ชุดที่ ๒
ฉากเหมือนชุดที่ ๑
(เมื่อเปิดม่าน พระภิรมย์เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ท่าทางไม่สู้พอใจ นายซุ่นเบ๋งเดินเข้ามาจากทางเฉลียง นายซุ่นเบ๋งแต่งตัวนุ่งผ้าสวมเสื้อขาว)
พระภิรมย์ : | ว่ากระไร |
ซุ่นเบ๋ง : | ไม่สำเร็จ ไม่มีหนทางที่จะให้พ้นมาได้ |
พระภิรมย์ : | จะจัดการอย่างไรๆ ก็ไม่ได้ฤๅ |
ซุ่นเบ๋ง : | ไม่มีหนทาง ผมเสียใจมาก ผมได้ไปหาเจ้าคุณเทศาตามคุณสั่ง ท่านตอบว่าท่านจะช่วยอย่างใดไม่ได้ ผมไปหาท่านผู้บัญชาการกองพล ท่านก็ตอบว่าไม่มีหนทางที่จะผ่อนผันอย่างไรได้ |
พระภิรมย์ : | พุทโธ่! (ทรุดลงนั่ง) นี่พ่อสวิงมิต้องทนลำบากเป็นทหารอยู่อย่างนี้จนตลอดชีวิตฤๅ |
ซุ่นเบ๋ง : | ก็เพียงชั่วสองปีเท่านั้น |
พระภิรมย์ : | ก็ยังกองหนุนอีกเล่า |
ซุ่นเบ๋ง : | เมื่อถึงกองหนุนแล้วไม่อัศจรรย์อะไรคงกลับมาบ้านได้ แต่ผมได้ยินข่าวอะไรอย่างหนึ่ง ซึ่งผมควรจะเรียนคุณพระให้ทราบ (นั่งลงใกล้ๆ พระภิรมย์) ผมได้ทราบข่าวว่าน่าจะมีสงครามกันในเร็วๆ นี้ |
พระภิรมย์ : | อย่างนั้นฤๅ |
ซุ่นเบ๋ง : | ขอรับ พวกพ้องผมเขาบอกข่าวมาจากกรุงเทพฯ เขาว่าเขาได้ข่าวลับมาจากซ่องฮอย เขาว่าทางโน้นเตรียมทหารอยู่พร้อมแล้ว แต่นั่นแหละ เวลานี้รัฐบาลกำลังพูดจาว่ากล่าวกันอยู่ ถ้าฝ่ายรัฐบาลไทยยอมตามเขาก็จะไม่ต้องรบกัน |
พระภิรมย์ : | ก็ทำไมไม่ยอมเขาเสียเล่า |
ซุ่นเบ๋ง : | ข้อนี้ผมทราบไม่ได้ แต่ผมทราบว่าการที่รัฐบาลไทยดื้ออยู่อย่างนี้ ทำให้พวกพ่อค้าจีนพากันตกใจมาก กลัวจะเสียประโยชน์การค้าขาย เขาว่าเรือเมล์ออกจากรุงเทพฯ ไปเมืองจีนหมู่นี้มีพวกจีนโดยสารไปเต็มๆ |
พระภิรมย์ : | ตายจริง นี่จะทำอย่างไรดี ถ้าเกิดรบกันขึ้นพ่อสวิงมิต้องพลอยไปตายกับเขาด้วยฤๅ |
ซุ่นเบ๋ง : | แน่ทีเดียว ถ้ายังคงอยู่ในกองทหารก็คงต้องถูกเกณฑ์ไปรบ |
พระภิรมย์ : | พุทโธ่ๆ กรรมจริงๆ |
ซุ่นเบ๋ง : | ที่จริงการที่รัฐบาลดื้อไม่ยอมเขาเช่นนี้ แปลว่าถือเกียรติยศไม่เป็นเรื่องแท้ อย่างไรๆ ก็สู้เขาไม่ได้ เพราะเขาดีกว่าเรามาก อย่างไรๆ เขาก็ต้องชนะ เพราะฉะนั้นการที่จะขืนดื้อต่อไปก็เหมือนท้าให้เขารบ และถ้าเกิดรบกันขึ้นแล้วคนไทยต้องตาย ก็ต้องนับว่ารัฐบาลรับผิดรับชอบเหมือนแกล้งฆ่าคนไทย เอาชีวิตคนไทยแลกกับการรักษาเกียรติยศเย่อหยิ่งไม่มีประโยชน์เลยจนนิดเดียว แล้วก็ไม่ใช่แต่คนไทยจะเสียประโยชน์แต่ลำพัง ยังพลอยให้จีนและชาวต่างชาติพลอยต้องเสียประโยชน์ด้วย เมื่อการเป็นเช่นนี้ ผมเห็นควรรัฐบาลจะให้โอกาสให้ราษฎรได้มีเสียงออกความเห็นได้บ้าง |
พระภิรมย์ : | ส่วนคนอื่นๆ จะคิดอย่างไรหรือทำอย่างไรกันฉันไม่รู้ไม่ชี้ด้วย แต่ส่วนพ่อสวิงทำอย่างไรจึงจะได้รอดตาย |
ซุ่นเบ๋ง : | ผมเห็นมีทางที่พอจะจัดการได้ |
พระภิรมย์ : | จะทำอย่างไร |
ซุ่นเบ๋ง : | เมื่อจะจัดการให้ออกจากทหารไม่ได้โดยทางอื่นแล้ว ก็ต้องคิดอ่านให้หนี |
พระภิรมย์ : | อ๊ะ! จะหนีอย่างไร |
ซุ่นเบ๋ง : | ไม่ยากเลย ขออนุญาตมาเยี่ยมคุณพระก็ได้ |
พระภิรมย์ : | เผื่อเขาไม่ให้มา |
ซุ่นเบ๋ง : | (ยิ้ม) ตีนพ่อสวิงก็มี รั้งโรงทหารก็ไม่สูงปานใดนัก |
พระภิรมย์ : | ก็เขาจะไม่ตามจับฤๅ |
ซุ่นเบ๋ง : | เขาคงตามเป็นแน่ แต่ฝ่ายเราต้องเตรียมไว้ให้พร้อม ที่จริงผมได้คิดทำทางไว้แล้ว คุณพระต้องเตรียมเรือยนต์ไว้ให้พร้อม พอพ่อสวิงมาถึงก็ให้ลงเรือไปทีเดียว ให้รีบไปกรุงเทพฯ เมื่อถึงกรุงเทพฯ แล้วผมจะพาไปฝากไว้กับเพื่อนผมคนหนึ่ง จนถึงกำหนดเรือเมล์ออกก็ลงเรือเมล์ไปเสียเท่านั้น |
พระภิรมย์ : | ก็ดีออก แต่ถ้าเผื่อเขาจะมาเร่งเอาตัวกับฉันจะทำอย่างไร |
ซุ่นเบ๋ง : | คุณพระต้องปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นด้วยเลย |
พระภิรมย์ : | เผื่อเขาไม่ยอมเชื่อ เขาจะจับตัวฉันไปจะว่ากระไร |
ซุ่นเบ๋ง : | ข้อนั้นไม่ต้องวิตก ผมจะจัดการ ถ้าจับคุณพระไปละก็เป็นได้เกิดความใหญ่แน่ เพราะถ้าทำเช่นนั้นผมจะร้องให้ดังว่า รัฐบาลใช้อำนาจกดขี่ข้าแผ่นดินอย่างร้ายกาจ พวกพ้องผมก็มีไม่ใช่น้อย คงช่วยกันตะโกนทุกคน รัฐบาลเห็นท่าทางไม่ดีก็ต้องปล่อยคุณพระ เพราะในเวลาที่การภายนอกกำลังล่อแหลมเช่นนี้ คงไม่อยากให้มีเหตุร้อนใจภายในอีกซ้ำหนึ่งเป็นแน่ |
