแถลงแจ้งคดี | จึ่งสั่งศรีสุครีพเสนาใน |
จงเร่งรัดจัดพวกพลนิกร | สองนครเข้าสลับเปนทัพใหญ่ |
เราจะยกโยธาคลาไคล | ไปชิงไชยกับองค์เจ้าลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๖๑๑๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษา |
ก้มเกล้ากราบงามสามลา | ออกไปจัดโยธาน่าพระลาน |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๑๖๑๒๏ ตั้งให้ขุนกระบินทร์นิลนนท์ | คุมพลกองน่ากล้าหาญ |
ปีกซ้ายฝ่ายศรีชมภูพาล | ปีกขวาสุรการชำนาญยุทธ |
กองหลังตั้งนิลปาสัน | กองหลวงนั้นล้วนกระบี่มีมงกุฎ |
ต่างถือเครื่องสาตราอาวุธ | คาดตะกรุดลงยันต์พันพัว |
เหล่าพวกลิงถุงนุ่งตาโถง | ขี่เสือโคร่งถือพร้าผ้าโพกหัว |
บ้างสอดใส่เสื้อแดงแต่งตัว | ขึ้นขี่วัวเงื้อกระตักหยักรั้ง |
บ้างใส่หมวกตุ้มปี่ขี่หมู | ขวานปูลูเล่มสนัดขัดหลัง |
แล้วเทียมเวไชยันต์บัลลังก์ | มาเตรียมทั้งรถพระอนุชา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๖๑๓๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
ชวนพระลักษณ์ลีลาศยาตรา | ไปโสรจสรงคงคาวาริน |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๖๑๔๏ ขัดสีฉวีวรรณผันขนอง | อาบลอองสุหร่ายสายสินธุ์ |
ทรงสุคนธ์ปนทองของพระอินทร์ | หอมกลิ่นตระหลบอบองค์ |
สอดใส่สนับเพลาเพรากระหนก | ภูษายกไว้วางหางหงษ์ |
ผ้าทิพย์ขลิบสุวรรณบรรจง | ฉลององค์อินท์ธนูกระหนกงอน |
ปั้นเหน่งเพ็ชรพรรณรายสายกระสัน | สังวาลวรรณเฟื่องห้อยสร้อยอ่อน |
ทับทรวงพลอยประดับซับซ้อน | ทองกรกุดั่นกัลเม็ด |
ธำมรงค์ลงยาค่าเมือง | อร่ามเรืองนิ้วพระหัดถ์ตรัจเตร็จ |
ต่างทรงมงกุฎกรรเจียกเพ็ชร | แล้วจับศรเสด็จลีลามา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๖๑๕๏ พรั่งพร้อมพหลพลนิกร | วานรประนตน้อมพร้อมหน้า |
ฝรั่งลิงยิงปืนยักตรา | กองน่าดำเนินเดินธง |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๑๖๑๖๏ รถเอยรถที่นั่ง | เวไชยันต์บัลลังก์ลอยรหง |
งอนงามสามเศียรภุชงค์ | ผ้าทิพย์ผูกธงลงเลขยันต์ |
เทียมเทพสินธพจบทวีป | กระทืบถีบธรณินทร์แผ่นดินลั่น |
มาตุลีขี่ขับสำหรับกัน | เคยบุกบันประจัญบานราญรบ |
เสียงทหารโห่ร้องก้องกึก | ข้าศึกเศียรพองสยองสยบ |
สท้านสเทือนเลื่อนลั่นอรรณพ | เพียงพิภพจะพลิกคว่ำทำลาย |
เขาพระเมรุเนมินธร์อิสินธร | ก็เอนอ่อนทบทอดดังยอดหวาย |
ไม้ไล่ล้มหักระจักกระจาย | พลนิกายกองทัพเหยียบยับมา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๖๑๗๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นทัพยักษ์ | ธงปักเรียงรายริมชายป่า |
จึ่งหยุดยั้งตั้งมั่นโยธา | คอยฟังยักษ์จะว่าประการใด |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๑๘๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรเปนใหญ่ |
เห็นลักษณ์รามความแค้นแน่นฤไทย | มิทันได้พูดจาพาที |
กระทืบรถที่นั่งดังสท้าน | สั่งเสนามารยักษี |
จงเร่งขับทัพน่าเข้าโจมตี | อย่าให้ไพรีหยุดยั้ง |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๖๑๙๏ บัดนั้น | พวกเสนานายทัพรับสั่ง |
ต่างกวัดแกว่งกระบองลองกำลัง | ไล่หลังพลมารเข้าราญรอน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๒๐๏ บัดนั้น | โยธาทวยหาญชาญสมร |
หมายเขม้นเข่นฆ่าวานร | ตลุมบอนรบรุกบุกบัน |
ที่แกล้วกล้าถาโถมเข้าโจมจับ | กลอกกลับป้องปัดผัดผัน |
แขงข้อต่อแย้งแทงฟัน | พัลวันหนีไล่กันไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๖๒๑๏ บัดนั้น | พวกวานรหลอนหลอกกลอกหน้า |
รบรับจับยักษ์ด้วยศักดา | ชิงสาตราตีต้อนรอนราญ |
ฉุดแขนขาลากกระชากฉีก | ที่หลบหลีกไล่ทันฟันด้วยขวาน |
กระชั้นชิดติดพันประจัญบาน | พลมารแตกยับทั้งทัพไชย |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๖๒๒๏ บัดนั้น | สี่เสนามารทหารใหญ่ |
เห็นพวกพลแพ้พ่ายกระจายไป | เข้าโลดไล่ตีลิงเปนสิงคลี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๒๓๏ บัดนั้น | สุรเสนสุรการชาญไชยศรี |
นิลราชนิลนนท์มนตรี | เข้ารุมรับกับสี่เสนา |
ถ้อยทีแทงฟันประจัญจับ | กลอกกลับเปลี่ยนซ้ายย้ายขวา |
สี่กระบี่ฟันสี่อสุรา | ล้มดิ้นสิ้นชีวาวายปราณ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๑๖๒๔๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรศักดากล้าหาญ |
เห็นเสนีนายไพร่บรรไลยลาญ | ยิ่งเดือดดาลดังไฟไหม้ฟ้า |
โจนจากรถไชยไล่วานร | แกว่งศรหวดซ้ายป่ายขวา |
ลิงหลีกหลบพัลวันมา | จนถึงน่ารถพระหริรักษ์ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๖๒๕๏ เมื่อนั้น | พระรามสุริวงษ์ทรงศักดิ |
ลงจากรถที่นั่งทั้งพระลักษณ์ | เข้ารุกรบทศภักตร์ด้วยศักดา |
รับรองป้องปัดผลัดเปลี่ยน | ขึ้นเหยียบเข่าน้าวเศียรยักษา |
ประจัญจับสัปรยุทธยุทธนา | หมายเขม้นเข่นฆ่าราวี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๖๒๖๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
แขงข้อขบฟันประจันตี | ถ้อยทีหนีไล่กันไปมา |
แล้วหยุดยืนขึ้นศรศักดาเดช | หลิ่วพระเนตรเหนี่ยวกระทั่งอังษา |
หมายตรงองค์พระรามฤทธา | อสุราก็ลั่นไปทันที |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๖๒๗๏ ศรเปนนาคบาศอาจหาญ | เที่ยวเลื้อยพ่านพวกลิงก็วิ่งหนี |
เข้าล้อมองค์พระลักษณ์จักรี | นาคีพ่นพิศม์ทำฤทธา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๒๘๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิไกรใจกล้า |
เห็นนาคเลื่อยไล่ทหารผ่านมา | จึ่งแผลงศรศักดาไปราวี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๖๒๙๏ เปนครุธบินลอยเลื่อนเกลื่อนกลาด | เข้าไล่ล้างนาคบาศของยักษี |
ตีนเหยียบมือหยิกจิกตี | จนนาคีหนีสิ้นแล้วบินไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๖๓๐๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์กริ้วโกรธดังเพลิงไหม้ |
จึ่งจับจักรศักดิสิทธิ์ฤทธิไกร | ขว้างไปด้วยกำลังวังชา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๖๓๑๏ จักรไล่สังหารราญรอน | วานรไพร่นายตายหนักหนา |
แล้วซ้ำเปนประกายกระจายมา | เวียนรอบกายาพระนารายน์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๓๒๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกทั้งหลาย |
เห็นพวกพลม้วยมอดวอดวาย | ขึ้นพรหมมาศพาดสายแล้วแผลงไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๖๓๓๏ เปนพระพายชายพัดมาอ่อนอ่อน | วานรกลับคืนฟื้นขึ้นได้ |
แล้วไปต้องทศกรรฐ์ทันใด | ศิลป์ไชยปักอกหกล้มลง |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๖๓๔๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเจียนจะม้วยเปนผุยผง |
อุส่าห์แขงขืนฝืนองค์ | ยืนดำรงร่ายคาถาอาคม |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๑๖๓๕๏ ศรเขยื้อนเคลื่อนหลุดออกจากกาย | แผลหายเปนปลิดสนิทสนม |
แล้วนิ่งนึกตรึกไตรในอารมณ์ | อันศรพรหมมาศมนุษย์สุดศักดา |
แม้นจะอยู่สู้รบจนพลบค่ำ | เห็นจะซ้ำเจ็บอายขายหน้า |
ดำริห์พลางทางร้องประกาศมา | ดูราพระรามฤทธิไกร |
อันสองเราประจญรณรงค์ | ตามวงษ์กระษัตริย์อัชฌาไศรย |
วันนี้จวนค่ำย่ำฆ้องไชย | ทั้งสองข้างต่างไม่ชนะกัน |
เราจะเลิกจัตุรงค์เข้าลงกา | ท่านจงกลับพลับพลาพนาสัณฑ์ |
ต่อรุ่งรางส่างแสงสุริยัน | จึ่งค่อยมารบกันดังสัญญา |
ว่าพลางทางสั่งเสนาใน | ให้ตรวจไพร่เหลือตายซ้ายขวา |
เสด็จขึ้นรถแก้วแววฟ้า | กลับเข้าลงกากรุงไกร |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๑๖๓๖๏ เมื่อนั้น | พระราเมศรัศมีศรีใส |
จึ่งชวนองค์อนุชาเสนาใน | เลิกไพร่พลกลับเข้าพลับพลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๖๓๗๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
ครั้นมาถึงพิไชยลงกา | ก็ลีลาเข้ายังวังใน |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๖๓๘๏ นั่งเหนือแท่นสุวรรณบรรจง | เอนองค์อิงหมอนถอนใจใหญ่ |
จนสิ้นแสงสุริโยอโนไทย | มิได้จำนรรจาพาที |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๓๙๏ เมื่อนั้น | นวลนางมณโฑมเหษี |
ทั้งโฉมยงองค์นางอัคคี | เห็นสามีทุกข์ร้อนถอนฤไทย |
ทั้งสองนางต่างเข้าเคียงองค์ | ค่อยประจงนวดฟั้นคั้นให้ |
เหล่าฝูงสนมกรมใน | ก็เข้าไปโบกปัดพัดวี |
ฝ่ายนางกำนัลพนักงาน | ก็ประสานสังคีตดีดสี |
ร้องรับขับไม้มโหรี | อยู่ข้างที่แท่นแก้วแพรวพรัน |
ฯ ๖ คำ ฯ มโหรี
ช้า
๑๖๔๐๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรแสนวิโยคโศกศัลย์ |
ให้ลืมเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล | แต่ป่วนปั่นฤไทยไม่ไสยา |
จนดาวเดือนเลื่อนลับโพยมหน | สุริยนส่องสว่างเวหา |
มิได้ออกอำมาตย์มาตยา | ในอุราร้อนรุ่มดังสุมไฟ |
บรรธมนิ่งอิงแอบแนบเขนย | จะสรงเสวยโภชนาก็หาไม่ |
แต่คิดการศึกตรึกไตร | จะเอาไชยมนุษย์เห็นสุดคิด |
สุริวงษ์พงษาที่มาช่วย | ก็ตายด้วยรามลักษณ์อักนิษฐ |
จนตัวกูสู้รบก็แพ้ฤทธิ์ | เปนสุดคิดขัดสนพ้นปัญญา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๖๔๑๏ พลางนึกได้ว่าองค์พระโคบุตร | เปนที่สุดทรงญาณฌานกล้า |
จำจะให้ไปนิมนต์เข้ามา | ถามกิจวิทยาวิชาการ |
ดำริห์แล้วสระสรงทรงเครื่อง | รุ่งเรืองพรรณรายฉายฉาน |
เสด็จจากปรางรัตน์ชัชวาลย์ | พระยามารออกพระโรงรจนา |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๑๖๔๒๏ ลดองค์ลงนั่งเหนืออาศน์ | พร้อมอำมาตย์เฝ้าฝ่ายซ้ายขวา |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนา | ไปนิมนต์พระสิทธามาบัดนี้ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๔๓๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งใส่เกษี |
บังคมลาพากันจรลี | ออกประตูบูรีรีบไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๖๔๔๏ ถึงที่จงกรมแทบลมจับ | หยุดประทับที่บ่อริมกอไผ่ |
บ้างกินหมากมวนบุหรี่ตีเหล็กไฟ | นั่งให้หายเหนื่อยเลื่อยล้า |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๔๕๏ เมื่อนั้น | พระโคบุตรดาบศพรตกล้า |
นั่งอยู่น่าบรรณศาลา | สอนหนังสือศิษย์หาให้เล่าเรียน |
ลูกเล็กเล็กเหล่ากอข้อนโม | ที่เติบโตหัดจานอ่านเขียน |
พระฤๅษีตีต่อยคอยติเตียน | สอนให้พากเพียรเรียนวิชา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๖๔๖๏ บัดนั้น | เสนีหายเหนื่อยเมื่อยแข้งขา |
จึ่งเขาไปในบรรณศาลา | ก้มกราบพระมหามุนี |
แล้วว่าเจ้าลงกาสากล | ให้ข้ามานิมนต์พระฤๅษี |
เข้าไปในวังวันนี้ | เห็นทีการร้อนอย่านอนใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๖๔๗๏ เมื่อนั้น | พระดาบศฟังแจ้งแถลงไข |
จึ่งว่าดีแต่จะมาหาเข้าไป | ส่วนของฉันมันไม่ใคร่เอามา |
ว่าพลางทางเข้าในกุฎี | พระมุนีห่มดองครองผ้า |
ถือไม้ท้าวก้าวลงจากศาลา | เดินโดยมรคาคลาไคล |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๖๔๘๏ ครั้นถึงนัคเรศนิเวศน์วัง | เข้ายังพระโรงทองผ่องใส |
ขึ้นนั่งเหนือแท่นสุวรรณทันใด | เหนื่อยหอบหายใจไปมา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๔๙๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรอภิวันท์หรรษา |
พลางดำรัสตรัสเรียกเอาเครื่องชา | มาถวายพระสิทธาอาจารย์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๕๐๏ เมื่อนั้น | พระฤๅษีปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
ฉันพลางพูดพล่ำสำราญ | เรียกน้ำตาลเติมน้ำร่ำไป |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๕๑๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์กราบก้มบังคมไหว้ |
จึ่งบอกพระอาจารย์ชาญไชย | โยมนี้ไม่มีชื่นทุกคืนวัน |
ด้วยมนุษย์ลิงป่าปัจจามิตร | มาตั้งติดนัคเรศเขตรขัณฑ์ |
ฆ่าญาติวงษ์ตายเสียหลายพัน | อินทรชิตกุมภกรรฐ์ก็บรรไลย |
แต่โยมยกพลมารไปราญรอน | ก็ต้องศรเจียนจักตักไษย |
เปนสุดคิดขัดสนจนใจ | จึ่งให้ไปราธนามานคร |
หวังจะถามอุปเทห์เล่ห์กล | กับเวทมนต์มิให้ถูกลูกศร |
แม้นได้สมปราถนาอาวรณ์ | ออกราญรอนไพรีจะมีไชย |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๖๕๒๏ เมื่อนั้น | พระฤๅษีฟังแจ้งแถลงไข |
หัวร่อร่าว่าโยมอย่าตกใจ | กลัวอะไรกับศรสองมนุษย์ |
รูปจะบอกความรู้อยู่คง | ชื่ออุมงคพิธีดีที่สุด |
อย่าเพ่อออกรณรงค์ยงยุทธ | จงให้ขุดอุโมงค์ลงใต้ดิน |
เอาศิลามาปิดปากถ้ำ | ที่จะนั่งบริกรรมวงสายสิญจน์ |
แล้วอดโกรธอดนอนอดกิน | กว่าจะสิ้นสำเร็จเจ็ดวัน |
เนื้อหนังเหนียวกระด้างเหมือนอย่างเพ็ชร | อย่าขามเข็ดใครฆ่าไม่อาสัญ |
แล้วหยิบพระกระดานชนวนพลัน | พระนักธรรม์เขียนคาถามหามนต์ |
แล้วยื่นให้กับองค์เจ้าลงกา | เองอุส่าห์จำเอาเล่าบ่น |
จึ่งทำตามอุปเทห์เล่ห์กล | คงทนหนักหนาพระยามาร |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๖๕๓๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
จึ่งเล่าเวทวิทยาของอาจารย์ | ที่เขียนไว้ในกระดานได้ดังใจ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๖๕๔๏ เมื่อนั้น | ดาบศยินดีจะมีไหน |
อวยพรภิญโญเดโชไชย | แล้วลาไปศาลาพนาลี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๖๕๕๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนี | จงไปที่เขานิลทกาลา |
ขุดอุโมงค์ลงเบื้องบุรพทิศ | หาหินปิดไปสักแผ่นให้แน่นหนา |
ที่ข้างในใส่ประทีปบูชา | ทั้งบุบผาสารพัดจงจัดไว้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๖๕๖๏ บัดนั้น | มโหทรเสนาอัชฌาไศรย |
รับสั่งแล้วพากันคลาไคล | ออกไปรีบรัดจัดการ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๖๕๗๏ เกณฑ์พวกพลขันธ์ได้พันห้า | ถือจอบเสียมตระกร้าพร้าขวาน |
นายไพร่พร้อมกันมิทันนาน | อำมาตย์มารนำน่าคลาไคล |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๖๕๘๏ ครั้นถึงท่ามกลางลงกา | เนินนินทกาลาเขาใหญ่ |
เห็นที่หนึ่งกว้างขวางหว่างต้นไม้ | จึ่งสั่งไพร่ให้เร่งจัดการ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๕๙๏ บัดนั้น | พวกนายหมวดตรวจตราเปนน่าด้าน |
แล้วเร่งพหลพลมาร | ให้ขุดขนอลหม่านพ่านไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๖๖๐๏ ครั้นเสร็จก็ตั้งบัลลังก์รัตน์ | เพดานขาวโขมพัตรผ่องใส |
ทั้งเตียงตั้งพานเข้าตอกดอกไม้ | จัดไว้ให้ต้องตามตำรา |
จุดประทีปเทียนทองส่องสว่าง | สองข้างผนังทั้งซ้ายขวา |
แต่งสำเร็จเสร็จสรรพกลับออกมา | หามศิลาสี่เหลี่ยมมาเตรียมไว้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๖๖๑๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรเปนใหญ่ |
เสด็จจากแท่นแก้วแววไว | ออกไปชำระสระสรงชล |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๖๖๒๏ ไขสุหร่ายปรายโปรยโรยลออง | ตกต้องพระกายดังสายฝน |
สำอางองค์ทรงเครื่องพระสุคนธ์ | ซาบสกนธ์กลิ่นฟุ้งจรุงใจ |
ภูษาพื้นขาวทรงประจงจัด | บงเฉียงโขมพัตรผ่องใส |
สอดสายธุรำอำไพ | ให้ต้องในตำราสารพัน |
เจิมจุณมุ่นชฎาห่อเกษ | ถือเพศตามพรหมรังสรรค์ |
ทรงประคำสำหรับพิธีกรรม์ | แล้วลงจากอัฒจันท์ทันใด |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๑๖๖๓๏ ออกประตูหูช้างข้างน่า | พรั่งพร้อมเสนาน้อยใหญ่ |
เสด็จโดยมรคาคลาไคล | ตรงไปเขานิลทกาลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๖๖๔๏ ครั้นถึงจึ่งมีบัญชาการ | สั่งเสนามารยักษา |
เราจะเข้าตั้งกิจวิทยา | อยู่ในมหาอุโมงค์นี้ |
ท่านเร่งยกแผ่นผานั้นมาปิด | จงมิดชิดอย่าให้ใครเห็นที่ |
เอาดินรายทรายเกลี่ยเสียให้ดี | แล้วพาหมู่อสุรีทั้งปวงไป |
ถ้วนสำเร็จเจ็ดวันดังสัญญา | จงกลับมาเปิดปากอุโมงค์ให้ |
สั่งแล้วลีลาคลาไคล | ลงยืนหยุดอยู่ในทวารา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๖๖๕๏ บัดนั้น | มโหทรสิทธิศักดิยักษา |
จึ่งเร่งไพร่ให้หามแผ่นศิลา | ปิดมหาอุโมงค์ลงไว้ |
เอาดินทรายสมทบกลบซ้ำ | เกลี่ยทำมิให้ใครสงไสย |
แล้วพาพวกพลสกลไกร | กลับไปที่อยู่อสุรา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๖๖๖๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษา |
จึ่งโอมอ่านพระเวทวิทยา | ตรึงศิลาทั้งแผ่นให้แน่นไว้ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๖๗๏ แล้วเสด็จมานั่งบัลลังก์อาศน์ | ขัดสมาธิ์นบนิ้วประนมไหว้ |
รฦกคุณพระอาจารย์ชาญไชย | สำรวมใจร่ายเวทวิทยา |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
ช้า
๑๖๖๘๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
เสด็จออกน่าสุวรรณพลับพลา | ทั้งองค์พระอนุชายาใจ |
เสนาวานรเฝ้าแหน | คั่งคับนับแสนอสงไขย |
พระทรงคิดการศึกตรึกไตร | จะชิงไชยให้ชนะอสุรา |
จนจวนสุริย์ฉายบ่ายคล้อย | พระนั่งคอยข่าวทัพยักษา |
มิได้ยินเสียงโห่โยธา | จึ่งบัญชาถามพิเภกผู้ใจภักดิ์ |
ไฉนเจ้าลงกาพระยามาร | ไม่ออกมารอนราญหาญหัก |
จะคิดกลอุบายย้ายยัก | ฤๅหยุดพักพหลพลไกร |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๖๖๙๏ บัดนั้น | พิเภกโหราอัชฌาไศรย |
พิเคราะห์ดูรู้แจ้งไม่แคลงใจ | จึ่งกราบทูลภูวไนยไปพลัน |
ทศกรรฐ์วันวานออกราญรอน | ก็ต้องศรปิ้มชีวาจะอาสัญ |
ไม่อาจออกหักโหมโรมรัน | บัดนี้มันหยุดยั้งตั้งพิธี |
ขุดอุโมงค์ลงกลางกรุงลงกา | เนินนินทกาลาคิรีศรี |
แม้นครบเจ็ดทิวาราตรี | อินทรีย์เปนเพ็ชรสำเร็จการ |
ถึงต้องเทพสาตราอาวุธ | ไม่สิ้นสุดชีวังสังขาร |
จึ่งจะยกพลนิกรมารอนราญ | จงทราบบทมาลย์พระผ่านฟ้า |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๖๗๐๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงฟังไม่กังขา |
จึ่งสั่งน้องพาลีมีศักดา | กับเสนานิลนนท์หณุมาน |
จงรีบไปลงกาธานี | ล้างพิธีทศภักตร์หักหาญ |
อย่าให้ทำสำเร็จเสร็จการ | จัณฑาลให้ยับแล้วกลับมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๖๗๑๏ บัดนั้น | สามนายรับสั่งใส่เกษา |
ตามกันออกไปลับพลับพลา | เหาะทยานผ่านฟ้ามาไรไร |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๖๗๒๏ ถึงท่ามกลางลงกาธานี | จึ่งลอบลงตรงที่เชิงไศล |
ลดเลี้ยวเที่ยวสังเกตดูไป | เห็นแผ่นศิลาใหญ่มิได้ช้า |
ดูที่ทางเหมือนหนึ่งจะพึ่งทำ | สมคำพิเภกยักษา |
ต่างว่าเห็นท้าวเจ้าลงกา | ขุดสุธาทำอุโมงค์ตรงนี้ |
ว่าพลางทางช่วยกันยกหิน | พร้อมสิ้นทั้งสามกระบี่ศรี |
เดชะพระเวทอสุรี | ไม่เขยื้อนเคลื่อนที่เท่าโลมา |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๖๗๓๏ ทั้งสามนายล้าเลื่อยเหนื่อยจิตร | สุครีพคิดตรองตรึกปฤกษา |
เห็นทีทศภักตร์ศักดา | มันเศกด้วยมนตราตรึงไว้ |
หณุมานรีบไปไต่ถาม | ให้พิเภกบอกความตามสงไสย |
ทศกรรฐ์มันทำทั้งนี้ไซ้ | จะผันแปรแก้ไขอย่างไรดี |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๖๗๔๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานชาญไชยศรี |
ฟังน้าว่าชอบท่วงที | ขุนกระบี่เหาะกลับมาฉับไว |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๖๗๕๏ ครั้นถึงจึ่งลงริมพลับพลา | เข้าหาพิเภกผู้ใหญ่ |
บอกความตามจริงทุกสิ่งไป | ข้ายกศิลาใหญ่ไม่เคลื่อนคลา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๗๖๏ เมื่อนั้น | พิเภกได้ฟังไม่กังขา |
จึ่งว่าเขาเศกหินศิลา | ปิดปากมหาอุโมงค์ไว้ |
แม้นได้น้ำชำระเท้าสัตรี | มารดที่แผ่นผาศิลาใหญ่ |
พระเวทนั้นเสื่อมคลายหายไป | ก็จะยกขึ้นได้ดังจินดา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๖๗๗๏ บัดนั้น | ขุนกระบินทร์ยินดีเปนหนักหนา |
อัญชลีพิเภกแล้วเดินมา | พลางตรึกตราตรองความตามจำนง |
จะไปหาเบญกายสายใจ | จึ่งจะได้ดังจิตรคิดประสงค์ |
นึกพลางทางแผลงฤทธิรงค์ | หมายตรงกรุงมารทยานมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๖๗๘๏ ครั้นถึงนัคเรศนิเวศน์วัง | จึ่งหยุดยั้งอยู่บนเวหา |
อ่านอาคมขลังกำบังตา | มิให้เห็นกายาทั้งธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๑๖๗๙๏ แล้วเหาะลดเลี้ยวเที่ยวค้น | ทุกไพชนต์ปรางมาศปราสาทศรี |
พอแลเห็นเบญจกายอสุรี | อยู่ที่แท่นสุวรรณพรรณราย |
ไม่มีเหล่าสาวสรรค์กัลยา | ด้วยบิดาต้องริบฉิบหาย |
ดูพลางทางอ่านอาคมคลาย | ให้เห็นกายกายาวานร |
ฯ ๔ คำ ฯ รัว
๑๖๘๐๏ แล้วขึ้นนั่งบนเตียงเคียงนาง | ประโลมลูบปฤษฎางค์ดวงสมร |
ทำปราไสไต่ถามถึงทุกข์ร้อน | ฤๅบังอรผาศุกทุกเวลา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๘๑๏ เมื่อนั้น | นวลนางเบญกายเสนหา |
ทั้งรักทั้งแค้นแน่นอุรา | ค้อนพลางทางว่ากับสามี |
ไฉนเจ้าเข้ามาในนิเวศน์ | ไม่เกรงเดชทศภักตร์ยักษี |
แม้นทราบว่าข้าคบขุนกระบี่ | น่าที่จะพากันบรรไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๖๘๒๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
เชยปรางพลางประโลมลูบไล้ | จะกลัวเกรงมันไยกับไพรี |
ถ้าแม้นพี่มิติดราชการ | ไม่จากเจ้าเยาวมาลย์ให้หมองศรี |
นี่รับสั่งใช้มาเวลานี้ | ให้ล้างกิจพิธีทศกรรฐ์ |
แต่จนใจด้วยหินศิลา | ปิดปากมหาอุโมงค์มั่น |
จะขอน้ำล้างเท้าของเจ้านั้น | ไปแก้เวทมนต์มันให้เสื่อมคลาย |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๑๖๘๓๏ เมื่อนั้น | นวลนางเบญกายโฉมฉาย |
ฟังคำผัวขวัญบรรยาย | บอกอุบายไว้เนื้อเชื่อใจ |
จึ่งลีลามาหยิบเอาขันทอง | ล้างเท้าแล้วรองส่งให้ |
พิศภักตร์ภัศดาก็อาไลย | แต่จนใจจำช่วยอวยพร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๖๘๔๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรสุดเสียดายสายสมร |
อิงแอบแนบนางพลางสุนทร | ค่อยอยู่ก่อนเถิดพี่จะลาไป |
แล้วหยิบขันผันผายมาจากนาง | ออกทางพระแกลทองผ่องใส |
พอพลบค่ำย่ำรฆังที่วังใน | แผลงอิทธิ์ฤทธิไกรตรงมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๖๘๕๏ ครั้นถึงสุครีพนิลนนท์ | แจ้งยุบลที่สมปราถนา |
บอกพลางทางถือขันคงคา | มารดแผ่นศิลาลงทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๑๖๘๖๏ แล้วเข้าคนละข้างง้างหิน | สามกระบินทร์เปิดปากอุโมงค์ได้ |
เห็นปล่องห้องกว้างสว่างไฟ | จึ่งพากันเข้าไปมิได้ช้า |
เห็นเจ้าลงกาสมาธิ | ตั้งสติหลับเนตรทั้งซ้ายขวา |
ต่างตวาดผาดแผลงฤทธา | ปะเตะต่อยเครื่องบูชาแตกรยำ |
แล้วเข้ากลุ้มรุมรันทศภักตร์ | กระชากชักล้มลุกปลุกปล้ำ |
วายุบุตรฉุดชฎาหน้าคมำ | สุครีพซ้ำถีบถองลงสองตึง |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๖๘๗๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์ไม่พิโรธโกรธขึ้ง |
นิ่งนั่งประนมมือดื้อดึง | จิตรรำพึงนึกภาวนาไป |
เดชะพระเวทวิทยา | จะเจ็บองค์อสุราก็หาไม่ |
อุส่าห์สู้สกดอดใจ | หวังจะให้สำเร็จเสร็จการ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๖๘๘๏ เมื่อนั้น | สามกระบี่มีศักดากล้าหาญ |
รุมกันฟันแทงแกล้งจัณฑาล | พระยามารมิได้ไหวติง |
หณุมานจึ่งว่าหลากนัก | ทศภักตร์มันช่างนั่งนิ่ง |
ถือมั่นขันตีดีจริง | จะทำสิ่งใดได้ให้โกรธา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๖๘๙๏ เมื่อนั้น | สุครีพคิดรำพึงแล้วจึ่งว่า |
ทศกรรฐ์มันทำสงครามมา | เพราะเปนบ้ากำหนัดในสัตรี |
เจ้าแก้ไขไปสกดนางกำนัล | พามณโฑเมียมันมาที่นี่ |
เราช่วยกันหยอกเย้าเซ้าซี้ | ให้สามีโมโหโกรธา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๖๙๐๏ บัดนั้น | หณุมานสรวลสันต์หรรษา |
ชมน้าว่าดีมีปัญญา | แล้วอำลาเหาะลิ่วปลิวไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๖๙๑๏ ข้ามป้อมปราการทวารวัง | ลงยังปราสาททองผ่องใส |
จึ่งอ่านอาคมขลังตั้งใจ | สกดให้นิทราทั้งธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๑๖๙๒๏ เมื่อนั้น | นางมณโฑโสภามารศรี |
สถิตย์แท่นไสยาในราตรี | ฝูงนารีเฝ้าแหนแน่นนัน |
ครั้นต้องเวทมนต์หณุมาน | ก็บันดาลฤไทยไหวหวั่น |
ทั้งแก่สาวชาววังทั้งนั้น | พากันหลับสนิทนิทรา |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๑๖๙๓๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานหาญกล้า |
เห็นเงียบเสียงสาวสรรค์กัลยา | จึ่งเข้าไปในมหาปราสาทไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๙๔๏ เห็นมณโฑบนสุวรรณบรรจฐรณ์ | นิ่งนอนรงับหลับใหล |
จึ่งสอดกรช้อนอุ้มอรไทย | เหาะไปที่อุโมงค์เจ้าลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๖๙๕๏ ครั้นถึงจึ่งวางนางลง | เคียงองค์ทศภักตร์ยักษา |
แก้มนต์ให้ตื่นฟื้นกายา | แล้วร้องว่าเหวยท้าวทศภักตร์ |
นี่เมียของใครเราได้มา | จงลืมตาขึ้นดูให้รู้จัก |
พลางยุดฉุดองค์นางนงลักษณ์ | ชิงชักชายสไบไขว่คว้า |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๖๙๖๏ เมื่อนั้น | นางมณโฑร้องกรีดหวีดผวา |
เข้าสร้วมสอดกอดรัดภัศดา | ผ่านฟ้าโปรดช่วยน้องด้วยที |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๖๙๗๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์แว่วเสียงมเหษี |
ลืมเนตรเห็นเมียเสียขันตี | ผุดลุกจากที่ตลีตลาน |
ฉวยได้คันฉัตรกวัดแกว่ง | ต่อแย้งป้องปัดประหัดประหาร |
มุทลุดุเดือดโดดทยาน | เข้ารอนราญรบลิงเปนสิงคลี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๖๙๘๏ เมื่อนั้น | สามทหารต้านต่อฬ่อยักษี |
ทำเกะกะจะชิงนางเทวี | ถอยทีหนีไล่กันไปมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๖๙๙๏ ครั้นเห็นทศกรรฐ์ขยั้นหยุด | วายุบุตรหลอนหลอกกลอกหน้า |
ต่างหัวเราะเยาะเย้าเจ้าลงกา | เห็นเมียมาผุดลุกขึ้นคลุกคลี |
เปนไรไม่อ่านอาคม | เสียแรงเกล้าเผ้าผมเหมือนฤๅษี |
ทำนิ่งนั่งตั้งมั่นถือขันตี | ทีนี้ขันแตกแหลกลาญ |
เมียตนสิรักลักเมียเขา | โฉดเฉาชั่วช้าหน้าด้าน |
นี่หากว่าองค์พระอวตาร | ไม่สั่งให้ประหารผลาญชีวา |
ให้ล้างแต่การกิจพิธี | จึ่งจำไว้ชีวียักษา |
ว่าพลางทางแผลงฤทธา | จากอุโมงค์ตรงมาพนาไลย |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๑๗๐๐๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเจียนเลือดตาไหล |
ทั้งเสียมนต์เสียเมียเสียน้ำใจ | ให้ร้อนอกหมกไหม้ดังไฟกาล |
คิดคเนเวลาก็จวนรุ่ง | กลัวชาวกรุงเห็นหน้าจะว่าขาน |
แขงพระไทยอุ้มองค์นงคราญ | เหาะทยานเข้ายังวังใน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๗๐๑๏ เมื่อนั้น | สามทหารพระนารายน์นายใหญ่ |
มาถึงกองทัพพลับพลาไชย | พออุไทยไขแสงสว่างฟ้า |
จึ่งเข้าไปอภิวาทบาทมูล | กราบทูลพระนารายน์นาถา |
ข้าไปถึงอุโมงค์เจ้าลงกา | ล้างกิจวิทยาสำเร็จการ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๗๐๒๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน |
ชมสุครีพนิลนนท์หณุมาน | ใช้ไหนได้การมาทุกที |
ประกอบทั้งความคิดฤทธิรณ | แต่ละตนองอาจดังราชสีห์ |
ตรัสพลางย่างเยื้องจรลี | เข้าสู่ที่แท่นแก้วสุรการ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๑๗๐๓๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรศักดาหาญ |
สถิตย์ที่แท่นรัตน์ชัชวาลย์ | อำมาตย์มารเฝ้าแหนแน่นนัน |
คนึงในสงครามกับรามลักษณ์ | พระยายักษ์ร้อนฤไทยไหวหวั่น |
มิตรสหายสุริวงษ์พงษ์พันธุ์ | ก็สุดสิ้นชีวันบรรไลย |
จะแต่งทัพข้าเฝ้าเหล่านี้ | ออกต่อตีเห็นไม่ต้านทานได้ |
แต่นิ่งคิดขัดสนจนใจ | กอดกรถอนฤไทยไปมา |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๑๗๐๔๏ เฉลียวคิดขึ้นได้ดังใจหวัง | ถึงวิรุณจำบังยักษา |
ทั้งท้าวสัทธาสูรศักดา | จะให้เชิญมาช่วยราวี |
ตริแล้วดำรัสตรัสประภาศ | สั่งสองอำมาตย์ยักษี |
นนทจิตรจงรีบจรลี | ไปธานีหัษฎงแดนไตร |
ทูลท้าวสัทธาสูรยักษา | ว่าลงกาเกิดการศึกใหญ่ |
เชิญสหายมาช่วยชิงไชย | ผลาญมนุษย์ลิงไพรใจพาล |
อันนนทไพรีปรีชา | ไปภาราจาฤกราชฐาน |
บอกวิรุณจำบังขุนมาร | ให้หลานรักมาช่วยราวี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๗๐๕๏ บัดนั้น | สองอสูรรับสั่งใส่เกษี |
ต่างตนออกมาขึ้นพาชี | ออกประตูบูรีรีบไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๗๐๖๏ นนทจิตรดั้นดัดตัดทางตรง | ก็มาถึงหัษฎงกรุงใหญ่ |
ลงจากอาชาคลาไคล | ตรงไปที่เฝ้าเจ้าธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๗๐๗๏ จึ่งค่อยก้มกรานคลานเข้ามา | อยู่ข้างหลังเสนาบดีศรี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | หมอบชม้อยคอยทีจะพิดทูล |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๑๗๐๘๏ เมื่อนั้น | องค์เจ้านัคราสัทธาสูร |
สถิตย์เหนือแท่นรัตน์เรืองจำรูญ | พร้อมมูลอำมาตย์มาตยา |
ตรัสประภาศราชกิจเกี่ยวข้อง | ใครฟ้องร้องกันไว้ให้ปฤกษา |
พอแลเห็นข้าเฝ้าเจ้าลงกา | รู้จักหน้าถนัดตรัสถามไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๑๗๐๙๏ ดูก่อนเสนีมีศักดิ์ | มาแต่ท้าวทศภักตร์ฤๅไฉน |
สารทุกข์ทังวลกลใด | จงว่าไปให้รู้เหตุการณ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๗๑๐๏ บัดนั้น | นนทจิตรรับราชบรรหาร |
จึ่งทูลว่าพระองค์พงษ์พรหมมาน | ร้อนรำคาญเคืองในพระไทยนัก |
ด้วยลักษณ์รามพี่น้องสองมนุษย์ | อยู่อยุทธยาอาณาจักร |
คบเหล่าลิงป่ามาฆ่ายักษ์ | หาญหักตั้งประชิดติดเวียงไชย |
บัดนี้พระยามารผ่านภพ | ต้องแต่งทัพรับรบหาเว้นไม่ |
จึ่งใช้ข้ามาทูลท้าวไท | เชิญเสด็จภูวไนยไปลงกา |
ช่วยคิดอ่านการณรงค์สงคราม | สังหารลักษณ์รามกับลิงป่า |
โดยราชไมตรีซึ่งมีมา | จงทราบบาทาฝ่าธุลี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๗๑๑๏ เมื่อนั้น | ท้าวสัทธาสูรยักษี |
ได้ฟังคั่งแค้นแสนทวี | จึ่งมีสีหนาทบัญชา |
อันมนุษย์วานรสัญจรไพร | มันจะเปนกระไรมาหนักหนา |
กูจะไปไล่สพัดมัดมา | สังหารชีวาให้ม้วยมรณ์ |
ตรัสพลางทางสั่งอำมาตย์มาร | เร่งเกณฑ์ทัพทวยหาญชาญสมร |
ให้พร้อมพรั่งรถรัดอัศดร | เราจะรีบไปนครลงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๗๑๒๏ บัดนั้น | เสนีรับสั่งใส่เกษา |
ก้มเกล้ากราบงามสามลา | ออกมาจัดทัพสำหรับรบ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ยานี
๑๗๑๓๏ เตรียมกระบวนโยธีมีกำลัง | ซ้ายขวาน่าหลังตามขนบ |
ทั้งเกียกกายเกณฑ์ระดมสมทบ | ถือครบเครื่องสาตราสารพัด |
ขุนช้างผูกช้างรวางใหญ่ | เคยลวงไล่ฬ่อแพนพานผัด |
ขุนม้าชาญฉกรรจ์สันทัด | กุมหอกซัดใส่เสื้อสีชมภู |
ขุนรถรีบจัดรัถา | เทียมโตโคลาหลายคู่ |
พลเท้าถือเกาทัณฑ์ธนู | มาเตรียมอยู่นับโกฏิโจษจรร |
ชาวคลังนั่งจ่ายเสื้อหมวก | ให้พวกพหลพลขันธ์ |
แล้วเทียมราชรถแก้วแพรวพรรณ | มาเทียบกับเกยสุวรรณทันใด |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๗๑๔๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวสัทธาสูรเปนใหญ่ |
ลงจากแท่นแก้วแววไว | เสด็จไปโสรจสรงคงคา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๗๑๕๏ น้ำอบสำอางอาบสกนธ์ | ลูบไล้สุคนธ์ปนกฤษณา |
สอดสนับเพลาทรงอลงการ์ | ภูษายกทองท้องพัน |
ฉลององค์ตาดแล่งแย่งกระหนก | เกราะกระหวัดรัดอกโอบกระสัน |
ห้อยน่าผ้าทิพย์ขลิบสุวรรณ | คาดปั้นเหน่งกุดั่นประดับพลอย |
ทับทรวงแสงจำรัสตรัสเตร็จ | สังวาลเพ็ชรพรรณรายสายสร้อย |
ทองกรแกมแก้วแพรวพร้อย | ธำมรงค์ล้วนพลอยค่าควรเมือง |
ทรงมงกุฎจีบจรกรรเจียกเพ็ชร | แก้วเพทายรายเม็ดประดับเนื่อง |
จับพระแสงศรสิทธิ์ฤทธิเรือง | แล้วย่างเยื้องไปยังเกยสุวรรณ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๑๗๑๖๏ ขึ้นทรงรถมณีที่นั่ง | พร้อมพรั่งพหลพลขันธ์ |
ออกจากภาราเข้าอารัญ | เดินทัพขับกันไปคึกคึก |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
โทน
๑๗๑๗๏ รถเอยรถทรง | สำหรับรณรงค์รบศึก |
เสียงกงก้องสนั่นครั่นครึก | ล้วนแล้วแก้วผลึกแกมโกเมน |
เทียมพระยาราชสีห์สี่พัน | โลทันสารถีถือเขน |
กลิ้งกลดบดบังสุริเยนทร์ | ทหารเกณฑ์แห่ล้วนทวนธงแดง |
เสียงฆ้องกลองประโคมโครมครื้น | เพียงพื้นไตรภพสยบแสยง |
ทหารม้าเกราะทองกองแซง | ขับแข่งเคียงทางมาข้างรถ |
พฤกษาสูงยูงยางขวางน่า | ช้างม้าเหยียบลู่แหลกหมด |
เดินทางหว่างอรัญบรรพต | เร่งทัพขับรถบทจร |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๗๑๘๏ บัดนั้น | นนทไพรีมารชาญสมร |
ถึงภาราจาฤกพระนคร | ลงจากอัศดรเข้าวัง |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๗๑๙๏ ขึ้นท้องพระโรงรัตน์ชัชวาลย์ | จึ่งคุกคลานเข้ามาน่าที่นั่ง |
อัญชลีวิรุณจำบัง | ทูลความตามรับสั่งทุกประการ |
บัดนี้ลงกาอาณาจักร | มีพวกปรปักษ์มาหักหาญ |
พระโอรสนัดดาพระยามาร | ออกต้านทานเสียทัพอัปรา |
จึ่งให้ข้ามาเชิญลอองบาท | ไปคิดราชการศึกปฤกษา |
ช่วยระงับดับเข็ญเย็นประชา | จงทราบเบื้องบาทาฝ่าธุลี |
ฯ ๖ คำ ฯ
ช้า
๑๗๒๐๏ เมื่อนั้น | วิรุณจำบังยักษี |
กริ้วโกรธโกรธาพาที | ชะไอ้ไพรีทนงนัก |
ไม่ยำเยงเกรงฤทธิ์พระบิตุลา | มาย่ำยีลงกาอาณาจักร |
กูจะพาพวกพหลพลยักษ์ | ไปจับหักฅอเคี้ยวเสียเดี๋ยวนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๑๗๒๑๏ ว่าพลางทางมีพระบัญชา | ตรัสสั่งเสนายักษี |
เราจะไปลงกาธานี | จงเตรียมพลพาชีให้พร้อมไว้ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๗๒๒๏ บัดนั้น | นนทสูรเสนาอัชฌาไศรย |
ถวายบังคมลาคลาไคล | ออกไปรีบรัดจัดแจง |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๑๗๒๓๏ เกณฑ์พลพาชีชาญสมร | ล้วนฝึกสอนเพลงสาตรากล้าแขง |
กองน่าสำคัญธงแดง | ถือกำซาบศรแผลงผลาญศัตรู |
ทั้งซ้ายขวามาถ้วนกระบวนเกณฑ์ | ถือโล่ห์เขนเขียนน่าราหู |
พวกไพร่ใส่เสื้อปัศตู | ถือทวนล้วนภู่จามรี |
กองหลวงพลม้าทั้งห้าหมื่น | ถือแต่พื้นหอกซัดขัดกระบี่ |
แล้วผูกนิลพาหุพาชี | มาเตรียมที่พระลานชานชลา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๗๒๔๏ เมื่อนั้น | วิรุณจำบังยักษา |
ครั้นพร้อมพหลพลโยธา | เสด็จมาสรงสหัสนัที |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๗๒๕๏ พนักงานไขสุหร่ายดังสายฝน | ลอองอาบซาบสกนธ์ยักษี |
ลูบไล้สุคนธาวารี | กลิ่นบุบผามาลีรวยรศ |
สอดใส่สนับเพลาเพราผจง | ภูษาทรงพื้นแดงแย่งขด |
ฉลององค์อินท์ธนูดูช้อยชด | เกราะแก้วมรกฏรจนา |
คาดปั้นเหน่งเนาวรัตน์ตรัจเตร็จ | สังวาลเพ็ชรพลอยมณีมีค่า |
ตาบทิศทับทรวงดวงจินดา | พาหาพาหุรัดกระหวัดวง |
สอดใส่ธำมรงค์เรือนครุธ | ทรงมงกุฎกระหนกอย่างหางหงษ์ |
ครั้นเสร็จสรรพจับหอกฤทธิรงค์ | ลีลาศตรงมาชลาน่าพระลาน |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๑๗๒๖๏ ขึ้นทรงม้านิลพาหุ | อันร้ายดุศักดากล้าหาญ |
ได้ฤกษ์เลิกพหลพลมาร | โห่ร้องก้องสท้านไปตามทาง |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
โทน
๑๗๒๗๏ ม้าเอยม้าที่นั่ง | มีกำลังเร็วรัดสบัดย่าง |
ผูกสายง่องง้ำประจำคาง | เบาะหมอนหักทองขวางแขวนโกลน |
ขี่ขับขยับแส้ให้แลเห็น | ย่ำน้อยซอยเต้นเผ่นโผน |
ลองเชิงเริงร้องคนองโจน | ใครขวางกีดดีดโดนโดยกำลัง |
ม้าทหารเกณฑ์แห่แออัด | เยียดยัดมรคาน่าหลัง |
บ้างชักน้อยปล่อยห้อไม่รอรั้ง | กระทืบแผงพะนังดังสเทือน |
เสียงสังข์เสียงแตรแซ่ซ้อง | ฆ้องกลองก้องสนั่นลั่นเลื่อน |
เร่งพลพาชีตีเตือน | คลายเคลื่อนโยธาคลาไคล |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๗๒๘๏ ครั้นถึงที่ทุ่งกรุงลงกา | มรคามาร่วมที่ทางใหญ่ |
พบทัพหัษฎงก็ดีใจ | ตามกันเข้าไปในภารา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๗๒๙๏ ถึงท้ายวังยั้งหยุดจัตุรงค์ | ต่างองค์ลงกัณฐัศว์รัถา |
องค์วิรุณจำบังนัดดา | ก็เข้ามาประนตบทมาลย์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๗๓๐๏ เมื่อนั้น | สัทธาสูรปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
จึ่งปราไสไต่ถามถึงเหตุการณ์ | แล้วชวนหลานไปพระโรงรจนา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๗๓๑๏ เมื่อนั้น | ท้าวทศภักตร์ยักษา |
เห็นพระสหายกับนัดดา | จึ่งลุกมาต้อนรับจับกร |
ขึ้นนั่งเหนือแท่นแก้วแพรวพรรณ | ต่างคำนับรับกันเหมือนฉันก่อน |
แล้วปราไสไต่ถามถึงนคร | ทุกข์ร้อนสิ่งใดฤๅไพบูลย์ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๗๓๒๏ เมื่อนั้น | องค์พระยายักษาสัทธาสูร |
จึ่งแจ้งว่าภาราไม่อาดูร | พร้อมประยูรญาติวงษ์พงษ์ยักษ์ |
เออไฉนลงกาธานี | จึ่งละให้ไพรีมาหาญหัก |
อันมนุษย์ทรงนามรามลักษณ์ | จะเรืองฤทธิ์สิทธิศักดิเปนอย่างไร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๗๓๓๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์ตรัสแจ้งแถลงไข |
อันพี่น้องสองมนุษย์นั้นไซ้ | ฤทธิไกรเปนประมาณปานกลาง |
โดยจะทำกลศึกฦกซึ้ง | ก็ไม่ถึงพวกยักษ์แต่สักอย่าง |
ทั้งไม่รู้เหาะเหินเดินตามทาง | ได้แต่ลิงค่างเปนไพร่พล |
เมื่อพวกเราเข้าณรงค์สงคราม | ลักษณ์รามก็ตายลงหลายหน |
เหตุทั้งนี้พิเภกทรชน | มันบอกกลแก้ไขให้ไพริน |
จึ่งมีแต่แพ้พวกปัจจามิตร | กุมภกรรฐ์อินทรชิตก็ตายสิ้น |
เสียทั้งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน | ไม่รู้ที่จะผินไปพึ่งใคร |
จึ่งต้องให้ไปเชิญสหายมา | หวังว่าจะสู้ศัตรูได้ |
ช่วยคิดอ่านการศึกตรึกไตร | ที่จะไปรณรงค์สงคราม |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๗๓๔๏ เมื่อนั้น | สัทธาสูรขุนมารชาญสนาม |
ฟังสหายแถลงแจ้งความ | ยิ่งฮึดฮัดกัดกรามโกรธา |
ชะกะไรไอ้พิเภกทรลักษณ์ | ไม่รู้จักสุริวงษ์พงษา |
แต่พี่น้องร่วมครรภ์กันมา | ยังคิดร้ายหมายฆ่าให้บรรไลย |
เช่นนี้จับตัวมาแล้วผ่าอก | อย่าให้เลือดมันตกติดดินได้ |
จึ่งจะสมน้ำหน้าสาแก่ใจ | ที่มันไปเปนข้าปัจจามิตร |
แล้วว่าแก่ทศภักตร์ยักษี | ครั้งนี้อย่าประหวั่นพรั่นจิตร |
ถึงแม้พวกไพรีจะมีฤทธิ์ | แต่ขอให้ได้ประชิดทัพกัน |
จะเรียกฝูงเทวาทิ้งอาวุธ | ผลาญมนุษย์ลิงป่าให้อาสัญ |
ไอ้พิเภกชั่วช้าอาธรรม์ | จะให้พลกุมภัณฑ์มันมัดมา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๗๓๕๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสรวลสันต์หรรษา |
จึ่งผินภักตร์มาตรัสกับนัดดา | ซึ่งพระสหายว่าเห็นได้การ |
เจ้าก็เรืองฤทธิรงค์ทรงกำลัง | จะทำอย่างไรได้มั่งเล่าหลาน |
เสียแรงร่วมสุริวงษ์พรหมมาน | จงช่วยกันคิดอ่านผลาญไพรี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๗๓๖๏ เมื่อนั้น | วิรุณจำบังยักษี |
บังคมทูลบิตุลาว่าข้านี้ | แค้นมนุษย์สุดที่พรรณา |
จึ่งรีบรัดมาสนองลอองบาท | หมายมาดว่าจะรับอาสา |
กำบังกายหายตนด้วยมนตรา | ไปเข่นฆ่ามนุษย์กับวานร |
บัดนี้พระเจ้าลุงกรุงหัษฎง | พระองค์ได้ว่าอาสาก่อน |
จงให้ยกโยธาพลากร | ไปราญรอนรบรับกับมนุษย์ |
หลานจะยกพลนิกายต่อภายหลัง | ไปรอรั้งรบรับสัปรยุทธ |
แม้นได้เข้ารณรงค์ยงยุทธ | จะสังหารผลาญมนุษย์ให้บรรไลย |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๑๗๓๗๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์ยินดีจะมีไหน |
จึ่งว่าคราวนี้เห็นไม่เปนไร | หมายชนะกะได้ดังจินดา |
แต่พระสหายกับหลานรัก | ยังล้าเลื่อยเหนื่อยพักหนักหนา |
จงหยุดพวกพหลพลโยธา | ต่อเวลาสายหน่อยจึ่งค่อยไป |
ว่าพลางทางมีบรรหาร | สั่งมโหทรมารอำมาตย์ใหญ่ |
จงบอกกล่าวเหล่าวิเสศนอกใน | ให้แต่งเครื่องเมไรยไชยบาน |
จะกินเล่นให้เปนศุขสนุกสบาย | ด้วยองค์พระสหายกับหลาน |
แล้วเลี้ยงพวกพหลพลมาร | ทั้งเหล้าเข้าคาวหวานบัดนี้ไซ้ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๗๓๘๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งบังคมไหว้ |
ออกจากพระโรงคัลทันใด | ตรงไปศาลาลูกขุนพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๗๓๙๏ บังคับให้เสมียนเขียนหมาย | บอกรายราชการทุกสิ่งสรรพ์ |
อากรเหล้าเหล่าวิเสศทั้งนั้น | ให้มาเลี้ยงพลขันธ์ดังบัญชา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๗๔๐๏ บัดนั้น | วิเสศในใหญ่น้อยถ้วนหน้า |
แต่งเครื่องเอมโอชโภชนา | เนื้อพล่าปลาไหลไก่พแนง |
เป็ดผัดกับหมูหูฉลาม | ใส่ชามตั้งโต๊ะตกแต่ง |
เอาเหล้าวิลันดาราคาแพง | จัดแจงใส่ขวดแล้วตรวจตรา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๗๔๑๏ บัดนั้น | เหล่าสุรางค์นางกำนัลซ้ายขวา |
ต่างอาบน้ำทาแป้งแต่งกายา | ผัดหน้ากรีดไรใส่น้ำมัน |
นุ่งยกอย่างดีสีม่วงตอง | สไบกรองทองห่มคมสัน |
แล้วยกเครื่องเยื้องย่างจรจรัล | ไปพระโรงสุวรรณทันที |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๑๗๔๒๏ ต่างค่อยคลานหมอบยอบกาย | มาตั้งเครื่องถวายท้าวยักษี |
ลางนางบ้างเชิญพัชนี | พัดวีพระยามารชาญไชย |
ลางนางบ้างเข้ารินสุรา | ถวายเจ้าลงกาเปนใหญ่ |
ทั้งนัดดาพระสหายรายไป | หมอบชม้อยคอยใช้อยู่พร้อมกัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๗๔๓๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ชวนสหายนัดดาลาวรรณ | ล้อมเสวยน้ำจัณฑ์สำราญใจ |
ทรงตะเกียบหยิบแกล้มแกมกับเหล้า | มัวเมามึนองค์หลงใหล |
เสียงเอะอะอวดอิทธิ์ฤทธิไกร | ชอบพระไทยสรวลเสเฮฮา |
ฯ ๔ คำ ฯ เส้นเหล้า
๑๗๔๔๏ บัดนั้น | วิเสศนอกนั่งทำยำพล่า |
ทั้งของกินแกล้มเหล้าเข้าปลา | ครั้นเสร็จแล้วยกมาน่าพระลาน |
พวกจีนเหล่าเตาสุราโรงใหญ่ | ก็หามไหเหล้ามาอลหม่าน |
ส่งให้พวกยักษ์พนักงาน | เลี้ยงดูหมู่ทหารโยธา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๗๔๕๏ บัดนั้น | พลนิกายนายไพร่พร้อมหน้า |
คับคั่งทั้งสองนัครา | เข้ามากินเลี้ยงเสียงอึกกระทึก |
ตั้งกะพอกจอกสุรารินส่ง | ต่างก่งฅอดื่มดังอึกอึก |
จนลืมตัวมัวเมาพูดฮึก | ทั้งโยธาจาฤกหัษฎง |
บ้างชวนกันพันผูกเปนลูกเกลอ | อึงอื้ออือเออจนเสียงหลง |
บ้างอวดกล้าว่ากูอยู่คง | จะนั่งลงให้เองเอาปืนยิง |
บ้างกินเป็ดไก่กุ้งมุ่งแกล้ม | ทั้งห่อหมกหมูแนมหมดทุกสิ่ง |
บ้างว่ากูไปทัพจะจับลิง | เอามาปิ้งปนแกล้มแกมสุรา |
บ้างคว้าไขว่ไล่นางวิเสศนอก | เย้าหยอกยุดผ้าห่มล้มถลา |
บ้างชกตีวิวาทวาทา | เฮฮาโห่ร้องก้องไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๑๗๔๖๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวสัทธาสูรเปนใหญ่ |
เสร็จเสวยไชยบานสำราญใจ | อยากจะใคร่รณรงค์ยงยุทธ |
จึ่งว่ากับทศภักตร์ยักษา | เราจะลายกทัพไปสัปรยุทธ |
สังหารเหล่าลิงป่ากับมนุษย์ | ให้สิ้นสุดศัตรูที่ดูเบา |
แล้วผินหน้ามาตรัสกับหลานชาย | ลุงจะยกพลนิกายไปก่อนเจ้า |
หลานจงอยู่ให้สบายหายเมา | จึ่งค่อยยกตามเราออกไป |
ว่าพลางต่างองค์อำลา | เจ้าลงกาก็อวยพรให้ |
เสด็จจากแท่นแก้วแววไว | ตรงไปที่ประทับโยธา |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๑๗๔๗๏ ให้ตรวจหมู่ม้ารถคชสาร | ทั้งทวยหาญตามกระบวนถ้วนหน้า |
เสด็จขึ้นรถแก้วแววฟ้า | เคลื่อนคลาพลขันธ์ทันที |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
๑๗๔๘๏ เมื่อนั้น | วิรุณจำบังยักษี |
ครั้นทัพน่ายกไปไกลบุรี | จึ่งตรัสสั่งมนตรีให้ตรวจพล |
พรั่งพร้อมไพร่นายซ้ายขวา | เสด็จขึ้นทรงพระยาม้าต้น |
ทวยหาญขานโห่อึงอล | เดินพลออกจากลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ กราวใน เชิด
๑๗๔๙๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวสัทธาสูรยักษา |
เร่งทัพขับพลมารมา | ถึงชายป่าสมรภูมิ์ไชย |
จึ่งให้หยุดรถรัดจัตุรงค์ | ปักธงเปนทิวปลิวไสว |
สั่งพวกพหลพลไกร | ทั้งนายไพร่ให้โห่ขึ้นสามลา |
ฯ ๔ คำ ฯ รัว
ช้า
๑๗๕๐๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
เนาในสุวรรณพลับพลา | พรั่งพร้อมท้าวพระยาวานร |
สุครีพนิลนนท์หณุมาน | องคตชมภูพาลชาญสมร |
พระทรงคิดกิจการราญรอน | จะฝึกสอนให้ทหารชำนาญรบ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๑๗๕๑๏ มิทันได้ดำรัสตรัสประภาศ | เห็นอากาศมืดกลุ้มคลุ้มตระหลบ |
ทั้งเสียงโห่เครงครื้นพื้นพิภพ | ก็ปรารภจะใคร่รู้ว่าผู้ใด |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๗๕๒๏ จึ่งตรัสถามพิเภกโหรา | วันนี้เสียงโยธาทัพใหญ่ |
จะเปนเจ้าเมืองมารชาญไชย | ฤๅว่าใครมาณรงค์สงคราม |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๗๕๓๏ บัดนั้น | พิเภกกราบครบคำรบสาม |
ลงเลขใส่ขับแล้วจับยาม | ก็รู้ตามเคยสังเกตเหตุการณ์ |
จึ่งทูลว่าพระสหายเจ้าลงกา | ชื่อสัทธาสูรทรงกำลังหาญ |
เปนทัพน่ามาหมายจะรอนราญ | อันขุนมารมีอิทธิ์ฤทธิรณ |
ร้องเรียกให้เทวัญในชั้นฟ้า | ทิ้งอาวุธลงมาดังห่าฝน |
กับวิรุณจำบังขลังพระมนต์ | รู้หายตนเข้าประหารผลาญไพรี |
เปนนายทัพขับพลมาภายหลัง | ยังหยุดยั้งอยู่ในไพรศรี |
จะต้องหักหนักกำลังครั้งนี้ | พระจักรีจงดำริห์ตริไตร |
แต่งทหารชาญฉลาดล้ำฦก | ไปตัดศึกสัทธาสูรให้ได้ |
แล้วจึ่งยกทัพหลวงล่วงไป | ชิงไชยกับวิรุณจำบัง |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๗๕๔๏ เมื่อนั้น | พระนารายน์สุริวงษ์ทรงสังข์ |
แจ้งว่าไพรีมีกำลัง | จึ่งดำรัสตรัสสั่งหณุมาน |
จงไปรับทัพสัทธาสูรไว้ | สังหารให้สิ้นชีวังสังขาร |
เอาองคตไปด้วยช่วยคิดการ | กับทหารตัวดีมีศักดา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๗๕๕๏ บัดนั้น | วายุบุตรคำนับรับบรรหาร |
ชวนองคตยศไกรไคลคลา | ออกมาจัดกระบี่รี้พล |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๗๕๖๏ เลือกล้วนสามารถอาจอง | เคยณรงค์เหาะเหินเดินเวหน |
ต่างผาดแผลงสำแดงฤทธิรณ | ทั้งสองนายนำพลรีบมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๗๕๗๏ ครั้นถึงชายป่าพนาวัน | เห็นกุมภัณฑ์นับแสนแน่นหนา |
ลูกพระพายผู้มีปรีชา | จึ่งสั่งว่าองคตยศไกร |
จงเหาะลอยคอยอยู่บนอัมพร | กับโยธาวานรน้อยใหญ่ |
ถ้าเทเวศร์ทิ้งสาตรามาเมื่อไร | เร่งรับไว้ให้สิ้นดังจินดา |
ต่อเมื่อไรได้ยินเสียงเรา | ร้องเรียกเอาอาวุธในเวหา |
จึ่งให้ลิงทิ้งเทพสาตรา | สังหารหมู่อสุราให้ม้วยมรณ์ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๗๕๘๏ บัดนั้น | องคตคำนับรับคำสอน |
จึ่งชวนเหล่าโยธาวานร | เหาะขึ้นอัมพรพ่านไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๗๕๙๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
