ศุภมัสดุ

๏ สัททัลวิกีฬิต ฉันท์ ๚

๑๙ พร้อมเบญจางคประดิษฐ์สฤษดิดุษฎี
กายจิตร์วจีไตร ทวาร ฯ
๏ กราบไหว้คุณพระสุคตอนาวรณญาณ
ยอดศาสดาจารย์ มุนี ฯ
๏ อีกคุณสุนทรธรรมะคัมภิรวิธี
พุทธ์พจน์ประชุมตรี ปิฎก ฯ
๏ ทั้งคุณสงฆะพิสุทธิศาสนะดิลก
สัมพุทธสาวก นิกร ฯ
๏ นอบน้อมคุณพระคเณศวิเศษศิลปธร
เวทางคบวร กะวี ฯ
๏ เปนเจ้าแห่งวิทยาวราภรณะศรี
สุนทรสุวาที วิธาน ฯ
๏ สรวมชีพหัดถประณามประนตพระบทมาลย์
บพิตระสมภาร พระองค์ ฯ
๏ สมเด็จอรรคะมหาจุฑาธิปะพระมง
กุฎเกล้าพิศิฎฐ์พงศ์ กระษัตริย์ ฯ
๏ บานบำเทองพระเถลิงถวัลยอธิปัติ์
ที่หกดิลกรัฏฐ์ ประชา ฯ
๏ ชุ่มชื่นมณฑละภูมิ์นิพัทธ์วัฒนะปรา
กฎเพียงพระรามา วตาร ฯ
๏ ปางไวกูณฐประกอบประกาศกิติอุฬาร
เลิศมากประมาณคือ พระองค์ ฯ
๏ สรวมศรีไตรรตนาธิคุณอดุละมง
คลเหตุพิเศษทรง ประสิทธิ์ ฯ
๏ เสริมซึ่งโสตถิบวรพระพรจตุรพิธ
ขอพึงสฤษดิ์นิจ นิรันดร์ ฯ
๏ จุ่งไท้เทียรฆพระชนมะดลลุสตพรรษ์
ภัทร์เพิ่มพระศุขวรร ณพล ฯ
๏ อันใดสรรพะกะลีและนีรผละมล
ทินไกลยุคลบาท ลออง ฯ
๏ เพียรเพ็ญในมนะข้าพเจ้านิยมะจอง
เจตน์คิดลิขิตปอง ประพันธ์ ฯ
๏ สามัคคีภิทะโทษนิทานะคติธรรม์
โดยพิศดารอัน แสดง ฯ
๏ เชิงบรรพ์ฉันทะลเบงชเลงพจนะแปลง
บรรจงพจีแจง ประโยชน์ ฯ
๏ บูชาศาสนะพากย์สุภาสิตะวิโรจน์
เริงปรีดิปราโมทย์ ประมวญ ฯ
๏ ใดบทบาทผิวะคลาศและผิดนิติขบวน
โกวิทกะวีควร อภัย ๚

๏ วสันตดิลก ฉันท์ ๚

๑๔ โบราณะกาลบรมะขัต ติยรัชชเกรียงไกร
ท้าวทรงพระนามะอภิไธ ยะอชาตะศัตรู
๏ ครอบครองมไหยศุริยเอก อภิเศกประสิทธิ์ภูว์
อาณาปวัตติบริบู รณะบรรพประเพณี ฯ
๏ แว่นแคว้นมคธนคระรา ชคฤห์ราชบูรี
ทรงราชวัตร์วิธะทวี ทศธรรมะจรรยา ฯ
๏ แหล่งหล้ามหาอุดมะลาภ คุณะภาพพระเมตตา
แผ่เพียงชนกกรุณะอา ทระบุตร์ธิดาตน ฯ
๏ โปร่งปรีดิปราศอริริปู ภพะภูมิมณฑล
เปรมโสตถิ์ประสบวัฒนะผล ศุขะด้วยพระเดชา ฯ
๏ อำพนพระมณฑิรพระราช ะนิวาศน์วโรฬาร์
อัพภันตร์ก็ไพจิตระพา หิรภาคก็พึงชม ฯ
๏ เช่นหลั่งชลอดุสิตะเท วสถานพิมานพรหม
มารังสฤษดิ์ศิริอุดม ผิวะเทียบก็เทียมทัน ฯ
๏ สามยอดยะเยี่ยมยละระยับ วะวะวับสลับพรรณ์
ช่อฟ้าตระการกละจะหยัน จะเยาะยั่วทิฆัมพร ฯ
๏ บราลีพิลาศศุภจรูญ นพศูลประภัศร
หางหงส์ผจงพิจิตระงอน ดุจะกวักนภาลัย ฯ
๏ รอบด้านตระหง่านจตุรมุข พิศะสุกอร่ามใส
กาญจน์แกมมณีกนกะไพ ฑุริย์พร่างพะแพรวพราย ฯ
๏ บานบัฏพระบัญชระสลัก ฉลุลักษณ์เฉลาลาย
เพดาลก็ดารกะประกาย ระกะดาดประดิษฐ์ดี ฯ
๏ เพ่งภาพตลอดตละผนัง ก็มะลังมะเลืองสี
ยิ่งดูก็เด่นประดุจะมี ชิวะแม้นกมลครอง ฯ
๏ ภาพเทพพนมวิจิตระยิ่ง นรสิงหะลำยอง
ครุฑยุดภุชงค์วิยะผยอง และเผยอขยับผัน ฯ
๏ ลวดลายระบายระบุกระหนาบ กระแหนะภาพกระหนกพัน
แผ่เกี่ยวผกาบุษปะวัล ลิและวางระหว่างเนือง ฯ
๏ ภายใต้เศวตร์ฉัตระรัต นะจรัศจรูญเรือง
ตั้งราชอาศนะประเทือง วรมัญจบรรจ์ฐรณ์ ฯ
๏ ห้อยย้อยประทีปอุบะประทิน รศกลิ่นชเอมอร
อาบอบตระหลบนิจะขจร ดุจะทิพย์สุมาลัย ฯ
๏ คัณนาอเนกคณะอนงค์ ศิริทรงเจริญใจ
สรรพางคะพรรณพิศะประไพ กละพิมพอับศร ฯ
๏ เรียงรายจรูงรมยะบาท บริจาริกากร
ปันเวรพิทักษ์อธิบวร ทิวรัตติ์นิวัทธ์วาร ฯ
๏ โดยรอบมหานคระเล่ หะสิเนรุปราการ
มั่นคงอรินทระจะราญ ก็ระย่อและท้อหนี ฯ
๏ แถวถัมภะโดรณะสล้าง ระยะนางจรัลมี
ชลคูประตูวรบุรี ณระหว่างพระภารา ฯ
๏ เรียงป้อมและปักธวัชะราย ยละค่ายก็แน่นหนา
เสาธงสถิตยะธุชะมา ลุตะโบกสบัดปลาย ฯ
๏ หอรบอรินทรจะรอ รณะท้อหทัยหมาย
มุ่งยุทธะย่อมชิวะมลาย ก็ประลาศน์มิอาจทาน ฯ
๏ พร้อมพรั่งพฤนท์พหละรณ พยุห์พลทหารหาญ
อำมาตย์และราชบริวาร วุฒิเสวกากร ฯ
๏ เนืองแน่นขนัดอัศวะพา หนะชาติกุญชร
ชาญศึกสมรรถะณสมร ชยะเพิกริปูภินท์ ฯ
๏ ความศุขก็แสนบรมศุข และสนุกสนานยิน
ดีในผไทรัฐะบุริน ทรรัตน์จรูญเรือง ฯ
๏ กลางวันอนันตคณนา นรคลาคระไลเนือง
กลางคืนมหุศวะประเทือง ดุริย์ศัพทะดีดสี ฯ
๏ บรรสานผสมสรนินาท พิณะพาทย์และดนตรี
แซ่โสตร์สดับเสนาะฤดี อุระเพลินเจริญใจ ฯ
๏ เมืองท้าวและเทียบพิพยโลก ภพะแหล่งสุราลัย
เมืองท้าวและสมบุรณไพ บุละทุกประการมาน ๚