พระภิรมย์ : | ความคิดแกในตอนนี้ ฉันบอกตรงๆ ว่าฉันไม่สู้ชอบ การที่ฉันจะเป็นต้นเหตุให้รัฐบาลเดือดร้อน ฉันเห็นดูจะกระไรๆ อยู่ |
ซุ่นเบ๋ง : | ความตะขิดตะขวงของคุณพระในข้อนี้ เป็นเพราะคุณพระเป็นคนสมองเก่าเท่านั้น ถ้าคุณพระตรองดูให้ดีคงจะเห็นได้ว่า แท้จริงรัฐบาลไม่ได้ให้ความยุติธรรมแก่คุณพระตามที่สมควรเลย การที่คุณพระต้องออกนอกราชการเพราะเหตุใด |
พระภิรมย์ : | นายท่านว่าฉันทำราชการไม่มีไหวพริบทันสมัย |
ซุ่นเบ๋ง : | นั่นก็เป็นวิธีพูดอันหนึ่งเท่านั้น ที่แท้คุณพระต้องลงกระป๋อง เพราะคุณพระมีความนับถือตัวเองเกินที่จะยอมประพฤติเป็นคนหัวประจบเท่านั้น คนเราทุกวันนี้ ถ้าจะให้เจริญในราชการต้องรู้จักพลิกแพลง พูดจาดีๆ ประจบเก่งๆ จึงจะเอาตัวรอดได้ |
พระภิรมย์ : | กระประจบประแจงนั้น ก็คงจะมีอยู่บ้างจริงอยู่ แต่ที่แกพูดว่า ข้าราชการจะได้ดีหรือลงกระป๋องแต่เฉพาะโดยการประจบไม่ประจบเท่านั้นก็เหลือเกินไป แต่อย่างไรๆ ก็ดี การที่จะให้ฉันเป็นสาเหตุที่จะทำให้รัฐบาลต้องลำบากร้อนใจนั้น ฉันไม่หายตะขิดตะขวงได้ เพราะฉะนั้นอย่าคิดต่อไปเลย ฉันไม่ยอมตามแกได้เป็นอันขาด |
ซุ่นเบ๋ง : | ถ้าเช่นนั้นก็มีอยู่อีกทางหนึ่ง คือคุณพระต้องไปเสียกับพ่อสวิงพร้อมกัน |
พระภิรมย์ : | อ๊ะ! จะให้ฉันทิ้งบ้านทิ้งช่องไปอย่างนั้นฤๅ ก็แล้วทรัพย์สมบัติฉันจะทำอย่างไร |
ซุ่นเบ๋ง : | ข้อนั้นไม่ยาก คุณพระมอบให้ผมจัดการก็ได้ ผมคงจะจัดการส่งเสียเงินทองไปให้พอใช้สอย |
พระภิรมย์ : | เฮ้ย! มันไม่ใช่แต่เท่านั้น ยังครอบครัวอีกเล่า |
ซุ่นเบ๋ง : | ผมได้คิดเสร็จแล้ว ให้แม่เน้ยไปด้วยเพื่อปฏิบัติวัตถากตามเคย ส่วนลูกนั้นพ่อสวิงก็ต้องไปอยู่เองแล้ว พ่อสวายถ้าจะเอาไปด้วยก็ควรอยู่ ส่วนพ่อสวัสดิ์คุณพระก็ยกให้หลวงมนูไปแล้ว และแม่อุไรนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเขาก็คงไปตกแต่งกับหลวงมณีตามความปรารถนาของเขา |
พระภิรมย์ : | ก็แม่แย้มเล่า |
ซุ่นเบ๋ง : | (ยิ้ม) คุณพระยังเป็นห่วงอาลัยท่านผู้เฒ่าอยู่อีกฤๅ แม่เน้ยไม่พอจะเอาเมียน้อยอื่นๆ ไปอีกสักคนสองคนก็ได้ ฤๅไปหาเอาใหม่ก็ได้ ส่วนคุณแม่เถ้าแกก็คงจะได้อยู่ในบ้านนี้ต่อไป แกก็คงจะไม่ลำบากลำบนอะไรเป็นแน่ |
พระภิรมย์ : | (อึ้งอยู่ครู่ใหญ่ๆ แล้วจึงพูด) มันดูออกจะอย่างไรๆ อยู่ |
ซุ่นเบ๋ง : | เอาอีกล่ะ พุทโธ่ มีแต่ตะขิดตะขวงไปเสียรอบข้าง จะตกลงทางไหนก็เลือกเอาทางหนึ่งสิขอรับ |
พระภิรมย์ : | ฉันเห็นมันดูไม่ได้การทั้งสองอย่างนี่นะ |
ซุ่นเบ๋ง : | ถ้าเช่นนั้นคุณพระจะยอมเลิกการให้ลูกหนีทีเดียวฤๅ |
พระภิรมย์ : | การที่จะให้หนีดูมันเป็นการใหญ่ ให้ผลลำบากมากมายเกินไปนักนี่นะ |
ซุ่นเบ๋ง : | เอาเป็นเลิกกันฤๅ |
พระภิรมย์ : | เห็นจะต้องเลิก |
ซุ่นเบ๋ง : | ผมเสียใจ ผมได้ไปนัดกับเขาเสียแล้วให้หนี |
พระภิรมย์ : | อะไร! แกวิ่งไปนัดไปแนะกับเขาเสียแล้วฤๅ ทำไมไม่รอปรึกษาฉันก่อน |
ซุ่นเบ๋ง : | ผมสำคัญว่าคุณพระคงจะพอใจตามความคิดผม แต่ก็ไม่เป็นไร เมื่อพ่อสวิงหนีมาถึงนี่แล้วจึงค่อยตกลงกันต่อไปจะดีกว่า ถ้าเจ้าตัวเขาเต็มใจจะกลับไปก็แล้วกันไป แต่ถ้าเขาไม่ตกลงก็ต้องคิดกันต่อไป เพราะการที่จะบังคับให้คนที่มีอิสรภาพทำการที่ไม่ต้องการทำนั้น บังคับไม่ได้อยู่เอง (ขณะนั้นได้ยินเสียงนกหวีดเป่ายาวบอกสัญญาหยุดที่ข้างนอก พระภิรมย์กับนายซุ่นเบ๋งต่างคนต่างลุกขึ้น เดินไปยืนดูที่หน้าต่างข้างขวา) |
พระภิรมย์ : | ฮือ! พวกเสือป่ามาทำไมกันแยะ |
ซุ่นเบ๋ง : | ได้ยินว่ากำลังซ้อมรบ |
พระภิรมย์ : | ฮึ! ยุ่งพิลึก เที่ยวเดินตะพัดตะเพิดบุกรุกไม่ว่าในบ้านในช่องใคร ดูเหมือนจะเข้าใจเสียว่า ถ้าเล่นเป็นทหารละก็จะทำอะไรทำได้ทุกอย่าง |
ซุ่นเบ๋ง : | เข้ามาในบ้านคุณพระด้วยหรือขอรับ |
พระภิรมย์ : | เคยเข้ามา แล้วไล่ก็ไม่ใคร่ไปด้วย |
ซุ่นเบ๋ง : | คราวนี้ถ้าว่าไม่ฟังก็ฟ้องบุกรุกเสียบ้างสิขอรับ ถ้าว่าไม่ฉะนั้นพวกเสือป่าจะพากันเข้าใจไปว่า พวกเขาอยู่เหนือกฎหมาย |
พระภิรมย์ : | เอ๊ะ! ดูท่าทางเหมือนจะมาพักกองอยู่ตรงนี้ เบื่อจริงๆ ถ้าจะมานั่งอยู่ข้างๆ หามรุ่งหามค่ำเช่นนี้ใครจะคอยระวังระไวได้หวาดไหว |
ซุ่นเบ๋ง : | ก็ทำไมคุณพระไม่ไล่ให้ไปตั้งเสียที่อื่นเล่าขอรับ |