จะลวงล้างกุมภัณฑ์ให้บรรไลย | สำรวมใจจำแลงกายร่ายมนต์ |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๑๗๖๐๏ กลับเปนวานรสัญจรป่า | ขึ้นบนค่าคบไม้ไพรสณฑ์ |
ค่อยแฝงกายต่ายกิ่งกำบังตน | เขาไปจนรัถาพระยามาร |
แล้วทำถามตามประสาวานร | ดูก่อนยักษ์ใหญ่ใจหาญ |
จะไปไหนนับแสนแน่นดงดาน | ขุนมารจงเล่าให้เข้าใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๗๖๑๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวสัทธาสูรเป็นใหญ่ |
สำคัญว่าลิงป่าพนาไลย | มิได้นึกแหนงแคลงความ |
จึ่งว่าไอ้โว้เว้เดรฉาน | กลการอะไรจึ่งไต่ถาม |
กูจะมารณรงค์สงคราม | กับลักษณ์รามพี่น้องสองรา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๗๖๒๏ เมื่อนั้น | ลิงจำแลงแกล้งถามยักษา |
เราจะช่วยบอกความตามเมตตา | ท่านอย่าโกรธขึ้งดึงดัน |
อันพระพี่น้องสององค์ | ฤทธิรงค์ดังนารายน์รังสรรค์ |
แต่พวกพ้องของท้าวทศกรรฐ์ | มาโรมรันราวีมีแต่ตาย |
ท่านรุ่งเรืองฤทธิไกรอย่างไรบ้าง | จึ่งอวดอ้างองอาจมาดหมาย |
ไม่พอที่ชีวีจะวอดวาย | จงพากันผันผายไปภารา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๗๖๓๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวสัทธาสูรยักษา |
เข่นเขี้ยวเกรี้ยวกราดตวาดมา | เหวยไอ้ลิงป่าสาธารณ์ |
อันกูเรืองฤทธิรงค์ทรงพระเวท | ถ้าแม้นว่าราเมศมาต่อต้าน |
จะเรียกให้เทวัญชั้นวิมาน | ทิ้งอาวุธสังหารให้มรณา |
อันลักษณ์รามความรู้เหมือนกูฤๅ | เองจึ่งชมฝีมือมันหนักหนา |
กูไม่เหมือนยักษีที่ลงกา | มึงอย่าหมิ่นประมาทอาจอง |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๗๖๔๏ เมื่อนั้น | หณุมานชื่นชมสมประสงค์ |
จึ่งเสแสร้งซักไซ้ดังใจจง | จะมั่นคงกระนั้นฤๅฉันใด |
กลัวแต่จะพูดนอกหลอกลิง | ครั้นจะเอาเข้าจริงจะไม่ได้ |
แม้นท่านเรืองฤทธาเหมือนว่าไว้ | จงเรียกให้อาวุธตกลงมา |
จึ่งจะเห็นสมคำของขุนมาร | ที่ว่าขานคึกคักหนักหนา |
ถ้าแม้นไม่ได้ดูกับในตา | ก็ไม่เชื่อวาจาพระยามาร |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๗๖๕๏ เมื่อนั้น | ท้าวสัทธาสูรศักดาหาญ |
จึ่งว่าเหวยลิงไพรใจพาล | ว่าขานประมาทกูผู้เกรียงไกร |
แม้นมิทำให้เห็นเหมือนเช่นว่า | ไอ้ลิงป่าจะติฉินหมิ่นได้ |
มึงจงคอยรับรองให้ว่องไว | กูจะให้อาวุธตกลงมา |
ว่าพลางทางสำรวมอารมณ์ | นบนิ้วประนมเหนือเกษา |
ไหว้ท้าวจัตุรภักตร์ศักดา | โอมอ่านคาถาทันใด |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๑๗๖๖๏ ครั้นจบครบสามตามสำเหนียก | จึ่งร้องเรียกเสียงสนั่นหวั่นไหว |
เหวยเหวยเทวาสุราไลย | โยนสาตรามาให้เราบัดนี้ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๗๖๗๏ เมื่อนั้น | ฝูงเทพเทวาทุกราศี |
สถิตย์สถานวิมานรัตน์รูจี | ได้ยินเสียงอสุรีร้องเรียกมา |
ก็แจ้งว่าจะเอาอาวุธ | เทพบุตรกลัวยักษ์หนักหนา |
ฉวยดาบหอกออกจากวิมานฟ้า | โยนลงมากลาดเกลื่อนกลางอัมพร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๗๖๘๏ เมื่อนั้น | องคตห้าวหาญชาญสมร |
กับพวกโยธาวานร | เห็นอาวุธปลิวว่อนรวังตน |
ต่างกระโดดโลดลอยคอยขยับ | ปากคาบมือรับสับสน |
เท้าคีบหนีบนักแร้อลวน | ไม่ตกหล่นลงมาสุธาธาร |
ฯ ๔ คำ ฯ รัว ๓ ลา
๑๗๖๙๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ |
แสร้งหัวเราะเยาะเย้ยพระยามาร | จงผินมาว่าขานกันข้างนี้ |
อาวุธที่ไหนไม่เห็นเล่า | มิสับปลับกับเราฤๅยักษี |
ช่างอวดกล้าว่าเวทมนต์มี | ครั้นถึงทีจะเอาก็เปล่าไป |
เราเปนวานรสัญจรป่า | จะต้องการสาตรามั่งก็ได้ |
ร้องเรียกฝูงเทวาสุราไลย | ก็จะโยนมาให้ดังจินดา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๑๗๗๐๏ เมื่อนั้น | สัทธาสูรเสียใจเปนหนักหนา |
ให้นึกแหนงแคลงเวทวิทยา | ทั้งโกรธาลิงไพรดังไฟกาล |
จึ่งชี้หน้าว่าเหวยไอ้วานร | หลอกหลอนหลายเล่ห์เดรฉาน |
ถึงกูเรียกมิได้ก็ใช่การ | ที่จะมาว่าขานให้ขัดใจ |
อันข้อซึ่งมึงอ้างอวดศักดา | จงเร่งเรียกสาตรามาให้ได้ |
แม้นมิเหมือนวาจาว่าไว้ | กูจะให้พวกยักษ์หักฅอกิน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๗๗๑๏ เมื่อนั้น | ลูกลมสมจิตรคิดถวิล |
หัวร่อร่าว่าเหวยอสุรินทร์ | อย่าดูหมิ่นลิงเล็กเหมือนเหล็กเพ็ชร |
จะเรียกให้สาตราดังห่าฝน | มาถูกพลพวกตัวหัวขาดเด็ด |
เราไม่เหมือนอสุราเจรจาเท็จ | กลัวจะเข็ดความคิดฤทธา |
ว่าแล้วหณุมานชาญณรงค์ | ห้อยโหนโจนลงจากพฤกษา |
ยืนยังพ่างพื้นพสุธา | ทำมารยาแยบคายร่ายมนต์ |
ฯ ๖ คำ ฯ รัว
๑๗๗๒๏ แล้วแผดเสียงสิงหนาทประกาศก้อง | ตะโกนร้องขึ้นไปในเวหน |
เหวยเหวยเทวัญชั้นบน | ทิ้งอาวุธให้กล่นเกลื่อนมา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๗๗๓๏ บัดนั้น | องคตยศไกรใจกล้า |
ได้ยินเสียงกระบี่พี่ยา | ร้องเรียกขึ้นมาเหมือนว่าไว้ |
จึ่งให้ลิงทิ้งสาตราดาดาษ | หมายพิฆาฏฆ่ายักษ์ให้ตักไษย |
พุ่งสาตราขว้างซ้ำร่ำลงไป | พลกุมภัณฑ์บรรไลยลงมากมาย |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๗๗๔๏ เมื่อนั้น | หณุมานชื่นชมสมหมาย |
แสร้งหัวเราะเยาะเย้ยยักษ์ร้าย | จ้วงจาบหยาบคายพูดจา |
ฯ ๒ คำ ฯ
เย้ย
๑๗๗๕๏ เหวยไอ้อสุรีดีแต่ปาก | พูดมากฮึกฮักหนักหนา |
ช่างโง่เง่าเฉาโฉดชั่วช้า | ยิ่งกว่าชาวลงกาธานี |
กูคือหณุมานชาญณรงค์ | ทหารองค์พระนารายน์เรืองศรี |
รับสั่งใช้ให้มาราวี | ผลาญหมู่อสุรีให้ม้วยมิด |
แม้นรักตัวกลัวตายวายปราณ | จงกราบกรานรับสารภาพผิด |
อย่ามาทนงว่าทรงฤทธิ์ | จึ่งจะรอดชีวิตรไปเวียงไชย |
ว่าพลางทางกลับรูปจำแลง | เปนคำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
กระทืบเท้าทำอิทธิ์ฤทธิไกร | เยาะเย้ยไยไพพระยามาร |
ฯ ๘ คำ ฯ กราวรำ
ร่าย
๑๗๗๖๏ เมื่อนั้น | สัทธาสูรศักดากล้าหาญ |
ฟังคำแค้นใจดังไฟกาล | จึ่งว่าเหม่เดรฉานใจฉกรรจ์ |
มึงเปนพวกไพรียิ่งดีหนัก | จะให้ยักษ์เข่นฆ่าให้อาสัญ |
ว่าพลางทางสั่งพลกุมภัณฑ์ | จงช่วยกันสังหาญผลาญลิงไพร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๗๗๗๏ บัดนั้น | เหล่าพวกพลนิกายนายไพร่ |
ต่างตนสำแดงแผลงฤทธิไกร | เข้าล้อมไล่วานรรอนราญ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๗๗๘๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ |
ต่อสู้ผู้เดียวโดดทยาน | ประจัญบานบุกรุกคลุกคลี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๗๗๙๏ บัดนั้น | องคตยศไกรไชยศรี |
คอยเขม้นเห็นหมู่อสุรี | เข้าต่อตีหณุมานชาญไชย |
จึ่งขับพลลงมาทั้งห้าพัน | โห่ร้องก้องสนั่นหวั่นไหว |
เข้ารบยักษ์หักหาญต้านไว้ | ถ้อยทีหนีไล่เล้าลุม |
ต่างต่างต่อแย้งแทงฟัน | กลอกกลับรับกันเปนกลุ่มกลุ่ม |
อสุรีตีกระทบรบรุม | จับกุมพัลวันกันไป |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๗๘๐๏ พวกกระบี่มีศักดาฆ่ายักษ์ | แขนขาดฅอหักตักไษย |
ตัดศีศะอสุรพลไกร | ขว้างไปน่ารถอสุรี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๗๘๑๏ เมื่อนั้น | สัทธาสูรสิทธิศักดิยักษี |
กริ้วโกรธโดดจากรถมณี | เข้าไล่ตีวานรสท้อนมา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๗๘๒๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานหาญกล้า |
เงื้อตรีเพ็ชรแกว่งแผลงฤทธา | เข้าโจมจับกับพระยาอสุรี |
เคล่าคล่องป้องปัดผลัดเปลี่ยน | ขึ้นเหยียบเข่าน้าวเศียรยักษี |
องคตเข้าช่วยราวี | ต่อตีติดพันประจัญบาน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๗๘๓๏ เมื่อนั้น | สัทธาสูรศักดากล้าหาญ |
กวัดแกว่งแสงศรรอนราญ | เผ่นทยานเหยียบบ่าวานร |
หันเหียนเปลี่ยนผลัดผัดผัน | ได้ทีตีรันด้วยคันศร |
กลอกกลับจับกุมตลุมบอน | หักหาญราญรอนราวี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๗๘๔๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรไชยศรี |
ไม่หลีกหลบรบรุกคลุกคลี | ถ้อยทีไวว่องป้องกัน |
โลดโผนโจนจับสัปรยุทธ | ชิงฉุดศรยักษ์หักสบั้น |
เงื้อตีเพ็ชรแกว่งแทงกุมภัณฑ์ | สิ้นชีพชีวันบรรไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๑๗๘๕๏ แล้วตัดศีศะอสุรินทร์ | ขุนกระบินทร์ยินดีจะมีไหน |
จึ่งชวนองคตยศไกร | กับวานรน้อยใหญ่ไปพลับพลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๗๘๖๏ ครั้นถึงจึ่งเคารพอภิวาท | พระนารายน์ธิราชนาถา |
พลางถวายศีศะอสุรา | แล้วทูลแจ้งกิจจาสารพัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๗๘๗๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์รังสรรค์ |
เห็นเศียรขุนมารชาญฉกรรจ์ | ทรงธรรม์โสมนัศแล้วตรัสไป |
อันยักษีวิรุณจำบัง | เปนทัพหลังยังไม่ม้วยตักไษย |
สุครีพรีบรัดจัดพลไกร | เราจะไปประหารผลาญไพรี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๗๘๘๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ขุนกระบี่รีบรัดมาจัดแจง |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๑๗๘๙๏ เกณฑ์พลเกียกกายซ้ายขวา | ทัพหนุนทัพน่ากล้าแขง |
เสือป่าปีกป้องกองแซง | ล้วนเรี่ยวแรงทรหดอดทน |
เหล่าพวกลิงถุงนุ่งกางเกง | คาดเขนงแบกปืนหลังถนน |
บ้างถือดาบคมแกว่งแต่งตน | สวมมงคลขี่เสือใส่เสื้อกั๊ก |
บ้างคาดราตคดขัดกระบี่ | ขึ้นขี่วัวป่าง่ากะตัก |
เหล่าลิงล้อมวงองครักษ์ | ทำคึกคักขี่กระบือถือตะพด |
วานรนายหมวดตรวจทัพ | คั่งคับเข้ากระบวนถ้วนหมด |
เทวราชมาตุลีก็เลื่อนรถ | มาเตรียมคอยทรงยศยาตรา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๗๙๐๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
จึ่งดำรัสตรัสชวนอนุชา | เสด็จมาสรงวารินกลิ่นฟุ้ง |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๗๙๑๏ ไขประทุมธารากระยาสนาน | นทีธารดั้นดุพุพุ่ง |
ทรงสุคนธ์ปนทองอุไรปรุง | จันทน์จรุงหอมตระหลบอบองค์ |
สนับเพลาเชิงงอนอ่อนลไม | ทรงภูษาโกไสยไว้หางหงษ์ |
เจียรบาดตาดสุวรรณกระสันทรง | สอดใส่ฉลององค์อินท์ธนู |
ปั้นเหน่งเพ็ชรแพรวพรันกุดั่นดวง | ทับทรวงสายสร้อยห้อยห่วงหู |
สังวาลวรรณสุวรรณกำภู | ทองกรเก้าคู่รูจี |
ธำมรงค์เครื่องต้นมงคลเพ็ชร | มงกุฎเก็จแก้วประดับสลับสี |
ทรงพระแสงศรสิทธิ์ฤทธี | กรายกรจรลีมาเกยลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๑๗๙๒๏ ขึ้นทรงเวไชยันต์บัลลังก์ | พร้อมพรั่งพลนิกายซ้ายขวา |
ให้เคลื่อนพยุหบาตรยาตรา | โยธาเบียดเสียดเยียดยัด |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๑๗๙๓๏ รถเอยรถทรง | กำกงแกว่งหันผันผัด |
บุษบกโตกตั้งบัลลังก์รัตน์ | งอนรหงธงสบัดกวัดไกว |
เทียมอัศวราชผาดผยอง | เริงร้องก้องสนั่นหวั่นไหว |
ทานตวันกรรชิงฉัตรไชย | แห่แหนแน่นในพนาวัน |
สังข์แตรกลองประโคมโครมครึก | ก้องกึกโกลาสุธาลั่น |
ผงคลีขึ้นคลุ้มชอุ่มควัน | สุริยันเข้าเมฆมัวพยับ |
เหล่าลิงโลดลำพองลองแรง | กวัดแกว่งดาบหอกกลอกกลับ |
เหยียบไม้ไล่ล้มแหลกยับ | รีบขับกันอึงคนึงมา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๗๙๔๏ ครั้นถึงที่รณรงค์ยงยุทธ | จึ่งยั้งหยุดพลนิกายซ้ายขวา |
ตั้งที่สีหนามตามตำรา | คอยท่ารบรับกับกุมภัณฑ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๑๗๙๕๏ บัดนั้น | พลท้าวสัทธาสูรที่อาสัญ |
ยังเหลือตายแตกไปในไพรวัน | กลัวลิงวิ่งดั้นด้นมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๗๙๖๏ บ้างพบเพื่อนเตือนกันว่าเร็วพ่อ | ปล่อยห้อหกล้มลุกถลา |
บ้างบุกเข้าในลแวกแฝกคา | บ้างลัดไปในป่าพนาลี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๗๙๗๏ มาปะทะปะกับกองทัพหลัง | เห็นวิรุณจำบังยักษี |
จึ่งเข้าไปทูลแถลงแจ้งคดี | ตามที่รบรับอัปรา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๗๙๘๏ เมื่อนั้น | วิรุณจำบังยักษา |
แจ้งว่าสัทธาสูรสิ้นชีวา | อสุราโกรธเกรี้ยวเคี้ยวฟัน |
เหม่เหม่มนุษย์กับลิงไพร | กูจะไปเข่นฆ่าให้อาสัญ |
แล้วเผ่นขึ้นอาชาชาญฉกรรจ์ | ขับพหลพลขันธ์รีบมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๗๙๙๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นทัพมนุษย์ | คับคั่งยั้งหยุดอยู่ชายป่า |
ยิ่งพิโรธโกรธใจดังไฟฟ้า | จึ่งสั่งให้ทัพน่าเข้าโจมตี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๘๐๐๏ บัดนั้น | เหล่าพวกอสุรศักดิยักษี |
ต่างตนสำแดงแผลงฤทธี | เข้าโจมตีวานรรอนราญ |
พลม้าขับม้าเข้าถาโถม | หักโหมไม่ยั้งกำลังหาญ |
เหล่าลิงย่อย่นไม่ทนทาน | พลมารได้ทีตีรุด |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๘๐๑๏ บัดนั้น | พวกพหลกระบี่มีมงกุฎ |
ต่างแกว่งสาตราอาวุธ | เข้ายงยุทธอสูรหมู่มาร |
โลดไล่ตระหลบรบยักษ์ | ชิงชักดาบหอกหวดประหาร |
ต่อแย้งแทงฟันประจัญบาน | พลมารแตกตายวายชีวัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๐๒๏ เมื่อนั้น | วิรุณจำบังแขงขัน |
เห็นลิงฆ่ายักษ์ยับลงนับพัน | ยิ่งหุนหันฮึดฮัดขัดใจ |
จึ่งนึกว่าไพรีมีศักดา | จะรบสู้ซึ่งหน้านั้นไม่ได้ |
จำจะลอบล้างมันให้บรรไลย | แล้วตั้งใจขุนมารอ่านมนต์ |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๑๘๐๓๏ เดชะพระเวทวิเศษขลัง | หายทั้งกายาม้าต้น |
จึ่งขับพาชีโผนโจนประจญ | เข้าแทงพลพวกลิงกลิ้งกลาดไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๘๐๔๏ บัดนั้น | โยธาวานรน้อยใหญ่ |
สับสนอลหม่านทั้งทัพไชย | แลไปไม่เห็นไพรี |
ได้ยินเสียงเท้าม้าก็คว้าจับ | ยักษ์แทงล้มพับอยู่กับที่ |
แต่หันหลังหันหน้าราวี | พลกระบี่หลีกหลบกระทบกัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๘๐๕๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์รังสรรค์ |
เห็นพวกลิงล้มตายวายชีวัน | แตกกระชั้นเข้ามาน่ารถไชย |
ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าม้า | จะเห็นกายอสุราก็หาไม่ |
จึ่งถามพิเภกพลันทันใด | เหตุไฉนจึ่งเปนเช่นนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๐๖๏ บัดนั้น | พิเภกประนตบทศรี |
จึ่งทูลพระหริรักษ์จักรี | อสุรีร่ายเวทวิทยา |
กำบังกายหายตัวทั้งม้าต้น | เข้าแทงพลพานรินทร์สิ้นสังขาร์ |
ขอพระองค์จงแผลงศรศักดา | พิฆาฏฆ่ากุมภัณฑ์ให้บรรไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๐๗๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ใส |
ฟังพิเภกทูลแถลงแจ้งใจ | ภูวไนยแผลงศรไปรอนราญ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๘๐๘๏ ศรไชยไล่ล้างอสุรพล | สิ้นชนม์ชีวังสังขาร |
ต้องพระยาม้าทรงของขุนมาร | เซซานเสือกดิ้นสิ้นชีวี |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๘๐๙๏ เมื่อนั้น | วิรุณจำบังยักษี |
เสียพลโยธาพาชี | อสุรีผู้เดียวเปลี่ยวใจ |
จึ่งนึกว่าถ้ากูอยู่ต่อฤทธิ์ | น่าที่ชีวิตรจะตักไษย |
จำจะหลีกหลบลี้หนีไป | ผูกผ้าพยนต์ไว้แทนกายา |
คิดพลางเปลื้องผ้าโพกเกษ | รฦกคุณพรหเมศนาถา |
ลงยันต์พันผูกตามตำรา | แล้วร่ายเวทวิทยาเป่าไป |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๑๘๑๐๏ เปนยักษีขี่ม้ากล้าหาญ | พระยามารยินดีจะมีไหน |
จึ่งส่งหอกให้พลันทันใด | ขับไล่เข่นฆ่าวานร |
แล้วกุมภัณฑ์พรั่นจิตรคิดขยาด | เกรงกลัวพรหมมาศพระแสงศร |
แกว่งกวัดสาตราคทาธร | แผลงอิทธิ์ฤทธิรอนเหาะไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด วรเชฐ (ลิงออก)
๑๘๑๑๏ ครั้นถึงอังกาศภูผา | เห็นพฤกษายางยูงสูงไสว |
ลิงป่าแบกขนผลไม้ | เข้าไปในถ้ำแล้วออกมา |
อสุรีตริตรึกนึกดู | ต่อจะมีคนอยู่ในคูหา |
ฤๅจะเปนนักสิทธิวิทยา | เราจะไปพึ่งพาพอพ้นไภย |
คิดแล้วเหาะลงในดงดอน | บทจรเลียบเลี้ยวเหลี่ยมไศล |
ตามรอยลิงป่าคลาไคล | เข้าในถ้ำแก้วแพรวพรรณ |
ฯ ๖ คำ ฯ พระยาเดิน
๑๘๑๒๏ แลเห็นอนงค์ทรงลักษณ์ | ผิวภักตร์เพียงสุรางค์นางสวรรค์ |
งามลม่อมพร้อมพริ้งทุกสิ่งอัน | กุมภัณฑ์นิ่งนึกตรึกตรา |
อันหญิงอยู่คูหาไม่เคยเห็น | ชรอยเปนนางไม้ไพรพฤกษา |
ดูเขตรขอบชอบกลพ้นปัญญา | พอจะอาไศรยสำนักนิ์สักราตรี |
ดำริห์พลางทางเดินเข้าไปใกล้ | แล้วปราไสสุดามารศรี |
สาวสวรรค์กัลยาได้ปรานี | เรานี้หนีศรพระรามา |
เอนดูด้วยจงช่วยชีวิตรไว้ | ขออาไศรยซ่อนอยู่ในคูหา |
พอรุ่งรางส่างแสงสุริยา | จึ่งจะลาดวงใจไปบุรี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๘๑๓๏ เมื่อนั้น | นวลนางวานรินทร์โฉมศรี |
ได้ฟังคำอสุราพาที | เทวีนิ่งนึกตรึกตรา |
อันยักษีหนีศรพระจักรแก้ว | จะพ้นทุกข์เราแล้วกระมังหนา |
จำจะบอกทางให้ไคลคลา | ไปยังฝั่งมหาสมุทไทย |
ดำริห์พลางทางว่ากับขุนยักษ์ | จะสำนักนิ์อยู่ที่นี่เห็นมิได้ |
กลัวศรพระจักรกฤษณ์ฤทธิไกร | จะพาเราบรรไลยแหลกลาญ |
ท่านจงไปเชิงเขายุคันธร | ที่ฝั่งสีทันดรกระแสสาร |
จึ่งซ่อนองค์อสุราพระยามาร | อยู่ในฟองชลธารธารา |
ถึงแม้นพวกพระรามจะตามไป | ก็เห็นไม่ประสบพบยักษา |
อันเราช่วยบอกความตามเมตตา | อสุรารีบไปเสียให้พ้น |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๘๑๔๏ เมื่อนั้น | วิรุณจำบังฟังเหตุผล |
คิดเห็นถูกระบอบชอบกล | พอจะพ้นไภยันต์อันตราย |
จึ่งว่าเจ้าบอกนี้ดีนัก | คุณของนงลักษณ์เหลือหลาย |
ถ้าแม้นพี่นี้ตลอดรอดตาย | ไม่ลืมคุณโฉมฉายสายสุดใจ |
ว่าพลางทางลาจรลี | ออกจากที่คูหาอาไศรย |
สำแดงแผลงอิทธิ์ฤทธิไกร | เหาะไปนทีสีทันดร |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๘๑๕๏ ครั้นถึงฝั่งมหาชลาฦก | เสียงโครมครึกคลื่นละลอกกระฉอกฉ่อน |
เห็นฟองเลื่อนลอยมาในสาคร | พอจะเข้าซุ่มซ่อนกายา |
จึ่งยกหัดถ์มัสการขึ้นเหนือเกษ | รฦกคุณพรหเมศนาถา |
สำรวมกายร่ายมนต์อสุรา | เข้าในฟองคงคาวารี |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ โล้ รัว
๑๘๑๖๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายรูปผ้าพยนต์ยักษี |
แกว่งหอกกลอกกลับขับพาชี | เข้าทิ่มแทงพวกกระบี่รี้พล |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๘๑๗๏ บัดนั้น | โยธาวานรสับสน |
ไม่หลีกหลบรบรูปผ้าพยนต์ | ต่างตนโลดไล่ไขว่คว้า |
เหล่าพวกกระบี่มีมงกุฎ | เข้าโจมจับสัปรยุทธยักษา |
รุมกันฟันฟาดด้วยสาตรา | อสุรารูปแปลงแทงล้มไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๘๑๘๏ เมื่อนั้น | พระหริรักษ์จักรกฤษณ์คิดสงไสย |
ถามพิเภกกุมภัณฑ์ทันใด | เหตุไฉนขุนมารมันทานทน |
ทหารเราเข้าจับก็กลับหลุด | สาตราวุธต้องกายก็หลายหน |
เหตุไฉนไม่ตายวายชนม์ | ศักดาเดชเวทมนต์มันอย่างไร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๑๙๏ บัดนั้น | พิเภกทูลแจ้งแถลงไข |
อันองค์อสุรีนั้นหนีไป | ผูกผ้าพยนต์ไว้แทนกายา |
อันรูปนี้ยืนยงคงอาวุธ | ไม่รู้สุดสิ้นชีวังสังขาร์ |
ขอพระองค์ทรงแผลงศรศักดา | เปนข่ายเพ็ชรล้อมผ้าพยนต์ไว้ |
แล้วให้กระบี่ที่มีฤทธิ์ | ไปตามติดผลาญยักษ์ให้ตักไษย |
รูปนี้จะกลับกลายหายไป | ไม่พักให้เข่นฆ่าราวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๘๒๐๏ เมื่อนั้น | พระราเมศทรงสวัสดิรัศมี |
ฟังพิเภกทูลแถลงแจ้งคดี | ภูมีแผลงศรไปรอนราญ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๘๒๑๏ เปนข่ายเพ็ชรเจ็ดชั้นกั้นไว้ | มิให้รูปยักษ์ออกหักหาญ |
แล้วผินผันภักตร์มาบัญชาการ | สั่งคำแหงหณุมานมีศักดา |
ท่านจงจำคำพิเภกบอกความ | รีบไปตามอสุรศักดิยักษา |
สังหารผลาญเสียให้มรณา | ตัดศีศะอสุรามาบัดนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๒๒๏ บัดนั้น | วายุบุตรรับสั่งใส่เกษี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | แผลงอิทธิฤทธีเหาะไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๘๒๓๏ ครั้นถึงเขาอังกาศศิงขร | วานรลงเดินเนินไคล |
พอเห็นเหล่าลิงป่าพนาไลย | แบกขนผลไม้มากมาย |
จึ่งออกยืนสกัดทางขวางหน้า | แล้วถามว่าเหวยกระบินทร์สิ้นทั้งหลาย |
ตัวมึงพวกนี้มีมุลนาย | ฤๅเที่ยวเล่นตามสบายจงบอกมา |
นี่ใครใช้ให้เก็บผลาผล | จะหาบขนเอาไปไหนหนักหนา |
กูนึกสงไสยในวิญญา | เองบอกมาตามจริงทุกสิ่งไป |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๑๘๒๔๏ บัดนั้น | พวกลิงเล็กเขม้นเห็นลิงใหญ่ |
ต่างตนตระหนกตกใจ | ลงกราบไหว้แถลงแจ้งคดี |
อันตัวข้าพานรทั้งสิ้น | เปนข้านางวานรินทร์โฉมศรี |
ต้องเก็บผลพฤกษาทั้งตาปี | เอาไปส่งเทวีในถ้ำทอง |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๘๒๕๏ เมื่อนั้น | หณุมานกระหยิ่มยิ้มย่อง |
ตริตรึกนึกในใจปอง | เห็นได้ช่องชอบกลพ้นปัญญา |
จำจะเข้าไปดูให้รู้จัก | เผื่อว่ายักษ์ซ่อนอยู่ในคูหา |
แต่จะแสร้งแปลงรูปเหมือนเทวา | ให้สาวสรรค์กัลยาปรานี |
คิดพลางทางว่ากับลิงไพร | จงพาเราเข้าไปถึงโฉมศรี |
แต่พอได้สนทนาพาที | ไต่ถามตามมีธุระมา |
ว่าแล้วยกหัดถ์มัสการ | พระสยมภูวญาณนาถา |
บริกรรมสำรวมวิญญา | อ่านมหามนต์จำแลงแปลงกาย |
ฯ ๘ คำ ฯ ตระ
ชมตลาด
๑๘๒๖๏ รูปร่างอย่างไทเทวบุตร | ใส่มงกุฎทรงเครื่องเรืองฉาย |
ทอดกรยุรยาตรนาดกราย | ผันผายเข้าในถ้ำอำไพ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
ชมโฉม
๑๘๒๗๏ เห็นอนงค์องค์หนึ่งสถิตย์นั่ง | บนบัลลังก์ศิลาทองผ่องใส |
ทรงโฉมประโลมละลานใจ | จะพิศไหนงามนั่นเปนขวัญตา |
ไว้เล็บแลชแล่มแช่มช้อย | สาวน้อยน่ารักหนักหนา |
ขนงเนตรเกษกรรณกัลยา | เสมอลายเลขาที่เขียนไว้ |
โอษฐนางอย่างสีลิ้นจี่จิ้ม | เหมือนจะยิ้มยั่วจิตรพิศมัย |
ยิ่งพิศยิ่งเพลินจำเริญใจ | เข้าใกล้สาวสวรรค์จำนรรจา |
ฯ ๖ คำ ฯ
ชาตรี
๑๘๒๘๏ โฉมเอยโฉมเฉลา | ไยเจ้าจึ่งมาอยู่ในคูหา |
สันโดษเดียวเปลี่ยวองค์เอกา | พี่นึกน่าสงสารสุดใจ |
ฤๅบุตรีกระษัตริย์พลัดบ้านเมือง | รำคาญเคืองขุกเข็ญเปนไฉน |
ฤๅหนึ่งนางโฉมงามทรามไวย | กำเนิดในโกสุมประทุมทอง |
เปนบุญพี่พอจำเภาะเจาะจง | มาพบองค์อรไทยถึงในห้อง |
ขอเชิญทรามสงวนนวลลออง | นุชน้องผินหน้ามาข้างนี้ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๑๘๒๙๏ เมื่อนั้น | นวลนางวานรินทร์โฉมศรี |
ได้ฟังวาจาพาที | ถอยหนีแล้วเหลือบชำเลืองดู |
เห็นชายหนึ่งหนุ่มน้อยมานั่งชิด | รำคาญคิดอัปรยศอดสู |
ปลาดหนอนี่ใครจะใคร่รู้ | นางนิ่งนึกเปนครู่ให้คร้ามใจ |
แม้นมิตอบวาจาพาที | ก็จะเฝ้าเซ้าซี้ถามไถ่ |
ดำริห์พลางนางตอบแต่จริงไป | น้องมิใช่เชื้อกระษัตริย์ขัติยา |
เปนข้าพระเปนเจ้าเขาไกรลาศ | แต่ล่วงราชกิจผิดหนักหนา |
จึ่งเคืองขัดตรัสสาปให้ลงมา | อยู่ในห้องคูหาช้านาน |
อันตัวข้าเปนคนทนทุกข์ | มิใช่ว่าผาศุกเกษมสานต์ |
เจ้ารู้แล้วอย่าอยู่ให้ช้าการ | ขอเชิญท่านรีบกลับไปฉับไว |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
โอ้โลม
๑๘๓๐๏ สุดเอยสุดสวาดิ | ช่างฉลาดเจรจาจะหาไหน |
เจ้าอยู่ถึงเมืองฟ้าสุราไลย | วิบากกรรมจำให้เปนโทษกร |
ต้องจากทิพสถานพิมานเมศ | มาอยู่เขตรเขาเขินเนินศิงขร |
นิจาเอ๋ยเอกาอนาทร | ไม่มีเพื่อนอัปศรสาวสุรางค์ |
พี่อยู่ด้วยจะได้เห็นกันเปนสอง | ควรฤๅนิ่มน้องมาหมองหมาง |
จะขอถามอิกสักคำอย่าอำพราง | ซึ่งโทษนางทำผิดติดพัน |
พระอิศวรสาปไว้อย่างไรเล่า | นงเยาว์จึ่งจะได้ไปสวรรค์ |
จงแจ้งความตามจริงทุกสิ่งอัน | จะได้ช่วยแก้กันให้พ้นไภย |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๘๓๑๏ เมื่อนั้น | วานรินทร์นารีศรีใส |
จึ่งแกล้งว่าน่าเบื่อเหลือใจ | นี่อะไรมาเฝ้าเซ้าซี้ |
อันตัวข้าถ้าคำแหงหณุมาน | เปนทหารพระนารายน์เรืองศรี |
ติดตามยักษามาทางนี้ | ข้าได้ชี้ทางให้ไคลคลา |
จึ่งจะสิ้นทุกข์ทนพ้นสาปสัน | ได้คืนไปเมืองสวรรค์หรรษา |
อย่าเฝ้าซักนักเลยจงเมตตา | ข้าพูดจาตามจริงทุกสิ่งไป |
เจ้าจะมาแปดปนกับคนโทษ | จะเอาผลประโยชน์ที่ตรงไหน |
แม้นทราบถึงพระศุลีบัดนี้ไซ้ | จะพากันบรรไลยแหลกลง |
ฯ ๘ คำ ฯ
โอ้โลม
๑๘๓๒๏ น้องเอยน้องแก้ว | เจ้าจะสิ้นสาปแล้วนวลหง |
เมื่อมิใคร่บอกความตามตรง | ทำให้พี่นี้สงไสยใจ |
อันพี่ฤๅคือคำแหงหณุมาน | ทหารพระอวตารเปนใหญ่ |
บัดนี้มีรับสั่งตรัสใช้ | ให้มาตัดเศียรไอ้อสุรา |
ซึ่งทุกข์ของโฉมยงนงลักษณ์ | ไว้นักงานพี่จะอาสา |
แต่ไมตรีพี่จงจำนงมา | แก้วตาอย่าสลัดตัดใจ |
ว่าพลางทางกระถดเข้าให้ชิด | จะอายเอียงเบี่ยงบิดไปข้างไหน |
หยอกยุดฉุดฉวยชายสไบ | ลูบต้องลองใจนางเทวี |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๘๓๓๏ เมื่อนั้น | นางวานรินทร์ผินผันหันหนี |
พลางตอบวาจาพาที | อะไรนี่น่าชังทำจังฑาล |
มาถามเขาเขาบอกออกให้แจ้ง | ประจบประแจงเอากระนั้นขันจ้าน |
น้องก็รู้อยู่ว่าหณุมาน | รูปพรรณสัณฐานเปนวานร |
มีกุณฑลขนเพ็ชรผิดเพื่อน | หาวเปนเดือนดาวจำรัสประภัศร |
ทหารพระจักรีสี่กร | ฤทธิรอนเลิศลบภพไตร |
อันรูปร่างอย่างนี้เปนมนุษย์ | จะยงยุทธยักษีที่ไหนได้ |
ชะเจ้ายอดทหารชาญไชย | ข้ากลัวฤทธิไกรอย่าเจรจา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๘๓๔๏ แสนเอยแสนคม | เจ้าคารมน่ารักหนักหนา |
หากเห็นเปนรูปมนุษย์มา | จึ่งแกล้งว่าโป้ปดประชดประชัน |
อย่าเพ่อหัวเราะเยาะเย้ยก่อน | กลัวแต่จะวอนไปสวรรค์ |
พี่จะหาวเปนดาวเดือนตวัน | มีสำคัญขนเพ็ชรมาไลย |
ถ้าแม้นรู้ประจักษ์ตระหนักแน่ | จะบิดเบือนเชือนแชนั้นไม่ได้ |
ว่าพลางหณุมานชาญไชย | สำรวมใจกลายกลับกายา |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๑๘๓๕๏ เปนกระบี่มีเขี้ยวแก้วกุณฑล | สีขนขาวผ่องเพียงเลขา |
ผาดแผลงสำแดงเดชา | หาวเปนเดือนดารารูจี |
ฯ ๒ คำ ฯ คุกภาษ
๑๘๓๖๏ เมื่อนั้น | วานรินทร์อกสั่นขวัญหนี |
รู้ว่าทหารพระจักรี | สมคำพระศุลีเจ้าโลกา |
ยิ่งระทวยขวยเขินเมินเมียง | หลบเลี่ยงไม่แลดูหน้า |
ผินหลังนั่งก้มภักตรา | กัลยาครั่นคร้ามขามใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๓๗๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
เห็นนางขวยเขินสเทินใจ | เข้าใกล้กัลยาแล้วพาที |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้โลม
๑๘๓๘๏ น้องเอยน้องรัก | จงผินผันหันภักตร์มาดูพี่ |
หณุมานทหารพระจักรี | รูปร่างอย่างนี้ณนงเยาว์ |
เมื่อกี้พี่หาวเปนดาวเดือน | สมเหมือนว่าไว้ฤๅไม่เล่า |
ว่าพลางแนบชิดสกิดสเกา | อะไรเจ้าเฝ้าสบัดปัดมือ |
ไหนไหนก็รู้อยู่ด้วยกัน | จะไม่ไปสวรรค์แล้วฤๅ |
จงผินผันภักตรามาหารือ | ทำใจดื้อดูเอาเล่าเถิดซิ |
เมื่อพี่เปนมนุษย์มาว่าวอน | เจ้าคารมคมค้อนค่อนติ |
เดี๋ยวนี้เห็นเปนลิงลงนิ่งมิ | ช่างไม่ปริปากพูดกับพี่ยา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๘๓๙๏ เมื่อนั้น | นวลนางวานรินทร์เสนหา |
หลบเลี่ยงเอียงอายชายหางตา | ทำอิดเอื้อนเยื้อนว่ากับวานร |
รู้แล้วว่าเจ้าเปนทหาร | องค์พระอวตารชาญสมร |
น้องนี้คนโทษโรธกร | ทุกข์ร้อนจะใคร่ได้พึ่งพา |
แต่หากเห็นเปนราชการใหญ่ | จงรีบไปสังหารผลาญยักษา |
ต่อสำเร็จเสร็จสรรพกลับมา | แม้นเมตตาก็จงช่วยส่งน้อง |
จะขืนอยู่ลดเลี้ยวเกี้ยวพาน | ไม่คิดถึงราชการเกี่ยวข้อง |
ช่วยตักเตือนตื้นฦกจงตรึกตรอง | มิใช่น้องจะสลัดตัดอาไลย |
ฯ ๘ คำ ฯ
โอ้โลม
๑๘๔๐๏ ทรามเอยทรามสงวน | ถ้อยคำน้ำนวลจะหาไหน |
ราชการก็ร้อนไม่นอนใจ | จะรีบไปสังหารผลาญกุมภัณฑ์ |
แต่ความรักหนักหน่วงในดวงจิตร | เปนสุดที่พี่จะคิดผ่อนผัน |
เจ้ายิ่งทำเหินห่างไปอย่างนั้น | เหมือนแกล้งกันจะให้ขาดราชการ |
ว่าพลางทางประโลมลูบต้อง | ค่อยประคองเคียงภักตร์สมัคสมาน |
สนิทแนบแอบองค์นงคราญ | กรประสานสอดคล้องทำนองใน |
เกิดวิบัติอัศจรรย์ลั่นเลื่อน | สท้านสเทื้อนเขาอังกาศหวาดไหว |
พยุพยับอับแสงอโนไทย | ชลาไลยคลื่นละลอกกระฉอกชล |
ปลาวาฬว่ายสายสมุทผุดขึ้นล่อง | พ่นฟองฟุ้งฟ้าดังห่าฝน |
สองศุขเกษมสานต์บานกระมล | อยู่บนที่แท่นแผ่นศิลา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โลม
ช้า
๑๘๔๑๏ เมื่อนั้น | วานรินทร์เยาวยอดเสนหา |
ได้ร่วมรศขุนกระบี่ปรีดา | กัลยาแย้มยิ้มพริ้มพราย |
วายุบุตรยุดหยอกก็หยิกข่วน | เย้ายวนยั่วอารมณ์สมหมาย |
ทำกระชดกระช้อยชม้อยชม้าย | เอียงอายเอนทับลงกับเพลา |
ถ้อยทีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ถึงจะได้ไปสวรรค์ก็ไม่เท่า |
เฉาะเลาะลิงอิงแอบแนบเคล้า | ยั่วเย้าแย้มสรวลชวนชิด |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๑๘๔๒๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรสุดสวาดิเพียงขาดจิตร |
ถนอมแนบแอบอุ้มจุมพิต | แล้วขุกคิดกลัวจะขาดราชการ |
จึ่งโลมลูบปฤษฏางค์พลางปราไส | ถามไถ่ด้วยสุนทรอ่อนหวาน |
อันวิรุณจำบังขุนมาร | มันหนีพระอวตารไปแห่งใด |
พี่จะตามรอนราญสังหารมัน | ให้มอดม้วยชีวันตักไษย |
อนึ่งนางโฉมงามทรามไวย | จะได้ไปสวรรค์ชั้นฟ้า |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๘๔๓๏ เมื่อนั้น | นวลนางวานรินทร์เสนหา |
มิรู้ที่จะหน่วงหนักชักช้า | กัลยานบนอบแล้วตอบไป |
อันยักษีหนีศรมาเมื่อเช้า | มันว่ากล่าวกับข้าขออาไศรย |
น้องบอกกับขุนมารชาญไชย | ให้รีบไปนทีสีทันดร |
เข้าอยู่ในฟองน้ำท่ามกลางสมุท | ตรงที่สุดเชิงพระเมรุศิงขร |
จงตามไปยังมหาสาคร | ที่ตีนเขายุคันธรทิศพยัพ |
เห็นฟองใดใหญ่โตก็ฟองนั้น | คือกุมภัณฑ์ซ่อนอยู่จงจู่จับ |
แต่น้องนี้วาศนาอาภัพ | ไม่มีศุขทุกข์ทับทั้งตาปี |
ได้มีคู่ครู่หนึ่งก็พลัดพราก | เวรวิบากสารพัดจะบัดสี |
พลางซบลงตรงตักขุนกระบี่ | เทวีโศกาอาไลย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
๑๘๔๔๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
เห็นนางครวญคร่ำร่ำไร | จึ่งโลมเล้าเอาใจพูดจา |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้โลม
๑๘๔๕๏ สุดเอยสุดสวาดิ | ใช่ว่าพี่จะขาดเสนหา |
แม้นมิคิดราชการพระผ่านฟ้า | ไม่นิราศคลาศคลาจากถ้ำทอง |
จะรัดรึงคลึงเคล้าเฝ้าเชยชื่น | ไม่ปราถนาหาอื่นให้เปนสอง |
นี่จำจิตรจำใจจำไกลน้อง | ด้วยจะต้องสงครามตามยักษ์มาร |
จะช่วยส่งทรามไวยไปสวรรค์ | ให้สิ้นคำสาปสันเกษมสานต์ |
แล้วตัวพี่จะได้ไปราชการ | เยาวมาลย์อย่าลห้อยน้อยใจ |
ว่าพลางอิงแอบแนบสนิท | โอบอุ้มจุมพิตพิศมัย |
แล้วกุมกรกัลยาคลาไคล | ออกไปจากห้องทั้งสองรา |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๑๘๔๖๏ ครั้นถึงปากถ้ำแก้วแพร้วพราย | แสนเสียดายนงลักษณ์หนักหนา |
ดูทรวดทรงวงภักตร์ลักขณา | ไม่น่าที่จะร้างห่างไกล |
แต่รีรอท้อจิตรพิศดู | เปนครู่แล้วสท้อนถอนใจใหญ่ |
จูงนางมานั่งยังร่มไม้ | ลูบไล้ปฤษฎางค์พลางขอษมา |
ซึ่งพี่ได้ต้องถือมือหนัก | เชยภักตร์จุมพิตขนิษฐา |
ให้นิ่มน้องข้องขัดอัธยา | อย่าเปนเวราข้างน่าไป |
ว่าพลางทางเด็ดได้ดอกแก้ว | มาตั้งจิตรจบแล้วก็ยื่นให้ |
คล่าวคลอชลนาอาไลย | กอดกรถอนฤไทยไปมา |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
โอ้ปี่
๑๘๔๗๏ เมื่อนั้น | วานรินทร์เยาวยอดเสนหา |
ให้อาไลยในรศพจนา | กราบกับบาทาแล้วว่าไป |
ซึ่งน้องได้หยาบหยามลามลวน | หยิกข่วนค้อนควักผลักไส |
จะกำจัดพลัดพรากจากไกล | ขออย่าให้น้องนี้มีเวรา |
นิจาเอ๋ยสงสารด้วยท่านนัก | จะต้องไปหาญหักยักษา |
แม้นน้องตามไปได้จะไคลคลา | เมืองสวรรค์ชั้นฟ้าไม่อาวรณ์ |
นี่สุดคิดอยู่แล้วจะแคล้วคลาศ | ต้องกลับไปไกรลาศศิงขร |
นางครวญคร่ำล่ำลาวานร | สอื้นอ้อนโศกาอาไลย |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๑๘๔๘๏ เมื่อนั้น | หณุมานยิ่งคิดพิศมัย |
แล้วคิดถึงความหลังรับสั่งใช้ | จะรีบไปสังหาญผลาญกุมภัณฑ์ |
เช็ดชลนานางพลางว่า | แก้วตาอย่าวิโยคโศกศัลย์ |
กุศลเราร่วมสร้างไว้อย่างนั้น | จึ่งจำพรากจากกันไปทั้งรัก |
พี่จะส่งทรามไวยไปไกรลาศ | เปนข้าบาทพระศุลีมีศักดิ |
ว่าแล้วโลมลูบจูบภักตร์ | พาองค์นงลักษณ์ลีลามา |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๑๘๔๙๏ ถึงชายเชิงคิรีที่แจ้ง | สอนให้นางจัดแจงโจงภูษา |
ประคองกรช้อนกายกัลยา | ขึ้นบนหัดถาง่าไว้ |
เหลียวหน้ามาดูดวงสมร | ให้มืออ่อนตีนอ่อนถอนใจใหญ่ |
แล้วคิดสละรักหักใจ | อุ้มนางขว้างไปในเมฆา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๘๕๐๏ ครั้นเสร็จซึ่งส่งนงคราญ | จะรีบไปราชการผลาญยักษา |
จึ่งผาดแผลงสำแดงเดชา | เหาะมายังฝั่งสมุทไทย |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๘๕๑๏ ครั้นถึงนทีสีทันดร | หว่างเขายุคันธรข้างทิศใต้ |
ลดเลี้ยวเที่ยวแลดูไป | เห็นฟองน้ำหนึ่งใหญ่มหิมา |
ไม่เคลื่อนคล้อยลอยตามสายสมุท | วายุบุตรเขม้นมองป้องหน้า |
เห็นทีดีร้ายอสุรา | จะซุ่มซ่อนกายาอยู่ในนี้ |
คิดพลางแผลงศักดาถาโถม | โจนกระโจมจับฟองสองมือขยี้ |
เห็นยักษ์ลอดหลบไปในนที | ขุนกระบี่โลดไล่ไขว่คว้า |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๘๕๒๏ เมื่อนั้น | วิรุณจำบังยักษา |
เห็นลิงเผือกพวกพระรามตามมา | อสุราแขงข้อเข้าต่อยุทธ |
เผ่นขึ้นเหยียบบ่าง่าตะบอง | ตีต้องลูกลมจมสมุท |
ไม่ระคายปลายขนทนอาวุธ | โผนผุดขึ้นได้ไล่รอนราญ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๕๓๏ เมื่อนั้น | ลูกพระพายร้ายแรงคำแหงหาญ |
เข้าหักโหมโรมรันประจัญบาน | รอนราญรับรองว่องไว |
ทยานยุดฉุดชิงคทาธร | วานรตีรันกระชั้นไล่ |
เหยียบยักษ์ชักตรีเกรียงไกร | แทงกุมภัณฑ์บรรไลยด้วยฤทธา |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๑๘๕๔๏ ครั้นเสร็จสังหารผลาญไพริน | ขุนกระบินทร์ตัดเศียรยักษา |
หิ้วเหาะรเห็จเตร็จฟ้า | ตรงมากองทัพฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๘๕๕๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอภิวาท | พระนารายน์ธิราชรังสรรค์ |
ทูลแจ้งกิจจาสารพัน | ที่รบรุกบุกบันอสุรี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๘๕๖๏ เมื่อนั้น | พระทรงสังข์ฟังทูลถ้วนถี่ |
ชื่นชมสมถวิลยินดี | แล้วมีพระราชบัญชา |
สรรเสริญหณุมานชาญไชย | ใช้ไหนได้ดังปราถนา |
ทั้งในกองทัพพลับพลา | จะหาวานรเปรียบไม่เทียบทัน |
แล้วสั่งเสนานายใหญ่ | ให้เลิกพลไกรแขงขัน |
พวกกระบินทร์โห่ร้องก้องอรัญ | คืนเข้าสุวรรณพลับพลา |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๘๕๗๏ บัดนั้น | ฝ่ายอสุรคอยเหตุยักษา |
เห็นทั้งสองกองทัพอัปรา | พระนัดดาพระสหายวายปราณ |
ตกใจตัวสั่นขวัญหนี | หลบลี้เข้าในไพรสาณฑ์ |
ชวนกันลัดตัดพงดงดาน | มายังราชฐานลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๘๕๘๏ ครั้นมาถึงทิมริมประตู | รู้ว่าเสด็จอยู่พระโรงน่า |
สองนายก้มกรานคลานเข้ามา | วันทาทูลแถลงแจ้งความ |
บัดนี้ท้าวเจ้ากรุงหัษฎง | กับองค์พระนัดดาชาญสนาม |
ออกไปได้ณรงค์สงคราม | กับกระบี่มีนามหณุมาน |
ทั้งสององค์หลงสู้ไม่รู้พยด | เดี๋ยวนี้ปลดชีวังสังขาร |
รี้พลเหลือหลายวายปราณ | ดูอาการข้าศึกฮึกเต็มที |
ฯ ๖ คำ ฯ
ช้า
๑๘๕๙๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี |
ได้ฟังสองอสูรทูลคดี | อสุรีนิ่งนึกตรึกตรา |
แต่ให้ออกไปผจญรณรงค์ | ก็สิ้นสุดสุริวงษ์พงษา |
ยังคิดเห็นเปนที่พึ่งพา | แต่ท้าวมาลีวราชเรืองฤทธิ์ |
แม้นเธอสาปสันใครไม่คลาศเคลื่อน | ก็เปนเหมือนวาจาปกาศิต |
แต่พระองค์ทรงธรรม์ทศพิธ | จำจะคิดผ่อนผันด้วยปัญญา |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๑๘๖๐๏ จึ่งตรัสเรียกสองกุมารหลานเอก | นนยะวิกวายุเวกยักษา |
เข้ามาข้างแท่นแก้วแววฟ้า | สั่งกำชับกำชาพาที |
ลุงจะใช้ไปเฝ้าพระเจ้าปู่ | เสด็จอยู่ยอดฟ้าคิรีศรี |
ทูลแถลงแจ้งเรื่องราวี | ว่าไพรีมาประชิดติดภารา |
แม้นพระองค์สงไสยไต่ถาม | จงใส่ความรามลักษณ์ให้หนักหนา |
แล้วว่าลุงบังคมไปใต้บาทา | ขอเชิญมาช่วยกู้บูรี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๘๖๑๏ บัดนั้น | สองอสูรรับสั่งใส่เกษี |
รีบออกนอกกำแพงแผลงฤทธี | เหาะข้ามวารีเร็วมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
ช้า
๑๘๖๒๏ เมื่อนั้น | ท้าวมาลีวราชนาถา |
ตั้งแต่ละสมบัติขัติยา | มาอยู่เขายอดฟ้าป่าหิมพานต์ |
อันเขตรขอบคิรีที่ทาง | กว้างขวางใหญ่โตรโหฐาน |
ราบรื่นพื้นศิลาน่าพระลาน | มีวิมานเหมือนบรมพรหมา |
วันนั้นนั่งเหนือบัลลังก์บนเหลี่ยมเขา | ใต้ร่มรังบังเงาเงื้อมผา |
สุรารักษ์นักสิทธิวิทยา | มาพร้อมหน้านอบนบอภิวันท์ |
ตรัสประภาศพูดจากับดาบศ | เอาเครื่องชาสุธารศรินให้ฉัน |
แล้วซักไซ้ไต่ถามถึงทางธรรม์ | ต่างสำรวลสรวลสันต์จำนรรจา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๘๖๓๏ บัดนั้น | นนยะวิกวายุเวกยักษา |
เหาะทยานผ่านเมฆเมฆา | มาถึงเขายอดฟ้าสุราไลย |
จึ่งเคลื่อนคล้อยลอยลงยังบรรพต | เลี้ยวลดเลียบเดินเนินไศล |
ถึงพระลานคลานตามกันเข้าไป | กราบกรานท่านไทไอยกา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๖๔๏ เมื่อนั้น | พระพงษ์พรหมบรมนาถา |
เห็นยักษีพี่น้องทั้งสองรา | จึ่งบัญชาทักถามเนื้อความไป |
เหวยไอ้อสูรประยูรยักษ์ | ยังเล็กนักเล็กหนามาแต่ไหน |
มีธุระกังวลกลใด | ฤๅใครใช้สอยมึงจึ่งมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๖๕๏ บัดนั้น | สองอสูรบังคมก้มเกษา |
ทูลว่าท้าวเจ้ากรุงลงกา | ใช้ข้ามาประนตบทมาลย์ |
ด้วยบัดนี้มีสงครามรามลักษณ์ | มารบพุ่งกรุงยักษ์หักหาญ |
พวกพระวงษ์พงษาข้าราชการ | ออกต้านทานเสียทัพอัปรา |
กุมภกรรฐ์อินทรชิตมิตรสหาย | ก็ม้วยมอดวอดวายเสียหนักหนา |
เปนจนใจไม่มีที่พึ่งพา | กรุงลงกาเกือบจะได้แก่ไพรี |
จึ่งใช้ข้าพี่น้องสองอสูร | มากราบทูลเบื้องบาทบทศรี |
เชิญเสด็จพระองค์ทรงฤทธี | ไปแก้กู้บูรีให้รอดไว้ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๘๖๖๏ เมื่อนั้น | ท้าวมาลีหลากจิตรคิดสงไสย |
จึ่งตรัสซักสองกุมภัณฑ์ทันใด | เองว่าให้เห็นกระจ่างทางความ |
อันองค์ทศเศียรอสุรินทร์ | เมืองแมนแดนดินก็เกรงขาม |
ใครหนอปลาดนักชื่อลักษณ์ราม | บังอาจข้ามพลลิงมาชิงไชย |
เปนโจรมีฝีมือฤๅกระษัตริย์ | ผ่านสมบัติบุรีธานีไหน |
สาเหตุเภทพาลประการใด | เขาจึ่งได้มาประชิดติดลงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๘๖๗๏ บัดนั้น | สองอสูรบังคมก้มเกษา |
อันลักษณ์รามพี่น้องสองรา | อยู่ศรีอยุทธยาพระนคร |
ได้ยินข่าวเล่าฦๅว่าเปนหลาน | จอมกระษัตริย์อัชบาลชาญสมร |
เขาขับหนีพี่น้องต้องซอกซอน | อยู่ดงดอนแดนโคธาราวี |
วันหนึ่งจึ่งองค์เจ้าลงกา | ไปได้นางกลางป่ามากรุงศรี |
พระรามรู้ฤษยาว่าสามี | จะมาตีบ้านเมืองเพราะเรื่องนั้น |
จึ่งไปฆ่าพาลีพี่สุครีพ | สิ้นชีพชีวาอาสัญ |
ได้ลิงค่างต่างทหารชาญฉกรรจ์ | มาโรมรันรบพุ่งถึงกรุงไกร |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๑๘๖๘๏ เมื่อนั้น | ท้าวมาลีลำฦกนึกขึ้นได้ |
จึ่งว่าเออไอยกาคิดว่าใคร | มิรู้ในสุริวงษ์พงษ์นารายน์ |
อันลักษณ์รามนั้นกูกับปู่เขา | แต่ก่อนเก่าชอบชิดเปนมิตรสหาย |
ไม่พอที่จะมาฆ่ากันตาย | แสนเสียดายพงษ์พันธุ์ที่บรรไลย |
จำจะไปไกล่เกลี่ยเสียสักหน่อย | ให้เรียบร้อยรู้จักรักใคร่ |
จึ่งตรัสสั่งคนธรรพฉับไว | จงเตรียมพลไกรจะไคลคลา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๘๖๙๏ บัดนั้น | คนธรรพรับสั่งใส่เกษา |
ก้มเกล้ากราบงามสามลา | ออกมาเกณฑ์กันทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๑๘๗๐๏ พร้อมพรั่งตั้งกระบวนแห่แหน | มากมายหลายแสนอสงไขย |
กองน่านักสิทธิฤทธิไกร | ถือธงไชยแห่เสด็จเจ็ดพัน |
พลนิกายซ้ายขวาวิชาธร | ฤทธิรอนรู้เหาะเพราะพระขรรค์ |
โยธาน่าหลังทั้งนั้น | คนธรรพ์คนธรรพกับสิทธา |
พวกสำเร็จปรอทแร่แก่เถ้า | มาพลอยเข้ากระบวนถ้วนหน้า |
เครื่องสูงสุรารักษ์ศักดา | กับเทวาหว่างพระเมรุวิเรนทร |
พวกพระไพรปู่เจ้าเป่าแตรสังข์ | พร้อมพรั่งคั่งคับสลับสลอน |
แล้วเลื่อนราชรถทรงอลงกรณ์ | มาเทียบไว้ใกล้ชง่อนเงื้อมคิรี |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๘๗๑๏ เมื่อนั้น | ท้าวมาลีวราชเรืองศรี |
เสด็จจากแท่นสุวรรณทันที | มาเข้าที่โสรจสรงคงคาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๘๗๒๏ น้ำพุดุดั้นบนบรรพต | ดังฝนฝอยย้อยหยดเย็นใส |
ลอองอาบซาบซ่านสำราญใจ | ลูบไล้สุคนธาอ่าองค์ |
โขมพัตรพื้นขาวยาวกว้าง | ประจงจีบกลีบวางหางหงษ์ |
ชายแครงเครือสุวรรณบรรจง | ฉลององค์โอภาษตาดเงินงาม |
ปั้นเหน่งเพ็ชรไพโรจโชติช่วง | ทับทรวงดวงมณีศรีสยาม |
เฟื่องห้อยพลอยประดับวับวาม | ทองกรแก้วภุกามงามเงา |
ธำมรงค์ปทัมราชผาดผุด | มงกุฎหนุนนวมสวมเศียรเกล้า |
กรรเจียกจำหลักลายพรายเพรา | หน่วงเนาสายพระกรรณกระสันทรง |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๘๗๓๏ จับพระขรรค์ไชยศรีลีลาศ | ออกจากพิมานมาศดังราชหงษ์ |
แห่แหนแน่นนันกรรกง | ให้โบกธงทำพิณพาทย์ยาตรา |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๑๘๗๔๏ รถเอยรถเพ็ชร | เคยเสด็จเดินทางกลางเวหา |
ที่นั่งทรงองค์ท้าวธาดา | ลอยล่องท้องฟ้านภาไลย |
เทียมหงษ์เหมราชชาติปักษิณ | พอผยองเผยอบินแผ่นดินไหว |
คนธรรพขับรถคลาไคล | แห่แหนแน่นในโพยมมาล |
ทานตวันกรรชิงกลิ้งกลด | อยู่ริมรถที่นั่งบังสุริย์ฉาน |
มยุรฉัตรพัดโบกโบตาล | อยู่งานไปพลางกลางอัมพร |
พลนิกายซ้ายขวาตาริ้ว | ถือธงทิวปลิวรยับสลับสลอน |
ลอยเลื่อนเคลื่อนคลาพลากร | ไปนครลงกาธานี |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๘๗๕๏ ครั้นถึงจึ่งลงหยุดยั้ง | อยู่ยังสมรภูมิไชยศรี |
เห็นทรากศพอสุรินทร์สิ้นชีวี | เหลือที่จะนับคณนา |
น้อยฤๅทศกรรฐ์กับพระราม | ทำสงครามฆ่าฟันกันหนักหนา |
ช่างกะไรไม่แจ้งกิจจา | ว่าลงกาเกิดเข็ญถึงเช่นนี้ |
นึกก็น่าสังเวชสมเพชนัก | ทั้งเอนดูทศภักตร์ยักษี |
ครั้นจะตรงเข้าไปในบุรี | จะเปนที่กินแหนงแคลงใจ |
จำจะหาทศกรรฐ์กับพระราม | มาพิพากษาความถามไถ่ |
จึ่งตรัสสั่งสองกุมภัณฑ์ทันใด | เองเร่งไปบอกองค์เจ้าลงกา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๘๗๖๏ บัดนั้น | นนยะวิกวายุเวกยักษา |
ก้มเกล้าเคารพรับบัญชา | พากันดั้นป่าไปธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๘๗๗๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบทูล | ท้าวราพนาสูรยักษี |
บัดนี้องค์ไอยกาธิบดี | ภูมีไม่เข้ามาเมืองมาร |
หยุดอยู่ที่ประจญรณรงค์ | ให้เชิญองค์บิตุลาไปว่าขาน |
จะถามหาสาเหตุเภทพาล | ให้การกับพระรามเปนความกัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๗๘๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริวงษ์รังสรรค์ |
จึ่งตรัสกับข้าเฝ้าเหล่านั้น | จะไต่ถามความกันไม่พรั่นใจ |
ลักษณ์รามว่าดีมีฤทธิ์มาก | การฝีปากไหนจะสู้กูได้ |
ถึงจะว่าพาเมียมาไว้ | จะเอาใครรู้เห็นเปนพยาน |
ดำริห์พลางทางสั่งมโหทร | จงรีบร้อนเร่งรัดจัดทหาร |
ทั้งธูปเทียนดอกไม้ใส่พาน | จะได้มัสการพระไอยกา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๘๗๙๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งใส่เกษา |
มารีบรัดจัดพหลพลโยธา | เสร็จตามบัญชาพระยามาร |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๘๘๐๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรศักดาหาญ |
เสด็จจากแท่นรัตน์ชัชวาลย์ | มาอ่าองค์สรงสนานนัที |
ประดับเครื่องเรืองรัตน์ตรัจเตร็จ | แล้วเสด็จจากปรางปราสาทศรี |
ให้เคลื่อนคลายขยายยกโยธี | ตรงไปที่สมรภูมิไชย |
ฯ ๔ คำ ฯ กราว เชิด
๑๘๘๑๏ ครั้นถึงที่ประทับรัถา | เบื้องซ้ายไอยกาอัชฌาไศรย |
กราบถวายบังคมคัลทันใด | จุดธูปเทียนดอกไม้บูชา |
แล้วทูลว่าพระองค์ทรงยศ | มาหยุดรถอยู่ไยที่ในป่า |
เชิญเสด็จเข้าไปในภารา | ให้ตรีโลกฦๅชาปรากฏไว้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๘๒๏ เมื่อนั้น | ท้าวมาลีวราชเปนใหญ่ |
จึ่งตรัสตอบทศกรรฐ์ทันใด | อันตัวปู่อยู่ในทศพิธ |
ครั้นจะตามใจเจ้าเหมือนเบาความ | ข้างพระรามจะรแวงแคลงจิตร |
จะประชุมเทวาสุราฤทธิ์ | ถ้วนหน้ามาสถิตย์ในที่นี้ |
จึ่งจะถามความเจ้าผู้เปนโจทย์ | ซึ่งกล่าวโทษพระรามเรืองศรี |
ให้ต้องอย่างทางธรรมประเพณี | ตรัสพลางทางมีบัญชาไป |
ดูก่อนเทวาสุรารักษ์ | ซึ่งสำนักนิ์ธารท่าป่าใหญ่ |
จงเที่ยวป่าวเหล่าฝูงเทพไท | ทั้งแดนไตรมานั่งเปนพยาน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๘๘๓๏ เมื่อนั้น | เทพเจ้าสิงไศลไพรสาณฑ์ |
ได้ฟังพจนาบัญชาการ | ก็เหาะออกนอกวิมานทยานมา |
เที่ยวประกาศกึกก้องร้องป่าว | ตลอดจนแดนดาวดึงษา |
ชวนกันผันผยองล่องลอยฟ้า | ลงมายังสมรภูมิพลัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เหาะ
๑๘๘๔๏ ครั้นถึงเคารพอภิวาท | ท้าวมาลีวราชรังสรรค์ |
นั่งอยู่อัดแอแจจัน | คอยฟังฟ้องทศกรรฐ์เจ้าลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๘๘๕๏ เมื่อนั้น | ท้าวมาลีวราชนาถา |
เห็นฝูงเทวัญในชั้นฟ้า | มาพร้อมหน้านอบนบอภิวันท์ |
จึ่งตรัสถามทศเศียรสุริวงษ์ | เจ้าจงให้การเถิดหลานขวัญ |
ซึ่งพวกยักษ์ลักษณ์รามสงครามกัน | เมื่อแรกเริ่มเดิมนั้นเปนอย่างไร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๘๖๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเศกแสร้งแถลงไข |
เดิมหลานไปล้อมกวางกลางไพร | พบนางหนึ่งในพนาวา |
เปนสาวพรหมจารีไม่มีผัว | เที่ยวอยู่แต่ตัวอนาถา |
ข้านี้มีจิตรคิดเมตตา | จึ่งพามาเลี้ยงไว้ในอุทยาน |
ฝ่ายพระรามตั้งตัวเปนผัวนาง | จึ่งคุมเหล่าลิงค่างมาหักหาญ |
ฆ่าพระวงษ์พงษาวายปราณ | ทำประมาทหมิ่นหลานเปนพ้นรู้ |
พระองค์เปนปู่ย่าตายาย | ก็พลอยอายอัปรยศอดสู |
จงตัดสินพิพากษาเปนตราชู | ใครทำผิดคิดดูเถิดภูวไนย |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๘๘๗๏ เมื่อนั้น | ท้าวมาลีวราชเปนใหญ่ |
ได้ฟังนิ่งนึกตรึกไตร | แล้วตรัสไปแก่องค์เจ้าลงกา |
ซึ่งนัดดาว่ากล่าวในราวความ | ข้างพระรามพระลักษณ์ผิดหนักหนา |
แต่ปู่หารู้ไม่ด้วยไกลตา | ครั้นว่าจะเชื่อฟังยังไม่ควร |
จำจะให้ไปหาองค์พระราม | มาสอบถามซักไซ้ไต่สวน |
จึ่งจะตัดสินความตามสำนวน | ให้ถูกถ้วนทางธรรม์ไม่ฉันทา |
ตรัสพลางทางสั่งเวศุกรรม | จงจำคำทศภักตร์ยักษา |
ไปแถลงแจ้งความพระรามา | แล้วว่าเราให้หามาบัดนี้ |
แม้นสององค์สงไสยไต่ถาม | จงออกนามอัชบาลชาญไชยศรี |
