๏ ได้ยลยุบลลักษณ์ในอักษร |
ซึ่งพระหลานบรรหารพจน์เป็นบทกลอน |
ก็อวยพรศรีสวัสดิ์ให้วัฒนา |
จงเชี่ยวชาญการกระวีวิธีปราชญ์ |
เฉลียวฉลาดตรองตรึกที่ศึกษา |
ให้จะแจ้งทุกแห่งเห็นเจนจินดา |
อย่าโรยราอุสาหะสละเพียร |
ซึ่งไม้ม้วนมีถ้วนยี่สิบสรรพ |
กว่านั้นนับมลายล้วนไม่ควรเขียน |
อักษรสามตามตำหรับฉบับเรียน |
ให้ชำเนียนชำนิชัดสันทัดแท้ |
ทั้งโทเอกเลขเจ็ดกับกากะบาท |
ทัณฑฆาฏต่ายคู้รู้จงแน่ |
สำเนียงสูงต่ำนั้นอย่าผันแปร |
ถ้าฉวยแชแล้วสิเชือนชักเปื้อนปน |
อันสามสอพ่อจงท่องให้คล่องไว้ |
ชอบที่ใช้ตามบังคับไม่สับสน |
สังเกตผิดลิขิตเพี้ยนเขียนนิพนธ์ |
นักปราชญ์ยลเย้ยสรวลจะชวนอาย |
แม้นจักทำโคลงสุภาพอย่าหยาบคิด |
พึงพินิจจงชอบระบอบหมาย |
ข้างเอกไซ้ใช้ได้อักษรตาย |
แต่ข้างฝ่ายโทนี้ไม่มีแทน |
จงหาโทแต่ที่สิ้นมลทินโทษ |
จะอ้างโอษฐเขาคงชมคารมแม่น |
ถ้าโทเพี้ยนมักติเตียนว่าปราชญ์แกน |
จะซ้ำแสนอัประมาณป่วยการทำ |
จงดำริห์ตริตรองให้ต้องแบบ |
ยังอย่างแยบจะบอกพ่อที่ข้อขำ |
ทุกสิ่งสรรพ์พรรณนาอุส่าห์จำ |
อย่าพลาดพล้ำสติเผลอเลินเล่อ เอยฯ |
๏ ขอนอบนบเคารพบาทพระจอมเศียร |
ซึ่งผนวชในพรหมพรตกำหนดเพียร |
จงทรงเรียนทางปราชญ์ชาติกระวี |
กระหม่อมเล่าเผ่าพงศ์หินชาติ |
จะหมายมาดคู่พรหมไม่สมศรี |
ด้วยเป็นไพร่จะให้ตอบพระวาที |
บาระมีเปนที่ยิ่งยังกริ่งครัน |
แม้นพระไทยใคร่ทรงดำรงเรื่อง |
ที่ข้องเคืองโปรดให้อไภยฉัน |
ด้วยกลอนตอบชอบผิดต้องติดพัน |
ซึ่งโทษทัณฑ์อนุญาตให้ขาด เอย ฯ |
๏ ยลลิขิตอิศรสารประทานแถลง |
แสนเสนาะเพราะล้ำในคำแสดง |
ประจักษ์แจ้งเห็นจริงทุกสิ่งอัน |
ซึ่งประทานโปรดอไภยไว้ธุระ |
พระคุณจะใส่เกล้ากระหม่อมฉัน |
ทั้งผิดเพี้ยนให้ช่วยเปลี่ยนสารพัน |
ฝ่ายโทษทัณฑ์มิให้มีดีจริงจริง |
กระหม่อมก็จะสนองลอองบาท |
ที่พลั้งพลาดคงไม่คิดจะปิดนิ่ง |
เปนสัจจังดังสาราอย่าประวิง |
ด้วยจะพิงพึ่งพระเดชเกษบุรี |
ซึ่งโปรดว่าฟังปากนายนากกล่าว |
เปนเรื่องราวคำกลอนอักษรศรี |
