อธิบายเรื่อง โสวัตกลอนสวด
[๑]เรื่องโสวัตเป็นนิทานไทยโบราณ เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า “โสวัตนางประทุม” เรื่องนี้เป็นที่รู้จักในสังคมไทยสมัยอยุธยาสืบมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ดังปรากฏหลักฐานในสมุดภาพหนังสือสวดสมัยอยุธยา สมบัติของวัดสุวรรณภูมิ จังหวัดสุพรรณบุรี สมุดภาพเล่มดังกล่าว มีจิตรกรรมเรื่องโสวัตประกอบอยู่ด้วย พิจารณาจากเทคนิคจิตรกรรมที่ปรากฏแล้ว สันนิษฐานว่าภาพเรื่องโสวัตในหนังสือสวดของวัดสุวรรณภูมิน่าจะเขียนขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย
นอกจากจิตรกรรมในหนังสือสวดของวัดสุวรรณภูมิแล้ว ยังปรากฏภาพเรื่องโสวัตเขียนไว้บนตู้พระธรรมลายรดน้ำหลายหลังซึ่งเก็บรักษาไว้ ณ หอพระสมุดวชิรญาณ ตู้พระธรรมดังกล่าวมีทั้งที่เป็นฝีมือช่างสมัยอยุธยา สมัยธนบุรีและสมัยรัตนโกสินทร์ แสดงให้เห็นว่าเรื่องโสวัตเป็นที่รู้จักในสังคมไทยสืบเนื่องมานานนับร้อยปี
ส่วนหลักฐานที่เป็นเอกสารนั้น ในหนังสือสุบินกลอนสวด มีเนื้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า พระเจ้ากรุงสาวัตถีรับสั่งให้จัดมหรสพต่าง ๆ สมโภชในคราวอุปสมบทสุบินกุมาร ระบุถึงการเล่นละครเรื่องโสวัต กับตอนตั้งแต่โสวัตกุมารเดินดงไปจนถึงได้นางศุภลักษณ์
๏ ยังเหล่าละคร | |
ปากเล่ากล่าวกลอน | มือรำซ้ายขวา |
ลูกโล้ร้องรับ | ตีกรับฉ่าฉ่า |
เล่นเมื่อราชา | โสวัตเดินดง |
๏ ออกแดนเมืองยักษ์ | |
พบนางศุภลักษณ์ | ที่ริมสระสรง |
เห็นโฉมกัลยา | ยาจิตรพิศวง |
ครั้นค่ำพระองค์ | ลอบไปสมสอง |
ใน โคลงถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิพระพุทธเจ้าหลวง ซึ่งกรมหมื่นศรีสุเรนทร์ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเป็นจดหมายเหตุคราวที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมอัฐิสมเด็จพระชนกาธิบดีมาถวายพระเพลิงอีกครั้ง เมื่อพุทธศักราช ๒๓๓๘ โคลงบทหนึ่งกล่าวว่า มีการเล่นหุ่นเรื่องโสวัต เป็นมหรสพสมโภชในคราวนั้นด้วย
โรงหนึ่งหุ่นเหล้นเรื่อง | โสวัต |
พระเสด็จโดยดงดัด | ดุ่มเด้า |
พบองค์อนงค์สวัสดิ์ | ปทุเมศ |
สมสนิทเชยเคล้า | สอดคล้องสองเกษม ฯ |
หลักฐานทางวรรณคดีที่ระบุถึงการนำเรื่องโสวัตมาแต่งเป็นบทละครและบทสำหรับเล่นหุ่นนั้น แสดงว่าเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสังคมไทยสมัยโบราณ อนึ่ง นิทานเรื่องโสวัตน่าจะเป็นที่รู้จักกว้างขวางในภูมิภาคนี้ เพราะนิทานดังกล่าวยังเล่าขานกันอยู่ในหมู่ชาวลาวจนถึงปัจจุบัน
เรื่องย่อ