กับเราร่วมรักใคร่เปนไมตรี | อย่าราคีคิดรแวงแคลงใจ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๘๘๘๏ เมื่อนั้น | เวศุกรรมเทวาอัชฌาไศรย |
รับสั่งบังคมคลาลาไคล | เหาะไปกองทัพพลับพลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๘๘๙๏ ครั้นถึงจึ่งค่อยคล้อยเคลื่อน | ลอยเลื่อนลงเดินเนินผา |
เข้าเฝ้าพระหริวงษ์ทรงศักดา | ทูลแจ้งกิจจาสารพัน |
สหายองค์ไอยกาฝ่าพระบาท | ชื่อท้าวมาลีวราชรังสรรค์ |
อยู่สมรภูมิไชยไพรวัน | เธอว่าไรเปนนั่นดังบัญชา |
ทศเศียรทูลฟ้องสองพระองค์ | จะให้ทรงแช่งชักให้หนักหนา |
แต่ท้าวไทไม่เชื่ออสุรา | จึ่งใช้ข้ามาเชิญเสด็จไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๘๙๐๏ เมื่อนั้น | พระหริรักษ์จักรกฤษณ์คิดสงไสย |
จึ่งตรัสถามท้าวพระยาเสนาใน | บรรดาพวกผู้ใหญ่ทั้งไพร่นาย |
ใครรู้มั่งฤๅไม่ว่าไอยกา | กับท้าวมาลีวราชเปนสหาย |
จงแจ้งเหตุเภทผลต้นปลาย | บรรยายให้เราเข้าใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๙๑๏ บัดนั้น | ฝ่ายชามภูวราชอำมาตย์ใหญ่ |
จึ่งทูลพระอวตารชาญไชย | ข้าได้แจ้งจิตรในกิจจา |
แต่ปางหลังครั้งคราวอสุรพรหม | ขึ้นเฝ้าพระสยมนาถา |
ทูลขอพรสำหรับกับคทา | ให้ปราบสิ้นดินฟ้าธาตรี |
องค์พระจอมไกรลาศประสาทให้ | ตามใจจงรักของยักษี |
วันนั้นท่านท้าวมาลี | จึ่งกราบทูลเจ้าตรีโลกา |
อันอสูรสัตบาปหยาบคาย | เที่ยวทำร้ายไตรจักรหนักหนา |
ท้าวอัชบาลผ่านศรีอยุทธยา | ได้พึ่งพาผาศุกไปทุกทิศ |
ซึ่งพระองค์อวยไชยให้กับยักษ์ | เหมือนแกล้งฆ่าสุรารักษ์นักสิทธิ์ |
ถึงองค์ท้าวอัชบาลชาญชิต | เข้าต่อฤทธิ์ราพร้ายจะวายปราณ |
พระอิศวรหวนนึกลำฦกได้ | จึ่งอวยไชยกับพระขรรค์แล้วบรรหาร |
ให้ท้าวมาลีบรมพรหมมาน | ไปประทานท่านไทไอยกา |
สองพระองค์ทรงศักดิจึ่งรักใคร่ | ปลงพระไทยทุ่มเทเสนหา |
เปนสหายหมายมั่นแต่นั้นมา | ไม่กังขาขึ้งเคียดรังเกียจกัน |
อายุข้าถ้าจะนับได้กัปเศษ | จึ่งแจ้งเหตุสุดสิ้นดินสวรรค์ |
เปนความขำล้ำฦกดึกดำบรรพ์ | ทรงธรรม์จงทราบบทมาลย์ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๑๘๙๒๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน |
ได้ฟังทูลแถลงแจ้งการ | จึ่งบรรหารสั่งมหาเสนาใน |
สุครีพรีบจัดพลากร | สองนครเข้าสลับทัพใหญ่ |
เราจะยกโยธาคลาไคล | ไปบังคมท่านไทไอยกา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๙๓๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษา |
ก้มเกล้ากราบงามสามลา | แล้วออกมาจัดทัพฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๑๘๙๔๏ เกณฑ์กระบี่สี่สิบสมุทถ้วน | ที่ต้นเชือกเลือกล้วนล่ำสัน |
ซ้ายขวาน่าหลังทั้งนั้น | ลิงฉกรรจ์เกณฑ์หัดจัดแจง |
ทหารเอกอาสาสิบห้าหมื่น | แต่พื้นปืนทองปรายตะพายแล่ง |
บ้างถือศรกำซาบดาบคมแวง | ทั้งธงเทียวเขียวแดงดาษดา |
พวกล้อมวงองครักษ์สมปักลาย | อยู่ริมรถพระนารายน์ซ้ายขวา |
ใส่เสื้อแสงแต่งประกวดกายา | เหน็บสาตราตรีสั้นกัลเม็ด |
บ้างถือง้าวหลาวแหลนโล่ห์เขน | กะเกณฑ์กองทัพสรรพเสร็จ |
จึ่งให้เคลื่อนเลื่อนราชรถเพ็ชร | มาประทับรับเสด็จที่เกยลา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๘๙๕๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
ชวนพระลักษณ์ลีลาศยาตรา | ไปโสรจสรงคงคาวารี |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๘๙๖๏ ชำระสระสนานน้ำสุหร่าย | กรีดกรายพระหัดถ์ขัดสี |
ลูบไล้สุคนธามาลี | ผัดภักตร์ผิวฉวีวาดคิ้ว |
สอดใส่สนับเพลาเนากระหนก | ภูษายกแย่งครุธยุดนาคหิ้ว |
ห้อยน่าผ้าทิพย์ทองริ้ว | ชายแครงแพลงพลิ้วพลอยรยับ |
โหมดเทศตาดทองฉลององค์ | ต่างทรงเกราะเก็จเพ็ชรประดับ |
คาดปั้นเหน่งสายประสานบานพับ | สังวาลแก้วแวววับทับทรวง |
พาหุรัดทองกรซ้อนทรง | ธำมรงค์เพ็ชรรัตน์รุ้งร่วง |
มงกุฎแก้วแกมสุวรรณกุดั่นดวง | ห้อยพวงบุบผามาลี |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๘๙๗๏ ครั้นเสร็จสรรพจับพระแสงศรทรง | เสด็จลงจากพลับพลาหลังคาสี |
เหล่าทหารกรานกราบลงสามที | ให้คลายคลี่โยธาคลาไคล |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว เชิด
๑๘๙๘๏ ครั้นถึงที่รณรงค์ยงยุทธ | จึ่งยั้งหยุดพลนิกายนายไพร่ |
ให้เลื่อนราชรถแก้วแววไว | เข้าไปเบื้องขวาท้าวมาลี |
สองกระษัตริย์เคารพอภิวาท | พระไอยกาธิราชเรืองศรี |
หมอบชม้อยคอยดูภูมี | จะพาทีถามไถ่สิ่งไรมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๘๙๙๏ เมื่อนั้น | ท้าวมาลีวราชนาถา |
เห็นพี่น้องสองกระษัตริย์นัดดา | โสภาพริ้งพร้อมลม่อมลไม |
ช่างเหมือนพระสหายอัชบาล | ประกอบการกิริยาอัชฌาไศรย |
พินิจพลางทางถามเนื้อความไป | ไอยกานี้ให้สงไสยนัก |
ทั้งสองเจ้าเผ่าพงษ์องค์อัชบาล | ไยไม่ผ่านอยุทธยาอาณาจักร |
ทศเศียรขุนมารกับหลานรัก | ได้หาญหักรบกันด้วยอันใด |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๙๐๐๏ เมื่อนั้น | พระราเมศทูลแจ้งแถลงไข |
เดิมหลานจะพรากจากกรุงไกร | เพราะแม่ไกยเกษีโสภา |
ขอสัตย์บิตุรงค์ทรงยศ | ให้พระพรตผ่านนครก่อนข้า |
หลานจึ่งต้องครองศีลเปนสิทธา | ออกอยู่ป่ากว่าจะครบสิบสี่ปี |
นางสีดากับเจ้าลักษณ์รักใคร่ | ร้องไห้ตามมาพนาศรี |
อยู่อาไศรยในอรัญกุฎี | ริมโคธาวารีราวไพร |
แล้วทูลเล่าเรื่องความที่ตามกวาง | ครั้นกลับมาหานางหาเห็นไม่ |
พบพระยาสดายุจึ่งแจ้งใจ | ว่าทศภักตร์ลักไปไว้ลงกา |
จึ่งยกพลตามข้ามสมุท | มายั้งหยุดเหยียบนครของยักษา |
ให้องคตเปนทูตไปพูดจา | กับราชสาส์นหลานว่าแต่โดยดี |
ทศเศียรไม่ส่งนงคราญ | จึ่งเกิดการรบพุ่งถึงกรุงศรี |
เปนความสัตย์ทุกสิ่งจริงดังนี้ | ภูมีจงทราบบทมาลย์ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๑๙๐๑๏ เมื่อนั้น | พระปิ่นเกษยอดฟ้ามหาสถาน |
ฟังพระรามแก้ไขให้การ | จึ่งบรรหารถามองค์เจ้าลงกา |
เดิมเจ้าว่านารีไม่มีผัว | เปนสาวแท้แต่ตัวอนาถา |
พระรามว่าสามีนางสีดา | มาอยู่ที่โคธาวารี |
เจ้าใช้ม้ารีศแสร้งแปลงเปนกวาง | แล้วลักนางมาไว้ในกรุงศรี |
เขาก็ได้ให้มาว่าโดยดี | จริงจังดังนี้ฤๅฉันใด |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๙๐๒๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์แก้ว่าหามิได้ |
ซึ่งม้ารีศเปนกวางไปอย่างไร | ไม่แจ้งใจจริงจริงสิ่งนี้ |
เมื่อได้นางสีดามาเมือง | ก็ฦๅเลื่องเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี |
ใครจะมาว่ากะไรก็ไม่มี | จนถึงปีหนึ่งแล้วพระไอยกา |
ต่อพระรามข้ามสมุทมาเมืองมาร | แกล้งคิดอ่านพาลผิดฤษยา |
ให้องคตพังประตูจู่เข้ามา | พิฆาฏฆ่าเสนีเสียสี่นาย |
แล้วให้พาองค์นงเยาว์ | ทูลเกล้าไปประนอมยอมถวาย |
เห็นผิดทูตพูดจาหยาบคาย | ข้าอับอายจึ่งไม่ส่งนงลักษณ์ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๙๐๓๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวมาลีมีศักดิ |
ได้ฟังคำขุนมารหลานรัก | จึ่งผินภักตร์ไปถามพระรามา |
ทศกรรฐ์ไม่รับกลับมีคำ | ว่าเจ้าทำหาญหักหนักหนา |
จริงจังดังนั้นฤๅนัดดา | ฤๅจะว่าอย่างไรเร่งให้การ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๙๐๔๏ เมื่อนั้น | พระรามว่าข้ามิได้ให้หักหาญ |
เมื่อองคตเข้าไปในเมืองมาร | พวกยักษ์ปิดทวารวังไว้ |
ครั้นพูดจาว่ากล่าวโดยดี | อสุรีไม่เปิดประตูให้ |
ข้างองคตไม่ฟังพังเข้าไป | ถึงท้าวไทเจ้าลงกาธานี |
ได้แจ้งความตามเรื่องราชสาส์น | ให้ขุนมารส่งสีดามารศรี |
ทศกรรฐ์โกรธาจะฆ่าตี | ให้เสนีรบรับจับองคต |
เห็นจวนตัวแล้วลิงจึ่งชิงไชย | ยักษ์สู้ไม่ได้ก็ตายหมด |
มาให้การแก้เกี้ยวเลี้ยวลด | เปนคำคดไม่จริงสักสิ่งอัน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๙๐๕๏ เมื่อนั้น | ท้าวมาลีวราชรังสรรค์ |
เห็นว่ากล่าวก้าวเฉียงเถียงกัน | ทรงธรรม์จึ่งดำริห์ตริไตร |
อันคำทศภักตร์กับพระราม | ข้อความหาไกลกันไม่ |
แต่เท็จจริงจะอยู่ข้างผู้ใด | จะว่าให้เปนกลางทางธรรม์ |
คิดพลางทางมีกระทู้ถาม | ดูราพระรามรังสรรค์ |
นางสีดานี้ใครให้ปัน | ได้แต่งงานการกันฤๅฉันใด |
หนึ่งบิดรมารดาของนารี | อยู่ธานีนัคเรศประเทศไหน |
เมื่อแรกรับกัลยามาไว้ | คือใครรู้เห็นเปนพยาน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๙๐๖๏ เมื่อนั้น | พระหริรักษ์จักราปรีชาหาญ |
จึ่งว่านางสีดายุพาพาล | เยาวมาลย์เกิดในประทุมา |
พระชนกเลี้ยงไว้ในกุฎี | เปนบุตรีแสนสุดเสนหา |
แล้วลาพรตพรหมจรรย์แต่นั้นมา | ไปอยู่เมืองมิถิลาช้านาน |
จึ่งตั้งกิจพิธีให้ยกศิลป์ | กระษัตรามาสิ้นทุกถิ่นฐาน |
ทั้งเทวาสุรารักษ์มัฆวาน | ก็ไปด้วยช่วยการสยุมพร |
ท้าวชนกจักรวรรดิให้ผลัดกัน | ทีละคนยกคันธนูศร |
ข้ายกได้ดังจิตรพระบิดร | จึ่งตั้งการสยุมพรพิธี |
อภิเศกสีดากับข้าบาท | เปนเอกองค์อรรคราชมเหษี |
ถึงเทวามานั่งอยู่ทั้งนี้ | เมื่อเดิมทีก็รู้อยู่ด้วยกัน |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๙๐๗๏ เมื่อนั้น | พระพงษ์พรหมบรมรังสรรค์ |
ฟังพระรามเรียงคำรำพรรณ | ทรงธรรม์เห็นจริงทุกสิ่งไป |
ครั้นจะพิพากษาสองสถาน | ให้ผเชิญพยานยังไม่ได้ |
ต้องไต่ถามตามบทจะงดไว้ | จำจะให้หานางคนกลางมา |
เอาถ้อยคำสอบใส่ให้กระจ่าง | จึ่งสืบต่อข้ออ้างไปข้างน่า |
ดำริห์พลางทางมีวาจา | ดูราพระวิศณุกรรม์ |
จงคุมพวกพิทยาวิชาธร | เปนการร้อนรีบด่วนไปสวนขวัญ |
บอกสีดาว่าเราผู้ทรงธรรม์ | ให้เชิญมาว่ากันอย่าฉันทา |
พระรามกับทศภักตร์ยักษี | ถ้อยทีจะรวังกังขา |
ทั้งสองข้างต่างแต่งเสนา | กำกับพวกเทวาพากันไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๙๐๘๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์กราบก้มบังคมไหว้ |
จึ่งตรัสสั่งหณุมานชาญไชย | จงคุมไพร่ไปด้วยเทวัญ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๙๐๙๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเสียวใจไหวหวั่น |
แม้นสีดามาถึงเถียงกัน | จะรำพรรณกล่าวโทษโรธกร |
มิให้ไปไอยกาจะว่าผิด | เปนจนจิตรจำสู้ไปดูก่อน |
จึ่งเหลียวหลังสั่งมารมโหทร | จงคุมพลนิกรกำกับไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๙๑๐๏ บัดนั้น | พระวิศณุกรรม์นายใหญ่ |
กับยักษาพานรินทร์ฤทธิไกร | เหาะไปสวนขวัญทันที |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๙๑๑๏ ครั้นถึงจึ่งลงริมพลับพลา | เข้าเฝ้านางสีดามารศรี |
ทูลแถลงแจ้งความตามคดี | บัดนี้ภูวไนยไอยกา |
พระองค์ทรงนามมาลีวราช | พงษ์พรหมบรมนารถนาถา |
เธอว่าไรเปนนั่นดังบัญชา | ถือศีลสัจจาสารพัน |
ให้ประชุมเทวาจะว่าความ | ทศเศียรกับพระรามรังสรรค์ |
สาเหตุเภทผลแต่ต้นนั้น | ทศกรรฐ์กล่าวโทษพระรามา |
ท้าวเธอให้ไปเชิญองค์พระราม | มาไต่ถามสอบปากพิพากษา |
ข้อความติดพันถึงกัลยา | จึ่งใช้ข้ามาเชิญเสด็จไป |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๙๑๒๏ เมื่อนั้น | องค์ภัควดีศรีใส |
ประจักษ์แจ้งแห่งคำเทพไท | ทรามไวยสมถวิลยินดี |
จะใคร่ไปเคารพอภิวาท | พระสามีธิราชเรืองศรี |
ทั้งจะได้เห็นพระลักษณ์ผู้ภักดี | แต่จากพี่ไปประมาณนานครัน |
คิดพลางทางมีบัญชา | ชวนเทวีตรีชดาสาวสรรค์ |
จะไปเฝ้าฟังถามเนื้อความกัน | ทรงธรรม์จะว่าขานประการใด |
ตรัสพลางย่างเยื้องจรลี | ลงจากที่พลับพลาอาไศรย |
นวลนางตรีชดายาใจ | สาวสรรค์กำนัลในก็ตามมา |
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
๑๙๑๓๏ ขึ้นทรงบุษบกแก้วแพรวพรรณ | ฝูงกำนัลนั่งรายซ้ายขวา |
เทวราชผาดแผลงฤทธา | นำน่าเหาะกลับมาฉับไว |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๙๑๔๏ ครั้นถึงจึ่งค่อยคล้อยเคลื่อน | ลอยเลื่อนลงทางหว่างไศล |
ให้ยั้งหยุดบุษบกอยู่แต่ไกล | จะคอยฟังท่านไทไอยกา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๙๑๕๏ เมื่อนั้น | ท้าวมาลีวราชนาถา |
เห็นบุษบกแก้วแววฟ้า | จึ่งให้เลื่อนเข้ามาน่ารถทรง |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๙๑๖๏ เมื่อนั้น | นางสีดาแน่งน้อยนวลหง |
แหวกวิสูตรสุวรรณบรรจง | ถวายบังคมองค์ไอยกา |
เห็นรถทศเศียรอยู่เบื้องซ้าย | รถพระนารายน์อยู่ฝ่ายขวา |
นางกราบลงตรงภักตร์ภัศดา | ฟูมฟายชลนาจาบัลย์ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๑๙๑๗๏ เมื่อนั้น | ท้าวมาลีวราชรังสรรค์ |
พิศโฉมสีดาลาวรรณ | ดังดวงจันทร์แจ่มฟ้าไม่ราคี |
คมขำสำอางเหมือนอย่างเขียน | ไม่ผิดเพี้ยนพิมพ์ภักตร์พระลักษมี |
กูเกิดมาอายุถึงเพียงนี้ | ไม่เห็นนางใดดีเหมือนสีดา |
กระนี้ฤๅทศภักตร์มิรักใคร่ | จนพงษ์พันธุ์บรรไลยเสียหนักหนา |
พระนิ่งนึกตรึกความแล้วถามมา | ดูก่อนนางสีดานารี |
บิตุราชมาตุรงค์ของนงลักษณ์ | เปนปิ่นปักนัคเรศฤๅเศรษฐี |
ผู้ใดเปนภัศดาสามี | มาอยู่ที่สวนขวัญด้วยอันใด |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๙๑๘๏ เมื่อนั้น | นางสีดากราบก้มบังคมไหว้ |
จึ่งทูลว่าข้าน้อยนี้ไซ้ | กำเนิดในโกมุทบุษบัน |
พระชนกนักสิทธิคิดเมตตา | เลี้ยงเปนธิดาไม่เดียดฉัน |
แล้วสึกหาลาพรตพรหมจรรย์ | ทรงธรรม์กลับไปอยู่บูรี |
ครั้นข้าค่อยเจริญไวยใหญ่กล้า | พระบิดาจึ่งเสี่ยงศรศรี |
ชุมนุมหน่อกระษัตราทุกธานี | มายกศิลป์ไชยที่น่าพระลาน |
ฝ่ายพระหริวงษ์ทรงฤทธิ์ | ยกได้ดังจิตรพิศฐาน |
จึ่งเศกข้ากับพระรามตามบุราณ | สุรารักษ์มัฆวานอยู่พร้อมพรัก |
แล้วองค์พระภัศดากับข้านี้ | มาอยู่ศรีอยุทธยาอาณาจักร |
เธอรับสัตย์พระบิดาสามิภักดิ์ | หลานกับเจ้าลักษณ์ก็ตามมา |
อยู่ที่กุฎีดงทรงพรต | เปนดาบศบำเพ็ญเคร่งหนักหนา |
วันหนึ่งเห็นกวางทองผ่องโสภา | ข้าวอนว่าพระรามให้ตามไป |
บัดเดี๋ยวได้ยินเสียงสำเนียงร้อง | เรียกพระน้องว่าจักตักไษย |
ข้าขับองค์อนุชาคลาไคล | ตามไปในป่าพนาลี |
สักครู่หนึ่งจึ่งท้าวเจ้าลงกา | เข้าหาญหักลักข้าพาหนี |
หลานได้บอกออกตัวว่าผัวมี | อสุรีไม่ฟังว่าชั่งใคร |
สดายุรู้จักกับพระราม | ได้ห้ามปรามอิกครั้งหาฟังไม่ |
กลับสังหารนกนั้นบรรไลย | จึ่งพาข้ามาไว้ในอุทยาน |
แล้วรำพรรณพูดจาสารพัด | ให้ความสัตย์วิงวอนอ่อนหวาน |
ข้าคิดแค้นขึ้นมาด่าประจาน | ยังก้มกรานกราบไหว้ให้ปรานี |
จะถากถางอย่างไรก็ไม่โกรธ | ไปคาดโทษแต่เหล่าสาวศรี |
ไม่เคยพบเคยเห็นเช่นนี้ | ทานทนพ้นที่จะอุประมา |
ฯ ๒๒ คำ ฯ
๑๙๑๙๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรแสนอายขายหน้า |
เข่นเขี้ยวขึ้นเสียงเถียงสีดา | ช่างพูดจาเก้อเก้อเอออไร |
เสียแรงรูปร่างงามหยามหยาบ | ใครเกี้ยวพานกรานกราบเจ้าตรงไหน |
เทวาข้าพเจ้าบอกกล่าวไว้ | พาโลว่าข้าไหว้ใส่ถ้อยความ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๙๒๐๏ เมื่อนั้น | พระผู้พงษ์พรหมมานบรรหารห้าม |
อย่าเทลาะเกาะแกะไม่แงะงาม | แล้วตรัสถามมัฆวานชาญไชย |
กับเทวามานั่งอยู่ทั้งนี้ | เมื่อเดิมทีรู้เห็นเปนไฉน |
อย่าเศกแสร้งสมอ้างข้างผู้ใด | จงว่าไปตามจริงทุกสิ่งอัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๙๒๑๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวเจ้าไตรตรึงษ์สวรรค์ |
เทพไทใหญ่น้อยสิ้นทั้งนั้น | ก็ทูลขึ้นพร้อมกันทันใด |
ซึ่งสีดาว่าสมคำพระราม | จะเปนความมุสานั้นหาไม่ |
สารพัดสัตย์จริงทุกสิ่งไป | ข้าก็ได้รู้เห็นเปนพยาน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๙๒๒๏ เมื่อนั้น | องค์พระไอยกาปรีชาหาญ |
ได้ฟังสุรารักษ์มัฆวาน | จึ่งโองการถามทศกรรฐ์พลัน |
คำพระรามความสมกับข้ออ้าง | ทั้งคนกลางรับจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
เจ้าว่าได้นางสีดาในอารัญ | มีสำคัญอ้างอิงสิ่งใด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๙๒๓๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรทูลแก้ไข |
เมื่อพบนางกลางป่าค่าไม้ | จะอ้างอิงสิ่งใดนั้นไม่มี |
แต่ข้าได้ไต่ถามถึงลูกผัว | บอกว่าตัวเปนสาวชาวไพรศรี |
ครั้นเห็นรูปร่างพระรามงามดี | ประสมว่าสามีแต่เดิมมา |
คำโบราณท่านเทียบอารมณ์หญิง | เหมือนน้ำกลิ้งใบบัวชั่วหนักหนา |
ขอพระองค์จงพินิจพิจารณา | อย่าเชื่อคนแพศยาอาธรรม์ |
ถึงองค์อำรินทราสุรารักษ์ | ก็ชังยักษ์ทั้งสิบหกห้องสวรรค์ |
พยาบาทอินทรชิตจึ่งคิดกัน | หมายมั่นคุมแค้นจะแทนทด |
แสร้งสมยอมพร้อมหน้าว่าขาน | เปนพยานอาสาเข้ามาหมด |
ไม่ทูลความตามตรงพระทรงยศ | ล้วนคำคดข้าคิดติดใจ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๙๒๔๏ เมื่อนั้น | องค์พระไอยกาอัชฌาไศรย |
จึ่งว่าหลานค้านคิดให้ผิดไป | มาติดใจคนกลางนางสีดา |
อนึ่งเทพเทวัญจันทรี | ไม่พาทีเหมือนมนุษย์มุสา |
แม้แต่แรกเราถามพระรามา | ก็ไม่รู้ถึงสีดานารี |
แล้วก็ได้ให้กำกับไปรับนาง | ทั้งสองข้างคู่ความตามที่ |
ฤๅผู้ใดใครบอกนางเทวี | เจ้าจงชี้ตัวให้ไอยกา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๙๒๕๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรแสนอายซังตายว่า |
ใครจะล่วงรู้เล่ห์เทวดา | อุประมาน้ำไหลใต้ทราย |
แต่เห็นว่าชังยักษ์รักมนุษย์ | ไม่สิ้นสุดพยาบาทมาดหมาย |
เมื่อทำศึกสู้กันกุมภัณฑ์ตาย | ก็โปรยปรายบุปผชาติดาษดา |
แรกพระรามข้ามถนนชลธาร | มัฆวานก็ได้ให้รัถา |
มาตุลีนี้สำหรับขับรถมา | ทุกเวลารณรงค์สงคราม |
ล้วนพวกพ้องของมนุษย์สุดสิ้น | ย่อมได้ยินภูวไนยไต่ถาม |
จึ่งดลใจให้สีดาทูลความ | สมอ้างข้างพระรามทุกประการ |
ครั้นข้าทูลท้วงติงก็กริ่งโกรธ | ไม่ทรงโปรดปฤกษาว่าขาน |
ขืนเชื่อถือเทพไทใจพาล | มิให้ค้านอย่างไรไอยกา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๙๒๖๏ เมื่อนั้น | พระพงษ์พรหมบรมนาถา |
จึ่งว่ากูผู้พิจารณา | พิพากษาอาธรรม์ฤๅฉันใด |
ไม่ควรค้านพาลพาโลโกสีย์ | รถของเขามีเขาก็ให้ |
เมื่อสืบสวนสมอ้างทุกอย่างไป | ยังแก้ไขคดเคี้ยวเกี่ยวพัน |
เปนของเข้าเล่าเถิดว่าตกหล่น | นี่เก็บคนได้ดูก็ขันขัน |
เองพูดไม่มีจริงสักสิ่งอัน | แม่นมั่นมึงลักเมียพระราม |
จงควรคิดถอยหลังฟังกูว่า | อย่าฉันทาทำบาปหยาบหยาม |
เร่งคืนส่งองค์สีดาพงางาม | ให้พระรามผัวเขาอย่าเอาไว้ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๙๒๗๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเจียนเลือดตาไหล |
ทูลเถียงเสียงแขงขึ้นทันใด | อะไรไม่พินิจพิจารณา |
เมื่อลูกเต้าเผ่าพงษ์พวกสหาย | พระรามมาฆ่าตายเสียหนักหนา |
แม้นหมู่มารม้วยมอดรอดขึ้นมา | จึ่งจะส่งองค์สีดานารี |
แม้นพวกยักษ์ญาติวงษ์ยังวอดวาย | ก็สู้ตายไม่ส่งนางโฉมศรี |
จะขอคิดเคี่ยวฆ่าราวี | ใครจะดีกว่าใครจะได้ดู |
อย่าว่าขานหาญหักมักง่าย | กฎหมายเมืองนี้ก็มีอยู่ |
คิดว่าองค์ไอยกาเหมือนตราชู | มิรู้ก็เปนไปเช่นนั้น |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๙๒๘๏ เมื่อนั้น | ท้าวมาลีวราชรังสรรค์ |
ได้ฟังคำแขงขึงดึงดัน | จึ่งว่าเหวยทศกรรฐ์อันธพาล |
จะช่วยว่าให้ดีก็มิเอา | โฉดเฉาชั่วช้าหน้าด้าน |
เสียศักดิสุริวงษ์พรหมมาน | สาธารณ์ทรลักษณ์ไม่รักตัว |
เจ็บอายกะไรก็ไม่มี | ไหว้กราบกระษัตรีท่วมหัว |
หลงรักเมียเขาเมามัว | ที่ชั่วกลับเห็นว่าเปนดี |
สั่งสอนเสียเปล่าไม่เอาคำ | กูจะซ้ำแช่งชักยักษี |
ขอให้ย่อยยับอัปรี | อย่ามีสิ่งซึ่งสถาวร |
ให้ถอยถดยศถาศักดาเดช | เสื่อมพระเวทวิทยากว่าแต่ก่อน |
ถ้าแม้นออกประจัญบานราญรอน | ให้มอดม้วยด้วยศรพระรามา |
ว่าพลางทางมีปกาสิต | สั่งพระวิศณุกรรม์แกล้วกล้า |
จงพาภัควดีสีดา | ไปส่งสวนอสุราอย่าช้าที |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๑๙๒๙๏ เมื่อนั้น | นวลนางสีดามารศรี |
จะกลับไปไกลองค์พระสามี | ดังเทวีจะวินาศขาดใจ |
อุส่าห์ฝืนอารมณ์บังคมลา | องค์พระไอยกาอัชฌาไศรย |
ก้มกราบพระจักรกฤษณ์ฤทธิไกร | รับไหว้อนุชาแล้วจาบัลย์ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๑๙๓๐๏ บัดนั้น | พระวิศณุกรรม์รังสรรค์ |
จึ่งนำบุษบกแก้วแพรวพรัน | ผายผันไปยังอุทยาน |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๙๓๑๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรศักดากล้าหาญ |
เจ็บใจไอยกาด่าประจาน | อัประมาณเทวาสุราไลย |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งสารถี | ให้กลับรถมณีศรีใส |
ไม่ล่ำลาว่าขานประการใด | คืนเข้าพิไชยลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๙๓๒๏ เมื่อนั้น | ท้าวมาลีวราชนาถา |
จึ่งอวยพรสองกระษัตริย์นัดดา | ให้ฤทธาเทียมทัดอัชบาล |
อันไอ้ทรยศทศกรรฐ์ | ขอให้มันพ่ายแพ้แก่หลาน |
อย่ารู้มีเภทไภยสิ่งใดพาน | เปนประธานเทวาสุราไลย |
ค่อยอยู่เถิดไอยกาจะลาเจ้า | ไปยังเขายอดฟ้าที่อาไศรย |
ว่าแล้วให้เคลื่อนเลื่อนรถไชย | เทพไทแห่แหนแน่นมา |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๙๓๓๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
จึ่งเลิกทัพกลับพลโยธา | คืนไปพลับพลาพนาลี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๙๓๔๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
ครั้นมาถึงลงกาธานี | จรลีเข้ายังวังใน |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๙๓๕๏ นั่งเหนือแท่นสุวรรณบรรจง | จะเปลี่ยนเปลื้องเครื่องทรงก็หาไม่ |
บอกยุบลมณโฑทันใด | พี่แค้นใจไอยกาหนักหนานัก |
เสียแรงให้ไปเชิญเสด็จมา | หมายจะกู้ลงกาอาณาจักร |
เธอกลับให้เปนความกับรามลักษณ์ | ถามซักสอบจนถึงคนกลาง |
ครั้นว่าพี่มีคำติงทุเลา | ช่างกะไรไม่เอาแต่สักอย่าง |
พิพากษาทุจริตผิดทาง | จะให้ข้างเราส่งองค์สีดา |
พี่ไม่ตามบังคับรับสั่ง | เธอชิงชังแช่งชักหนักหนา |
จึ่งเลิกทัพกลับคืนเข้าภารา | มิอยากได้ไหว้ลาให้เสียมือ |
จนชั้นปู่ยังเปนเช่นนี้ได้ | เคราะห์ร้ายนี่กะไรเห็นแล้วฤๅ |
ทีนี้สิ้นที่ปฤกษาหารือ | พลางกอดมือทุกข์ร้อนถอนฤไทย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๙๓๖๏ เมื่อนั้น | นางมณโฑเทวีศรีใส |
ฟังภัศดาเล่าเศร้าเสียใจ | อรไทยมิรู้ที่จะคิด |
ครั้นจะว่าให้ส่งองค์สีดา | เหมือนคำไอยกาปกาสิต |
เห็นทีพระองค์ทรงฤทธิ์ | จะว่าคิดเกียจกันฉันทา |
นึกพลางทางทูลสนองไป | แม้นมิฟังคำไอยกาว่า |
ก็ไม่เสร็จณรงค์ในลงกา | ผ่านฟ้าตรึกไตรดูให้ดี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๙๓๗๏ เมื่อนั้น | ท้าวทศภักตร์ยักษี |
ฟังอัครชายาพาที | อสุรีเร่าร้อนอาวรณ์ใจ |
นิ่งนึกคนึงถึงสงคราม | จะหาญหักลักษณ์รามให้จงได้ |
อันกระบิลพัทหอกไชย | บิตุราชประสาทไว้แต่ยังเยาว์ |
ทั้งพระเวทวิทยากระลากิจ | จะปั้นรูปสุราฤทธิ์ใส่ไฟเผา |
ดีพระไทยสรวลพลางทางตบเพลา | พี่คิดได้แล้วเจ้าเยาวมาลย์ |
อันหอกกระบิลพัทของพี่ | ฤทธิไกรไม่มีใครต่อต้าน |
แต่มิได้บูชาเปนช้านาน | จะต้องไปตั้งการพิธี |
พวกพยานอาสาข้างมนุษย์ | เทพบุตรเทวาทุกราษี |
ปั้นแต่รูปสุมไฟในอัคคี | ก็จะเปนภัศม์ธุลีทั้งโลกา |
แล้วจะไปรบราญหาญหัก | เข่นฆ่ารามลักษณ์กับลิงป่า |
ตรัสบอกมเหษีแล้วลีลา | ออกมาพระโรงคัลทันใด |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เสมอ
๑๙๓๘๏ นั่งเหนือแท่นสุวรรณบัลลังก์ | ตรัสสั่งมโหทรผู้ใหญ่ |
จงพาพวกพลมารทหารใน | ออกไปเชิงพระเมรุบรรพต |
ปลูกโรงพิธีที่คำนับ | เครื่องประดับล้วนแดงแสงสด |
ทั้งบุบผาสารพันคันธรศ | ตามกำหนดว่าไว้ในตำรา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๙๓๙๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งใส่เกษา |
ก้มเกล้ากราบงามสามลา | ออกมารีบรัดจัดกัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๑๙๔๐๏ เบิกผ้าแดงเพดานม่านมุลี่ | สำหรับแต่งโรงพิธีทุกสิ่งสรรพ์ |
กับพวกช่างทหารในได้สามพัน | อสุราพากันรีบไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๙๔๑๏ ครั้นถึงเชิงพระเมรุบรรพต | ที่ทรายกรดริมแนวน้ำไหล |
จึ่งหยุดยั้งสั่งพวกพลไกร | ให้เร่งรัดตัดไม้ในดงดอน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๙๔๒๏ บัดนั้น | อสุรพลอุตลุดไม่หยุดหย่อน |
บ้างผ่าฟากถากเสาเกลากลอน | รีบร้อนรุมกันให้ทันการ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ยานี
๑๙๔๓๏ ปลูกโรงพิธีมีชั้นลด | ที่กลางเนินทรายกรดรโหฐาน |
ประดับด้วยราชวัตรชัชวาลย์ | ผูกเพดานหลังคาล้วนผ้าแดง |
แล้วตั้งที่แท่นรัตน์ปัทมราช | บัลลังก์ลาดผ้าขาวราวพระแสง |
ทั้งกองเพลิงเชิงตะกอนร้อนแรง | ดอกไม้แดงสิบอย่างวางบูชา |
แล้วจึ่งใช้ให้หมู่อสุรินทร์ | แยกไปแกะดินมาเจ็ดท่า |
จัดครบเครื่องสำหรับประดับประดา | เตรียมกันคอยท่าพระยามาร |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๙๔๔๏ เมื่อนั้น | ทศภักตร์ศักดากล้าหาญ |
นั่งรฦกนึกเวทวิชาการ | สังเกตจำชำนาญแน่ใจ |
พอเพลาห้าโมงเก้าบาท | ได้ฤกษ์ราชพิธีคัมภีร์ไสย |
เสด็จจากแท่นแก้วแววไว | คลาไคลไปสรงคงคา |
แต่งองค์ทรงเครื่องเรืองจำรัส | จับหอกกระบิลพัทพระหัดถ์ขวา |
ให้ยกพวกพหลพลโยธา | ออกจากลงกากรุงไกร |
ฯ ๖ คำ ฯ กราว
๑๙๔๕๏ ครั้นถึงโรงพิธีที่หาดทราย | จึ่งหยุดพวกพลนิกายนายไพร่ |
เสด็จจากรัถาคลาไคล | มาทรงเครื่องอำไพพิธี |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๑๙๔๖๏ จึ่งประจงทรงผ้าพื้นแดง | อำมาตย์ช่วยจัดแจงให้ยักษี |
อ่าองค์ทรงเพศเปนโยคี | อสุรีบงเฉียงชมภูพราย |
แล้วคลี่สีทับทิมริมขลิบ | โพกสิบเศียรเกล้าเฉิดฉาย |
ล้วนเครื่องแดงแต่งประดับสำหรับกาย | สอดสายสังวาลประพาฬรัตน์ |
จุณเจิมเฉลิมภักตร์ผุดผาด | สวมประคำปทัมราชเรืองจำรัส |
ครั้นเสร็จสรรพจับหอกกระบิลพัท | เข้าสู่ที่แท่นรัตน์โรงพิธี |
ฯ ๖ คำ ฯ พราหมณ์เข้า
ร่าย
๑๙๔๗๏ จึ่งหยิบดินเจ็ดท่านั้นมาปั้น | เปนรูปเทพเทวัญทุกราศี |
อินทร์พรหมยมราชมาตุลี | บรรดาที่ได้ไปเปนพยาน |
ฯ ๒ คำ ฯ สาธุการ
๑๙๔๘๏ ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพไม่นับได้ | จึ่งใส่ในเพลิงแรงแสงฉาน |
เอาธูปเทียนจุดจัดมัสการ | แล้วโอมอ่านไสยเวทวิทยา |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
ยานี
๑๙๔๙๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงตรีเนตรเจ้าไตรตรึงษา |
กับฝูงเทพเทวัญชั้นฟ้า | ต้องพระเวทอสุราให้ร้อนรน |
จะนั่งอยู่กับที่ก็มิได้ | ดังเปลวไฟติดรุมทุกขุมขน |
เทวบุตรสุดที่จะทานทน | เที่ยวสับสนถามไถ่กันไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๙๕๐๏ โกสีย์จึ่งเล็งทิพเนตร | ก็แจ้งเหตุทศภักตร์ยักษา |
จึ่งบอกแก่ฝูงเทพเทวา | เจ้าลงกาตั้งกิจพิธี |
มันจะเผาเราท่านทั้งหลาย | ให้ม้วยมอดวอดวายทุกราษี |
จำจะรีบไปเฝ้าพระศุลี | จะได้ช่วยชีวีให้รอดไว้ |
ว่าแล้วโกสีย์ก็ลีลาศ | กับฝูงเทวราชน้อยใหญ่ |
ออกจากดาวดึงษาสุราไลย | เหาะไปไกรลาศคิรี |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๑๙๕๑๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบกราน | พระสยมภูวญาณเรืองศรี |
พลางทูลแถลงแจ้งคดี | ตามที่เกิดเหตุเภทพาล |
ทศกรรฐ์ปั้นรูปเทวา | เข้าบูชาเพลิงแรงแสงฉาน |
ครั้งนี้ชีวิตรจะวายปราณ | พระสยมภูวญาณจงปรานี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๙๕๒๏ เมื่อนั้น | องค์พระอิศวรเรืองศรี |
ได้ฟังอมรินทราพาที | พระศุลีเล็งดูก็รู้ความ |
จึ่งตรัสกับเทวาสุรารักษ์ | ทศภักตร์ใจบาปหยาบหยาม |
จะชุบหอกออกไปทำสงคราม | แล้วลวนลามมาเผาเหล่าเทวา |
เราจะให้ไปจัณฑาลหาญหัก | ล้างพิธีทศภักตร์ยักษา |
ว่าพลางทางมีพจนา | ตรัสสั่งเทวาพาลี |
จงจำแลงแปลงรูปเทวราช | เปนพระยากากาศกระบี่ศรี |
บรรดาฝูงเทวัญจันทรี | แปลงเปนกระบี่มีศักดา |
รีบไปล้างพิธีทศกรรฐ์ | ช่วยชีวันเทเวศร์ทุกทิศา |
เข้าชิงไชยให้ชนะอสุรา | สาตราคลาศแคล้วอย่าแผ้วพาน |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๑๙๕๓๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายเทพเทวาศักดาหาญ |
คำนับรับเทวโองการ | ต่างอ่านมนต์นิมิตรด้วยฤทธิรอน |
อันองค์พาลีเทวราช | เปนพระยากากาศชาญสมร |
บริวารเทวาเปนพานร | แผลงอิทธิ์ฤทธิรอนรีบไป |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ กราวนอก
๑๙๕๔๏ ครั้นถึงเนินทรายชายหาด | เห็นโรงราชพิธีกว้างใหญ่ |
จึ่งพาพหลพลไกร | ลงไปพ่างพื้นพสุธา |
เหล่าลิงโยธีบริวาร | ฮึกหาญโห่ร้องก้องป่า |
บ้างถอนต้นไม้ไง้ศิลา | ทิ้งตรงลงหลังคาโรงพิธี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๙๕๕๏ เมื่อนั้น | ทศภักตร์ผุดลุกขึ้นจากที่ |
เขม้นมองป้องหน้าเห็นพาลี | กับกระบี่รี้พลคณนา |
พระยามารนิ่งนึกตรึกตรองตริ | ไอ้นี่สิวายปราณนานหนักหนา |
ไฉนนั่นมันจึ่งกลับเปนมา | อสุราเข็ดขยั้นพรั่นพระไทย |
จึ่งมีสีหนาทประกาศสั่ง | ทั่วทั้งพลนิกายนายไพร่ |
จงตรวจตราเตรียมกันมั่นไว้ | ใครอย่าได้หลบลี้หนีกู |
ฯ ๖ คำ ฯ
๑๙๕๖๏ บัดนั้น | อสุรพลโยธีทั้งสี่หมู่ |
ต่างตระหนกตกใจไม่ทันรู้ | บ้างยัดปืนยืนอยู่คอยยิง |
บ้างถอดดาบจากฝักชักหอก | สอึกออกเงื้อพุ่งยุ่งยิ่ง |
ลางมารพานขี้ขลาดขยาดลิง | วางวิ่งหนีหน้าเข้าป่าไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๙๕๗๏ บัดนั้น | โยธาวานรน้อยใหญ่ |
ต่างสำแดงแผลงฤทธิเกรียงไกร | เข้าไล่โจมจับกับกุมภัณฑ์ |
บ้างฉวยชิงอาวุธยุดแย่ง | ทิ่มแทงยักษาอาสัญ |
พวกกระบี่ตีโบยบุกบัน | พวกกุมภัณฑ์แตกพ่ายกระจายไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๙๕๘๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเห็นยักษ์ตักไษย |
ยี่สิบกรกุมพระแสงแกว่งไกว | เข้าไล่กระบี่รี้พล |
เร็วรวดหวดซ้ายป่ายขวา | โยธาถอยกลับสับสน |
เหล่าลิงวิ่งพ่านไม่ทานทน | มาจนใกล้พระยาพาลี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๙๕๙๏ เมื่อนั้น | องค์พระยากากาศกระบี่ศรี |
สำแดงเดชเดชาเข้าราวี | ต่อตีกับองค์เจ้าลงกา |
เคล่าคล่องป้องปัดผลัดเปลี่ยน | ขึ้นเหยียบเข่าน้าวเศียรยักษา |
ได้ทีฟันฟาดด้วยสาตรา | อสุราหันเหเซไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๙๖๐๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเจียนจักตักไษย |
ยี่สิบกรรอนรันกันไว้ | แขงใจรบรับกับพาลี |
เงื้อหอกกระบิลพัทกวัดแกว่ง | ทิ่มแทงไม่ถูกกระบี่ศรี |
แรงน้อยถอยกำลังลงทุกที | สิ้นมานะผละหนีไปลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๙๖๑๏ เมื่อนั้น | พาลีมีไชยแก่ยักษา |
จึ่งให้พวกพหลพลโยธา | วิดวักตักคงคาดับไฟ |
แล้วเขี่ยรูปสุรารักษ์มัฆวาน | ทิ้งลงชลธารนทีใหญ่ |
บ้างรื้อโรงพิธีมี่ไป | ไม้ไล่คาแฝกแหลกลาญ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๑๙๖๒๏ ครั้นแล้วองค์พระยาพาลี | กับกระบี่รี้พลทวยหาญ |
แผลงฤทธิ์เร่งรีบถีบทยาน | ไปวิมานเมืองฟ้าสุราไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๙๖๓๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริวงษ์เปนใหญ่ |
ครั้นถึงกรุงลงกาคลาไคล | เข้าในปรางรัตน์รูจี |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๑๙๖๔๏ นั่งเหนือแท่นสุวรรณบรรจฐรณ์ | ให้เร่าร้อนฤไทยยักษี |
พลางเล่าแถลงแจ้งคดี | กับมณโฑเทวีทันใด |
บัดนี้ผัวเก่าเจ้าที่ตาย | กลับกลายคืนเปนขึ้นมาได้ |
พาพลพวกลงไปชิงไชย | ทำให้เสียกิจวิทยา |
ครั้งนี้พี่เองเปนจนจิตร | เต็มทีที่จะคิดเข่นฆ่า |
แต่สงครามรามลักษณ์หนักอุรา | มิหนำซ้ำพระยาพาลี |
กลับเป็นสองศึกกระหนาบคาบเกี่ยว | เราสู้รบผู้เดียวนี่โฉมศรี |
จะคิดอ่านแก้ไขอย่างไรดี | อสุรีถอนฤไทยไปมา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๙๖๕๏ เมื่อนั้น | นวลนางมณโฑเสนหา |
ได้ฟังทรงธรรม์บัญชา | กัลยาทูลสนองไปทันใด |
อันพาลีที่จะเปนเห็นผิด | ไม่ควรคิดพะวงสงไสย |
ข้าศึกหากแสร้งแปลงไป | มิใช่ใครคือศรีหณุมาน |
ทั้งนี้พิเภกกุมภัณฑ์ | บอกให้มันตามไปหักหาญ |
หลายครั้งตั้งแต่จัณฑาล | จนเสียการกองกิจพิธี |
ขอพระองค์จงตัดไส้ศึก | ตรองตรึกใคร่ครวญให้ถ้วนถี่ |
ครั้นจะทูลภูวไนยก็ใช่ที | เปนที่ติฉินนินทา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๑๙๖๖๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
เห็นจริงนิ่งนึกตรึกตรา | อสุราจึ่งดำรัสตรัสไป |
ไอ้พิเภกชั่วช้าอาธรรม์ | จะไว้ชีวิตรมันนั้นไม่ได้ |
พี่จะยกพหลพลไกร | ออกไปห้ำหั่นเสียวันนี้ |
จึ่งจะมีไชยชนะลักษณ์ราม | เสร็จสงครามรบพุ่งในกรุงศรี |
ตรัสพลางทางเสด็จจรลี | ออกมาที่พระโรงคัลทันใด |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๑๙๖๗๏ นั่งเหนือแท่นสุวรรณบัลลังก์ | ตรัสสั่งเสนีน้อยใหญ่ |
จงกะเกณฑ์กองทัพฉับไว | กูจะไปสังหารผลาญไพรี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๙๖๘๏ บัดนั้น | มโหทรเสนายักษี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ออกมาจัดโยธีที่น่าวัง |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๑๙๖๙๏ เกณฑ์กระบวนทัพหลวงทัพน่า | ซ้ายขวาปีกป้องกองหลัง |
เลือกล้วนอสุรีมีกำลัง | นายไพร่พร้อมพรั่งตั้งกอง |
ขุนช้างต่างผูกช้างน้ำมัน | เครื่องมั่นสายชนักถักลายสอง |
ทหารม้าถือล้วนทวนทอง | แผงพะนังบังซองหอกซัด |
ขุนรถตระเตรียมเทียมรัถา | งอนน่าธงไชยไหวสบัด |
พลเท้าถือสาตราสารพัด | นับแสนแน่นอัดปัถพี |
บ้างสอดใส่เสื้อแสงตะแบงมาน | แต่งตนอลหม่านอึงมี่ |
โลทันนั้นเทียมรถมณี | เทียบประทับกับที่เกยลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๙๗๐๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
ครั้นพร้อมพหลพลโยธา | เสด็จมาสรงชลบนเตียงทอง |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๙๗๑๏ ชำระสระสนานนที | กำนัลนางนารีสีขนอง |
ทรงสุคนธาธารใส่พานรอง | สนับเพลาปักกรองเปนช่องชั้น |
ภูษายกแย่งครุธภุชงค์ | ฉลององค์เกราะนวมสวมกระสัน |
ชายแครงเครือวิหคกระหนกพัน | ห่วงห้อยสร้อยสุวรรณกันถอบทับ |
กรองสอสังเวียนวิเชียรช่วง | ทับทรวงดวงมณีสีสลับ |
สังวาลแววแก้วภุกามวามวับ | เฟื่องห้อยพลอยประดับกุดั่นดุน |
ปั้นเหน่งเพ็ชรพรรณรายสายสร้อยอ่อน | ทองกรซ้อนสวมนวมหนุน |
ธำมรงค์เพ็ชรมณฑปนพคุณ | มงกุฎกุณฑลแก้วกรรเจียกจร |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๑๙๗๒๏ ครั้นเสร็จสรรพจับหอกกระบิลพัท | ลงจากปราสาทรัตน์ประภัศร |
ออกประตูหูช้างข้างอุดร | ยกนิกรกองน่าคลาไคล |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน
โทน
๑๙๗๓๏ รถเอยราชรถทรง | เสียงกงก้องสนั่นหวั่นไหว |
โตกตั้งบัลลังก์แก้วแววไว | งอนรหงธงไชยโบกบน |
เทียมไกรสรราชผาดผยอง | ดังจะล่องลอยฟ้าเวหาหน |
เครื่องสูงบังแสงสุริยน | เบื้องบนบดคลุ้มชอุ่มควัน |
เสียงสังข์เสียงแตรแซ่ซ้อง | ฆ้องกลองโครมครึกพิฦกลั่น |
พวกพหลพลมารชาญฉกรรจ์ | แห่แหนแน่นนันพนาไลย |
ต่างสำแดงแผลงเดชเดชา | สเทือนท้องหิมวาป่าใหญ่ |
สัตวสิงวิ่งหนีเข้าพงไพร | เร่งร้นพลไกรเกรียวมา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๙๗๔๏ ครั้นถึงที่รณรงค์ยงยุทธ | จึ่งยั้งหยุดพลนิกายซ้ายขวา |
ตั้งที่สีหนามตามตำรา | โยธาโห่ร้องก้องป่าไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๑๙๗๕๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
เสด็จออกนั่งน่าพลับพลาไชย | เสนาในอภิวาทดาษดา |
เบื้องซ้ายฝ่ายชมภูพานรินทร์ | พวกนครขีดขินอยู่เบื้องขวา |
พระทรงคิดการศึกตรึกตรา | จะเข่นฆ่าทศกรรฐ์ให้บรรไลย |
พอได้ยินสำเนียงเสียงโห่ร้อง | กึกก้องกัมปนาทหวาดไหว |
จึ่งตรัสถามพิเภกทันใด | ทัพใครยกมาเพลานี้ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๑๙๗๖๏ บัดนั้น | จึ่งพระยาพิเภกยักษี |
คำนับรับสั่งพระจักรี | พลางจับยามตามคัมภีร์โหรา |
แล้วลงเลขไล่ดูรู้ประจักษ์ | จึ่งทูลพระหริรักษ์นาถา |
ทัพนี้คือองค์เจ้าลงกา | จะยกมาหักหาญราญรอน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๙๗๗๏ เมื่อนั้น | พระนารายน์สุริวงษ์ทรงศร |
ฟังคำโหราพยากรณ์ | ภูธรสมถวิลยินดี |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งสุครีพ | จงเร่งรีบเกณฑ์พลกระบี่ศรี |
เราจะยกยาตราเพลานี้ | ไปต่อตีกับองค์เจ้าลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๙๗๘๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษา |
ก้มเกล้ากราบงามสามลา | ออกมาเร่งรัดจัดทัพ |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๑๙๗๙๏ เกณฑ์นิกรกองน่ากล้าแขง | ปีกป้องกองแซงเสร็จสรรพ |
กองหลวงกองหลังคั่งคับ | ตามตำหรับรณรงค์ยงยุทธ |
ลางตนตัวดีขึ้นขี่เสือ | ใส่เสื้อสักลาดผาดผุด |
บ้างขี่กระบือถือปืนคาบชุด | คาดตะกรุดลงยันต์กันตัว |
ลางลิงถือตรีขี่เลียงผา | ตะพายย่ามลว้าผ้าโพกหัว |
บ้างใส่หมวกตุ้มปี่ขี่วัว | แกว่งหอกปลอกตะกั่วกึงกัง |
บ้างขี่ช้างแม่แปรกแบกปืน | นั่งยืนยั้วเยี้ยอยู่บนหลัง |
แล้วเทียมเวไชยันต์บัลลังก์ | พร้อมพรั่งตั้งกระบวนทวนธง |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๑๙๘๐๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกสูงส่ง |
จึ่งชวนพระอนุชาโฉมยง | มาสระสรงวารินกลิ่นเกลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๑๙๘๑๏ ขัดสีฉวีวรรณผุดผ่อง | ทรงสุคนธ์ปนทองเนื้อเก้า |
พระฉายตั้งคันฉ่องส่องเงา | สอดใส่สนับเพลาเพราผจง |
ภูษายกแย่งยุดครุธอัด | โจงกระหวัดไว้วางหางหงษ์ |
โหมดเทศริ้วทองฉลององค์ | กระสันทรงเจียรบาดคาดทับ |
ตาบทิศทับทรวงดวงกุดั่น | สังวาลวรรณเฟื่องห้อยพลอยประดับ |
สวมใส่ทองกรซ้อนซับ | ธำมรงค์เรืองระยับจับตา |
ทรงมงกุฎแก้วแพรวพราย | กรรเจียกจรจำหลักลายซ้ายขวา |
จับพระแสงศรสิทธิ์ฤทธา | เสด็จจากพลับพลาพนาวัน |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๑๙๘๒๏ ทหารลิงยิงปืนเอาฤกษ์ | เอิกเกริกโห่ร้องก้องสนั่น |
ให้ยกโยธาทัพฉับพลัน | เดินทางหว่างอรัญบรรพต |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๑๙๘๓๏ รถเอยราชรถทรง | ดุมวงกงแก้วมรกฎ |
บุษบกน่าบันชั้นลด | งอนรถปักธงลงยันต์ |
เทียมเทพอาชาพาชี | สารถีขี่ขับแขงขัน |
เครื่องสูงจามรทอนตระวัน | ฉัตรชั้นชุมสายรายเรียง |
สังข์แตรกลองประโคมโครมครึก | ก้องกึกกังวานประสานเสียง |
ทวยหาญโห่ร้องซ้องสำเนียง | พ่างเพียงพระสุเมรุจะเอนลง |
นกหกหงษ์ห่านทยานเหิน | สัตวสิงวิ่งตระเพิ่นไพรรหง |
เร่งรถรีบรัดจัตุรงค์ | หมายตรงมาสมรภูมิ์ไชย |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๑๙๘๔๏ ครั้นถึงที่ประจญรณรงค์ | แลเห็นธงทัพยักษ์ปักไสว |
ให้หยุดยั้งตั้งมั่นลงไว้ | คอยจะชิงไชยด้วยไพรี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๙๘๕๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
เห็นพระรามยกมาจะราวี | โยธีเกลื่อนกลาดดาษดา |
โกรธกริ้วกระทืบบาทประกาศสั่ง | เหวยนายทัพทั้งซ้ายขวา |
เร่งขับพหลพลโยธา | เข้าพิฆาฏเข่นฆ่าวานร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๙๘๖๏ บัดนั้น | เสนานายทหารชาญสมร |
ต่างแกว่งสาตราคทาธร | ไล่ต้อนโยธีเข้าตีทัพ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๑๙๘๗๏ บัดนั้น | พลนิกายกองร้อยปล่อยปืนตับ |
บ้างกวัดแกว่งหอกดาบวาบวับ | เข้ารบรับกับกระบี่รี้พล |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๑๙๘๘๏ บัดนั้น | โยธาวานรสับสน |
หลอนหลอกกลอกกลับจับประจญ | ต่างตนไล่ตระหลบรบยักษ์ |
บ้างง้างได้ก้อนหินศิลา | ทิ้งถูกอสุราขาแขนหัก |
บ้างฉวยชิงอาวุธฉุดชัก | ประหารยักษ์แตกตายกระจายไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๙๘๙๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์กริ้วโกรธดังเพลิงไหม้ |
เห็นอสูรเสียทีกระบี่ไพร | จึ่งโจนจากรถไชยเข้าช่วยพล |
ยี่สิบกรกุมพระแสงแกว่งกวัด | ไล่สกัดรบรับสับสน |
ตีลิงวิ่งพ่านไม่ทานทน | เข้าไปจนน่ารถพระรามา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๙๙๐๏ เมื่อนั้น | พระรามเรืองฤทธิ์ทุกทิศา |
กับองค์พระลักษณ์อนุชา | ลงจากรัถาทันที |
ออกกั้นกางขวางหน้าทศกรรฐ์ | แกว่งศรรอนรันยักษี |
พระลักษณ์ช่วยเชษฐาราวี | ถ้อยทีกลอกกลับจับประจัญ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๙๙๑๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรฤทธิแรงแขงขัน |
พิโรธโกรธเกรี้ยวเคี้ยวฟัน | ผินผันภักตร์เห็นอนุชา |
จึ่งชี้หน้าว่าเหวยไอ้พิเภก | เจ้าโหรเอกรู้หลักหนักหนา |
ครั้งนี้ชีวิตรจะมรณา | แล้วยักษาหมายมุ่งพุ่งหอกไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๙๙๒๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์รัศมีศรีใส |
ออกรับรองป้องกันพิเภกไว้ | กระบิลพัทพลัดไปต้องพระชงฆ์ |
กระชากชักเท่าไรก็ไม่หลุด | เซทรุดเสียวจิตรด้วยพิศม์สง |
เหล่าลิงวิ่งเข้าประคององค์ | พระสลบซบลงไม่สมประดี |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๑๙๙๓๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์เรืองศรี |
เห็นหอกต้องน้องรักร่วมชีวี | ภูมีตระหนกตกใจ |
ยิ่งพิโรธโกรธกริ้วทศกรรฐ์ | โน้มคันศรทรงก่งขึ้นได้ |
น้าวเหนี่ยวเรี่ยวแรงแผลงไป | เสียงสนั่นหวั่นไหวในโลกา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๑๙๙๔๏ ศรฉวัดเฉวียนเวียนวง | รอบองค์ทศภักตร์ยักษา |
แล้วไปต้องม้ารถคชา | ทั้งโยธาตายยับนับพัน |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๑๙๙๕๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรรังสรรค์ |
ครั้นจะเข้าหักโหมโรมรัน | เห็นเวลาสายัณห์ลงไรไร |
จึ่งสั่งให้นายหมวดตรวจตรา | โยธาเหลือตายทั้งนายไพร่ |
เสด็จขึ้นรถแก้วแววไว | กลับพลสกลไกรเข้าลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๑๙๙๖๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
ครั้นทัพยักษ์ยกกลับไปลับตา | จึ่งวิ่งมาประคองพระน้องรัก |
เห็นแน่นิ่งระงับหลับเนตร | ค่อยสอดกรช้อนเกษขึ้นวางตัก |
ชลไนยไหลหลั่งลงโซมภักตร์ | กอดพระลักษณ์ครวญคร่ำร่ำไร |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
โอ้
๑๙๙๗๏ โอ้พ่อเพื่อนชีวีของพี่เอ๋ย | ไม่ควรเลยน้องรักมาตักไษย |
ฤๅเคลิ้มองค์หลงเมินประมาทไป | มิทันได้รับรองป้องกัน |
เหมือนครั้งก่อนก็ต้องนาคบาศ | ทั้งพรหมมาศโมกขศักดิ์จักอาสัญ |
พิเภกหายาประกอบแก้ทัน | จึ่งไม่ม้วยชีวันบรรไลย |
อันครั้งนี้พี่ยาก็มาด้วย | ควรฤๅไม่ช่วยพระน้องได้ |
เหมือนหนึ่งไม่มีฤทธิไกร | จะอยู่ไยให้หนักธรณี |
ว่าพลางทางทรงโศกา | จนเพลาสิ้นแสงสุรศรี |
ทั้งลิงเหล่าท้าวพระยาโยธี | ก็โศกีรักพระอนุชา |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๑๙๙๘๏ ครั้นค่อยเคลื่อนคลายวายเทวศ | พระราเมศนึกพวังกังขา |
จึ่งแขงขืนฝืนจิตรจำนรรจา | ถามพระยาพิเภกไปทันใด |
ซึ่งหอกต้องน้องรักเราครั้งนี้ | ยังจะมีหยูกยารักษาได้ |
ฤๅมอดม้วยอาสัญบรรไลย | จะแก้ไขไม่ฟื้นคืนชีวี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๑๙๙๙๏ บัดนั้น | พิเภกประนตบทศรี |
จึ่งทูลว่ายาแก้หอกนี้ | พระศุลีสาปไว้ในโลกา |
เปนโอสถสามอย่างกลางไพรสณฑ์ | ชื่อว่าต้นตู่ตัวพฤกษา |
กับทั้งสังกรณีตรีชวา | ที่ภูผาสญชีพสัญญี |
ตามตำหรับกับมูลโคดำ | อยู่ในถ้ำอินทการคิรีศรี |
แต่แม่หินจะบดโอสถนี้ | ท้าวนาคีรักษาไว้บาดาล |
ลูกหินบดทศกรรฐ์เก็บไว้ | หนุนเศียรอยู่ในราชฐาน |
ขอพระองค์ทรงดำริห์ตริการ | ใช้ทหารหายามาให้ทัน |
จะได้แก้องค์พระอนุชา | ให้รอดชีพชนมาไม่อาสัญ |
แม้นรุ่งรางส่างแสงสุริยัน | น่าที่ชีวันจะบรรไลย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๐๐๐๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
ฟังพิเภกพาทีดีพระไทย | ภูวไนยจึ่งมีพระบัญชา |
ดูก่อนคำแหงหณุมาน | ตัวท่านจงรับอาสา |
ไปเอาสังกรณีตรีชวา | กับหินบดยามาบัดนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๐๐๑๏ บัดนั้น | วายุบุตรรับสั่งใส่เกษี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ขุนกระบี่ก้มกรานคลานออกมา |
จึ่งอ้าโอษฐโชติช่วงเปนดวงเดือน | สว่างเหมือนกลางวันก็หรรษา |
กำหนดจำคำพิเภกโหรา | แผลงอิทธิฤทธาเหาะไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๐๐๒๏ ถึงตำบลสญชีพคิรี | จึ่งเหาะตรงลงที่เนินไศล |
เห็นลัดาวานรที่พันไม้ | ก็ขุกคิดขึ้นได้ด้วยปัญญา |
ชรอยเถาหัวลิงสิ่งนี้ | คือต้นตู่ตัวที่พิเภกว่า |
แต่สังกรณีตรีชวา | เปนพฤกษาสิ่งไรยังไม่รู้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ยานี
๒๐๐๓๏ เมื่อนั้น | เทวาอารักษ์ซึ่งสิงสู่ |
ได้ยินเสียงกึกก้องก็มองดู | แลเห็นลิงเผือกผู้ปลาดใจ |
จึ่งร้องทักถามว่าวานร | ถิ่นฐานนานดรท่านอยู่ไหน |
มีธุระกังวลกลใด | จะทำไมจึ่งมาในราตรี |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๒๐๐๔๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานชาญไชยศรี |
เห็นอารักษ์ทักถามก็ยินดี | ขุนกระบี่แจ้งจริงทุกสิ่งไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๐๐๕๏ เมื่อนั้น | เทวดาได้ยินสิ้นสงไสย |
จึ่งตอบว่าวานรอย่าร้อนใจ | เราจะให้ทุกสิ่งสรรพยา |
แล้วบอกกับขุนกระบี่ชี้ให้ดู | ต้นหัวลิงเลื้อยอยู่ริมภูผา |
โน่นสังกรณีตรีชวา | แล้วช่วยเก็บสรรพยากับวานร |
ฯ ๔ คำ ฯ ใช้เรือ
๒๐๐๖๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานชาญสมร |
จึ่งมัดยาหาไม้ทำคานคอน | แล้วถามถึงศิงขรอินทการ |
ครั้นเทเวศร์บอกให้ได้สำคัญ | ก็หมายมั่นไม่ผิดทิศอิสาณ |
ออกจากเขาสญชีพถีบทยาน | ไปคิรินอินทกาลด้วยฤทธา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๐๐๗๏ เหาะตรงลงชวากปากถ้ำ | เห็นโคดำยืนอยู่ในคูหา |
จึ่งเข้าไปแถลงแจ้งกิจจา | ขอมูลพระยาคาวี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๐๐๘๏ ครั้นได้ดังจิตรคิดหมาย | ลูกพระพายลงจากคิรีศรี |
แผลงฤทธิ์ชำแรกแทรกปัถพี | ไปภาราวาสุกรีเกรียงไกร |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๐๐๙๏ ถึงพิภพภุชงค์ทำองอาจ | ขึ้นปราสาทแก้วมณีศรีใส |
เห็นพระยานาคีก็ดีใจ | จึ่งบอกให้รู้แจ้งกิจจา |
บัดนี้น้องพระหริรักษ์ | ต้องหอกทศภักตร์ยักษา |