จึงค่อยเปรื่องปรีชาชาญชำนาญดี |
ที่ข้อนี้ฉันยังแคลงไม่แจ้งใจ |
ด้วยมิได้รับประชันกันบ้างเลย |
พระแกล้งเย้ยเยาะเล่นฤๅเปนไฉน |
ยอมิหนำซ้ำถ่อมองค์ลงกะไร |
น่าสงไสยอกฉันหวั่นหวั่น เอย ฯ |
๏ สดับสารหวานแสนเสนาะหู |
ช่างเพราะกลอนอักษรทำดังคำครู |
ฉันขืนสู้คงจะแพ้แน่ในใจ |
เปนนักเลงคงอดเพลงอยู่ไม่รอด |
จำต้องทอดทางไมตรีตามวิไสย |
ด้วยสารทรงจักรีมีเยื่อใย |
เมตตาในกระหม่อมฉันไม่หันเมิน |
ก็สมจิตรที่คิดสามิภักดิ์ |
พระคุณหนักยิ่งฟ้าเวหาเหิน |
ล้ำสมุทสุดดินสิ้นทั้งเนิน |
เกือบสูงเกินพรหมแมนแดนอมร |
ขอพระเดชปกเกษเปนที่พึ่ง |
อันคำซึ่งจะอุปถัมภ์นี้ใครสอน |
จึงพระองค์ทรงคิดลิขิตกลอน |
ว่าสุนทรแพ้ฉันขันพอพอ |
หนึ่งธุระประสงค์คงจะได้ |
พระโปรดให้เห็นจริงจริงเจียวหนอ |
คงผาศุกทุกวันคืนกลืนลูกยอ |
ฉันร้อนคอขอษมาเสียเถิด เอย ฯ |
๏ สดับถ้อยสุนทรอักษรแถลง |
จะยอเล่นฤๅอย่างไรยังให้แคลง |
ที่กล่าวแกล้งว่าทำเหมือนคำครู |
ไม่เวทนาบ้างเลยมาเย้ยเล่น |
เหมือนหนึ่งเปนใบ้บ้าน่าอดสู |
มิใช่เราจะว่าเล่นจงเอ็นดู |
มันไม่สู้ดีดอกบอกจริงจริง |
ซึ่งยกคุณของฉันนั้นชอบจิตร |
แต่ว่าคิดยังไม่เห็นเปนที่ยิ่ง |
ปดกันไปแต่พอให้ใจประวิง |
ยังคิดกริ่งตรองไม่เห็นจงเจรจา |
อันถ้อยคำนี้ใครมิได้สอน |
แต่บทกลอนอย่างนี้ดีนักหนา |
จะเอาใครในกรุงศรีอยุธยา |
เห็นจะหายากราวกับดาวเดือน |
ที่จะยอเย้ยหยันนั้นหาไม่ |
จะหาใครใจที่จะดีเหมือน |
เช่นนี้ได้มาไว้เปนแม่เรือน |
ให้ตักเตือนสารพัดจัดการงาน |
เปนความจริงทุกสิ่งอย่ากริ่งจิตร |
ดังลิขิตรจนามาในสาร |
พอได้เล่นเปนสนุกศุขสำราญ |
แก้รำคาญเคืองข้องที่หมองใจ |
ซึ่งกล่าวว่ากินลูกยอร้อนคอนัก |
จะตวงตักน้ำผึ้งดีที่หวานใส |
เอายอที่เม็ดไม่มีสักสี่ใบ |
ประเคนให้นากฉันทุกวัน เอย ฯ |
๏ พินิจสารบรรหารเหตุพระเกษสยาม |
ช่างพริ้งเพราะเหมาะใจได้เนื้อความ |
ถูกต้องตามปุจฉาน่ายินดี |
ซึ่งตริตรึกนึกแหนงระแวงหวาด |
ขอเบื้องบาทปกเกล้าอย่าเศร้าศรี |