๏ ฉบงง ๚

๑๖ อันอรรคปุโรหิตอาจารย์ พราหมณ์นามวัสสการ
ฉลาดเฉลียวเชี่ยวชิน ฯ
๏ กลเวทโกวิทจิตร์จินต์ ประจักษ์แจ้งศิล
ปศาสตร์ก็จบสบสรรพ์ ฯ
๏ เปนมหาอำมาตย์ราชวัล ลภใครไป่ทัน
ฤเทียมฤเทียบเปรียบปาน ฯ
๏ สมัยหนึ่งจึ่งจอมภูมิบาล ท้าวจินตนาการ
จะแผ่อำนาจอาณา ฯ
๏ ให้ราบปราบปรามเพื่อปรา กฎไผทไพศา
ละจวบจังหวัดวัชชี ฯ
๏ หวังพระหฤทัยใคร่กรี ฑาทัพโยธี
กระทำประยุทธ์เอาไชย ฯ
๏ ครั้นทรงดำริห์ตริไป กลับยั้งหยั่งใน
มนัศมิแน่แปรเกรง ฯ
๏ หากหักจักได้ไชยเชวง ฤๅแพ้แลเลง
พะว้าพะวังลังเล ฯ
๏ ไป่อาจสามารถทุ่มเท ทำศึกรวนเร
พระราชหทัยใช่เบา ฯ
๏ ด้วยเหตุพระองค์ทรงเสา วนะศัพท์สำเนา
ระเบงระบือลือชา ฯ
๏ ว่ากษัตริย์วัชชีบรรดา ครองรัชชสีมา
กเษตร์ประเทศทุกองค์ ฯ
๏ อปริหานิยะธรรมธำรง ทั้งนั้นมั่นคง
มิโกรธมิกร้าวร้าวฉาน ฯ
๏ เพื่อธรรมดำเนินเจริญการณ์ ใช่เหตุแห่งหานิ์
เจ็ดข้อจะคัดจัดไข ฯ
๏ หนึ่ง. เมื่อมีราชกิจใด ปฤกษากันไป
บวายบหน่ายชุมนุม ฯ
๏ สอง. ย่อมพร้อมเลิกพร้อมประชุม พร้อมพรักพรรคคุม
ประกอบณกิจควรทำ ฯ
๏ สาม.นั้นถือมั่นในสัม มะจารีตจำ
ประพฤติ์มิตัดดัดแปลง ฯ
๏ สี่. ใครเปนใหญชี้แจง โอวาทศาสน์แสดง
ก็ย้อมและน้อมบูชา ฯ
๏ ห้า. นั้นอันบุตริ์ภิริยา ผู้อื่นก็หา
ประทุษฐ์กระทำข่มเหง ฯ
๏ หก. ที่เจดีย์ชนเกรง เคารพยำเยง
ก็เส้นก็บวงสรวงพลี ฯ
๏ เจ็ด. พระอรหันต์อันมี โนรัฏฐ์วัชชี
ก็คุ้มก็ครองปัองกัน ฯ
๏ พร้อมสรรพสัปดพิธนิจนิรันดร์ สามัคคีธรรม์
ณหมู่กระษัตริย์ลิจฉวี ฯ
๏ อชาตศัตรูภูมี ทรงทราบโดยคดี
ดั่งนั้นก็ครั่นคร้ามขาม ฯ
๏ ศึกใหญ่หากจะพยายาม หาญหักเอาตาม
กำลังก็หนักนักหนา ฯ
๏ จำจักหักด้วยปัญญา รอก่อนผ่อนหา
อุบายทำลายมูลความ ๚

๏ อุปชาติ ฉันท์ ๚

๑๑ บรมกระษัตริย์ปรา รภะการะปราบปราม
กับวัสสการพราหม ะณพฤฒิอาจารย์ ฯ
๏ ปฤกษาอุบายดำ ริหะทำไฉนการ
จะสมนิยมภาร ธุระปราถนาเรา ฯ
๏ สมัคคิ์สมานมิตร์ คณะลิจฉวีเขา
มั่นคงจะคิดเอา ชนะด้วยประการใด ฯ
๏ ท่านวัสสการผู้ ทิชะครูฉลาดใน
อุบายคนึงไป ก็ประจักษ์กระจ่างจินตน์ ฯ
๏ เสนอสนองทูล กละมูลยุบลรบิล
แด่องคภูมิน ทอชาตศัตรู ฯ
๏ ตกลงและทรงนัด แนะกะวัสสการครู
ตริเพื่อเผด็จมู ละสมัคคไมตรี ฯ
๏ สมัยเสด็จว่า กิจะราชะการี
เสนาธิบดี มุขะมวญอมาตย์ผอง ฯ
๏ โดยศักดิฐานัน ดระชั้นอนันต์นอง
ณท้องพระโรงทอง ขณะเฝ้าพระบทมาลย์ ฯ
๏ สดับปกาสิต วระกิจวโรงการ
จึ่งราชะสมภาร พจนาตถ์ประภาษไป ฯ
๏ เราคิดจะใคร่ยก พยุห์พลสกลไกร
ประชุมประชิดไชย รณะรัฏฐวัชชี ฯ
๏ ฉนี้แหละเสนา ปติฐานะมนตรี
คือใครจะใคร่มี พจะค้านประการไร ฯ
๏ ฝ่ายพราหมณ์ก็กราบทูล อดิศูริย์ณทันใด
นยาธิบายไข วจนัตถทัดทาน ฯ
๏ พระราชปรารม ภนิยมมิควรการณ์
ขอองคภูบาล พิเคราะห์เหตุจงดี ฯ
๏ อันซึ่งจะกรีฑา พละทัพและไปตี
กระษัตริย์ณวัชชี ชนบทสมหมาย ฯ
๏ มิแผกมิผิดพา กยะข้าพระองค์ทาย
ไป่ได้สดวกดาย และจะแพ้เพราะไพรี ฯ
๏ พวกลิจฉวีขัต ติยรัชชวัชชี
ละองค์ละองค์มี มิตระพันธะมั่นคง ฯ
๏ และแสนจะสามารถ พละอาจกระทำสง
ครามยุทธยรรยง มิระย่อมิเยงใคร ฯ
๏ เราน้อยจะย่อยยับ ดละอัปราไชย
ฉนี้แหละแน่ใน มนะข้าพยากรณ์ ฯ
๏ และอีกประการเล่า ผิวะเขาสิคิดคลอน
แคลนพาลระราญรอน ทุจริตผจญเรา ฯ
๏ เปนก่อนกระนั้นชอบ ทุษะตอบก็ทำเนา
มิมีคดีเอา ธุระเห็นบเปนธรรม ฯ
๏ และโลกจะล่วงวา ทะติว่าพระองค์จำ
นงเจตนาดำ ริห์วิรุธประทุษฐ์เขา ฯ
๏ กระนี้พระจุ่งปรา รภะภาระแบ่งเบา
เพื่อกล่อมถนอมเกลา มิตระภาพสงบงาม ๚

๏ อีทิสัง ฉันท์ ๚

๒๐ ภูบดินทร์สดับอุปายะตาม
ณวาทะวัสสการะพราหมณ์ และบังอาจ ฯ
๏ เกินประมาณเพราะการละเมิดประมาท
มิควรจะขัดบรมราช ชโยงการ ฯ
๏ ท้าวก็ทรงแสดงพระองคะปาน
ประหนึ่งพระราชหทัยธดาล พิโรธจึง ฯ
๏ ผันพระกายกระทืบพระบาทและอึง
พระศัพทะสีหนาทะพึง สยองภัย ฯ
๏ เอออุเหม่นะมึงชิช่างกระไร
ทุทาษสถุลฉนี้ไฉน ก็มาเปน ฯ
๏ ศึกบถึงและมึงก็ยังมิเห็น
จะน้อยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด ฯ
๏ อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ
ขยาดขยั้นมิทันอะไร ก็หมิ่นกู ฯ
๏ เล่หะกากะหวาดขมังธนู
บห่อนจะเห็นธวัชริปู ก็ท้อถอย ฯ
๏ พ่ายเพราะไภยะตัวสิกลัวจะพลอย
พินาศชิพิตร์ประดิษฐ์ประดอย ประเด็นขัด ฯ
๏ กูก็เอกอุดมบรมกษัตริย์
วิจาระถ้วนบควรจะทัด จะทานคำ ฯ
๏ นี่ก็เห็นเพราะเปนอมาตย์กระทำ
พระราชการะมาฉนำ สมัยนาน ฯ
๏ ใช่กระนั้นละไซร้จะให้ประหาร
ชิวาตม์และหัวจะเสียบประจาน ณทันที ฯ
๏ นัคราภิบาลสภาบดี
และราชบุรุษฮะเฮ้ยจะรี จะรอไย ฯ
๏ ฉุดกระชากกะลีอปรีชะไป
บพักจะต้องกะรุณอะไร กะคนคด ฯ
๏ ลงพระราชอาชะญา ณ บท
พระอัยการพิพากษะกฎ และโกนผม ฯ
๏ ไล่มิให้สถิตย์ณคามนิคม
นครมหาสิมานิยม บุรีใด ฯ
๏ มันสมรรคสวามิภักดิใน
อมิตตะลิจฉวีก็ไป บห้ามกัน ฯ
๏ เสร็จประกาศพระราชธูระสรรพ์
เสด็จนิวัติศุขาภิมัณฑ์ มหาคาร ๚