จะขอยืมเอาหินศิลา | ขึ้นไปบดยาในราตรี |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๐๑๐๏ เมื่อนั้น | พระยากาลนาคเรืองศรี |
ฟังคำคิดดูรู้คดี | พระจักรีอวตารมาผลาญยักษ์ |
จึ่งส่งศิลาให้วานร | กล่าวสุนทรแถลงแจ้งประจักษ์ |
อันลูกหินบดทศภักตร์ | เอาไปรักษาไว้ในลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๐๑๑๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานหาญกล้า |
ดีใจได้หินบดยา | จึ่งอำลาลงจากปราสาทไชย |
รีบออกนอกนิเวศน์วาสุกรี | แทรกพื้นปัถพีขึ้นมาได้ |
สำแดงแผลงอิทธิ์ฤทธิไกร | เหาะไปลงกาธานี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๐๑๒๏ ครั้นถึงนัคเรศเขตรสถาน | เห็นหมู่มารรักษาทุกน่าที่ |
ข้างในวังนั่งยามตามอัคคี | ขุนกระบี่จึ่งสกดนิทรา |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๒๐๑๓๏ เดชะพระเวทให้วิบัติ | เปนลมพัดต้องพวกยักษา |
เงียบรงับหลับสิ้นทั้งภารา | จึ่งเหาะลงตรงมหาปราสาทไชย |
แล้วอ่านเวทวิทยาของวานร | เบิกบานบัญชรเข้าไปได้ |
แสงประทีปเทียนสว่างกระจ่างไป | ก็เข้าในบรรจฐรณ์ทศกรรฐ์ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๒๐๑๔๏ เห็นองค์อสุรานิทราหลับ | เคียงกับมณโฑสาวสวรรค์ |
ยิ่งอึดอัดขัดแค้นเคี้ยวฟัน | จะใคร่ผลาญชีวันให้บรรไลย |
แล้วอดจิตรคิดกลัวเกินรับสั่ง | หยุดยั้งยืนเขม้นมันไส้ |
จำจะทำทรมานประจานไว้ | ให้สมสาแก่ใจอสุรี |
ว่าพลางทางผลักพลิกกลับ | เอาผมผูกติดกับมเหษี |
แล้วซ้ำเสี่ยงสัจจาวาที | ข้าทำนี้จะให้มันได้อาย |
อันอาวุธสาตราสารพัด | จะเชือดตัดอย่าขาดเหมือนมาดหมาย |
ถึงมีผู้รู้มนต์มากมาย | จะแก้ไขอย่าได้คลายเคลื่อนคลา |
แล้วเขียนลักษณ์อักษรเปนสำคัญ | ที่หน้าผากทศกรรฐ์ยักษา |
แม้นจะใคร่ได้พ้นทรมา | จงทำตามตำราเราว่าไว้ |
ให้เมียชกหัวผัวสามที | ผมนี้จึ่งจะหลุดออกได้ |
แล้วผลักเศียรสองกระษัตริย์พลัดไป | ฉวยได้ลูกหินดังจินดา |
ออกทางช่องสุวรรณบัญชร | วานรเผ่นเหาะขึ้นเวหา |
แบกหินบดกับสรรพยา | รีบมายังสมรภูมิ์ไชย |
ฯ ๑๔ คำ ฯ เชิด
๒๐๑๕๏ ครั้นถึงจึ่งลงปัถพี | เข้าเฝ้าพระจักรีแล้วกราบไหว้ |
ถวายสรรพยานั้นทันใด | แล้วทูลให้ทราบยุบลแต่ต้นมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๐๑๖๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
เห็นโอสถสมถวิลจินดา | จึ่งบัญชาชมคำแหงหณุมาน |
หนทางไกลไปแทบทั่วทวีป | ยังเร็วรีบกลับมาเหมือนว่าขาน |
ได้ทั้งสิ่งของที่ต้องการ | ซ้ำประจานอสุราให้สาใจ |
เปนความชอบหลายครั้งทั้งคราวนี้ | ผู้ใดไม่มีเปรียบได้ |
ว่าพลางสั่งพิเภกทันใด | จงคิดการแก้ไขพระอนุชา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๐๑๗๏ บัดนั้น | พิเภกรับสั่งใส่เกษา |
ประสมโอสถวางกลางศิลา | อ่านเวทวิทยาแล้วบทไป |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๒๐๑๘๏ ครั้นเสร็จหยิบยานั้นมาพอก | พิศม์หอกสิ้นสุดหลุดออกได้ |
บริกรรมซ้ำเป่าลงทันใด | บัดใจก็คืนฟื้นสมประดี |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๒๐๑๙๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ทรงสวัสดิรัศมี |
จึ่งบังคมก้มกราบพระจักรี | ทูลคดีที่ประจญรณรงค์ |
ทศกรรฐ์มันพุ่งหอกมา | หมายจะฆ่าพิเภกให้ผุยผง |
ข้ารับรองป้องปัดด้วยศรทรง | จึ่งถูกชงฆ์ชีวันแทบบรรไลย |
นี่หากพระเชษฐามาด้วย | โปรดช่วยน้องรักไม่ตักไษย |
พระคุณล้ำลบภพไตร | จะได้สืบสนองรองบาทา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๐๒๐๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
จึ่งตรัสปลอบตอบคำอนุชา | แก้วตาของพี่เพียงชีวัน |
ถ้าแม้นเจ้าวายวางกลางสงคราม | พี่จะตามน้องยาอาสัญ |
ทุกข์ศุขสิ่งไรไม่ไกลกัน | อย่าควรคิดประหวั่นพรั่นใจ |
ว่าพลางทางสั่งให้กลับทัพ | คั่งคับพลนิกายนายไพร่ |
จุดคบเพลิงสว่างกลางไพร | โห่สนั่นหวั่นไหวไปพลับพลา |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๒๐๒๑๏ บัดนั้น | พวกพลอสุรศักดิยักษา |
ได้ยินเสียงขานโห่เปนโกลา | ต่างฟื้นตื่นตาตกใจ |
ลุกขึ้นเก้กังกำลังดึก | สำคัญว่าข้าศึกเข้าเมืองได้ |
พวกขึ้นป้อมล้อมวังเวียงไชย | ฉวยชุดจุดปืนใหญ่ตึงตัง |
หญิงชายชาวบ้านร้านช่อง | บ้างขนของทลายฝาน่าถัง |
ผ้าผ่อนพันพุงพะรุงพะรัง | เอาเงินทองเที่ยวฝังแฝงไว้ |
เหล่าพวกแก่ชราตาบอด | ไปไหนไม่รอดนั่งร้องไห้ |
ตะโกนเรียกกันอึงคนึงไป | คิดว่าเกิดเพลิงไหม้เมืองมาร |
บ้างก็แบกที่นอนหมอนฟูก | เสียงเอะอะอุ้มลูกจูงหลาน |
วิ่งหนีล้มลุกคุกคลาน | สับสนอลหม่านทั้งภารา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ช้า
๒๐๒๒๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษา |
บรรธมเหนือพระแท่นแว่นฟ้า | กับมณโฑโสภาลาวรรณ |
ค่อยส่างเวทวิทยาพานรินทร์ | พอได้ยินเสียงสเทือนเลื่อนลั่น |
สดุ้งตื่นฟื้นกายกุมภัณฑ์ | ผิดประหลาดหวาดหวั่นวิญญา |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๒๐๒๓๏ จะลุกจากบรรธมผมผูกตึง | ยิ่งดึงยิ่งแน่นแค้นหนักหนา |
เข้าผลักนางมณโฑด้วยโกรธา | นี่นอนทับผมข้าไว้ว่าไร |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๐๒๔๏ เมื่อนั้น | นางมณโฑรู้สึกนึกสงไสย |
เห็นพระภัศดาคร่าผมไป | ตกใจนางลากกระชากมา |
ฉุดชักขวักไขว่อยู่ในที่ | ถ้อยทีชิงแก้เกษา |
จะเย่อแย่งอย่างไรไม่เคลื่อนคลา | ต่างว่านี่ทำประการใด |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๐๒๕๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรหลากจิตรคิดสงไสย |
ดูเขนยเคยหนุนสูญหายไป | บัญชรไชยเปิดอยู่ก็รู้ความ |
ชรอยพวกรามาพานรินทร์ | มาลักหินแล้วมิหนำซ้ำหยาบหยาม |
ยิ่งเร่าร้อนฤไทยดังไฟลาม | มีแต่ความน้อยหน้าประจามิตร |
พลางเหลียวมาคว้าหยิบพระขรรค์คม | เข้าเชือดผมไม่ขาดประหลาดจิตร |
ดีร้ายไอ้ไพรีมันมีฤทธิ์ | เศกไว้ให้ติดอยู่อย่างนี้ |
แม้นจะแก้แต่กระหัษฐเห็นขัดสน | จำจะให้ไปนิมนต์พระฤๅษี |
มาช่วยแก้เกษาในราตรี | เห็นทีจะพ้นทรมาน |
คิดพลางทางดำรัสตรัสสั่ง | เถ้าแก่ใครนั่งอยู่นอกม่าน |
ออกไปบอกเสนาอย่าช้าการ | นิมนต์พระอาจารย์มาบัดนี้ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๐๒๖๏ บัดนั้น | เถ้าแก่รับสั่งใส่เกษี |
ตกใจไม่รู้ว่าร้ายดี | ก็รีบไปยังที่ทวารา |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๒๐๒๗๏ ร้องเรียกออกไปแต่ในประตู | ใครอยู่เวรบ้างที่ข้างน่า |
รับสั่งให้ไปนิมนต์พระสิทธา | เข้ามายังนิเวศน์วังใน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๐๒๘๏ บัดนั้น | เสนีฟังว่าไม่ช้าได้ |
เรียกกันอุตลุดจุดคบไฟ | รีบไปเขานินทกาลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๐๒๙๏ ถึงกุฎีที่อยู่พระนักสิทธิ์ | แลดูประตูปิดไว้แน่นหนา |
จึ่งร้องเรียกเข้าไปมิได้ช้า | พระสิทธาตื่นอยู่ฤๅอย่างไร |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๐๓๐๏ เมื่อนั้น | พระมุนีนอนระงับหลับใหล |
แว่วเสียงประสกตื่นตกใจ | เอออะไรใครมาเรียกหากู |
พอได้ยินเกาะเกาะเคาะฝา | ฤๅจะเปนผ้าป่าปลาดอยู่ |
จึ่งแกล้งทำกระแอมไอให้รู้ | เงี่ยหูตรับฟังอยู่ข้างใน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๐๓๑๏ บัดนั้น | เสนีที่เปนนายใหญ่ |
ได้ยินเสียงพระฤๅษีก็ดีใจ | จึ่งร้องบอกเข้าไปมิได้ช้า |
รับสั่งใช้ให้ข้ามานิมนต์ | ด้วยมีกิจกังวลหนักหนา |
จงเร่งรีบเข้าไปในภารา | โปรดเถิดพระสิทธาอย่าช้าที |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๐๓๒๏ เมื่อนั้น | พระโคบุตรมหาฤๅษี |
จึ่งว่าถ้าแต่แรกรู้กระนี้ | กูมิอยากขานขี้คร้านไป |
ว่าพลางห่มดองครองผ้า | เปิดฝาโถหยิบเอาเหล็กไหล |
ออกจากศาลาคลาไคล | เสนาในนำมาในราตรี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๐๓๓๏ ครั้นถึงวังยั้งหยุดอยู่ข้างน่า | พอเถ้าแก่ออกมาเร่งฤๅษี |
พระดาบศจดจ้องจรลี | เข้าในที่ทศกรรฐ์ทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๐๓๔๏ เห็นองค์อสุรีกับสีกา | นั่งแก้เกษาก็สงไสย |
เขม้นมองร้องถามว่าเปนไร | นั่นทำไมอย่างนั้นขันสิ้นที |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๐๓๕๏ เมื่อนั้น | สองกระษัตริย์มัสการพระฤๅษี |
จึ่งบอกแจ้งกิจจาว่าวันนี้ | โยมกรีธาทัพไปรับรบ |
เข้าประจันกันอยู่สักครู่พัก | ข้าพุ่งหอกต้องพระลักษณ์ล้มสลบ |
ต่อสิ้นแสงสุริยาเวลาพลบ | จึ่งเลิกพวกพลรบมากรุงไกร |
ข้านิทราข้าศึกลอบสกด | มันลักลูกหินบดไปเสียได้ |
แล้วมิหนำซ้ำผูกผมไว้ | เจ็บใจเปนพ้นพันทวี |
จะฉุดชักเชือดตัดไม่ขาดเด็ด | มันทำเคล็ดอย่างไรไม่รู้ที่ |
ต้องให้ไปนิมนต์พระมุนี | มาช่วยแก้เกษีที่ผูกพัน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๐๓๖๏ เมื่อนั้น | พระโคบุตรแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
จึ่งบ่นว่าน่าสงสารทศกรรฐ์ | สารพันจะรยำซ้ำร้าย |
เมื่อหลับนอนไม่รวังมั่งเลย | แต่เขนยหนุนไว้ยังให้หาย |
มันผูกผมพลอยพาสีกาอาย | ช่างทำขายหน้ากูครูบา |
บ่นพลางทางว่ากับสององค์ | ให้ก้มเกษาลงตรงหน้า |
ถือประคำสำรวมวิญญา | โอมอ่านคาถาทันใด |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๒๐๓๗๏ เศกเป่าเท่าไรก็ไม่หลุด | ทั้งสองมือยื้อฉุดก็ไม่ไหว |
ฉวยพระขรรค์เข้าเชือดด้วยเดือดใจ | มิได้หลุดเลื่อนเคลื่อนคลา |
ฯ ๒ คำ ฯ กระบองกัน
๒๐๓๘๏ พอเห็นรอยจาฤกเหมือนหมึกศัก | ที่หน้าผากทศภักตร์ยักษา |
อ่านดูรู้แจ้งกิจจา | พระสิทธาลูบอกตกใจ |
จึ่งบอกท้าวทศกรรฐ์ทันที | เพราะเช่นนี้กูจึ่งแก้ไม่ไหว |
มันหยามหยาบสาปสันประสกไว้ | จะบอกเองเกรงใจพ้นปัญญา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๐๓๙๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์ได้ฟังก็กังขา |
จึ่งซักไซ้ไต่ถามพระสิทธา | มันหยาบช้าว่าขานประการใด |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๐๔๐๏ เมื่อนั้น | พระอาจารย์จึ่งแจงแถลงไข |
มันเขียนเปนลายมือหนังสือไทย | บอกไว้ให้ทำเหมือนตำรา |
แม้นจะใคร่ให้ผมเลื่อนหลุด | สิ้นสุดสาปสันที่มันว่า |
จงให้นางมณโฑโสภา | ชกศีศะอสุราลงสามที |
วิบากกรรมทำกระไรได้เล่า | ก้มหัวให้เขาเถิดยักษี |
จะอับอายกันไปทำไมมี | อันรูปนี้สิ้นมนต์จนใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๐๔๑๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์รันทดถอนใจใหญ่ |
มิรู้ที่จะคิดอ่านประการใด | ให้เร่าร้อนฤไทยดังไฟพิศม์ |
จึ่งเหลียวมาว่ากับมเหษี | ครั้งนี้ขัดสนจนจิตร |
ทั้งองค์พระโคบุตรก็สุดคิด | ผมยังติดกันอยู่ดูเวทนา |
มันสาปสันฉันใดในหนังสือ | เจ้าทำเถิดพี่ไม่ถือโทษา |
ว่าพลางทางก้มกายา | อสุราขวยเขินเมินภักตร์ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๐๔๒๏ เมื่อนั้น | นางมณโฑเทวีมีศักดิ |
จะต้องต่อยเกษาพระยายักษ์ | นงลักษณ์คิดขยั้นพรั่นใจ |
ทั้งต่อหน้าดาบศอดสู | เปนมิรู้ที่จะทำกระไรได้ |
ทางก้มภักตราโศกาไลย | สอึกสอื้นไห้ไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๒๐๔๓๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
จึ่งว่ากับมณโฑด้วยโกรธา | ยังจะมารอรั้งนั่งตะบอย |
ดูเถิดเจ้าขาพระอาจารย์ | เมื่อดีฉานยอมให้แล้วไม่ต่อย |
มันน่าเดือดเลือดตาจะหยดย้อย | ยังครวญคร่ำสำออยเอาอะไร |
ประเดี๋ยวนี้ก็จะสว่าง | น้อยฤๅช่างกิริยาอัชฌาไศรย |
ฤๅเห็นมันเหมาะงามก็ตามใจ | ทิ้งไว้ดูเล่นอยู่เช่นนี้ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๐๔๔๏ เมื่อนั้น | พระอาจารย์จึ่งว่าอย่าจู้จี้ |
นี่แน่นางมณโฑเทวี | ชกเสียสามทีรู้แล้วไป |
ถึงมาทแม้นมันจะอัปมงคล | จึ่งจะทำน้ำมนต์มารดให้ |
อยู่ด้วยกันเท่านี้ไม่มีใคร | เขาถามไถ่ก็ไม่บอกดอกสีกา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๐๔๕๏ เมื่อนั้น | นวลนางมณโฑเสนหา |
มิรู้ที่จะขืนขัดภัศดา | พลางเช็ดชลนาแล้วพาที |
น้องขอษมาลาโทษ | พระองค์จงโปรดเกษี |
แล้วค่อยค่อยต่อยศีศะสามี | ผมคลี่คลายเคลื่อนเลื่อนหลุดไป |
ฯ ๔ คำ ฯ รัว
๒๐๔๖๏ เมื่อนั้น | พระดาบศอดยิ้มมิใคร่ได้ |
จึ่งว่ากับทศกรรฐ์ทันใด | อย่าเสียใจย่อท้อต่อศัตรู |
จงคิดอ่านการณรงค์สงคราม | ให้แก้ความอัปรยศอดสู |
แม้นขัดขวางอย่างไรไปหากู | จะได้ร่ำเรียนรู้สำหรับตัว |
นางมณโฑเทวีสีกา | ไม่อุส่าห์ตักเตือนสติผัว |
เพราะหลับนอนขี้เซาเมามัว | มันผูกหัวไว้เล่นเช่นมะพร้าว |
แต่นี้ไปเมื่อน่าอย่าประมาท | จงฟังอาตมาว่ากล่าว |
พูดพลางเผยแกลแลดูดาว | เห็นฟ้าขาวจวนแจ้งแสงตวัน |
จึ่งลาท้าวทศภักตร์ยักษี | พระมุนีสำรวมกายผายผัน |
ลงจากปราสาทแก้วแพรวพรัน | ไปศาลาอารัญด้วยฤทธี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
ช้า
๒๐๔๗๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี |
ให้กลุ้มกลัดขัดใจไพรี | มาย่ำยีหยาบคายไม่วายคิด |
แต่ผูกผมแล้วมิหนำซ้ำสาปไว้ | จำเภาะให้เมียต่อยน่าน้อยจิตร |
โอ้อกเอ๋ยอัปรยศทศทิศ | ถอยทั้งกำลังฤทธิ์วิทยา |
พลางนึกถึงสุริวงษ์พงษ์ประยูร | ก็ดับสูญสิ้นชีวังสังขาร์ |
กอดกรถอนฤไทยไปมา | อสุราทุกข์ทนเปนพ้นนัก |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๒๐๔๘๏ เมื่อนั้น | นางมณโฑเทวีมีศักดิ |
เห็นองค์ภัศดาพระยายักษ์ | ผิวภักตร์หมองคล้ำไม่สำราญ |
รำพึงคนึงนิ่งอิงเขนย | ไม่สรงเสวยโภชนากระยาหาร |
นางยิ่งเศร้าสร้อยพลอยรำคาญ | ช่วยคิดการกลศึกตรึกตรา |
ครั้นนางนึกพระมนต์สญชีพได้ | อรไทยทูลพลันด้วยหรรษา |
ข้าอยู่ในไกรลาศบรรพตา | พระอุมารักใคร่ใช้ชิด |
ประทานเวทประเสริฐเลิศล้น | ชื่อพระมนต์สญชีพกระลากิจ |
บังเกิดเปนน้ำสุรามฤตย์ | ใครม้วยมิดชุบขึ้นให้คืนคง |
อันหมู่อสูรกายทั้งหลายไซ้ | จะรบพุ่งก็ได้ดังประสงค์ |
ครั้งนี้น้องจะสนองบาทบงสุ์ | ขอพระองค์จงสั่งให้เตรียมการ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๐๔๙๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
ประโลมนางทางมีพจมาน | เจ้ารู้การพระเวทวิเศษดี |
มิเสียแรงโฉมตรูอยู่ไกรลาศ | เปนข้าบาทพระอุมามเหษี |
ซึ่งจะช่วยตั้งกิจพิธี | พี่ยินดีดังได้ผ่านพิมานแมน |
อันโยธาทั้งหลายที่ตายไป | จะเปนขึ้นชิงไชยนับแสน |
ครั้งนี้พี่จะได้แก้แค้น | ทดแทนศึกเสี้ยนปัจจามิตร |
มนุษย์กับวานรเดียรฉาน | จะยกไปสังหารให้ดับจิตร |
เจ้าจงส่งน้ำสุรามฤตย์ | ให้ทันชุบชีวิตรพลากร |
อันการกิจพิธีของนงคราญ | จะคิดอ่านจัดแจงให้พร้อมก่อน |
ว่าพลางทางเสด็จบทจร | กรายกรออกพระโรงรจนา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
๒๐๕๐๏ ลดองค์ลงนั่งบัลลังก์อาศน์ | หมู่อำมาตย์เฝ้าแหนแน่นหนา |
จึ่งมีสิงหนาทบัญชา | ตรัสสั่งมหาเสนามาร |
เร่งปลูกโรงพิธีมีหม้อน้ำ | นอกประตูยามค่ำข้างอิสาณ |
ประดับด้วยธงฉัตรดัดเพดาน | เอาม่านสุวรรณวงจงมิดชิด |
เราจะให้มณโฑเทวี | ออกมาตั้งพิธีทำการกิจ |
อันเครื่องพลีกรรมประจำทิศ | จงประดิษฐตามตำราอย่าช้าการ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๐๕๑๏ บัดนั้น | มโหทรรับราชบรรหาร |
ก้มเกล้าประนตบทมาลย์ | ออกมาสั่งการระดม |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๐๕๒๏ บัดนั้น | หมู่มารนายหมวดตรวจสนม |
ต่างวัดวาน่าที่ทั้งสี่กรม | ตัดเสาเกลากลมไว้มูลมอง |
ฯ ๒ คำ ฯ
ยานี
๒๐๕๓๏ ปลูกโรงพิธีมีเฉลียง | สูงเพียงมุขเด็ดสิบเจ็ดห้อง |
หลังคาดาดสีแดงแย่งทอง | ติดลำยองช่อฟ้าปราลี |
โขมพัตรดัดดาดเพดานขาว | เดือนดาวเนาวรัตน์จำรัสศรี |
รย้าห้อยพรอยแพร้วแก้วมณี | พวงผกามาลีพรายพรัน |
ราชวัตรฉัตรทองรองเรือง | เบญจรงค์ทรงเครื่องเปนลดลั่น |
กรมวังวงสายม่านสุวรรณ | ตั้งบัลลังก์อาศน์ลาดพรมเจียม |
เอาหม้อน้ำสำหรับทิพมนต์ | ตั้งบนเตียงมณีสี่เหลี่ยม |
เครื่องบูชากระยาบวดตรวจเตรียม | ตามธรรมเนียมโรงราชพิธี |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๒๐๕๔๏ เมื่อนั้น | นวลนางมณโฑมเหษี |
เสด็จจากแท่นรัตน์รูจี | จรลีมาสรงวาริน |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ชมตลาด
๒๐๕๕๏ นั่งเหนือเตียงสุวรรณผันขนอง | อาบลอองสุหร่ายสายสินธุ์ |
ชำระรดหมดหมองมลทิน | สุคนธารประทิ่นกลิ่นเกลา |
ทรงภูษาเนื้อดีสีเสวตร | เขียนลายทองเทศฉลุเฉลา |
สไบหน้าเจียรบาดตาดเงินเงา | ผูกชฎาห่อเกล้าเมาฬี |
ห้อยห่วงกุณฑาลสังวาลถัก | จุณเจิมเฉลิมภักตร์ผ่องศรี |
ถือประคำสำรวมอินทรีย์ | ดังนางดาบศนีลีลา |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๒๐๕๖๏ ลงจากปราสาทแก้วแพรวพรัน | พร้อมกำนัลขันทีถ้วนหน้า |
ท้าวนางนำเสด็จยาตรา | สาวสรรค์กัลยาก็ตามไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า
สระบุหร่ง
๒๐๕๗๏ ครั้นถึงโรงราชพิธี | ขึ้นแท่นมณีศรีใส |
จุดธูปเทียนสุวรรณทันใด | หยิบเข้าตอกดอกไม้มาโปรยปราย |
เคารพนบนิ้วเหนือเกษา | คิดคุณพระอุมามั่นหมาย |
สมาธิแน่นิ่งไม่ติงกาย | สำรวมร่ายพระเวทวิทยา |
ฯ ๔ คำ ฯ สาธุการ
ช้า
๒๐๕๘๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงสองสุรศักดิยักษา |
เปนโอรสทศกรรฐ์เจ้าลงกา | พี่ยาชื่อทศคิรีวรรณ |
นามน้องชื่อทศคิรีธร | คชสารมารดรอยู่ไพรสัณฑ์ |
ทั้งสองกำเนิดเกิดร่วมครรภ์ | อัศกรรณเอาไปเปนลูกรัก |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๒๐๕๙๏ อสุรีมีจิตรคิคคนึง | รฦกถึงบิตุรงค์ทรงศักดิ |
จึ่งคลาไคลไปเฝ้าพระยายักษ์ | พร้อมพรักด้วยสนมกรมใน |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๐๖๐๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า | ก้มเกล้าบังคมประนมไหว้ |
ทูลว่าลูกยาจะลาไป | ยังพิไชยลงกาธานี |
เยี่ยมเยียนบิตุรงค์ทรงเดช | ซึ่งได้เกิดเกษเกษี |
ไม่ช้านักสักสามราตรี | พระภูมีจงได้เมตตา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๐๖๑๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวอัศกรรณยักษา |
ได้ฟังลูกสองศรีชลีลา | จะไปยังลงกากรุงไกร |
จึ่งมีมธุรศพจนาดถ์ | อนุญาตโดยดังอัชฌาไศรย |
แล้วดำรัสตรัสสั่งเสนาใน | จงจัดพวกพลไกรให้ลูกยา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๐๖๒๏ บัดนั้น | อำมาตย์รับสั่งใส่เกษา |
มาเกณฑ์พลกุมภัณฑ์ดังบัญชา | แล้วผูกม้าประทับไว้ฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๐๖๓๏ เมื่อนั้น | สองโอรสฤทธิแรงแขงขัน |
ถวายบังคมลาพากัน | จรจรัลมาสรงคงคา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๒๐๖๔๏ ให้ไขสหัสนัที | ขัดสีฉวีวรรณหรรษา |
ทรงสุคนธ์ปนทองละลายทา | กลิ่นผกาชูชื่นรื่นรวย |
สอดใส่สนับเพลาบวร | ต่อติดเชิงงอนงามสลวย |
ภูษายกกระหนกกลายชายกรวย | ฉลององค์ปักด้วยเลื่อมแลพราว |
ห้อยน่าเจียรบาดผาดผุด | ปั้นเหน่งสายรายบุษย์น้ำขาว |
ทับทรวงแก้วประพาฬสังวาลวาว | ทองกรนพเก้าชมพูนุท |
สอดใส่ธำมรงค์มงคลเพ็ชร | มงกุฎเก็จแก้วทองผ่องผุด |
ทั้งสองทรงขัดคทาอาวุธ | ถือศรสำหรับยุทธยาตรา |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๒๐๖๕๏ ลงจากปราสาทแก้วแพรวพรัน | ตามกันเยื้องย่างมาข้างน่า |
ให้ทวยหาญขานโห่สามลา | ออกจากภาราคลาไคล |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว
๒๐๖๖๏ ครั้นถึงลงกาอาณาเขตร | ก็เข้าในนัคเรศกรุงใหญ่ |
ทั้งสององค์ลงจากอาชาไนย | คลาไคลไปเฝ้าพระบิดา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๒๐๖๗๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
เห็นโอรสพี่น้องทั้งสองรา | เข้ามาอัญชลีก็ดีใจ |
จึ่งมีวาจาบัญชาทัก | ลูกรักพ่อยอดพิศมัย |
แต่เจ้าจากพรากบิดาไป | พ่อตั้งใจคิดถึงทุกคืนวัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๒๐๖๘๏ บัดนี้มีสงครามรามลักษณ์ | มาหาญหักนัคเรศเขตรขัณฑ์ |
ได้ชิงไชยประชิดติดพัน | โยธาอาสัญเสียมากมาย |
สุริวงษ์พงษ์เราก็ม้วยหมด | อัปรยศทั่วโลกทั้งหลาย |
บิดาเศร้าเสียใจไม่สบาย | จะไปแจ้งสหายก็ลืมไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๐๖๙๏ เมื่อนั้น | สองโอรสาอัชฌาไศรย |
ได้ฟังคั่งแค้นเคืองฤไทย | จึ่งบังคมทูลไปด้วยใจภักดิ์ |
ข้าพี่น้องจะขอออกต่อสู้ | แก้กู้ลงกาอาณาจักร |
สาอะไรกับสงครามรามลักษณ์ | จะหาญหักให้เปนภัศม์ธุลีลาญ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๐๗๐๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
จึ่งมีพจนาบัญชาการ | เจ้าจะยกพลมารไปต่อตี |
บิดาจะไปด้วยช่วยยงยุทธ | ผลาญมนุษย์พี่น้องสองศรี |
บัดนี้นางมณโฑเทวี | ตั้งพิธีน้ำทิพย์แต่วันวาน |
เราจะชุบชีพหมู่อสูรยักษ์ | ให้เปนขึ้นพร้อมพรักเข้าหักหาญ |
เห็นข้าศึกจะแพ้พ่ายวายปราณ | เสร็จการสงครามแก่รามา |
ตัวเจ้าพี่น้องทั้งสองคน | คุมพลอัศกรรณเปนกองน่า |
ตรัสพลางทางสั่งเสนา | เร่งตรวจเตรียมโยธาบัดนี้ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๐๗๑๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งใส่เกษี |
ก้มเกล้ากราบงามสามที | มาเกณฑ์หมู่อสุรีเข้ากองทัพ |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๒๐๗๒๏ พวกอัศกรรณมารชำนาญยุทธ | เปนกองน่าสิบสมุทอาวุธสรรพ |
กองหลวงกองหลังคั่งคับ | กำหนดนับห้าสิบสมุทตรา |
ถือเสโลห์โล่ห์ดั้งหอกดาบ | โตมรกำซาบปืนผา |
ถือธนูน่าไม้ใส่ยา | ตรีคทาธงทวนถ้วนทุกคน |
ชาวคลังนั่งรายเปนพวกพวก | เอาเสื้อหมวกจ่ายทัพสับสน |
หมื่นขุนมุลนายหลายคน | สัปทนสักลาดดาดแดง |
ขุนช้างผูกเครื่องคชาธาร | พระยาสารสูงง้ำกำแหง |
การุณราชควาญท้ายร้ายแรง | ถือกะแชงขับเทียมกับเกยลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๒๐๗๓๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
ชวนองค์โอรสทั้งสองรา | ไคลคลามาสรงชลธาร |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๒๐๗๔๏ ประทุมทองโปรยปรายสายสินธุ์ | วารินลอองอาบซาบซ่าน |
ทรงสุคนธ์ปนทองรองพาน | พนักงานพัชนีวีลม |
สอดสรงสนับเพลาริ้วรยับ | งอนปักปีกแมงทับสลับถม |
ทรงภูษายกแย่งเทพนม | นางสนมโจงจัดกระหวัดชาย |
ตาดทองฉลององค์โอภาษ | ปั้นเหน่งคาดครุยแครงแสงฉาย |
ทับทรวงดวงกุดั่นพรรณราย | เฟื่องห้อยสร้อยสายสังวาลวรรณ |
ทองกรชมพูนุทภุชงค์ | ธำมรงค์นพรัตน์จัดสรร |
ทรงมหามงกุฎแก้วแพรวพรัน | ต่างจับศรจรจรัลไปเกยลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๒๐๗๕๏ ขึ้นทรงฅอช้างรวางต้น | ให้โอรสเดินพลเปนกองน่า |
ทัพหลวงเคลื่อนคลาศยาตรา | ควาญขับคชาออกจากเกย |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว
โทน
๒๐๗๖๏ ช้างเอยช้างทรง | อำนวยพงษ์แรงร้ายส่ายเสย |
คงทนชนศึกฝึกเคย | เลิกหน้างาเงยกระหึมมัน |
สาวสืบบาทย่างวางทลวง | ยกงวงจ้องจับตระหลบหัน |
มีกำลังดังไฟภัทกัลป์ | ผูกเครื่องแก้วกุดั่นดาวราย |
ห้อยหูภู่จามรีกรอง | สวมทองรัดงาตาข่าย |
เครื่องสูงสองแถวแพร้วพราย | ธงชายปลายปลิวเปนทิวไป |
ทวยหาญโห่สนั่นครั่นครึก | ก้องกึกโกลาสุธาไหว |
รีบรัดรี้พลสกลไกร | ตรงไปสมรภูมิ์พลัน |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๒๐๗๗๏ ครั้นถึงจึ่งสั่งให้ยั้งหยุด | ตั้งตามนามครุธผกผัน |
โยธาพลากรกุมภัณฑ์ | โห่สนั่นลั่นเลื่อนสเทือนดิน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา รัว
ช้า
๒๐๗๘๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริวงษ์ทรงศิลป์ |
เสด็จออกเสนาพานรินทร์ | หมู่กระบินทร์หมอบกลาดดาษดา |
ฯ ๒ คำ ฯ
ร่าย
๒๐๗๙๏ ทรงสดับตรับเสียงสำเนียงมาร | โห่ร้องก้องสท้านไปทั้งป่า |
จึ่งมีสิงหนาทบัญชา | ถามพระยาพิเภกผู้ใจภักดิ์ |
อันเสียงสนั่นครั่นครึก | จะเปนศึกต่างเมืองมาหาญหัก |
ฤๅทัพเจ้าลงกาพระยายักษ์ | จงจับยามให้ประจักษ์แจ้งใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๐๘๐๏ บัดนั้น | พิเภกบังคมประนมไหว้ |
พิเคราะห์ดูรู้ตามสังเกตไว้ | จึ่งกราบทูลภูวไนยไปพลัน |
อันทัพนี้คือองค์เจ้าลงกา | กับสองโอรสาแขงขัน |
พี่ชายชื่อทศคิรีวรรณ | น้องนั้นชื่อทศคิรีธร |
นางไอยราเปนมาตุเรศ | อยู่ในพนาเวศศิงขร |
หน้าเปนคชสารเหมือนมารดร | ฤทธิรอนเลื่องชื่อฦๅชา |
อัศกรรณมาขอต่อบิตุรงค์ | ไปเลี้ยงไว้สืบวงษ์พงษา |
คุมทัพรับเปนกองน่ามา | จงทราบเบื้องบาทาพระทรงธรรม์ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๐๘๑๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์รังสรรค์ |
แจ้งว่าทัพท้าวทศกรรฐ์ | กับกุมภัณฑ์บุตรเจ้าธานินทร์ |
จึ่งมีมธุรศสุนทร | สั่งสุครีพพานรขีดขิน |
เราจะไปชิงไชยด้วยไพริน | เร่งเตรียมพลกระบินทร์บัดนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๐๘๒๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ออกมาจัดโยธีมิได้ช้า |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๒๐๘๓๏ เกณฑ์พลยี่สิบสมุทปลาย | เข้ากองน้องนารายน์เปนทัพน่า |
ใส่เสื้อสักลาดดาษดา | ถือสาตราเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน |
กองรองถือฉมวกพวกลิงถุง | ผ้าทิพย์พันพุงดูขบขัน |
เสือป่าแมวเซาเปนเหล่ากัน | คาดเขี้ยวหมูตันถือธงรบ |
ทัพหลวงล้วนพวกพานรินทร์ | ชมภูขีดขินเข้าบรรจบ |
สัตพลีบาญชีครบ | ตรวจครบห้าสิบสมุทตรา |
ต่างใส่เสื้อแสงแต่งกาย | ไพร่นายบรรเทิงเริงร่า |
มาตุลีเลื่อนรถรัตนา | มาเรียงเรียบเทียบท่าภูวไนย |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๒๐๘๔๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
ชวนองค์อนุชาคลาไคล | เสด็จไปสรงสนานสำราญกาย |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๒๐๘๕๏ ไขประทุมวารินกลิ่นเกลี้ยง | สถิตย์เตียงอ่าองค์สรงสุหร่าย |
สายสินธุ์ซ่านเซ็นเย็นสบาย | สรงสุคนธ์ละลายกรายกรีดนิ้ว |
สนับเพลาพื้นตาดผาดผุด | ภูษายกแย่งครุธยุดนาคหิ้ว |
ฉลององค์ติดงอนพระกรคริว | ชายแครงแพลงพลิ้วกระหนกชอน |
ปั้นเหน่งเพ็ชรแพรวพรายลายกุดั่น | สังวาลวรรณเฟื่องห้อยสร้อยอ่อน |
ทับทรวงดวงจินดาอาภรณ์ | ทองกรแกมแก้วโกมิน |
ธำมรงค์เรือนปรุฉลุบ่า | ทรงพระชฎามหากระฐิน |
กรรเจียกจรตรัจเตร็จเพ็ชรนิล | แล้วต่างองค์ทรงศิลป์เสด็จมา |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๒๐๘๖๏ ออกจากพลับพลากั้นชั้นใน | จึ่งสั่งให้พระน้องเปนกองน่า |
ฝาหรั่งลิงยิงปืนสัญญา | คลายคลี่กรีธาพลากร |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๒๐๘๗๏ รถเอยรถทรง | กำกงแปรกแอกอ่อน |
งามรหงธงชายปลายงอน | เทียมเทพอัศดรพาชีชัก |
มาตุลีขี่ขับแขงขัน | ดุมวงผัดผันดังหันจักร |
แห่น่าวานรองครักษ์ | ดาบฝักบั้งทองคล้องตะพาย |
พัดโบกจามรทานตวัน | ฉัตรชั้นกรรภิรุมชุมสาย |
ทวนธงเปนทิวปลิวปลาย | พลนิกายเงื้อง่าอาวุธ |
ลิงเลวโห่ฮึกครึกครื้น | ดังเสียงคลื่นยมนามหาสมุท |
สเทือนท้องธรณินทร์เพียงดินทรุด | เร่งร้นพลยุทธยาตรา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๒๐๘๘๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดรถทรง | จัตุรงค์ปีกซ้ายปีกขวา |
ตั้งที่สีหนามตามตำรา | ทัพน่าเข้าประชิดติดพัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๐๘๙๏ เมื่อนั้น | สองโอรสทศเศียรรังสรรค์ |
เห็นข้าศึกหยุดยั้งตั้งประจัน | ต่างต้อนพลขันธ์เข้าโจมตี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๐๙๐๏ บัดนั้น | พวกอสุรศักดิยักษี |
ต่างต่างสำแดงแผลงฤทธี | เข้าหักโหมโจมตีกระบี่ไพร |
พลธนูน้าวแผลงแย้งยุทธ | ตัวนายแกว่งชุดจุดปืนใหญ่ |
กองหนุนหมุนวิ่งเข้าชิงไชย | โห่ร้องก้องไปทั้งไพรวัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๐๙๑๏ บัดนั้น | โยธาวานรแขงขัน |
ต่างเข้ารบรับกับกุมภัณฑ์ | จับกันเปนกลุ่มตลุมบอน |
ได้ทีตีรันฟันฟาด | หัวขาดตัวขาดเปนท่อนท่อน |
พลมารคร้ามมือวานร | ที่เหลือตายแตกสท้อนถอยไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๐๙๒๏ เมื่อนั้น | คิรีธรคิรีวรรณมันไส้ |
เห็นรี้พลย่นย้อท้อใจ | พิโรธลิงยิ่งไฟไหม้ฟ้า |
ต่างขับอาชาผ่าโผน | กระทืบโกลนเข้าตีกระบี่ป่า |
เอาคันศรรอนรันรุกมา | โยธาหลบพัลวันไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๐๙๓๏ บัดนั้น | องคตหณุมานทหารใหญ่ |
แกว่งอาวุธวิ่งเข้าชิงไชย | โลดไล่โอรสทศกรรฐ์ |
เผ่นโผนโจนทยานขึ้นเหยียบบ่า | แทงกัณฐัศว์อสุราอาสัญ |
องคตกับคิรีธรรอนรัน | คิรีวรรณโจมจับกับหณุมาน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๐๙๔๏ เมื่อนั้น | สองโอรสเจ้าลงกากล้าหาญ |
กวัดแกว่งแสงศรรอนราญ | ประจัญบานบุกรุกคลุกคลี |
ต่างตนมีกำลังทั้งพี่น้อง | เข้าโจมจับกับสองกระบี่ศรี |
หวดซ้ายป่ายขวาราวี | ถ้อยทีหนีไล่กันไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๐๙๕๏ บัดนั้น | องคตหณุมานหาญกล้า |
เข่นเขี้ยวเรี่ยวแรงแกว่งสาตรา | หมายเขม้นเข่นฆ่าขุนมาร |
เผ่นโผนโจนจับสัปรยุทธ | ยงยุทธเหยียบยักษ์หักหาญ |
แกว่งพระขรรค์ฟันฟอนรอนราญ | ถูกต้องสองมารมรณา |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๒๐๙๖๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
เห็นโอรสพี่น้องทั้งสองรา | สุดสิ้นชีวาวายชนม์ |
ครั้นจะเข้ารณรงค์ยงยุทธ | ไม่ชนะมนุษย์แต่สักหน |
จำต้องหยุดยั้งตั้งพล | คอยท่าน้ำทิพมนต์เยาวมาลย์ |
คิดพลางทางประกาศกองทัพ | ให้มั่นรับผ่อนพักอย่าหักหาญ |
สั่งแล้วขับพระยาคชาธาร | เข้าหยุดยืนสำราญริมชายไพร |
ฯ ๖ คำ ฯ รัว
๒๐๙๗๏ เมื่อนั้น | นางมณโฑเทวีศรีใส |
บริกรรมสำรวมจิตรใจ | อยู่ในโรงราชพิธี |
เดชะพระเวทวิทยา | ขององค์พระอุมามเหษี |
บังเกิดเปนน้ำทิพวารี | ทุกที่หม้อทองต้องตำรา |
จึ่งสั่งเถ้าแก่หลวงแม่เจ้า | จงยกเอาหม้อน้ำไปข้างน่า |
ส่งให้มโหทรเสนา | ไปถวายผ่านฟ้าอย่าช้าที |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๐๙๘๏ บัดนั้น | เถ้าแก่ประนตบทศรี |
จึ่งเชิญหม้อน้ำทิพวารี | มาส่งให้เสนีทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๐๙๙๏ บัดนั้น | มโหทรกับเหล่าบ่าวไพร่ |
ได้หม้อทิพธาราคลาไคล | รีบไปกองทัพฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๑๐๐๏ ครั้นถึงจึ่งประนตบทบงสุ์ | ทศเศียรสุริวงษ์รังสรรค์ |
ถวายวารีทิพย์แก่ทรงธรรม์ | ด้วยใจหฤหรรษ์เปรมปรีดิ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๑๐๑๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
ได้ทิพธาราวารี | ยินดีเปนพ้นคณนา |
สิบภักตร์ชื่นแช่มแย้มสรวล | ขับช้างโดยด่วนสำรวลร่า |
ออกจากร่มไม้มิได้ช้า | วักวารีทิพย์เที่ยวประพรม |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา รัว เชิด
๒๑๐๒๏ บัดนั้น | ปิศาจซึ่งตายอยู่สะสม |
ต้องทิพธาราอาคม | ก็เปนขึ้นดังลมพยุพัด |
อสุรกายมารชำนาญยุทธ | นับสมุทโกฏิแสนแน่นอัด |
สุริวงษ์ทั้งหลายที่ตายพลัด | ท้าวสัทธาสูรอสุรา |
สหัสเดชะอินทรชิต | แสงอาทิตย์กุมภกรรฐ์ยักษา |
อสูรมูลพลำศักดา | ทั้งทัพอสุรากุมภัณฑ์ |
ตรีเมฆสัตลุงพระสหาย | อิทธิกายมหากายกำปั่น |
วิรุณจำบังมังกรกรรฐ์ | ทศคิรีวรรณคิรีธร |
ล้วนถืออาวุธยุทธนา | หอกแก้วคทาธนูศร |
ต่างมาดุษดีชลีกร | ตรงหน้ากุญชรช้างทรง |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา เส้นเหล้า
๒๑๐๓๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรชื่นชมสมประสงค์ |
จึ่งสั่งเหล่าปิศาจญาติวงษ์ | เร่งพาพวกจัตุรงค์เข้าโจมตี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๑๐๔๏ บัดนั้น | มารหมู่พหลพลผี |
ต่างเข้ายุทธนาราวี | เปนกลุ่มกลุ่มรุมตีกระบี่ไพร |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๑๐๕๏ บัดนั้น | วานรไม่พรั่นหวั่นไหว |
หมุนเข้าโรมรันประจันไว้ | ช่วยกันชิงไชยทั้งสองทัพ |
ต่างตนพิโรธโกรธขึ้ง | ยักษ์สิบลิงหนึ่งเข้าโจมจับ |
เหลือกำลังที่จะต้านทานรับ | วานรแตกยับทั้งทัพไชย |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๑๐๖๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
เห็นอสูรนับแสนแน่นไป | จำได้ว่าวงษ์เจ้าลงกา |
จึ่งตรัสถามพิเภกกุมภัณฑ์ | อันพวกท้าวทศกรรฐ์ซึ่งสังขาร์ |
เหตุไฉนกลับมีชีวิตรมา | เข้าเข่นฆ่าวานรรอนราญ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๑๐๗๏ บัดนั้น | พิเภกรับราชบรรหาร |
พิเคราะห์ดูรู้ราวกับส่องญาณ | ประนตบทมาลย์แล้วทูลไป |
บัดนี้นางมณโฑเทวี | ตั้งพิธีน้ำทิพย์ในกรุงใหญ่ |
ส่งมารดพลสกลไกร | จึ่งเปนขึ้นชิงไชยอเนกนันต์ |
อันพิธีนี้ในตำหรับห้าม | ถ้าหญิงสามสามีไม่เดียดฉัน |
เปนคนแพศยาอาธรรม์ | พระเวทนั้นเสื่อมสิ้นเดชา |
จงแต่งให้ทหารชาญชิต | ไปล้างพิธีทางเสนหา |
แม้นเสร็จสมถวิลจินดา | ปิศาจอสุราจะสูญไป |
ขอพระองค์จงแผลงพลายวาต | อันเรืองฤทธิโลกธาตุหวาดไหว |
เปนข่ายเพ็ชรเจ็ดชั้นไปกั้นไว้ | อย่าให้ปิศาจมารออกราญรอน |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๑๐๘๏ เมื่อนั้น | องค์พระอวตารชาญสมร |
ได้ฟังน้องท้าวยี่สิบกร | ภูธรแจ้งสิ้นไม่กินใจ |
จึ่งขึ้นศรศักดาวราฤทธิ์ | สิบทิศสท้านสเทือนไหว |
เหนี่ยวน้าวเคล่าคล่องว่องไว | แผลงไปด้วยกำลังวังชา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๒๑๐๙๏ ศรพระหริรักษ์รังสรรค์ | เปนข่ายเพ็ชรเจ็ดชั้นแน่นหนา |
ล้อมปิศาจญาติวงษ์เจ้าลงกา | มิให้ออกยุทธนาราวี |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๒๑๑๐๏ แล้วมีพระราชบัญชาการ | สั่งคำแหงหณุมานชาญไชยศรี |
จงแปลงปลอมเจ้าลงกาไปธานี | ล้างพิธีมณโฑโสภา |
ชมภูพาลกระบินทร์นิลนนท์ | จงแปลงเปนช้างต้นพลยักษา |
ต่างจำแลงแปลงกายกายา | แล้วยกทัพเข้าลงกาธานี |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ รัว เชิด
๒๑๑๑๏ ครั้นถึงจึ่งประทับช้างทรง | เสด็จลงเกยแก้วมณีศรี |
ยุรยาตรนาดกรจรลี | เข้าในโรงพิธีทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา ฉุยฉาย
๒๑๑๒๏ ขึ้นนั่งเตียงเคียงมณโฑโสภา | แกล้งกล่าวรศพจนาปราไส |
อันน้ำทิพย์โฉมยงซึ่งส่งไป | พี่รดให้อสุรกายกลายเปนมา |
พวกปิศาจอาจหาญเข้าราญรอน | ผลาญวานรมนุษย์สุดสังขาร์ |
ยังเหลือแต่พิเภกอนุชา | มันหนีไปในป่าพนาลี |
พี่แบ่งให้ไพร่พลอยู่ค้นจับ | จึ่งเลิกทัพกลับคืนมากรุงศรี |
หวังจะเล่าแถลงแจ้งคดี | กลัวจะตั้งพิธีไปป่วยการ |
จะรอรั้งนั่งอยู่ทำไมเล่า | ขอเชิญเจ้าคืนปราสาทราชฐาน |
แล้วกุมกรโฉมยงนงคราญ | หณุมานพาไปยังไพชนต์ |
ฯ ๘ คำ ฯ เข้าม่าน
๒๑๑๓๏ นั่งเหนือแท่นแก้วแพรวพราย | ยังลืมกายเหยียดเข่าเกาขน |
กลับรู้ตัวกลัวนางจะแหนงกล | ประโลมลูบนฤมลด้วยมารยา |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชาตรี
๒๑๑๔๏ โฉมเอยโฉมเฉลา | คุณเจ้าอยู่กับพี่นี้หนักหนา |
ถ้าหาไม่ไหนเลยลงกา | จะต้องไปเปนข้าปัจจามิตร |
ตั้งแต่นี้ไพร่ฟ้าประชากร | สิ้นทุกข์ร้อนสำราญบานจิตร |
พี่ค่อยสบายวายคิด | จะอยู่เย็นเปนนิตย์ในเมืองยักษ์ |
หาไหนได้อย่างนางเทวี | สมเปนมิ่งมเหษีมีศักดิ |
พี่ไปทัพกลับมาล้าเลื่อยนัก | เห็นน้องรักเหนื่อยคลายหายไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๒๑๑๕๏ เมื่อนั้น | นางมณโฑเทวีศรีใส |
สำคัญว่าสามีก็ดีใจ | อรไทยอภิวันท์จำนรรจา |
ตั้งแต่ศึกมาประชิดติดเมืองยักษ์ | เสียลูกรักสุริวงษ์พงษา |
ทุกเช้าค่ำพร่ำกินแต่น้ำตา | ยังแต่ชีวาจะบรรไลย |
บัดนี้เสร็จการณรงค์สงคราม | น้องมีความยินดีจะมีไหน |
เหมือนม้วยแล้วกลับเปนเย็นจิตรใจ | จะได้สืบสนองรองบาทา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๑๑๖๏ เมื่อนั้น | หณุมานเกษมสันต์หรรษา |
เห็นนางลุ่มหลงไม่สงกา | ทำลูบหลังลูบหน้าแล้วว่าไป |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้โลม
๒๑๑๗๏ สาวเอยสาวสวรรค์ | ความผูกพันรักพี่จะมีไหน |
แม้นไม่ม้วยชีวันบรรไลย | พี่ไม่ไกลเจ้าเยาวมาลย์ |
น้อยฤๅสิบสามปีเข้านี่แล้ว | พึ่งผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
จะเชยชมโฉมยงนงคราญ | ให้สำราญเริงรื่นทุกคืนวัน |
ว่าพลางอิงแอบแนบสนิท | จุมพิตชิดชมภิรมย์ขวัญ |
ไม่ขัดข้องสองจิตรประจวบกัน | เกษมสันต์สำราญบานใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ โลม
ร่าย
๒๑๑๘๏ บัดนั้น | ศรีชมภูพาลทหารใหญ่ |
ประกาศสั่งเสนีกระบี่ไพร | เร่งให้รื้อโรงพิธีการ |
บ้างยื้อแย่งแผงผัดฉัตรธง | ทลายหลังคาลงทั้งสี่ด้าน |
ทุบหม้อน้ำแตกแหลกลาญ | อลหม่านตึงตังทั้งวังใน |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๑๑๙๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
เสร็จภิรมย์สมสนิทนางทรามไวย | จึ่งใส่ไคล้กล่าวแกล้งแต่งอุบาย |
ไอ้พิเภกพวกอักตัญญู | พี่ยังนึกแค้นอยู่ไม่รู้หาย |
แม้นมิได้ห้ำหั่นให้มันตาย | พี่หลับนอนไม่สบายวุ่นวายใจ |
จะยกทัพกลับออกไปค้นหา | จับเปนเข่นฆ่าเสียให้ได้ |
ว่าพลางทางจับศรไชย | ตรงไปเกยแก้วแพรวพราย |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๒๑๒๐๏ ขึ้นฅอช้างนิมิตรฤทธิรณ | พร้อมพลพานรินทร์สิ้นทั้งหลาย |
รีบยกโยธีคลี่คลาย | ผันผายออกจากกรุงลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๑๒๑๏ ครั้นถึงไพรวันอรัญเวศ | กลับจำแลงแปลงเพศเปนลิงป่า |
พาพลด้นดั้นอรัญวา | ตรงมากองทัพฉับไว |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ เชิด
๒๑๒๒๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า | ก้มเกล้าประนมบังคมไหว้ |
กราบทูลยุบลแต่ต้นไป | ดังได้ล้างกิจพิธี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๑๒๓๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์เรืองศรี |
ชื่นชมสมถวิลยินดี | จึ่งมีพระราชบัญชา |
เหวยกระบี่รี้พลพวกเรา | จงเย้ยเย้าทศภักตร์ให้หนักหนา |
จะอึดอัดโมโหโกรธา | ฤๅท่วงทีจะว่าประการใด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๑๒๔๏ บัดนั้น | ลิงเลวเหล่าพหลพลไพร่ |
ถวายบังคมลาพากันไป | เยาะเย้ยไยไพเจ้าลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ
เย้ย
๒๑๒๕๏ บ้างเกาคางขู่ตะคอกหลอกหลอน | ดูก่อนทศภักตร์ยักษา |
วันนี้รี้พลโยธา | เห็นมากจริงยิ่งกว่าทุกครั้ง |
ช่างได้ครูบามาแต่ไหน | ประกอบในการกิจพิธีขลัง |
เปนไรไม่รบรับจึ่งยับยั้ง | ทำรอรั้งหนักหน่วงง่วงงง |
ฤๅสิ้นทิพธาราวารี | ที่นางดาบศนีให้มาส่ง |
หลับตาสาลวนรณรงค์ | ไม่ระวังว่าผงจะเข้าตา |
เมื่อกี้เกิดพยุวุ่นวาย | แล้วอาศรมล้มทลายกระมังหนา |
จึ่งมิได้ให้เอาน้ำมนต์มา | รดศพอสุราพลากร |
จงหย่าทัพกลับหลังเข้าวังเวียง | ถามไถ่ไล่เลียงกันดูก่อน |
เราไม่ลวงหลอกยอกย้อน | วานรเต้นรำทำเยาะเย้ย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ กราวรำ เจรจา
ร่าย
๒๑๒๖๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์ฟังลิงทำนิ่งเฉย |
เฉลียวใจไยมันมาเกินเลย | เยาะเย้ยหยาบหยามเปนความใน |
ฤๅมณโฑตั้งพิธีมีเหตุ | ผิดสังเกตกอดกรถอนใจใหญ่ |
จำจะชวนหย่าทัพกลับไป | จึ่งจะได้รู้แท้แน่นอน |
คิดพลางทางว่าเหวยมนุษย์ | เรายงยุทธตามอย่างแต่ปางก่อน |
สุริยาสายัณห์ลงรอนรอน | พลนิกรจะยากลำบากใจ |
เราจะกลับทัพเข้าลงกา | ท่านจงไปพลับพลาที่อาไศรย |
ว่าแล้วเลิกพหลพลไกร | คืนเข้าพิไชยลงกา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๒๑๒๗๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
ครั้นทศกรรฐ์กลับไปลับตา | จึ่งตรัสชวนอนุชายาใจ |
ทั้งสององค์ทรงเวไชยันต์อินทร์ | เหล่ากระบินทร์บังคมประนมไหว้ |
ให้เลิกทัพกลับพลสกลไกร | ตรงไปพลับพลาพนาลี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๑๒๘๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
ครั้นเข้าเขตรลงกาธานี | อสุรีรีบพหลพลมาร |
ครั้นถึงจึ่งตรงเข้าในวัง | เห็นโรงพิธีพังทั้งสี่ด้าน |
สดุ้งจิตรผิดแล้วมิเปนการ | ลงจากคชาธารทันที |
มิได้หยุดเปลี่ยนเปลื้องเครื่องทรง | เสด็จตรงไปปราสาทมเหษี |
นั่งแนบวนิดานารี | จึ่งมีบัญชาว่าไป |
เป็แไฉนโฉมเฉลาเยาวมาลย์ | ด่วนสละละการพิธีใหญ่ |
เมื่อสงครามครั้งนี้จะมีไชย | ด้วยได้ปิศาจมารมาราญรอน |
ครั้นเคี่ยวขับกลับสิ้นปิศาจพล | แต่คอยน้ำทิพมนต์จนออกอ่อน |
เออนี่เจ้าเจ็บหลังฤๅบังอร | จึ่งรีบร้อนรื้อโรงพิธีการ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๑๒๙๏ เมื่อนั้น | นางมณโฑเยาวยอดสงสาร |
ได้ฟังบัญชาพระยามาร | นงคราญกราบทูลสนองไป |
ควรฤๅพระองค์ทรงฤทธิ์ | มาพาลผิดพาทีเช่นนี้ได้ |
เมื่อผ่านฟ้าเลิกพลสกลไกร | มาบอกว่ามีไชยแก่ไพรี |
แล้วยังได้พาข้าพระบาท | ขึ้นสถิตย์ปรางมาศปราสาทศรี |
รับสั่งให้พวกพลมนตรี | รื้อโรงพิธีตลีตลาน |
แล้วแจ้งกิจจาให้ข้าฟัง | ว่าพิเภกนั้นยังไม่สังขาร |
หนีเข้าไพรพงดงดาน | จึ่งยกพลมารไปตามตัว |
ประหลาดใจจริงหนอไม่พอที่ | เมื่อกำนัลขันทีก็รู้ทั่ว |
เหมือนจะแกล้งให้น้องหมองมัว | น่าน้อยใจตัวเปนพ้นไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๑๓๐๏ เมื่อนั้น | พระยามารไม่พะวงสงไสย |
สอดส่องเห็นจริงทุกสิ่งไป | ก็เสียใจบ่นออดกอดมือ |
เอะนางมณโฑนี่โว้เว้ | มิหลงเล่ห์ลมลิงเสียแล้วฤๅ |
ในทรวงดวงใจดังไฟฮือ | เขาจะฦๅทั่วโลกโลกา |
อัปรยศอดสูดูร้าย | จะออกปากก็อายขายหน้า |
ชรอยกลหณุมานมันแปลงมา | คนอื่นไซ้ไม่กล้าถึงเพียงนี้ |
คิดแล้วดำรัสตรัสกระซิบ | ค่อยงุบงิบแต่กับมเหษี |
จะนึกแหนงฤไทยไปไยมี | อันพี่นี้จริงใจมิได้มา |
ข้าศึกมันแกล้งจำแลงกาย | เปนอุบายไอ้พิเภกยักษา |
เยาวมาลย์ไม่พะวงสงกา | จึ่งเสียกิจวิทยาของเราไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๑๓๑๏ เมื่อนั้น | นางมณโฑเทวีศรีใส |
ฟังแถลงแจงตระหนักประจักษ์ใจ | อรไทยเพียงจะสิ้นสมประดี |
ทั้งอายทั้งกลัวด้วยชั่วนัก | ไม่อาจแลดูภักตร์ท้าวยักษี |
กอดบาทภัศดาสามี | โศกีแน่นิ่งไม่ติงกาย |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๒๑๓๒๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรอกสั่นขวัญหาย |
สำคัญคิดว่านางวางวาย | ก็ฟูมฟายชลนาโศกาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๒๑๓๓๏ ครั้นค่อยเหือดห่างส่างเทวศ | จึ่งช้อนเกษใส่ตักด้วยรักใคร่ |
ลูบทั่วสารพางค์นางทรามไวย | เห็นยังไม่ม้วยมอดวอดวาย |
เหวยเหวยค่อมเค้าเถ้าแก่ | ไปหาหมอมาแก้นางโฉมฉาย |
เร่งเอาเครื่องต้นสุคนธ์ละลาย | มาชโลมโซมกายกัลยา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๑๓๔๏ เมื่อนั้น | นางมณโฑเยาวยอดเสนหา |
ครั้นฟื้นคืนสมประดีมา | ก็โศกาครวญคร่ำร่ำไร |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้
๒๑๓๕๏ โอ้อกเอ๋ยแสนชั่วแล้วตัวกู | จะอยู่ดูหน้าคนกะไรได้ |
เขาจะฦๅชื่อชั่วทั่วทิศไป | นี่เนื้อกรรมทำไว้แต่ก่อนกาล |
เสียทีที่เปนชาวไกรลาศ | มาเสียรู้แก่ชาติเดรฉาน |
จนเสียตัวชั่วช้าสาธารณ์ | ทั้งเสียการพิธีครั้งนี้ไซ้ |
เสียพระเดชเดชาพระยายักษ์ | เสียแรงพระทรงศักดิรักใคร่ |
ขอพระองค์จงเอาพระขรรค์ไชย | สังหารให้มอดม้วยมรณา |
จะได้สิ้นความอายขายบาท | พระพงษ์พรหมธิราชนาถา |
ร่ำพลางนางทรงโศกา | ชลนาฟูมฟองนองภักตร์ |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๒๑๓๖๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริวงษ์ทรงศักดิ |
โลมลูบปฤษฎางค์นางนงลักษณ์ | น้องรักของพี่ผู้ร่วมใจ |
จงดับความกำสรดอดกลั้น | จะโศกศัลย์คร่ำครวญหาควรไม่ |
เปนคราวเคราะห์เพราะกรรมเราทำไว้ | พี่มิได้ถือโทษโกรธน้อง |
เมื่อโฉมยงคงสัตย์สุจริต | มิใช่เจ้าจะคิดเปนใจสอง |
ไม่เคลือบแคลงแหนงนวลยังควรครอง | เจ้าอย่าหมองหมางเมินสเทินใจ |
อันข้าศึกฮึกหาญให้เคืองแค้น | พี่จะคิดทดแทนมันจงได้ |
ตรัสพลางทางชวนนางทรามไวย | เข้าในห้องศิริไสยา |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๒๑๓๗๏ ทอดองค์ลงกับที่บรรจฐรณ์ | ยอกรก่ายภักตร์ยักษา |
ตรึกไตรในการยุทธนา | อสุราอาวรณ์ร้อนรน |
ชิชะไพรีครั้งนี้หนอ | ออกต้านต่อไม่ชนะแต่สักหน |
ยังซ้ำเสียเมียเพราะเสียกล | อัปรยศเปนพ้นพันทวี |
ตัวกูก็เปนชายฦๅชื่อ | ไม่เกรงมือมนุษย์สองศรี |
นิ่งนึกตรึกตราในราตรี | จนเคลิ้มหลับกับที่ไสยา |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
ร่าย
๒๑๓๘๏ ครั้นรุ่งรางส่างแสงสุริยง | ประธมตื่นฟื้นองค์ท้าวยักษา |
จึ่งสระสรงทรงเครื่องสุคนธา | แล้วลีลาออกท้องพระโรงไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๑๓๙๏ ลดองค์ลงนั่งบัลลังก์อาศน์ | พร้อมอำมาตย์นับร้อยน้อยใหญ่ |
จึ่งตรัสสั่งมหาเสนาใน | เร่งตรวจเตรียมพลไกรไวยวุฒิ์ |
ให้เสร็จสรรพทัพหลังทัพน่า | ปีกซ้ายปีกขวาห้าสิบสมุท |
กูจะไปรณรงค์ยงยุทธ | ด้วยมนุษย์วานรบัดนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๑๔๐๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งใส่เกษี |
ก้มเกล้ากราบงามสามที | อสุรีรีบรัดมาจัดทัพ |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๒๑๔๑๏ กะเกณฑ์กองหนุนกองน่า | ทั้งปีกซ้ายปีกขวาตามตำหรับ |
กองหลวงกองหลังคั่งคับ | เคยรบรับไพรีตีกลางแปลง |
ขุนช้างต่างผูกคชสาร | หมอควาญขี่ขับเข้มแขง |
ทหารม้าเกราะทองกองแซง | ถือทวนภู่แดงจามรี |
ขุนรถเร่งรัดจัดรถศึก | เทียมโตโคถึกเสือหมี |
พลเท้าถือสาตราราวี | โยธีนับแสนแน่นนัน |
ต่างตนแต่งกายทั้งนายไพร่ | สวมใส่เสื้อเกราะเหมาะมั่น |
แล้วเทียมราชรถแก้วแพรวพรรณ | โลทันเตรียมคอยยาตรา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๒๑๔๒๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
เสด็จจากแท่นที่ลีลา | มาสระสรงคงคาสาคร |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๒๑๔๓๏ ทรงเครื่องมุรธาภิเศกสนาน | สุคนธารประทิ่นกลิ่นเกสร |
สอดใส่สนับเพลาเชิงงอน | ภูษาอุทุมพรพื้นแดง |
เกราะนวมสวมใส่กระสันทรง | ฉลององค์ทรงเข้าบิณฑ์ก้านแย่ง |
เจียรบาดตาดติดครุยแครง | ปั้นเหน่งสายลายแทงประดับพลอย |
ตาบทิศทับทรวงดวงกุดั่น | สังวาลวรรณประเทืองเฟื่องห้อย |
ทองกรจำหลักเปนรักร้อย | ธำมรงค์ทรงก้อยพลอยทั้งเม็ด |