เรื่องโสวัตตามที่ปรากฏในกลอนสวดสำนวนที่กรมศิลปากรตรวจสอบและจัดพิมพ์ครั้งนี้ เนื้อเรื่องตามต้นฉบับสมุดไทยเอกสารเลขที่ ๖๐๓ มีว่า พระเจ้าพรหมทัต กษัตริย์แห่งเมืองพรหมกุฏ มีมเหสีชื่อนางสุมณฑาเทวี คราวหนึ่งพระนางทรงสุบินอัศจรรย์ หลังจากนั้น ไม่นานก็ทรงครรภ์และประสูติพระโอรสที่มีบุญญาธิการมาก ขณะที่กำลังทรงครรภ์อยู่นั้น นางม้าตัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ใต้ปรางค์ปราสาทก็ตั้งท้องและตกลูกเป็น “ม้าผู้ขาวผ่อง” รูปร่างงดงาม สีกายดังสำลี
พระเจ้าพรหมทัตทรงตั้งนามพระโอรสว่า โสวัตกุมาร โหรทำนายว่าภายหน้าพระกุมารจะมีชายาถึง ๔ องค์ ครั้นโสวัตกุมารเจริญวัยขึ้นพระบิดาก็สร้างปราสาทให้ประทับและตั้งเป็นฝ่ายหน้า
ยังมีนางฟ้าองค์หนึ่งจุติจากสวรรค์ลงมาเกิดในดอกบัวใกล้อาศรมของพระฤๅษี ดอกบัวนั้นมีขนาดใหญ่ผิดกว่าดอกบัวทั้งหลาย พระฤๅษีได้พบกุมารีในดอกบัวจึงนำมาเลี้ยงไว้เป็นธิดา ให้นามตามชาติกำเนิดว่า ประทุมวดี นางมีกลิ่นกายหอมดังเกสรบัวหลวงและมีรูปโฉมงดงามยิ่ง อยู่มาจนมีอายุย่างเข้ารุ่นสาว วันหนึ่งนางเก็บดอกไม้มาร้อยกรองเป็นพวงมาลัย อธิษฐานว่า ถ้าใครเป็นคู่ครองของนางขอให้พวงมาลัยนี้ไปคล้องข้อมือผู้นั้นไว้ เสี่ยงแล้วนางก็ลอยมาลัยลงในลำธารใกล้อาศรม ด้วยบุพเพสันนิวาส พวงมาลัยของนางประทุมวดีลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปจนถึงเมืองพรหมกุฏเป็นเวลาเดียวกับที่โสวัตกุมารลงสรงสนาน พวงมาลัยก็ลอยเข้าสวมข้อพระกรไว้ พระกุมารสนเท่ห์พระทัยนักจึงให้โหรทำนาย โหรทูลว่า หากพระองค์เสด็จไปทางทิศตะวันออกจะได้เจ้าของมาลัยเป็นคู่ครอง
โสวัตกุมารจึงไปทูลพระบิดาพระมารดาเพื่อขอประพาสป่า ทั้งสองพระองค์ทรงทัดทานแต่ในที่สุดก็ต้องยอมให้โสวัตกุมารเสด็จไปตามพระทัยปรารถนา โสวัตกุมารสั่งเสนาให้จัดเตรียมม้าต้นคู่บารมี (ในนิทานลาวว่าชื่อม้า “มณีกาบ”) ครั้นเสด็จประทับม้าก็โผนขึ้นบนอากาศ พาโสวัตกุมารเหาะไปทางทิศตะวันออกจนบรรลุถึงอาศรมพระฤๅษี ผู้เป็นบิดาของนางประทุมวดี ขณะนั้นพระฤๅษีไม่อยู่ โสวัตกุมารพบนางกำลังไกวชิงช้าขับลำนำรำพันถึงพวงมาลัยที่เสียงไปกับสายน้ำ ทั้งสองได้พูดจาฝากรักกันด้วยความเสน่หา เมื่อพระฤๅษีกลับมาแล้วโสวัตกุมารขออยู่ศึกษาวิชาที่อาศรมนั้นด้วย ต่อมาพระฤๅษีจัดการอภิเษกให้ทั้งสองอยู่ครองคู่กัน เวลาล่วงไปจนนางประทุมวดีทั้งครรภ์ได้ ๓ เดือน รวมเวลาตั้งแต่โสวัตกุมารออกจากเมืองมาได้ ๑๐ เดือน ม้าต้นจึงทูลเตือนให้พาพระชายากลับไปยังบ้านเมืองโสวัตกุมารผัดผ่อนขออยู่ปรนนิบัติสนองคุณพระฤๅษีสักระยะหนึ่ง ม้าต้นท่องเที่ยวไปตามบ้านเมืองต่างๆ โดยลำพังจนลุถึงกรุงชนบทของท้าวจิตราสูร ม้าต้นเหาะข้ามเมืองทำให้พญาปักษ์เจ้าเมืองโกรธมาก ฉวยกระบองเหาะตามไปและเกิดการต่อสู้กัน ท้าวจิตราสูรถูกม้าทำร้ายบาดเจ็บ จึงร้องเรียกให้เสนายักษ์ช่วยกันล้อมจับม้าไว้ได้แล้วนำไปขังไว้ในกรงเหล็ก