พระภิรมย์ : | ฉันได้เคยไล่ทีหนึ่งแล้ว เขาตอบว่าเขาไม่ได้ตั้งอยู่ในที่บ้านของฉัน ฉันไม่มีอำนาจอันชอบธรรมที่จะไล่เขา |
ซุ่นเบ๋ง : | ข้อนั้นก็จริงอยู่ แต่คุณพระควรจะคอยจ้องไว้ พอย่างเข้ามานิดหนึ่งก็ฟ้องบุกรุกได้ทีเดียว แต่ถ้าจะไม่ให้มีทางติเตียนได้เลย ควรจะบอกกล่าวเสียก่อนจะดี |
พระภิรมย์ : | จริง ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ มาด้วยกันเถอะ (พากันออกไปทางหลัง) (นายสวายกับแม่เน้ย พากันออกมาจากทางประตูซ้าย) |
สวาย : | ฉันว่าแล้ว ว่าคุณพ่อน่ะเป็นคนที่ไม่มีความแน่นอนอะไรเลย เป็นคนลังเลที่สุดในโลกหล่อนก็ได้ยินแล้วแก่หูหล่อนเองว่าพี่ชายหล่อนเขาอธิบายดีปานใด คุณพ่อหายลังเลเมื่อไรเป็นห่วงหน้าห่วงหลังไม่รู้จักจบ ทำไปทำมาก็คงจะต้องตายแห้งแก๋กันอยู่ที่นี่เอง |
เน้ย : | นี่การรบน่ะเป็นต้องมีแน่ละฤๅ |
สวาย : | ไม่มีข้อสงสัยเลย ไม่แน่อยู่แต่ว่าจะเริ่มวันใดเท่านั้น |
เน้ย : | ตายจริง ก็ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรกันดีเล่า |
สวาย : | ฉันเบื่อนัก จะมานั่งรอจนกว่าคุณพ่อจะทำใจให้ตกลงได้แล้วคงเลยไม่ได้ไป ก็จะรอแกทำไม เรามาพากันไปเสียก็แล้วกัน |
เน้ย : | อะไร จะทิ้งคุณพ่อไว้ทางนี้อย่างนั้นฤๅ |
สวาย : | ก็แกไม่ไปจะทำอย่างไรเล่า หรือหล่อนยังห่วงแกอยู่อีก ยังอาลัยอาวรณ์อยู่อีกฤๅ |
เน้ย : | พุทโธ่ ทำไมจะไม่อาลัย ใจท่านดีต่อฉันมาก |
สวาย : | ก็ส่วนฉันเล่า หล่อนจะใจดำให้ฉันไปได้คนเดียวฤๅ |
เน้ย : | ก็เมื่อกลัวจะว้าเหว่ก็ทำไมไม่พาอีแก่นไปด้วยเล่า จะได้ไปบำรุงบำเรอกันให้ถึงใจ |
สวาย : | พุทโธ่แม่เน้ยทำไมพูดอย่างนี้ได้ หล่อนควรจะเข้าใจดีแล้วว่า การที่ฉันต้องเอาใจอีแก่นเพราะจะปิดปากมันเท่านั้น มันรู้มากเกินไป ถ้าไม่ทำดีต่อมันไว้มันก็ขายเราเสียเท่านั้น |
เน้ย : | ฉันไม่เชื่อเลย ถ้าจะเพียงแต่ทำไมตรีเท่านั้น ทำไมจะต้องไปหากันบ่อยนัก แทบไม่เว้นวัน |
สวาย : | ก็หล่อนน่ะฉันพบปะได้ง่ายๆ เมื่อไร แต่หล่อนไม่ควรที่จะหึงอีคนเช่นนั้นเลย มันเป็นขี้ข้าไม่เปรียบกับหล่อนได้เลย แล้วอีแก่นก็แก่กว่าฉันตั้ง ๔ ปี ๕ ปี หล่อนกับฉันน่ะสิพอสมคู่สมคีมกัน (เข้าไปทำท่าจะกอด) |
เน้ย : | อุ๊ยอย่าน่ะ เดี๋ยวก็จะได้เกิดความเดี๋ยวนี้เอง นี่แหละเขาว่าคบเด็กสร้างบ้าน |
สวาย : | ชะๆ แม่แก่ ทำแก่ไปได้ นี่แน่ะ ว่าแต่จะไปด้วยกันฤๅไม่ไป |
เน้ย : | ไม่รู้ได้ |
สวาย : | อะไรไม่รู้ (เข้ากอด เน้ยทำท่าจะสะบัดก็ไม่ปล่อย) ทำไมต้องประพฤติเป็นคนลังเลไปด้วย ฤๅติดโรคผัวแก่ |
เน้ย : | โธ่! ยุ่งอย่างนี้แหละ (ผละออกจากนายสวาย) |
สวาย : | ต้องขอให้หล่อนเข้าใจว่า ถ้าจะไปต้องรีบไป ถ้าไม่อย่างนั้นจะทำลำบาก เรือยนต์ก็มีลำเดียว ถ้าฉวยว่าพี่สวิงหนีทหารมาแล้ว ก็จะต้องการเรือนั้นเหมือนกัน |
เน้ย : | ก็จะเป็นไรไป ไปด้วยกันก็ได้ |
สวาย : | ที่ไหนได้ จะได้กีดเราประไรเล่า หรือบางทีแม่เน้ยจะต้องการให้เขาเบียดก็ไม่รู้ บางทีฉันจะเด็กเกินไปกระมัง |
เน้ย : | อุ๊ยแต่เด็กๆ ยังปานนี้ นี่ถ้าเป็นผู้ใหญ่อีกหน่อยจะเป็นอย่างไร |
สวาย : | (จับมือเน้ยและเอียงหน้าเข้าไปพูด) อายุฉันยิ่งมากขึ้น ก็คงจะยิ่งรักแม่เน้ยมากขึ้นเท่านั้น (พระภิรมย์เดินขึ้นมาที่เฉลียง สวายกับเน้ยได้ยินฝีเท้าก็ออกห่างจากกันไป พระภิรมย์เดินเข้ามา แลดูทั้ง ๒ คน นายสวายเลี่ยงออกไป) |
พระภิรมย์ : | (หน้าบึ้ง) นั่นมาพูดซุบซิบอะไรกัน |
เน้ย : | พ่อสวายเขาเล่าถึงเรื่องจะเกิดรบพุ่งอะไรกันน่ะค่ะ |
พระภิรมย์ : | จะเล่าเรื่องอะไรๆ ก็ตามทีเถอะ แต่ทำไมจึงต้องพูดกันอย่างท่าทางสนิทสนมเหลือเกิน แต่ทำไมต้องจับมือถือแขนกันด้วย |
เน้ย : | พุทโธ่ คุณละก็ ทำไมขี้สงสัยเช่นนี้ (เข้าไปทำท่าคลอเคลีย) อะไรเด็กเล็กก็หึงมันด้วยหรือค้ะ |
พระภิรมย์ : | มันก็ไม่สู้เด็กนัก มันโตพอที่ควรจะหึงได้อยู่บ้าง |
เน้ย : | เอ๊ะ! นี่คุณระแวงอะไรฤๅ |
พระภิรมย์ : | ก็นั่นแหละ หนุ่มกับสาว-ฮือ! |
เน้ย : | นี่คุณก็ไม่เมตตาดิฉันแล้ว จึงได้หาความว่าดิฉันทำผิดคิดชั่ว พุทโธ่ๆ เสียแรงมีผัวกับเขาคนหนึ่ง หมายจะได้เป็นที่พึ่งให้เป็นสุขกายสุขใจ ก็กลับมาเป็นไปเสียเช่นนี้ ช่างอาภัพเสียจริงๆ (ทำเป็นร้องไห้) |
พระภิรมย์ : | อ้าวๆ แม่เน้ย นั่นอะไร |
เน้ย : | (ทำเป็นสะอื้นพลางพูดพลาง) เมื่อก่อนจะมาเป็นเมียคุณพระมีผู้ชายหนุ่มๆ มาตอมดิฉันอยู่ออกรอบข้าง ถ้าเป็นคนใจเบามิตกลงกับเขาไปเสียแล้วฤๅ นี่อุตส่าห์สงวนตัวไว้เพื่อมาเป็นเมียคุณพระ ก็หมายว่าจะได้พึ่งผัวที่เป็นผู้ใหญ่ใจหนักแน่น ไม่ได้คิดเลยว่าจะมาสิ้นวาสนาลงในเร็ววันเช่นนี้ |
พระภิรมย์ : | แม่คุณของพี่ พี่ไม่ได้เห็นอย่างโน้นอย่างนี้อะไรไปดอก เป็นแต่ธรรมดาคนที่มีอายุมากๆ แล้วอย่างพี่ ยิ่งมีเมียที่สาวสวยอย่างหล่อน ก็ยิ่งห่วงใยมากขึ้น เพราะรักมากเท่านั้น |
เน้ย : | ถ้ารักทำไมจะหาความชั่วร้ายมาบ้ายให้เล่าคะ |
พระภิรมย์ : | ฉันไม่ได้หาถ้อยหาความอะไร ฉันเชื่อหล่อนทุกอย่าง จริงๆ นะหล่อน (กอดแม่เน้ย) |
เน้ย : | คุณก็ดีแต่พูดเท่านั้น |
พระภิรมย์ : | พุทโธ่ จริงๆ นะแม่เน้ย คราวนี้ฉันจะไม่ทำให้หล่อนต้องรำคาญใจอีกต่อไปเลยทีเดียว ฉันรักหล่อนยิ่งกว่าอะไรๆ ในโลก ไม่อยากให้หล่อนมีความทุกข์แม้แต่ครู่เดียว (นายซุ่นเบ๋งเดินขึ้นมาที่เฉลียง แล้วกระแอม) |
พระภิรมย์ : | อะไร |
ซุ่นเบ๋ง : | ผมมีอะไรจะพูดกับคุณพระสักหน่อย (เน้ยรู้ทีก็เลี่ยงไปทางซ้าย นายซุ่นเบ๋งจึงเดินเข้ามาจากเฉลียง) |
พระภิรมย์ : | มีเรื่องอะไร? |
ซุ่นเบ๋ง : | มาแล้ว |
พระภิรมย์ : | ใคร? |
ซุ่นเบ๋ง : | พ่อสวิงนั่นสิขอรับ |
พระภิรมย์ : | อยู่ที่ไหนเล่า? |
ซุ่นเบ๋ง : | อยู่ในสวน ถ้าผมให้สัญญาจึงจะเข้ามา |
พระภิรมย์ : | ให้สัญญาสิ ให้เข้ามาเสียเร็วๆ จะดีกว่า (นายซุ่นเบ๋งไปที่หน้าต่างอันหนึ่งข้างขวา โบกผ้าเช็ดหน้าขึ้นลงสามที สักครู่หนึ่งนายสวิงก็เข้ามาทางด้านหลัง นายสวิงแต่งเครื่องสนามอย่างพลทหาร กรมทหารราบที่ ๒๙ แต่ไม่มีปืน หน้าตาค่อยมีเลือดฝาดรูปร่างท่าทางก็แข็งแรงขึ้น) |
พระภิรมย์ : | อย่างไรพ่อใหญ่ |
สวิง : | (โคลงหัว) เต็มที! เต็มที! |
พระภิรมย์ : | พุทโธ่! แน่ทีเดียว ลูกของพ่อเกิดมาเป็นผู้ดีไม่เคยตกทุกข์ได้ยาก เคยกินดีนอนดี นี่ต้องไปกรากกรำอย่างขี้ข้า จะไม่ลำบากอย่างไร |
สวิง : | คุณพ่อเข้าใจผิด ผมไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวถึงการเป็นทหารว่าเต็มที การเป็นทหารนั้นก็จริงอยู่ที่ลำบาก แต่ไม่เหลือทนเหลือทานปานใด ลำบากมากอยู่แต่ในชั้นต้นๆ เท่านั้น อยู่ๆ ไปหน่อยก็เคยๆ ไปเอง ที่ผมบ่นว่าเต็มทีคือ การที่หนี (สั่นหัว) |
พระภิรมย์ : | เป็นอย่างไร |
สวิง : | โอ๊ย ลำบากเหลือเกิน เขาเรียกแถวแล้วกำลังเรียกชื่อ ผมบอกจ่านายสิบว่าผมลงท้องขออนุญาตไปส้วม เขาก็อนุญาต ผมไปทางส้วมแล้วก็เลยปีนข้ามรั้วหลังส้วมออกมา ต้องเล่นจ๊ะเอ๋หลบหลีกเข้ารกเข้าพงมา หนามข่วนแทบป่นไปทั้งตัวเจียนๆ ตาย เออก็อาการคุณพ่อเป็นอย่างไรล่ะขอรับ |
พระภิรมย์ : | (ประหลาดใจ) เอ๊ะ! อาการอาแกนอะไรกัน |
สวิง : | ก็ไหนพ่อซุ่นเบ๋งบอกผมว่าคุณพ่อเป็นโรคหัวใจ มีอาการหนักอย่างไรล่ะ |
ซุ่นเบ๋ง : | จริงขอรับคุณพระ ผมบอกไปเช่นนั้น เพราะถ้าไม่อย่างนั้นพ่อสวิงก็คงไม่ทำใจหนีมาได้ |
สวิง : | พุทโธ่! นี่หลอกกันเล่นดอกฤๅ ผมนี่โง่มากสำคัญว่าคุณพ่อป่วยจริงๆ จึงได้อุตสาห์หนีมาหา นี่ผมก็ลำบากเปล่าๆ เท่านั้นเอง แล้วมิหนำซ้ำกลับไปจะต้องไปถูกเฆี่ยนอีก |
พระภิรมย์ : | อะไรอย่างนั้นทีเดียวฤๅ |
สวิง : | แน่ละสิขอรับ ป่านนี้เขาก็คงรู้แล้วว่าผมหนี เมื่อหนีแล้วจะไม่ให้เขาลงโทษอย่างไร พุทโธ่ เสียดายจริงๆ เสียแรงตั้งใจว่าจะประพฤติตัวดีไม่ให้ต้องถูกลงโทษเลย คราวนี้ผมจะต้องรับทั้งความเจ็บความอาย เพราะผมเสียรู้เชื่อถ้อยคำโกหกของอ้ายเจ๊ก |
ซุ่นเบ๋ง : | ดูเถอะขอรับคุณพระ อย่างนี้แหละเขาเรียกว่าทำคุณบูชาโทษ |
สวิง : | แกมาทำบุญทำคุณอะไร ตรงกันข้าม แกทำร้ายให้แก่ฉันมากที่สุด ผมหวังใจว่าคุณพ่อไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยกับอ้ายเจ๊ก |
ซุ่นเบ๋ง : | คุณพระสั่งฉันเองให้ฉันจัดการให้แกพ้นจากทหาร |
สวิง : | คุณพ่อทำไมเป็นไปได้เช่นนั้น ผมเสียใจมาก |
พระภิรมย์ : | พ่อไม่ได้บอกมันให้มันจัดการให้ลูกหนีเลย มันสาระแนไปจัดการเอง |
สวิง : | ถ้าเช่นนั้นก็ยังชั่ว แต่เวลานี้ผมไม่มีเวลาอยู่อีกแล้ว ต้องขอลาไป |
พระภิรมย์ : | จะไปไหน |
สวิง : | กลับไปที่กรมนั่นสิขอรับ |
ซุ่นเบ๋ง : | อะไร อยากกลับไปถูกเฆี่ยนฤๅ |
สวิง : | ข้าจะถูกเฆี่ยนหรือไม่ถูกก็ช่างข้าเถอะ เนื้อหนังของข้าเองไม่ใช่ของอ้ายเจ๊ก |
พระภิรมย์ : | ช้าก่อน ทำไมจะต้องรีบร้อนกลับไป รอจนพรุ่งนี้ก็ได้ กินข้าวกินปลาเสียให้สบายสักมื้อหนึ่งก่อนดีกว่า |
สวิง : | ผมจะกินแกนอะไรลง ผมต้องรีบไปเวลานี้ก็เป็นเวลาฉุกละหุก ผมได้ยินเขาว่าจวนๆ จะรบกันอยู่แล้ว |
ซุ่นเบ๋ง : | ยังไม่มีประกาศการสงครามจะเริ่มรบก่อนไม่ได้ ผิดกฎหมายนานาประเทศ |
สวิง : | กฎบัตรกฎหมายอะไรกันไม่รู้ไม่ชี้ด้วย การรบการพุ่งใครเขาจะมาอินังขังข้อกับกฎบัตรกฎหมาย เมื่อถึงเวลาจะรบเขาก็รบกันเท่านั้น |
ซุ่นเบ๋ง : | พ่อสวิงก็เคยเรียนกฎหมายเหมือนกัน ลืมหมดแล้วฤๅ |
สวิง : | ฉันไม่อยากพูดกับแกเสียเวลา คุณพ่อขอรับผมลาที (เดินไปทางหลังพอถึงประตูหลังก็หยุดชะงัก) เอ๊ะ! นั่นอะไรกัน พวกเสือป่าขยายแถวแล้ว |
ซุ่นเบ๋ง : | เล่นซ้อมรบซ้อมราเป็นบ้าอะไรกันตามเคยของเขาน่ะแหละ (เสียงปืนยิงพร้อมกันอย่างยิงเป็นตับ) |
ซุ่นเบ๋ง : | หนวกหูจริงๆ จะเล่นทำไมต้องให้รำคาญแก่พลเมืองด้วย |
สวิง : | คุณพ่อขอรับ เชิญดูอะไรหน่อย (วิ่งมาจากทางหลังไปทางหน้าต่างขวา) เชิญทางนี้เห็นถนัดดี (พระภิรมย์ไปที่หน้าต่างข้างขวา) โน่นขอรับที่ชายป่าโน้น เห็นไหม (เสียงปืนยิงตับอีกครั้งหนึ่ง) |
พระภิรมย์ : | ทหารไม่ใช่หรือ? |
ซุ่นเบ๋ง : | ก็เขาก็เคยซ้อมรบด้วยกันกับเสือป่า ไม่อัศจรรย์อะไร |
พระภิรมย์ : | พ่อใหญ่ นั่นทหารกองไหน ทำไมแต่งตัวผิดกับพ่อใหญ่เล่า ดูสีเสื้อก็ไม่เป็นเทา เครื่องอื่นๆ ก็ดูผิดกัน |
ซุ่นเบ๋ง : | ทหารกองนั้นเขาจะกำลังทดลองเครื่องแต่งตัวใหม่กระมัง (เสียงปืนยิงเป็นตับหลายครั้งเหมือนยิงตามลำดับหมู่) |
สวิง : | ดูผิดสังเกตนัก ผมต้องไปดูให้ได้ความ (วิ่งออกไปทางด้านหลัง) |
พระภิรมย์ : | ชอบกลจริงๆ นี่อะไรกัน |
ซุ่นเบ๋ง : | ไม่มีอะไรนอกจากซ้อมรบตามเคย เชื่อผมเถอะ |
พระภิรมย์ : | ก็แกจะมาดูเองหน่อยไม่ได้ฤๅ (นายซุ่นเบ๋งไปที่หน้าต่าง) ดูสิฉันเห็นไม่เหมือนซ้อมรบครั้งก่อนๆ เลย (เสียงปืนเป็นอย่างยิงตามลำพังตั้งแต่นี้ไปเสียงมากบ้างน้อยบ้างเป็นพักๆ แม่แย้ม แม่อุไร แม่เน้ย นายสวาย พากันออกมาทางประตูด้านซ้าย) |
แย้ม : | คุณคะ! นี่อะไรกัน? |
พระภิรมย์ : | อย่าตกใจ เขาซ้อมรบกันตามเคยอย่างทุกๆ ปี |
แย้ม : | ซ้อมอะไรดูมันเห็นจริงเห็นจังนัก เห็นหามกันไปก็มี |
พระภิรมย์ : | เขาทำเจ็บ สำหรับฝึกหัดหมอ (เสียงนกหวีดเป่ายาว เสียงปืนหยุดยิง) |
ซุ่นเบ๋ง : | (อยู่ที่หน้าต่าง) คุณพระขอรับ พวกเสือป่ายกเข้ามาในบ้านคุณแล้ว พ่อสวิงกับพ่อสวัสดิ์นำเข้ามา |
พระภิรมย์ : | เอ๊ะ! นี่อย่างไรกัน |
ซุ่นเบ๋ง : | เราได้บอกกล่าวแล้วนะขอรับ ไม่ฟัง (นายสวิงกับนายสวัสดิ์วิ่งขึ้นมาทางเฉลียงนำเสือป่าขึ้นมา เสือป่าแต่งเครื่องสนาม มีหลวงมณีเป็นผู้ควบคุม กับหลวงมนูก็มาด้วย) |
สวิง : | เข้ามาในนี้ดีกว่าคุณหลวง (พาเสือป่าเข้ามา เสือป่าไปยืนที่หน้าต่างบ้านเตรียมยิง) |
พระภิรมย์ : | พ่อใหญ่ พ่อไม่พอใจอย่างยิ่งที่เจ้าไปนำเสือป่าเข้ามาบุกรุกในบ้านพ่อเช่นนี้ |
สวิง : | พุทโธ่! คุณพ่อนี่เป็นบ้าหรืออย่างไร จนเกิดรบกันแล้วยังจะมัวพูดอยู่ได้ (ทุกๆ คนในห้องนั้นพากันตกตะลึง) คุณแม่! คุณพี่! หลบๆ เข้าไปหน่อยเถอะขอรับ ให้ไกลๆ หน้าต่างไว้เป็นอันดี (พวกผู้หญิงหลบไปทางข้างซ้าย นายสวายไปแอบอยู่ในหมู่ผู้หญิง) |
หลวงมณี : | นายอิน อย่าร่ำไร ต้อนพวกแกมา (นายอินขึ้นมาที่เฉลียง) ท่านผู้บังคับกองไปเสียไหนเล่า |
นายอิน : | ถูกปืนเมื่อสักครู่นี้เอง |
หลวงมณี : | เป็นอย่างไรบ้าง |
นายอิน : | ถามขุนรัตน์ดูจะดีกว่า (เรียก) ท่านขุนเร็วๆ หน่อย มานี่สิอย่าร่ำไรคุณหลวงมณีให้หา (ขุนรัตน์แพทย์ขึ้นมาที่เฉลียง คำนับหลวงมณี) |
หลวงมณี : | เจ้าคุณเป็นอย่างไร แผลฉกรรจ์ฤๅ |
ขุนรัตน์ : | ถึงแก่กรรมเสียแล้วเดี๋ยวนี้เอง |
หลวงมณี : | ตายจริง! ตายจริง! คุณหลวงมนู ผมต้องทำหน้าที่ผู้บังคับกองต่อไปแล้ว คุณต้องเป็นผู้บังคับหมวดแทนผมต่อไป (หลวงมนูคำนับ) นายอินหมวดที่ ๒ ไปรักษาทางริมรั้วชายป่า ถ้าหนักหนาก็เข้าอยู่ในตึกหลังเล็กโน่น ยึดไว้จนกว่าจะสั่งให้ถอย (นายอินคำนับแล้ววิ่งไป) คุณหลวงมนูหมวดของคุณรักษาตึกใหญ่นี้ ส่งคนขึ้นไปชั้นบนบ้าง ยิงจากหน้าต่างคงถนัดดี คุณขึ้นไปกำกับชั้นบน ผมจะอยู่ชั้นล่าง (หลวงมนูคำนับ แล้วพาพลไป) ท่านขุนจะตั้งที่พยาบาลที่ไหน |
ขุนรัตน์ : | ผมไม่ทราบว่าห้องไหนจะเหมาะ |
พระภิรมย์ : | ห้องข้างนี้กว้างขวางดี เชิญทางนี้ (พาขุนรัตน์แพทย์ไปทางซ้าย) |
อุไร : | คุณแม่คะ เราไปช่วยพยาบาลคนเจ็บเห็นจะดีกระมัง |
แย้ม : | จริงหล่อน เราจะรบจะรากับเขาก็ไม่ได้ เราควรจะรับใช้ในทางที่พอจะทำได้ แม่เน้ยเล่าอย่างไร |
เน้ย : | ดิฉันขอตัวเสียที ดิฉันเห็นเลือดไม่ได้ เป็นลมทุกที (แย้มกับอุไรแลดูเน้ยด้วยกิริยาอย่างดูถูก แล้วพากันออกไปทางซ้าย) |
พระภิรมย์ : | (กลับออกมาจากทางซ้าย แล้วพูดกับหลวงมณี) อย่างไรคุณหลวงดูสงบไปแล้ว |
หลวงมณี : | สงบอย่างนี้แหละขอรับผมไม่ใคร่ชอบ น่ากลัวข้าศึกจะรอกองหนุนให้มาแล้วจึงจะยกเข้าตีเราเป็นแน่ ถ้าฝ่ายเราไม่ได้กองหนุนมาบ้างเห็นจะเต็มที ทำอย่างไรจะหาใครไปบอกข่าวที่กองทหารได้ |
สวิง : | ผมไปเองขอรับ |
หลวงมณี : | แกฤๅ? ก็ได้-ฉันจะเขียนใบแจ้งเหตุให้แกถือไป (ลงนั่งเขียนใบแจ้งเหตุ) |
พระภิรมย์ : | พ่อใหญ่ นี่น่ะเท่ากับวิ่งไปหาความตายเทียวนะ? |
สวิง : | ผมทราบแล้ว คนเราเกิดมาต้องตายครั้งหนึ่งผมไม่วิตกอะไร ผมไม่ใช่ลูกผู้หญิง และผมไม่ใช่ไทยเก๊ (แลดูนายซุ่นเบ๋ง ซุ่นเบ๋งโกรธแต่ไม่ตอบอะไร) ผมได้ทำผิดแล้วต้องคิดแก้ตัว ยิ่งตายก็ยิ่งดี จะได้ไม่ต้องอายเขาในการที่เป็นผู้หนีตาทัพ (นายซุ่นเบ๋งค่อยๆ เลี่ยงออกไปทางหลัง) |
หลวงมณี : | นายสวิง แกมีจักรยานฤๅ |
สวิง : | ไม่มีขอรับ เอาม้าไปไม่ได้ฤๅ |
หลวงมณี : | ขี่ม้าจะสูงแลเห็นถนัดนัก สู้จักรยานไม่ได้ |
สวัสดิ์ : | จักรยานของผมมีขอรับ |
สวิง : | ดีแล้ว ขอยืมให้พี่ทีเถอะ อยู่ไหน |
สวัสดิ์ : | พิงอยู่ที่กระได |
หลวงมณี : | (พับแลผนึกใบแจ้งเหตุ) นี่นายสวิง (ส่งหนังสือให้) รีบไปให้เร็วที่สุดที่จะไปได้ |
สวิง : | ขอรับ ไปเดี๋ยวนี้ (คำนับ แล้ววิ่งออกไปทางหลัง) |
หลวงมณี : | คุณพระขอรับ ผมไม่คิดเลยว่านายสวิงจะกลับตัวได้ถึงเพียงนี้ ผมสำคัญว่าเป็นคนขี้ขลาดเหลือแก้ไข การที่ทำคราวนี้เป็นการของคนกล้าควรได้บำเหน็จ (เสียงปืนยิงนัดหนึ่ง) เอ๊ะ! อะไรกัน (วิ่งไปที่หน้าต่าง) |
นายเทพ : | นายสวิงเห็นจะถูกปืนเสียแล้ว ยิงตอบฤๅขอรับ |
หลวงมณี : | ช้าก่อน แกเห็นข้าศึกฤๅ |
นายเทพ : | ไม่เห็น |
หลวงมณี : | ถ้าเช่นนั้นจะยิงเดาไปอย่างไรได้ อ้อนั่นพวกเราออกไปช่วยนายสวิงแล้ว- (พูดออกไปนอกหน้าต่าง) ว่ากระไรนะ-หา! อะไรนะ-ก็หามเข้ามาในนี้สิ-(พูดกับสวัสดิ์) ไปตามท่านขุนรัตน์มาที (สวัสดิ์ไปทางซ้าย) คุณพระทำใจดีๆ ไว้เถอะขอรับ (เสือป่า ๒ คนหามนายสวิงเข้ามา หลวงมณีชี้ให้วางลง พอขุนรัตน์แพทย์ออกมาจากทางซ้ายกับนายสวัสดิ์) |
หลวงมณี : | ท่านขุน ตรวจดูที (ขุนรัตนแพทย์ตรวจนายสวิงครู่หนึ่ง ระหว่างนี้แม่แย้มกับแม่อุไรออกมาจากทางขวา ยืนตะลึงอยู่ ขุนรัตน์ตรวจแล้วลุกขึ้นยืนก้มศีรษะ) |
พระภิรมย์ : | ไม่มีที่หวังหรือท่านขุน |
ขุนรัตน์ : | หมดลมหายใจเสียแล้ว (แม่แย้มกับอุไรคุกเข่าลงร้องไห้ที่ศพ พระภิรมย์ยืนตะลึงอยู่ เสือป่าเปิดหมวก ฝ่ายแม่เน้ยเป็นลม นายสวายเข้าประคองไว้ ฝ่ายหลวงมณีก้มลง ค้นในตัวผู้ตาย เพื่อหาใบแจ้งเหตุไม่พบ ครู่หนึ่งแล้วจึงพบอยู่ในกระเป๋าเสื้อ หลวงมณีหยิบมาดูครู่หนึ่ง) |
หลวงมณี : | ท่านขุน พบแผลอยู่ที่ไหน |
ขุนรัตน์ : | ขอผมตรวจอีกที (พูดกับแม่แย้ม) ประทานโทษขอรับ ถ้าคุณอย่าดูจะดีกว่า |
หลวงมณี : | เชิญคุณเข้าไปในเรือนเสียก่อนจะดีกว่ากระมังขอรับ |
แย้ม : | ก็จะให้ฉันทิ้งศพลูกฉันไว้ที่นี่แหละฤๅ (หลวงมณีแลดูตาอุไร อุไรเข้าใจจึงค่อยๆ จูงมือมารดาไปจากห้อง ขุนรัตน์แพทย์จึงลงตรวจศพต่อไป) |
หลวงมณี : | อย่างไรท่านขุน |
ขุนรัตน์ : | ชอบกลขอรับ แผลทางข้างหน้าหาไม่พบ (พลิกศพ) อ้าว! ไพล่มามีแผลอยู่ข้างหลังนี่แน่ะขอรับ |
หลวงมณี : | เอ๊ะ! อัศจรรย์จริง ถ้าเช่นนั้น-ฮือ! เป็นไปไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะไต่สวนอะไร (สั่งเสือป่าที่หามศพมา) ช่วยกันหามศพไปไว้ที่อื่น คุณพระจะโปรดให้ไปไว้ที่ไหน |
พระภิรมย์ : | ไปไว้ในห้องนอนของเขาเองก็แล้วกัน โปรดตามฉันมาทางนี้ (นำผู้หามศพจะออกไปทางซ้าย พอผ่านไปถึงแม่เน้ย แม่เน้ยทำเป็นเซประหนึ่งว่าวิงเวียน) |
เน้ย : | (เสียงอ่อน) อุ๊ยคุณคะ คุณคะ ดิฉันลมจะจับเสียแล้ว (ทำเซเข้าไปหาพระภิรมย์) |
พระภิรมย์ : | (โกรธ) อีนี่ก็จำเพาะจะมาสำออยเวลานี้ละลูกเต้าเขาตายช่างใจชั่วราวกับยักษ์มาร หลีกไป! (ผลักเน้ยไปเสียทางหนึ่งแล้วนำศพเข้าไปทางประตูซ้าย) |
หลวงมณี : | (พูดกับขุนรัตน์) ท่านขุนมียาลมก็ให้แม่คนนั้นเขากินหน่อยสิ |
เน้ย : | ขอบพระเดชพระคุณ ดิฉันไม่ต้องกินยาของคุณ ยิ่งตายเสียก็ยิ่งดี ดิฉันไม่ใช่คนสลักสำคัญอะไร เป็นแต่อีเมียน้อยคนหนึ่งเท่านั้น (สะบัดหน้าหันไปพูดซุบซิบกับนายสวายต่อไป) |
หลวงมณี : | (ตั้งท่าเหมือนจะตอบ แล้วกลับใจ หันไปพูดกับขุนรัตน์) ท่านขุนกลับไปห้องพยาบาลได้ (ขุนรัตน์ออกไปทางซ้ายแล้ว หลวงมณีไปยืนมองที่หน้าต่างต่อไปครู่หนึ่งแล้วจึงบ่นต่อไป) นี่จะให้ใครไปดีเล่า |
สวัสดิ์ : | คุณหลวงขอรับ |
หลวงมณี : | อะไรพ่อสวัสดิ์ |
สวัสดิ์ : | ผมไปเองขอรับ |
หลวงมณี : | แกฤๅ (สั่นหัว) |
สวัสดิ์ : | นี่คุณหลวงไม่ไว้ใจผมหรือขอรับ |
หลวงมณี : | (ตบไหล่สวัสดิ์) ไม่ใช่เช่นนั้น แต่แกยังอายุน้อยนัก อันตรายมีอยู่ แกก็แลเห็นแก่ตาแล้วไม่ใช่ฤๅ |
สวัสดิ์ : | เห็นแล้วขอรับ แต่ผมถึงจะอยู่ทางนี้ก็ทำประโยชน์อะไรไม่ได้ เพราะผมไม่มีปืนจะช่วยคุณยิงต่อสู้ข้าศึกได้ แต่แรงผมมีพอที่จะถือหนังสือได้ ให้ผมไปดีกว่าที่จะถอนพลรบไป |
หลวงมณี : | แกเป็นเด็กกล้ามาก ใจลูกเสือแท้ทีเดียวแต่ฉันจำเป็นต้องรอบอกคุณพ่อก่อน |
สวัสดิ์ : | การรบจะรอจะรั้งให้ใครเมื่อไรขอรับ ถ้าจะให้ผมไปก็ให้ไปเดี๋ยวนี้ดีกว่า |
หลวงมณี : | (อึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นหนังสือให้) เอ้าเอาไปสิ! (นายสวัสดิ์คำนับรับหนังสือแล้วตั้งท่าจะไป แต่หลวงมณีโบกมือห้ามไว้) ช้าก่อนฉันต้องจัดการป้องกันไม่ให้เป็นอย่างแต่กี้นี้อีก นายเทพ แกนำพลไปด้วย อีก ๓ คนเดินตรวจทางไปจนถึงประตูรั้วโน่น มองๆ ดูตามพุ่มไม้ด้วย ถ้าเห็นใครท่าทางน่าสงสัยเรียกตัวมาถ้าขัดขืนยิงเสียเข้าใจไหม |
นายเทพ : | เข้าใจ |
หลวงมณี : | ไปเรียกคนที่เฉลียงไปด้วย แล้วก็ถ้าไปถึงประตูรั้วแล้ว เห็นทางปลอดโปร่งก็ทำสัญญาให้ฉันเข้าใจนะ |
นายเทพ : | ขอรับ |
หลวงมณี : | ไปได้ (นายเทพ วิ่งออกไปทางหลัง หลวงมณีไปยืนมองที่หน้าต่างสักครู่ใหญ่ๆ แล้วจึงหันมาทางนายสวัสดิ์) |
หลวงมณี : | แกไปได้แล้ว ขอจับมือที ไปตลอดปลอดโปร่งนะ (จับมือกับสวัสดิ์ สวัสดิ์คำนับแล้ววิ่งไปทางเฉลียง ฝ่ายแม่เน้ยกับนายสวายพยักพเยิดกันครู่หนึ่งแล้วก็จูงมือกันจะออกไปทางด้านหลังบ้าน) ช้าก่อน ไปไม่ได้ |
เน้ย : | ทำไม |
หลวงมณี : | เพราะฉันไม่ให้ไป |
เน้ย : | คุณมีอำนาจอย่างไร |
หลวงมณี : | มีอยู่ที่ดาบนี่อย่างหนึ่ง ที่ปืนอีกอย่างหนึ่ง |
เน้ย : | อะไรคุณจะบังอาจทำกับดิฉันอย่างนั้นเทียวฤๅ |
หลวงมณี : | ถ้าหล่อนไม่บังอาจขัดขืนคำสั่งฉันก่อน ฉันก็ไม่ทำอะไรหล่อน ขอให้หล่อนเข้าใจว่าเวลานี้อำนาจอยู่ในมือฉันเต็มที่ (นายหมู่เอกเทพที่รับใช้ไปนั้นกลับเข้ามา) |
หลวงมณี : | อย่างไร นายสวัสดิ์ไปแล้วฤๅ |
นายเทพ : | ไปแล้ว เรียบร้อยดี |
หลวงมณี : | ได้เห็นใครแปลกปลอมบ้างหรือเปล่า |
นายเทพ : | ไม่เห็น |
หลวงมณี : | ข้าศึกเห็นไหม |
นายเทพ : | เห็นอยู่ลิบๆ ที่ชายไม้โน่น |
หลวงมณี : | ดีแล้ว เข้าประจำที่ตามเดิม (นายเทพไปประจำที่หน้าต่างตามเดิม เน้ยกับสวายจะไปทางซ้าย หลวงมณีจึงพูดกับเน้ย) ถ้าจะเพียงเข้าไปในเรือนได้ แต่ถ้าจะไปลงทางกระไดหลังไม่ได้ เพราะฉันสั่งยามหลังไว้แล้ว ห้ามเป็นอันขาดไม่ให้ใครขึ้นลงทางนั้น (เน้ยกับสวายไม่ตอบว่ากระไร พากันไปทางขวา) (เงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหลวงมนูเข้ามาทางซ้าย พระภิรมย์ตามมาด้วย) |
หลวงมนู : | คุณหลวงขอรับ ผมดูอยู่ชั้นบน เห็นข้าศึกยกเดินผ่านไปทางตะวันตกเฉียงใต้ น่ากลัวจะคิดทำอันตรายตะพาน |
หลวงมณี : | ไม่ได้การ ถ้าทำลายตะพานได้แล้วจะร้ายมากจะตัดทางเดินสะดวกสำหรับกองทหารเสียทางหนึ่งทีเดียว พวกเราต้องรีบไปป้องกันตะพานไว้ ทางนี้ไม่มีมาบ้างฤๅ |
หลวงมนู : | มีขอรับ แต่ดูไม่มาก |
หลวงมณี : | ถ้าเช่นนั้นทิ้งไว้ที่นี่หมู่เดียวก็พอ โปรดเป่านกหวีดประชุมที (หลวงมนูออกไปที่เฉลียง เป่านกหวีดสัญญาประชุม เสียงคนคึกคักวิ่งมา เสียงนายอินสั่งหยุด แล้วตัวนายอินจึงเข้ามาในห้องพร้อมด้วยหลวงมนู) |
หลวงมณี : | พวกเราจะต้องรีบไปป้องกันตะพาน เพื่อไม่ให้ข้าศึกทำลายได้ นายหมู่เอกเทพอยู่คุมพลรักษาที่นี้หมู่หนึ่งคอยระวังอย่าให้ข้าศึกตีหลัง คอยทำเสียงเอะอะไว้ก็แล้วกัน ให้ข้าศึกนึกว่าพวกเรามากจะได้มัวพะวงอยู่ทางนี้เข้าใจไหม |
นายเทพ : | เข้าใจ จะให้ผมคงอยู่ที่ตึกนี้หรืออย่างไร |
หลวงมณี : | อยู่ที่นี่สัก ๑๐ คนก็พอ นอกนั้นเข้าไปอยู่ในหลังริมถนนจะได้เห็นทางสามแยก ฉันจะจัดให้หมู่อื่นไปอยู่ ถ้าเห็นยึดไม่ไหวไปสมทบกัน เข้าใจไหม |
นายเทพ : | เข้าใจ (หลวงมณี หลวงมนู นายอิน พากันไปทางหลัง เสียงบอกเสือป่าให้แบกอาวุธหน้าเดิน เงียบอยู่สักครู่ใหญ่ๆ แล้วจึงได้ยินเสียงปืนยิงข้างนอก เป็นอย่างยิงตามลำพัง นายเทพสั่งให้ปิดประตูหลังแล้วเตรียมยิง อีกครู่นายเทพจึงสั่งให้ยิงตามลำพัง เสือป่าต่างคนต่างยิง พระภิรมย์เข้ามาจากทางซ้าย มาชะเง้อดูอยู่) |
นายเทพ : | คุณพระระวังหน่อย (ทันใดนั้นพลเสือป่าคนหนึ่งร้องโอย ทิ้งปืนและเอามือขวากุมแขนซ้าย) คุณพระขอรับ โปรดเรียกขุนรัตน์สักที (พระภิรมย์ ไปเรียกขุนรัตน์แพทย์ออกมา ขุนรัตน์ให้เสือป่าผู้ถูกยิงถลกแขนขึ้น แล้วจัดการเอาผ้าพันให้ แล้วผู้เจ็บก็จับปืนขึ้นยิงไปใหม่ อีกครู่หนึ่งอีกคนหนึ่งล้ม ขุนรัตน์เข้าไปดู ชี้ที่น่าอก แล้วก็ช่วยกันกับพระภิรมย์หามเข้าไปทางซ้าย แล้วพระภิรมย์กลับออกมาดูอยู่อีกข้างในห้องหยุดยิง เสียงปืนข้างนอกได้ยินอยู่ห่างๆ) |
นายเทพ : | ไม่ได้การ ข้าศึกเห็นจะคิดไปเข้าข้างประตูหลัง ผมต้องไปต่อสู้ทางโน้น คุณพระอยู่ทางนี้โปรดจัดการลงกลอนประตูหน้าต่างเสียให้มิดชิดจะดี (พูดกับเสือป่า) มาไปด้วยกันเถอะ (พาเสือป่าไปทางขวา) |
พระภิรมย์ : | เฮ้ย! อ้ายสี! อ้ายสี! มานี่ (อ้ายสีออกมา) มาช่วยกันลงกลอนประตูหน้าต่างให้แน่น (ไปที่หน้าต่างจะลงกลอน) เอ๊ะ! อ้ายพวกข้าศึกเห็นจะเล่นระยำแล้ว จะล่อพวกเสือป่าวิ่งเหนื่อยเท่านั้นเอง (มองเห็นปืนที่เสือป่าคนเจ็บทิ้งไว้) กูก็เกิดมาเป็นลูกผู้ชายเอากับมันสักตั้งเถอะวะ (จับปืนขึ้นเล็งสักครู่หนึ่งแล้วยิง อ้ายสีกระพือปีกและโลดเต้นแสดงกิริยาดีใจ) อ้ายสี กูเอานอนได้คนหนึ่งแล้ววะ (ยิงอีก) อีกคนหนึ่ง เฮ้ยเอ็งไปไปขอลูกปืนที่คนเจ็บเขามาอีก (อ้ายสีไปแล้วพระภิรมย์ก็คอยจ้องต่อไปเพื่อจะยิงอีก นายซุ่นเบ๋งเข้ามาจากทางซ้าย) |
ซุ่นเบ๋ง : | (ไปกระชากตัวพระภิรมย์จากหน้าต่าง) คุณพระ พุทโธ่! อะไรทำเป็นบ้าไปได้ กฎหมายนานาประเทศห้ามนักไม่ให้พลเมืองเกี่ยวข้องในการสงคราม |
พระภิรมย์ : | อย่ามาเห่าเรื่องกฎบัตรกฎหมายอะไรของมึงหน่อยเลย กูรำคาญหูนัก (คงดูทางหน้าต่าง) |
ซุ่นเบ๋ง : | ผมรักคุณพระจึงเตือน การที่พลเรือนจะเกี่ยวข้องในการรบ ถ้าเขาจับได้ละก็ไม่มีตารอดเทียวนะขอรับ เขาหาเป็นผู้ร้ายอย่างฉกรรจ์ ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา |
พระภิรมย์ : | ช่างกูเถอะ ถึงกูตายก็ชีวิตกูเอง (อ้ายสีเอากระสุนเข้ามา) เออดีทีเดียวส่งมานี่ (รับกระสุนไปประจุ) |
ซุ่นเบ๋ง : | ก็รัฐบาลต่อรัฐบาลเขาวิวาทกัน คุณพระจะพลอยเจ็บร้อนด้วยทำไม |
พระภิรมย์ : | อุวะ ก็มันมาข่มเหงชาติกูนี่วะ แล้วก็ลูกกูก็ตายไปทั้งคนแล้วจะว่ากูไม่มีข้อควรเจ็บร้อนอย่างไร (ยกปืนขึ้นเล็ง) |
ซุ่นเบ๋ง : | (จับมือไว้) คุณพระ! ผมขอที |
พระภิรมย์ : | (โกรธ) เฮ๊ย! อ้ายนี่อย่างไรนี่วะ อ้ายสีจิกหัวอ้ายเจ๊กนี้ไปให้พ้นกูที แล้วไสหัวมันไปนอกบ้านกู (อ้ายสีตรงเข้าไปจะจับมือนายซุ่นเบ๋ง แต่นายซุ่นเบ๋งไม่ให้จับเดินกระทืบตีนไปทางซ้าย พระภิรมย์ยิงออกไปทางหน้าต่างเป็นครั้งเป็นคราวนานๆ ยิงครั้งหนึ่ง ได้ยินเสียงยิงกันมากข้างหลังไกลๆ หน่อย แล้วเสียงเฮ พระภิรมย์ก็ยิงเรื่อยไปจนทหารข้าศึกสองหรือสามคนเข้ามาทางซ้าย เข้าจับพระภิรมย์ได้แล้วแย่งปืนไปจากมือ พระภิรมย์ยืนตะลึงอยู่หว่างทหารข้าศึกคู่หนึ่ง นายร้อยตรีทหารข้าศึกคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ต่างคนต่างจ้องกัน) |