สิบเศียรใส่มงกุฎบุษย์น้ำทอง | เรืองรองจรจำรัสตรัจเตร็จ |
สพักศรกรกุมคทาเพ็ชร | ครั้นเสร็จเสด็จไปเกยลา |
ฯ ๘ คำ ฯ บาทสกุณี
ร่าย
๒๑๔๔๏ ขึ้นทรงรถแก้วแววไว | พลไกรกราบงามสามท่า |
ได้ฤกษ์ยิงปืนสัญญา | ทัพน่าให้เดินดำเนินธง |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว
โทน
๒๑๔๕๏ รถเอยรถที่นั่ง | บุษบกบัลลังก์ลอยรหง |
แอกงอนอ่อนสบัดบรรจง | ปักธงสามชายปลายปลิว |
เทียมไกรสรราชผาดผยอง | ดังจะพารถทองล่องลิ่ว |
เครื่องสูงชุมสายรายริ้ว | ธงทิวเปนระเบียบเรียบเรียง |
พลม้าสำแดงแผลงฤทธิ์ | ทศทิศเลื่อนลั่นสนั่นเสียง |
โห้ร้องก้องดังทั้งวังเวียง | พิภพเพียงจะพลิกคว่ำทำลาย |
ไม้ไล่ยูงยางกลางดง | แหลกลู่ล้มลงเปนกองก่าย |
สัตวสิงวิ่งกระจัดพลัดพราย | เร่งร้นพลนิกายรีบไป |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๒๑๔๖๏ กองหลวงล่วงถึงสนามยุทธ | จึ่งให้หยุดโยธีทัพใหญ่ |
ยับยั้งตั้งมั่นลงไว้ | พลไกรโห่ร้องก้องโกลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา รัว
ช้า
๒๑๔๗๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
เนาในสุวรรณพลับพลา | พรั่งพร้อมท้าวพระยาวานร |
ได้ยินเสียงสนั่นครั่นครื้น | เพียงพื้นพิภพไตรไหวกระฉ่อน |
จึ่งมีมธุรศสุนทร | ดูก่อนพิเภกโหราจารย์ |
อันเสียงกัมปนาทหวาดไหว | ดังลมพยุใหญ่ในไพรสาณฑ์ |
จะเปนทัพทศเศียรขุนมาร | ฤๅวงษ์วานอสุราออกมารบ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๒๑๔๘๏ บัดนั้น | พิเภกรู้โยคเกณฑ์เจนจบ |
จับกระดานหารคูณเลขลบ | แล้วน้อมนบประนมบังคมทูล |
ซึ่งเปนจอมพลมารณรงค์ | คือองค์ท้าวราพนาสูร |
มิใช่สุริวงษ์พงษ์ประยูร | จงทราบบาทมูลพระภูมี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๑๔๙๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์เรืองศรี |
ฟังพิเภกแถลงแจ้งคดี | จึ่งมีสีหนาทบัญชา |
สั่งพระยาสุครีพขุนกระบินทร์ | จงเตรียมพลพานรินทร์แกล้วกล้า |
เราจะไปต้านต่อฤทธา | ด้วยเจ้าลงกาพระยามาร |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๑๕๐๏ บัดนั้น | สุครีพรับราชบรรหาร |
อัญชลีแล้วถอยคล้อยคลาน | ออกมาน่าฉานฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๒๑๕๑๏ กะเกณฑ์โยธาพานรินทร์ | ทั้งชมภูขีดขินแขงขัน |
กองน่ากองหลังทั้งนั้น | เคยโรมรันอสุรีมีไชย |
ปีกป้องกองแซงซ้ายขวา | ตามตำราตำหรับทัพใหญ่ |
กองหลวงตวงเต็มสมุทไทย | มีธงไชยประจำนำพล |
วานรสารวัดสัสดี | ทำบาญชีตรวจทัพสับสน |
บ้างขัดดาบสพายแล่งแต่งตน | ใส่มงคลขบฟันขันสิ้นที |
ทนายปืนดื่นดาษคาดเขนง | นุ่งกางเกงทั้งพวกหมวกตุ้มปี่ |
ให้ประทับรัถาพาชี | มาตุลีเตรียมคอยยาตรา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๒๑๕๒๏ เมื่อนั้น | องค์พระราเมศเชษฐา |
จึ่งดำรัสตรัสชวนอนุชา | เสด็จมาสระสนานสำราญองค์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๒๑๕๓๏ ไขสุหร่ายวารินกลิ่นเกลี้ยง | สถิตย์นั่งเหนือเตียงโสรจสรง |
ทรงสุคนธ์ปนสุวรรณบรรจง | ต่างองค์ทรงใส่สนับเพลา |
ภูษายกแย่งอย่างต่างกัน | กรวยเชิงสามชั้นฉลุเฉลา |
ฉลององค์เลื่อมลายพรายเพรา | ห้อยห่วงหน่วงเนาชายแครง |
ปั้นเหน่งเพ็ชรพรรณรายสายบานพับ | เฟื่องห้อยพลอยประดับระยับแสง |
ทับทรวงสังวาลเพ็ชรเม็ดแตง | ทองกรแก้วแดงกุดั่นดุน |
ธำมรงค์เรือนเก็จเพ็ชรแพร้ว | มงกุฎแก้วใส่สวมนวมหนุน |
ห้อยอุบะดอกดวงพวงพิกุล | สพักศรวิรุณจักรวาฬ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๑๕๔๏ สองกระษัตริย์ยุรยาตรคลาศคลา | มายังเกยลาน่าฉาน |
ขึ้นทรงเวไชยันต์มัฆวาน | ให้ยกโยธาหาญโห่ร้อง |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๒๑๕๕๏ รถเอยราชรถทรง | กำกงแก้วผลึกกึกก้อง |
บุษบกบัวหงายลายลำยอง | โตกตั้งบัลลังก์ทองรองรับ |
เทียมเทพอาชาพาชี | เทวราชมาตุลีขี่ขับ |
เกณฑ์แห่แตรสังข์คั่งคับ | เครื่องสูงแทรกสลับจามร |
ฆ้องกลองครื้นครั่นสนั่นเสียง | พ่างเพียงพระสุเมรุจะเอนอ่อน |
พวกพลโยธาพานร | หักถอนพฤกษาเปนอาวุธ |
บ้างเริงร่านหาญฮึกโห่ร้อง | สเทือนท้องสุธามหาสมุท |
ต่างสำแดงแผลงอิทธิ์ฤทธิรุตม์ | เร่งร้นพลยุทธยาตรา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๒๑๕๖๏ ครั้นถึงที่สมรภูมิไชย | พอประทะทัพใหญ่ยักษา |
ให้รอรั้งยั้งหยุดโยธา | คอยท่าดูทีกุมภัณฑ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๑๕๗๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริวงษ์รังสรรค์ |
เห็นไพรีกรีพลมาแน่นนัน | ยังมิทันหยุดยั้งตั้งทัพ |
จึ่งตรัสสั่งทั้งสี่เสนา | ให้กองน่าหักโหมโจมจับ |
กองหลวงทลวงตีให้แตกยับ | เร่งขับพลนิกรเข้ารอนราญ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๑๕๘๏ บัดนั้น | นายทัพรับราชบรรหาร |
ตีต้อนอสูรหมู่มาร | ให้รอนราญทัพน่าวานร |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๑๕๙๏ บัดนั้น | พวกพหลพลมารชาญสมร |
ต่างเข้าจับกุมตลุมบอน | ไม่ย่อหย่อนสัปรยุทธยุทธแย้ง |
ทนายปืนยิงปืนครื้นครั่น | บ้างเหนี่ยวน้าวเกาทัณฑ์ธนูแผลง |
รบรุกบุกบันฟันแทง | เรี่ยวแรงแขงข้อต่อตี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๑๖๐๏ บัดนั้น | โยธาวานรไม่ถอยหนี |
ขู่ตะคอกหลอกหลอนอสุรี | ได้ทีจู่โจมโถมทยาน |
บ้างโจนขึ้นเหยียบเข่าเหยียบบ่า | ฉวยชิงสาตรามาประหาร |
ตีต้องอสุรพลไม่ทนทาน | บ้างล้มตายวายปราณบ้างแตกไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๑๖๑๏ บัดนั้น | สี่เสนามารทหารใหญ่ |
เห็นยักษีหนีลิงไม่ชิงไชย | เร่งพิโรธโกรธใจดังไฟฮือ |
ต่างเข้ารบรับจับวานร | ตีด้วยคทาธรสำหรับถือ |
พวกกระบี่หนีพ่านไม่ทานมือ | ยิ่งรื้อไล่กระชิดติดพัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๑๖๒๏ บัดนั้น | จึ่งกระบินทร์นิลเอกนิลขัน |
สุรเสนสุรการชาญฉกรรจ์ | ต่างเข้าโรมรันประจัญรับ |
ยักษีตีด้วยคทาธร | วานรถาโถมโจมจับ |
สี่กระบี่สี่อสูรนายทัพ | กลอกกลับสัปรยุทธยุทธนา |
พานรินทร์เรี่ยวแรงแขงขัน | ทยานขึ้นยืนยันเหยียบบ่า |
แกว่งพระขรรค์ฟันสี่อสุรา | สิ้นชีวาล้มดิ้นกับดินดาล |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด โอด
๒๑๖๓๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรศักดาหาญ |
เห็นยักษีสี่นายวายปราณ | พระยามารกริ้วโกรธโกรธา |
ยี่สิบหัดถ์กวัดแกว่งพระแสงทรง | โจนลงจากราชรัถา |
ไล่พิฆาฏวานรสท้อนมา | จนถึงน่ารถพระรามไม่ขามฤทธิ์ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๑๖๔๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์จักรกฤษณ์ |
แลเห็นทศกรรฐ์กระชั้นชิด | ตามติดตีพลย่นมา |
พระพิโรธโกรธกริ้วกระทืบบาท | เสด็จลงจากราชรัถา |
เข้าโจมจับกับองค์เจ้าลงกา | หันเหียนเปลี่ยนท่าราวี |
บุกบันประจัญบานหาญหัก | ขึ้นเหยียบเข่าทศภักตร์ยักษี |
ทั้งสองข้างต่างเรืองฤทธี | ต่อตีต้านทานราญรอน |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๒๑๖๕๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรห้าวหาญชาญสมร |
กริ้วโกรธพิโรธใจดังไฟฟอน | ยี่สิบกรเงื้อง่าอาวุธ |
กระทืบเท้าถาโถมเข้าโจมจับ | ถ้อยทีกลอกกลับสัปรยุทธ |
ไม่ทันยั้งพลั้งท่าทำนองยุทธ | ต้องคันศรทรุดเซไป |
พระยามารมึนเมื่อยเหนื่อยเหน็ด | ครั่นคร้ามขามเข็ดไม่เข้าใกล้ |
หยุดยั้งรั้งรอท้อฤไทย | จะชิงไชยกับมนุษย์สุดปัญญา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๑๖๖๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
เห็นสิ้นคิดฤทธิรงค์เจ้าลงกา | อ่อนระอาออกยืนอยู่กลางแปลง |
จึ่งขึ้นคันศรกรก่ง | ชักลูกธนูทรงออกจากแล่ง |
พาดสายหมายเหนี่ยวเรี่ยวแรง | ผาดแผลงไปพลันทันใด |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๒๑๖๗๏ เสียงสนั่นลั่นป่าดังฟ้าร้อง | กึกก้องกัมปนาทหวาดไหว |
ศรถูกทศกรรฐ์ไม่บรรไลย | เศียรกรปลิวไปจากอินทรีย์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๑๖๘๏ เมื่อนั้น | พระยามารไม่ม้วยด้วยศรศรี |
เศียรกรกลับติดสนิทดี | ด้วยดวงใจไม่มีอยู่กับกาย |
กระทืบบาทกราดเกรี้ยวเคี้ยวฟัน | กุมภัณฑ์พยาบาทหมาดหมาย |
จะสังหารผลาญมนุษย์ให้วอดวาย | จึ่งขึ้นสายศิลป์ทรงสำหรับกร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๑๖๙๏ เมื่อนั้น | องค์พระอวตารชาญสมร |
เห็นทศกรรฐ์ก่งศิลป์จะราญรอน | จึ่งเสี่ยงศรยิงแย้งแผลงพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๑๗๐๏ ต้องสายศรทรงเจ้าลงกา | ก็ขาดด้วยศักดาดังแกล้งบั่น |
แล้วศรไชยไปต้องทศกรรฐ์ | กายนั้นทลุปรุโปร่งไป |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๑๗๑๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเจ็บนักเพียงตักไษย |
อุส่าห์แขงขืนฝืนฤไทย | สำรวมใจโอมอ่านอาคม |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๒๑๗๒๏ ลูบทั่วสารพางค์ร่างกาย | แผลหายเปนปลิดสนิทสนม |
คิดเสียดายสายศรร้อนอารมณ์ | มหาพรหมประทานแต่ยังเยาว์ |
ควรฤๅมาขาดเสียครั้งนี้ | จะต่อตีไหนจะชนะเขา |
ทั้งโยธีรี้พลก็บางเบา | จำจะกลับคืนเข้านัครา |
คิดพลางทางขึ้นรถทรง | ให้โบกธงหย่าทัพกลับน่า |
เลิกพหลพลไกรไคลคลา | คืนเข้าลงกาเวียงไชย |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๒๑๗๓๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
ครั้นทศกรรฐ์ล่าทัพกลับไป | ภูวไนยชวนองค์อนุชา |
ขึ้นรถทรงแก้วแพรวพราย | พรั่งพร้อมพลนิกายซ้ายขวา |
วานรโห่ร้องก้องโกลา | คืนเข้าพลับพลาพนาลี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๑๗๔๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี |
มาถึงลงกาธานี | อสุรีลงจากรถไชย |
ให้รันทดสลดจิตรมึนตึง | ดังหนึ่งจะดำเนินไปไม่ไหว |
แขงขืนฝืนวิญญาคลาไคล | เข้าในไพชยนต์มนฑีร์ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๒๑๗๕๏ เมื่อนั้น | นวลนางมณโฑมเหษี |
มาพยุงจูงกรพระสามี | นางอัคคีเข้าประคองข้างซ้าย |
พาไปให้สถิตย์แท่นสุวรรณ | นางกำนัลเชิญภูษามาถวาย |
ให้เปลี่ยนเปลื้องเครื่องทรงสำหรับกาย | แล้วละลายพระสุคนธ์ลูบไล้ |
ลางนางบ้างอยู่งานพัชนี | มเหษีสององค์ทรงนวดให้ |
บ้างยกพานบุบผามาไลย | มาตั้งไว้ข้างองค์เจ้าลงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๑๗๖๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา |
สถิตย์เหนือแท่นแก้วแววฟ้า | มเหษีซ้ายขวาเคียงประคอง |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๒๑๗๗๏ เอนองค์ลงบรรธมบนที่ | อสุรีร้อนรนหม่นหมอง |
ดังเพลิงรุมสุมทรวงสักสิบกอง | แต่นิ่งตรองการศึกตรึกตรา |
ออกต่อตีมีแต่จะแพ้พ่าย | ปิ้มจะวายชีวังสังขาร์ |
ตั้งแต่เมียตัวต้องหัวมา | สาตราอาคมก็เสื่อมไป |
จะคิดฉันใดดีกระนี้กู | จึ่งจะสู้สงครามพระรามได้ |
มิตรสหายพงษ์พันธุ์ทั้งนั้นไซ้ | ก็บรรไลยสิ้นแล้วไม่เหลือเลย |
จะได้ใครช่วยณรงค์สงคราม | ให้สิ้นความวิตกณอกเอ๋ย |
คนึงนึกตรึกไตรไม่เสบย | กอดเขนยม่อยหลับกับไสยา |
ฯ ๘ คำ ฯ กล่อม
ช้า
๒๑๗๘๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
เสด็จออกยังสุวรรณพลับพลา | พร้อมหมู่มาตยาพานรินทร์ |
เบื้องซ้ายฝ่ายชมภูพระนคร | เบื้องขวาพานรขีดขิน |
คับคั่งทั้งสองธานินทร์ | ล้วนเหล่ากระบินทร์บริวาร |
พระดำริห์ตริไตรไปมา | แล้วมีรศพจนาบรรหาร |
ตรัสถามพิเภกโหราจารย์ | เมื่อวันวานนี้เรารณรงค์ |
แต่แผลงศรรอนราญอสุรา | จนกายาทลุปรุปร่ง |
เหตุไฉนจึ่งไม่ปลดปลง | พิเภกจงชี้แจงให้แจ้งใจ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๑๗๙๏ บัดนั้น | พิเภกประนมบังคมไหว้ |
จึ่งทูลว่าทศกรรฐ์ไม่บรรไลย | ด้วยดวงใจอยู่นอกกายา |
องค์พระโคบุตรฤๅษี | ตั้งพิธีถอดจิตรยักษา |
ใส่กล่องแก้วแล้วประกับศิลา | พระสิทธาเก็บไว้ในกุฎี |
แต่ก่อนนั้นพระองค์ไม่ทรงถาม | จะทูลความก็เหมือนว่าฆ่าพี่ |
เปนความสัตย์ปัฏิญาณไว้อย่างนี้ | จงทราบใต้ธุลีบทมาลย์ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๑๘๐๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน |
ฟังพิเภกทูลแถลงแจ้งเหตุการ | จึ่งมีรศพจมานไปทันใด |
แต่บรรดาวานรทั้งกองทัพ | ใครจะรับอาสาเราได้ |
ไปยังพระโคบุตรวุฒิไกร | ฬ่อลวงเอาดวงใจอสุรา |
แต่ดำรัสตรัสถามถึงสามครั้ง | ไม่มีใครรับสั่งอาสา |
ทอดพระเนตรดูเหล่าท้าวพระยา | ต่างบังคมก้มหน้านิ่งไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๑๘๑๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
เห็นบรรดาวานรทั้งนั้นไซ้ | ไม่มีใครรับราชบัญชา |
จึ่งบังคมทูลพลันทันที | ข้านี้จะขออาสา |
ไปเอาดวงใจอสุรา | ยังพระสิทธาอาจารย์ |
แต่จะขอองคตผู้น้องนั้น | ไปด้วยช่วยกันคิดอ่าน |
คงจะได้สำเร็จเสร็จการ | กำหนดไว้โดยนานได้เจ็ดวัน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๑๘๒๏ เมื่อนั้น | พระหริรักษ์เรืองเดชทุกเขตรขัณฑ์ |
ได้ฟังหณุมานชาญฉกรรจ์ | พระทรงธรรม์ยินดีปรีดา |
แล้วมีมธุรศพจมาน | มิเสียทีเปนทหารอาสา |
ซึ่งจะขอองคตอนุชา | เปนสองราร่วมใจไปด้วยกัน |
ดีแล้วขุนกระบี่พี่น้อง | จะได้ช่วยตรึกตรองผ่อนผัน |
ให้สมหวังดังจิตรที่คิดนั้น | อย่าช้าพากันจรลี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๑๘๓๏ บัดนั้น | องคตหณุมานชาญไชยศรี |
รับสั่งบังคมพระจักรี | สองกระบี่พี่น้องก็ออกไป |
ถึงลับแลบังก็ยั้งหยุด | วายุบุตรเฉลียวจิตรคิดขึ้นได้ |
จึ่งว่าแก่องคตยศไกร | เราจะไปอาสาครานี้ |
จะต้องเข้าคบค้าปัจจามิตร | จึ่งจะได้ดวงจิตรยักษี |
จะทูลไว้ให้ทราบแต่เดิมที | อย่าให้พระจักรีแคลงฤไทย |
ว่าพลางทางกลับมาที่เฝ้า | ก้มกรานคลานเข้าไปให้ใกล้ |
ค่อยกระซิบทูลพลันทันใด | ข้าจะไปไกลบาทบาทา |
เบื้องน่าถ้าใครมากล่าวโทษ | พระองค์จงโปรดเกษา |
อย่าเพ่อกินแหนงแคลงวิญญา | กว่าข้าจะมาในเจ็ดวัน |
ว่าแล้วประนตบทบงสุ์ | ลาองค์พระนารายน์รังสรรค์ |
ชวนองคตน้องยาพากัน | รเห็จหันเหาะลิ่วปลิวไป |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด
๒๑๘๔๏ สองนายหมายมุ่งกรุงลงกา | ตรงนินทกาลาเขาใหญ่ |
แลเห็นหลังคาศาลาไลย | อยู่ใต้ร่มไทรใกล้คิรี |
จึ่งคล้อยเคลื่อนเลื่อนลงจากเวหา | ใครไม่เห็นกายากระบี่ศรี |
แล้วพากันบทจรจรลี | มายังที่อาศรมพระสิทธา |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๒๑๘๕๏ เมื่อนั้น | พระโคบุตรดาบศพรตกล้า |
เชี่ยวชาญการเวทวิทยา | เปนใหญ่กว่าโยคีชีไพร |
ตั้งแต่พระอาจารย์ทำการกิจ | ถอดจิตรเจ้าลงกาออกมาได้ |
เอาใส่กล่องศิลารักษาไว้ | ที่ในอาศรมพระนักธรรม์ |
อันองค์อสุราพระยามาร | ใครสังหารชีวาไม่อาสัญ |
ด้วยเดชะพระเวทวิเศษครัน | เปนครูทศกรรฐ์แต่นั้นมา |
นับถือฦๅเลื่องทั้งเมืองมาร | เอาลูกหลานมาไว้ให้ศึกษา |
ร่ำเรียนเขียน ก ข้ ก กา | ศิษย์หาเล่าหนังสืออื้ออึงไป |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๑๘๖๏ วันนั้นพระมหาอาจารย์ | สาลวนลนลานทำการใหญ่ |
เรียกหาสานุศิษย์ให้ติดไฟ | ถลุงหลอมเหล็กไหลแร่พลวง |
เอาปรอททองลงให้กินกัน | สีสันดังดาวขาวช่วง |
แล้วเก็บไว้ใส่แช่น้ำผึ้งรวง | ฉันดีพีพ่วงเกิดกำลัง |
คิดจะใคร่ให้เปนกายสิทธิ์ | อิทธิฤทธิ์เหาะได้ดังใจหวัง |
อุส่าห์สุมรุมไฟระไวระวัง | ไม่เหนื่อยนั่งอุตลุดในกุฎี |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๒๑๘๗๏ เมื่อนั้น | องคตหณุมานชาญไชยศรี |
จึ่งเข้าไปไหว้กราบพระมุนี | สองกระบี่ทำแกล้งแสร้งโศกา |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๒๑๘๘๏ เมื่อนั้น | องค์พระอาจารย์ฌานกล้า |
แลเห็นวานรทั้งสองรา | พระสิทธานึกแหนงแคลงใจ |
จึ่งซักไซ้ไต่ถามทันที | ประสกลิงเหล่านี้อยู่ที่ไหน |
มีเหตุเภทพาลประการใด | ทุกข์ร้อนสิ่งไรจึ่งโศกา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๑๘๙๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า |
ทำสท้อนถอนใจไปมา | ฟูมฟายน้ำตาแล้วพาที |
ตัวข้าชื่อว่าหณุมาน | เปนทหารพระรามเรืองศรี |
นั่นองคตบุตรพระยาพาลี | เปนลูกพี่ลูกน้องทั้งสองรา |
ตั้งแต่ข้ามาอยู่ด้วยพระราม | ทำสงครามฆ่ายักษ์มาหนักหนา |
ที่ไหนหนักหักได้ดังบัญชา | แต่ตัวข้าผู้เดียวเคี่ยวขับไป |
อุส่าห์ปล้ำทำศึกถึงเพียงนี้ | ความชอบจะมีก็หาไม่ |
กลับจะคิดฆ่าฟันให้บรรไลย | เจ็บใจข้านักพระสิทธา |
ได้ยินข่าวว่าท้าวทศภักตร์ | น้ำพระไทยดีนักดีหนา |
ตัวข้าพี่น้องสองรา | อยากจะใคร่เปนข้าพระยามาร |
ขอพระองค์จงได้โปรดเกล้า | ช่วยพาเข้าไปถวายเปนทหาร |
จะมาอยู่สู่โพธิสมภาร | รับทำราชการในลงกา |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
๒๑๙๐๏ เมื่อนั้น | พระฤๅษีฟังคำที่ร่ำว่า |
ยังสงไสยไม่เชื่อวาจา | พระสิทธาจึ่งตอบไปทันใด |
ซึ่งเองว่าผิดกันกับพระราม | จะเชื่อถ้อยฟังความนั้นไม่ได้ |
เกลือกจะเปนสายสนกลใน | นานไปสิจะทำให้รำคาญ |
แล้วได้ยินข่าวคำอสุรี | ว่าเองนี้หยาบช้ากล้าหาญ |
ซึ่งจะมาเปนข้าพระยามาร | รูปนี้เห็นพานไม่ไว้ใจ |
ฉวยจะกะไรไปข้างน่า | เจ้าลงกามันจะโกรธโทษได้ |
มึงอยากเปนข้าก็เข้าไป | มิใช่ไม่รู้จักอสุรา |
จะกลัวเกรงโพยไภยอะไรมี | ไม่พอที่วุ่นวายหานายหน้า |
รูปจะได้สวดมนต์ภาวนา | ไม่ต้องการจะมาพากูไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๑๙๑๏ เมื่อนั้น | หณุมานฟังคำทำร้องไห้ |
อ้อนวอนพระมุนีพิรี้พิไร | ขอพระองค์จงได้เมตตา |
ครั้งนี้หนีร้อนมาพึ่งเย็น | อย่าสงไสยไม่เปนเหมือนเช่นว่า |
จะภักดีต่อองค์เจ้าลงกา | ไปกว่าจะสุดสิ้นชีวี |
แต่จะให้ไปโดยลำพังตัว | คิดกลัวทศภักตร์ยักษี |
เหตุว่าข้าพวกไพรี | เปนที่ข้อแค้นเคืองพระไทย |
ถ้าเห็นข้าน่าที่จะหุนหัน | จะทันทูลคดีที่ไหน |
ฉวยโกรธาฆ่าฟันก็บรรไลย | จะได้ใครคุ้มครองป้องกัน |
แม้นพระองค์พาไปเห็นไม่ตาย | พอถวายพระพรผ่อนผัน |
จงได้โปรดเกล้าแต่เท่านั้น | อย่าให้ชีวันวายปราณ |
มาทแม้นครั้งนี้มิช่วย | ข้าคงม้วยชีวังสังขาร |
แล้วเข้ากอดบาทาพระอาจารย์ | สองทหารแสร้งทำโศกา |
ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด
๒๑๙๒๏ เมื่อนั้น | พระดาบศผู้ทรงสิกขา |
มิได้รู้กลมารยา | เห็นกระบี่โศกาก็ตายใจ |
สำคัญมั่นหมายเอาว่าจริง | จะรู้เล่ห์ลมลิงก็หาไม่ |
พระอาจารย์นิ่งนึกตรึกไตร | แม้นไม่พาเข้าไปก็ไม่ดี |
มันสิจงรักสมัคมา | จะอาสาทศภักตร์ยักษี |
อันเจ้าลงกาธานี | ครั้งนี้จะสิ้นวงษ์พงษ์พันธุ์ |
ต้องผจญรณรงค์องค์เดียว | ขับเคี่ยวปิ้มม้วยอาสัญ |
ไอ้นี่ก็ไม่ชั่วตัวสำคัญ | จะได้ช่วยทศกรรฐ์มันชิงไชย |
คิดพลางทางว่ากับวานร | เองอย่าทุกข์ร้อนร้องไห้ |
กูจะช่วยพามึงคลาไคล | เข้าไปเฝ้าองค์เจ้าลงกา |
ว่าแล้วเข้าไปในห้อง | พระดาบศห่มดองครองผ้า |
ฉวยไม้ท้าวก้าวเดินออกมา | ปิดประตูศาลาใส่กลอนไว้ |
แล้วเหลียวหน้ามาชวนสองกระบี่ | ออกจากกุฎีที่อาไศรย |
องคตหณุมานชาญไชย | ก็เดินไปตามองค์พระนักพรต |
ฯ ๑๔ คำ ฯ เสมอ
๒๑๙๓๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรฉุดผ้าพระดาบศ |
น้องชายช่วยฉวยคร่าราตคด | นิมนต์งดอยู่ก่อนอย่าเพ่อไป |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๑๙๔๏ เมื่อนั้น | พระฤๅษีหลากจิตรคิดสงไสย |
จึ่งว่าเองยุดคร่ากูว่าไร | จะได้ไปเห็นวันทันเวลา |
ฤๅมึงยังไม่ไว้ใจตัว | เกรงกลัวทศภักตร์ยักษา |
กูเองกับองค์เจ้าลงกา | มันเปนศิษย์หามาแต่ไร |
ถึงเสนาข้าเฝ้าทั้งหลาย | โทษทัณฑ์ถึงตายก็ขอได้ |
อย่านึกกินแหนงแคลงใจ | มิใช่จะฬ่อลวงมึง |
อันซึ่งเองเกรงกลัวว่าตัวร้าย | จะไกล่เกลี่ยเสียให้หายโกรธขึ้ง |
กูว่าไรเปนนั่นอย่าพรั่นพรึง | จะพามึงเข้าไปให้ได้ดี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๑๙๕๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานชาญไชยศรี |
นบนอบตอบคำพระมุนี | ใช่ว่าข้านี้มิเชื่อฟัง |
จะเข้าไปเฝ้าองค์เจ้าลงกา | กลัวแต่จะได้หน้าเสียหลัง |
ข้านี้ร้อนรนพ้นกำลัง | คิดระวังว่ากุฎีไม่มีใคร |
ด้วยพิเภกกราบทูลพระรามา | ต่อหน้าวานรน้อยใหญ่ |
ว่าทศกรรฐ์นั้นถอดดวงใจ | ฝากไว้แก่องค์พระมุนี |
มาลำฦกนึกได้หากลางทาง | จริงอย่างนั้นฤๅพระฤๅษี |
จงเล่าแถลงแจ้งคดี | ข้านี้นึกพะวงสงกา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๑๙๖๏ เมื่อนั้น | พระดาบศผู้ทรงสิกขา |
ฟังวานรแถลงแจ้งกิจจา | พระสิทธาดำริห์ตริการ |
ถึงกูจะคิดปิดงำ | ก็มีผู้แนะนำบอกขาน |
จะพรางมันไปไยไม่ต้องการ | พระอาจารย์จึ่งตอบวาจา |
ดวงใจทศกรรฐ์มันฝากกู | จริงอยู่เหมือนคำพิเภกว่า |
แล้วสั่งซ้ำกำชับกำชา | เองอย่าพูดจาต่อไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๑๙๗๏ เมื่อนั้น | หณุมานยินดีจะมีไหน |
ทำเปนตระหนกตกใจ | เอออะไรกระนี้มิเปนการ |
พระรามทำศึกแก่ทศกรรฐ์ | หมายมั่นจำนงจงผลาญ |
ควรฤๅพระสิทธาอาจารย์ | เอาดวงใจพระยามารมาทิ้งไว้ |
ฉวยพระรามใช้กระบี่มีฤทธิ์ | มาลักเอาดวงจิตรไปได้ |
เหมือนแกล้งทศกรรฐ์ไห้บรรไลย | ข้าจะพึ่งผู้ใดพระมุนี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๑๙๘๏ เมื่อนั้น | องค์พระโคบุตรฤๅษี |
ได้ฟังวาจาพาที | พระมุนีเห็นจริงทุกสิ่งไป |
จึ่งว่าดูก่อนหณุมาน | เองว่าขานนั้นชอบอัชฌาไศรย |
น้อยฤๅซื่อสัตย์สุดใจ | สามิภักดิ์รักใคร่ทศกรรฐ์ |
ว่าแล้วจึ่งองค์พระมุนี | พาสองกระบี่ผายผัน |
ถือไม้ท้าวก้าวเดินงกงัน | กลับมาอรัญกุฎี |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๒๑๙๙๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าในห้อง | หยิบกล่องดวงจิตรยักษี |
แล้วกลับออกมาพลันทันที | จึ่งบอกกับกระบี่ทั้งสองรา |
นี่กล่องดวงใจทศเศียร | ผนิดปิดแนบเนียนหนักหนา |
มันฝากกูไว้แต่ไรมา | ต้องพิทักษ์รักษาทั้งตาปี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๒๐๐๏ เมื่อนั้น | หณุมานได้ฟังพระฤๅษี |
ทำสงไสยไต่ถามไปทันที | ข้านี้นึกแหนงแคลงใจ |
อันกรุงลงกาพระยามาร | มีปราสาทราชฐานกว้างใหญ่ |
ทำไมจึ่งไม่เก็บไว้ | ขัดขวางอย่างไรพระมุนี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๒๐๑๏ เมื่อนั้น | องค์พระโคบุตรฤๅษี |
ยิ้มพลางทางตอบวาที | กูจะบอกมึงนี้ให้เข้าใจ |
อันดวงชีวีนี้สำคัญ | ทศกรรฐ์มันเก็บไว้ไม่ได้ |
แม้นดวงจิตรชิดตัวเข้าเมื่อไร | จะคืนเข้าเสียในกายา |
เมื่อแรกเอาออกจากอินทรีย์ | กูตั้งกิจพิธีเหนื่อยหนักหนา |
จึ่งต้องใส่กล่องหินศิลา | เอามาให้กูเก็บไว้ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๒๐๒๏ เมื่อนั้น | หณุมานผู้มีอัชฌาไศรย |
เห็นกล่องดวงชีวีก็ดีใจ | หมายได้สมคเนด้วยเล่ห์กล |
จึ่งแกล้งว่าข้าถามทั้งนี้ | ด้วยเดิมทีไม่แจ้งเหตุผล |
จวนจะบ่ายชายแสงสุริยน | นิมนต์รีบพาข้าเข้าไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๒๐๓๏ เมื่อนั้น | พระดาบศงวยงงไม่สงไสย |
ก็นำน่าวานรคลาไคล | ถือไม้ท้าวจ้องจรลี |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๒๐๔๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรยุดมือพระฤๅษี |
เอออะไรมาเปนเช่นนี้ | พูดอยู่เมื่อกี้ก็ลืมไป |
จะเอากล่องดวงใจเข้าไปนั้น | ใกล้องค์ทศกรรฐ์กะไรได้ |
ฉวยคืนเข้ากายาเหมือนว่าไว้ | จะรู้ที่ทำกะไรพระนักธรรม์ |
กว่าจะตั้งการกิจพิธี | ถึงเจ็ดปีเจ็ดเดือนน้อยฤๅนั่น |
แม้นพระรามรบกับทศกรรฐ์ | น่าที่ชีวันจะบรรไลย |
เสียแรงสู้สามิภักดิ์สมัคมา | จะรู้ที่พึ่งพาผู้ใดได้ |
ว่าพลางทำตระหนกตกใจ | จะผ่อนผันฉันใดพระอาจารย์ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๒๐๕๏ เมื่อนั้น | พระโคบุตรหยุดยั้งฟังว่าขาน |
พิเคราะห์ดูเห็นจริงยิ่งรำคาญ | จะคิดอ่านอย่างไรก็ใช่ที |
ครั้นจะเอาดวงใจไปด้วยเล่า | จะคืนเข้ากายาท้าวยักษี |
จะเก็บไว้ในอรัญกุฎี | ก็กลัวพวกไพรีจะลักไป |
คิดพลางทางว่ากับหณุมาน | มึงทัดทานนั้นชอบอัชฌาไศรย |
กูนี้อั้นอ้นจนใจ | จะเอากล่องไปไว้ที่ไหนดี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๒๐๖๏ เมื่อนั้น | หณุมานนบนอบตอบฤๅษี |
อันตัวข้าพี่น้องทั้งสองนี้ | ภักดีต่อองค์เจ้าลงกา |
หมายจะมาเปนข้าพระยายักษ์ | ด้วยจำนงจงรักหนักหนา |
องค์พระมุนีผู้ปรีชา | อย่าคิดกังขาราคี |
จงส่งกล่องดวงใจให้องคต | ถือท่าพระดาบศอยู่ที่นี่ |
เมื่อเสร็จสรรพจะกลับเข้ากุฎี | จึ่งเอากล่องชีวีนี้ไป |
โปรดถวายเสียก่อนแต่ตัวข้า | ในเวลาวันนี้ให้ได้ |
แต่พอเคลื่อนคลายสบายใจ | อยู่ในลงกาธานี |
อันซึ่งองคตน้องชาย | ไว้ข้าจะถวายกระบี่ศรี |
คิดอ่านผ่อนผันกันอย่างนี้ | พระมุนีจะเห็นเปนกะไร |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๒๐๗๏ เมื่อนั้น | พระมหาดาบศเปนใหญ่ |
ผลกรรมทศกรรฐ์จะบรรไลย | พเอิญให้เชื่อฟังวานร |
จึ่งส่งกล่องดวงใจให้องคต | เองงดท่ากูอยู่นี่ก่อน |
แล้วพาวายุบุตรบทจร | เข้าในนครลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๒๐๘๏ บัดนั้น | เหล่าพวกอสุรศักดิยักษา |
ซึ่งเรือนร้านบ้านริมรัถยา | เห็นหณุมานมาก็ตกใจ |
บ้างร้องบอกกันพลางทางวิ่ง | ไอ้ลิงพวกมนุษย์เข้ามาได้ |
ตัวนี้ที่มันมาจุดไฟ | ร้ายกาจเหลือใจใช่พอดี |
ต่างตระหนกอกสั่นขวัญหาย | หญิงชายอลหม่านอึงมี่ |
ที่จวนตัวกลัวตายเต็มที | วิ่งหนีเหนื่อยบอบหอบหายใจ |
ที่บ้านใกล้ได้ยินอื้อฉาว | เข็ดคราวครั้งเมืองลงกาไหม้ |
ทั้งเมียผัวกลัวว่าจะเกิดไฟ | รื้อหลังคาพาไลลงเปนกอง |
พวกผู้ดีมีหน้าข้าราชการ | ปิดประตูใส่ดาลทุกบ้านช่อง |
ยักษ์อยู่หอคอยพลอยตีกลอง | บ้างขนเข้าของร้องอึงไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๒๒๐๙๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
เดินตามพระสิทธาคลาไคล | เห็นชาวเมืองตกใจก็ได้ที |
จึ่งเข้ายื้อยุดฉุดไม้ท้าว | มันจะฉาวขึ้นแล้วพระฤๅษี |
แต่ข้ามาด้วยพระมุนี | อสุรีตื่นวุ่นทั้งเวียงไชย |
องคตอยู่ผู้เดียวที่ประตู | ยักษ์มารไม่รู้จะล้อมไล่ |
ฉวยรบราฆ่าฟันกันบรรไลย | จะเคืองใจเจ้ากรุงลงกา |
อันการภักดีที่ประโยชน์ | ก็จะกลับเปนโทษโทษา |
เชิญยับยั้งนั่งอยู่ที่ศาลา | ตัวข้าจะไปสั่งองคต |
ถ้าพบใครให้แถลงแจ้งกิจ | ว่าเปนศิษย์พระมหาดาบศ |
ถึงยักษ์มารดาลเดือดจงเงือดงด | พระนักพรตจงโปรดปรานี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๒๑๐๏ เมื่อนั้น | องค์พระโคบุตรฤๅษี |
จึ่งตอบวาจาพาที | มึงว่าทั้งนี้ดีจริง |
พลมารเห็นว่าเปนข้าศึก | จะอึกกระทึกรบพุ่งกันยุ่งยิ่ง |
มันชังกันนักยักษ์กับลิง | เองวิ่งไปกำชับแล้วกลับมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๒๑๑๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า |
สมถวิลยินดีปรีดา | ก็กลับมายังทวารเวียงไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๒๑๒๏ ครั้นถึงองคตน้องชาย | บอกอุบายชี้แจงแถลงไข |
เจ้าจงเอากล่องดวงใจ | ซ่อนเสียอย่าให้พระนักพรต |
จะนิมิตรขึ้นใหม่ให้น้องยา | คอยท่าถวายพระดาบศ |
แล้วไปอยู่เชิงอัญชันบรรพต | คอยจำกำหนดสัญญาไว้ |
แม้นเห็นพี่เหาะขึ้นบนเวหา | จึ่งเอากล่องศิลานั้นมาให้ |
ว่าแล้ววายุบุตรวุฒิไกร | สำรวมใจนิมิตรด้วยฤทธา |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๒๒๑๓๏ เปนเหมือนกล่องศิลาพระดาบศ | ยื่นให้องคตขนิษฐา |
แล้วไหว้พระพายผู้บิดา | ขออย่าเพ่อพัดมาในเจ็ดวัน |
กว่าจะสำเร็จเสร็จราชการ | ของพระอวตารรังสรรค์ |
ว่าแล้วก็รีบจรจรัล | ตามพระนักธรรม์เข้าไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๒๒๑๔๏ เมื่อนั้น | พระโคบุตรทรงญาณอาจารย์ใหญ่ |
นำน่าหณุมานชาญไชย | เข้าไปยังพระโรงรูจี |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๒๒๑๕๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
เสด็จออกหมู่มุขมนตรี | สถิตย์ที่แท่นแก้วแพรวพรรณ |
คิดถึงสงครามกับรามลักษณ์ | พระยายักษ์ยังวิโยคโศกศัลย์ |
ด้วยสิ้นสุริวงษ์พงษ์พันธุ์ | ไม่มีใครไปประจันปัจจามิตร |
ทั้งเสนาข้าเฝ้าก็เบาบาง | ให้อ้างว้างแลเหลียวเปลี่ยวจิตร |
ครั้งนี้สุดรู้สุดฤทธิ์ | ตลึงคิดอัดอั้นตันอุรา |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๒๒๑๖๏ พอแลเห็นพระสิทธาอาจารย์ | พาคำแหงหณุมานมาตรงหน้า |
ยืนขยับจับศรศักดา | อสุราคิดขยั้นครั่นคร้าม |
จึงว่าพามาไยพระมุนี | ไอ้ลิงตัวนี้มันหยาบหยาม |
ชื่อว่าหณุมานทหารราม | ทำความแค้นข้าหนักหนานัก |
เมื่อตั้งพิธีใหญ่ในอุมงค์ | ก็ตามลงไปจัณฑาลหาญหัก |
ทั้งเผาเมืองลงกาฆ่าพวกยักษ์ | แค้นนักโยมไม่ไว้มัน |
พระยามารเข่นเขี้ยวเกรี้ยวกราด | กระทืบบาทสเทือนเลื่อนลั่น |
โน้มน้าวพระแสงทรงก่งขึ้นพลัน | ไว้มันทำไมไอ้วานร |
ฯ ๘ คำ ฯ คุกภาษ เชิด เจรจา
๒๒๑๗๏ เมื่อนั้น | พระฤๅษีห้ามว่าช้าช้าก่อน |
มันไม่มาหักหาญราญรอน | วางศรเสียกูจะพูดจา |
แล้วตรงขึ้นไปนั่งบัลลังก์อาศน์ | ขัดสมาธิ์สองชั้นหรรษา |
จึ่งว่าไอ้กระบี่นี้เข้ามา | แต่กองทัพพลับพลาประสกราม |
จะอยู่ด้วยอสุราสามิภักดิ์ | ตัวกูก็ได้ซักไซ้ถาม |
มันเล่าบอกออกอรรถชัดความ | ว่าพระรามข่มเหงคเนงร้าย |
จะตรงมาแต่ตัวก็กลัวอยู่ | จึ่งให้กูช่วยพามาถวาย |
พระเล่าความแต่ต้นจนปลาย | บรรยายถี่ถ้วนทุกประการ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๒๒๑๘๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรศักดากล้าหาญ |
ได้ฟังพระสิทธาอาจารย์ | พระยามารนิ่งนึกตรึกไตร |
ธรรมดาข้าศึกมาเปนมิตร | จะเบาจิตรเชื่อฟังยังไม่ได้ |
ถึงมาทแม้นเท็จจริงสิ่งใด | จำจะไล่เลียงดูให้รู้ความ |
คิดพลางทางว่าวายุบุตร | ท่านยงยุทธชำนาญชาญสนาม |
เที่ยวต่อตีมีไชยในสงคราม | เปนไฉนพระรามจึ่งไม่รัก |
จงแถลงแจ้งเรื่องแต่แรกเริ่ม | เหตุผลต้นเดิมให้ประจักษ์ |
เขาด่าทอข้อไหนที่แค้นนัก | จึ่งหาญหักมาเข้าข้างเรานี้ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๒๑๙๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานชาญไชยศรี |
จึ่งทำว่าข้าจะทูลพระภูมี | ดูทีเศกแสร้งแกล้งนินทา |
อันพระรามความดีก็เหลือแสน | ทารกำทำแค้นก็หนักหนา |
ตั้งแต่รณรงค์ในลงกา | ข้าอาสารบรับทุกทัพไชย |
ราชการไหนหนักเข้าหักนั่น | จะบำเหน็จรางวัลก็หาไม่ |
แต่กริ้วกราดคาดโทษทุกครั้งไป | น้อยใจเปนพ้นพันทวี |
จึ่งตั้งจิตรจำนงตรงมา | หมายจะพึ่งพระยายักษี |
แม้นโปรดเลี้ยงข้าไว้ในบุรี | เห็นวานรจะหนีเนืองมา |
จะเหลือแต่พระลักษณ์กับพระราม | เปนสามทั้งพิเภกยักษา |
สงครามก็จะกลับอัปรา | ข้าจะได้ดูหน้าสาแก่ใจ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๒๒๐๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์ฟังแจ้งแถลงไข |
พิเคราะห์ความงามจริงทุกสิ่งไป | แต่จะแกล้งซักไซ้ดูท่วงที |
จึ่งดำรัสตรัสถามหณุมาน | เมื่อครั้งท่านมาหักสวนศรี |
เราจับได้ไม่ประหารชีวี | ว่าจะเลี้ยงกระบี่ไว้ลงกา |
เหตุไฉนไม่อยู่ด้วยกันเล่า | ยังซ้ำเผาธานีแล้วหนีหน้า |
ท่านไปถึงกองทัพพลับพลา | พระรามาให้ปันสิ่งอันใด |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๒๒๑๏ บัดนั้น | หณุมานทูลแจ้งแถลงไข |
เมื่ออาสามาเผากรุงไกร | ข้าตั้งใจจงรักพระรามา |
พระองค์จะเลี้ยงไว้จึ่งไม่อยู่ | ด้วยเห็นเธอยังเอนดูหนักหนา |
เมื่อตัวข้าคืนกลับไปพลับพลา | พระรามรางวัลผ้าชุบอาบน้ำ |
ไม่มีของสิ่งอื่นแต่ผืนเดียว | ทั้งนุ่งทั้งเกี้ยวทุกเช้าค่ำ |
อุส่าห์ทนทรมาทารกำ | อาบเหื่อต่างน้ำทุกเวลา |
หมายจะใคร่ได้เปนทหารเอก | แต่พิเภกคอยคิดฤษยา |
ยุยงให้ลงอาชญา | พระรามาเชื่อฟังทุกครั้งไป |
ความผิดนิดหนึ่งก็ไม่มี | พาลตีพาลด่าไม่ปราไส |
สุดแค้นแสนสุดเจ็บใจ | สิ้นอาไลยสิ้นรักจึ่งหักมา |
อันณรงค์สงครามคราวนี้ | ตัวข้ากระบี่ขออาสา |
จับมนุษย์พี่น้องทั้งสองรา | มัดมาถวายพระภูวไนย |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๒๒๒๒๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์ได้ยินสิ้นสงไสย |
หมายจะได้หณุมานชาญไชย | ไว้ต่างใจต่างตาพระยามาร |
จึ่งโอภาปราไสกระบี่ศรี | เจ้าก็มีศักดากล้าหาญ |
ไปลำบากยากจนทรมาน | ให้ป่วยการเปล่าเปล่าไม่เข้ายา |
ทำสงครามความชอบน้อยฤๅนั่น | ปูนบำเหน็จรางวัลไม่สมหน้า |
ให้แต่ผ้าชุบอาบหยาบช้า | ประมาทเล่นเห็นว่าเปนลิงไพร |
บัดนี้มาสามิภักดิรักเรา | มิให้เจ้าเคืองขัดอัชฌาไศรย |
จะเลี้ยงเปนโอรสยศไกร | ให้อยู่ในลงกาธานี |
ว่าพลางทางตรัสปฤกษา | กับข้าเฝ้าท้าวพระยายักษี |
จะเลี้ยงหณุมานไว้ในบุรี | ผู้ใดเห็นร้ายดีจงว่ามา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๒๒๒๓๏ บัดนั้น | เสนาในใหญ่น้อยถ้วนหน้า |
รับสั่งบังคมอสุรา | ปฤกษาแล้วทูลขึ้นพร้อมกัน |
ซึ่งถ้อยคำกำแหงหณุมาน | ว่าขานเท็จจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
ทั้งท่วงทีกิริยาเมื่อมานั้น | ก็โศกเศร้าสมกันทุกอย่างไป |
อันกระบี่หนีร้อนมาพึ่งเย็น | สุจริตคิดเห็นพอเลี้ยงได้ |
ขอพระองค์ผู้ทรงภพไตร | อย่านึกแหนงแคลงใต้บาทบงสุ์ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๒๒๔๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์ชื่นชมสมประสงค์ |
ด้วยสิ้นคิดมิตรสหายเผ่าพงษ์ | รณรงค์ผู้เดียวเปลี่ยวใจ |
สำคัญว่าวานรนั้นจงรัก | จะได้ผลาญรามลักษณ์ให้ตักไษย |
จึ่งว่าแก่หณุมานชาญไชย | จงตั้งใจสุจริตต่อบิดา |
พ่อจะเลี้ยงรักเจ้าเท่าอินทรชิต | ถึงชอบผิดไม่ถือโทษา |
ตรัสพลางทางผินภักตร์มา | ว่ากับพระสิทธาทันใด |
ซึ่งโปรดพาวานรมาทั้งนี้ | คุณนั้นพ้นที่จะเปรียบได้ |
เหมือนโยมม้วยชีวันบรรไลย | พระองค์ช่วยชุบให้เปนมา |
อันซึ่งคำแหงหณุมาน | จงวางใจไว้ภารธุระข้า |
จะเลี้ยงให้เปนศุขทุกเวลา | อุปรมาเหมือนบุตรบุญธรรม์ |
แล้วตรัสเรียกเครื่องชาสุธารศ | ถวายพระดาบศนิมนต์ฉัน |
หยิบพระศรีซอยใส่ในตะบัน | ทศกรรฐ์ค่อยประเคนพระสิทธา |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
๒๒๒๕๏ เมื่อนั้น | พระโคบุตรดาบศพรตกล้า |
ขัดสมาธิ์สองชั้นฉันน้ำชา | พูดจาหัวร่อเร่อเอออือ |
กูก็มีปรีชาปัญญายิ่ง | แม้นไม่จริงจะพาเข้ามาฤๅ |
ได้ซักไซ้หลายหนแต่ต้นมือ | เห็นสัตย์ซื่อทุกสิ่งอย่ากริ่งเกรง |
จงเลี้ยงไว้ใช้เถิดทศกรรฐ์ | ช่วยจัดแจงแต่งมันให้เหมาะเหมง |
จะได้เปนพวกพ้องของเอง | ถ้าแม้นทำข่มเหงจะเสียใจ |
ค่อยอดเอาเบาสู้อย่าขู่เข็น | ด้วยมันเปนลิงค่างต่างวิไสย |
แล้วว่ากับหณุมานชาญไชย | เองอย่าได้เปนขบถคดโกง |
เขาสอนสั่งฟังคำจำทุกสิ่ง | อย่าปั้นเจ๋อเย่อหยิ่งโป้งโหยง |
อุส่าห์เข้าเฝ้าที่ท้องพระโรง | อย่าโอ่โถงถ่อมตัวเข้ารั้ววัง |
ค่อยอยู่เถิดรูปจะลาพระยายักษ์ | นั่งนักก็เปนเหน็บเจ็บหลัง |
แล้วลงจากสุวรรณบัลลังก์ | ไม่หยุดยั้งตั้งใจจรลี |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด
๒๒๒๖๏ เมื่อนั้น | องคตยศไกรไชยศรี |
อยู่ริมประตูบูรี | แลเห็นพระมุนีมาแต่ไกล |
ไม่เห็นคำแหงหณุมาน | ก็คาดการว่าถวายตัวได้ |
จึ่งหยิบกล่องซึ่งนฤมิตรไว้ | มาคุกเข่าคอยให้พระสิทธา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๒๒๗๏ เมื่อนั้น | พระฤๅษีดีใจเปนหนักหนา |
รับเอากล่องหินศิลา | มิได้พิจารณาด้วยไว้ใจ |
จึ่งบอกว่าไอ้กระบี่พี่ชาย | กูถวายทศภักตร์เขารักใคร่ |
เห็นมันจะออกมาพาเองไป | ถวายไว้กับองค์เจ้าลงกา |
จงรอรั้งนั่งคอยอยู่ที่นี่ | ครั้งนี้จะสมปราถนา |
ว่าแล้วถือไม้ท้าวก้าวเดินมา | ตรงไปศาลาพนาไลย |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๒๒๒๘๏ เมื่อนั้น | องคตยินดีจะมีไหน |
หยิบเอากล่องดวงจิตรที่ซ่อนไว้ | ชื่นชมสมในมโนรถ |
แล้วรเห็จเหาะขึ้นบนเวหา | ใครไม่เห็นกายาปรากฎ |
ตรงไปเขาอัญชันบรรพต | คอยดูกำหนดหณุมาน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๒๒๙๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรเกษมสานต์ |
จึ่งมีพจนาบัญชาการ | เสนามารเร่งรัดไปบัดดล |
จงเอาฉลององค์ทรงประภาศ | สนับเพลาเจียรบาดเครื่องต้น |
ธำมรงค์มงกุฎกุณฑล | สร้อยสนสังวาลแววแก้วมณี |
ให้ครบตามตำแหน่งแต่งตั้ง | อิกทั้งเครื่องอานพานพระศรี |
คนโททองถมยาราชาวดี | เราจะให้ขุนกระบี่เปนรางวัล |
ปราสาทอินทรชิตเล่าก็เปล่าอยู่ | ให้หณุมานลูกกูไปอยู่นั่น |
เสนากรมวังจงสั่งพลัน | ไปจัดสรรนางในวิไลยลักษณ์ |
ล้วนรุ่นราวสาวน้อยสักร้อยหนึ่ง | พอเชยชมสมซึ่งยศศักดิ์ |
ไปบำรุงบำเรอเชอภักตร์ | ให้ลูกรักสำราญบานใจ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๒๓๐๏ บัดนั้น | ทั้งสองเสนาอัชฌาไศรย |
รับสั่งบังคมแล้วคลาไคล | ออกไปสั่งทุกพนักงาน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๒๓๑๏ เลือกสรรภูษาผ้าทรง | ธำมรงค์มงกุฎมุกดาหาร |
ตาบประดับทับทรวงสังวาล | ครั้นเสร็จใส่ในพานแว่นฟ้า |
ต่างคนต่างเชิญเดินประคอง | มายังท้องพระโรงอันเลขา |
ตั้งเรียงเคียงกันเปนหลั่นมา | ตรงหน้าหณุมานชาญไชย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๒๓๒๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริวงษ์เปนใหญ่ |
จึ่งว่าแก่วายุบุตรวุฒิไกร | พ่อให้เจ้าพลางเปนรางวัล |
แม้นเสร็จศึกสงครามรามลักษณ์ | ลูกรักจักได้ผ่านไอสวรรย์ |
วันนี้สุริยาสายัณห์ | จงไปอยู่สุวรรณปราสาทไชย |
แล้วเสนาจงพาหณุมาน | ไปสู่ราชฐานที่อาไศรย |
สั่งเสร็จเสด็จคลาไคล | เข้าในไพชยนต์มนฑีร์ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๒๒๓๓๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์ชัชวาลย์ | กับมณโฑเยาวมาลย์มเหษี |
จึ่งตรัสเล่าแถลงแจ้งคดี | วันนี้พี่ค่อยสบายใจ |
ด้วยองค์พระสิทธาอาจารย์ | พาทหารแกล้วกล้าเข้ามาให้ |
คือคำแหงหณุมานชาญไชย | ว่าขัดใจกันกับพระรามา |
แล้ววานรงอนง้อขอฝากตัว | เห็นยำเยงเกรงกลัวเราหนักหนา |
ทั้งซ้ำให้คำมั่นสัญญา | จะยอมอยู่เปนข้าสามิภักดิ์ |
พี่ก็ได้ซักไซ้ไล่เลียง | เห็นแท้เที่ยงทุกสิ่งจริงประจักษ์ |
อันกระบี่มีอานุภาพนัก | ให้คิดรักเหมือนหนึ่งโอรสเรา |
จะได้ช่วยรณรงค์สงคราม | ลักษณ์รามคงแพ้แน่แล้วเจ้า |
ในใจพี่ที่ทุกข์ค่อยบางเบา | ฤๅนงเยาว์ยังเห็นเปนอย่างไร |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๒๓๔๏ เมื่อนั้น | นางมณโฑเทวีศรีใส |
ได้ฟังก็ตระหนกตกใจ | อรไทยทูลทัดภัศดา |
อันกระบี่ที่ชื่อหณุมาน | เปนทหารพระรามรักหนักหนา |
ว่าเจ็บช้ำน้ำใจจึ่งหนีมา | พระองค์อย่าเชื่อฟังจงยั้งคิด |
เห็นจะเปนสายสนกลใน | มิได้มาโดยใจสุจริต |
อันจะเลี้ยงศัตรูเหมือนงูพิศม์ | จงทรงคิดตรึกไตรดูให้ดี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๒๓๕๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวทศภักตร์ยักษี |
ได้ฟังกัลยาพาที | อสุรีสรวลสันต์จำนรรจา |
เจ้าทัดทานทั้งนี้ก็ดีอยู่ | แต่พี่ตรึกตรองดูเสียหนักหนา |
จนหารือข้าเฝ้าท้าวพระยา | เขาปฤกษาพร้อมเพรียงให้เลี้ยงไว้ |
อนึ่งพระสิทธาปัญญายิ่ง | ที่จะแพ้รู้ลิงก็หาไม่ |
แม้นเห็นชั่วเธอจะพาเข้ามาไย | ทรามไวยอย่าพะวงสงกา |
จงรักวายุบุตรสุจริต | นึกว่าองค์อินทรชิตโอรสา |
ตรัสพลางทางชวนกัลยา | นิทราเหนือแท่นบรรธมใน |
ฯ ๘ คำ ฯ ตระ
ช้า
๒๒๓๖๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
ได้ประทานปรางมาศปราสาทไชย | โภไคยไอสวรรย์ครันครบ |
ประกอบด้วยนางจำเรียงเสียงเฉื่อยฉ่ำ | ขับรำประจำเวรเจนจบ |
ครั้นสิ้นแสงสุริยาเวลาพลบ | ดาวเดือนเลื่อนลบในนภางค์ |
สถิตย์นั่งเหนือเตียงตมูกสิงห์ | เอนอิงพิงหมอนนอนไขว่ห้าง |
สัพยอกหยอกเหล่าสาวสุรางค์ | เกาคางอย่างประสาวานร |
ฉวยฉุดยุดกรนางกำนัล | มานวดฟั้นข้างละคนบนบรรจ์ฐรณ์ |
พัดวีพอสบายคลายร้อน | จนนอนหลับไปในไสยา |
ฯ ๘ คำ ฯ ตระ
ร่าย
๒๒๓๗๏ ครั้นส่างแสงทินกรวานรตื่น | ลุกขึ้นยืนบิดกายทั้งซ้ายขวา |
โจนจากแท่นแก้วแววฟ้า | ลีลามาสรงคงคาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๒๒๓๘๏ ทากระแจะจันทน์ปรุงฟุ้งเฟื่อง | ทรงเครื่องพระยามารประทานให้ |
สนับเพลาเชิงงอนอ่อนลไม | นุ่งยกกระหนกในเทพนม |
ฉลององค์เลื่อมเหลืองเรืองรยับ | ปีกแมงทับติดใจไหมถม |
สังวาลวรรณเฟื่องห้อยสร้อยมยม | ตาบประดับดอกกลมถมยาแดง |
ทับทรวงดวงกุดั่นจำหลักลาย | ปั้นเหน่งเพ็ชรพรรณรายสายทองแล่ง |
ห้อยน่าผ้าทิพย์ชายแครง | ทองกรแก้วแดงแสงประเทือง |
สอดใส่ธำมรงค์มงกุฎ | ประดับบุษราคำน้ำเหลือง |
กรรเจียกจรจินดาค่าเมือง | ทรงเครื่องอย่างกระษัตริย์ขัติยา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๒๓๙๏ ครั้นเสร็จสรรพจับชายผายผัน | ยืนขยับจับแมงวันคันเกษา |
พร้อมสุรางค์นางในไคลคลา | ขึ้นเฝ้าเจ้าลงกาธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ พระยาเดิน
๒๒๔๐๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษี |
มาจูงกรต้อนรับขุนกระบี่ | ขึ้นสู่ที่แท่นสุวรรณบัลลังก์ |
แล้วมีมธุรศพจนา | โอภาปราไสด้วยใจหวัง |
เจ้าไปอยู่ปราสาทราชวัง | ลูกยายังชื่นบานสำราญรมย์ |
อันอีเหล่าสาวสรรค์กำนัลใน | มันมาให้ใช้ชิดสนิทสนม |
กระบิดกระบวนชวนใจให้นิยม | ฤๅเชิงชมไม่ประกอบชอบอัชฌา |
อนึ่งพ่อขอถามตามตรง | เหตุไฉนไยองค์โอรสา |
ไม่เคารพนบนอบต่อบิดา | เปนน่าฉงนสนเท่ห์ใจ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๒๔๑๏ เมื่อนั้น | หณุมานผันแปรแก้ไข |
อันโทษาข้าข้อนี้ไซ้ | ภูวไนยจงโปรดปรานี |
จะขอทูลแจ้งความตามตรง | ให้พระองค์ทราบใต้บทศรี |
เมื่อข้าอยู่กับพระรามฤทธี | ก็มิได้อัญชลีมาหลายวัน |
ต่อได้ไหว้พระพายบิตุเรศ | จึ่งไหว้พระราเมศรังสรรค์ |
บัดนี้พระองค์ทรงธรรม์ | คุณนั้นมากพ้นคณนา |
แม้นพระพายชายพัดมาเมื่อใด | ข้าได้อภิวันท์หรรษา |
จะบังคมสมเด็จพระบิดา | มิให้เคืองบาทาท้าวไท |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๒๔๒๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์ได้ยินสิ้นสงไสย |
มิได้นึกแหนงแคลงใจ | หลงใหลด้วยเล่ห์ลมลิง |
จี่งดำรัสตรัสตอบหณุมาน | เจ้าว่าขานถูกถ้วนควรทุกสิ่ง |
ซึ่งถือได้ดังนี้ดีจริง | ด้วยคุณใครไม่ยิ่งกว่าบิดา |
ตรัสพลางทางปลอบว่าลูกรัก | จะเปนที่พำนักนิ์แก่ยักษา |
จงคิดอ่านการศึกตรึกตรา | เข่นฆ่าอรินราชไพรี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๒๔๓๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานชาญไชยศรี |
ฟังเจ้าลงกาพาที | ขุนกระบี่ทูลตอบให้ชอบใจ |
อันรามลักษณ์พี่น้องสองคน | ที่จะพ้นมือข้าอย่าสงไสย |
บัดนี้ขึ้นมาจะลาไป | ชิงไชยให้เห็นฤทธา |
จะหักโหมโจมทัพให้ยับย่อย | ประหารลิงเล็กน้อยให้สังขาร์ |
สองมนุษย์นายทัพจะจับมา | ถวายพระบิดาดังจงใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๒๔๔๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์ยินดีจะมีไหน |
ตบพระหัดถ์สรวลสันต์สนั่นไป | ช่างเหมือนใจพ่อคิดไม่ผิดกัน |
จี่งบัญชาว่าเหวยมโหทร | จงเตรียมพลนิกรกวดขัน |
ให้เหมือนกับทัพอินทรชิตนั้น | ไปหักโหมโรมรันไพรี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๒๔๕๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งใส่เกษี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | อสุรีก็รีบออกมา |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๒๒๔๖๏ เร่งรัดจัดทัพสับสน | เกณฑ์พลอสุรศักดิยักษา |
สารวัดนายหมวดตรวจตรา | บ้างมาบอกบาญชีหนีตาย |
ลางมารพานขี้ขลาดขยาดอยู่ | อุส่าห์สู้กู้เงินมาจ้างบ่าย |
บ้างอ้อนวอนเจ้าขุนมุลนาย | เพทุบายบอกป่วยปัจจุบัน |
ที่ใจกล้ามาคอยเข้ากระบวน | เลือกล้วนกำแหงแขงขัน |
จัดได้ตามขนบครบครัน | พร้อมกันที่ท้องสนามใน |
แล้วเทียมรัถามาประทับ | ไว้กับเกยมณีศรีใส |
คอยท่าวายุบุตรวุฒิไกร | จะยกไปจับมนุษย์วานร |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๒๒๔๗๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายองค์พระยามารชาญสมร |
ครั้นพรั่งพร้อมพหลพลนิกร | จึ่งหยิบศรส่งให้หณุมาน |
แล้วว่าเจ้าดวงจิตรบิตุเรศ | จงเรืองเดชเดชาศักดาหาญ |
แม้นมนุษย์วานรมารอนราญ | ให้วายปราณพ่ายแพ้แก่ลูกยา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๒๔๘๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า |
ได้พระแสงศรทรงเจ้าลงกา | ทำมารยาเปนทีดีใจ |
ไม่ประนตทศภักตร์ยักษี | ออกจากที่พระโรงทองผ่องใส |
มาขึ้นรถแก้วแววไว | เคลื่อนพหลพลไกรยาตรา |
ฯ ๔ คำ ฯ กราว
โทน
๒๒๔๙๏ รถเอยรถแก้ว | พรายแพร้วระยับจับเวหา |
ที่นั่งรองขององค์เจ้าลงกา | งอนน่ารถรหงธงทอง |
เทียมด้วยราชสีห์สี่พัน | โลทันขับทยานผันผยอง |
เสียงกงก้องป่าดังฟ้าร้อง | ฆ้องกลองประโคมโครมครื้น |
พลมารขานโห่เปนโกลี | สัตว์สิงวิ่งหนีแตกตื่น |
ทหารแห่แต่ล้วนขนัดปืน | นับหมื่นนับแสนแน่นไป |
เครื่องสูงชุมสายรายริ้ว | ทวนทองธงทิวปลิวไสว |
เร่งรถคชสารอาชาไนย | รีบร้นพลไกรไคลคลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๒๒๕๐๏ ครั้นถึงที่รณรงค์ยงยุทธ | จึ่งให้หยุดพิไชยรัถา |
ยับยั้งตั้งมั่นโยธา | อยู่ริมชายป่าพนาไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา รัว
ช้า
๒๒๕๑๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
เสด็จเหนือทิพอาศน์อำไพ | สำราญราชหฤไทยทรงธรรม์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
แขกมอญ
๒๒๕๒๏ พรั่งพร้อมเสนาพานรินทร์ | ทั้งชมภูขีดขินแขงขัน |
ประนตนั่งคั่งคับอันดับกัน | อยู่ตรงน่าสุวรรณพลับพลา |
พระทรงคิดดำริห์ตริตรองการ | ถึงองคตหณุมานไปอาสา |
แต่นับไว้ได้สามวันมา | ยังไม่แจ้งกิจจาประการใด |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๒๒๕๓๏ พอได้ยินสำเนียงเสียงโห่ร้อง | กึกก้องกัมปนาทหวาดไหว |
ทั้งผงคลีตระหลบกลบไป | ก็รู้แน่พระไทยว่าไพรี |
จึ่งมีมธุรศพจนา | ถามพระยาพิเภกยักษี |
สำเนียงโห่สนั่นมาวันนี้ | จะเปนทัพอสุรีตนใด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๒๕๔๏ บัดนั้น | พิเภกจับยามตามเพศไสย |
รู้แจ้งแสร้งทูลแต่เปนไนย | หวังมิให้ใครแจ้งกิจจา |