๏ อินทรวิเชียร ฉันท์ ๚

๑๑ ควรสุดจะสมเพช จิตระเวทนาการ
ที่ท่านพฤฒาจารย์ พะกระทบประสบทัณฑ์ ฯ
๏ โดยเต็มกตัญญู กตเวทิตาอัน
ใหญ่ยิ่งและยากครัน ขรการณ์จะทานทน ฯ
๏ ยินดีนิยมเพื่อ สละเนื้อและเลือดตน
ยอมรับอดูรผล จะพะพ้องพะพานกาย ฯ
๏ ไป่เห็นกะเจ็บแสบ ชิวะแทบจะทำลาย
มอบสัตย์สมรรถหมาย มนะมั่นมิหวั่นไหว ฯ
๏ หวังการ ณ แผ่นดิน จะสดวกเพราะฉันใด
ให้กิจสฤทธิ์ไป บมิเลี่ยงฤเบี่ยงเบือน ฯ
๏ เหลือที่จะมีใคร ทมะในหทัยเหมือน
กัดฟันบฟั่นเฟือน สติอดสกดเอา ฯ
๏ พวกราชมัลล์โดย พละโบยมิใช่เบา
สุดหัตถะแห่งเขา ขณะหวดสิพึงกลัว ฯ
๏ ยลเนื้อก็เนื้อเต้น พิศะเส้นก็สั่นรัว
ทั่วร่างและทั้งตัว ก็ระริกระริวไป ฯ
๏ แลหลังก็หลั่งโล หิตะโอ้เลอะลามไหล
เพ่งผาดอนาถใจ ตละล้วนระรอยหวาย ฯ
๏ เนื่องนับอเนกแนว ระยะแถวตลอดลาย
เฆี่ยนครบสยบกาย ศิระพับพะกับคา ฯ
๏ ทั้งหลายสหายมิต ตะอมัจจะเสนา
ทัศน์เหตุทุเรศสา หศะแสนสลดใจ ฯ
๏ สุดที่จะกลั้นโท มนะโศกะอาลัย
ถ้วนหน้ามิว่าใคร ขณะเห็นบเว้นคน ฯ
๏ แก้ไขและได้คืน สติฟื้นประทังตน
จึ่งราชบุรุษกล ปกกรณ์ก็โกนหัว ฯ
๏ เสื่อมศีศะผมเผ้า พิศะเปล่าประจานตัว
เปนเยี่ยงประหยัดกลัว ผิมะลักจะหลาบจำ ฯ
๏ เสร็จอาชะญาทัณฑ์ กิจะพลันประกาศทำ
ปัพพาชนีย์กรรม ดุจะราชโองการ ฯ
๏ บรรดาประชาชน ขณะยลทิชาจารย์
สุดแสนจะสงสาร สรแซ่ประสาสันทน์ ฯ
๏ บางคนกมลอ่อน อุระข้อนพิไรพรรณน์
บางเหล่าวิสัยอัน กุธะเกลียดก็เสียดสี ฯ
๏ บางพวกก็เปนกลาง ยละข้างพิจารณ์ดี
บางหมู่กะรุณมี ณหทัยก็ให้ของ ฯ
๏ พราหมณ์วัสสการเส กละเล่หะทำนอง
ท่าทางละอย่างผอง นระสิ้นบสงสัย ฯ
๏ ออกจากนครรา ชะคฤห์รีบจรัลไป
สู่เทศสถานไกล บุระรัฏฐะวัชชี ๚

๏ วิชชุมมาลา ฉันท์ ๚

แรมทางกลางเถี่อน ห่างเพื่อนหาผู้
หนึ่งใดนึกดู เห็นใครไป่มี ฯ
หลายวันถั่นล่วง เมืองหลวงธานี
นามเวสาลี ดุ่มเดาเข้าไป ฯ
๏ ผูกไมตรีจิตร์ เชิงชิดชอบเชื่อง
กับหมู่ชาวเมือง ฉันท์อัชฌาสัย ฯ
เล่าเรื่องเคืองขุ่น ว้าวุ่นวายใจ
จำเปนมาใน ด้าวต่างแดนตน ฯ
๏ เขาแสนสังเวช สังเกตอาการ
แห่งท่านอาจารย์ ท่าทีทุกข์ทน ฯ
ภายนอกบอกแผล แน่แท้ทุพพล
เห็นเหตุสมผล ให้พักอาศรัย ฯ
๏ ข่าวคราวกล่าวกัน เปนอันแพร่หลาย
ลือล่ำกำจาย จนแจ้งทั่วไป ฯ
มนตรีกราบทูล เค้ามูลขานไข
แด่องค์ท้าวไท แหล่งหล้าลิจฉวี ฯ
๏ ทรงทราบข่าวสาสน์ โดยราชดำรัส
สัญญาอาณัติ ทุ่มฆาฏเภรี ฯ
ทุกไท้ราชา อาณาวัชชี
มาชุมนุมมี การตฤกปฤกษา ฯ
๏ แน่นเนืองเนื่องนับ ลำดับโดยหมู่
ทันใดราชผู้ เปนใหญ่ในสภา ฯ
เริ่มอารัมภ์พจน์ ตามบทมีมา
ชี้แจงจักปรา รพภ์กันฉันใด ฯ
๏ พราหมณ์หนึ่งซึ่งเขา เปนเปาโรหิตย์
พวกปัจจามิตร์ มาคธเขตร์ไผท ฯ
ต้องราชอาชญา หนีมาอาศรัย
จำไล่ให้ไป ฤๅรับเลี้ยงดู ฯ
๏ พร้อมตกลงเปน ความเห็นเดียวกัน
บ้านเมืองของมัน นั้นเปนศัตรู ฯ
แห่งรัฏฐ์วัชชี แม้มีแต้มคู
คิดมาตร์คาดมู ลารัมภ์ทำกล ฯ
๏ เพื่อส่อไส้ศึก ลับลึกสนธิ์สาย
หากเห็นแยบคาย ผิดอย่างแผกยล ฯ
ไล่มันทันที แต่นี่ในฉงน
ยากหยั่งยังปน ไปข้างสงสัย ฯ
๏ รอไว้ให้หา เข้ามาจักมี
ถ้อยท่าพาที เท็จจริงฉันใด ฯ
สุดแท้แต่การณ์ ตามฐานเปนไป
สมควรอย่างไร บัญชาคราหลัง ๚

๏ อินทรวงศ์ ฉันท์ ฯ

๑๒ ราชาประชุมดำ ริหะโดยประการะดัง
ดำรัสตระบัดยัง วจนัตถ์ปวัตติพลัน ฯ
๏ ให้ราชภัฏโป ริสะไปขมีขมัน
หาพราหมณ์ทุพลอัน บุระเนระเทศะมา ฯ
๏ เขาพลันจรัลรีบ จระรุดประดุจประกา
สิตนำทิชาจา ริยะสู่พระราชฐาน ฯ
๏ จึ่งลิจฉวีรา ชะสภาบดีประธาน
มีราชโองการ นยะปุจฉนีย์คดี ฯ
๏ เยียใดไฉนดู กะระครูธล่วงกะลี
ข้อใหญ่อะไรมี ทุระเหตุจะเสียจะหายน์ ฯ
๏ จึ่งดาลอดูรพ้อง ขรข้องระคนระคาย
หลังไหล่สิรอยหวาย คณนาอนันต์ประมาณ ฯ
๏ ต้องทัณฑะบรรพา ชนิย์มาก็ไกลสถาน
พรากพันธุวงศ์วาน บุตระทาระมิตร์สหาย ฯ
๏ มาอยู่นครเรา จะเสาะเอารหัสอุบาย
ฤๅไรก็ยากหมาย อนุมานะครันนะครู ฯ
๏ อันราชอชาตสัต คุณรัฏฐ์มคธริปู
แห่งเราจะเอาภู มิกะกันและกันประสงค์ ฯ
๏ หลากเหลือจะเชื่อจิตร์ ผิวะคิดประหวั่นพะวง
เมตตาและเต็มปลง จิตระจักประคับประคอง ฯ
๏ หนักข้างระคางอยู่ บมิรู้จะรับจะรอง
ภายหลังก็ตั้งตรอง ตริฤเว้นระวังระแวง ฯ
๏ ฝ่ายวัสสการครู ก็มธูระทูลแถลง
ให้เชื่อและชี้แจง อภิยาจนาภิปราย ๚