ไม่ว่าเล่นเป็นสัจจังดังวาที |
กลอนเช่นนี้ผิดสังเกตเหตุพึ่งเรียน |
ดูไวว่องไม่ข้องขัดหัดนิพนธ์ |
ไม่เวียนวนบาทบทที่จดเขียน |
จึงได้ชมด้วยสมแบบทั้งแนบเนียน |
อุส่าห์เพียรเถิดพระองค์คงจะรู้ |
ซึ่งอยากได้ไว้ฉลองลอองบาท |
เดิมฉันมาดสิไม่พบประสบสู่ |
ครั้นได้ร่มโพธิ์เย็นท่านเอ็นดู |
ถวายตัวอยู่นานลับนับหลายปี |
สุดจะคิดบิดเบือนให้เหมือนประสงค์ |
ขอจอมพงศ์โมเลศเกษกรุงศรี |
โปรดอย่าเคืองข้องขัดตัดไมตรี |
จงปรานีนึกว่าเป็นข้าลออง |
แม้นมีพระประสงค์ที่ตรงไหน |
กระหม่อมไซ้จะรับแทนพระคุณสนอง |
กว่าจะม้วยชีวิตรคิดประคอง |
พระจงตรองดูให้งามตามบุราณ |
ซึ่งสงไสยในคดีที่ว่ายิ่ง |
เปนความจริงตามโลกโวหาร |
ว่าหญิงชายใดได้รับราชการ |
ต่อโปรดปรานจริงจริงดอกจึงหยอกเอิน |
นี่บุญตัวฉันแท้แน่นักหนา |
พระได้มาตอบสารจึงสรรเสริญ |
ทั้งมหาดเล็กเด็กชาไม่กล้าเกิน |
กุศลเชิญชักมาน่ายินดี |
เหตุดังนั้นฉันจึงกล่าวว่าคุณยิ่ง |
สัจจังจริงจอมเมืองอย่าหมองศรี |
จงแต่งตอบตามระบอบประเพณี |
ได้เปรมปรีดิ์ผาศุกสนุกสนาน |
ซึ่งพระองค์ทรงประทานน้ำผึ้ง |
กับสิ่งซึ่งยอหมดเม็ดฉันเข็ดหวาน |
ด้วยร้ายแรงแสลงยิ่งกว่าอ้ายตาล |
รับประทานไม่สบายถวายคืน |
ด้วยของเสวยเคยฉันอยู่เปนนิจ |
อย่าปลดปลิดให้เขาเฝ้าข่มขืน |
เชิญเสวยให้จุจุอายุยืน |
ฉันนี้ขืนเข็ดขยาดไม่อาจ เอย ฯ |
๏ ได้ฟังสารเพราะเหลือไม่เบื่อหู |
ทั้งลายมือที่เขียนมาก็น่าดู |
อาลักษณ์ผู้ที่ว่าดีไม่มีทัน |
ซึ่งกล่าวจริงทุกสิ่งยังกริ่งจิตร |
ในใจคิดอยู่ว่าแกล้งจะเย้ยหยัน |
ฉวยลืมตัวสิเข้าไปหลายใบครัน |
เที่ยววิ่งหันแล้วสิอายเขาตายจริง |
เปนสัจจังดังนั้นฤๅอย่าถือหนา |
สาบาลมาให้สักใบอย่าได้นิ่ง |
จะเอาเปนหลักไหลได้อ้างอิง |
แล้วอย่ากริ่งเลยว่าล้อเล่นต่อไป |
ขอโทษเถิดเกินไปไว้นิดหน่อย |
หม่อมจงถอยเสียเถิดหนาอย่าสงไสย |
ซึ่งเปรียบว่าฉันนี้โตเหมือนโพธิ์ไทร |
ก็ขอบใจเปนที่ยิ่งไม่กริ่งเลย |
อันวาศนาเรานี้พานมีน้อย |