อ้นซึ่งเสียงโห่สนั่นมาวันนี้ | โยธีนั้นล้วนยักษา |
แต่ตัวนายทัพที่ยกมา | มิใช่ชาวลงกากรุงไกร |
เห็นจะเปนทหารชาญณรงค์ | ใต้เบื้องบาทบงสุ์ก็ว่าได้ |
ขอพระอวตารชาญไชย | จงทราบใต้บาทาฝ่าธุลี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๒๕๕๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกเรืองศรี |
ฟังพิเภกเคลือบแฝงแจ้งคดี | ภูมีนิ่งนึกตรึกตรา |
ชรอยว่าวานรลูกพระพาย | คิดอุบายฬ่อลวงยักษา |
ไปอยู่กับทศกรรฐ์มันใช้มา | พิเภกจึ่งว่าแต่เปนไนย |
ดำริห์พลางทางสั่งพระลักษณ์ | น้องรักผู้มีอัชฌาไศรย |
จงยกพวกพหลพลไกร | ออกไปชิงไชยแก่ไพรี |
แม้นเห็นว่าข้าศึกมีกำลัง | จงรอรั้งตั้งมั่นไว้ท่าพี่ |
อย่าประมาทอาจหาญการราวี | จะเสียทีแก่พวกกุมภัณฑ์ |
พระตรัสพลางทางสั่งสุครีพ | จงเร่งรีบจัดพหลพลขันธ์ |
ให้พระอนุชาลาวรรณ | ออกไปโรมรันไพรี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๒๕๖๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษี |
ถวายบังคมคัลอัญชลี | ขุนกระบี่คลานคล้อยถอยออกมา |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม เจรจา
ยานี
๒๒๕๗๏ เร่งรัดจัดถ้วนกระบวนทัพ | พร้อมสรรพปีกซ้ายปีกขวา |
กองหลังรั้งท้ายโยธา | ทัพน่ากล้าแกล้วไม่กลัวเกรง |
ต่างต่างจัดแจงแต่งตน | ใส่มงคลเสื้อเกราะเหมาะเหมง |
บ้างตะพายย่ามใหญ่ใส่กางเกง | คาดเขนงเต้าชนวนแบกปืน |
พวกเกณฑ์หัดขัดดาบสพายแล่ง | ใส่เสื้อแดงสักลาดดาษดื่น |
เคยชิงไชยหลายครั้งยั่งยืน | ล้วนขุนหมื่นราชมันพันทนาย |
บ้างถือฆ้องกะแตตีมี่ก้อง | นายกองเที่ยวตรวจทุกหมวดหมาย |
แล้วให้เทียมรถแก้วแพร้วพราย | ประทับท่าน้องนารายน์จรลี |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๒๒๕๘๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ทรงสวัสดิรัศมี |
ลาองค์พระเชษฐาธิบดี | มาเข้าที่ชำระสระสรงชล |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๒๒๕๙๏ สั่งให้ไขท่อประทุมทอง | เปนลอองต้องกายดังสายฝน |
สำอางองค์ทรงเครื่องพระสุคนธ์ | ซาบสกนธ์หอมฟุ้งจรุงใจ |
สอดสนับเพลาทรงอลงการ์ | ภูษาผ้าทิพโกไสย |
ฉลององค์เกราะแก้วแววไว | สำหรับใส่รณรงค์ยงยุทธ |
ห้อยน่าผ้าทิพย์ขลิบสุวรรณ | ทับทรวงดวงกุดั่นประดับบุษย์ |
ทองกรเก้าคู่ชมพูนุท | ทรงมงกุฎกรรเจียกแก้วแววฟ้า |
ทับทิมธำมรงค์ทรงเบื้องซ้าย | แพร้วพรายเพ็ชรรัตน์พระหัดถ์ขวา |
สพักแล่งแสงศรอันศักดา | เสด็จมาเกยสุวรรณทันใด |
ฯ ๘ คำ ฯ บาทสกุณี
ร่าย
๒๒๖๐๏ ขึ้นทรงรัถาเวชายันต์ | พลขันธ์กราบก้มบังคมไหว้ |
โห่สนั่นลั่นฆ้องเอาไชย | สั่งให้เดินทัพฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ รุกร้น
โทน
๒๒๖๑๏ รถเอยราชรถทรง | ดุมวงเฉวียนฉวัดผัดผัน |
พระที่นั่งบัลลังก์แก้วแพรวพรรณ | กระหนกเกรินสามชั้นเปนหลั่นลด |
ช่อฟ้าน่าบันปราลี | ล้วนแล้วแก้วมณีสีสด |
แอกงอนสลวยชวยชด | มรกฎแกมสลับกับโกเมน |
เทียมสินธพที่นั่งทั้งสี่ | สารถีวานรกรกุมเขน |
กลิ้งกลดบดบังสุริเยนทร์ | กลองชนะกะเกณฑ์เปนคู่กัน |
เสียงสังข์เสียงแตรแซ่ซ้อง | โห่ร้องก้องสเทือนเลื่อนลั่น |
เร่งรัดพลนิกรจรจรัล | มาสมรภูมิ์พลันทันใด |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๒๒๖๒๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
อยู่บนรถเหลือบแลมาแต่ไกล | เห็นทัพไชยพระศรีอนุชา |
จึ่งกล่าวแกล้งแสร้งถามทวยหาญ | เหวยเสนามารถ้วนหน้า |
อันองค์อินทรชิตอสุรา | เมื่อยกมาสู้กับทัพมนุษย์ |
ยังแกล้วกล้าสามารถอาจหาญ | เข้ารบก่อนรอนราญสัปรยุทธ |
ฤๅให้แต่พหลพลยุทธ | ออกต้านต่อฤทธิรุตม์ด้วยไพรี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๒๖๓๏ บัดนั้น | พลมารนบนิ้วเหนือเกษี |
อันอินทรชิตออกมาราวี | อสุรีรออยู่ไม่จู่โจม |
ต้อนแต่เหล่าโยธีตีรัน | ให้พร้อมหน้าดากันเข้าหักโหม |
ต่อเห็นพวกพลยุทธทรุดโทรม | จึ่งออกรบรุกโรมไพริน |
ถึงพระญาติวงษ์ในลงกา | ก็ทำมาเหมือนกันอย่างนั้นสิ้น |
แต่พวกพลตายกลาดดาดดิน | ด้วยกระบินทร์รบรุกบุกบัน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๒๖๔๏ เมื่อนั้น | หณุมานจึ่งว่าเองอย่าพรั่น |
เราออกมาชิงไชยไม่เช่นนั้น | มิให้พวกพลกุมภัณฑ์อันตราย |
แต่ตัวกูผู้เดียวจะหาญหัก | ตีทัพจับพระลักษณ์ไปถวาย |
เองยืนอยู่ดูเล่นให้สบาย | ไพร่นายไม่ยากลำบากใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๒๖๕๏ บัดนั้น | พวกพหลพลมารน้อยใหญ่ |
ฟังคำขุนกระบี่ก็ดีใจ | กราบไหว้ท่วมหัวกลัวฤทธา |
ที่ยังสงไสยในกลศึก | ก็นึกประหวั่นพรั่นหนักหนา |
ต่างคนต่างค่อยถอยออกมา | คอยท่าจะดูหณุมาน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๒๖๖๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ |
โจนจากรถสุวรรณมิทันนาน | เข้ารุกรานทัพน่าวานร |
แกล้งกระโชกโบกมือให้วิ่งหนี | ทำทีขู่ตะคอกหลอกหลอน |
รบรับจับกุมตลุมบอน | ตีต้อนโยธาพานรินทร์ |
ใครกีดทางขวางน่าหนีไม่ทัน | ก็โจมจับจะรันด้วยคันศิลป์ |
หวดข้างโน้นข้างนี้ตีลงดิน | ขุนกระบินทร์บุกบันประจัญบาน |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๒๒๖๗๏ บัดนั้น | โยธีรี้พลอลหม่าน |
ต่างกลัวฤทธิรณหณุมาน | ไม่หักหาญต้านต่อรอรบ |
ที่ใจกล้าถาโถมเข้าโจมตี | ประเดี๋ยวใจไพร่หนีหลีกหลบ |
บ้างจวนตัวกลัวนั่งลงนอบนบ | วิ่งกระทบไปกันทั้งไพร่นาย |
บ้างแล่นโลดโดดโผนขึ้นต้นไม้ | อกใจประหวั่นขวัญหาย |
บ้างซุกซอนซ่อนตัวกลัวตาย | พลนิกายแตกยับทั้งทัพไชย |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๒๒๖๘๏ เมื่อนั้น | หณุมานทำโกรธโลดไล่ |
รบรุกบุกบันกระชั้นไป | จนถึงน่ารถไชยพระอนุชา |
แล้วแกล้งรอรั้งยั้งหยุด | วายุบุตรยืนมองป้องหน้า |
เต้นรำทำทีกิริยา | เริงร่าหัวเราะเยาะไยไพ |
ฯ ๔ คำ ฯ กราวรำ
๒๒๖๙๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์นึกพะวงสงไสย |
ไม่รู้กลหณุมานชาญไชย | พระพิโรธโกรธใจดังไฟฮือ |
จึ่งชี้หน้าว่าเหวยหณุมาน | ตัวท่านคิดคดกระบถฤๅ |
เสียแรงเปนทหารมีฝีมือ | แล้วก็ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา |
ไฉนไปคบค้าปัจจามิตร | ทำการทุจริตหนักหนา |
ไม่เกรงพระหริรักษ์จักรา | อหังกากำเริบฤทธิไกร |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๒๗๐๏ เมื่อนั้น | หณุมานกล่าวแกล้งแถลงไข |
นี่แน่พระอนุชาว่าไปไย | อย่างไรย่อมรู้อยู่ด้วยกัน |
แต่อาบเหื่อต่างน้ำทำสงคราม | ให้พระรามใช้สอยน้อยฤๅนั่น |
ฆ่ายักษ์ตายยับนับพัน | จะรางวัลสิ่งไรก็ไม่มี |
เราเจ็บช้ำน้ำใจจึ่งหนีมา | เข้าพึ่งพาทศภักตร์ยักษี |
ไปอยู่ด้วยไม่ช้าสามราตรี | มิทันที่อาสามาตีทัพ |
เจ้าลงกาใจดีเปนที่สุด | ให้ธำมรงค์มงกุฎเครื่องประดับ |
เราได้ใส่สร้อยสังวาลบานพับ | เปนแม่ทัพขี่รถดูงดงาม |
พระอนุชาไม่รู้จงดูเอา | ตัวเราทรงเครื่องเรืองอร่าม |
ออกมาว่าจะทำสงคราม | มิได้ครั่นคร้ามขามใคร |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๒๗๑๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์แค้นขัดอัชฌาไศรย |
กริ้วโกรธกระทืบบาทตวาดไป | ดูดู๋เปนได้หณุมาน |
ที่ความชอบทำไว้ใครไม่เห็น | ก็นับหน้าว่าเปนยอดทหาร |
แม้นศึกสำเร็จเสร็จการ | พระเชษฐาจะให้ท่านผ่านภารา |
มาชิงสุกก่อนห่ามหาดีไม่ | เห็นแก่ได้ยศศักดิของยักษา |
มิหนำซ้ำจ้วงจาบหยาบช้า | อหังกาเกินการหาญฮึก |
ได้ธำมรงค์มงกุฎทศกรรฐ์ | ออกขันอาสามารบศึก |
อวดสมบัติวัตถาโอฬารึก | ช่างไม่นึกอับอายขายหน้าตา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๒๗๒๏ เมื่อนั้น | หณุมานกล่าวแกล้งแสร้งว่า |
ชิชะพระศรีอนุชา | ช่างพูดจาผิดระบอบบุราณไป |
เหมือนทำนาเทศกาลหว่านเข้า | จะคอยเคร่าลูกโคให้โตใหญ่ |
ใครห่อนชี้นกบนปลายไม้ | เห็นไม่ถูกต้องทำนองความ |
ผิดชอบครั้งนี้เห็นดีชั่ว | ได้แต่งตัวมาโอ่ออกสนาม |
จะคอยชมสมบัติของพระราม | ถ้าตัวตายแล้วความก็สูญไป |
ซึ่งสัญญาว่าไว้ไม่เห็นจริง | แกล้งฬ่อลวงลิงให้หลงใหล |
นี่หากว่าสายัณห์ลงไรไร | จะเลิกทัพกลับไปยังธานี |
หาไม่จะเข้าไล่จับพระลักษณ์ | ไปถวายทศภักตร์ยักษี |
เร่งระมัดระวังองค์ให้จงดี | พรุ่งนี้ไม่ละพระอนุชา |
ว่าพลางทางเดินถอยออกไป | ขึ้นนั่งบนพิไชยรัถา |
ให้ไพร่พลโห่ร้องก้องโกลา | เลิกทัพกลับหน้าเข้าธานี |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด
๒๒๗๓๏ ครั้นถึงจึ่งประทับกับเกยแก้ว | อันเพริศแพร้วจำรัสรัศมี |
ลงจากรถสุวรรณทันที | จรลีขึ้นเฝ้าเจ้าลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๒๗๔๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษา |
ครั้นเห็นขุนกระบี่ก็ปรีดา | อสุราตรัสถามไปทันใด |
เจ้าออกไปรณรงค์ยงยุทธ | ต่อสู้กับมนุษย์เปนไฉน |
สงครามเสียทีฤๅมีไชย | เหตุไรจึ่งมาต่อสายัณห์ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๒๗๕๏ เมื่อนั้น | หณุมานเสแสร้งแกล้งบิดผัน |
ทำมารยาว่าแก่ทศกรรฐ์ | ข้อนี้ทรงธรรม์ได้เมตตา |
จะทูลความตามจริงเหมือนหยิ่งเย่อ | พูดเสนอตัวเองจะเอาหน้า |
อันเสียทีฤๅมีไชยมา | อยู่แก่ใจเสนาที่ไปนั้น |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๒๗๖๏ เมื่อนั้น | ทศภักตร์พงษ์พรหมรังสรรค์ |
ฟังคำหณุมานชาญฉกรรจ์ | จึ่งถามพวกพลขันธ์ไปทันใด |
ลูกกูไปสังหารผลาญไพรี | ยังชิงไชยได้ทีฤๅไฉน |
อันท่วงทีความคิดฤทธิไกร | กับอินทรชิตชาญไชยกะไรกัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๒๗๗๏ บัดนั้น | บรรดาพวกพหลพลขันธ์ |
ต่างคนเคารพอภิวันท์ | พร้อมกันกราบทูลพระยามาร |
อันองค์หณุมานชาญสมร | รุ่งเรืองฤทธิรอนห้าวหาญ |
ผู้เดียวบุกบันประจัญบาน | วานรแตกฉานซ่านเซน |
พวกพหลพลเราสิ้นทั้งนั้น | ชวนกันยืนอยู่คอยดูเล่น |
แม้นมิจวนสายัณห์ตวันเย็น | ข้าเห็นเจียนจะจับได้พระลักษณ์ |
ขุนกระบี่ดีกว่าอินทรชิต | การสงครามความคิดก็แหลมหลัก |
แต่บรรดาสุริวงษ์พงษ์ยักษ์ | ไม่ทำศึกฮึกฮักเหมือนหณุมาน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๒๗๘๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์ตบหัดถ์ฉัดฉาน |
ชื่นชมโสมนัศเบิกบาน | จึ่งตรัสกับหณุมานลูกรัก |
แม้นเสร็จศึกสมคิดของบิดา | จะให้ผ่านลงกาอาณาจักร |
เจ้าก็เรืองฤทธากล้าหาญนัก | รบพระลักษณ์ครั้งนี้มีไชย |
อันเมียอินทรชิตฤทธา | ชื่อสุวรรณกันยุมาศรีใส |
รูปทรงโสภายาใจ | พ่อยกให้เจ้าพลางเปนรางวัล |
ลูกรักล้าเลื่อยเหนื่อยมา | จงไปนิทราเกษมสันต์ |
สั่งเสร็จเสด็จจรจรัล | เข้าสู่สุวรรณปราสาทไชย |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๒๒๗๙๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรผู้มีอัชฌาไศรย |
ลงจากพระโรงคัลทันใด | เสนาในแห่แหนแน่นมา |
ฯ ๒ คำ ฯ พญาเดิน
๒๒๘๐๏ ครั้นถึงปราสาทไชยไพชยนต์ | ขึ้นบนแท่นสุวรรณหรรษา |
กระดิกเข่าเกาคางใช้หางตา | เขม้นมองป้องหน้าดูนางใน |
เห็นสาวสรรค์กำนัลพนักงาน | ต่างเชิญเครื่องอานมาตั้งให้ |
ทำหยอกยุดฉุดฉวยชายสไบ | กระซิบถามความในแต่เบาเบา |
นางสุวรรณกันยุมานารี | เดี๋ยวนี้อรไทยอยู่ไหนเล่า |
จงไปเชิญโฉมยงนงเยาว์ | ให้ขึ้นมาหาเราบัดนี้ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๒๘๑๏ บัดนั้น | นางกำนัลประนตบทศรี |
คำนับรับสั่งแล้วจรลี | มายังที่ห้องสุวรรณกันยุมา |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๒๒๘๒๏ ครั้นถึงทูลองค์นงคราญ | รับสั่งหณุมานให้หา |
เชิญเสด็จอรไทยไคลคลา | ไปเฝ้าพระยาวานร |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๒๘๓๏ เมื่อนั้น | นางสุวรรณกันยุมาดวงสมร |
คิดประหวั่นพรั่นใจมิใคร่จร | บังอรอับอายขายภักตรา |
ครั้นจะขัดขุนกระบี่มิไป | ก็เกรงไภยพระยายักษ์หนักหนา |
จำเปนจำใจไคลคลา | ลีลามาสรงคงคาไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
ชมตลาด
๒๒๘๔๏ ทรงสุคนธารใส่พานรอง | ผัดหน้านวลลอองผ่องใส |
ทรงภูษาแย่งยกกระหนกใน | ห่มสไบริ้วทองรองซับ |
สร้อยนวมสวมใส่สังวาลวรรณ | ตาบกุดั่นดวงมณีสีสลับ |
คาดเข็มขัดเพ็ชรแพรวแวววับ | ทองกรแก้วประดับรยับตา |
ใส่รัดเกล้าสุวรรณพรรณราย | ธำมรงค์เพ็ชรพรายทั้งซ้ายขวา |
ครั้นเสด็จยุรยาตรคลาศคลา | ลีลามาเฝ้าหณุมาน |
ฯ ๖ คำ ฯ เพลงช้า
ร่าย
๒๒๘๕๏ ครั้นถึงห้องแก้วแพรวพราย | ทำหลบเลี่ยงเอียงอายแอบม่าน |
แล้วแขงขืนอารมณ์ก้มกราน | เยาวมาลย์สเทินเมินเมียง |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๒๘๖๏ เมื่อนั้น | หณุมานกระแอมไอให้เสียง |
เห็นนางโฉมฉายอายเอียง | จึ่งกล่าวเกลี้ยงโลมเล้าเอาใจ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชาตรี
๒๒๘๗๏ น้องเอยน้องรัก | ผิวภักตร์นวลลอองผ่องใส |
เอวองค์ทรงลักษณวิไลย | พิศไหนสารพันเพียงขวัญตา |
ชรอยเปนกุศลดลจิตร | เคยภิรมย์สมสนิทเสนหา |
พี่อยู่ถึงกองทัพพลับพลา | เปนพวกพระรามาปัจจามิตร |
พเอิญให้เข้ามาสามิภักดิ์ | ท้าวรักเปนบุตรสุจริต |
ให้เฝ้าแหนแทนองค์อินทรชิต | ทรงฤทธิ์โปรดปรานประทานน้อง |
จะถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงเจ้า | นงเยาว์อย่าระคางหมางหมอง |
ขอเชิญทรามสงวนนวลลออง | มานั่งบนแท่นทองกับพี่ชาย |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๒๘๘๏ เมื่อนั้น | นางสุวรรณกันยุมาโฉมฉาย |
ฟังคำขวยเขินสเทินอาย | พลางชม้ายเมียงหมอบตอบไป |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๒๘๙๏ วาเอยวาจา | ไพเราะห์หนักหนาช่างปราไส |
น้อยฤๅนั่นน่าเชื่อเหลือใจ | ว่ารักใคร่มีจิตรคิดเอนดู |
จะเรียกให้ไปบนที่ไสยา | นึกนึกก็น่าอดสู |
น้องนี้เจียมตนเปนพ้นรู้ | ไม่ควรคู่เคียงบุญขุนกระบี่ |
จะประสงค์จงใจกระไรเล่า | กับคนมีลูกเต้าเฝ้าจู้จี้ |
แม้นจะเลียมโลมเล่นเช่นนี้ | สาวศรีพระสนมมีถมไป |
ถึงองค์พระยามารประทานข้า | ก็จริงอยู่เหมือนว่าหาเถียงไม่ |
จะขออยู่ใช้เช่นเปนข้าไท | มิใช่จะคิดบิดเบือน |
ฯ ๘ คำ ฯ
โอ้โลม
๒๒๙๐๏ ดวงเอยดวงสมร | แสนกระแหน่แง่งอนซ่อนเงื่อน |
อย่าพักพูดผันแปรแชเชือน | จะหาไหนได้เหมือนหนึ่งนวลน้อง |
ถึงทั้งมีลูกเต้ายังเพราพริ้ง | ยอดยิ่งหญิงอื่นไม่มีสอง |
พระยามารประทานให้เปนคู่ครอง | พอสมจิตรคิดปองที่ต้องใจ |
เจ้าจะให้ใช้เช่นเปนทาษี | การสิ่งอื่นพี่หามีไม่ |
พี่จะใช้โฉมงามทรามไวย | สำหรับให้อิงแอบแนบนอน |
ว่าพลางทางลงมานั่งชิด | มือสกิดปฤษฎางค์พลางหลอกหลอน |
ประคององค์โอบอุ้มกุมกร | ขึ้นบนบรรจฐรณ์แท่นมณี |
นั่งแอบแนบเนื้อนวลนาง | เชยปรางปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
อุยหน่าอะไรเล่าเฝ้าหยิกตี | ไม่พอที่จะเคืองขุ่นฟุนไฟ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๒๒๙๑๏ บัดเอยบัดสี | อะไรนี่น่าชังมั่งฤๅไม่ |
คิดว่าให้หาจะว่าไร | ถ้าแจ้งใจอย่างนี้ก็มิมา |
วานอย่าเฝ้าเย้ายวนชวนชิด | จนจิตรที่จะอ่อนผ่อนหา |
เมื่อสามีพึ่งม้วยมรณา | ยังไม่วายน้ำตาจาบัลย์ |
จงรอรั้งยั้งก่อนผ่อนปรน | ใช่จะพ้นมือไปเมื่อไรนั่น |
จะมาทำด่วนได้ไยอย่างนั้น | ยังหวาดหวั่นวิญญาหนักหนานัก |
ดูดู๋เนื้อหนังช่างเหนียวเหน็บ | หยิกข่วนก็ไม่เจ็บจนเล็บหัก |
นางสบัดปัดกรท่าค้อนควัก | นงลักษณ์เมียงเมินสเทินที |
ฯ ๘ คำ ฯ
โอ้โลม
๒๒๙๒๏ โฉมเอยโฉมเฉลา | อะไรเล่าเฝ้าผลักมือพี่ |
ธรรมดาวานรแล้วอย่างนี้ | ไม่รู้ทีท่าทางเหมือนอย่างยักษ์ |
สารพัดผิดกันเช่นนั้นน้อง | จึ่งเคืองข้องหมองใจไม่สมัค |
อันอินทรชิตผัวเก่าที่เจ้ารัก | ก็ต้องศรพระลักษณ์บรรไลย |
จะร้องไห้ให้เลือดตากระเด็น | ใช่จะเปนคืนมาก็หาไม่ |
จะทุกข์ถึงภัศดาไปว่าไร | จงหักใจเสียบ้างให้บางเบา |
มาลองรักกับพี่จะดีกว่า | เกลือกว่าจะลืมยักษ์รักลิงเล่า |
ว่าพลางอิงแอบแนบเคล้า | ยั่วเย้าตามธรรมเนียมเลียมโลม |
ประคองนางวางเหนือแท่นบรรธม | เชยปรางทางภิรมย์ชมโฉม |
อัศจรรย์ลั่นพิฦกครึกโครม | กลางโพยมพยับมืดเมฆา |
เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงสุนีคนองสาย | พิรุณโรยโปรยปรายลงหลายห่า |
ชลธีท่วมนองท้องสุธา | หมู่มัจฉาแหวกว่ายในสายชล |
โกสุมประทุมมาลย์ก็บานแบ่ง | ฝักแฝงบังใบอยู่ใต้ต้น |
แมลงผึ้งภุมรินบินบน | คลึงเคล้าเสาวคนธ์มณฑาทอง |
ถ้อยทีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ผูกพันประดิพัทธไม่ขัดข้อง |
รศรักประจักษ์ใจในทำนอง | ทั้งสองสมถวิลยินดี |
ฯ ๑๖ คำ ฯ โลม
ช้า
๒๒๙๓๏ เมื่อนั้น | นางสุวรรณกันยุมามีศรี |
ได้สมัครักใคร่เปนไมตรี | กับกระบี่วายุบุตรวุฒิไกร |
หมอบเมียงชม้ายชายหางตา | ท่วงทีกิริยาอัชฌาไศรย |
หยิบยกเครื่องอานพานผลไม้ | มาตั้งให้พระยาวานร |
ขุนกระบินทร์กินพลางทางสัพยอก | ฉวยฉุดยุดหยอกแล้วหลอกหลอน |
แย้มสรวลชวนองค์บังอร | อิงแอบแนบนอนในราตรี |
ฯ ๖ คำ ฯ กล่อม ตระ
ร่าย
๒๒๙๔๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ทรงสวัสดิรัศมี |
จึ่งสั่งนิลนนท์เสนี | กับกระบี่สุรการชาญชิต |
ท่านจงไปทูลพระอวตาร | ตามซึ่งหณุมานทุจริต |
ครั้นเราจะสังหารผลาญชีวิตร | ก็ยังคิดระแวงแคลงใจ |
มิได้ทูลมูลเหตุพระเชษฐา | จะเข่นฆ่าวายุบุตรหาควรไม่ |
วันนี้ไม่เลิกทัพกลับไป | จะมั่นไว้ดูกำลังฟังท่วงที |
พรุ่งนี้หณุมานมาราญรอน | จะฆ่าให้ม้วยมรณ์ด้วยศรศรี |
เร่งเร็วรีบรัดไปบัดนี้ | ทูลคดีให้ทราบบทมาลย์ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๒๙๕๏ บัดนั้น | ทั้งสองวานรนายทหาร |
รับสั่งบังคมก้มกราบกราน | ลนลานรีบมาพลับพลาไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๒๙๖๏ ครั้นถึงทูลความพระราเมศ | ตามเหตุให้แจ้งแถลงไข |
พระอนุชาดำรัสตรัสใช้ | สั่งให้ข้ามาบังคมทูล |
บัดนี้วายุบุตรทุจริต | คบคิดด้วยราพนาสูร |
เปนกระบถต่อเบื้องบาทมูล | พลางทูลถี่ถ้วนทุกประการ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๒๙๗๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน |
เข้าพระไทยในกลหณุมาน | จะคิดอ่านฬ่อลวงเจ้าลงกา |
พระลักษณ์ไม่รู้ถึงจึ่งขึ้งโกรธ | กล่าวโทษวานรหนักหนา |
จำจะไปให้ถึงพระอนุชา | พูดจาไกล่เกลี่ยเสียให้ดี |
คิดพลางทางสั่งสุครีพ | จงเร่งรีบจัดพลกระบี่ศรี |
เราจะยกยาตราเวลานี้ | ไปดูทีหณุมานชาญไชย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๒๙๘๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งบังคมไหว้ |
จึ่งออกมาจัดทัพฉับไว | เตรียมไว้พร้อมกันดังบัญชา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๒๙๙๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
เสด็จจากแท่นแก้วแววฟ้า | มาสระสรงคงคาวารี |
ฯ ๒ คำ ฯ ลงสรงปี่พาทย์
๒๓๐๐๏ สอดใส่เครื่องประดับสำหรับยุทธ | ทรงมงกุฎเพ็ชรรัตน์จำรัสศรี |
จับพระแสงศรสิทธิฤทธี | จรลีมาทรงราชรถ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๓๐๑๏ พรั่งพร้อมพลนิกายซ้ายขวา | ทัพน่าทัพหลังทั้งหมด |
โห่ร้องก้องอรัญบรรพต | เร่งทศโยธาคลาไคล |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๓๐๒๏ ครั้นถึงกองทัพพระอนุชา | โยธาคั่งคับไม่นับได้ |
จึ่งให้เคลื่อนรถแก้วแววไว | เข้าไปเรียบเรียงเคียงกัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๓๐๓๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์ฤทธิเรืองรังสรรค์ |
ก้มเกล้าเคารพอภิวันท์ | รำพรรณทูลคดีพระพี่ยา |
บัดนี้หณุมานชาญชิต | ไปคบคิดเข้าด้วยยักษา |
เปนนายทัพขับพลมารมา | ยับยั้งโยธาอยู่ริมเนิน |
แต่ตัวมันนั้นเข้ามาตีต้อน | วานรหนีแยกแตกตะเพิ่น |
แล้วท้าทายถ้อยคำก้ำเกิน | สรรเสริญเกียรติยศทศภักตร์ |
คิดจะฆ่าวายุบุตรให้บรรไลย | ยังมิได้ทูลองค์พระทรงศักดิ์ |
ความแค้นของข้าหนักหนานัก | น้องรักจึ่งไม่กลับไปพลับพลา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๓๐๔๏ เมื่อนั้น | องค์พระราเมศเชษฐา |
จึ่งดำรัสตรัสห้ามพระอนุชา | เจ้าอย่าด่วนเดือดจงเงือดงด |
พี่ออกมาว่าจะดูหณุมาน | ให้แจ้งการกิริยาปรากฎ |
แม้นมันทุจริตคิดคด | ไม่ละลดจะล้างให้วางวาย |
ว่าพลางทางผินภักตร์มา | สั่งบรรดานายทัพทั้งหลาย |
ให้สบทบพลไกรทั้งไพร่นาย | ยับยั้งตั้งรายอยู่ชายไพร |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา รัว
ช้า
๒๓๐๕๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานทหารใหญ่ |
เนาในปรางมาศปราสาทไชย | กับทรามไวยสุวรรณกันยุมา |
ไม่วายคิดคนึงถึงราชการ | กลัวพระอวตารจะคอยหา |
จำจะฬ่อลวงองค์เจ้าลงกา | ให้ยักษายกทัพกำกับไป |
จะได้เยาะเย้ยหยันมันเล่น | ให้เลือดตาแทบกระเด็นจงได้ |
จึ่งจะสมนำหน้าสาแก่ใจ | ที่มันไม่เกรงศักดิพระจักรี |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๒๓๐๖๏ คิคพลางทางมีวาจา | สั่งสุวรรณกันยุมาโฉมศรี |
พี่จะออกอาสาในครานี้ | สังหารไพรีให้ม้วยมรณ์ |
ว่าแล้วแต่งองค์ทรงเครื่อง | รุ่งเรืองจำรัสประภัศร |
พร้อมเหล่าสาวสุรางคนิกร | บทจรขึ้นเฝ้าเจ้าลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ พระยาเดิน
ช้า
๒๓๐๗๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษา |
แลเห็นขุนกระบี่ก็ปรีดา | เสด็จมาต้อนรับฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
ร่าย
๒๓๐๘๏ จูงกรขึ้นนั่งบัลลังก์อาศน์ | ตรัสประภาศปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
พ่อดูเจ้าภักตร์ผ่องผิวพรรณ | ผิดกับเมื่อวันแรกมา |
เปนกระไรเสนาข้าเฝ้า | บุญตัวของเราหนักหนา |
ค่อยคลายทุกข์ร้อนนอนเต็มตา | เพราะหณุมานมาอยู่ธานี |
จะได้ช่วยปราบเข็ญเย็นยุค | ให้ภาราผาศุกเกษมศรี |
อันมนุษย์สองราที่กล้าดี | ไหนจะทานฤทธีลูกรัก |
วานนี้เจ้าออกรบจนพลบค่ำ | ยังบอบช้ำล้าเลื่อยเหนื่อยเหน็ดหนัก |
อย่าเพ่อไปทำสงครามด้วยรามลักษณ์ | จงผ่อนพักให้สบายคลายใจ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๓๐๙๏ เมื่อนั้น | หณุมานกล่าวแกล้งแถลงไข |
อันสงครามครั้งนี้มีไชย | จะหยุดยั้งอยู่ไยให้ช้าที |
ข้าตริตรองกริ่งว่าปัจจามิตร | ไม่ต่อฤทธิ์รับรบจะหลบหนี |
เชิญเสด็จด้วยกันในวันนี้ | จะได้ดูฤทธีของลูกรัก |
ข้าจะออกอาสาน่าที่นั่ง | ไม่รอรั้งรุกโรมโหมหัก |
เข้าตีทัพจับพระรามพระลักษณ์ | ถวายองค์ทรงศักดิให้สมนึก |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๓๑๐๏ เมื่อนั้น | พระยายักษ์เห็นจริงไม่กริ่งตรึก |
ตบพระหัดถ์สรวลสนั่นครั่นครึก | จะสำเร็จเสร็จศึกวันนี้แล้ว |
พ่อจะยกทัพใหญ่ออกไปด้วย | ไหนหนักจักได้ช่วยลูกแก้ว |
คงสมหมายมาดไม่คลาศแคล้ว | จะกวาดแผ้วไพรินที่หมิ่นเรา |
แล้วเหลียวมาว่าเหวยมโหทร | จงเตรียมพลนิกรเร็วเร็วเข้า |
โยธีหนีตายชายบางเบา | เร่งจับเอาตัวมาอย่าฟัง |
ให้กุมภัณฑ์ฟั่นเชือกคนละเส้น | จะได้มัดลิงเปนมาเล่นมั่ง |
จงจัดเปนสองทัพอย่ายับยั้ง | ให้พร้อมพรั่งไพร่พลสกลไกร |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๒๓๑๑๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งบังคมไหว้ |
ออกจากพระโรงคัลทันใด | รีบไปเร่งรัดจัดโยธา |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๒๓๑๒๏ เกณฑ์หมู่อสุรศักดิยักษี | เข้ากองขุนกระบี่เปนทัพน่า |
ใส่เสื้อแดงสักลาดดาษดา | ขัดคทาถือปืนยืนยัน |
กองหลวงล้วนทหารชำนาญยุทธ | ใส่เสื้อเสนากุฏขบขัน |
ถือธนูสลับกับเกาทัณฑ์ | สายกระสันแล่งลูกผูกสพาย |
พวกเหล่าชาวคลังชาวแสง | เอาเสื้อแดงปืนผาออกมาจ่าย |
อาวุธสำหรับรบครบไพร่นาย | มอบหมายมั่นคงลงบาญชี |
แล้วเทียมรัถามาประทับ | ทั้งรถรองสำหรับกระบี่ศรี |
พรั่งพร้อมพวกพหลมนตรี | คอยท่าท้าวอสุรียาตรา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๒๓๑๓๏ เมื่อนั้น | ท้าวทศภักตร์ยักษา |
เสด็จจากแท่นที่ลีลา | มาโสรจสรงคงคาอ่าองค์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๒๓๑๔๏ ลูบไล้สุคนธาวาริน | น้ำดอกไม้เทศประทิ่นกลิ่นส่ง |
สอดใส่สนับเพลาเพราผจง | ภูษาทรงพื้นแดงแย่งยก |
ฉลององค์เลื่อมลายพรายแพร้ว | เกราะแก้วเกี่ยวกระหวัดรัดอก |
ห้อยน่าตาดติดปิดพก | ชายแครงเครือกระหนกกระหนาบลาย |
ปั้นเหน่งเพ็ชรไพโรจโชติช่วง | ทับทรวงสร้อยสังวาลประสานสาย |
ตาบประดับทับทิมเพทาย | ทองกรจำหลักลายลงยา |
ธำมรงค์ทรงใส่นิ้วพระหัดถ์ | เพ็ชรรัตน์แพร้วพรายทั้งซ้ายขวา |
ทรงมงกุฎกรรเจียกแก้วแววฟ้า | ถือสาตราสำหรับรบครบกร |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๓๑๕๏ ครั้นเสร็จเสด็จมาน่าพระลาน | กับกำแหงหณุมานชาญสมร |
ขึ้นทรงรถสุวรรณอันบวร | ยกนิกรกองทัพฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว
โทน
๒๓๑๖๏ รถเอยราชรถทรง | กำกงวงเวียนเหียนหัน |
เทียมพระยาราชสีห์สี่พัน | โลทันสารถีขับทยาน |
อภิรุมชุมสายรายริ้วนอก | ทหารหอกแห่แหนแน่นน่าฉาน |
ฆ้องกลองก้องกึกกังสดาล | สังข์แตรแซ่ประสานเสียงพล |
ม้าแซงแข่งขับเผ่นโผน | กระทืบโกลนกลอกกลับสับสน |
ผลคลีคลุ้มกลุ้มมืดมัวมนท์ | เบื้องบนบดแสงสุริเยนทร์ |
พวกพหลพลมารก็ขานโห่ | บ้างรำโล่ห์แกว่งหอกกลอกเขน |
เหยียบไม้ไล่ลู่ล้มระเนน | เร่งเกณฑ์แห่ให้ไคลคลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๒๓๑๗๏ เมื่อนั้น | ลูกพระพายนายกองทัพน่า |
คิดอุบายหมายล้างเจ้าลงกา | ครั้นล่วงมาใกล้ที่รณรงค์ |
จึ่งสั่งให้หยุดทัพยับยั้ง | คับคั่งอยู่ในไพรรหง |
ลงจากรถสุวรรณบรรจง | มาเฝ้าองค์อสุราเจ้าธานี |
ทำเสแสร้งมารยาว่ากล่าว | ทูลท้าวทศภักตร์ยักษี |
ขอพระองค์จงหยุดอยู่เพียงนี้ | อย่าเพ่อให้ไพรีรู้ความ |
ข้าจะกำบังกายหายตน | ไปกลางพลข้าศึกไม่นึกขาม |
มิให้ต้องรณรงค์สงคราม | จะรวบรัดมัดพระรามพระลักษณ์มา |
แม้นเห็นว่าข้าเหาะขึ้นเมื่อไร | จงเร่งขับพลไกรเข้าไปหา |
จะโยนมนุษย์พี่น้องสองรา | ให้พระบิดาอย่าปรารม |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๓๑๘๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเชื่อจิตรสนิทสนม |
สรวลพลางตบพระหัดถ์ตรัสชม | พ่อเห็นสมเหมือนหมายถ่ายเดียว |
ได้ลักษณ์รามสองคนแล้วพ้นทุกข์ | ไม่ต้องรุกรบรับขับเคี่ยว |
อันไอ้ลิงเล็กน้อยพลอยวิ่งเกรียว | สักประเดี๋ยวก็จะป่นเปนจุณไป |
แล้วสั่งเสนามารทหารเอก | จงคอยจับพิเภกให้จงได้ |
อสูรพลพวกเราเหล่านี้ไซ้ | จงตั้งใจช่วยกันเถิดวันนี้ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๓๑๙๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานชาญไชยศรี |
ชื่นชมสมถวิลยินดี | ทำท่วงทีอาจองตรงออกมา |
จึ่งยืนสำรวมกายร่ายมนต์ | กำบังตาพวกพลยักษา |
แล้วเผ่นโผนโจนขึ้นเมฆา | เหาะลอยคอยท่าองคต |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ เชิด
๒๓๒๐๏ บัดนั้น | ลูกพาลีมีศักดาปรากฎ |
อยู่ยอดเขาอัญชันบรรพต | คอยกำหนดวายุบุตรวุฒิไกร |
เห็นคว้าง ๆ กลางเมฆเขม้นหมาย | ดูกระบี่พี่ชายก็จำได้ |
หยิบกล่องดวงชีวันทันใด | เหาะไปให้ทันดังสัญญา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๓๒๑๏ ครั้นมาประสบพบกัน | ถ้อยทีเกษมสันต์หรรษา |
จึ่งยื่นกล่องหินศิลา | ให้วายุบุตรวุฒิไกร |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๓๒๒๏ บัดนั้น | ขุนกระบินทร์ยินดีจะมีไหน |
จึ่งบอกองคตให้เข้าใจ | ดังได้ฬ่อลวงอสุรา |
บัดนี้พี่ชวนมันยกทัพ | ออกมายับยั้งอยู่ริมภูผา |
โน่นแน่แลดูเถิดน้องยา | กองทัพเจ้าลงกากุมภัณฑ์ |
ข้างนี้กองทัพพระหริวงษ์ | ปักธงมังกรแดงแสงฉัน |
เรารีบไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ | แล้วพากันเหาะลิ่วปลิวมา |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๒๓๒๓๏ ครั้นถึงจึ่งลงจากอากาศ | เข้าไปใกล้ราชรัถา |
บังคมสมเด็จพระจักรา | ทั้งพระอนุชาลาวรรณ |
แล้วถวายดวงใจอสุรี | แจ้งคดีที่คิดผ่อนผัน |
ฬ่อลวงดาบศกับทศกรรฐ์ | รำพรรณแต่ต้นไปจนปลาย |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๓๒๔๏ เมื่อนั้น | พระราเมศชื่นชมสมหมาย |
จึ่งสรรเสริญพี่น้องสองนาย | ช่างอุบายผ่อนผันด้วยปัญญา |
เราใช้ไปได้สมอารมณ์นึก | เหมือนตัดศึกทศภักตร์ยักษา |
ความชอบนั้นพ้นคณนา | ยิ่งกว่าข้าเฝ้าเหล่านี้ |
ตรัสแล้วเหลียวมาว่าพระลักษณ์ | น้องรักหลงโกรธกระบี่ศรี |
เมื่อเขาไม่เปนเช่นพาที | แก้วพี่จะว่าขานประการใด |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๓๒๕๏ เมื่อนั้น | พระลักษณ์กราบก้มบังคมไหว้ |
จนจิตรอิดเอื้อนอายใจ | แล้วทูลสนองไปทันที |
น้องนี้เบาจิตรคิดไม่ถึง | จึ่งกล่าวโทษโกรธขึ้งกระบี่ศรี |
โทษข้าผิดพ้นพันทวี | ตามแต่ภูมีจะเมตตา |
อันเล่ห์กลหณุมานในการศึก | ล้ำฦกแหลมหลักหนักหนา |
ทั้งซื่อตรงคงสัตย์สัญญา | ควรประทานยศถาวานร |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๓๒๖๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานชาญสมร |
จึ่งทูลพระจักรกฤษณ์ฤทธิรอน | ทินกรเกือบบ่ายชายเย็น |
ข้าจะลวงยักษามาให้ใกล้ | จะชูกล่องดวงใจขึ้นให้เห็น |
ให้เลือดตาทศเศียรเจียนกระเด็น | เย้ยหยันมันเล่นเวลานี้ |
ทั้งเครื่องทรงมงกุฎที่ติดมา | จะคืนไปให้พระยายักษี |
เมื่อพระองค์จะสังหารอสุรี | ข้าจะคอยขยี้ชีวา |
ทูลพลางทางถวายบังคม | ลาบาทบรมนาถา |
ถือกล่องดวงใจไคลคลา | เหาะขึ้นตามสัญญาทศกรรฐ์ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๒๓๒๗๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรรังสรรค์ |
หยุดรถอยู่ในไพรวัน | กับกุมภัณฑ์พวกพลโยธา |
แหงนชแง้แลเห็นหณุมาน | เหาะทยานอยู่บนเวหา |
คิดว่าได้ลักษณ์รามตามสัญญา | อสุราสรวลสันต์สนั่นไป |
ยี่สิบหัดถ์ตบหัดถ์ฉัดฉาน | เสียงสท้านทั้งป่าสุธาไหว |
กระทืบรถเร่งพลสกลไกร | ดากันเข้าไปไม่ย่อท้อ |
ฯ ๖ คำ ฯ รัว
๒๓๒๘๏ ตะโกนก้องร้องเรียกหณุมาน | เปนไฉนไปนานหนักหนาหนอ |
โยนมนุษย์ลงมาอย่ารั้งรอ | จะหักฅอมันเคี้ยวเสียเดี๋ยวนี้ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๓๒๙๏ บัดนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรไชยศรี |
เห็นยักษามาใกล้ได้ที | จึ่งเหาะลงตรงที่ท่ามกลาง |
กระทืบเท้าคึกคักพยักหน้า | ทำเหลือกตาอ้าปากถากถาง |
หลอนหลอกตะคอกขู่เกาคาง | ยืนขวางน่ารถทศกรรฐ์ |
ฯ ๔ คำ ฯ
เย้ย
๒๓๓๐๏ ชูกล่องดวงใจขึ้นให้เห็น | หัวร่อล้อเล่นแล้วเย้ยหยัน |
เหวยเจ้าลงกาใจอาธรรม์ | ครั้งนี้ชีวันจะบรรไลย |
นี่กล่องของใครเราได้มา | อสุรารู้จักมั่งฤๅไม่ |
เขม้นมองป้องหน้าอยู่ว่าไร | ไม่แผลงอิทธิ์ฤทธิไกรให้คึกคัก |
เสียแรงมีมือปากมากเสียเปล่า | หัวโตโง่เง่าอัปรลักษณ์ |
น่าอายขายหน้าหนักหนานัก | ไม่รู้จักกลศึกฦกซึ้ง |
แต่เราเปนกระบี่ก็ดีกว่า | ฬ่อลวงอสุราไม่รู้ถึง |
อย่าพักโกรธโกรธาทำหน้าตึง | สักครู่หนึ่งสิบเศียรจะปลิวไป |
แล้วยื่นกล่องร้องถามว่าเอาฤๅ | เห็นแบมือก็ตะคอกหลอกให้ |
เต้นรำทำทีดีใจ | เยาะเย้ยไยไพไปมา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ กราวรำ
ร่าย
๒๓๓๑๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษา |
เห็นประจักษ์จริงแจ้งแท่งศิลา | ที่ให้พระสิทธารักษาไว้ |
เหตุไฉนไอ้ลิงไปฬ่อลวง | เอาดวงชีวากูมาได้ |
น่าที่ชีวันจะบรรไลย | จะคิดอ่านแก้ไขอย่างไรดี |
ครั้นจะเข้าชิงช่วงเอาตวงจิตร | ก็ขยั้นครั่นฤทธิ์กระบี่ศรี |
ถ้าแม้นฉวยชิงกันไม่ทันที | มันจะขยี้ดวงชีวา |
จำจะคิดปลอบโยนโอนอ่อน | อ้อนวอนขุนกระบี่ดีกว่า |
คิดพลางทางมีวาจา | เจ้าหยาบช้าเหลือล้นหณุมาน |
เสียแรงพ่อรักใคร่ให้ปัน | สาวสรรค์ปราสาทราชฐาน |
ความรักใคร่ไม่มีที่เปรียบปาน | จนไพร่บ้านพลเมืองเลื่องฦๅ |
เจ้าก็รู้อยู่แล้วที่บาปบุญ | ไม่รำพึงถึงคุณของพ่อฤๅ |
มากลับทำอันตรายเมื่อปลายมือ | เหมือนไม่ถือความสัตย์ปัฏิญาณ |
ถึงเราตายฝ่ายเจ้าก็ไม่ดี | คงเปนที่นินทาว่าขาน |
อย่าหัวร่อพ่อเลยหณุมาน | จงให้ทานดวงจิตรของบิดา |
ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา
๒๓๓๒๏ บัดนั้น | วายุบุตรจึ่งตอบยักษา |
เหวยท้าวเจ้ากรุงลงกา | ช่างพูดจาดังเด็กยังเยาว์ความ |
ไม่รู้ฤๅว่าพระอวตาร | เลี้ยงเราเปนทหารชาญสนาม |
ตัวท่านเปนศัตรูคู่สงคราม | จะเอาความสัตย์ธรรม์ฉันใด |
ยังมีหน้ามาลำเลิกเสียอิกเล่า | ที่โฉดเขลาชั่วช้าหาว่าไม่ |
ไปลักองค์สีดามาไว้ | กรุงไกรกุมภัณฑ์จึ่งอันตราย |
แม้นยังรักโภไคยไอสูรย์ | เอานางทูลเกษามาถวาย |
แล้วรับผิดสารภาพที่หยาบคาย | พระนารายน์ก็จะโปรดโทษทัณฑ์ |
เราสอนสั่งทั้งนี้ดีนัก | พระยายักษ์อย่ารังเกียจเดียดฉัน |
จงคำนับรับคำที่รำพรรณ | จะได้ดวงชีวันอสุรา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๓๓๓๏ เมื่อนั้น | ท้าวทศภักตร์ยักษา |
แต่ออกชื่อจะให้ส่งองค์สีดา | อสุราขัดสนพ้นคิด |
จึ่งว่าไอ้ทรชนหณุมาน | หยาบช้าสาธารณ์ทุจริต |
มิใช่กูสู้รบแพ้ฤทธิ์ | จะได้คิดส่งองค์สีดาไป |
นี่หากว่าดาบศเธอเคลิ้มเขลา | จึ่งลวงเอาดวงชีวากูมาได้ |
เสียทีที่เลี้ยงมึงไว้ | ตั้งใจอุปถัมภ์บำรุง |
ให้เครื่องยศต่าง ๆ อย่างกระษัตริย์ | ล้วนแก้วเก้าเนาวรัตน์เรืองรุ่ง |
เขารู้ทั่วทั้งเมืองเฟื่องฟุ้ง | ยังกลับมุ่งหมายจิตรคิดประทุษฐ |
ถึงกูตายภายหลังให้ฦๅชื่อ | ว่าใจซื่อถือสัตย์บริสุทธิ์ |
มึงกลับใจไปเข้าข้างมนุษย์ | เอาเครื่องทรงมงกุฎของกูมา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๓๓๔๏ บัดนั้น | หณุมานหัวเราะเยาะยักษา |
เสแสร้งแกล้งตอบวาจา | อสุราอิกสับปลับกับเรา |
อันธำมรงค์มงกุฎเครื่องประดับ | ให้แล้วยังกลับมาทวงเล่า |
ไม่มีอายอดสูเลยดูเอา | ยังด้านหน้าว่าเขามิซื่อตรง |
ซึ่งสมบติพัศถานของท่านให้ | เราก็ไม่มีจิตรคิดประสงค์ |
ว่าพลางทางเปลื้องเครื่องทรง | โยนไปให้องค์อสุรา |
ฯ ๖ คำ ฯ รัว
๒๓๓๕๏ แล้วทำสำทับว่ากล่าว | เหวยท้าวทศภักตร์ยักษา |
มาทแม้นไม่ส่งองค์สีดา | จะขยี้ชีวาเสียเดี๋ยวนี้ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๓๓๖๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรจึ่งตอบกระบี่ศรี |
จะให้ส่งองค์ภัควดี | ข้อนี้อย่าได้เจรจา |
เราเปนถึงพงษ์พรหมบรมนารถ | ไม่เขลาขลาดกลัวชีวังจะสังขาร์ |
เสียรู้แล้วจะสู้เสียชีวา | มิขอส่งองค์สีดาลาวรรณ |
เองจงบอกพี่น้องสองมนุษย์ | กูจะคงยงยุทธจนอาสัญ |
แต่จวนเย็นสุริยาสายัณห์ | จะรบกันต่อรุ่งพรุ่งนี้ |
ว่าพลางทางผินภักตร์มา | ตรัสสั่งเสนายักษี |
ให้เลิกทัพกลับพลมนตรี | คืนเข้าบุรีลงกา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๒๓๓๗๏ บัดนั้น | วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า |
ครั้นยักษีกรีพลไปภารา | จึ่งกลับมาเฝ้าองค์พระหริรักษ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๓๓๘๏ ก้มเกล้าเคารพอภิวันท์ | รำพรรณทูลแถลงแจ้งประจักษ์ |
ข้าเย้ยหยันหยาบช้าว่าขุนยักษ์ | จะให้ส่งองค์อรรคชายา |
ทศกรรฐ์มันไม่ฟังคำ | ว่าจะทำศึกสู้จนสังขาร์ |
แต่ขอเลิกจัตุรงค์ไปลงกา | ต่อพรุ่งนี้จึ่งจะมาราวี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๓๓๙๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี |
ฟังคำขุนกระบินทร์ก็ยินดี | ภูมีแย้มยิ้มพริ้มพราย |
จึ่งสั่งให้พระน้องเปนกองน่า | เคลื่อนคลาพลขันธ์ผันผาย |
ทัพหลังพรั่งพร้อมทั้งไพร่นาย | รีบขยายยกกลับไปพลับพลา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๓๔๐๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรยักษา |
เดินทางมากลางมรคา | อสุรารำพึงคนึงคิด |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้ร่าย
๒๓๔๑๏ โอ้ว่าครานี้ณอกเอ๋ย | ไม่รู้เท่าลิงเลยแต่สักหนิด |
หลงเลี้ยงศัตรูเหมือนงูพิศม์ | ไม่พอที่ชีวิตรจะวายปราณ |
พระนักสิทธิคิดว่าฉลาดเล่า | มิรู้เฉาโฉดกว่าเดียรฉาน |
อันไอ้ทรชนหณุมาน | มันจัณฑาลทำร้ายมาหลายครั้ง |
เผาเมืองแล้วมิหนำซ้ำผูกผม | จนสาตราอาคมก็คลายขลัง |
ตัวมันกับกูคู่ชิงชัง | แต่ลำพังแล้วไม่เลี้ยงไว้เวียงไชย |
เพราะงวยงงหลงเชื่อพระสิทธา | ว่ามันสามิภักดิ์จึ่งรักใคร่ |
มิรู้ไอ้ลิงลวงเอาดวงใจ | ไปได้จากอาศรมพระนักพรต |
อกเอ๋ยโอ้ว่าครานี้ | น่าที่ชีวิตรจะปลิดปลด |
ยิ่งแสนโศกศัลย์รันทด | เร่งรถรีบมายังธานี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๒๓๔๒๏ ครั้นถึงประทับกับเกยลา | แล้วตรัสสั่งเสนายักษี |
จงเตรียมพลพหลโยธี | พรุ่งนี้เราจะออกไปชิงไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๓๔๓๏ สั่งเสร็จเสด็จจากรถทรง | ดำรงองค์อสุรีมิใคร่ไหว |
อาวุธหลุดจากพระหัดถ์ไป | อุส่าห์ฝืนขืนใจจรลี |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๓๔๔๏ เมื่อนั้น | โฉมนางมณโฑมเหษี |
ทั้งนวลนางกาลอัคคี | สาวสนมนารีกำนัลใน |
แลไปเห็นองค์เจ้าลงกา | เศียรกรซ้ายขวาหามีไม่ |
วิปริตผิดปลาดหลากใจ | ก็รีบไปรับเสด็จด้วยพลัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๓๔๕๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นอสุรินทร์ | เศียรกรพร้อมสิ้นทุกสิ่งสรรพ์ |
ต่างเข้าพยุงจุงจรจรัล | มาสุวรรณปราสาททองห้องใน |
ค่อยประคองพระองค์ให้ทรงนั่ง | บนบัลลังก์แก้วมณีศรีใส |
ช่วยเปลี่ยนเปลื้องเครื่องประดับฉับไว | แล้วลูบไล้สุคนธาวารี |
บ้างนบนอบหมอบกรานอยู่งานพัด | นวดฟั้นคั้นหัดถ์ท้าวยักษี |
นางมณโฑโศการักสามี | นางอัคคีนาคราชเพียงขาดใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ
โอ้
๒๓๔๖๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสท้อนถอนใจใหญ่ |
สร้วมกอดกัลยาโศกาไลย | ชลไนยนองเนตรแจ้งเหตุการณ์ |
พี่เบาจิตรผิดแล้วณแก้วตา | ไม่เชื่อฟังวาจาเจ้าว่าขาน |
หลงเลี้ยงลิงไพรใจพาล | พระอาจารย์พามาคิดว่าดี |
มิรู้ไอ้วานรทำย้อนยอก | กลับกลอกแกล้งอุบายหน่ายหนี |
มันปดโป้โคบุตรพระมุนี | เอาดวงชีวีของพี่ไป |
ทั้งดาบศก็ชั่วตัวก็โฉด | มิรู้ที่จะโทษใครได้ |
ชรอยว่าเวรกรรมทำไว้ | จะอาสัญบรรไลยเสียครั้งนี้ |
พี่กลับมาหวังว่าจะสั่งน้อง | ทั้งสองสุดามารศรี |
จะได้เห็นภักตราสามี | แต่ราตรีนี้แล้วแก้วกัลยา |
พรุ่งนี้พี่จะออกไปชิงไชย | ที่ไหนจะได้คืนมาเห็นหน้า |
คงจะตายวายชีพชนมา | พี่ขอลาโฉมยงอยู่จงดี |
ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด
ร่าย
๒๓๔๗๏ เมื่อนั้น | นวลนางมณโฑมเหษี |
ได้ฟังวาจาพระสามี | เทวีตีทรวงเข้าร่ำไร |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้
๒๓๔๘๏ โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมเอ๋ย | ไม่ควรเลยทรงศักดิจะตักไษย |
เพราะเชื่อถือฤๅษีชีไพร | ไว้ใจคิดว่าเปนอาจารย์ |
ไปคบค้าไพรีแล้วมิหนำ | แนะนำเปนนายหน้ามาว่าขาน |
พาไอ้ทรชนหณุมาน | มาจำนงจงผลาญชีวิตร |
ช่างโฉดเฉาชั่วช้าสารพัน | ให้มันฬ่อลวงเอาดวงจิตร |
โอ้ว่าครานี้จะม้วยมิด | สุดคิดสุดแค้นแสนทวี |
แม้นพระองค์อาสัญวันใด | เมียจะม้วยบรรไลยเปนผี |
มิขออยู่ดูหน้าไพรี | จะตายตามภูมีไปเมืองฟ้า |
ว่าพลางนางทรงแสนเทวศ | ชลเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา |
ครวญคร่ำร่ำรักภัศดา | ทั้งสองกัลยาโศกาไลย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
ร่าย
๒๓๔๙๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเศร้าสร้อยลห้อยไห้ |
อุส่าห์ฝืนกลืนกลั้นชลไนย | ปลอบสองอรไทยเทวี |
จะน้อยจิตรคิดแค้นไปไยเล่า | เปนเวราของเราแล้วเจ้าพี่ |
จะจำม้วยด้วยกลไพรี | ค่อยอยู่จงดีเถิดณน้อง |
ขอฝากเหล่าสาวสรรค์กำนัลนาง | ชอบผิดคิดบ้างอย่าหมางหมอง |
ตัวพี่มิได้อยู่ครอบครอง | จะจำพรากจากน้องทั้งสองรา |
จงอดอ่อนผ่อนผันกันให้ดี | บุญพี่จะหาไม่ไปภายน่า |
เห็นทีพิเภกอนุชา | จะได้ผ่านภาราธานี |
เจ้าจงยำเยงเกรงกลัว | ฝากตัวเขาเถิดมารศรี |
เปนเคราะห์กรรมทำไว้แล้วเทวี | พรุ่งนี้พี่ยาจะลาตาย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๓๕๐๏ เมื่อนั้น | นวลนางมณโฑโฉมฉาย |
ได้ฟังดังหนึ่งจะวอดวาย | ฟูมฟายชลนาจาบัลย์ |
โอ้ว่าครานี้จะมอดม้วย | ตายด้วยความวิโยกโศกศัลย์ |
ควรฤๅพระองค์ทรงธรรม์ | จะหนีไปเมืองสวรรค์ชั้นฟ้า |
น้องได้พึ่งบาทบทเรศ | ดังฉัตรแก้วกั้นเกษเกษา |
พระคุณของทรงฤทธิ์เหมือนบิดา | กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาจนวันนี้ |
อกเอ๋ยตั้งแต่จะแลลับ | ดังเดือนดับสิ้นแสงรัศมี |
เคยรองเบื้องบาทาฝ่าธุลี | ครั้งนี้จะพึ่งผู้ใด |
พิเภกซึ่งเปนอนุชา | เมียจะแลดูหน้ากะไรได้ |
จะมีแต่เจ็บช้ำระกำใจ | ที่ไหนน้องจะคงชีวา |
ว่าพลางนางข้อนทรวงทรง | ซบลงกับตักท้าวยักษา |
ทั้งนางอัคคีกัลยา | ก็โศกาเพียงพินาศขาดใจ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด
๒๓๕๑๏ บัดนั้น | สาวสนมกำนัลน้อยใหญ่ |
ต่างฟายน้ำตาโศกาไลย | ร่ำไรรักองค์เจ้าลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้
๒๓๕๒๏ โอ้ว่าพระองค์พงษ์พรหเมศ | พระคุณเคยปกเกษเกษา |
บำรุงเลี้ยงเที่ยงธรรม์ทุกวันมา | ดังบิตุเรศมารดาไม่อาทร |
พระรักใคร่ให้ปันเปนนิตย์ | ราชกิจผิดพลั้งก็สั่งสอน |
เกษมศุขทุกวันนิรันดร | พระจะจรจากข้าฝ่าธุลี |
ยามเสวยเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น | จะแรมร้างห่างเห็นบทศรี |
โอ้นิเวศน์เวียงวังครั้งนี้ | จะมีแต่เศร้าโศกวิโยคเย็น |
บรรดาข้าลอองบทมาลย์ | จะรำคาญเคืองแค้นแสนเข็ญ |
จะโศกาอาไลยอยู่ไม่เว้น | ใครเลยจะเปนที่พึ่งพา |
จะจำใจไปเปนข้ามนุษย์ | แม้นสิ้นสุดชีวีเสียดีกว่า |
ร่ำพลางต่างคนข้อนอุรา | ฟูมฟายน้ำตาโศกาไลย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
ร่าย
๒๓๕๓๏ บัดนั้น | มโหทรเสนาผู้ใหญ่ |
ตรวจเตรียมพหลพลไกร | นายไพร่หนีตัวกลัวตาย |
เร่งรัดมัดผูกกันอึงมี่ | จับได้ข้างนี้ข้างโน้นหาย |
เที่ยวเกาะกุมวุ่นไปนั่งไพร่นาย | เอาแม่ยายพ่อตามาคุมไว้ |
บ้างบอกบาญชีหนีเร้น | มีอันเปนป่วยเจ็บจับไข้ |
ทำโพยโบยตีกันมี่ไป | อุตลุดทั้งในลงกา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๒๓๕๔๏ พอรุ่งรางส่างแสงสุริยน | ก็เตรียมพลกุมภัณฑ์ไว้พร้อมหน้า |
แล้วเทียมรถประทับกับเกยลา | คอยท่ารับเสด็จอสุรี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๓๕๕๏ บัดนั้น | ฝ่ายพวกอสุรศักดิยักษี |
ต่างปรับทุกข์กันทันที | ครั้งนี้จะยับย่อยพลอยตาย |
บ้างว่าข้าเห็นตระหนักแน่ | สงสารแต่ลูกเมียจะเปนม่าย |
ทั้งบ่าวไพร่จะกระจัดพลัดพราย | พูดพลางต่างฟายน้ำตา |
บ้างบ่นว่าข้าเองอกจะคราก | เมื่อจะทำขันหมากกันเดือนน่า |
มาทแม้นม้วยมุดสุดชีวา | เสียแรงหาหอห้างค้างเปล่าไป |
ต่างตนกอดเข่าเจ่าจุก | เปนทุกข์เปนร้อนถอนใจใหญ่ |
บรรดาพวกพหลพลไกร | จิตรใจไม่เปนสมประดี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๓๕๖๏ เมื่อนั้น | ท้าวทศภักตร์ยักษี |
แต่โศกสั่งมณโฑเทวี | อสุรีระทดระทวยกาย |
ได้ยินเสียงฆ้องยามย่ำรุ่ง | เสียวสดุ้งหวาดหวั่นขวัญหาย |
สลดจิตรด้วยชีวิตรจะวางวาย | แสนเสียดายสาวสรรค์กัลยา |
จึ่งตรัสสั่งมณโฑเทวี | แก้วพี่ผู้ยอดเสนหา |
สว่างแสนสุริยันถึงสัญญา | ผัวรักจักลาไปชิงไชย |
สิ่งใดที่ได้ประมาทเจ้า | นงเยาว์จงยกโทษให้ |
อย่าเปนเวรเวราข้างน่าไป | ดวงใจค่อยอยู่จงดี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๓๕๗๏ เมื่อนั้น | นวลนางมณโฑมเหษี |
กราบกับบาทาพระสามี | เทวีโศกศัลย์รำพรรณวอน |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้
๒๓๕๘๏ โอ้ว่าพระองค์ทรงเดช | จงโปรดเกษหยุดยั้งมั่งก่อน |
อันดวงใจไปอยู่กับวานร | ออกราญรอนก็จะอัปราไชย |
ซึ่งพระรามเคืองแค้นแสนสาหัส | อันจะชิงสมบัตินั้นหาไม่ |
เพราะสีดามาอยู่กรุงไกร | เขาจึ่งได้ตามมาราวี |
แม้นพระองค์ส่งนางไปให้เขา | ภาราเราก็จะศุขเกษมศรี |
อสุรศักดิยักษาทั้งธานี | จะได้พึ่งภูมีสืบไป |
แม้นสิ้นบุญพระองค์ทรงศักดิ | เมียรักจักพึ่งผู้ใดได้ |
น่าที่ชีวันจะบรรไลย | ร่ำพลางสอื้นไห้โศกา |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๒๓๕๙๏ เมื่อนั้น | ท้าวทศภักตร์ยักษา |
ฟังเมียรักร่ำจำนรรจา | จะให้ส่งสีดาเทวี |
จึ่งแกล้งตรัสเล้าโลมโฉมงาม | เจ้าว่าด้วยความรักพี่ |
ครั้นจะส่งนางไปไห้ไพรี | ก็เปนที่อัปรยศอดอาย |
แต่เราประจญรณรงค์ | จนสุดสิ้นญาติวงษ์ทั้งหลาย |
ครั้นไภยมาถึงตัวกลัวตาย | จะมีแต่ความกระหายนินทา |
สุดที่พี่จะของ้อมนุษย์ | แม้นม้วยมุดชีวีเสียดีกว่า |
ตามกุศลผลกรรมได้ทำมา | แก้วตาอย่าทรงโศกี |
ปลอบนางพลางระงับดับเทวศ | กูเปนวงษ์พรหเมศเรืองศรี |
ถึงวอดวายไม่เสียดายชีวี | พอให้มีเกียรติยศปรากฎไว้ |
จะออกไปรณรงค์สงคราม | ให้ลักษณ์รามพิศวงหลงใหล |
แล้วกลืนกลั้นกรรแสงแขงพระไทย | สำรวมใจร่ายเวทวิทยา |
ฯ ๑๒ คำ ฯ ตระ
๒๓๖๐๏ รูปกายกลายจากอสุรี | เหมือนโกสีย์เจ้าไตรตรึงษา |
เสด็จจากแท่นแก้วแววฟ้า | มาสระสรงคงคาวารี |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๒๓๖๑๏ พนักงานไขสุหร่ายดังสายฝน | ต้องสกลกายายักษี |
ลูบไล้สุคนธามาลี | นางอยู่งานพัชนีรำเพยพัด |
สอดใส่สนับเพลาเชิงกระหนก | ภูษายกพื้นแดงแย่งครุธอัด |
ฉลององค์เกราะสุวรรณกระสันรัด | ปั้นเหน่งเพ็ชรเตร็จตรัจจำรัสเรือง |
ตาบทิศทับทรวงดวงกุดั่น | สังวาลวรรณสายสร้อยห้อยเฟื่อง |
ทองกรแก้วจินดาค่าเมือง | ธำมรงค์เพ็ชรเรืองเรือนสุบรรณ |
ทรงมงกุฎแก้วแวววับ | กรรเจียกจรแจ่มจับสุริย์ฉัน |
แล้วทรงศรจรจากห้องสุวรรณ | มเหษีสาวสรรค์ก็ตามไป |
ฯ ๘ คำ ฯ เพลงช้า
ร่าย
๒๓๖๒๏ ถึงที่เกยแก้วสุรการ | พระยามารสท้อนถอนใจใหญ่ |
ทอดพระเนตรพหลพลไกร | เห็นสร้อยเศร้าเหงาไปทั้งไพร่นาย |
ท้าวยิ่งโศกศัลย์ผันพระภักตร์ | มาดูมิ่งเมียรักแล้วใจหาย |
ให้ละห้อยละเหี่ยเสียดาย | ระทวยกายมิใคร่จะไคลคลา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๓๖๓๏ เมื่อนั้น | นวลนางมณโฑเสนหา |
เข้าสร้วมสอดกอดบาทภัศดา | โศกาครวญคร่ำร่ำไร |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
โอ้
๒๓๖๔๏ โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว | จะทิ้งเมียเสียแล้วฤๅไฉน |
จงโปรดเกล้าเกษาพาไป | ไม่เคยไกลบาทาฝ่าธุลี |
ถึงมอดม้วยบรรไลยก็ไม่คิด | เอาชีวิตรรองบาทบทศรี |
แม้นทอดทิ้งเมียไว้ในบุรี | ก็จะมีแต่ความทุกข์ร้อน |