วสันตดิลก ฉันท์ ๚

๑๔ ข้าแต่พระจอมจุฬมกุฎ บริสุทธิกำจาย
ปรากฎพระยศระบุระบาย กิติเบิกระบือบุญ ฯ
๏ เมตตาทยาลุศุภะกรรม อุปถัมภะการุญ
สรรเสิญเจริญพระคุณะสุน ทระภาพพิบูลย์งาม ฯ
๏ เปรียบปานมหรรณพะนที รมะที่ประทังความ
ร้อนกายกระหายอุทกะยาม นระผู้ประสบเห็น ฯ
๏ เอิบอิ่มกระหยิ่มหทยะคราว กระอุผ่าวก็ผ่อนเย็น
ยังอุณหะมุญจนะและเปน ศุขะปีติดีใจ ฯ
๏ อันข้าพระองค์กษณะนี้ บมิมีจะร้อนใด
ยิ่งกว่าและหามนุษไหน ฤเสมือนเสมอตน ฯ
๏ ใคร่เปลื้องประเทืองประนุทะทุกข์ ภยะมุขจะมาดล
ไร้ญาติ์และขาตมิตระสกล นฤผู้จะดูดาย ฯ
๏ โดยเดียวอดักอดุระแด และก็แก่ชรากาย
ที่ซึ่งจะพึงสรณะหมาย อนุศรบห่อนเห็น ฯ
๏ ทราบข่าวขจรพระกิติบา ระมิว่าพระองค์เปน
เอกอรรคกระษัตริย์สุขุมะเพ็ญ กรุณามหาศาล ฯ
๏ หวังเพื่อพะพิงบพิตระพึ่ง อภิโพธิสมภาร
มอบกายถวายชิพิตตระปราณ นิจะกาละปรารมภ์ ฯ
๏ คิดไว้บได้ประดุจะเจตน์ เฉภาะเหตุบเห็นสม
ขืนทำก็เท่ากะจะนิยม คติผิดพิจารณ์ดู ฯ
๏ ขึ้นชื่อกระฉ่อนบุรุษะกัก ขละอักกตัญญู
คิดคดขบถประทุษะภู วะประเทศผไทตน ฯ
๏ จำเปนเพราะเหลือจะทุมนัศ บมิน่าจะรับผล
แห่งราชภัยพิบัติดล ดุจะนี้พินิจดู ฯ
๏ เหตุเดิมก็โดยบรมะรา ชอชาตะศัตรู
ปฤกษากะข้ายุคละมู ลิกะมุขมนตรี ฯ
๏ จักยาตร์พยู่ห์พหละยุท ธะประทุษฐะย่ำยี
เขตร์แดนพระองค์นิยมะนี ระประโยชน์พยายาม ฯ
๏ ข้าบาทบจงจิตระอสัตย์ พิเคราะห์ชัดถนัดความ
จริงอ้างกระจ่างพจนะตาม อธิบายรบิลแจง ฯ
๏ วัชชีนครบวระสรร พะจะขันจะเข้มแขง
รี้พลสกลพิริยแรง รณะการะกล้าหาญ ฯ
๏ มาคธผไทรัฐะนิกร พละอ่อนบชำนาญ
ทั้งสิ้นจะสู้สมระราญ ริปุนั้นไฉนไหว ฯ
๏ ดั่งอินทโคปกะผวา มุหะฝ่า ณ กองไฟ
หิ่งห้อยสิแข่งสุริยะไหน จะมิน่าชิวาลาญ ฯ
๏ เห็นการณ์ก็ควรยุบละขัด พจนัตถะทัดทาน
บัดดลบดินทร์หทยะดาล ลุพิโรธะสำแดง ฯ
๏ ลงราชทัณฑะพิธะทา รุณะการะร้ายแรง
ไป่ควรเฉลยนยะแถลง เพราะพระองค์ก็ทรงเห็น ฯ
๏ กราบทูลประมูลบทะประมวญ ตละล้วนตลอดเปน
ความจริงบแต่งกละประเด็น นิระสาระพาที ฯ
๏ ที่ดับระงับอดุระผ่อน ก็บห่อนจะเห็นมี
นอกจากพระองค์อดุละสี ตลเมตตะคุณมัย ฯ
๏ มุ่งมาก็หมายกมละมี สรณียะเปนไป
ครองชีวะสืบศุขะพิสัย อนุสนธิอาสัญ ฯ
๏ มั่นปองสนองวระคุณา ธิมหากะรุณครัน
ในราชกิจนิจะนิรัน ดระตราบสลายกาล ฯ
๏ สุดแต่จะทรงพระกรุณา ทนุข้าพระบทมาลย์
ผู้ถึงอภัพพ์ทุพละซาน เสาะอุสาหะมาถึง ๚

วังสัฏฐ ฉันท์ ๚

๑๒ ประชุมกระษัตริย์รา ชะสภาสดับคนึง
คเนณทุกข์รึง อุระอัตถ์ประวัติ์ประวิง ฯ
๏ ประกอบระกำพา หิระกายะน่าจะจริง
มิใช่จะแอบอิง กละอำกระทำอุบาย ฯ
๏ และทุกพระองค์ใน คณะไป่ฉงนฉงาย
ก็เชื่อ ณ แยบคาย คะรุวัสสการะพราหมณ์ ฯ
๏ ตระบัดธรับสั่ง ผิวะดั่งวจีนิยาม
ละล้วนก็ควรความ และมิร้ายมิแรงอะไร ฯ
๏ อชาตะศัตรู จุฬะภูว์มคธผไท
มิควรจะมีใจ กุธะเกรี้ยวกระนี้สิหนอ ฯ
๏ และเหตุก็เท่านั้น ผิจะผันจะผ่อนก็พอ
ระงับพิโรธรอ พิเคราะห์เห็นบเปนกระไร ฯ
๏ เถอะเราก็เอนดู ทิชะครูและเศร้าหทัย
เพราะที่ธมีใจ สุจริตวินิจวิจารณ์ ฯ
๏ พะพ้องพระอาชญา บมิน่าจะเปนจะปาน
มิหนำนิเทสการ ทวิวิธลุทัณฑะทวน ฯ
๏ จะรับและเลี้ยงท่าน อุปการ ณ ฐานะควร
ก็จงละเว้นมวล มละโทษประพฤติ์สุธรรม์ ฯ
๏ ประดุจขนบข้า ธุระราชะกิจจสรรพ์
ทิชงคะน้อมอัญ ชลิเช่นจะชื่นจะชู ฯ
๏ และมีพระปุจฉา นยะว่าก็ครา ณ ครู
ฉลองพระคุณภู ธระรับพระราชธูร ฯ
๏ สถิตย์ ณ ฐานัน ดระชั้นอะไรจะปูน
ประกอบและเกื้อกูล ดุจะดั่งบุราณะมา ฯ
๏ ทวิชแถลงไท กิจะในสมัยณะกา
ละอยู่นครรา ชคฤห์ศักดิข้าธุลี ฯ
๏ สเถียรอมาตย์ฐา นะพิจารณาคดี
พิฉินทะธารี ดุละกิจพิพากษะการ ฯ
๏ กระษัตริย์กเษตร์ลิจ ฉวิหล้าพระราชะทาน
สถาปนาฐาน ยศะเทอดธุโรปถัมภ์ ฯ
๏ และเห็นเพราะเปนครู วุฒิรู้วิชาและชำ
นิศิลปศาสตร์คัม ภิระเพทพิเศษพิศาล ฯ
๏ ประสิทธิดำแหน่ง คะรุแห่งพระราชกุมาร
นิพัทธะเอาภาร อนุสิฏฐะวิทยา ๚

มาลินี ฉันท์ ๚

๑๕ กษณะทวิชะรับฐา นันดร์และที่วา
ทกาจารย์ ฯ
๏ นิระอลสะประกอบการ พีริโยฬาร
และเต็มใจ ฯ
๏ จะพินิจยะคดีใด เที่ยง ณ บทใน
พระธรรมนูญ ฯ
๏ ละมนะอคติสีสูญ ยุกติบาฐบูรณ์
ณคลองธรรม์ ฯ
๏ ลุสมยะจะแนะนำพรรค์ ราชกุมารสรรพ์
ธพร่ำสอน ฯ
๏ หฤทยปริอาทร ชี้วิชากร
ก็โดยดี ฯ
๏ เพราะตริจะทนุถนอมปรี ตามิไห้มี
ระแวงใด ฯ
๏ ผิวะจะวิรุธะแคลงใน ราชหทัยไท
ธลิจฉวี ฯ
๏ เพราะปกรณะวิธีมี เล่หะลับนี
ระสงสัย ฯ
๏ คณะขัติยะและใครใคร ต่างก็ไว้ใจ
ทิชาจารย์ ๚

ภุชงคปยาตร ฉันท์ ๚

๑๒ ทิชงค์ชาติ์ฉลาดยล คเนกลคนึงการ
กษัตริย์ลิจฉวีวาร ระวังเหือดระแวงหาย ฯ
๏ เหมาะแก่การจะเสกสัน ปวัตติ์วัญจะโนบาย
มล้างเหตุพิเฉทสาย สมัคคิ์สนธิ์สโมสร ฯ
๏ ณวันหนึ่งลุถึงกา ละศึกษาพิชากร
กุมารลิจฉวีวร เสด็จพร้อมประชุมกัน ฯ
๏ ตระบัดวัสสการมา สถานราชะเรียนพลัน
ธแกล้งเชิญกุมารฉันท์ สนิทหนึ่งพระองค์ไป ฯ
๏ ลุห้องหับระโหฐาน ก็ถามการณะทันใด
มิลี้ลับอะไรใน กถาที่ธปุจฉา ฯ
๏ จะถูกผิดกระไรอยู่ มนุษผู้กระทำนา
และคู่โคก็จูงมา ประเทียบไถมิใช่หรือ ฯ
๏ กุมารลิจฉวีขัติย์ ก็รับอัตถะอออือ
กะสิกชนกระทำคือ ประดุจคำพระอาจาย์ ฯ
๏ ก็เท่านั้นธเชิญให้ นิวัติในมิช้านาน
ประสิทธิ์ศิลป์ประสาสน์สาร ตลอดเลิกลุเวลา ฯ
๏ อุรสลิจฉวีสรร พะชวนกันเสด็จมา
และต่างซักกุมารรา ชะองค์นั้นจะเอาความ ฯ
๏ พระอาจารย์สิเรียกไป ณ ข้างใน ธ ไต่ถาม
อะไรเธอเสนอตาม วจีสัตย์กะพวกเรา ฯ
๏ กุมารนั้นสนองสา ระวากย์วาทะตามเลา
เฉลยกับพระครูเปา รุหิตย์โดยคดีมา ฯ
๏ กุมารอื่นก็สงสัย มิเชื่อในพระวาจา
สหายราชธพรรณ์นา และต่างองค์ก็พาที ฯ
๏ ไฉนเลยพระครูเรา จะพูดเปล่าประโยชน์มี
เลอะเหลวนักละล้วนนี ระผลเห็นบเปนไป ฯ
๏ เถอะถึงถ้าจะจริงแม้ ธกล่าวแท้ก็ทำไม
สิชวนเข้า ณ ข้างใน จะถามนอกบยากเย็น ฯ
๏ ชรอยว่าทิชาจารย์ ธคิดอ่านกะท่านเปน
รหัสเหตุประเภทเห็น ละแน่ชัดถนัดความ ฯ
๏ และท่านมามุสาวาท บกล้าอาจจะบอกตาม
พจีจริงพยายาม ไถลแสร้งแถลงสาร ฯ
๏ กุมารราชมิตร์ผอง ก็สอดคล้องและแคลงดาล
พิโรธกาจวิวาทการ อุบัติขึ้นเพราะขัดเคือง ฯ
๏ พิพิธพันธะไมตรี ประดามีนิรันดร์เนือง
กะองค์นั้นก็พลันเปลือง มลายปลาศท์พินาศปลง ๚

๏ มาณวก ฉันท์ ๚

ล่วงณประมาณ กาลอนุกรม
หนึ่งลุนิยม ท่านทวิชงค์
เมื่ออนุสิฏฐ์ วิทยะยง
เชิญวระองค์ เอกะกุมาร ฯ
๏ เธอจระตาม พราหมะณะไป
โดยเฉภาะใน ห้องรหุฐาน
จึ่งพฤฒิถาม ความพิศดาร
ขอธประทาน โทษะและไข ฯ
๏ อย่าติคะรู หลู่พจะเลย
ท่านสิเสวย ภัตต์กะอะไร
ในทินะนี้ ดีฤไฉน
พอหฤทัย ยิ่งละกระมัง ฯ
๏ ราชธก็เล่า เค้าณประโยค
ตามบริโภค แล้วขณะหลัง
วาทะประเทือง เรื่องก็ประทัง
อาคมะยัง สิกขะสภา ฯ
๏ เสร็จอนุสาสน์ ราชอุรส
ลิจฉวิหมด ต่างธก็มา
ถามนยะอัน ท่านวุฒิอา
จาริยะปรา รพภะอะไร ฯ
๏ เธอก็แถลง แจ้งกิจะมวล
ความตละล้วน จริงณหทัย
ต่างก็มิเชื่อ เมื่อตริไฉน
จึ่งผละใน เหตุบมิสม ฯ
๏ ขุ่นมนะเคือง เรื่องนฤสาร
เช่นกะกุมาร ก่อนก็ระดม
เลิกสละแยก แตกคณะกลม
เกลียวบนิยม คบดุจะเดิม ๚

๏ อุเปนทรวิเขียร ฉันท์ ๚

๑๑ ทิชงค์เจาะจงเจตน์ กละห์เหตุยุยงเสริม
กระหน่ำและซ้ำเติม นฤพัทธะก่อการ ฯ
๏ ละครั้งระหว่างครา ทินะวาระนานนาน
เหมาะท่าทิชาจารย์ ธก็เชิญเสด็จไป ฯ
๏ บห่อนจะมีสา ระฤหาประโยชน์ใด
กระนั้นเสมอไน ยะธแสร้งเสาะสนถาม ฯ
๏ และบ้างก็พูดว่า น่ะแน่ะข้าสดับตาม
ยุบลระบิลความ พจะแจ้งกระจายมา ฯ
๏ ลเมิดติเตียนท่าน ก็เพราะท่านสิแสนสา
ระพัดทลิทท์ภา วะและสุดจะขัดสน ฯ
๏ จะแน่มิแน่เหลือ มนะเชื่อเพราะยากยล
ณที่บมีคน ธก็ควรขยายความ ฯ
๏ และบ้างก็กล่าวว่า น่ะแน่ะข้าจะขอถาม
เพราะทราบคดีตาม วจะลือระบือมา ฯ
๏ ติฉินเยาะเย้ยท่าน ก็เพราะท่านสิแสนสา
ระพรรณพิกลกา ยะพิลึกประหลาดเปน ฯ
๏ จะจริงมิจริงเหลือ มนะเชื่อเพราะไป่เห็น
ผิข้อบลำเค็ญ จิตระควรขยายความ ฯ
๏ กุมาระองค์เสา วนะเค้าคดีตาม
กระทู้พระครูถาม ธก็แสนจะสงสัย ฯ
๏ ก็คำบกอบการณ์ คะรุท่านจะถามไย
ธซักเสาะสืบใคร ระบุแจ้งกะอาจารย์ ฯ
๏ ทวิชก็บอกว่า พระกุมาระโน้นขาน
ยุบลกะข้ากาล เฉภาะอยู่กะกันสอง ฯ
๏ กุมารพระองค์นั้น ธมิทันจะตฤกตรอง
ก็เชื่อณคำของ วุฒิครูและวู่วาม ฯ
๏ พิโรธกุมารอง คะเจาะจงพยายาม
ยุครูเพราะเอาความ บมิดีประเดตน ฯ
๏ ก็พ้อและต่อว่า ทิฐิมานะเกิดจน
ลุโทษะสืบสน ธิวิวาทเสมอมา ฯ
๏ และฝ่ายกุมารหมู่ ทิชะครูบเรียกหา
ก็แหนงประดารา ชะกุมารทิชงค์เชิญ ฯ
๏ พระราชบุตร์ลิจ ฉวิมิตตจิตร์เมิน
กะกันและกันเหิน คณะห่างก็ต่างถือ ฯ
๏ ทนงชนกตน วุฒิล้นประเสริฐลือ
ก็หาญกระเหิมฮือ มนะฮึกบนึกขาม ๚

๏ สัทรา ฉันท์ ๚

๒๑ ลำดับนั้นวัสสการพราหมณ์ ธก็ยุศิษยะตาม
เล่ห์อุบายงาม ฉงนงำ ฯ
๏ ปวงโอรสลิจฉวีดำ ริหะวิรุธะและสำ
คัญประดุจคำ ธเสกสัน ฯ
๏ ไป่เหลือเลยสักพระองค์อัน มิละปิยะสหฉันท์
ขาดสมรรคพันธ์ ก็อาดูร ฯ
๏ ต่างองค์นำความมิงามทูล พระชนกะอดิศูริย์
แห่ง ธ โดยมูล ปวัตติ์ความ ฯ
๏ แตกร้าวกร้าวร้ายก็ป้ายปาม ลุวระบิดระลาม
ทีละน้อยตาม ณเหตุผล ฯ
๏ ที่เชื่อฟังพจน์อุรสตน นฤวิเคราะหะเสาะสน
สืบจะหมองมล เพราะฉันใด ฯ
๏ แลทั้งท่านวัสสการใน ขณะยละจะเหมาะไฉน
เสริมเสมอไป สดวกดาย ฯ
๏ หลายอย่างต่างกลธขวนขวาย ระบิละยุปริยาย
วัญจโนบาย บเว้นครา ฯ
๏ ครั้นล่วงสามปีประมาณมา คณขัติยะประดา
ลิจฉวีรา ชะทั้งหลาย ฯ
๏ สามัคคีธัมมะทำลาย มิตระภิทนะกระจาย
สรรพะเสื่อมหายน์ ก็เปนไป ฯ
๏ ต่างองค์ทรงแคลงระแวงใน พระหฤทยะนิสัย
ผู้พิโรธใจ ระวังกัน ๚

๏ สาลินี ฉันท์

๑๑ พราหมณ์ครูรู้สังเกต ประจักษ์เหตุตระหนักครัน
ราชาวัชชีสรร พะจักสู่พินาศสม ฯ
๏ ยินดีบัดนี้กิจ จะสัมฤทธิ์มนารมณ์
ทำมาด้วยปรากรม และอุตสาหะแห่งตน ฯ
๏ ให้ลองตีกลองนัด ประชุมขัตติย์มณฑล
เชิญซึ่งส่ำสากล กษัตริย์สู่สภาคาร ฯ
๏ วัชชีภูมีผอง สดับกลองกระหึมขาน
ทุกไท้ไป่เอาภาร ณกิจเพื่อเสด็จไป ฯ
๏ ต่างทรงรับสั่งว่า จะเรียกหาประชุมไย
เราใช่เปนใหญู่ใจ ก็ขลาดกลัวบกล้าหาญ ฯ
๏ ท่านใดที่เปนใหญ่ และกล้าใครบเปรียบปาน
พอใจใคร่ในการ ประชุมชอบก็เชิญเขา ฯ
๏ ปฤกษาหาฤๅกัน ไฉนนั้นก็ทำเนา
จักเรียกชุมนุมเรา บแลเห็นประโยชน์เลย ฯ
๏ รับสั่งผลักไสส่ง และทุกองค์ธเพิกเฉย
ไป่ได้ไปดั่งเคย สมรรคเข้าสมาคม ๚

๏ อุปัฏฐิตา ฉันท์

๑๑ เห็นเชิงพิเคราะห์ช่อง ชนะคล่องประสบสม
พราหมณ์เวทะอุดม ธก็ลอบแถลงการณ์ ฯ
๏ ให้วัลลภะชน คมะดลประเทศฐาน
กราบทูลนฤบาล อภิเผ้ามคธไกร ฯ
๏ แจ้งลักษณะสา สนะว่ากระษัตริย์ใน
วัชชีบุระไก วละหล้าตลอดกัน ฯ
๏ บัดนี้สิก็แตก คณะแผกและแยกพรรค์
ไป่เปนสหะฉัน ทะเสมือนเสมอมา ฯ
๏ โอกาศเหมาะสมัย ขณะไหนประดุจครา
นี้แล้วก็ยากหา จะลุได้สดวกดี ฯ
๏ ขอเชิญวระบาท พยุห์ยาตร์เสด็จกรี
ฑาทัพพละพี ริยะยุทธะโดยไว ๚

สุรางคณางค์

๒๘ บพิตร์อชา ตะสัตตุรา
ชะรัฏฐะไกร สดับณสาสน์
พระราชหทัย ธปรีดิใด
บเปรียบบปาน ฯ  
๏ พระเผยประภาษ กะมุขอมาตย์
บดีประธาน ตระเตรียมสกล
พหลทหาร สมรรถะชาญ
ประดังประดา ฯ  
๏ สพรึบสพรั่ง ณหน้าและหลัง
ณซ้ายและขวา ละหมู่ละหมวด
ก็ตรวจก็ตรา ประมวญกะมา
ก็มากประมาณ ฯ  
๏ นิกายเสบียง ก็พอก็เพียง
พโลปการ และสัตถะภัณ
ฑะสรรพะภาร จะยุทธะราญ
กะเรียกระดม ฯ  
๏ ประชุมพยูห์ กระเกริกกระกรู
กระหยิ่มนิยม ละล้วนสง่า
มนาภิรมย์ บขามระทม
มิท้อริปู ฯ  
๏ สมานสมัคคิ์ ระเริงและรัก
จะรบศตรู ฉลองพระคุณ
พระจุฬภูว์ พิไชยะชู
พระเกียรดิ์ไผท ฯ  
๏ จะดีจะงาม เพราะเข้าสนาม
ประยุทธะไกร เหมาะนามทหาร
ละคร้านไฉน และสมกะใจ
บุรุษสมัญญ์ ฯ  
๏ ก็โห่และฮึก ประหัฏฐ์คะคึก
ประกวดประชัน ณท้องพระลาน
ประมาณอนันต์ อเนกะสรร
พะเตรียมคระไล ๚  

๏ โตฏก ฉันท์ ๚

๑๒ ประลุฤกษะมหุดิ์ ทินะอุตตมะไกร
รณรงคะวิไช ยะดิถีศุภะยาม ฯ
๏ ทิชะพฤฒิปุโร หิตโกวิทะพราหมณ์
ก็ประกอบกิจะตาม นิติไสยะพิธี ฯ
๏ ทนุเพื่ออภิมง คละสงเคราะห์ทวี
ศิริวัฑฒนะกรี ฑะเผด็จดัษกร ฯ
๏ บุรพัณหะสมัย ลุอุทัยระวิวร
นฤนารถอดิศร ธเสด็จสระสนาน ฯ
๏ วรองค์อภิมัณฑ์ ศุภะสรรพะประการ
ดุจะขัตติย์บุราณ รณะยุทธะนิยม ฯ
๏ พระเสด็จรัฐะยา บทะคลาอนุกรม
ฐิตะเกยชยะชม พละพฤนทะนิกร ๚

๏ ฉบงง ๚

๑๖ เนมิตต์เชษฐวิทยุตดร รอพอบวร
มหุดิ์อุดมดีดล ฯ
๏ ให้ฆาฏฆ้องไชยมงคล คำรบสามหน
เฉลิมพระฤกษ์เบิกธง ฯ
๏ ทุ่มอินทรเภรีเร่งคง คาบลาล้วนลง
มะโหระทึกคฤกโครม ฯ
๏ ดุริยางค์ดนตรีนี่ประโคม สังข์แตรแซ่โหม
กระหึมสนั่นบรรสาน ฯ
๏ ราชามาคธภูมิบาล เถลิงหลังคชาธาร
ประเสริฐสง่างามทรง ฯ
๏ ควรขัตติยยานยรรยง เพียงพาหนาศน์องค์
สหัสสนัยน์ใดปาน ฯ
๏ ครบเต็มเครื่องตั้งหลังสาร กูบแพรแลลาน
ละล้วนบรรเจิดเฉิดฉัน ฯ
๏ โอภาษอาภรณ์อรรคภัณฑ์ คชลักษณ์ปิลันทน์
ก็เลิศก็ล้ำลำยอง ฯ
๏ แพร้ว ๆ พราย ๆ ข่ายกรอง ก่องสกาวดาวทอง
และพู่สุพรรณสรรถกล ฯ
๏ สองพลุกสุกวะลัยเลอยล ลาดพัตถ์รัตคน
และปกขนองซองหาง ฯ
๏ งวงเสยเงยเศียรส่ายพลาง เทอดทันต์ท่าทาง
สง่าบล้ากำลัง ฯ
๏ ขุนคอคชคุมกุมอัง กุษกรายท้ายยัง
ขุนควาญประจำดำรี ฯ
๏ เครื่องสูงครบสรรพ์อันมี ตามบุรพประเพณี
พยุหบาตรยาตรา ฯ
๏ จาตุรังคิกะแสนเสนา เนื่องสุดสายตา
ตลอดตลึงแลลาน ฯ
๏ ขุนคชขึ้นคชชินชาญ คุมพลคชสาร
ละตัวกำแหงแขงขัน ฯ
๏ เคยเศิกเข้าศึกฮึกครัน เสียงเพรียกเรียกมัน
คำรนประดุจเดือดดาล ฯ
๏ อร่ามเรืองด้วยเครื่องอลังการ นายขอหมอควาญ
ก็ขี่กะรีดำเนิน ฯ
๏ พลหัยพิศเห็นเช่นเหิน หาวเหาะเหยาะเดิน
เดาะเตือนก็เต้นตีนซรอย ฯ
๏ ต่างตัวดีดโลดโดดลอย เลิงเล่นเผ่นคอย
จะควบประกวดอวดพล ฯ
๏ สีกายฝ้ายแซมแกมขน ดำบ้างด่างปน
กระเลียวและเหลืองแดงพรรณ ฯ
๏ โสภาอัศวาภรณ์สรรพ์ ตาบหน้าพร่าวรร
ณะเด่นดำกลกาญจน์มณี ฯ
๏ ยาบย้อยห้อยพู่ดูดี ขลุมสวมกรวมศี
ศะคาดกนกแนมเกลา ฯ
๏ สายถือสายง่องถ่องเพรา คล้องสอดสายเหา
งามทั้งพะนังโกลนอาน ฯ
๏ ขุนอัศว์อาตม์โอ่โอฬาร รำทวนเทอดปาน
ประหนึ่งจะโถมโจมแทง ฯ
๏ ต่างขับแสะขี่เข้มแขง ควงแส้สำแดง
ดุรงค์วิธีโรมรณ ฯ
๏ ดาษดาคลาคล่ำส่ำพล บทจรอนนต์
อเนกคแนนคัณนา ฯ
๏ ปลุกเศกเลขยันต์ว่านยา อาคมคาถา
ประสิทธิขลังทั้งกาย ฯ
๏ เสื้อผ้าสารพัดจัดหลาย หมู่หมวดมากมาย
ก็มีละอย่างต่างกัน ฯ
๏ แรงหัดถ์กวัดแกว่งซึ่งสรรพ์ ศัสตราวุธอัน
วะวาบวะวาวขาวคม ฯ
๏ พลรถแหล่ล้วนควรชม แอกงอนอ่อนสม
สง่าประกอบดุมกง ฯ
๏ เล็งสูงลิ่วสวยชวยธง ชายโบกชวนบง
สบัดระริ้วปลิวปลาย ฯ
๏ ปืนไฟใส่ล้อเลื่อนราย หามลากมากหลาย
และลูกกระสุนดินดำ ฯ
๏ พร้อมสรรพกองทัพโดยลำ ดับล้วนควรยำ
ระย่อสยองเยงยล ฯ
๏ เคลื่อนคลายพลนิกายสกล เต็มสองฟากสถล
อุโฆษผสานศัพท์ฟัง ฯ
๏ เสียงสารแสะร้องก้องดัง เสียงโกลนเตือนพะนัง
และเสียงพยู่ห์โยธี ฯ
๏ เสียงแซ่สังคีตดีดสี พาทย์กลองฆ้องตี
สิกัมปนาทหวาดไหว ฯ
๏ ผงคลีมืดคลุ้มกลุ้มไป ปานพื้นแผ่นไผท
ทำลายถล่มจมเอียง ฯ
๏ ออกจากราชคฤห์เขตร์เวียง มุ่งแคว้นแดนเชียง
วัชชีประชิดชิงไชย ๚