วันหนึ่งโสวัตกุมารกับนางประทุมวดีพากันเที่ยวไปในป่า แสวงหาผลไม้มาถวายพระฤๅษี พรานป่าผู้หนึ่งเที่ยวล่าสัตว์ได้เห็นรูปโฉมของนางประทุมวดีก็ใคร่จะได้ไปถวายพระราชาของตน จึงใช้ธนูพิษลอบยิงโสวัตกุมารสิ้นพระชนม์แล้วบังคับนางประทุมวดีให้เดินทางไปกับตน เวลาล่วงไป ๑๕ วัน นางประทุมวดีแสร้งทำอุบายลวงให้พรานป่าวางใจแล้วใช้มีดฟันพรานป่าถึงแก่ความตาย นางเดินทางไปจนถึงฝั่งแม่น้ำกว้างใหญ่ พอดีมีนายสำเภาแล่นเรือผ่านมาพบเข้าก็ประสงค์ที่จะได้นางเป็นภรรยาจึงบังคับให้ลงเรือไปด้วย นางอ้อนวอนว่าขณะนี้นางกำลังมีครรภ์แก่ขอให้นายสำเภาปรานี ต่อเมื่อคลอดแล้ว จึงจะอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา นางใช้อุบายเลี้ยงข้าวปลาสุราบานจนนายสำเภาและบริวารต่างเมามายหลับไปสิ้นแล้วนางก็ขนข้าวปลาอาหารและเสื้อผ้าใส่เรือเล็ก (สัดจอง) ลอบหนีไปในคืนนั้น
ฝ่ายพระฤๅษีคอยโสวัตกุมารกับนางประทุมวดีอยู่จนค่ำ เห็นผิดสังเกตคิดว่าคงจะมีเหตุร้ายอย่างใดอย่างหนึ่งจึงออกติดตามหา พบโสวัตกุมารสิ้นพระชนม์อยู่เพียงลำพัง พระฤๅษีชุบโสวัตกุมารให้ฟื้นขึ้น สอบถามได้ความแล้วก็ให้รีบติดตามนางไป
โสวัตกุมารเดินทางไปจนถึงฝั่งน้ำแห่งหนึ่ง พบนางเงือกสาวถูกทำร้ายจนเสียชีวิต จึงใช้น้ำมันวิเศษที่พระฤๅษีให้มาทาไปที่ร่าง นางเงือกก็กลับฟื้นขึ้น โสวัตกุมารได้นางเงือกเป็นชายาและวอนให้นางช่วยพาไปส่งยังฝั่งตรงข้าม นางเงือกทูลว่า ฝั่งตรงข้ามเป็นเมืองยักษ์ที่ดุร้ายมาก แม้แต่ม้าตัวหนึ่งเหาะผ่านยังถูกจับขังไว้ในกรงเหล็ก โสวัตกุมารได้ทรงทราบข่าวม้าที่หายไปก็ดีพระทัย ครั้นนางเงือกพาไปส่งถึงที่หมายแล้วก็ซ่อนพระองค์อยู่ในพุ่มไม้ใกล้สระน้ำ
กล่าวถึงนางศุภลักษณ์ ธิดาของท้าวจิตราสูร วันนั้นนางกับเหล่าสาวใช้พากันไปเล่นน้ำที่สระใกล้พุ่มไม้ซึ่งโสวัตกุมารแอบซ่อนอยู่ นางศรีวรดีพี่เลี้ยงของนางศุภลักษณ์เล่นซ่อนหากับเหล่าสาวใช้ บังเอิญนางหลบเข้าไปซ่อนในพุ่มไม้ โสวัตกุมารพบเข้าจึงเกี้ยวพานจนได้นางเป็นชายา ก่อนที่นางศรีวรดีจะกลับได้นัดแนะว่า เพลาค่ำคืนนี้จะลอบเข้าไปหา ถึงเวลาที่นัดหมายโสวัตกุมารก็ใช้มนตร์สะกดทหารที่เฝ้ายามแล้วลอบเข้าไปเชยชมนางศรีวรดี จากนั้นก็ถามถึงห้องบรรทมของพระธิดาศุภลักษณ์และลอบเข้าไปหาจนได้นางเป็นชายาอีก โสวัตกุมารอยู่ในตำหนักกับนางศุภลักษณ์โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ นอกจากนางพี่เลี้ยงศรีวรดี วันหนึ่งจิตรีกุมารอนุชาของนางศุภลักษณ์ไปเยี่ยมพระพี่นางแล้วกลับมาทูลท้าวจิตราสูรว่า นางศุภลักษณ์ประชวรไม่สามารถขึ้นมาเฝ้าพระบิดาได้ ท้าวจิตราสูรจึงคิดจะไปเยี่ยม
ความในโสวัตกลอนสวดตามสมุดไทย เอกสารเลขที่ ๖๐๓ จบลงเพียงที่กล่าวมา เรื่องโสวัตตอนต่อจากนี้ปรากฏในหนังสือนิทานลาว (เรื่องท้าวโสวัด) ของ ส.พลายน้อย สรุปความได้ว่า โสวัตกุมารอยู่กับนางศุภลักษณ์ระยะหนึ่งก็ทำอุบายจนได้ม้าคืนแล้วลานางเพื่อออกตามหานางประทุมวดี ขณะที่ขี่ม้าเหาะขึ้นบนอากาศนั้น ม้าก็ร้องเยาะเย้ยพวกยักษ์ว่า “ลูกเขยจะไปแล้ว ยังมัวนอนอยู่ไม่ลุกมาดูหน้าลูกเขยบ้างเลย” ท้าวจิตราสูรได้ยินเช่นนั้นก็ออกติดตามได้รบกันแต่ไม่สามารถจับตัวโสวัตกุมารได้ นางศุภลักษณ์จะเดินทางไปด้วยแต่โสวัตกุมารไม่ยอม ขอให้นางรออยู่ก่อนแล้วจะกลับมารับในภายหลัง นางไม่ละความตั้งใจจึงออกเดินเท้าตามไป โสวัตกุมารก็ใจแข็งไม่ยอมลงมารับ นางศุภลักษณ์เดินป่าไปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่งจึงว่ายข้าม ขณะนั้นนางกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ครั้นถึงกลางแม่น้ำก็อ่อนแรงใกล้จะจมน้ำ บังเอิญนางประทุมวดีซึ่งพายเรือเล็กหนีนายสำเภาผ่านมาพบเข้าช่วยเหลือไว้ทันท่วงที สอบถามได้ความว่ากำลังตามหาโสวัตกุมารอยู่เช่นกัน นางประทุมวดีกับนางศุภลักษณ์พากันเดินป่าต่อไป อยู่มานางประทุมวดีประสูติโอรสก่อน หลังจากนั้นไม่กี่วันนางก็ถูกงูเห่ากัด นางศุภลักษณ์เข้าใจว่านางประทุมวดีสิ้นชีวิตแล้ว
สมุดไทย เอกสารเลขที่ ๖๐๔ เรื่องโสวัตกลอนสวด ดำเนินเนื้อความตั้งแต่ นางศุภลักษณ์คร่ำครวญถึงนางประทุมวดีและสั่งความวานรซึ่งอาศัยอยู่ที่นั้นว่า หากโสวัตกุมารติดตามมาขอให้ช่วยบอกข่าวด้วย แล้วนางก็อุ้มพระโอรสของนางประทุมวดีเดินทางต่อไปจนถึงวิมานของนางเทพธิดาซึ่งล้อมรอบด้วยสระน้ำกรด นางศุภลักษณ์ร้องบอกเข้าไปว่าจะขออาศัยอยู่ด้วยแต่จนใจที่นางไม่สามารถข้ามลำธารน้ำกรดเข้าไปได้ ด้วยบุญญาธิการของพระโอรสทำให้ร้อนถึงพระอินทร์ ต้องมาเนรมิตสะพานแก้วให้นางข้ามไปถึงวิมานได้อย่างปลอดภัย นางศุภลักษณ์เล่าเรื่องราวของตนให้ฟัง นางเทพธิดามีความสงสาร จึงสัญญาเป็นพี่น้องกันและช่วยเลี้ยงดูพระโอรสอยู่ที่วิมานนั้น
กล่าวถึงท้าวมัททราช กษัตริย์แห่งเมืองมัททราช เทวดาดลใจให้เสด็จออกประพาสป่าพบนางประทุมวดีนอนสลบอยู่ ตรวจดูพบว่าถูกงูกัด จึงให้หมองูแก้ไขจนนางฟื้นขึ้น ท้าวมัททราชประสงค์จะได้นางเป็นมเหสีแต่นางอ้อนวอนขอให้เลี้ยงดูนางไว้เป็นธิดา ท้าวมัททราชทรงยินยอมและพานางกลับไปยังเมืองมัททราช
สมุดไทย เอกสารเลขที่ ๖๐๔ ตอนกลางเล่มชำรุดขาดหายไปส่วนหนึ่ง เหลือเนื้อความตอนปลายสมุดว่า โสวัตกุมารขี่ม้าเหาะข้ามธารน้ำกรดเข้าไปถึงวิมานของนางเทพธิดาที่นางศุภลักษณ์อาศัยอยู่ด้วย ม้าต้นทูลยุให้โสวัตกุมารเข้าหานางเทพธิดากระทั่งได้นางฟ้าบริวาร ๗ นางที่เฝ้าประตูวิมานเป็นชายา ยังไม่ทันเข้าห้องนางเทพธิดา ความในสมุดไทยจบลงตอนที่นางค่อมบริวารโต้เถียงกับม้าต้น ส่วนเนื้อเรื่องตอนที่ขาดหายไปก่อนหน้านี้สันนิษฐานว่า คงใกล้เคียงกับนิทานลาว กล่าวคือขณะที่โสวัตกุมารออกติดตามหานางประทุมวดี พบครุฑกำลังจะจับพญานาคก็มีใจสงสารจึงยิงธนูให้ครุฑตกใจจนยอมปล่อยพญานาค ฝ่ายพญานาคสำนึกในบุญคุณจึงพาโสวัตกุมารลงไปยังเมืองบาดาลแล้วยกธิดาให้เป็นชายา อยู่ในเมืองบาดาลได้ระยะหนึ่ง ก็ลาพญานาคและธิดานาคออกตามหานางประทุมวดี ท่องเที่ยวไปจนถึงเมืองมัททราช พบนางประทุมวดีบวชเป็นฤๅษี จากนั้นโสวัตกุมารก็รับชายาทั้ง ๔ คือ นางประทุมวดี นางศุภลักษณ์ นางนาค นางเทพธิดา กับโอรสทั้ง ๖ ที่เกิดจากนางประทุมวดีและนางศุภลักษณ์กกับไปครองราชสมบัติในเมืองพรหมกุฏสืบต่อจากพระบิดา
นิทานเรื่องโสวัตนี้มีเนื้อหาหลายประเด็นคล้ายคลึงกับเรื่องสุธนูในปัญญาสชาดกและเรื่องปาจิตกุมารในนิทานพื้นบ้าน ทั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่า นิทานทั้งสามเรื่องมีจุดกำเนิดร่วมกัน ครั้นมีการเล่าสืบต่อกันในลักษณะของ “มุขปาฐะ” จึงทำให้เกิดความแตกต่างในภายหลัง
การตรวจสอบชำระ
การตรวจสอบชำระเรื่องโสวัตกลอนสวดครั้งนี้ ใช้เอกสารโบราณซึ่งเก็บรักษาไว้ที่กลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก สำนักหอสมุดแห่งชาติ ได้แก่ สมุดไทย เอกสารเลขที่ ๖๐๓ หมวดวรรณคดี หมู่กลอนสวด เรื่องโสวัต และสมุดไทย เอกสารเลขที่ ๖๐๔ หมวดวรรณคดี หมู่กลอนสวด เรื่องโสวัต
เอกสารเลขที่ ๖๐๓ เริ่มต้นด้วยบทนมัสการ แต่งเป็น “ยานี” จำนวน ๘ บท ดังนี้
๏ นบนิ้วขึ้นเหนือเกล้า | ต่างบุบบาอันบวร |
ไหว้พระปฏิมากร | อันสั่งสอนสัตว์ทั้งหลาย |
๏ ยอกรใส่เหนือเกล้า | ทุกค่ำเช้าบว่างวาย |
พระธรรมอันมากมาย | สั่งสอนสัตว์พ้นสงสาร |
๏ ก้มเกล้าข้ากราบลง | ไหว้พระสงฆ์ศีลาจาร |
คุณแก้วสามประการ | ยกใส่เกล้าในเกศา |
๏ ไหว้ครูผู้สั่งสอน | ทั่วทุกท่านบคลาดคลา |
บิดรแลมารดา | คุณยิ่งกว่าคนทั้งหลาย |
๏ ข้าเจ้าจะขอผูก | ถ้าผิดถูกในนิยาย |
บทบาทถ้าคลาดคลาย | พอพลั้งพลาดอย่าติเตียน |
๏ ตัวข้าใช่นักปราชญ์ | เป็นเชื้อชาติคงแก่เรียน |
ผิดชอบช่วยแต้มเขียน | บำรุงไว้ตามบูราณ |
๏ ถ้าหากว่าผู้ใด | เรียนขึ้นใจรู้ฉะฉาน |
บทบาทคลาดช่วยวาน | จงคิดอ่านตามทางธรรม์ |
๏ บถูกอย่างว่านั้น | แต่บูราณย่อมเสกสรร |
พระเจ้าเทศนาธรรม์ | บำรูงสัตว์ทั่วทั้งหลาย ฯ |
เมื่อจบบทนมัสการแล้วแต่งเป็น “สุรางคนางค์” บอกลักษณะของเรื่องว่าเป็น “นิทานชาดก” ซึ่งว่าด้วยการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ในอดีตชาติก่อนพระชาติที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
๏ ไหว้หมู่พระสงฆ์ | |
ใจจิตคิดปลง | ฟังพระศาสดา |
เมื่อหน่อพระญาณ | สร้างสมภารมา |
จึ่งกล่าวคาถา | บทต้นบนาน |
๏ ราชาเอโก | |
ตามโพธิเท่านั้น | โอฬารเรืองฤทธิ์ |
ประเสริฐล้ำเลิศ | ใครจะเทียมปาน |
นามกรภูบาล | พรหมทัตจักรี |
๏ รัชชังคารี | |
พาราณสี | ยาวรีที่สุด |
ท้าวได้เสวยราชย์ | ในเมืองพรหมกุฏ |
ท้าวเป็นเกษมสุข | แต่พระราชา |
๏ โอมนะโม | |
มเหสิโส | ยวดยิ่งเทวา |
ตรัสทรงพระนาม | ตามวงศ์กระษัตรา |
ชื่อสุมณฑา | หยาดฟ้านางสวรรค์ |
จะเห็นว่าคำประพันธ์ในบท “ราชาเอโก” และ “รัชชังคารี” ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดทางฉันทลักษณ์เมื่อเปรียบเทียบกับคำประพันธ์ตอนอื่นๆ ในเรื่องนี้ เข้าใจว่าความบกพร่องที่ปรากฏในคำประพันธ์บทดังกล่าวน่าจะเกิดจากการคัดลอกผิด การตรวจชำระครั้งนี้ได้เทียบกับกลอนสวดเรื่องอื่นๆ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกัน แล้วนำมาปรับแก้ไขคำประพันธ์ทั้ง ๒ บท ดังที่พิมพ์อยู่ในหนังสือนี้
อนึ่ง สมุดไทย เอกสารเลขที่ ๖๐๓ ระบุไว้ในตอนต้นของกลอนสวดว่าเป็นนิทานชาดก แต่ไม่ปรากฏชาดกเรื่องโสวัตทั้งในนิบาตชาดกและปัญญาสชาดก ลักษณะดังกล่าวปรากฏในวรรณกรรมกลอนสวดเรื่องอื่นด้วย เช่น นางอุทัยกลอนสวด เป็นต้น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้แต่งประสงค์จะให้เรื่องราวนั้นคงถาวร เป็นที่นับถือเช่นเดียวกับนิทานชาดก ซึ่งเป็นพุทธวัจนะ จึงอ้างว่าเรื่องโสวัตเป็นนิทานชาดก
ตอนปลายหน้าต้นสมุดไทย เอกสารเลขที่ ๖๐๓ จบหน้าสมุดลงตอนที่โสวัตกุมารต้องธนูพิษของพรานป่าคือ
๏ เห็นโฉมบริสุทธิ์ | |
ฤๅว่ามนุษย์ | เลิศล้ำเทวา |
ชะรอยกระษัตริย์ | พลัดพรากเมืองมา |
จักผลาญชีวา | ผัวให้สิ้นปราณ |
๏ จักเอาเมียไป | |
ถวายแก่ภูวไนย | จักได้รางวัล |
จึ่งขึ้นปืนยา | สองตาเมียงมอง |
ยิงไปผายผัน | ต้องพระราชา |
๏ สมเด็จภูมี | |
เรียกนางมเหสี | ช่วยพี่ด้วยรา |
เรียมจักมอดม้วย | ด้วยพิษปืนยา |
กลิ้งเกลือกไปมา | โลหิตลามไหล |
๏ จึ่งอรเทวี | |
เหลียวเห็นภูมี | ตระหนกตกใจ |
กรกอดภูเบศ | ชลเนตรลามไหล |
เหตุการณ์สิ่งใด | เป็นดังนี้นา |
เมื่อกลับหน้าสมุดไทยขึ้นหน้าปลายตั้งแต่หน้า ๑ ถึงหน้า ๕ เขียนด้วยตัวอักษร “ไทยย่อ” ซึ่งเป็นรูปแบบตัวอักษรที่นิยมในสมัยอยุธยาตอนปลาย เนื้อความหน้าแรกต่อเนื่องกับปลายหน้าต้นดังนี้
๏ ไม่รู้ที่จะคิด | |
บ่มีความผิด | สักกึ่งเกศา |
ฤๅมันจักใคร่ | ได้ข้าบริจา |
ผลาญชีพเจ้าฟ้า | ให้ม้วยฉิบหาย |
๏ สิ้นบุญตรัสแล้ว | |
ชีพของเมียแล้ว | ไม่คิดเสียดาย |
ปืนยาพิษนัก | ปักทรวงดวงใน |
ให้ชีพข้าวาย | ด้วยพระราชา |
ฯลฯ
เอกสารเลขที่ ๖๐๓ หน้าสุดท้ายจบลงตอนที่ จิตรีกุมารอนุชาของนางศุภลักษณ์ขึ้นเฝ้าท้าวจิตราสูร
๏ กุมารก้มเกล้า | |
ข้าพระพุทธิเจ้า | ไปเยียนเทวี |
พระเคราะห์กวดขัน | เพราะฝันไม่ดี |
สามเดือนพระพี่ | จึ่งจะพ้นโทษา |
๏ บิดาได้ฟัง | |
ใจจิตคิดหวัง | เถิงพระธิดา |
พ่อจักเสด็จไป | ให้เห็นแก่ตา |
พระเคราะห์ธิดา | เจ้าเป็นประการใด |
๏ กุมารก้มเกล้า | |
ขอพระองค์เจ้า | อย่าเพ่อเสด็จไป |
ประชวรเพียงนี้ | เห็นมิเป็นไร |
จักเคืองพระทัย | สมเด็จบิดา |
๏ มีโองการตอบ | |
เจ้าทูลนี้ชอบ |
เรื่องโสวัตกลอนสวดน่าจะดำเนินต่อไปอีกในเล่มที่ ๒ แต่ไม่พบต้นฉบับ เข้าใจว่าคงสูญหายไปแล้ว
เอกสารเลขที่ ๖๐๔ เขียนด้วยตัวอักษร “ไทยย่อ” ทั้งเล่ม คำประพันธ์หน้าสมุดแรกแต่งเป็น “สุรางคนางค์”ข้อความชำรุดลบเลือน เริ่มต้นด้วยบทนมัสการแล้วดำเนินเรื่องตั้งแต่นางศุภลักษณ์สั่งความวานร ซึ่งอยู่ใกล้บริเวณที่นางประทุมวดีถูกงูกัดขอให้ช่วยบอกข่าวถึง โสวัตกุมาร
๏ ขอกล่าวนิยาย | |
เป็น.............. | ............... |
................. | .............นิทาน |
โสวัตกุมาร | เลิศล้ำโลกา |
๏ นางสั่งไว้สรรพ | |
ถ้าพระโสวัต......... | เถิงพระ....... |
.................. | ...........บรรลัย |
ศุภลักษณ์ร่ำไห้ | ไปด้วยลูกยา |
๏ พานรรับคำ | |
................... | .................. |
เจ้าสั่งเสียไว้ | ท้าวให้ตามา |
ตกนักงานข้า | จะทูลภูมี |
๏ ..............ไท้ | |
จะรักษาไว้ | กว่าจะพบภูมี |
กลัวแต่เสือสาง | ที่กลางพงพี |
จะมาราวี | เท่านี้แลนา |
๏ นางฟังวานร | |
เจ้ายอพระกร | ข้อนทรวงครวญหา |
ค่อยอยู่เถิดนะพี่ | น้องนี้จะขอลา |
ซบพระเกศา | ลงกับซากผี |
ฯลฯ
จากนั้นดำเนินเนื้อความไปจนถึงท้าวมัททราชช่วยเหลือนางประทุมวดีและวานรบอกข่าวนางศุภลักษณ์แก่นางประทุมวดี
๏ นางได้ฟังข่าว | |
อกร้อนผะผ่าว | รำจวนครวญคราง |
ตีทรวงคำสรด | ระทดเถิงนาง |
ป่าดงพงกว้าง | นางก็ไปแห่งใด |
๏ เจ้าจักลำบาก | |
ตกไร้ได้ยาก | จะเห็นหน้าใคร |
เสือสีห์แรดช้าง | ที่กลางพงไพร |
จะเบียดเบียนให้ | เจ้าไซร้มรณา |
๏ แม่ลูกสองคน | |
ระเหระหน | เป็นพ้นปัญญา |
สุดรู้สุดฤทธิ์ |
เอกสารเลขที่ ๖๐๔ ตอนกลางขาดหายไปหลายหน้า (ไม่ทราบจำนวนแน่นอน) จนถึงปลายเล่มสมุดปรากฏเนื้อความแต่งเป็น “สุรางคนางค์” กล่าวถึงโสวัตกุมารกับม้าต้นเดินทางไปถึงวิมานของ นางเทพธิดาที่นางศุภลักษณ์อาศัยอยู่ด้วย
๏ เห็นพิมานแก้ว | |
เรียงรายพรายแพร้ว | แสงแก้วรจนา |
ทำไฉนจักได้ | นางไท้ธิดา |
พี่ม้าอาชา | จักคิดกลใด |
๏ จึ่งม้าอาชาไนย | |
ทูลแก่จอมไตร | โสวัตราชา |
มาเราจะข้ามไป | น้ำไหลไคลคลา |
ให้เถิงมหา | ปราสาททรามวัย |
ฯลฯ
ความในสมุดไทย เอกสารเลขที่ ๖๐๔ จบลงตอนที่นางค่อมพี่เลี้ยงของนางเทพธิดาโต้เถียงกับม้าต้น
๏ นางค่อมร้องไป | |
กริ้วโกรธคือไฟ | หวั่นไหวอาตมา |
มึงมาทำเข็ญ | จะเป็นไรนา |
กูนี้มิว่า | มึงมาเคยใจ |
๏ กุมชายไร้แล้ว | |
ร้องมาแจ้วแจ้ว | มึงร้องด่าใคร |
อวดตัวว่าดี | มานี่เป็นไร |
มึงร้องอยู่ไหน | เหตุไรมิมา ฯ |
เมื่อจบคำประพันธ์บทสุดท้าย มีข้อความว่า “พระธรรมโสวัตจบบริบูรณ์แต่เท่านี้แล ท่านบาพิมภพุทธิเขียนไปนั้นหามิได้แล้ว อาตมาภาพขอนิพพานปัจจโยโหตุ” ข้อความดังกล่าวบ่งว่า ท่านบาพิมภพุทธิ เป็นผู้เขียนซึ่งอาจหมายความว่าท่านเป็นผู้แต่งเรื่องโสวัตกลอนสวดไว้ แต่ฉบับเดิมไม่มีแล้ว พระภิกษุอีกรูปหนึ่งเป็นผู้ (จดจำไว้ได้) นำมาเขียนลงในสมุดเล่มนี้และจากคำว่า จบบริบูรณ์ ซึ่งปรากฏอยู่ท้ายสมุดไทย เอกสารเลขที่ ๖๐๔ นั้น แสดงว่าเรื่องโสวัตกลอนสวด น่าจะจบลงเพียงเท่าที่มีในสมุดไทย มิได้แต่งไปจนจบเรื่องนิทาน
เนื่องจากเอกสารโบราณต้นฉบับเรื่องโสวัตกลอนสวดเขียน ด้วยตัวอักษรแบบ “ไทยย่อ” จึงเป็นหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจนว่า กลอนสวดสำนวนนี้มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แม้ว่าต้นฉบับที่พบจะไม่จบบริบูรณ์ แต่ก็นับว่าเรื่องดังกล่าวมีความสำคัญต่อการศึกษาวรรณคดีและอักษรศาสตร์
อนึ่ง ตอนท้ายสมุดไทย เอกสารเลขที่ ๖๐๔ มีวรรณกรรมคำสอนเรื่อง “แม่สอนลูก” แต่งเป็นคำกาพย์รวมอยู่ด้วย แม้ว่าเรื่องแม่สอนลูกจะไม่จบ (เพราะหมดหน้าสมุด) และสำนวนโวหารไม่โดดเด่น แต่ก็นับว่ามีประโยชน์ต่อการศึกษาค่านิยมบางประการของสังคมไทยในอดีต จึงได้นำมาพิมพ์ไว้ในภาคผนวกต่อจากสำเนาเอกสารต้นฉบับ
การพิมพ์เรื่องโสวัตกลอนสวดครั้งนี้ได้ปรับอักขรวิธีบางส่วนให้ใกล้เคียงกับปัจจุบัน เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา สามารถเข้าใจเรื่องราวได้โดยตลอด ส่วนผู้ที่ประสงค์จะศึกษาตามอักขรวิธีเดิม ให้ดูจากสำเนาด้นฉบับ เอกสารเลขที่ ๖๐๓ และเอกสารเลขที่ ๖๐๔ ซึ่งพิมพ์ไว้เป็นภาคผนวกของหนังสือนี้แล้ว