จงทรงพระขรรค์ฟันฟาด | พิฆาฏฆ่าเมียเสียก่อน |
พระจึ่งยกโยธาพลากร | ไปราญรอนรบพวกไพรื |
ทูลพลางทางทรงโศกา | กราบบาทพระยายักษี |
ทั้งกำนัลนักสนมไม่สมประดี | ต่างตีอุราจาบัลย์ |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๒๓๖๕๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรแสนวิโยคโศกศัลย์ |
แสนสงสารน้ำคำที่รำพรรณ | สุดที่จะกลั้นโศกาไลย |
ลดองค์ลงแอบอัคเรศ | ชลเนตรแถวถั่งหลั่งไหล |
โอ้เจ้าพุ่มพวงดวงใจ | จะหาไหนได้เหมือนเทวี |
อย่ากรรแสงโศกศัลย์รันทด | สร่างกำสรดเสียมั่งฟังพี่ |
จะติดตามพี่ไปไยมี | ไพรีจะติฉินนินทา |
โฉมยงจงอยู่นิเวศน์วัง | คอยฟังข่าวพี่ดีกว่า |
แม้นม้วยมุดสุดสิ้นชนมา | อย่าให้เวทนาในแผ่นภพ |
จงชวนเหล่าสุริวงษ์พงษ์พันธุ์ | ออกไปช่วยกันปลงศพ |
พี่จะลามารศรีไปที่รบ | พลางซบภักตร์ลงทรงโศกา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
๒๓๖๖๏ ครั้นค่อยคลายวิโยคโศกคัลย์ | พอสุริยันร้อนแรงแสงกล้า |
สมควรจวนได้เวลา | อสุราสละรักหักใจ |
จับพระแสงศรทรงองอาจ | ให้เคลื่อนราชรัถาเข้ามาใกล้ |
เสด็จขึ้นรถแก้วแววไว | ขับพลสกลไกรยาตรา |
ฯ ๔ คำ ฯ กราว
โอ้ร่าย
๒๓๖๗๏ ครั้นออกมานอกทวารวัง | เหลียวหลังดูนิเวศน์ของยักษา |
เสมอเหมือนเมืองสวรรค์ชั้นฟ้า | อสุราเพ่งพิศคิดอาไลย |
โอ้เสียดายปรางมาศปราสาทศรี | ตั้งแต่นี้มิได้มาอาไศรย |
สงสารเหล่าสาวสรรค์กำนัลใน | จะเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจจาบัลย์ |
พระกอดกรถอนสอื้นยืนตลึง | จนรัถามาถึงสวนขวัญ |
หอมหวนบุบผาสารพัน | ทรงคันธรศรื่นรัญจวน |
นึกเสียดายสีดานารี | ยังอยู่ที่ตำหนักห้างกลางสวน |
พี่ตั้งแต่อดออมถนอมนวล | สู้สงวนไว้ถึงสิบสี่ปี |
คิดว่าเสร็จสงครามรามลักษณ์ | จะตั้งเปนเอกอรรคมเหษี |
มาสิ้นวาศนากันเสียวันนี้ | อสุรีถอนใจอาไลยลา |
แล้วแลดูพลนิกายนายไพร่ | ไม่มีใครบรรเทิงเริงร่า |
ทั้งธงฉัตรสารพัดจะผิดตา | ดังศิลาแท่งทาบไม่ปลาบปลิว |
อันองค์อสุราพระยามาร | ก็บันดาลอิดโรยโหยหิว |
ต้นไม้รายทางอยู่เปนทิว | ลมจะฉิวชายใบก็ไม่มี |
พิเคราะห์เห็นเปนลางหลากประหลาด | ยิ่งหวั่นหวาดวิญญายักษี |
อุส่าห์ฝืนอารมณ์สมประดี | รีบเร่งโยธีคลาไคล |
ฯ ๑๖ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๒๓๖๘๏ ครั้นถึงที่รณรงค์ยงยุทธ | จึ่งให้หยุดพลนิกายนายไพร่ |
ตั้งกองตรวจกันมั่นไว้ | มิให้ใครขาดหน้าตา |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
ช้า
๒๓๖๙๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
สถิตย์นั่งยังสุวรรณพลับพลา | พรั่งพร้อมท้าวพระยาเสนาใน |
พระรำพึงถึงสีดานารี | แก้วพี่ผู้เพื่อนพิศมัย |
วันนี้ทศกรรฐ์จะบรรไลย | พี่จะได้ไปรับกลับมา |
แต่นิ่งคนึงนึกตรึกตรอง | จนสุริย์ฉายสายส่องแสงกล้า |
ถึงกำหนดทศกรรฐ์สัญญา | จะยกทัพออกมาราวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๒๓๗๐๏ จึ่งดำรัสตรัสสั่งสุครีพ | จงเร่งรีบจัดพลกระบี่ศรี |
เราจะยกยาตราเวลานี้ | ไปต่อตีกับองค์เจ้าลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๓๗๑๏ บัดนั้น | สุครีพรับสั่งใส่เกษา |
นบนิ้วประนมบังคมลา | ออกมาเร่งรัดจัดพล |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๒๓๗๒๏ เกณฑ์หมู่ทหารชาญฉกรรจ์ | ล้วนเข้มขันเคยศึกฝึกฝน |
กองน่าวาหุโรมฤทธิรณ | เคยประจญกุมภัณฑ์ไม่ครั่นคร้าม |
ปีกซ้ายสุรเสนเสนา | ปีกขวาสุรการชาญสนาม |
วานรินทร์นิลขันเคยสงคราม | เปนกองหลังตั้งตามกระบวนยุทธ |
ทนายปืนแบกปืนดื่นดาษ | ใส่เสื้อสักรลาดผาดผุด |
บ้างโพกผ้าลงยันต์กันอาวุธ | คาดตะกรุดดอกเดียวเขี้ยวหมูตัน |
ต่างคนรนราญในการศึก | ห้าวฮึกกำแหงแขงขัน |
แล้วเตรียมรถสหัสไนยเวไชยันต์ | ประทับท่าทรงธรรม์ยาตรา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๓๗๓๏ เมื่อนั้น | องค์พระราเมศเชษฐา |
จึ่งดำรัสตรัสชวนอนุชา | เสด็จมาโสรจสรงสาคร |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๒๓๗๔๏ สององค์ขัดสีวารีรด | น้ำดอกไม้ใสสดเกสร |
ทรงสำอางอบอายขจายจร | สนับเพลาเชิงงอนอ่อนลมุน |
ภูษาแย่งกระหนกยกพื้นตอง | ฉลององค์ลายทองสลับปตุ่น |
เจียรบาดตาดติดเงินดุน | ห้อยน่าตาชุนชายแครง |
ตาบทิศทับทรวงดวงกุดั่น | สังวาลวรรณพลอยประดับรยับแสง |
คาดเข็มขัดรัดสายลายแทง | ทองกรแก้วแดงดวงมณี |
ธำมรงค์เรืองรยับประดับเพ็ชร | มงกุฎเก็จแก้วจำรัสรัศมี |
ต่างทรงศรสิทธิ์ฤทธี | จรลีมายังเกยลา |
ฯ ๘ คำ ฯ บาทสกุณี
ร่าย
๒๓๗๕๏ ขึ้นทรงเวไชยันต์บัลลังก์ | พระลักษณ์นั่งน่าราชรัถา |
ให้เคลื่อนคลายขยายยกยาตรา | โยธาโห่ฉาวกราวเกรียว |
ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก
โทน
๒๓๗๖๏ รถเอยรถทรง | กำกงแก้วมณีสีเขียว |
แอกงอนอ่อนรหงธงเทียว | เทียมสินธพกะเลียวลำพอง |
เครื่องสูงชุมสายรายรัตน์ | กรรชิงฉัตรพรายแพรวเปนแถวท่อง |
เสียงสังข์เสียงแตรแซ่ซ้อง | ฆ้องกลองก้องดังกังสดาล |
วานรโห่สนั่นครั่นครื้น | สเทือนพื้นภพไตรไพรสาณฑ์ |
ทุกเทพเทวัญชั้นวิมาน | เผยบานแกลช่วยอวยพร |
บ้างโปรยปรายบุบผาปาริกชาติ | เกลื่อนกลาดกลางทางหว่างศิงขร |
พระเร่งรีบโยธาพลากร | วานรแห่แหนแน่นไป |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๒๓๗๗๏ ครั้นถึงที่ผจญรณรงค์ | แลเห็นธงทัพยักษ์ปักไสว |
ทั้งโยธีรี้พลสกลไกร | นับแสนแน่นในพนาวา |
เห็นจอมพลที่บนรถทรง | เหมือนองค์เจ้าไตรตรึงษา |
จึ่งตรัสถามพิเภกโหรา | ใครยกมามิใช่ทศภักตร์ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๓๗๘๏ บัดนั้น | พิเภกพิศดูรู้ประจักษ์ |
จึ่งก้มเกล้ากราบทูลพระหริรักษ์ | คือองค์ท้าวทศภักตร์อยู่บนรถ |
แต่หากแกล้งแปลงกายกลายเพศ | เหมือนตรีเนตรออกมาให้ปรากฎ |
ด้วยเปนวันบรรไลยจะไว้ยศ | จงทราบบทมาลย์พระผ่านฟ้า |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๓๗๙๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงฟังไม่กังขา |
ให้ยับยั้งตั้งพลโยธา | คอยทีอสุราจะราญรอน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๓๘๐๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพนาสูรชาญสมร |
เห็นมนุษย์สองรากับวานร | ยกมาราญรอนราวี |
ให้ครั่นคร้ามขามในฤไทยนัก | พระยายักษ์อกสั่นขวัญหนี |
มานะนึกอายใจแก่ไพรี | ทำเปนทีฮึกฮักศักดา |
จับพระแสงแกว่งกวัดตรัสสั่ง | เหวยนายทัพทั้งซ้ายขวา |
เร่งขับพหลพลโยธา | เข้าไล่เข่นฆ่าไพรี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๓๘๑๏ บัดนั้น | มโหทรรับสั่งใส่เกษี |
ให้ยกธงสำคัญขึ้นทันที | ขับพลอสุรีเข้าชิงไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๓๘๒๏ บัดนั้น | พวกอสูรหมู่มารน้อยใหญ่ |
ต่างตนขยั้นพรั่นใจ | มิใคร่จะรอต่อตี |
ตั้งแต่ท่าง่าดาบเงื้อหอก | ทำกระหยับกลับกลอกจะวิ่งหนี |
ตัวนายไล่ต้อนโยธี | เข้าตีทัพน่าวานร |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๓๘๓๏ บัดนั้น | พลกระบี่ห้าวหาญชาญสมร |
ไม่หลีกหลบรบรุมตลุมบอน | ราญรอนไล่รุกบุกบัน |
ขึ้นเหยียบบ่าคว้าชิงอาวุธ | ประจันจับสัปรยุทธเหียนหัน |
โลดไล่กระชิดติดพัน | พิฆาฏฟาดฟันอสุรา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๓๘๔๏ บัดนั้น | ฝ่ายหมู่อสุรศักดิยักษา |
รับรองป้องกันกายา | ระวังตัวกลัวชีวาจะวายปราณ |
รบพลางเหลียวพลางเห็นห่างนาย | ก็แยกย้ายหนีไปในไพรสาณฑ์ |
พลกระบี่ไล่บุกรุกราญ | หมู่มารแตกพ่ายกระจายไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๓๘๕๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริวงษ์เปนใหญ่ |
เห็นไพร่พลแตกยับทั้งทัพไชย | พวกลิงไล่ห้ำหั่นฟันฟอน |
ยิ่งกริ้วโกรธโดดลงจากรัถา | อสุรากวัดแกว่งพระแสงศร |
เข้าไล่ตีโยธาวานร | ด้วยกำลังฤทธิรอนอสุรา |
เห็นพวกพลย่นย้อไม่รอรับ | ยิ่งสำทับหวดซ้ายป่ายขวา |
ไล่รุกบุกบันกระชั้นมา | จนถึงน่ารถทรงองค์พระราม |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๒๓๘๖๏ เมื่อนั้น | พระนารายน์อวตารชาญสนาม |
เห็นรูปเจ้าลงกาสง่างาม | ให้มีความเมตตาปรานี |
น้อยฤๅทศกรรฐ์วันจะตาย | ช่างแปลงกายคล้ายกันกับโกสีย์ |
งามรับสรรพสิ้นทั้งอินทรีย์ | รัศมีสีสันโสภา |
ดังทองคำธรรมชาติผาดผุด | เลิศล้ำบุรุษในแหล่งหล้า |
พิศวงหลงใหลไปมา | มิได้พิฆาฏฆ่ากุมภัณฑ์ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๓๘๗๏ บัดนั้น | วายุบุตรฤทธิแรงแขงขัน |
อยู่ริมรัถาเวชายันต์ | คอยขยี้ชีวันเจ้าลงกา |
มองเขม้นเห็นพระอวตาร | ไม่แผลงผลาญทศภักตร์ยักษา |
ทูลพระหริรักษ์จักรา | ผ่านฟ้าอย่าได้ลืมองค์ |
พระอนุชามารบอินทรชิต | เจียนจะสิ้นชีวิตรด้วยพิศวง |
เชิญเสด็จทรงธรรม์ลั่นศรทรง | สังหารองค์ราพร้ายให้วายปราณ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๓๘๘๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน |
ฟังคำกำแหงหณุมาน | ทัดทานถูกทำเนียบเปรียบปราย |
จึ่งจับศรศักดาวราฤทธิ์ | จงจิตรจะพิฆาฏมาดหมาย |
เขม้นดูรูปนิมิตรคิดเสียดาย | มิใคร่จะขึ้นสายศรทรง |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๓๘๙๏ เมื่อนั้น | ทศกรรฐ์เห็นพระรามตลึงหลง |
ได้ทีกระทืบบาทอาจอง | ทยานขึ้นรถทรงยงยุทธ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๓๙๐๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพรบรับสัปรยุทธ |
เงือดเงื้อศิลป์ไชยไวยวุฒิ | ตีทศเศียรทรุดซวนไป |
แล้วลงจากรัถาเวชายันต์ | เข้าหักโหมโรมรันรุกไล่ |
ประจันจับรับรองว่องไว | ชิงไชยกระชิดติดพัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๓๙๑๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรเจียนชีวาจะอาสัญ |
แขงใจรับรองป้องกัน | ยืนยันก่งศรรอนราญ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๓๙๒๏ เมื่อนั้น | พระรามฤทธาศักดาหาญ |
จึ่งขึ้นศรวิรุณจักรวาฬ | ยิงแย้งแผลงผลาญเจ้าลงกา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง เชิดกลอง
๒๓๙๓๏ ศรศักดิปักอกอสุรินทร์ | สุดสิ้นกำลังล้มถลา |
หณุมานก็ขยี้ชีวา | อสุราอาสัญบรรไลย |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๒๓๙๔๏ บัดนั้น | พิเภกเข้าประคองแล้วร้องไห้ |
เห็นพี่ยาอาสัญบรรไลย | รูปกายกลายไปเปนอสุรา |
ยิ่งระทวยระทดสลดจิตร | ให้คิดสังเวชพระเชษฐา |
สร้วมสอดกอดศพซบภักตรา | โศกาสลบไปไม่สมประดี |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๒๓๙๕๏ เมื่อนั้น | พระรามทรงสวัสดิรัศมี |
เห็นพระยาพิเภกอสุรี | ร่ำไรรักพี่สลบไป |
เสด็จเข้าไปชิดคิดสงสาร | จึ่งสั่งให้ทหารเข้าแก้ไข |
เห็นกลับคืนฟื้นกายคล่อยคลายใจ | ภูวไนยจึ่งมีบัญชา |
ดูก่อนพิเภกกุมภัณฑ์ | จงดับความโศกศัลย์เสียดีกว่า |
พาพวกจัตุรงค์ไปลงกา | ปลงศพเชษฐาตามชอบใจ |
ตรัสพลางทางสั่งเสนี | ให้เลิกพลโยธีทัพใหญ่ |
วานรโห่ร้องก้องพงไพร | กลับไปที่ประทับพลับพลา |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๒๓๙๖๏ บัดนั้น | ฝ่ายมโหทรมารยักษา |
เที่ยวกู่ก้องร้องเรียกโยธา | เข้ามาเฝ้าพิเภกพร้อมกัน |
ต่างถวายบังคมก้มกราบ | หมอบราบเกรงกลัวจนตัวสั่น |
บ้างฟูมฟายน้ำตาจาบัลย์ | ร้องไห้รักทศกรรฐ์ก้องไป |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๒๓๙๗๏ เมื่อนั้น | พิเภกผู้มีอัชฌาไศรย |
ให้นายหมวดตรวจตราพลไกร | ทั้งนายไพร่เหลือตายหลายพัน |
จึ่งสั่งให้เชิญศพเจ้าลงกา | ขึ้นใส่ราชรัถาผายผัน |
ออกจากสมรภูมิ์ไพรวัน | รีบร้นพลขันธ์เข้ากรุงไกร |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๓๙๘๏ ครั้นถึงนัคเรศสู่นิเวศน์วัง | เข้ายังพระโรงทองผ่องใส |
นั่งเหนือแท่นแก้วแววไว | เสนาในนอบน้อมพร้อมพรัก |
จึ่งสั่งเปาวนาสูรเสนี | จงบอกสองมเหษีมีศักดิ |
อันองค์ทรงยศทศภักตร์ | พระยายักษ์สิ้นชีวันบรรไลย |
เราจะเชิญโฉมยงองค์สีดา | ไปเฝ้าพระจักราเปนใหญ่ |
ให้สองนางพาสนมกรมใน | ออกไปตามเสด็จกัลยา |
แล้วจัดแจงเกณฑ์แห่แตรสังข์ | ให้พร้อมพรั่งไพร่นายทั้งซ้ายขวา |
กับทั้งบุษบกแก้วแววฟ้า | ตรวจตราเตรียมกันให้ทันการ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๓๙๙๏ บัดนั้น | เสนาคำนับรับบรรหาร |
มาสั่งเวรเกณฑ์ตามพนักงาน | จัดการพร้อมไว้มิได้ช้า |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๔๐๐๏ แล้วเข้ามาที่ประตูหูช้าง | สั่งให้เหล่าท้าวนางออกมาหา |
จึ่งเล่าแถลงแจ้งกิจจา | ตามบัญชาพิเภกอสุรี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๔๐๑๏ บัดนั้น | ท้าวนางอกสั่นขวัญหนี |
ร้องไห้พลางทางรีบจรลี | ไปยังที่ปรางมาศปราสาทไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๒๔๐๒๏ เข้าในห้องทองเห็นสองนาง | กราบพลางทางสอึกสอื้นไห้ |
แล้วแจ้งความตามคำเสนาใน | ทูลองค์อรไทยเทวี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๔๐๓๏ เมื่อนั้น | นวลนางมณโฑโฉมศรี |
ทั้งนวลนางกาลอัคคี | รู้ว่าสามีมรณา |
สองกรข้อนทรวงกรรแสงไห้ | ดังใครมาตัดเอาเกษา |
ระทวยองค์ลงกับที่ไสยา | ฟูมฟายชลนาจาบัลย์ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
โอ้
๒๔๐๔๏ โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว | มาคลาศแคล้วบรรไลยไปสวรรค์ |
ดังเดือนดับลับแสงสุริยัน | นับวันนับเดือนจะเลื่อนลับ |
แต่ก่อนยกโยธาไปราวี | ไม่ช้านานปานนี้เสด็จกลับ |
น้องอยู่หลังตั้งใจจะคอยรับ | พระมาดับสูญสิ้นชนมา |
แสนสงสารปานนี้ภูวนารถ | บรรไลยไปอนาถอนาถา |
จากแสนสมบัติขัติยา | ข้างข้าบาทบริจาไม่เห็นใจ |
เสียแรงเลี้ยงเมียไว้ให้เปนศุข | เมื่อท้าวทุกข์หาได้แทนพระคุณไม่ |
ร่ำพลางทางทรงโศกาไลย | สลบไปไม่เปนสมประดี |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๒๔๐๕๏ บัดนั้น | ท้าวนางอกสั่นขวัญหนี |
ต่างคนเข้าประคองสองเทวี | โศกีอื้ออึงคนึงไป |
ร้องเรียกเหล่าสาวสนมกำนัล | ให้อยู่งานนวดฟั้นแก้ไข |
บ้างเชิญสุคนธามาลูบไล้ | อรไทยค่อยคืนฟื้นสมประดี |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา รัว
๒๔๐๖๏ เมื่อนั้น | ทั้งสององค์อัคเรศมเหษี |
กรรแสงทรงโศกาถึงสามี | ดังชีวีโฉมฉายจะวายปราณ |
แล้วแขงขืนกลืนกลั้นชลไนย | นางมิได้แต่งองค์ทรงสนาน |
ชวนเหล่าสาวสนมนงคราญ | ออกมาน่าพระลานทันที |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า
๒๔๐๗๏ เมื่อนั้น | จึ่งพระยาพิเภกยักษี |
เห็นสององค์อัคเรศเทวี | กับสนมนารีมาพร้อมกัน |
จึ่งให้บุตรนางสุวรรณกันยุมา | ขึ้นนั่งน่าบุษบกเฉิดฉัน |
อันวงษาอสุรินทร์สิ้นทั้งนั้น | จัดกันเปนคู่เคียงเรียงมา |
ให้สองมเหษีมียศ | อยู่ชั้นลดบุษบกทั้งซ้ายขวา |
พร้อมพรั่งตั้งกระบวนโยธา | เคลื่อนคลาออกจากวังใน |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๒๔๐๘๏ ครั้นถึงที่สวนอุทยาน | ให้หยุดพวกพลมารน้อยใหญ่ |
พากันลีลาคลาไคล | เข้าไปยังตำหนักนางสีดา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๔๐๙๏ ต่างถวายบังคมก้มเกล้า | หมอบเฝ้าโฉมยงอยู่ตรงหน้า |
จึ่งทูลแถลงแจ้งกิจจา | ตัวข้านี้น้องทศกรรฐ์ |
ชื่อพิเภกโหราเปนข้าบาท | พระนารายน์ธิราชรังสรรค์ |
บัดนี้พระองค์ทรงธรรม์ | สังหารทศกรรฐ์สิ้นชีวี |
ข้าจึ่งมาพาพวกประยูรยักษ์ | มาเฝ้าองค์นงลักษณ์มเหษี |
ขอเชิญเสด็จจรลี | ไปเฝ้าพระจักรีที่พลับพลา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๔๑๐๏ เมื่อนั้น | นวลนางสีดาเสนหา |
รู้ว่าพระยามารมรณา | กัลยาสมถวิลยินดี |
จึงเอื้อนโอษฐโอภาปราไส | ขอบใจพิเภกยักษี |
ซื่อตรงจงรักพระจักรี | ผู้ใดไม่มีเทียมทัน |
เราอยู่ในสวนศรีกับตรีชดา | ก็แสนสุดทรมาเพียงอาสัญ |
เช้าค่ำพร่ำแต่ปรับทุกข์กัน | ไม่เว้นวันเวลาโศกาไลย |
จนถึงสิบสี่ปีไม่มีศุข | ตั้งแต่ทุกข์แทบเลือดตาไหล |
บัดนี้สิ้นเคราะห์กรรมที่ทำไว้ | จะได้ไปเฝ้าพระหริรักษ์ |
ว่าพลางทางชวนตรีชดา | ลีลาเข้าไปในตำหนัก |
ผลัดภูษาชุบสรงทรงสพัก | นงลักษณ์สระสนานสำราญกาย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
ชมตลาด
๒๔๑๑๏ ทรงสุคนธ์ปนทองชมพูนุท | นางสุจิตราเอามาถวาย |
กรีดพระหัดถ์ผัดภักตร์พรรณราย | เบญกายกราบกรานอยู่งานพัด |
ภูษาสำหรับทรงบรรจงจีบ | จัดกลีบกรีดกรายปลายพระหัดถ์ |
สอิ้งแก้วกุดั่นกระสันรัด | คาดเข็มขัดประจำยามอร่ามตา |
ห่มสไบตาดทองรองซับ | สร้อยนวมสวมทับพระอังษา |
สังวาลแก้วโกมินจินดา | ตาบประดับทับอุรารูจี |
ทองกรซ้อนสวมข้อพระหัดถ์ | ประดับเพ็ชรพลอยจำรัสรัศมี |
ธำมรงค์ลงยาราชาวดี | ทรงศีโรเพศพรายพรรณ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๔๑๒๏ แล้วชวนอสุรีตรีชดา | กัลยาย่างเยื้องผายผัน |
พร้อมฝูงสุรางค์นางกำนัล | จรจรัลมายังเกยลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า
๒๔๑๓๏ บัดนั้น | พิเภกบังคมก้มเกษา |
จึ่งเชิญภัควดีสีดา | ทรงมหาบุษบกพรายพรัน |
บรรดานางอสุรีมียศ | อยู่ชั้นลดเรียบเรียงเคียงคั่น |
สังข์แตรแห่แหนแน่นนัน | ออกจากสวนขวัญทันที |
ฯ ๔ คำ ฯ กลองโยน
๒๔๑๔๏ เมื่อนั้น | นางสำมนักขายักษี |
รู้ว่าวงษาอสุรี | ไปเฝ้าพระจักรีที่พลับพลา |
ให้นึกกลัวด้วยตัวเปนต้นเหตุ | พระราเมศไม่อินังชังหนักหนา |
ครั้นมิไปไม่พ้นพระอาญา | เธอจะทาระกำทำประจาน |
จำจะออกไปเฝ้าด้วยเขามั่ง | จะได้ฟังผ่านฟ้าว่าขาน |
เผื่อจะหายกริ้วโกรธโปรดปราน | เปนแต่เพียงพนักงานก็สมคิด |
ดำริห์แล้วแต่งองค์ทรงเครื่อง | ย่างเยื้องยักไหล่ใส่จริต |
เดินดูตัวเองเพ่งพิศ | รำพึงคิดถึงพระรามมาตามทาง |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๒๔๑๕๏ ครั้นทันท้ายพลกระบวนแห่ | ค่อยเลียบเคียงเลี่ยงแลอยู่ห่างห่าง |
ก้มก้มเงยเงยเสยผมพลาง | ให้กลัวนางสีดานารี |
เข้าปนเหล่าสาวสรรค์กำนัลใน | จะพูดจากับใครเขาเมินหนี |
ยิ่งขวยเขินเดินสดุดปัถพี | อสุรีก้มหน้าคลาไคล |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๔๑๖๏ บัดนั้น | พิเภกผู้มีอัชฌาไศรย |
เร่งรีบรี้พลสกลไกร | เข้ามาใกล้กองทัพพลับพลา |
พอพระหริรักษ์จักรี | เสด็จออกเสนีอยู่ข้างน่า |
ให้หยุดทัพยับยั้งโยธา | แล้วทูลเชิญสีดานารี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๔๑๗๏ เมื่อนั้น | นวลนางสีดามารศรี |
ครั้นมาถึงพลับพลาพระสามี | เทวีนิ่งนึกตรึกตรา |
แม้นจะเข้าเฝ้าแหนเหมือนแต่ก่อน | ฉวยภูธรแหนงหน่ายก็อายหน้า |
จำจะเฝ้าอยู่เพียงน่าพลับพลา | จะบัญชาโปรดปรานประการใด |
คิดแล้วลงจากที่นั่งทรง | พร้อมฝูงอนงค์น้อยใหญ่ |
พิเภกนำเสด็จคลาไคล | เข้าไปเฝ้าพระอวตาร |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๒๔๑๘๏ ครั้นถึงจึ่งบังคมก้มเกล้า | หมอบเฝ้าผ่านฟ้าตรงน่าฉาน |
คอยสดับตรับรศพจมาน | จะออกโอษฐโปรดปรานประการใด |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๒๔๑๙๏ เมื่อนั้น | พระราเมศรัศมีศรีใส |
เห็นองค์สีดายาใจ | ภูวไนยสมถวิลยินดี |
พระพิศภักตร์อัคเรศรำพึงคิด | จะเรียกมาหาชิดก็ใช่ที่ |
ด้วยพลัดพรากจากไปเสียหลายปี | ถึงจะดีก็ไม่สิ้นนินทา |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๒๔๒๐๏ จำจะแกล้งแสร้งพูดประภาศพ้อ | ให้หายข้อพะวังกังขา |
ดำริห์พลางทางมีพจนา | ดูก่อนสีดาดวงใจ |
พี่สู้ทำสงครามข้ามสมุท | สัปรยุทธผลาญยักษ์ตักไษย |
แสนยากปิ้มชีวันจะบรรไลย | เพราะจะใคร่พบองค์นงคราญ |
เจ้าไปอยู่ลงกาธานี | เห็นจะมีความศุขเกษมสานต์ |
อันองค์เจ้าลงกาพระยามาร | โปรดประทานสิ่งใดให้เทวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๔๒๑๏ เมื่อนั้น | นวลนางสีดามารศรี |
ได้ฟังดังต้องสายสุนี | มิรู้ที่จะทูลให้เห็นจริง |
จึ่งบังคมก้มภักตร์พจนาดถ์ | อันข้าบาทยากเย็นเพราะเปนหญิง |
จะว่าไปไม่มีที่อ้างอิง | ใครจะเล็งเห็นจริงที่ในใจ |
เว้นแต่กองเพลิงกาลถ่านอัคคี | จะเปนที่พึ่งพาของข้าได้ |
ขอพระองค์จงสั่งให้กองไฟ | ที่ในน่าพลับพลาเวลานี้ |
ข้าจะตั้งความสัตย์อธิฐาน | สาบาลต่อเบื้องบทศรี |
แล้วจะลุยเข้าไปในอัคคี | ถ้าแม้นชั่วชีวีจงวายปราณ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๔๒๒๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน |
ได้ฟังโฉมยงนงคราญ | เบิกบานชื่นชมสมคิด |
จึ่งว่าพี่นี้ก็รู้แล้ว | ว่าน้องแก้วซื่อสัตย์สุจริต |
แต่ตกไปในมือปัจจามิตร | ที่ไม่เล็งเห็นจิตรจะนินทา |
ซึ่งเจ้าจะลุยไฟไว้ยศ | ให้ปรากฎก็ตามปราถนา |
พระตรัสพลางทางสั่งเสนา | ให้กองเพลิงตรงน่าพลับพลาไชย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๔๒๓๏ บัดนั้น | ท้าวพระยาวานรน้อยใหญ่ |
รับสั่งบังคมภูวไนย | ทั้งนายไพร่อลหม่านเปนการรุม |
บ้างขุดรางไฟใหญ่กว้าง | เอาฟืนตองกองวางซ้อนสุม |
บ้างหาเชื้อไฟใส่ประชุม | ควันคลุ้มกลุ้มกลบในนภา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๔๒๔๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
จึ่งตรัสกับโฉมยงองค์สีดา | ซึ่งแก้วตาจะลุยเพลิงกาล |
พี่จะช่วยผาดแผลงแสงศิลป์ | ให้เทวามาสิ้นทุกสถาน |
ประชุมกันวันนี้ที่พระลาน | จะได้เห็นเปนพยานอรไทย |
ว่าแล้วลุกลงจากพลับพลา | ขึ้นศรศักดาแผ่นดินไหว |
น้าวสายทรงลั่นทันใด | เสียงสท้านทั้งไตรโลกา |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
ยานี
๒๔๒๕๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงตรีเนตรเจ้าไตรตรึงษา |
สถิตย์นั่งเหนือแท่นแผ่นศิลา | เทวานางสวรรค์อัญชลี |
พอได้ยินสำเนียงเสียงสนั่น | ไหวหวั่นฟากฟ้าราษี |
จึ่งเล็งทิพเนตรดูรู้คดี | ว่าสีดานารีจะลุยไฟ |
พระนารายน์จึ่งแผลงแสงศร | มาถึงเทพนิกรน้อยใหญ่ |
จำจะพาเทวาสุราไลย | ลงไปเฝ้าพระอวตาร |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๒๔๒๖๏ คิดแล้วแต่งองค์ทรงเครื่อง | อร่ามเรืองพรรณรายฉายฉาน |
ชวนฝูงเทเวศร์บริวาร | จากวิมานเมืองฟ้าลงมาดิน |
ฯ ๒ คำ ฯ เหาะ
๒๔๒๗๏ ครั้นถึงที่ประทับพลับพลา | ลงสู่พื้นพสุธาทั้งสิ้น |
พร้อมพรั่งนั่งแน่นเนินคิริน | องค์พระอินทร์อยู่น่าสุรารักษ์ |
วานรในกองทัพพลับพลา | เฝ้าฝ่ายเบื้องขวาพระทรงศักดิ |
เบื้องซ้ายฝ่ายพิเภกพวกยักษ์ | คอยดูองค์นงลักษณ์จะลุยไฟ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๔๒๘๏ เมื่อนั้น | นางสีดานารีศรีใส |
ครั้นเห็นองค์อินทราสุราไลย | อรไทยชื่นชมสมคิด |
จึ่งบังคมสมเด็จพระอวตาร | เยาวมาลย์ตั้งสัตย์สุจริต |
ขอเดชะพระเพลิงเริงฤทธิ์ | ย่อมศักดิสิทธิ์ไม่ลำเอียงเที่ยงธรรม์ |
ถ้าแม้นว่าข้านึกแหนงหน่าย | ต่อองค์พระนารายน์รังสรรค์ |
ไปรักใคร่ในท้าวทศกรรฐ์ | จนชั้นชายอื่นทั้งโลกา |
ขอจงเพลิงกาลผลาญชีวิตร | ให้ม้วยมิดชีวังสังขาร์ |
แม้นข้าซื่อสัตย์ต่อภัศดา | ขออย่าให้มีราคีพาน |
เสี่ยงแล้วทูลลาพระสามี | จรลีลุกมายังน่าฉาน |
โจงจัดภูษาทรงนงคราญ | แล้วลุยไปในถ่านอัคคี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๒๔๒๙๏ บันดาลเปนโกสุมประทุมทอง | ขึ้นรับรองบาทามารศรี |
เปลวไฟไม่ต้องนางเทวี | จรลีไปบนบุษบัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๔๓๐๏ เมื่อนั้น | สหัสไนยไตรตรึงษาสวรรค์ |
สาวสุรางค์นางฟ้าเทวัญ | พวกกุมภัณฑ์ท้าวพระยาวานร |
เห็นโฉมยงองค์ภัควดี | เปลวอัคคีไม่รคายสายสมร |
ต่างถวายบังคมประนมกร | อำนวยอวยพรกัลยา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๔๓๑๏ เมื่อนั้น | นวลนางสีดาเสนหา |
จึ่งออกจากรางไฟมิได้ช้า | ไปเฝ้าพระภัศดาสามี |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๒๔๓๒๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์เรืองศรี |
เห็นนางสีดานารี | ลุยอัคคีไม่พองเท่ายองใย |
พระชื่นชมสมจิตรคิดถวิล | มิได้มีมลทินสิ้นสงไสย |
มากุมกรกัลยาคลาไคล | ขึ้นไปบนสุวรรณพลับพลา |
ฯ ๔ คำ ฯ เมอ
๒๔๓๓๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวเจ้าไตรตรึงษา |
เห็นพระจักรีกับสีดา | ไม่มีความกังขาราคี |
จึ่งอำนวยอวยพรภูลสวัสดิ | ให้กระษัตริย์ทั้งสองจำเริญศรี |
แล้วอำลาพากันจรลี | เหาะไปสู่ที่พิมานไชย |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๔๓๔๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
ครั้นฝูงเทพเทวาลาไป | เสนาในเฝ้าแหนอยู่แน่นนัน |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งสุครีพ | เราจะรีบกลับคืนไปเขตรขัณฑ์ |
ด้วยแรกจากเมืองมาถึงอารัญ | ได้นัดกันกับสองพระน้องยา |
บัดนี้ก็จวนถ้วนกำหนด | พระพรตจะลห้อยคอยหา |
ท่านจงเร่งรัดจัดโยธา | จะยกไปในเวลาพรุ่งนี้ |
แล้วตรัสสั่งพิเภกกุมภัณฑ์ | จงจัดสรรเสนายักษี |
ที่ซื่อตรงจงรักภักดี | ให้ไปอยู่บูรีลงกา |
แต่ตัวท่านนั้นไปกับเราก่อน | แล้วจึ่งคืนมานครของยักษา |
ตรัสพลางทางชวนนางสีดา | เสด็จเข้าพลับพลาในราตรี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
๒๔๓๕๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์ปัจฐรณ์ | กับบังอรองค์พระมเหษี |
หยอกเย้าแย้มสรวลยวนยี | ประโลมนางทางมีพจนา |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชาตรี
๒๔๓๖๏ น้องเอยน้องแก้ว | เหมือนม้วยแล้วกลับเปนมาเห็นหน้า |
เมื่อพลัดพรากจากเจ้าที่โคธา | พี่โศกาปิ้มชีวันจะบรรไลย |
กับพระน้องสองคนเที่ยวด้นดั้น | โศกศัลย์เสาะหาในป่าใหญ่ |
พบพระยาสดายุจึ่งแจ้งใจ | แล้วก็ได้ธำมรงค์ของนงนุช |
จึ่งตามหามาถึงเมืองขีดขิน | ได้โยธาพานรินทร์นับสมุท |
ก็ยกทัพขับพลรีบรุด | มายงยุทธยักษ์ร้ายวายชีวิตร |
จึ่งได้เจ้าเยาวมาลย์มาร่วมห้อง | ที่ขุ่นข้องค่อยคลายสบายจิตร |
ว่าพลางอิงแอบแนบชิด | จุมพิตภักตร์น้องตระกองกร |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๔๓๗๏ เมื่อนั้น | นวลนางสีดาดวงสมร |
ระทวยทับกับตักพระภูธร | บังอรวอนว่าพาที |
เพราะน้องรักรบให้ไปตามกวาง | จึ่งต้องร้างแรมป่าพนาศรี |
ตกไปอยู่ลงกาธานี | ทุกทิวาราตรีตรอมใจ |
จะผูกสอเสียให้ตายวายปราณ | หากคำแหงหณุมานไปช่วยได้ |
ไม่ม้วยมอดชีวันบรรไลย | เพราะพระภูวไนยเมตตา |
อันคุณของพระองค์ทรงเดช | ดังบิตุเรศเกิดเกล้าเกษา |
จะขอสืบสนองรองบาทา | ไปกว่าชีวันจะบรรไลย |
ฯ ๘ คำ ฯ
โอ้โลม
๒๔๓๘๏ ดวงเอยดวงสมร | ที่จะถือโทษกรก็หาไม่ |
หากถึงยุคเข็ญจึ่งเปนไป | ต้องในที่เราอวตาร |
ครั้งนี้สัตบาปก็ราบแล้ว | จะผ่องแผ้วผาศุกทุกสถาน |
ทั้งพี่กับโฉมยงนงคราญ | จะสำราญเริงรื่นทุกคืนวัน |
ว่าพลางทางประโลมลูบต้อง | ค่อยประคองเคียงชมภิรมย์ขวัญ |
ถ้อยทีประดิพัทธผูกพัน | เกษมสันต์สมถวิลยินดี |
อัศจรรย์บันดาลเดือนพยับ | ชอุ่มอับเวหาทุกราษี |
ภุชงค์ลงเล่นโบกขรณี | ผุดพ่นชลธีบรรเทิงใจ |
สองภิรมย์สมสนิทพิศวาศ | ไม่คลายคลาศเชยชิดพิศมัย |
คลึงเคล้าเย้าหยอกอรไทย | จนหลับไปในราษราตรี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ กล่อม
ร่าย
๒๔๓๙๏ บัดนั้น | พระยาสุครีพกระบี่ศรี |
ครั้นรุ่งรีบรัดจัดโยธี | ตามที่พยุหบาตรยาตรา |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๒๔๔๐๏ พลชมภูหมู่กระบี่ไพร่นาย | ให้เข้ากองน้องนารายน์เปนทัพน่า |
ทัพหลวงขีดขินนัครา | เปนหมู่หมวดตรวจตราพลไกร |
พิเภกคุมภุมภัณฑ์เปนทัพหลัง | พร้อมพรั่งทวยหาญชาญสมร |
บรรดาเหล่าโยธาพานร | บ้างแบกคอนผลหมากรากไม้ |
บ้างหิ้วเครื่องแต่งกายตะพายย่าม | เข้าของหาบหามไปตามได้ |
แล้วเตรียมบุษบกแก้วแววไว | มาเรียงเรียบเทียบไว้กับเกยลา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๒๔๔๑๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
บรรธมตื่นจากที่ศรีไสยา | พอเวลาสุริโยอโนไทย |
จึ่งตรัสชวนโฉมยงนงลักษณ์ | องค์ภัควดีศรีใส |
ทั้งพระลักษณ์อนุชายาใจ | เสด็จไปโสรจสรงคงคา |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
โทน
๒๔๔๒๏ น้ำอบสำอางอาบซาบสกนธ์ | ทรงสุคนธ์ปนปรุงกฤษณา |
พระทรงภูษิตสวรรค์ชั้นฟ้า | นางนุ่งผ้าทิพย์ท้าวมัฆวาน |
พระสอดใส่ฉลององค์โอภาษ | นางห่มตาดพรรณรายฉายฉาน |
พระทรงปั้นเหน่งแก้วสุรการ | นางคาดเข็มขัดประสานสายทอง |
พระใส่ตาบประดับทับทรวงทรง | นางสอดสายสอิ้งองค์โอบขนอง |
พระสวมใส่พาหุรัดเรืองรอง | นางทรงทองกรแก้วแววไว |
พระใส่ธำมรงค์รัตน์ตรัจเตร็จ | นางทรงแหวนรังแตนเพ็ชรแสงใส |
พระทรงมงกุฎแก้วเจียรไน | นางใส่ศิโรเพศเจษฎา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๔๔๓๏ ครั้นเสร็จเสด็จจรลี | มายังเกยมณีที่ข้างน่า |
ขึ้นทรงบุษบกแก้วแววฟ้า | กับองค์อรรคชายาลาวรรณ |
พระลักษณ์ทรงรถทองของมัฆวาน | ให้ยกโยธาหาญผายผัน |
สังข์แตรแห่แหนแน่นนัน | ขับกันข้ามถนนชลธี |
ฯ ๔ คำ ฯ กราวนอก เชิด
ช้า
๒๔๔๔๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงประไลยกัลป์ยักษี |
เปนโอรสทศเศียรอสุรี | นางอัคคีนงคราญมารดา |
เรืองเดชเดชาสามารถ | ฤทธิรงค์องอาจแกล้วกล้า |
เจ้าพิภพภุชงค์องค์ไอยกา | ขอมาเลี้ยงไว้ในบาดาล |
พระยานาคนั้นตั้งพิธี | ให้ชุบแช่อินทรีย์ด้วยน้ำว่าน |
ถึงเจ็ดเดือนเจ็ดปีทิวาวาร | จึ่งเสร็จการสมหวังดังใจ |
อันองค์กุมภัณฑ์แต่นั้นมา | ใครจับกุมกายาหาอยู่ไม่ |
ยิ่งอิ่มเอิบกำเริบฤทธิไกร | ไม่ย่อท้อต่อใครทั้งโลกา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๔๔๕๏ คิดจะใคร่ไปเฝ้าพระปิตุเรศ | ชนนีเกิดเกษเกษา |
ทูลลาพระยานาคให้ไคลคลา | อสุราสมถวิลยินดี |
จึ่งแต่งองค์ทรงเครื่องเรืองรอง | ออกจากปราสาททองผ่องศรี |
ผาดแผลงสำแดงฤทธี | แทรกพื้นปัถพีขึ้นมา |
ฯ ๔ คำ ฯ พิราพรอน กราว
๒๔๔๖๏ ครั้นถึงลงกาอาณาจักร | ขุนยักษ์ปลาดจิตรคิดกังขา |
เห็นเรือนร้านบานริมรัถยา | โรยร้างบางตาทุกแห่งไป |
สารพัดสงัดเงียบเยียบเย็น | ฤๅบ้านเมืองเคืองเข็ญเปนไฉน |
คิดแล้วลีลาคลาไคล | ตรงไปตำหนักชนนี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๔๔๗๏ เมื่อนั้น | นางกาลอัคคีโฉมศรี |
เนาในไพชนต์มนฑีร์ | แลเห็นองค์อสุรีโอรส |
ไปกุมกรลูกยามานั่ง | บนสุวรรณบัลลังก์อลงกฎ |
สร้วมกอดประไลยกัลป์รันทด | ทรงกำสรดโศกาอาไลย |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๒๔๔๘๏ เมื่อนั้น | ประไลยกัลป์หลากจิตรคิดสงไสย |
บังคมพลางทางทูลไปทันใด | เหตุไฉนจึ่งทรงโศกา |
แล้วถามถึงองค์บิตุเรศ | มงกุฎเกษพิภพนาถา |
เสด็จอยู่แห่งใดพระมารดา | ลูกยาจะไปเฝ้าพระภูมื |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๔๔๙๏ เมื่อนั้น | นางอัคคีขุ่นข้องหมองศรี |
เช็ดชลนานางพลางพาที | เทวีเล่าแถลงแจ้งเหตุการณ์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้
๒๔๕๐๏ โอ้ว่าประไลยกัลป์ลูกแก้ว | เปนกรรมของเราแล้วมาตามผลาญ |
ด้วยมนุษย์ลิงไพรใจพาล | มารุกรานรณรงค์ถึงลงกา |
ฆ่าพระบิตุเรศเจ้าม้วยมิด | สิ้นสุดสุริวงษ์พงษา |
เหลือแต่พิเภกผู้เปนอาว์ | ไปเปนข้าเข้าด้วยไพรี |
นางเล่าแต่ต้นไปจนปลาย | บรรยายให้ฟังถ้วนถี่ |
ถ้าแม้นลูกยาอยู่ธานี | น่าที่จะม้วยไปด้วยกัน |
บัดนี้มนุษย์ทั้งสองรา | พึ่งยกโยธาทัพขันธ์ |
ไปจากเวียงไชยได้สามวัน | นางรำพรรณบอกพลางทางโศกา |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๒๔๕๑๏ เมื่อนั้น | ประไลยกัลป์ตกใจเปนหนักหนา |
ได้ฟังดังจะม้วยมรณา | อสุราครวญคร่ำร่ำรัก |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้
๒๔๕๒๏ โอ้พระองค์ทรงฤทธิ์บิตุเรศ | เรืองเดชปราบได้ทั้งไตรจักร |
ควรฤๅแพ้สงครามแก่รามลักษณ์ | สุริวงษ์พงษ์ยักษ์ก็ม้วยมิด |
เมื่อแรกไพรีมาตีเมือง | ไม่รู้ข่าวราวเรื่องสักหนิด |
เสียแรงชุบกายาวราฤทธิ์ | ก็ตั้งจิตรคิดว่าจะยงยุทธ |
ถึงกระไรได้รู้แต่เดิมมา | จะอาสารบรับสัปรยุทธ |
มิได้เกรงฤทธามานุษย์ | แม้นสิ้นสุดชีวาไม่อาไลย |
นี่อกเอ๋ยคิดมาก็น่าแค้น | จะทันแทนพระคุณก็หาไม่ |
ร่ำพลางทางทรงโศกาไลย | สอึกสอื้นไห้ไปมา |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
ร่าย
๒๔๕๓๏ ครั้นวายคลายความโศกี | จึ่งทูลพระชนนีเสนหา |
ลูกรักจักถวายบังคมลา | ตามไปเข่นฆ่าปัจจามิตร |
อาวุธสิ่งไรของบิตุรงค์ | สำหรับทรงถืออยู่เปนคู่จิตร |
จงโปรดให้ไปเปนเพื่อนชีวิตร | จะได้คิดติดตามไพรื |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๔๕๔๏ เมื่อนั้น | นางกาลอัคคีโฉมศรี |
ได้ฟังลูกยาพาที | เทวีตรัสห้ามปรามไป |
อันองค์พระราชบิดร | ฤทธิรอนไม่มีที่เปรียบได้ |
กุมภกรรฐ์อาว์เจ้าก็บรรไลย | อินทรชิตฤทธิไกรก็มรณา |
ทั้งสุริวงษ์พงษ์พันธุ์แลสหาย | ม้วยมอดวอดวายเสียหนักหนา |
ซึ่งจะไปติดตามพระรามา | แต่ลูกยาผู้เดียวเปลี่ยวใจ |
แม่นี้หวาดหวั่นพรั่นนัก | จะโมโหโหมหักเห็นไม่ได้ |
ฟังคำแม่ว่าอย่าไป | ดวงใจจงอยู่ด้วยชนนี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๔๕๕๏ เมื่อนั้น | ประไลยกัลป์สิทธิศักดิยักษี |
ได้ฟังคั่งแค้นแสนทวี | อสุรีฮึดฮัดขัดใจ |
มนุษย์มาฆ่ายักษ์เสียสิ้นโคตร | จะห้ามมิให้โกรธกะไรได้ |
สุดแต่เวรกรรมที่ทำไว้ | จะตามไปแก้แค้นแทนทด |
ถึงมาทแม้นบรรไลยก็ไม่คิด | จะสู้เสียชีวิตรปลิดปลด |
ลูกจะขอชิงไชยไว้ยศ | ให้ปรากฎเกียรดิไว้ในธาตรี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๔๕๖๏ เมื่อนั้น | นางกาลอัคคีโฉมศรี |
ได้ฟังวาจาพาที | สุดที่จะขืนขัดทัดทาน |
จึ่งหยิบเอาพระแสงศรไชย | มายื่นให้ลูกยาแล้วว่าขาน |
ศรนี้ของบรมพรหมมาน | โปรดประทานบิตุรงค์ทรงฤทธิ์ |
ขวัญเข้าเจ้าจงเอาไปถือ | สำหรับมือรบสู้เปนคู่จิตร |
อันมนุษย์ลิงป่าปัจจามิตร | จงแพ้ฤทธิ์ลูกน้อยกลอยใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๒๔๕๗๏ เมื่อนั้น | ประไลยกัลป์ยินดีจะมืไหน |
รับคำรับพรทันใด | แล้วหยิบศรไชยมาฉับพลัน |
ให้เคืองจิตรคิดแค้นพระรามา | จึ่งอำลาชนนีขมีขมัน |
ลงจากปราสาทแก้วแพรวพรัน | จะตามไปให้ทันไพรี |
ครั้นออกนอกลงกาอาณาเขตร | สำแดงเดชสิทธิศักดิยักษี |
เสียงสเทื้อนเลื่อนลั่นปัถพี | อสุรีรีบไปในอรัญ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
ช้า
๒๔๕๘๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์องค์นารายน์รังสรรค์ |
ประทับรอนแรมป่าพนาวัน | อยู่ยังเหมติรันบรรพต |
เสด็จออกหน้าสุวรรณพลับพลา | โยธาพร้อมพรั่งทั้งหมด |
เฝ้าแหนแน่นนันเปนหลั่นลด | ต่างประนตประนมบังคมคัล |
ทรงสดับสำเนียงเสียงกึกก้อง | สเทื้อนท้องพงไพรไหวหวั่น |
จึ่งตรัสถามพิเภกกุมภัณฑ์ | เสียงสเทื้อนเลื่อนลั่นด้วยอันใด |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๒๔๕๙๏ บัดนั้น | พิเภกผู้มีอัชฌาไศรย |
พิเคราะห์ดูรู้แจ้งประจักษ์ใจ | บังคมไหว้แล้วทูลไปทันที |
เหตุนี้ด้วยลูกเจ้าลงกา | ชื่อว่าประไลยกัลป์ยักษี |
ขึ้นมาจากภาราวาสุกรี | อสุรีรุ่งเรืองฤทธิไกร |
ตัวลื่นดังชโลมโซมน้ำมัน | ใครจับกายกุมภัณฑ์หาอยู่ไม่ |
มันรู้ว่าทศกรรฐ์บรรไลย | แค้นใจตามมาจะราวี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๔๖๐๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี |
ฟังพิเภกแถลงแจ้งคดี | จึ่งสั่งศรีหณุมานชาญไชย |
ท่านจงไปรอนราญหาญหัก | โอรสทศภักตร์ให้ตักไษย |
แล้วอวยพรวายุบุตรวุฒิไกร | จงมีไชยชนะอสุรี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๔๖๑๏ บัดนั้น | คำแหงหณุมานชาญไชยศรี |
คำนับรับพรพระจักรี | ขุนกระบี่บังคมก้มกราน |
แล้วคลานหลีกข้าเฝ้าเหล่าเสนา | ออกไปลับพลับพลาน่าฉาน |
สำแดงฤทธิไกรไชยชาญ | เหาะระเห็จเตร็จทยานรีบมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๔๖๒๏ ครั้นถึงกึ่งทางกลางดง | คลาศคล้อยลอยลงจากเวหา |
เห็นบึงใหญ่ใกล้ริมมรคา | จึ่งเข้ามายืนคิดพินิจดู |
อย่าเลยจะจำแลงแปลงกาย | เปนควายติดตมจมปลักอยู่ |
ลวงให้ประไลยกัลป์มันยกดู | จนอ่อนหูสิ้นกำลังวังชา |
จึ่งจะเข้าสังหารผลาญอสุรินทร์ | ให้สุดสิ้นชีวังสังขาร์ |
คิดพลางทางนิมิตรด้วยฤทธา | เปลี่ยนแปลงกายาทันใด |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๒๔๖๓๏ เดชะเวทเพศลิงกลับเปนควาย | ลงปลักกายตรากตรึงในบึงใหญ่ |
กระดิกหูชูจมูกหายใจ | มิได้ไหวติงอินทรีย์ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๔๖๔๏ เมื่อนั้น | ประไลยกัลป์สิทธิศักดิยักษี |
ตามรอยวานรโยธี | ดั้นดงพงพีรีบมา |
ถึงหนองน้ำกลางป่าพนาไลย | แลไปพอเห็นมหิงษา |
ไม่แจ้งว่ารูปนิมิตรฤทธา | อสุราจึ่งร้องถามไป |
เหวยไอ้ควายป่าพนาดร | เห็นมนุษย์วานรมั่งฤๅไม่ |
มันพากันลัดแลงไปแห่งใด | จงบอกให้แจ้งประจักษ์อย่ายักเยื้อง |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๔๖๕๏ เมื่อนั้น | มหิงษากาสรนอนเคี้ยวเอื้อง |
จึ่งว่าเราทรมานรำคาญเคือง | ตกเหมืองอดหญ้าอยู่ห้าวัน |
เอนดูด้วยช่วยยกข้าขึ้นก่อน | แต่พอให้ทุกข์ร้อนค่อยผ่อนผัน |
จึ่งจะบอกให้ตามพระรามนั้น | ไม่เสียที่คำมั่นสัญญาไว้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๔๖๖๏ เมื่อนั้น | ประไลยกัลป์ไม่พะวงสงไสย |
พลางร้องตอบว่าอย่าร้อนใจ | จะช่วยให้เองพ้นเวทนา |
ว่าพลางเฟดผ้าขึ้นพันชงฆ์ | เหน็บกระสั่นมั่นคงทั้งซ้ายขวา |
ลงในแปลงปลักทำศักดา | เข้ายกมหิงษาด้วยฤทธี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๔๖๗๏ แต่ปล้ำปลุกคลุกคลีจนอ่อนใจ | ก็ไม่ไหวเขยื้อนเคลื่อนจากที่ |
เหนื่อยเหน็ดเปนพ้นพันทวี | อสุรียืนยั้งรั้งรา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๔๖๘๏ เมื่อนั้น | คำแหงหณุมานมหิงษา |
เห็นยักษีอ่อนจิตรระอิดระอา | ออกมาหยุดหย่อนผ่อนหายใจ |
จึ่งเสแสร้งแกล้งว่าไปทันที | แต่ยกเราเท่านี้ก็ไม่ไหว |
เสียแรงอสุรีมีฤทธิไกร | มาท้อใจทำขยั้นพรั่นพรึง |
อย่าทอดทิ้งให้บรรไลยได้เมตตา | จงยกข้าลองกำลังอิกครั้งหนึ่ง |
ตัวข้าแสนลำบากตรากตรึง | หมายจะพึ่งผู้ใดนั้นไม่มี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๔๖๙๏ เมื่อนั้น | ประไลยกัลป์สิทธิศักดิยักษี |
ได้ฟังควายว่าก็ปรานี | อสุรีถาโถมทยานมา |
แขงข้อขบฟันมั่นหมาย | ยอกายลงยกมหิงษา |
บ่าแบกด้วยกำลังวังชา | ก็เขยื้อนเคลื่อนคลาขึ้นทันที |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด รัว
๒๔๗๐๏ เมื่อนั้น | มหิงษาวายุบุตรกระบี่ศรี |
ขึ้นยังพ่างพื้นปัถพี | ท่าทีกิริยาร่าเริง |
เอียงเขาเข้าลับกับแผ่นผา | แหงนหน้าชแง้แลเบิ่ง |
ขวิดเฟื่องลำพองลองเชิง | วิ่งระเหิดระเหิงไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ คุกภาษ
๒๔๗๑๏ เมื่อนั้น | ประไลยกัลป์สำรวลสรวลร่า |
แล้วว่าเหวยไอ้มหิงษ์อย่านิ่งช้า | จงแจ้งความตามสัญญากับกูไว้ |
อันมนุษย์สองรากับวานร | ดั้นดัดดงดอนไปทางไหน |
มันดูหมิ่นถิ่นแคลนกูแค้นใจ | จะตามไปรณรงค์สงคราม |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๔๗๒๏ เมื่อนั้น | กาษรเสแสร้งแกล้งทำห้าม |
เราจะช่วยชี้แจงให้แจ้งความ | ท่านอย่าคิดติดตามไปต่อยุทธ |
พระรามคือนารายน์แบ่งภาค | มาจากวารินกระษิรสมุท |
จะล้างเหล่าประจามิตรคิดประทุษฐ | ให้สิ้นสุดอสุราทารุณ |
เราห้ามโดยดีแม้นมิฟัง | จะโมโหโอหังหันหุน |
ไม่ว่าเล่นเห็นจะป่นเปนจุณ | ช่วยบอกให้เอาบุญดอกขุนมาร |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๔๗๓๏ เมื่อนั้น | ประไลยกัลป์ฤทธิไกรใจหาญ |
จึ่งว่ามึงอย่ามาทัดทาน | กลการอะไรไอ้กระบือ |
ยกย่องสองมนุษย์สุดใจ | กูไม่งวยงงหลงนับถือ |
พระนารายน์นั้นมีสี่มือ | น้ำหน้ามึงนี้ฤๅจะพบพาน |
ตัวกูฤทธิรงค์องอาจ | ไม่เหมือนไอ้ขี้ขลาดชาติเดียรฉาน |
อันมนุษย์ลิงป่าสาธารณ์ | จะตามไปสังหารให้วอดวาย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๔๗๔๏ เมื่อนั้น | มหิงษาว่ามึงดึงใจหาย |
จะขืนไปรบรับกับนารายน์ | อย่าหมายว่าจะรอดชีวี |
มึงเหมือนโคถึงมฤคา | จะต่อฤทธิ์พระยาราชสีห์ |
เมื่อมีความเมตตาปรานี | จะช่วยว่าให้ดีก็มิเอา |
กระนั้นลองมาสู้กับกูก่อน | จะราญรอนรับรองด้วยสองเขา |
ถ้ายักษีมีไชยชนะเรา | อ่อเจ้าจึ่งตามพระรามไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๔๗๕๏ เมื่อนั้น | ประไลยกัลป์กริ้วโกรธดังเพลิงไหม้ |
แผดผาดตวาดร้องก้องไพร | เหม่ไอ้โว้เว้เฉโก |
ทุจริตคิดอักตัญญู | บุญคุณของกูอยู่อโข |
ช่วยยกขึ้นรอดตายไอ้ควายโซ | กลับโยโสเย่อหยิ่งจะชิงไชย |
เปนไรมีดีแล้วมาลองฤทธิ์ | กูจะผลาญชีวิตรให้ตักไษย |
ว่าแล้วโลดโผนโจนไป | เข้ารุกไล่จับมหิงษ์เปนสิงคลี |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๒๔๗๖๏ เมื่อนั้น | มหิงษาวายุบุตรไม่ถอยหนี |
ยืนยันประจันหน้าราวี | หันรีหันขวางอยู่กลางแปลง |
ก่งฅอย่อท้ายส่ายเขา | โถมเข้าด้วยศักดากล้าแขง |
กระชั้นชิดขวิดเสี่ยวเรี่ยวแรง | เหวี่ยงสบัดวัดแว้งวุ่นไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๔๗๗๏ เมื่อนั้น | ประไลยกัลป์กริ้วโกรธโลดไล่ |
โจนจับสัปรยุทธว่องไว | หมายใจประหารราญรอน |
มือซ้ายง้างเขามหิงษา | มือขวาง่าเงื้อธนูศร |
หวดซ้ายป่ายขวาตลุมบอน | ราญรอนไล่รุกบุกบัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๔๗๘๏ เมื่อนั้น | ควายนิมิตรฤทธิแรงแขงขัน |
ไม่หลีกหลบรบชิดติดพัน | เหียนหันเสี่ยวสู้อสุรี |
สองเขาขวิดไขว่ไวว่อง | กลอกกลับรับรองยักษี |
ทางทำปลกเปลี้ยเสียที | วิ่งหนีอสุราเข้าป่าไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๔๗๙๏ เลี้ยวลัดพุ่มไม้ไพรกว้าง | ถึงต้นทางที่เนินเขาใหญ่ |
จึ่งแปลงกายกลายเพศเปนลิงไพร | ขึ้นอาไศรยบนชง่อนก้อนศิลา |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๒๔๘๐๏ เมื่อนั้น | ประไลยกัลป์สิทธิศักดิยักษา |
เลี้ยวไล่ควายเถ้าด้วยโกรธา | ดั้นดัดลัดป่าพนาดร |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๔๘๑๏ ครั้นถึงหว่างเวิ้งเชิงภูผา | พอสิ้นรอยบาทากาษร |
ผันแปรแลเห็นวานร | อยู่ยังชง่อนเงื้อมคิรี |
จึ่งร้องถามไปพลันทันใด | เหวยไอ้ลิงป่าพนาศรี |
ไอ้มหิงษวิ่งวางมาทางนี้ | เองอยู่นี่เห็นบ้างฤๅอย่างไร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๔๘๒๏ เมื่อนั้น | ลิงจำแลงแกล้งย้อนถามไถ่ |
ขุนยักษ์จักประสงค์สิ่งใด | จึ่งเลี้ยวไล่มหิงษ์วิ่งวางมา |
น่าจะมีเหตุบ้างสักอย่างหนึ่ง | เห็นพิโรธโกรธขึ้งหนักหนา |
ท่านจงแถลงแจ้งกิจจา | เราจึ่งจะว่าให้เข้าใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๔๘๓๏ เมื่อนั้น | ประไลยกัลป์บอกแจ้งแถลงไข |
ไอ้ควายเถ้าเขากางที่กลางไพร | มันตกปลักอยู่ในเลนฦก |
กูช่วยยกขึ้นได้จึ่งไต่ถาม | ถึงลักษณ์รามลิงป่าข้าศึก |
มันกลับพูดทัดทานหาญฮึก | โถมสอึกเสี่ยวสู้เอากูนี้ |
แค้นนักจักฆ่าให้มอดม้วย | ต่อด้วยไอ้มหิงษ์ก็วิ่งหนี |
จึ่งไล่ติดตามมาจะฆ่าตี | ให้สมที่มันเข้าข้างรามลักษณ์ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๔๘๔๏ เมื่อนั้น | ลิงจำแลงแกล้งพูดแหลมหลัก |
เองนี่เจ้าโมโหโง่เง่านัก | ไม่รู้จักคุณกระบือกลับดื้อดึง |
อันพระพี่น้องทั้งสองศรี | ฤทธิไกรไม่มีใครเทียมถึง |
โดยกูคิดเห็นเหมือนเช่นมึง | ดังหนึ่งแมงเม่าไปเข้าไฟ |
กูเปนแต่ลิงป่าพนาสัณฑ์ | จะสู้กันกับเองก็พอได้ |
แม้นมึงรักมรณามาชิงไชย | อย่าพักไปให้ถึงพระรามา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๔๘๕๏ เมื่อนั้น | ประไลยกัลป์สิทธศักดิยักษา |
ยิ่งพิโรธโกรธกระทืบบาทา | เหม่ไอ้ลิงป่าสาธารณ์ |
มึงกลับนับถือกระบือเถ้า | พูดเข้ากันตามเดียรฉาน |
ว่าพลางเผ่นโผนโจนทยาน | ขุนมารโลดไล่วานร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๔๘๖๏ เมื่อนั้น | พานรินทร์ปลิ้นปลอกหลอกหลอน |
รบรับจับกุมตลุมบอน | ประจัญบานราญรอนอสุรี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๔๘๗๏ เมื่อนั้น | ประไลยกัลป์กริ้วโกรธกระบี่ศรี |
ไล่รุกบุกบันโบยตี | ถ้อยทีหนีไล่กันไปมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๔๘๘๏ เมื่อนั้น | ลิงเล็กหลอกหลอนกลอกหน้า |
แล้วกลับแกล้งแปลงกายกายา | เปนวายุบุตรวุฒิไกร |
ชี้หน้าว่าเหวยไอ้กุมภัณฑ์ | มึงนี้ชีวันจะตักไษย |
ช่างโง่เง่าเฉาโฉดทุกอย่างไป | รู้ตัวฤๅไม่อสุรี |
เราฤๅคือคำแหงหณุมาน | เปนทหารพระนารายน์เรืองศรี |
จะห้ำหั่นบั่นเศียรเสียบัดนี้ | ให้ชีวีอาสัญบรรไลย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๔๘๙๏ เมื่อนั้น | ประไลยกัลป์ครั้นเห็นลิงใหญ่ |
โกรธกระทืบบาทาแล้วว่าไป | เหวยไอ้พานรินทร์ดูหมิ่นยักษ์ |
กูคิดว่าลิงไพรจึ่งไต่ถาม | มึงนี้พวกลักษณ์รามพึ่งรู้จัก |
อย่าโยโสโอหังฮึกฮัก | กูจะหักคอเคี้ยวเสียเดี๋ยวนี้ |
ว่าพลางกวัดแกว่งพระแสงศร | ประจัญบานราญรอนกระบี่ศรี |
เข่นเขี้ยวแขงข้อต่อตี | ถ้อยทีไล่กระชิดติดพัน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๔๙๐๏ เมื่อนั้น | วายุบุตรฤทธิแรงแขงขัน |
กลอกกลับรับรองป้องกัน | ผัดผันเปลี่ยนท่าราวี |
เห็นกุมภัณฑ์หันเหเซทรุด | โถมทยานเหยียบยุดยักษี |
จะฟาดฟันพลัดมือไปหลายที | ขุนกระบี่นิ่งนึกตรึกตรา |
อันไอ้นี่มีกำลังยั่งยืน | ตัวลื่นเหมือนคำพิเภกว่า |
แล้วขุกคิดขึ้นได้ไวปัญญา | ลงกวาดคว้าฝุ่นทรายปรายซัด |
เปนลอองต้องกายประไลยกัลป์ | เข้าโรมรันรบรับจับถนัด |
ต่างตนแขงขันสันทัด | หมายประหัตประหารกันให้บรรไลย |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๒๔๙๑๏ วายุบุตรยุดไว้ได้ที | เหยียบขยี้อสุรินทร์ดิ้นไม่ไหว |
ชักตรีเพ็ชรแกว่งแทงลงไป | ต้องกุมภัณฑ์บรรไลยด้วยฤทธา |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๒๔๙๒๏ หณุมานสมถวิลยินดี | จึ่งตัดเอาเกษียักษา |
พาเหาะลอยลิ่วปลิวฟ้า | ตรงมากองทัพฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๔๙๓๏ ครั้นถึงจึ่งค่อยก้มกราน | เข้าเฝ้าพระอวตารรังสรรค์ |
นบนิ้วประนมบังคมคัล | ถวายเศียรประไลยกัลป์ทันที |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๔๙๔๏ เมื่อนั้น | พระรามทรงสวัสดิ์รัศมี |
ทอดพระเนตรเห็นเศียรอสุรี | ภูมีสำราญหฤไทย |
แล้วตรัสเชยชมหณุมาน | ยอดทหารไม่มีที่เปรียบได้ |
ทั้งทรงศักดาปรีชาไว | ใช้ไหนไม่เสียราชการ |
ตรัสพลางทางดูสุริยง | เห็นบ่ายลงลับไม้ไพรสาณฑ์ |