๏ กมล ฉันท์ ๚

๑๒ อนุมัคคะกรีฑา พละคลาคะคล่ำไป
ณระหว่างวนาลัย ละเลาะทุ่งและนาเนิน ฯ
๏ อนุจรสิขรเขา บถะเต้าวิถีเถิน
ระยะทางสิไกลเกิน ก็คะค้อยคระไลคลา ฯ
๏ ผิวะกาละมัชฌัน ติกะอันระวีสา
หัศะร้อนและอ่อนกา ยะสกนธ์พหลหาญ ฯ
๏ ก็มิรีบมิรัดเอื้อ ทนุเพื่อสบายบาน
พละปรีดิสำราญ ศุขะพอก็ต่อไป ฯ
สุริยงคะสายัณห์ ผิจะดั้นจะเดินใน
พนะยากก็อาศรัย นิทระแรมระวังกัน ฯ
๏ บุรพัณหะเพลา ลุก็คลาก็ขับสัญ
จระต่อวนารัญ ญปถานุกรมไป ฯ
๏ เพราะประสงค์จะปลุกกล้า อุปการะเอาใจ
บ ระอิดระอาใด ขณะเมี่อมิจำเปน ฯ
๏ กิจะสรรพะทั้งหลาย มนะนายตระหนักเห็น
อุระใพร่จะลำเค็ญ และจะควรวินุทไฉน ฯ
๏ ก็จะมีกะใจภัก ดิสมรรคและชิงไชย
อริหมู่ริปูใน รณะภูมิเต็มพล ฯ
๏ จระโดยวนันดร และระรอนระแรมจน
ลุกระทั่งนทีดล ดิระดิตถะขอบคัน ฯ
๏ ธุระจำจะต้องข้าม ชละยาตร์พยู่ห์ขันธ์
พละไกรคระไลบรร สุวิสาลิธานี ๚

๏ วิชชุมมาลา ฉันท์ ๚

ข่าวเศิกเอิกอึง ทราบถึงบัดดล
ในหมู่ผู้คน ชาวเวสาลี
แทบทุกถิ่นหมด ชนบทบูรี
อกสั่นขวัญหนี หวาดกลัวทั่วไป ฯ
๏ ตื่นตาหน้าเผือด หมดเลือดสั่นกาย
หลบลี้หนีตาย วุ่นหวั่นพรั่นใจ
ซุกครอกซอกครัว ซ่อนตัวแตกไภย
เข้าดงพงไพร ทิ้งย่านบ้านตน ฯ
๏ เหลือจักห้ามปราม ชาวคามล่าลาศน์
พันหัวหน้าราษฎร์ ขุนด่านดำบล
หาฤๅแก่กัน คิดผันผ่อนปรน
จักไม่ให้พล มาคธข้ามมา ฯ
๏ จึ่งให้ตีกลอง ป่าวร้องทันที
แจ้งข่าวไพรี รุกเบียฬบีฑา
เพื่อหมู่ภูมี วัชชีอาณา
ชุมนุมบัญชา ป้องกันฉันใด ฯ
๏ ราชาลิจฉวี ไป่มีสักองค์
ที่ทรงจำนง เพื่อจักเสด็จไป
ต่างองค์ดำรัส เรียกนัดทำไม
ใครเปนใหญ่ใคร กล้าหาญเห็นดี ฯ
๏ เชิญเทอญท่านต้อง ขัดข้องข้อไหน
ปฤกษาปราไส ตามเรื่องตามที
แต่ส่วนเราใช่ เปนใหญ่แลมี
ใจอย่างผู้ภี รุกห่อนอาจหาญ ฯ
๏ ต่างทรงสำแดง ความแขงอำนาจ
สามัคคีขาด แก่งแย่งโดยมาน
ภูมิศร์ลิจฉวี วัชชีรัฎฐบาล
ไป่ชุมนุมสมาน แม้แต่สักองค์ ๚

๏ อินทรวิเขียร ฉันท์ ๚

๑๑ ปิ่นเขตร์มคธขัต ติยะรัชชธำรง
ยั้งทัพประทับตรง นคเรศวิสาลี ฯ
๏ ภูธรธสังเกต พิเคราะห์เหตุณธานี
แห่งราชะวัชชี ขณะเศิกประชิดแดน ฯ ฯ
๏ ดูดั่งบรู้ศึก และมินึกจะเกรงแกลน
ฤๅคิดจะตอบแทน รณะเพื่อระงับไภย ฯ
๏ นิ่งเงียบสงบงำ บมิทำประการใด
ปรากฎประหนึ่งใน บุระว่างและร้างคน ฯ
๏ แน่โดยมิพักสง สยะคงกระทบกล
ท่านวัสสการจน ลุกระนี้ประจักษ์ตา ฯ
๏ ภินท์พัทธะสามัค คิยะพรรคพระราชา
ชาวลิจฉวีวา ระจะพ้องอนัตถ์ไภย ฯ
๏ ลูกข่างประดาทา รกะกาละขว้างไป
หมุนเล่นสนุกไฉน ดุจะกันฉนั้นหนอ ฯ
๏ ครูวัสสการเเส่ กละแหย่ยุดีพอ
ปั่นป่วนบเหลือหลอ จะมิร้าวมิรานกัน ฯ
๏ ครั้นทรงพระปรารพภ์ กิจะจบธจึ่งบัญ
ชานายนิกายสรร พะทแกล้วทหารหาญ ฯ
๏ เร่งทำอุลุมป์เว ฬุคเนกะเกณฑ์การ
เพื่อข้ามนทีธาร จระเข้านครบร ฯ
๏ เขารับพระบัณฑูร อดิศูริย์บดีศร
ภาโรปกรณ์ตอน ทิวะรุ่งสฤทธิ์พลัน ฯ
๏ จอมนารถพระยาตรา พยุหาธิทัพขันธ์
โดยแพและพ่วงปัน พละข้ามณคงคา ฯ
๏ จนหมดพหลเนื่อง ยละเนืองขนัดคลา
ขึ้นฝั่งลุเวสา ลิบุเรศสดวกดาย ๚

๏ จิตรปทา ฉันท์ ๚

นาคะระธา นิวิสาลี
เห็นริปุมี พละมากมาย
ข้ามติระชล ก็ลุพ้นหมาย
มุ่งจะทลาย พระนครตน ฯ
๏ ต่างก็ตระหนก มนะอกเต้น
ตื่นบมิเว้น ตละผู้คน
ทั่วบุระคา มะจลาจล
เสียงอลวน อลเวงไป ฯ
๏ สรรพะสกล มุขะมนตรี
ตรอมจิตระภี รุกะเภทไภย
บางคณะอา ทระปราไส
ยังมิกระไร ขณะนี้หนอ ฯ
๏ ควรบริบาล พระทวารมั่น
ต้านประทะกัน อริก่อนพอ
ขัตติยะรา ชะสภารอ
ดำริหะขอ วระโองการ ฯ
๏ ทรงตริไฉน ก็จะได้ทำ
ตามนยะดำ รัสะภูบาล
เสวกะผอง ก็เคาะกลองขาน
อาณติปาน ดุจะกลองพัง ฯ
๏ ศัพทะอุโฆษ ลุพระโสตร์ท้าว
ลิจฉวิด้าว ขณะทรงฟัง
ต่างธก็เฉย และละเลยดัง
ไท้นฤกัง วละอย่างไร ฯ
๏ ต่างบมิคลา ณสภาคาร
แม้พระทวาร บุระทั่วไป
รอบทิศะด้าน และทวารไหน
ห่อนนระใด ธุระปิดมี ๚

๏ สัททัลวิกีฬิต ฉันท์ ๚

๑๙ จอมทัพมาคธะราษฐ์ธยาตร์พยุหะกรี
ฑาสู่วิสาลี นคร ฯ
๏ โดยทางอันพระทวาระเปิดนระนิกร
ไป่รอจะต่อรอน อะไร ฯ
๏ เบื้องนั้นท่านคะรุวัสสการทิชะก็ไป
นำทัพชเนนทร์ไท มคธ ฯ
๏ เข้าปราบลิจฉวิขัติย์ณรัฏฐะชนบท
สู่เงื้อมพระหัดถ์หมด และโดย ฯ
๏ ไป่พักต้องจะกะเกณฑ์นิกายพหละโรย
แรงเปลืองระดมโปรย ประยุทธ์ ฯ
๏ ราบคาบเสร็จธเสด็จลุราชะคฤหะอุต
ดมเขตร์บุเรศดุจ ะเดิม ฯ
๏ ตามเรื่องต้นยุติแต่จะต่อพจนะเติม
ภาษิตระจิตร์เสริม ประสงค์ ฯ
๏ ปรุงโสตร์เปนคติสุนทราภรณะจง
จับข้อประโยชน์ตรง ตริดู ๚

๏ อินทรวิเชียร ฉันท์ ๚

๑๑ อันภูบดีรา ชะอชาตะศัตรู
ได้ลิจฉวีภู วะประเทศสดวกดี ฯ
๏ แลสรรพะบรรดา วระราชะวัชชี
ถึงซึ่งพิบัตบี ฑะอนัตถ์พินาศหนา ฯ
๏ เหี้ยมนั้นเพราะผันแผก คณะแตกและต่างมา
ถือทิฏฐิมานสา หศะโทษพิโรธจอง ฯ
๏ แยกพรรคสมรรคภิน ทนะสิ้น บ ปรองดอง
ขาดญาณพิจารณ์ตรอง ตริมะลักประจักษ์เจือ ฯ
๏ เชื่ออรรถยุบลเอา รสะเล่าก็ง่ายเหลือ
มากโมหะฟั่นเฝือ บมิฟอกคดีมูล ฯ
๏ จึ่งดาลประการหา ยนะภาวะอาดูร
เสียแดนผไทสูญ กิติศัพทะเสื่อมนาม ฯ
๏ ควรชมนิยมจัด คะรุวัสสการพราหมณ์
เปนเอกอุบายงาม กละงำกระทำมา ฯ
๏ พุทธาทิบัณฑิต ยละคิดพินิจปรา
รพภ์สรรเสริญสา ธุสมัคคภาพผล ฯ
๏ ว่าอาจจะอวยผา ศุกะภาวะมาดล
ดีสู่ณหมู่ตน บนิราศนิรันดร ฯ
๏ หมู่ใดผิสามัค คิยะพรรคสโมสร
ไปปราศนิราศรอน คุณะไร้ไฉนดล ฯ
๏ พร้อมเพรียงประเสริฐครัน เพราะฉนั้นแหละบุคคล
ผู้หวังเจริญตน กิจะเกี่ยวกะหมู่เขา ฯ
๏ พึงหมายสมัคคิ์เปน มุขะเปนประธานเอา
ธูรทั่วและตัวเรา บมิเห็น ณ ฝ่ายเดียว ฯ
๏ ควรยกประโยชน์ยื่น นระอื่นก็แลเหลียว
ดูบ้างและกลมเกลียว มิตระภาพผดุงครอง ฯ
๏ ยั้งทิฏฐิมานหย่อน ทมะผ่อนผจงจอง
อารีมิมีหมอง มนะเมื่อจะทำใด ฯ
๏ ลาภผลสกลบรร ลุก็ปันก็แบ่งไป
ตามน้อยและมากใจ ยุติเที่ยงนิยมธรรม์ ฯ
๏ พึงมาระยาตร์ยึด สุประพฤติ์สงวนพรรค์
รื้อฤษยาอัน อุปเฉทะไมตรี ฯ
๏ ดั่งนั้นณหมู่ใด ผิบไร้สมัคคิ์มี
พร้อมเพรียงนิวัทธ์นี ระวิวาทระแวงกัน ฯ
๏ หวังเทอญมิต้องสง สยะคงประสบพลัน
ซึ่งศุขกเษมสันต์ หิตะกอบทวีการ ฯ
๏ ใครเล่าจะสามารถ จิตระอาจจะรานหาญ
หักล้างบแหลกลาญ ก็เพราะพร้อมเพราะเพรียงกัน ฯ
๏ ป่วยกล่าวอะไรฝูง นระสูงประเสริฐครัน
ฤๅสรรพะสัตว์อัน เฉภาะมีชิวีครอง ฯ
๏ แม้มากผิกิ่งไม้ ผิวะใครจะใคร่ลอง
มัดกำกระนั้นปอง พละหักก็เต็มทน ฯ
๏ เหล่าไหนผิไมตรี นฤมีณหมู่ตน
การใดจะขวายขวน บมิพร้อมมิเพรียงกัน ฯ
๏ อย่าปราถนาหวัง ศุขะทั้งเจริญอัน
จักมาอุบัติบรร ลุไฉนบได้มี ฯ
๏ ปวงทุกข์พิบัติสรร พะภยันตรายกลี
แม้ไป่นิยมปี ติประสงค์ก็คงสม ฯ
๏ ควรชนประชุมเปน คณะเปนสมาคม
สามัคคิปรารม ภะนิพัทธคำนึง ฯ
๏ ไป่มีก็ให้มี ผิวะมีก็จงพึง
ให้ยิ่งภิโยจึง จะประสบศุขาลัย ๚

๏ ฉบงง ๚

๑๖ พร่ำพรรณน์ฉันทพากย์โดยใจ เพียรจบตามนัย
นิทานบุราณเปนมูล ฯ
๏ นามสฤษดิ์นายชิต ชวางกูร เชลงเฉลาเอาธูร
สลัดอาลัสย์อันมี ฯ
๏ ไว้ปากไว้วากย์วาที ไว้วงศ์กระวี
ไว้เกียรดิ์และไว้นามกร ฯ
๏ ไว้เฉลิมเสริมศรีพระนคร คือพิทยาภรณ์
พิเศษประดับดูงาม ฯ
๏ ค่อยคิดติดต่อโดยความ มิคลายพยายาม
กระวีผิเพ่งเล็งเห็น ฯ
๏ ฉันทภาคยากล้ำลำเค็ญ ถ้อยคำจำเป็น
เพราะศัพท์บังคับหนักเบา ฯ
๏ พึงอภัยข้าผู้วัยเยาว์ วิทย์หย่อนอ่อนเชาวน์
มิใช่จะคิดแข่งขัน ฯ
๏ อาศรัยใจชอบเชิงประพันธ์ กิจอื่นว่างครัน
ก็เครื่องจะเปลืองเวลา ฯ
๏ จำเนียรแต่เพียรอุตสา หะพจน์พรรณนา
สฤทธิ์ด้วยจิตร์จงพลัน ฯ
๏ ฝากไว้ในน่าแห่งบรรณ เพื่อเชื้อเชิญสรรพ์
สุภาพมหาชนชม ฯ
๏ สถิตย์เสถียรเทียรฆ์กาละนิยม ถ้อยเสริญเทอญสม
ประสาทะพรพาจา ฯ
๏ ขอจุ่งอิฏฐผลนานา ลุดั่งปราถนา
ณผู้พิจารณ์อ่านฟัง ๚ะ๛

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