ต้องเศร้าสร้อยเหมือนเดือนตกนะอกเอ๋ย |
แสนระกำช้ำใจไม่เสบย |
เอากรเกยนลาตคิดประดิษฐ์กลอน |
ค่อยสบายคลายในฤไทยหมอง |
แต่ตรึกตรองศุภลักษณ์ในอักษร |
พอหายง่วงงุนเหงาที่หาวนอน |
ธุระร้อนจึงช้ามาหลายวัน |
ที่ยอเม็ดหมดนี้มีจริงหนา |
อยู่บ้านป่าบางยี่เรือจงเชื่อฉัน |
จะเอามาให้เห็นเปนสำคัญ |
ไม่ปดกันเล่นดอกบอกตามจริง |
เรากินเบื่อเหลือเน่าเสียเปล่าเหม็น |
มันแสนเข็ญเช่นกะยามหาหิงคุ์ |
นายนากกินเถิดแกแก้ลมวิง |
ให้หนุ่มพริ้งขึ้นมาเที่ยวหาเมีย |
ได้รับมือกับนางนากฝีปากกล้า |
ภรรยาจะขบเขี้ยวเคี้ยวกินเสีย |
จนหมดเนื้อแล้วยังเหลือแต่เลือดเลีย |
กินเถิดเมียคงขยาดไม่อาจเกิน |
แม้นอ่านสารเสร็จสิ้นระบินเรื่อง |
อย่าได้เคืองที่ข้อฉันสรรเสริญ |
ถ้าธุระสิ่งไรอย่าได้เมิน |
ที่ตรงเกินนั้นอย่าเคืองเรื่องยอ เอย ฯ |
๏ คลี่สารอ่านกลอนอักษรแถลง |
ฟังเสนาะเพราะล้ำในคำแสดง |
ประจักษ์แจ้งความจริงทุกสิ่งอัน |
ซึ่งประสงค์ตรงสัตย์จะจัดถวาย |
แต่เกรงฝ่ายจอมเมืองจะเคืองฉัน |
ด้วยความสัตย์สิ่งอื่นสักหมื่นพัน |
เห็นไม่ทันเหมือนจิตรอย่าปิดบัง |
เออพระองค์จะสงไสยไปไยเล่า |
เชิญหน่วงเอาพระอารมณ์ให้สมหวัง |
แม้นทูลมาสารพัดไม่สัจจัง |
ขอให้ชังเฉยฉันจนวันตาย |
แม้นว่าจริงเหมือนสิ่งซึ่งมาพึ่งภักตร์ |
ขอให้รักฉันให้มากอย่าหากหาย |
ให้คิดสงสารซากที่ฝากกาย |
อย่าเว้นวายห่วงฉันที่รัญจวน |
จนสิ้นดินสินธูชมพูทวีป |
อย่ารู้รีบร้างโรยให้โหยหวน |
แม้นสมคิดค่ำเช้าทุกคราวครวญ |
จะสงวนสัตย์ไว้ใต้ธุลี |
หนึ่งพระประภาษว่าวาศนา |
ดังจันทราใกล้ดับลับแสงศรี |
เพราะพระองค์ยังเยาว์เบาโพธี |
เมื่อบารมีแก่กล้าคงหล้าฦๅ |
เปรียบดังพืชเข้าปลูกที่หว่านไว้ |
ยังไม่ได้สี่เดือนจะออกหรือ |
ถึงรดน้ำพูนดินจนสิ้นมือ |
ก็คงชื่อสี่เดือนเหมือนประมาณ |
อย่าเสียพระไทยไตรตรึกนึกถวิล |
คงจะภิญโญใหญ่ในสถาน |
จงอุส่าห์ศึกษาวิชาการ |
ให้ชำนาญในกระบวนควรตระกูล |
หนึ่งยอไม่มีเม็ดเสด็จโปรด |
ออกพระโอษฐ์ตรัสชมแก้ลมสูญ |
ทั้งกายแก่แปรเปนหนุ่มจำรูญ |
บริบูรณ์ด้วยเนื้อหนังกำลังแรง |
เปนของดีวิเศษอยู่ในหล้า |
พระเมตตาบอกเล่าเฝ้าแถลง |
ที่จริงจิตรยังคิดข้างเคลือบแคลง |
จะต่อแย้งเรื่องเก่าเฝ้ารำพรรณ |
ดูเหมือนคนสิ้นปัญญาจะหาเรื่อง |
ไม่ยักเยื้องย้ายว่าให้ขันขัน |
ขอประทานผ้าขี้ผึ้งสักหนึ่งอัน |
ให้ห่อล่วมสลาฉันนั้นเถิด เอย ฯ |
๏ แสนสงสารหลานรักเปนนักหนา |
เห็นจริตนั้นก็ผิดกับกิริยา |
ทั้งภักตราเศร้าศรีฉวีวรรณ |
น่าจะมีทุกข์นักแต่สักสิ่ง |
จงแจ้งจริงอย่ารังเกียจเดียดฉัน |
ควรจะสั่งสนทนาปฤกษากัน |
ไม่ควรพรั่นดอกพอไว้ฤไทยวาง |
เมื่อก่อนงานเห็นสำราญสำเริงเล่น |
ทุกเช้าเย็นราตรีไม่มีว่าง |
ครั้นถึงวันมหรศพได้พบสุรางค์ |
สาวสำอางอ่าองค์บรรจงกาย |
ล้วนแรกรุ่นดรุณราวคราวชัณษา |
ฟื้นโสภาพักตร์เพี้ยนวิเชียรฉาย |
ดูอาการเห็นพานไม่สู้สบาย |
ชรอยหมายมุ่งมาดสวาดิครวญ |
ถึงขึ้นมาเล่าก็ทำเหมือนจำชื่น |
ไม่เริงรื่นหฤไทยว่าใจสรวล |
ซังตายเล่นเห็นเล่ห์ดูเรรวน |
ประหนึ่งป่วนเปนจะสึกรำฦกวัง |
ซึ่งสัญญาอิกวษาจักทรงพรต |
แล้วออมอดสืบไปไม่ได้มั่ง |
เอ็นดูสองอนุชาเชษฐายัง |
อยู่ภายหลังจะโหยไห้อาไลยคนึง |
ด้วยเคยเล่นเจรจาเป็นผาศุก |
ต่างจะทุกข์โศกสร้อยลห้อยถึง |
จงตรองตัดสลัดร้อนอาวรณ์รึง |
อย่าด่วนดึงเด็ดเดี่ยวไปเดียวองค์ |
หนึ่งวิชาเล่าเรียนที่เพียรพาก |
ก็ยังมากไม่เจนจบสบประสงค์ |
อุส่าห์ก่อนผ่อนรำพึงถึงอนงค์ |
ไหนก็คงจะเสร็จสมอารมณ์ เอย ฯ |
๏ สงสารองค์โกเมศผู้เชษฐา |
ด้วยร้อนรุ่มกลุ้มใจในอุรา |
เพราะโรคาขุ่นข้องให้หมองใน |
ทั้งเจ็บปวดยวดยิ่งสิ่งสาหัส |
ให้เบาขัดบุพโพคั่งลงหลั่งไหล |
จนผ้าเปื้อนประเปรอะเลอะเทอะไป |
เพราะตามใจเร่งร้อนไม่ผ่อนเพลา |
ดังเรือดั้งคู่ชักหนักทุกเล่ม |
ฝีพายเต็มกระทุ้งถี่ทุกฝีเส้า |
ไม่รอรั้งกำลังไล่มิได้เบา |
สดุดสเด่าตอหลักจนหักค้าน |
แต่รักษาห้าหกเจ็ดแปดหมอ |
เปนหลายหม้อยาย้ายก็หลายขนาน |
ถึงสี่เดือนเงือดงดอดมานาน |
พยาบาลเป็นนิรันตร์ทุกวันมา |
เดี๋ยวนี้คลายก็ยังหายไม่สู้สนิท |
เวียนแต่ผิดสำแดงครุ่นวุ่นรักษา |
กลับเปื่อยพังบังเหตุให้เวทนา |
เพราะโรยยาก็ยิ่งเปนไม่เว้นวาย |
ถ้าแม้นไม่ไปวังยังอยู่วัด |
จักบำบัดโรคร้อนค่อยผ่อนหาย |
งดไปวังเสียเถิดยังไม่เคลื่อนคลาย |
อันภิปรายห้ามปรามด้วยความรัก |
ซึ่งพาทีชี้แจงสำแดงโทษ |
อย่ากริ้วโกรธชอกช้ำว่าคำหนัก |
อันของดีนี้ควรสงวนนัก |
อย่าให้หักบุบค้านเสียการ เอย ฯ |
๏ สงสารองค์อนุชานักหนาหนอ |
ดูจริตนั้นเห็นผิดติดข้างบอ |
ทำอ้อต้อเกี้ยวเด็กเล็กเล็กชม |
ทัดบุหรี่สองหูดูฉุยฉาย |
ตบแต่งกายแต่ล้วนสีอันดีห่ม |
ฝีปากกล้ามิใช่เบาเจ้าคารม |
ทำสรวยสมใส่แหวนก้อยน้อยน้อยเดิน |
พระไทยหวังเจ้ามั่งก็ไม่ได้ |
ความอึงไปแล้วก็หมางออกห่างเหิน |
กระดากกระดักกระเดื่องเฉยทำเลยเกิน |
ครั้นเห็นเขาเล่าก็เมินไม่แลดู |
เดี๋ยวนี้จิตรคิดจะไปวัดน่าพระธาตุ |
ที่ตำหนักสังฆราชเสด็จอยู่ |
ชะช่างหมายจะเล่นหลานเจ้าลำภู |
น่าอดสูคนบ้าขายหน้า เอย ฯ |
๏ น่าสมเพชเวทนานัดดาจ้าน |
มาลอบเล่นกระดางลางเอาอย่างพาล |
ทำอาการวิปริตผิดแต่ไร |
ไม่เอาเยี่ยงขัติยาบ้าอุบาทว์ |
เกี้ยวสวาดิเรียนรู้แต่ครูไหน |
ฉวยฉายชื่อระบืออึงถึงกรมไกร |
เป็นความใหญ่เห็นไม่มิดต้องพิดทูล |
แม้นทรงทราบเรื่องนี้คงมีโทษ |
ไหนจะโปรดรำงับให้ดับสูญ |
จะกริ้วว่าทุจริตผิดประยูร |
เสียสกูลอัปรยศปรากฎขจร |
ไปเที่ยวรักเขาทุกแห่งพึ่งแจ้งเหตุ |
ทั้งเณรเนตรเณรมั่งใครสั่งสอน |
ยั้งดื้อดึงขึงขัดไม่ตัดรอน |
จะผูกกรตียับให้อับอาย |
เขาร้องฟ้องมากมายเป็นหลายเรื่อง |
จนขุ่นเคืองถึงข้างในไม่รู้หาย |
ไม่รักยศสงวนศักดิรักษากาย |
ทำแต่ขายภักตราน่ารำคาญ |
ในวัดนี้แล้วมิหนำซ้ำวัดโน้น |
ให้เขาโพนทนาเที่ยวว่าขาน |
ล้วนข้อขำระยำยับอัประมาณ |
เหมือนประจานปวดเจ็บเหน็บสกนธ์ |
เมื่อความวัวยังไม่หายความควายเพิ่ม |
ความต่อเติมความขุ่นวุ่นหลายหน |
จะภาคทัณฑ์ไว้สักครั้งระวังตน |
เอาทานบนมิให้เล่นเช่นนั้น เอย ฯ |