จึ่งชวนนางสีดายุพาพาล | มาอ่าองค์สรงสนานสำราญใจ |
ต่างองค์สอดทรงเครื่องประดับ | เรืองรยับจับแสงสุริย์ใส |
มาทรงบุษบกแก้วแววไว | เคลื่อนพลสกลไกรบทจร |
ฯ ๘ คำ ฯ กลองโยน
ชมดง
๒๔๙๕๏ เดินทางมาในกลางพนาเวศ | ทอดพระเนตรแนวเนินศิงขร |
รุกขชาติออกช่ออรชร | กลิ่นขจรอาบอบตระหลบมา |
สาวหยุดพุทธชาดดาดดก | ระริมบุษบกทั้งซ้ายขวา |
พระทรงเด็ดดอกดวงพวงผกา | ประทานให้นางสีดาทรามไวย |
มะม่วงมะปรางลางสาด | ดกดาดห้อยย้อยอยู่ไสว |
โยธาพากันเก็บลูกไม้ | บ้างหักได้ทั้งกิ่งชิงกัน |
อันยักษาวานรพวกพล | ต่างตนปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
โห่ร้องก้องป่าพนาวัน | รีบร้นพลขันธ์บทจร |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๒๔๙๖๏ ข้ามลหานธารท่าพนาเวศ | ขอบเขตรคันธมาทน์ศิงขร |
ถึงด่านขีดขินพระนคร | ประทับร้อนอยู่นอกธานินทร์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๔๙๗๏ เมื่อนั้น | นิลพัทผู้รั้งขีดขิน |
รู้ว่าพระอวตารผลาญไพริน | เสร็จสิ้นสุริวงษ์พงษ์กุมภัณฑ์ |
เสด็จกลับมาประทับทวยหาญ | อยู่ปลายด่านนัคเรศเขตรขัณฑ์ |
จึ่งชวนเหล่าพานรินทร์สิ้นทั้งนั้น | จะพากันไปเฝ้าพระอวตาร |
จึ่งจัดของถวายให้หลายสิ่ง | มะม่วงมะทรางปรางปริงเปรี้ยวหวาน |
ทั้งแตงเต้าเข้าของที่ต้องการ | จะได้ประทานพหลพลไกร |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๔๙๘๏ บัดนั้น | เสนาวานรน้อยใหญ่ |
เร่งรัดจัดแจงผลไม้ | เลือกได้หลายหลากมากมี |
ทั้งทุเรียนฝรั่งมังคุด | ลูกละมุดพุดทราสาลี่ |
ขนันขนุนครุนเครือเนื้อดี | กล้วยตะนีกล้วยหักมุกสุกงอม |
บ้างผูกพวงมะไฟไข่เน่า | มะม่วงแก้วแมวเทราห่ามหอม |
รีบรัดจัดใส่ในชลอม | ได้พร้อมเพรียงกันทันเวลา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๔๙๙๏ บัดนั้น | ลิงเหล่าชาวเมืองถ้วนหน้า |
ที่ลูกผัวไปทัพกลับมา | ก็จัดหาของจะไปให้ปัน |
บ้างได้ตะโกนาหว้าแว่ | กล้วยอ้อยน้อยแหน่ขนุนขนัน |
ใส่กระบุงแบกหามตามกัน | ขมีขมันเข้ายังวังใน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๐๐๏ เมื่อนั้น | นิลพัทยินดีจะมีไหน |
จึ่งชวนชาวภาราคลาไคล | บ่าวไพร่แบกหามตามกันมา |
ฯ ๒ คำ ฯ วรเชฐ
๒๕๐๑๏ ครั้นถึงจึ่งตั้งของถวาย | เรียงรายตรงราชรัถา |
นิลพัทคลานหมอบยอบกายา | ก้มเกล้าวันทาพระจักรี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๕๐๒๏ เมื่อนั้น | พระราเมศทรงสวัสดิรัศมี |
จึ่งปราไสไต่ถามขุนกระบี่ | ท่านรักษาธานีอยู่นานครัน |
อันเสนาวานรในขีดขิน | กับกระบินทร์พหลพลขันธ์ |
ทั้งพวกพองของพระยาสุครีพนั้น | อยู่พร้อมมูลกันฤๅฉันใด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๐๓๏ บัดนั้น | นิลพัทกราบก้มบังคมไหว้ |
ทูลพระอวตารชาญไชย | ข้าตั้งใจอยู่รักษาธานี |
เดชะพระเดชปกเกษเกล้า | บรรดาเหล่าไพร่พลกระบี่ศรี |
มิได้มีโรคายายี | อยู่ดีถ้วนหน้าสถาวร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๐๔๏ เมื่อนั้น | องค์พระอวตารชาญสมร |
จึ่งสั่งนิลพัทฤทธิรอน | จงรักษานครเขาให้ดี |
กว่าพระยาสุครีพจะกลับมา | จึ่งคืนไปภารากระบี่ศรี |
เราจะยกพหลพลโยธี | รีบไปบุรีอยุทธยา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๐๕๏ ตรัสพลางทางสั่งสุครีพ | ให้เร่งรีบดำเนินเดินทัพน่า |
คลายเคลื่อนรถแก้วแววฟ้า | ไปตามทางโคธาวารี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๕๐๖๏ ข้ามสโตงคงคาสาคร | แรมรอนนอนทางกลางวิถี |
เห็นหลังคาอาศรมพระมุนี | พระจักรีตรัสสั่งเสนาใน |
ให้หยุดทัพยับยั้งโยธา | ตั้งที่พลับพลาอาไศรย |
พวกพลอสุรีกระบี่ไพร | บ้างเที่ยวไปริมอาวาศวัดวา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๐๗๏ บัดนั้น | พระคณะฤๅษีชีป่า |
นั่งประชุมชวนกันฉันน้ำชา | อยู่ที่บรรณศาลาไลย |
บ้างอวดเพื่อนพนันฉันจุ | ถ้าชาดีสี่ครุก็รับได้ |
บ้างว่าถ้าทุเรียนสักสิบใบ | จะฉันให้ไม่เหลือเลยสักพู |
ที่บวชเถ้าเก่าชรารักษากิจ | สอนลูกศิษย์เกรี้ยวกราดตวาดขู่ |
บ้างทำเลขลงดินสอเปนหมอดู | เรียนรู้หลายอย่างต่างกัน |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๒๕๐๘๏ พอได้ยินโยธีมี่ก้อง | เสียงม้าช้างร้องแซ่สนั่น |
จึ่งออกไปเปิดประตูดูพลัน | เห็นกุมภัณฑ์พวกกระบี่รี้พล |
สำคัญว่าสัตบาปราพร้าย | เคยมาทำวุ่นวายหลายหน |
เอะแล้วจะหนีมันมิพ้น | ต่างตนตัวสั่นงันงก |
ลุกขึ้นขวักไขว่ในกุฏิ์ | โดนสดุดกาน้ำคว่ำหก |
บ้างโดนเสาศาลาหน้าฟก | วิ่งวกหกล้มซมซาน |
บ้างฉวยได้ร่มเกือกเสลือกสลน | หอบขนของเครื่องบริขาร |
ออกจากกุฎีตลีตลาน | เรียกอาจารย์อื้ออึงคนึงไป |
โปรดด้วยเจ้าข้าพระดาบศ | ทีนี้หมดหมอนเสื่อหาเหลือไม่ |
มันจะล้อมลัดสกัดไว้ | จะหลบลี้หนีไปข้างไหนดี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๒๕๐๙๏ เมื่อนั้น | พระวสิฐสวามิตรฤๅษี |
จึ่งซักไซ้ไต่ถามทันที | อะไรจึ่งอึงมี่ทั้งวัดวา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๕๑๐๏ บัดนั้น | เหล่าพวกโยคีชีป่า |
จึ่งบอกว่ากุมภัณฑ์มันมา | ทั้งลิงค่างช้างม้ามากมาย |
แลดูหูตาน่ากลัว | ทั้งเนื้อตัวโตใหญ่ใจหาย |
แม้นอยู่ในกุฎีมันตีตาย | จะยักย้ายฤๅจะอยู่สู้รบ |
นิมนต์บอกออกมาอย่าช้าที | ข้าพเจ้าเหล่านี้จะหลีกหลบ |
อยู่นานนักยักษาจะมาพบ | มันจะขบเคี้ยวกินสิ้นชีวา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๕๑๑๏ เมื่อนั้น | ทั้งสองพระอาจารย์ฌานกล้า |
จึ่งออกไปจากบรรณศาลา | ป้องหน้าแลดูเปนครู่พัก |
เห็นองค์พระรามอวตาร | กับสีดาเยาวมาลย์ก็รู้จัก |
ซ้ำมองเขม้นเห็นพระลักษณ์ | ไปได้ลิงกับยักษ์ที่ไหนมา |
คิดพลางทางบอกพวกฤๅษี | ไม่พอที่ตื่นตายวายบ้า |
นี่พระรามพระลักษณ์นางสีดา | มิใช่ไหนมาอย่าตกใจ |
แล้วกลับเข้าไปนั่งบัลลังก์อาศน์ | ขัดสมาธิ์สองชั้นไม่หวั่นไหว |
เหล่าคณะฤๅษีชีไพร | เข้าไปนั่งล้อมพร้อมกัน |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๒๕๑๒๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์รังสรรค์ |
ครั้นเพลาสายแสงสุริยัน | จะเข้าไปอภิวันท์พระสิทธา |
จึ่งชวนพระมเหษีโฉมยง | กับองค์พระลักษณ์ขนิษฐา |
ตามกันลีลาศยาตรา | ตรงมาที่อยู่พระมุนี |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
ช้า
๒๕๑๓๏ ครั้นถึงจึ่งนั่งน้อมประนต | พระมหาดาบศฤๅษี |
แล้วปราไสไต่ถามไปทันที | พระคุณค่อยอยู่ดีฤๅฉันใด |
ตั้งแต่จากพระอาจารย์นานหนักหนา | ดูก็หาสู้แก่กะไรไม่ |
ค่อยขบฉันมันกลอยอร่อยใจ | ฤๅแรงน้อยถอยไปไม่มีรศ |
หนี่งคณะพระมุนีชีป่า | อยู่รักษาพรหมจรรย์ด้วยกันหมด |
ฤๅองค์ใดสึกหาลาพรต | พระดาบศโปรดเล่าให้เข้าใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๒๕๑๔๏ เมื่อนั้น | พระอาจารย์จึ่งแจ้งแถลงไข |
อันตัวรูปกับฤๅษีชีไพร | ไม่มีไภยภาวนารักษาพรต |
ซึ่งของฉันมันเผือกไม่เลือกสิ้น | เปนว่าพอใจกินเสียทั้งหมด |
ได้ตำรายาดองมธุรศ | โอสถสำหรับฉันขยันดี |
เออจะขอไต่ถามพระราเมศ | ไฉนจึ่งลาเพศจากฤๅษี |
อันยักษาวานรโยธี | ภูมีไปได้ที่ไหนมา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๕๑๕๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
จึ่งเล่าแถลงแจ้งกิจจา | เมื่อไปอยู่โคธาวารี |
วันหนึ่งเจ้าลงกาพระยายักษ์ | มาลอบลักสีดาพาหนี |
ข้าตามไปได้พลพาลี | ก็รีบยกโยธีไปลงกา |
สังหารผลาญราพนาสูร | สิ้นประยูรญาติวงษ์พงษา |
จึ่งรับภัควดีสีดา | แล้วรีบยกพลมาได้ห้าวัน |
กลัวจะเกินกับคำที่กำหนด | ฝ่ายพระพรตอนุชาจะอาสัญ |
ทั้งลำฦกนึกถึงพระนักธรรม์ | จึ่งพากันเข้ามามัสการ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๕๑๖๏ เมื่อนั้น | พระดาบศบ่นว่าน่าสงสาร |
ไม่เห็นกลับคืนมาช้านาน | คิดว่าหลานบวชบำเพ็งเคร่งครัด |
มิรู้ไอ้ทศภักตร์มันลักเมีย | จึ่งต้องสึกออกเสียเปนกระหัษฐ |
ทั้งนี้เพราะเคราะห์กรรมจำพรากพลัด | ด้วยยักษาอาสัตย์จะมรณา |
ซึ่งเสด็จไปปราบราพร้าย | ทศกรรฐ์มันตายสมน้ำหน้า |
อันพี่น้องสององค์ทรงศักดา | ยักษ์จะมาเท่าไรก็ไม่กลัว |
ศรที่รูปชุบให้กับบพิตร | เต็มดีมีฤทธิ์มิใช่ชั่ว |
ถึงไพรีตีเหล็กหุ้มตัว | จะแผลงไปให้หัวขาดกระเด็น |
ทีนี้สิ้นสัตบาปหยาบช้า | รูปดีใจหนักหนาไม่ว่าเล่น |
เมื่อกระนั้นพรั่นอยู่ทั้งเช้าเย็น | มิได้เปนอันรักษาอารมณ์ |
คราวก่อนกากนามันมาแกล้ง | เข้ารื้อแย่งเย่อหลังคาอาศรม |
รูปพลอยวิ่งงันงกจนหกล้ม | เจ็บระบมไม่สบายหลายเวลา |
แล้วพูดกันกับคณะพระฤๅษี | ตั้งแต่นี้พ้นทุกข์เปนศุขา |
ร้องเรียกศิษย์หยิบยกครกศิลา | พูดจาพึมพำตำหมากพลาง |
เห็นกระบี่ที่นั่งอยู่ทั้งนั้น | ล่ำสันขันจริงลิงฤๅค่าง |
ไอ้ยักษ์ใหญ่เขี้ยวยาวราวงาช้าง | หัวเราะพลางถามไถ่ไปมา |
ฯ ๑๖ คำ ฯ เจรจา
๒๕๑๗๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
ชี้พระหัดถ์ตรัสบอกพระสิทธา | นั่นสุครีพอนุชาพาลี |
นี่ชื่อพิเภกกุมภัณฑ์ | เปนน้องท้าวทศกรรฐ์ยักษี |
โน่นคำแหงหณุมานชาญฤทธี | วานรนั่งข้างนี้ชื่อองคต |
พวกโน้นชมภูพานรินทร์ | พวกนั้นขีดขินสิ้นทั้งหมด |
ตรัสพลางทางมีมธุรศ | ถามพระดาบศยศไกร |
อันพุขันพรานไพรเขาไปมา | เยี่ยมเยือนพระสิทธาฤๅหาไม่ |
โยมนี้นึกหวังตั้งใจ | จะใคร่ประสบพบพาน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๕๑๘๏ เมื่อนั้น | พระดาบศหัวร่อร่าแล้วว่าขาน |
ได้ยินเขาเล่าฦๅอยู่ช้านาน | ว่าวงษ์วานหลานลูกพาลี |
แต่ล้วนทรงศักดากล้าหาญนัก | พึ่งรู้จักภักตรากระบี่ศรี |
น้อยฤๅรูปร่างช่างพ่วงพี | สมที่เปนทหารชาญไชย |
ซึ่งพระองค์ทรงถามถึงพุขัน | เจ็ดวันเขาเคยมาหาขาดไม่ |
อันพวกพลบริวารพรานไพร | ก็เลื่อมใสโสมนัศศรัทธา |
อุส่าห์เอาเข้าของเผือกมัน | มาให้รูปขบฉันหรรษา |
นับไว้ได้ครบเจ็ดทิวา | เห็นจะมาอารามตามเคย |
แล้วเรียกศิษย์กระหัษฐพัดน้ำร้อน | เชิญภูธรทั้งสองลองเสวย |
ชาจุหลันฉันหอมเหมือนใบเตย | อย่าถือเลยเสวยเล่นตามกันดาร |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๒๕๑๙๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงพุขันพรานไพรใจหาญ |
ครอบครองบุรีรำสำราญ | อยู่ปลายด่านแดนศรีอยุทธยา |
ภูมิ์ฐานบ้านเรือนเปนเขื่อนขอบ | มีรั้วรอบล้อมรนามหนามหนา |
อันสาวสาวเหล่ากะเหรี่ยงลว้า | ก็เลี้ยงเปนภรรยาข้าไท |
มีเกวียนต่างช้างควายหลายร้อย | สำหรับได้ใช้สอยตามวิไสย |
อันพวกบริวารพรานไพร | เที่ยวปลูกเรือนทำไร่อยู่เรี่ยราย |
ต่อเป่าหลอดสำคัญสัญญา | จึ่งได้มาพร้อมกันเหมือนมั่นหมาย |
อยู่เย็นเปนศุขสนุกสบาย | อันตรายไม่มีบีฑา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๕๒๐๏ คิดถึงพระอวตารผ่านเกล้า | เจ้านายของเราไปแรมป่า |
สามกระษัตริย์ตรัสสั่งสัญญา | สิบสี่ปีจะมาธานี |
วันนี้จะพากันผันผาย | เอาสิ่งของไปถวายพระฤๅษี |
จะได้ไต่ถามดูรู้คดี | เผื่อพระจักรีจะกลับมา |
คิดแล้วลุกลงมาอาบน้ำ | ที่เตียงต่ำตั้งอ่างข้างเคหา |
หยิบแป้งสารภีขยี้ทา | ตามประสาชาวดงส่งกลิ่นฟุ้ง |
นุ่งยกพื้นแดงแต่งเต็มที่ | ใส่เสื้อกำมะหยี่สีตากุ้ง |
กระบวนจีนเจียรบาดคาดพุง | ใส่แหวนก้อยพลอยหุงมีราคา |
โพกผ้าเนื้อดีสีชมภู | เมียน้อยนั่งดูงามหนักหนา |
ถือธนูคู่ใจไคลคลา | ลงจากเคหาเข้าป่าไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ กราว
๒๕๒๑๏ ครั้นถึงที่สำเหนียกเรียกพล | จึ่งป่ายปีนขึ้นบนต้นไม้ใหญ่ |
เป่าหลอดสำคัญทันใด | เสียงสนั่นทั้งในพนาวา |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๒๕๒๒๏ บัดนั้น | พวกพลพรานไพรที่ในป่า |
ทั้งกะเหรี่ยงริมเขาเหล่าลว้า | รู้ว่านายให้หาไม่นอนใจ |
ต่างเก็บฟักแฟงแตงเต้า | ทั้งมันเผือกเลือกเอาไปตามได้ |
บ้างหยิบเนื้อค่างที่ย่างไว้ | น้ำผึ้งใส่ในกระบอกแบกคอน |
บ้างได้กล้วยกล้ายหลายเครือ | กับเนื้อโคป่าห้าหกก้อน |
บ้างได้หนังเสือเนื้อสุกร | รีบร้อนลัดป่าไปหานาย |
ฯ ๖ คำ ฯ แขกวรเชฐ เจรจา
๒๕๒๓๏ เมื่อนั้น | พุขันชื่นชมสมหมาย |
เห็นเข้าของหลากหลากมากมาย | จะเอาไปถวายพระสิทธา |
จึ่งสั่งเหล่าบ่าวไพร่ให้แบกหาม | พูดตามชาวดงส่งภาษา |
แล้วออกจากร่มไม้ไคลคลา | ตรงไปศาลาพระอาจารย์ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๒๕๒๔๏ ครั้นใกล้ถึงจึ่งแลเห็นม้าช้าง | ทั้งลิงค่างกลุ้มไปในไพรสาณฑ์ |
แต่ละตัวโตใหญ่เห็นได้การ | พวกพรานหมายจะยิงชิงกัน |
บ้างขึ้นหน้าไม้ใส่ยางน่อง | ค่อยย่างย่องยอบกายหมายมั่น |
พอเห็นยักษ์โยธีนี่นัน | ต่างขยั้นหยุดยั้งรั้งรอ |
บ้างห้ามว่าอย่ายิงยังไม่ได้ | นี่มันมาแต่ไหนหนักหนาหนอ |
บ้างพรั่นตัวกลัวยักษ์จะหักคอ | ลับฬ่อเล็งแลอยู่แต่ไกล |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๒๕๒๕๏ พุขันว่าพวกเขาเหล่านี้ | ต่อจะมีเจ้านายหาร้ายไม่ |
ฤๅกระษัตริย์สุริวงษ์องค์ใด | ออกมาไหว้ฤๅษีที่ศาลา |
เราจะไปไต่ถามพระวสิฐ | ให้แจ้งจิตรที่พะวังกังขา |
จึ่งพาพวกบ่าวไพร่ไคลคลา | ตรงมาอาศรมพระนักธรรม์ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๒๕๒๖๏ บัดนั้น | อสุราวานรพลขันธ์ |
พวกล้อมวงองครักษ์ราชมัน | เห็นพรานป่าพากันมามากมาย |
ทั้งยักษ์ลิงวิ่งออกสกัดห้าม | บ้างคุกคามร้องว่าง่าเงื้อหวาย |
ไอ้ชาวป่าอย่าเข้ามาวุ่นวาย | พระนารายน์เสด็จอยู่ศาลา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๒๗๏ บัดนั้น | พุขันกับบ่าวเหล่าพรานป่า |
ถุ้งเถียงเสียงดังด้วยโกรธา | ทำไมมาห้ามปรามลามลวน |
เสด็จอยู่มิอยู่ไม่รู้ได้ | ที่นี้มิใช่ฉน่ำฉนวน |
ยักษ์ออกไปให้หมดอย่ามากวน | เราจะด่วนไปหาพระอาจารย์ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๒๘๏ บัดนั้น | พวกลิงยักษ์สับสนอลหม่าน |
เข้าสกัดกั้นหน้าว่าไอ้พราน | ห้าวหาญน้อยฤๅดื้อดึง |
ยังไม่ไปให้พ้นน่าที่นั่ง | พลางผลักไหล่ไสหลังโกรธขึ้ง |
ถ้อยทีถุ้งเถียงเสียงอึง | ได้ยินเข้าไปถึงที่ศาลา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๕๒๙๏ เมื่อนั้น | พระตรีภพลบโลกนาถา |
ทอดพระเนตรผันแปรแลมา | เห็นลว้ากะเหรี่ยงเรียงราย |
พลางเขม้นเห็นพุขันนายพราน | พระอวตารชื่นชมสมหมาย |
จึ่งตรัสว่าอย่าห้ามเขาวุ่นวาย | ให้เอาของมาถวายพระมุนี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๓๐๏ บัดนั้น | พุขันปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
รู้ว่าพระหริรักษ์จักรี | อยู่ในที่อาศรมศาลา |
จึ่งหลีกยักษ์ผลักลิงวิ่งเข้าไป | ด้วยใจสามิภักดิหนักหนา |
บังคมสมเด็จพระรามา | ทั้งสีดาโฉมยงองค์พระลักษณ์ |
แล้วทูลว่าข้านี้ไม่มีศุข | ตั้งแต่ทุกข์ถึงองค์พระทรงศักดิ |
เสด็จไปแรมป่าช้านานนัก | ไม่ประจักษ์เหตุผลกลใด |
ถึงเจ็ดวันมาหาพระอาจารย์ | ถวายของคาวหวานหาเว้นไม่ |
จนครบสิบสี่ปีค่อยดีใจ | ชวนกันเก็บลูกไม้แล้วออกมา |
ได้พบสามกระษัตริย์บัดนี้ | สมถวิลยินดีเปนหนักหนา |
เหมือนพบพานมารดรบิดา | จะได้พึ่งบาทาฝ่าธุลี |
ทูลพลางทางเรียกพวกพราน | อย่าลนลานคลานเข้ามาถึงนี่ |
เข้าของสิ่งไรของใครมี | ถวายพระฤๅษีทั้งสองรา |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๒๕๓๑๏ บัดนั้น | เหล่าพวกบริวารพรานป่า |
หิ้วของสองมือดื้อเข้ามา | พูดส่งภาษากันแซ่ซ้อง |
ใครจะว่าอย่างไรไม่รู้จัก | ได้แต่พยักยิ้มย่อง |
บ้างยืนเก้กังนั่งหย่องยอง | เอาเข้าของกองให้พระสิทธา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๓๒๏ เมื่อนั้น | พระฤๅษีขบฉันหรรษา |
แล้วอวยพรภิญโญโมทนา | พูดจากันกับเหล่าชาวไพร |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๕๓๓๏ เมื่อนั้น | พระอวตารผ่านภพสบไสมย |
จึ่งตรัสกับพุขันทันใด | ขอบใจจงรักภักดี |
เราแรมไพรพลัดพรากไปจากท่าน | แสนกันดารเดินป่าพนาศรี |
ไปรบราญผลาญหมู่อสุรี | ปิ้มประหนึ่งชีวีจะบรรไลย |
ท่านอยู่หลังยังแจ้งกิจจา | ในกรุงศรีอยุทธยาเปนไฉน |
พระชนนีกับพระน้องครองกรุงไกร | ยังค่อยได้ศุขสวัสดิฤๅขัดเคือง |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๕๓๔๏ บัดนั้น | พุขันทูลแถลงแจ้งเรื่อง |
ข้าเกณฑ์พวกพรานไพรไปเนืองเนือง | สืบข่าวในเมืองอยุทธยา |
ได้แจ้งความสามองค์พระชนนี | กับพระน้องสองศรีโศกหนักหนา |
ให้ลห้อยคอยสามกระษัตรา | ไม่ว่างเว้นเวลาจาบัลย์ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๓๕๏ เมื่อนั้น | พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำพระสุริย์ฉัน |
ฟังพรานไพรพร่ำรำพรรณ | ให้โศกศัลย์สงสารพระมารดา |
จึ่งตรัสกับพุขันทันที | อันเรานี้วิตกหนักหนา |
เมื่อแต่แรกแรมไพรได้สัญญา | สิบสี่ปีจะมาธานี |
บัดนี้ถึงคำกำหนดแล้ว | พระน้องแก้วทั้งสองจะหมองศรี |
ไม่แจ้งข่าวราวเรื่องว่าร้ายดี | จะเข้ากองอัคคีให้วายปราณ |
จะนิ่งอยู่อย่างนี้ก็มิได้ | ด้วยยังไกลนัคเรศราชฐาน |
ท่านจงนำคำแหงหณุมาน | ไปแถลงแจ้งการพระพรต |
บอกว่าเรายกทัพกลับมา | ถึงอาศรมศาลาพระดาบศ |
แม้นจะเข้ากองไฟก็ให้งด | จงกำหนดว่าเราจะเข้าไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๕๓๖๏ บัดนั้น | สองนายรับสั่งบังคมไหว้ |
ออกจากศาลาคลาไคล | ตรงไปอยุทธยาธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
ช้า
๒๕๓๗๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงพระพรตพระสัตรุดเรืองศรี |
ครั้นคำรบครบถ้วนสิบสี่ปี | จึ่งปฤกษาพาทีกันสองรา |
อันองค์พระหริวงษ์ทรงเดช | ให้เราสองครองนิเวศน์ไว้ท่า |
บัดนี้ถึงวันสัญญา | ไม่เสด็จกลับมาเหมือนว่าไว้ |
จะนิ่งอยู่ไยเล่าเจ้าพี่ | เราเข้ากองอัคคีให้ม้วยไหม้ |
รักษาสัตย์เสียชีวันบรรไลย | คงจะได้เลื่องชื่อฦๅนาม |
แม้นจะทูลเหตุผลพระชนนี | จะโศกีโศกศัลย์รำพรรณห้าม |
จำเปนจะคิดปิดความ | อย่าให้ทราบถึงสามพระมารดา |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๕๓๘๏ คิดแล้วจัดแจงแต่งองค์ | ต่างทรงโขมพัตรภูษา |
ประดับเครื่องเรืองรองทั้งสองรา | ลีลาออกท้องพระโรงไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๕๓๙๏ นั่งเหนือแท่นสุวรรณบัลลังก์ | เสนีพร้อมพรั่งบังคมไหว้ |
จึ่งตรัสแก่สุมันตันทันใด | เราครองเมืองมาได้สิบสี่ปี |
อันพระองค์ทรงเดชเชษฐา | ก็ยังไม่กลับมาบุรีศรี |
ตัวเราพี่น้องสองคนนี้ | จะสู้สิ้นชีวีวายปราณ |
ท่านจงกองไฟให้ใหญ่กว้าง | ที่กลางชาลาน่าฉาน |
เราจะเข้าไปในเพลิงกาล | ตามสัตย์ปฏิญาณสัญญาไว้ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๕๔๐๏ บัดนั้น | สุมันตันเสนาอัชฌาไศรย |
ได้ฟังก็ตระหนกตกใจ | บังคมไหว้แล้วทูลทัดทาน |
พระผ่านฟ้าอย่าด่วนดับสูญ | อนุกูลแก่ข้าผู้ว่าขาน |
อันองค์สมเด็จพระอวตาร | คเนการเกือบมาไม่ช้านัก |
จงบำรุงกรุงไกรไปก่อน | ดับร้อนไพร่ฟ้าอาณาจักร |
รอรั้งฟังข่าวพระหริรักษ์ | อิกสักสามทิวาราตรี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๕๔๑๏ เมื่อนั้น | พระพรตทรงสวัสดิรัศมี |
ได้ฟังเสนาพาที | จึ่งมีบัญชาว่าไป |
ซึ่งท่านทานทัดขัดห้าม | ด้วยมีความสมัครักใคร่ |
แต่เราได้ให้สัตย์สัญญาไว้ | จะอยู่ไปไม่พ้นคนนินทา |
เหมือนรักใคร่ไอสูรย์สมบัติ | ไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์พระเชษฐา |
ท่านอย่าหน่วงหนักชักช้า | จงไปหาฟืนตองมากองไฟ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๕๔๒๏ บัดนั้น | สุมันตันได้ฟังนั่งร้องไห้ |
มิรู้ที่ทัดทานประการใด | ถวายบังคมไหว้แล้วลุกมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๕๔๓๏ จึ่งสั่งเหล่าชาวคลังทั้งนั้น | ให้จัดแจงจวงจันทน์กฤษณา |
ขนไปเรียงวางกลางชลา | บ้างก็หาเชื้อไฟใส่ประชุม |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๕๔๔๏ บัดนั้น | ชาวบ้านร้านตลาดกลาดกลุ้ม |
เห็นควันไฟในวังมืดคลุ้ม | ทั้งแก่เถ้าสาวหนุ่มร้องถามกัน |
ครั้นรู้ว่าน้องพระหริวงษ์ | จะเข้าไฟให้องค์พระอาสัญ |
ต่างตระหนกตกใจจาบัลย์ | ทั้งชายหญิงวิ่งพัลวันมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๒๕๔๕๏ เข้าไปในนิเวศน์วังสถาน | เห็นเพลิงกาลร้อนแรงแสงกล้า |
ประชาชนหญิงชายฟายน้ำตา | ทั้งเสนาอำมาตย์เพียงขาดใจ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๒๕๔๖๏ เมื่อนั้น | สองกระษัตริย์รัศมีศรีใส |
เห็นชีพราหมณ์ไพร่ฟ้าเสนาใน | ร้องไห้ไม่เปนสมประดี |
จึ่งบัญชาว่ากับคนทั้งหลาย | จงคอยอยู่ให้สบายในกรุงศรี |
ขอฝากสามสมเด็จพระชนนี | กว่าพระพี่จะมาแต่อารัญ |
อันเราสองครองสัตย์สุจริต | จะตั้งจิตรบรรไลยไปสวรรค์ |
ว่าพลางต่างกุมพระกรกัน | จรจรัลจะเข้ากองอัคคี |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๒๕๔๗๏ บัดนั้น | พุขันหณุมานชาญไชยศรี |
มาถึงอยุทธยาธานี | จรลีเข้าในทวารา |
เห็นผู้คนแซ่ซ้องร้องไห้ | คิดพะวงสงไสยเปนหนักหนา |
พอเห็นพระพี่น้องทั้งสองรา | จะพากันเข้ากองไฟ |
ตกใจไม่ทันไต่ถาม | กระโดดข้ามข้าเฝ้าเข้าไปได้ |
วายุบุตรยุดองค์พระพรตไว้ | พรานไพรยุดพระอนุชา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๕๔๘๏ เมื่อนั้น | ทั้งสองน้องนารายน์นาถา |
เห็นพุขันขุนกระบี่มีศักดา | รู้จักหน้าสนัดตรัสถามไป |
ดูราวานรกับนายพราน | มีภารธุระเปนไฉน |
จึ่งวิ่งมาคร่ายุดฉุดไว้ | มิให้ตัวเราเข้าอัคคี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๔๙๏ บัดนั้น | วายุบุตรประนตบทศรี |
จึ่งว่าพระหริรักษ์จักรี | ให้ข้านี้มาแจ้งกิจจา |
เสด็จไปสังหารผลาญพวกยักษ์ | ทศภักตร์สิ้นชีวังสังขาร์ |
บัดนี้เลิกทัพกลับมา | ถึงศาลาพระมุนีที่ในไพร |
กลัวจะเกินสัญญาช้านัก | สองพระองค์ทรงศักดิจะตักไษย |
จึ่งใช้ข้ามาทูลทัดไว้ | จงทราบใต้บทมาลย์พระผ่านฟ้า |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๕๕๐๏ เมื่อนั้น | สองกระษัตริย์ทรงฟังไม่กังขา |
ชื่นชมสมถวิลจินดา | จึ่งมีบัญชาว่ากับหณุมาน |
เราซื่อตรงจงรักพระจักรี | ไม่ยินดีแก่สมบัติพัศถาน |
กลัวจะเสียความสัตย์ปฏิญาณ | จะเข้ากองเพลิงกาฬให้บรรไลย |
เดชะบุญหนักหนาท่านมาทัน | เหมือนชุบชีวันเราไว้ได้ |
ครั้งนี้รอดตายสบายใจ | เราจะไปทูลสารพระมารดา |
ท่านจงหยุดหย่อนผ่อนพัก | สำนักอยู่พลางที่ข้างน่า |
ว่าพลางทางชวนอนุชา | เสด็จมาปราสาทพระชนนี |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๒๕๕๑๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า | ก้มเกล้าประนตบทศรี |
แล้วทูลว่าข้าน้อยทั้งสองนี้ | กองอัคคีคิดกันจะบรรไลย |
พอคำแหงหณุมานกับพรานป่า | เอากิจจามาแจ้งแถลงไข |
บัดนี้พระอวตารชาญไชย | ภูวไนยกลับมาธานี |
ยังประทับยับยั้งโยธา | อยู่ศาลาพระวสิฐฤๅษี |
ลูกจะขอทูลลาฝ่าธุลี | ออกไปรับพระพี่ที่กลางไพร |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๕๕๒๏ เมื่อนั้น | สามพระชนนีศรีไส |
ได้ฟังโอรสยศไกร | อรไทยยินดีปรีดา |
จึ่งตรัสว่าครั้งนี้บุรีเรา | จะบันเทาโศกศัลย์หรรษา |
แม่จะไปด้วยกันกับลูกยา | รับพระเชษฐามากรุงไกร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๕๓๏ เมื่อนั้น | สองโอรสรับสั่งบังคมไหว้ |
พากันลีลาคลาไคล | ออกไปพระโรงรัตน์ชัชวาล |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๕๕๔๏ จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนา | จงเตรียมโยธาทวยหาญ |
เทียมทั้งรัถาอาชาชาญ | ให้เสร็จการในเวลาราตรี |
พรุ่งนี้เช้าเรากับพระมารดา | จะไปรับพระเชษฐามากรุงศรี |
สั่งเสร็จเสด็จจรลี | เข้าสู่ที่วังในมิได้ช้า |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๒๕๕๕๏ บัดนั้น | สุมันตันผู้มียศถา |
ออกมาสั่งเวรเกณฑ์โยธา | หมายบอกทั้งข้างน่าข้างใน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๕๕๖๏ บัดนั้น | หมื่นขุนมุลนายน้อยใหญ่ |
ต่างคนรีบร้อนไม่นอนใจ | พนักงานของใครก็ไตรตรา |
ขุนรถตระเตรียมเทียมรถทรง | สำหรับองค์พระโอรสา |
รถที่นั่งทั้งสามพระมารดา | รถประเทียบกัลยาคณานาง |
ขุนม้าผูกม้าพาชี | ขับขี่สันทัดสบัดย่าง |
ขุนช้างต่างเร่งผูกช้าง | เลือกล้วนขึ้นระวางดั้งกัน |
ขุนพลจัดล้วนกระบวนแห่ | พร้อมแต่ยำรุ่งสุริย์ฉัน |
มาตั้งกองท้องสนามแน่นนัน | เตรี ยมกันคอยเสด็จยาตรา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๒๕๕๗๏ เมื่อนั้น | สามองค์อัคเรศเสนหา |
จึ่งชวนสองพระลูกให้ไคลคลา | มาโสรจสรงคงคาอ่าองค์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ชมตลาด
๒๕๕๘๏ ทรงสุคนธรศเร้าเอาใจ | ลุบไล้พระวิลาศวาดขนง |
พระชนนีนุ่งผ้าจีบประจง | สไบทรงตาดปักปีกแมงทับ |
พระพี่น้องสององค์ทรงภูษิต | ฉลององค์ตาดติดเลื่อมสลับ |
สามอนงค์ทรงเข็มขัดบานพับ | สร้อยนวมสวมทับซับช้อน |
โอรสราชคาดปั้นเหน่งจำหลักลาย | ทับทรวงสายห่วงห้อยสร้อยอ่อน |
สามพระมาตุรงค์ทรงทองกร | แหวนทับทิมทองร่อนเรือนครุธ |
โอรสพาหุรัดตระหวัดวง | ธำมรงค์ปัทมราชผาดผุด |
อรไทยใส่รัดเกล้าชมภูนุท | พระลูกทรงมงกุฏแก้วมณี |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๒๕๕๙๏ ครั้นเสร็จเสด็จยุรยาตร | ลงจากปรางมาศปราสาทศรี |
พร้อมสนมกำนัลขันที | ออกมาที่เกยลาน่าพระลาน |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๕๖๐๏ ห้ากระษัตริย์สุริวงษ์ทรงยศ | ต่างขึ้นรถพรรณรายฉายฉาน |
พร้อมประเทียบสาวสรรค์พนักงาน | หณุมานนำน่าคลาไคล |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๕๖๑๏ ครั้นถึงท้ายจงกรมอาศรมบท | ให้หยุดรถรี้พลน้อยใหญ่ |
ต่างลงจากรัถาคลาไคล | เข้าไปยังบรรณศาลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๕๖๒๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
กับทั้งพระลักษณ์นางสีดา | เห็นสองอนุชาชนนี |
ดีใจไปรับพระมารดร | ยอกรประนตบทศรี |
พระพี่น้องสองข้างต่างอัญชลี | ถ้อยทีถามไถ่กันไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๖๓๏ เมื่อนั้น | สามพระชนนีเสนหา |
จึ่งปราไสไต่ถามพระรามา | ลูกยาจงเล่าให้เข้าใจ |
เจ้ารับสัตย์บิตุรงค์ทรงยศ | ไปสร้างพรตจรรยาในป่าใหญ่ |
เกิดเหตุเภทพาลประการใด | จึ่งต้องไปรณรงค์ถึงลงกา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๖๔๏ เมื่อนั้น | องค์พระอวตารนาถา |
แถลงเล่ายุบลแต่ต้นมา | เมื่อไปอยู่โคธาราวี |
วันหนึ่งนั้นท้าวทศภักตร์ | มาลอบลักกัลยาพาหนี |
ลูกกับอนุชาไปราวี | ผลาญพวกอสุรีถึงลงกา |
ทศกรรฐ์มันออกมายงยุทธ | ก็ม้วยมุดสุดสิ้นสังขาร์ |
จึ่งได้องค์เทวีสีดา | กลับมาประนตบทมาลย์ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๕๖๕๏ เมื่อนั้น | สามพระมารดาจึ่งว่าขาน |
เจ้าพลัดพรากจากภาราไปช้านาน | สงสารยากแค้นแสนทวี |
แล้วตรัสแก่นางสีดายาใจ | เดิมแม่จะให้อยู่กรุงศรี |
แต่โฉมยงจงรักภักดี | ติดตามสามีไปในไพร |
พลางชี้ชอบขอบใจเจ้าลักษณ์ | ความรักเชษฐาไม่หาได้ |
อุส่าห์สู้ลำบากยากใจ | ร่วมร้อนนอนไพรไปด้วยกัน |
เปนบุญแล้วแก้วแม่ได้คืนเมือง | ปลดเปลื้องความวิโยคโศกศัลย์ |
ทีนี้จะผาศุกทุกคืนวัน | ทั่วนิเวศน์เขตรขัณฑ์ธานี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๕๖๖๏ เมื่อนั้น | พระพรตพระสัตรุดเรืองศรี |
จึ่งทูลพระหริรักษ์จักรี | น้องนี้คอยองค์พระทรงฤทธิ์ |
ถ้าแม้นไม่เสด็จมาช้าไป | จะโจนเข้ากองไฟให้ดับจิตร |
พอคำแหงหณุมานชาญชิต | ไปแจ้งกิจข้านี้ดีใจนัก |
ขอเชิญองค์ภูวไนยไคลคลา | คืนเข้าภาราอาณาจักร |
พระจักได้เปนที่พึ่งพัก | แก่สองน้องรักสืบไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๕๖๗๏ เมื่อนั้น | พระหริวงษ์ทรงภพสบไสมย |
จึ่งตรัสแก่พระพรตยศไกร | พี่ขอบใจทั้งสองน้องยา |
ได้พิทักษ์รักษาบุรี | บำรุงสามชนนีนาถา |
ไม่มีเหตุเภทไภยสิ่งไรมา | ไพร่ฟ้าศุขเกษมเปรมปรีดิ์ |
ตรัสพลางทางดูทินกร | ตะวันบ่ายชายอ่อนแสงสี |
จึ่งทูลเชิญทั้งสามพระชนนี | อัญชลีลาองค์พระทรงพรต |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๕๖๘๏ เมื่อนั้น | พระวสิฐสวามิตรดาบศ |
เห็นกระษัตริย์สุริวงษ์ทรงยศ | น้อมประนตอำลาจะคลาไคล |
จึ่งอวยไชยให้พรภูลสวัสดิ | เสวยรมย์สมบัติเปนใหญ่ |
สามพระชนนีนั้นไซ้ | จงให้จำเริญชนมา |
อันโฉมยงองค์ภัควดี | กับพระจักรีนาถา |
อย่าได้รู้นิราศคลาศคลา | เหมือนครั้งคราวเดินป่าพนาลี |
สารพัดศัตรูหมู่ร้าย | ให้แพ้พ่ายดังพรฤๅษี |
ปราศจากโรคายายี | อยู่ดีมีศุขทุกคืนกัน |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๒๕๖๙๏ เมื่อนั้น | แปดกระษัตริย์สุริวงษ์รังสรรค์ |
คำนับรับพรพระนักธรรม์ | แล้วถวายอภิวันท์อำลา |
พรั่งพร้อมกำนัลขันที | เสนีตัวนายซ้ายขวา |
ต่างองค์ลีลาศยาตรา | ตรงมาที่ประทับฉับพลัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๒๕๗๐๏ ครั้นถึงจึ่งขึ้นรถทรง | ให้ยกจัตุรงค์ทัพขันธ์ |
โยธาแห่แหนแน่นนัน | สุมันตันนำหน้าเข้าธานี |
ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน
๒๕๗๑๏ บัดนั้น | ประชาชนหญิงชายชาวกรุงศรี |
แจ้งว่าพระทรงศักดิจักรี | ภูมีมาถึงกรุงไกร |
ต่างคนปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ก็พากันมาคอยบังคมไหว้ |
ตั้งโตกพานเข้าตอกดอกไม้ | อร่ามไปด้วยเครื่องบูชา |
บ้างจุดเทียนเงินเทียนทอง | ผูกห้อยร้อยกรองพวงบุบผา |
ครั้นเห็นเกณฑ์แห่แออัดมา | จนถึงรัถาพระภูธร |
บรรดาเหล่าชาวเมืองก็ชื่นชม | ต่างบังคมก้มกราบอยู่สลอน |
แซ่ซ้องร้องอำนวยอวยพร | ราษฎรศุขเกษมเปรมปรีดิ์ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๕๗๒๏ บัดนั้น | พวกพลอสูรศักดิยักษี |
ทั้งพรานป่าวานรโยธี | ไม่เคยเข้าบุรีอยุทธยา |
เหลียวน่าเหลียวหลังอุตลุด | เดินสดุดผู้คนจนถลา |
บ้างเห็นสาวสาวชาวภารา | ก็ยักคิ้วหลิ่วตาประสาลิง |
จับแมงวันคันขนขู่ตะคอก | กระโดดโลดหลอกหยอกผู้หญิง |
เห็นส้มลูกลูกไม้ก็ไล่ชิง | ยักษ์ลิงยินดีปรีดา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๕๗๓๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
ครั้นรถทองประทับกับเกยลา | จึ่งตรัสสั่งเสนาสุมันตัน |
อันวานรยักษ์มารกับพรานไพร | ให้สำนักนิ์อาไศรยในสวนขวัญ |
ผลาผลโภชนาสารพัน | ส่งให้ทุกวันสามเวลา |
สั่งแล้วลงจากรถทรง | กับองค์อัคเรศเสนหา |
ทั้งสามพระศรีอนุชา | ตามพระมารดามาในวัง |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๒๕๗๔๏ เข้าประตูหูช้างหว่างต้นสน | ขึ้นมณเฑียรท้องพระโรงหลัง |
สถิตย์เหนือแท่นสุวรรณบัลลังก์ | พร้อมพรั่งพระสนมกรมใน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๕๗๕๏ บัดนั้น | แสนสาวท้าวนางน้อยใหญ่ |
ทั้งเถ้าแก่แต่บรรดาอยู่เวียงไชย | มิได้ไปรับสามกระษัตรา |
รู้ว่าเสด็จกลับก็สับสน | ต่างคนเข้าเฝ้าจะเอาหน้า |
ท้าวนางแต่ละคนพ้นปัญญา | พูดจาจ๋อแจ๋แซ่ไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
ช้า
๒๕๗๖๏ เมื่อนั้น | สามพระชนนีศรีใส |
จึ่งตรองตรึกปฤกษากันทันใด | จะมอบไอศวรรยาธานี |
ให้องค์พระอวตารผ่านภารา | เปนมงกุฎอยุทธยากรุงศรี |
แล้วกล่าวรศพจนาวาที | สั่งพระพรตผู้มีปรีชาชาญ |
แม่จะเศกพระราเมศเชษฐา | ให้ครอบครองนัคราราชฐาน |
เจ้าจงให้โหราหาฤกษ์พาร | เร่งรัดจัดการเตรียมไว้ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๒๕๗๗๏ เมื่อนั้น | พระพรตยินดีจะมีไหน |
ถวายบังคมลาคลาไคล | ออกไปยังพระโรงรจนา |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๕๗๘๏ สถิตย์เหนือที่นังบัลลังก์อาสนี | พร้อมอำมาตย์เฝ้าฝ่ายซ้ายขวา |
พระจึ่งมีมธุรศพจนา | กับพระยาพิเภกผู้ภักดี |
สมเด็จพระมาตุรงค์ทรงศักดิ | จะเศกพระหริรักษ์เรืองศรี |
ให้เสวยสวรรยาธานี | จะได้ฤกษ์ยามดีเมื่อวันใด |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๗๙๏ บัดนั้น | พิเภกรับสั่งบังคมไหว้ |
พิเคราะห์ความตามตำราเรียงไว้ | แล้วลงเลขขับไล่ลักษณ์จันทร์ |
ทั้งชั้นโชคโยคเกณฑ์ก็ดีหมด | จึ่งกราบทูลพระพรตรังสรรค์ |
อันฤกษ์ราชพิธีซึ่งดีนั้น | ต่อวันจันทร์เจ็ดค่ำต้องตำรา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๕๘๐๏ เมื่อนั้น | พระพรตสุริวงษ์นาถา |
ชื่นชมสมถวิลจินดา | จึ่งบัญชาตรัสสั่งสมันตัน |
จงจัดที่ปราสาทราชฐาน | เตรียมการพิธีทุกสิ่งสรรพ์ |
ทั้งเครื่องราชาภิเศกทรงธรรม์ | ให้พร้อมไว้ในวันฤกษดี |
แล้วนิมนต์พระวสิฐสวามิตร | ทั้งคณะนักสิทธิฤๅษี |
มาทำมงคลกิจพิธี | กับพราหมณ์ชีปโรหิตโหรา |
อันการเล่นเต้นรำปล้ำมวย | ให้มีสมโภชด้วยทุกภาษา |
ครั้นเสร็จสั่งเสนีแล้วลีลา | เสด็จมาปรางมาศปราสาทไชย |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๒๕๘๑๏ บัดนั้น | สุมันตันเสนาผู้ใหญ่ |
ออกจากพระโรงคัลทันใด | ตรงไปศาลาว่าราชการ |
ให้เสมียนเขียนหมายรายรับสั่ง | บอกทั้งพลเรือนแลทหาร |
เครื่องสมโภชรำเต้นเล่นงาน | ให้เตรียมการตามตำแหน่งทุกแห่งไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๕๘๒๏ บัดนั้น | พวกหมื่นขุนมุลนายน้อยใหญ่ |
ต่างคนรีบร้อนไม่นอนใจ | มาจัดการวุ่นไปที่ในวัง |
ฯ ๒ คำ ฯ
ยานี
๒๕๘๓๏ บ้างจัดแจงแต่งมหาปราสาท | พรมลาดสุจนี่ที่นั่ง |
ทั้งแท่นรัตน์ภัทรบิฐบัลลังก์ | ปูด้วยหนังราชสีห์มีฤทธิ์ |
บ้างปักเสวตรฉัตรดัดเพดาน | ห้อยพวงแก้วประพาฬไพจิตร |
กลดสังข์ตั้งถ้วนทั้งแปดทิศ | แว่นวิเชียรเทียนติดตามตำรา |
บัลลังก์ทองรองพานสุพรรณบัตร | พระสังข์ทักษิณาวัฏเวียนขวา |
จัดครบเครื่องกระษัตริย์ขัติยา | จึ่งให้ตั้งพลับพลาน่าโรงช้าง |
บ้างปลูกโรงหุ่นลครมอญรำ | ที่จะมีมวยปล้ำก็ทุบถาง |
พวกไม้สูงปักไม้รายริมทาง | ต่างต่างเตรียมเสร็จสำเร็จการ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๒๕๘๔๏ บัดนั้น | สุมันตันเสนาปรีชาหาญ |
จึ่งสั่งสังฆการีธรรมการ | จงรีบไปดงดานประเดี๋ยวนี้ |
นิมนต์พระสิทธาสวามิตร | กับองค์พระวสิฐฤๅษี |
ให้พาพวกคณะโยคี | เข้ามาสวดพิธีที่ในวัง |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๘๕๏ บัดนั้น | สังฆการีคำนับรับคำสั่ง |
วิ่งหืดขึ้นคอไม่รอรั้ง | ไปยังไพรวันอรัญวา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๕๘๖๏ ครั้นถึงที่จงกรมอาศรมบท | หว่างเวิ้งเชิงบรรพตภูผา |
สองนายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า | ลงนั่งนวดแข้งขาอยู่ช้านาน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๕๘๗๏ เมื่อนั้น | พระวสิฐเล่นหมากรุกสนุกสนาน |
ตาหูไม่สู้เห็นซมซาน | แพ้ลูกศิษย์สองกระดานทยานใจ |
พนันถอนขนตาเสียห้าเส้น | แล้วตั้งขึ้นเล่นแก้มือใหม่ |
น่าขุนเบี้ยริมทิ่มขัดไว้ | หยิบแว่นตามาใส่เขม้นมอง |
ตามบุญตามกรรมทำให้แตก | เอาม้าฟันเม็ดแลกกินสอง |
น้อยฤๅเบี้ยหงายมันร้ายรอง | เข้าทำนองต้องกลจนกระมัง |
จับเรือรุกผางแล้วพลางว่า | ถอนขนตาห้าเล้นเจ้าเล่นมั่ง |
ผีเทวดามาช่วยก็ไม่ฟัง | คงจะไล่ให้กระทั่งริมกระดาน |
หัวร่อพลางทางเรียกน้ำชาฉัน | ใส่จุหลันมาลองสักสองป้าน |
ดีแต่ใหม่ไว้เก่าไม่เอาการ | หยิบน้ำตาลใส่ลงก่งฅอซด |
ชะชะอร่อยน้อยฤๅนั่น | แม้นมีสักสองขันฉันให้หมด |
จนแน่นท้องต้องขยายราตคด | พระดาบศบ่นอยากมากไป |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๒๕๘๘๏ บัดนั้น | สังฆการีหยุดอยู่สักครู่ใหญ่ |
ได้ยินเสียงพระอาจารย์สำราญใจ | หัวร่อเร่อเอออะไรจะใคร่รู้ |
จะว่าสอนหนังสือศิษย์ก็ผิดทำนอง | เสียงร้องรุกคาดประหลาดอยู่ |
จึ่งย่างย่องมองมาเปิดประตู | เข้าไปปูผ้าห่มก้มกราบกราน |
เห็นฤๅษีสบเพลินเดินหมากรุก | นึกสนุกขึ้นมาไม่ว่าขาน |
แอบหลังนั่งยิ้มอยู่ริมกระดาน | รับประทานขอทีเถิดเจ้าคุณ |
ดีฉันรักชักเรือมาแต้มนี้ | ประทับที่ตาวงตรงน่าขุน |
เบี้ยเขาเคี้ยวเล่นให้เปนจุณ | ชิงฉุดยุดพระคุณขออิกที |
ฯ ๘ คำ ฯ
๒๕๘๙๏ เมื่อนั้น | พระดาบศดึงดื้อถือผี |
ปัดมือไม่ฟังสังฆ์การี | กูเดินดีกว่าออเจ้าเปนเท่าไร |
แต่หนุ่มหนุ่มเมื่อกระนั้นขยันอยู่ | อินทร์เดชะพระครูก็สู้ได้ |
ถึงทั้งแก่งกเงินเดินคลายไป | ฝีมือไล่มวยเม็ดเข็ดทุกคน |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๕๙๐๏ เออนี่มีธุระอะไรนั่น | จึ่งพากันมาในไพรสณฑ์ |
ดูทีกิริยาชอบกล | จะนิมนต์ไปฉันแล้วกระมัง |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๕๙๑๏ บัดนั้น | สังฆการีแจ้งความตามรับสั่ง |
นิมนต์สวดพิธีที่ในวัง | สิ้นทั้งคณะพระสิทธา |
อันสำรับกับเข้าของฉัน | มัดสมั่นเข้าบุหรี่มีหนักหนา |
ไก่พะแนงแกงต้มยำน้ำยา | สังขยาฝอยทองของชอบใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๕๙๒๏ เมื่อนั้น | พระดาบศฟังเล่าน้ำลายไหล |
ของฉันขยันยิ่งทุกสิ่งไป | แต่กระจาดมีฤๅไม่จะใคร่รู้ |
อันสุ้งเสียงรูปทุกวันพานขัด | เพราะเคร่งครัดมิได้ฉันน้ำมันหมู |
แต่นิมนต์แล้วก็ต้องไปลองดู | พอนั่งอยู่ให้เห็นเปนประธาน |
แล้วสอนศิษย์ฤๅษีที่พึ่งบวช | จะไปสวดในปราสาทราชฐาน |
เมื่อขบฉันผันผ่อนพอประมาณ | จักขายหน้าอาจารย์เจ้าวัดวา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๒๕๙๓๏ ว่าพลางต่างเข้าในกุฎี | พระมุนีห่มดองครองผ้า |
ถือไม้ท้าวก้าวลงจากศาลา | พวกฤๅษีชีป่าก็ตามไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๕๙๔๏ ครั้นถึงอยุทธยาธานี | เข้ามาที่ปราสาททองผ่องใส |
สถิตย์นั่งเหนืออาศน์ที่ลาดไว้ | สำรวมใจขัดสมาธิ์มัทยัด |
เหล่าขุนนางข้างฝ่ายกรมวัง | เข้ามานั่งประเคนพานเภสัช |
ธรรมการสังฆ์การีเขาวีพัด | ต่างคนปรนิบัติพระสิทธา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๒๕๙๕๏ บัดนั้น | เสนีสี่นายซ้ายขวา |
เห็นสมควรจวนได้เวลา | มาตรวจตรากระบวนแห่แซ่ซ้อง |
พนักงานอภิรุมชุมสาย | ตั้งตาริ้วรายเปนแถวท่อง |
แตรสังข์กังสดาลฆ้องกลอง | คับคั่งทั้งท้องสนามใน |
มหาดเล็กเชิญพระแสงดาบหอก | ใส่เสื้อครุยล้อมพอกดอกไม้ไหว |
พนักงานยานุมาศเชิญเข้าไป | ประทับไว้ตามเคยที่เกยลา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๒๕๙๖๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา |
ครั้นจวนใกล้ศุภฤกษ์เวลา | เสด็จมาอ่าองค์สรงสินธู |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๒๕๙๗๏ ไขสุหร่ายปรายโปรยตกต้อง | ผินผันหันขนองเข้ารองสู้ |
ทรงสุคนธ์ปนสุวรรณกำพู | หอมรื่นชื่นชูกลิ่นชมด |
ใส่สนับเพลาทรงอลงการ์ | ภูษาเชิงชายลายก้านขด |
ฉลององค์อินทร์ธนูสบัดคด | คาดปั้นเหน่งมรกฏรจนา |
ผ้าทิพย์ชายแครงแสงรยับ | กรองสอซ้อนสลับทับอังษา |
ตาบประดับทับทรวงดวงจินดา | ทรงมหาสังวาลประพาฬรัตน์ |
ทองกรแกวกุดั่นบรรจง | ธำมรงค์ทรงใส่นิ้วพระหัดถ์ |
มงกุฎแก้วแววไวดอกไม้ทัด | กรรเจียกจรจำรัสชัชวาลย์ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ยานี
๒๕๙๘๏ ทรงฉลองพระบาทยาตรา | มายังเกยลาน่าฉาน |
เสนีบังคมก้มกราบกราน | เสด็จทรงพระยานุมาศมา |
พลพวกเกณฑ์แห่แออัด | เปนขนัดนับแสนแน่นหนา |
มหาดเล็กเชิญพระแสงสาตรา | เดินพลางหว่างตาริ้วราย |
พัดโบกจามรชอนตวัน | กลดกลั้นอภิรุมชุมสาย |
ต้นเชือกเลือกล้วนตัวนาย | สอดสะพายสายกระบี่ถักทอง |
ดั้งเขนเกณฑ์เดินเปนคู่คู่ | เกาทัณฑ์ธนูเปนแถวท่อง |
เสียงแซ่แตรสังข์ฆ้องกลอง | ตรงไปทางท้องสนามจันทร์ |
ฯ ๘ คำ ฯ กลองโยน
ร่าย
๒๕๙๙๏ ครั้นถึงเกยลาน่าปราสาท | ลงจากยานุมาศผายผัน |
พร้อมประยูรสุริย์วงษ์พงษ์พันธุ์ | ขึ้นสุวรรณปรางรัตน์รูจี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๖๐๐๏ นั่งเหนือภัทรบิฐบัลลังก์ | อันปูด้วยหนังราชสีห์ |
โหราลั่นฆ้องไชยได้ฤกษ์ดี | พระมุนีก็สวดขึ้นพร้อมกัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๖๐๑๏ บัดนั้น | พวกขุนนางต่างคนหฤหรรษ์ |
พฤฒาเถ้าเผ่าพราหมณ์พรหมจรรย์ | ถวายเครื่องกกุธภัณฑ์พระผ่านฟ้า |
ข้างฝ่ายเหล่าชาวแสงสรรพยุทธ | ถวายอัษฎาวุธคมกล้า |
หมู่มุขทุกตำแหน่งเสนา | ถวายรถคชาสารพัน |
ขุนคลังทูลถวายสมบัติ | แก้วเก้าเนาวรัตน์ทุกสิ่งสรรพ์ |
ท้าวนางนอบนบอภิวันท์ | ถวายนางพระกำนัลสนมใน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๖๐๒๏ บัดนั้น | พระมหาราชครูผู้ใหญ่ |
จึ่งหยิบแว่นเทียนสุวรรณทันใด | เอาจุดไฟแล้วส่งให้เสนา |
ฯ ๒ คำ ฯ
สระบุโหร่ง
๒๖๐๓๏ เวียนเอยเวียนเทียน | ให้เวียนซ้ายส่งวงไปขวา |
นั่งเคียงเรียงรับลำดับมา | โหราลั่นฆ้องขึ้นสามที |
ประโคมทั้งสังข์แตรแซ่เสียง | โห่ร้องก้องสำเนียงอึงมี่ |
ฝ่ายพวกพิณพาทย์มโหรี | ต่างประสานดีดสีมี่ไป |
ฯ ๔ คำ ฯ มหาไชย
ร่าย
๒๖๐๔๏ ครั้นครบสำเร็จเจ็ดรอบ | ตามระบอบบาฬีพิธีไสย |
จึ่งดับเทียนโบกควันทันใด | อ่านเวทถวายไชยมงคล |
ฝ่ายสามสมเด็จพระมารดร | จำเริญพรภูลสวัสดิสัถาผล |
พวกข้าเฝ้าท้าวพระยาสามนต์ | ต่างคนบังคมคัลอัญชลี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๖๐๕๏ ครั้นแล้วสำเร็จเสร็จสรรพ | กรมวังยกสำรับเลี้ยงฤๅษี |
ทั้งของเติมต่างต่างอย่างดี | มาตั้งที่ตรงหน้าพระอาจารย์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๖๐๖๏ เมื่อนั้น | พระจักรีปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
เสด็จจากแท่นรัตน์ชัชวาลย์ | เข้าไปนมัสการพระสิทธา |
แล้วยอบองค์ลงยกสิ่งของ | ประเคนสองดาบศพรตกล้า |
บรรดาพวกข้าเฝ้าท้าวพระยา | เข้าประเคนพระสิทธาทั่วไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๖๐๗๏ บัดนั้น | เหล่าคณะนักธรรม์ฉันได้ |
กำลังอยากหยิบของที่ต้องใจ | หมูไก่แกงต้มยำคำโตโต |
บ้างฉันเป็ดเจ็ดตัวเหลือแต่ปีก | ยังซ้ำวุ้นได้อีกเปนสองโถ |
บ้างฉันไก่พะแนงแกงเทโพ | น้ำยาโอต้นเถาแถมทุกองค์ |
พวกเสนีที่นั่งอยู่ทั้งนั้น | เห็นขบฉันพานจุก็ยุส่ง |
คอยประเคนของเติมเพิ่มลง | ต่างองค์ฉันอร่อยเรียกบ่อยไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
๒๖๐๘๏ ครั้นเสร็จพระสิทธาอาจารย์ | จะรอรั้งนั่งนานเห็นไม่ได้ |
จึ่งถวายพระพรลาคลาไคล | กลับไปหิมวาพนาวัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๒๖๐๙๏ บัดนั้น | พนักงานการสมโภชทุกสิ่งสรรพ์ |
ลงโรงรำเต้นเล่นประชัน | เสียงฆ้องกลองสนั่นทั้งพารา |
พวกลครยืนเครื่องเยื้องย่าง | ตลกใส่หนังค่างเขียนหน้า |
ร้องรำทำทีกิริยา | หยุดเล่นเจรจาอึงไป |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงฉิ่ง
๒๖๑๐๏ หุ่นเชิดชักยนตร์เหมือนคนฟ้อน | กรายกรกรีดหัดถ์ซัดสองไหล่ |
คนเจรจาว่าเรื่องให้เข้าใจ | ตลกไล่เย้าหยอกหลอกล้อ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๒๖๑๑๏ พวกงิ้วโรงใหญ่ใส่เสื้อแสง | เข้ารบกันฟันแทงแขงข้อ |
เล่นกลสันทัดตัดแขนฅอ | เสียงม้าฬ่อเลื่อนลั่นสนั่นไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจางิ้ว
๒๖๑๒๏ บัดนั้น | ประชาชนอลหม่านไม่นับได้ |
มาเที่ยวเดินดูงานสำราญใจ | สิ้นทั้งเด็กผู้ใหญ่ไพร่ผู้ดี |
พวกเจ้าชู้เดินเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง | เย่อหยิ่งหย่งผมห่มแพรสี |
เห็นแม่ม่ายร้ายทานพานมั่งมี | เข้าทำทีทอดสนิทชิดเชื้อ |
นางสาวสาวนั่งม้าน่าโรงลคร | ห่มแพรซ้อนสองชั้นกันเหงื่อ |
ที่มีผัวเหินห่างร้างเรื้อ | เห็นผู้ชายรายเรือทำแย้มยิ้ม |
พวกนักเลงกินเหล้าเมามาย | ออกเดินส่ายพูดพล่ำทำหยุมหยิม |
นางข้าหลวงต่างกรมห่มสีทับทิม | เที่ยวยืนริมโรงงานพ่านไป |
พวกบันทิดปิดขมับนุ่งม่วง | ห่มแพรดวงเดินเยื้องยักไหล่ |
เที่ยวลอยชายกรายข้ามฉนวนใน | โขลนไล่เฆี่ยนตีหนีลนลาน |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๒๖๑๓๏ บัดนั้น | พวกยักษ์ลิงเหล่าลว้าโยธาหาญ |
มาเที่ยวดูเต้นรำสำราญ | เข้าเดินปนอลหม่านกับมนุษย์ |
พวกกะเหรี่ยงลว้าหน้าตาตื่น | เห็นอะไรก็ยืนยั้งหยุด |
บ้างเห็นหญิงรูปงามตามหยอกยุด | บ้างเพลิดเพลินเดินสดุดร้านรวง |
ลางลิงเดินเที่ยวเลี้ยวลัด | กลุ้มสกัดกั้นหน้านางข้าหลวง |
เห็นเด็กเดินถือมะไฟมาหลายพวง | เข้าชิงช่วงใส่ปากไม่อยากอาย |
พวกยักษ์รักผู้หญิงเข้ายืนใกล้ | เขาตกใจวิ่งล้มผ้าห่มหาย |
พวกกุมภัณฑ์พวกลิงกับหญิงชาย | เที่ยวเตร่กร่ายเดินดูเปนหมู่กัน |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๒๖๑๔๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์รังสรรค์ |
ครั้นบ่ายชายแสงสุริยัน | ทรงธรรม์เสด็จมาพลับพลาไชย |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๒๖๑๕๏ นั่งเหนือพระยี่ภู่ปูลาด | พร้อมอำมาตย์มาตยาน้อยใหญ่ |
จึ่งตรัสสั่งราชมันทันใด | จงเรียกให้คู่มวยมาชกกัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๖๑๖๏ บัดนั้น | พวกมวยสามารถคาดหมัดมั่น |
คู่แรกแหวกวงเข้ามาพลัน | บังคมคัลพระองค์ทรงพิภพ |
แล้วลุกขึ้นจดหมัดปัดเท้าขวา | ยื่นหน้ากลอกฅอฬ่อหลบ |
เข้าซ้อมหมัดปัดป้องถองกระทบ | รับประจบปากเจ่อคนเอออึง |
เปลี่ยนกันชกฟกนอไม่ท้อถอย | ปัดตีนต่อยปะเตะซ้ำต้ำผึง |
เข้ากอดเกี่ยวเกลียวกลมล้มตึง | ได้ยกหนึ่งหยุดไว้คู่ใหม่มา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา แทงวิไสย
๒๖๑๗๏ กระบี่แขกมลายูสู้กับดั้ง | ต่างระวังเอนชายซ้ายขวา |
ลวงฬ่อย่อขยับกายา | เห็นพลั้งท่าได้ทีเข้าตีกัน |
ฯ ๒ คำ ฯ กลองแขก
๒๖๑๘๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์รังสรรค์ |
ชอบพระไทยให้ประทานรางวัล | แล้วทรงธรรม์ตรัสสั่งเสนี |
จงเปรียบลิงกับยักษ์เข้าสักคู่ | ให้มันปลั้ากันดูเล่นที่นี่ |
พวกมนุษย์น้อยใหญ่ในบุรี | จะได้เห็นฤทธีโยธา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๒๖๑๙๏ บัดนั้น | เสนีรับสั่งใส่เกษา |
ออกไปริมโรงช้างข้างพลับพลา | ร้องเรียกลิงเข้ามากับยักษ์มาร |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๒๖๒๐๏ ได้คู่หมู่กระบี่ราชมัน | กับกุมภัณฑ์พวกตำรวจอวดกล้าหาญ |
แต่ล้วนล่ำใหญ่ใหญ่เห็นได้การ | เสนาพาคลานเข้าไปพลาง |
ฯ ๒ คำ ฯ
๒๖๒๑๏ บัดนั้น | คู่ปล้ำทำท่าทั้งสองข้าง |
วานรหลอกกลอกฅอเกาคาง | ยักษ์ย่างสามขุมคอยรับ |
ลิงกระโดดโลดไล่ไขว่คว้า | อสุราเหียนหันประจันจับ |
หลบลอดกอดกลมล้มทับ | ทั้งยักษ์ลิงกลิ้งกลับไปกลางแปลง |
ฯ ๔ คำ ฯ แทงวิไสย
๒๖๒๒๏ บัดนั้น | พวกคนดูหัวร่อจนฅอแห้ง |
บ้างเอะอะอึงอัดวัดแว้ง | บ้างพลาดแพลงล้มลุกคลุกคลาน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา