คำชี้แจง

การตรวจสอบต้นฉบับบทละครเรื่องรามเกียรติ์

พระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

บทละครเรื่องรามเกียรติ์นี้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น เพื่อใช้เป็นบทสำหรับเล่นละครใน ตามแบบแผนของราชสำนักที่สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา นายกี อยู่โพธิ์

ข้าราชการกองวรรณคดี กรมศิลปากร เป็นผู้ตรวจสอบต้นฉบับและพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๔ จากบันทึกของผู้ตรวจสอบระบุว่า ต้นฉบับสมุดไทยพระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่มีอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ เป็นสมุดไทยดำ จำนวน ๔ เล่ม

ตอนต้นเรื่องเป็นเส้นทองสร้างขึ้นด้วยความประณีตบรรจงมาก มี ๔ เล่มสมุดไทย แบ่งเป็นตอนไว้ ดังปรากฏในฉบับพิมพ์นี้คือเล่ม ๑ ตอนพระมงกุฎ เล่ม ๒ ตอนหนุมานเกี้ยวนางวานรินจนท้าวมาลีวราชมา เล่ม ๓ ตอนท้าวมาลีวราชพิพากษาความจนทศกรรฐ์เข้าเมือง เล่ม ๔ ตอนทศกรรณ์์ตั้งพิธีทรายกรด พระลักษณ์ต้องหอกกระบิลพัสตร์ จนผูกผมทศกรรฐ์กับนางมนโท

เรื่องรามเกียรติ์ตั้งแต่ตอนหนุมานเกี้ยวนางวานรินไปจนตอนผูกผมทศกรรฐ์กับนางมนโทนั้นมีเนื้อหาต่อเนื่องกัน แต่ตอนพระมงกุฎซึ่งเป็นตอนปลายของเรื่องรามเกียรติ์ ผู้ตรวจสอบในครั้งนั้นเข้าใจว่าทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นก่อนตอนอื่นในการพิมพ์เผยแพร่จึงจัดวางตอนพระมงกุฎไว้เป็นตอนต้นของหนังสือ และในการพิมพ์คราวต่อๆ มาก็จัดลำดับเนื้อหาตามฉบับพิมพ์คราวแรก

ราวพุทธศักราช ๒๕๕๗ ขณะนั้นผู้ตรวจสอบต้นฉบับดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ Mr. Jan Richard Dressler นักศึกษาปริญญาเอก สาขา Southeast Asian Studies มหาวิทยาลัยฮัมบูร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้นำสำเนาเอกสารสมุดไทยดำเส้นทอง ซึ่งต้นฉบับเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดประจำรัฐแห่งกรุงเบอร์ลิน (Staatsbibliothek zu Berlin) ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มามอบให้ผู้ตรวจสอบ สรุปความเห็นเบื้องต้นว่า เป็นบทละครรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ตอน “ศึกสัทธาสูร วิรุญจำบัง” ซึ่งเป็นเนื้อหาตอนก่อนหนุมานจะตามไปฆ่าวิรุญจำบังและพบกับนางวานริน แต่ช่วงเวลาดังกล่าวผู้ตรวจสอบมีภารกิจในหน้าที่เร่งด่วนจึงยังไม่สามารถดำเนินการใดๆ กับวรรณคดีสำคัญของชาติเล่มนี้ได้ กระทั่งพุทธศักราช ๒๕๖๐ นางสาวสุธีรา สัตยพันธ์ นักอักษรศาสตร์ กลุ่มภาษาและวรรณกรรม สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ซึ่งได้รับทุนการศึกษาไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยฮัมบูร์ก ได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารบทละครพระราชนิพนธ์ดังกล่าว มายังผู้อำนวยการสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร และผู้อำนวยการสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ได้มอบสำเนาเอกสารให้ผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรศาสตร์พิจารณาตรวจสอบ เพื่อจัดพิมพ์เผยแพร่ในวาระครบ ๒๕๐ ปีแห่งการสถาปนากรุงธนบุรี

สมุดไทยดำชุบเส้นทอง บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดประจำรัฐแห่งกรุงเบอร์ลิน เป็นเอกสารสำรับเดียวกับสมุดไทยดำชุบเส้นทอง บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีของหอสมุดแห่งชาติ เมื่อพิจารณาจากวันเวลาที่ปรากฏในบานแพนกและเนื้อเรื่องแล้ว สรุปได้ว่า บทละครพระราชนิพนธ์เรื่องนี้มีทั้งหมด ๕ เล่มสมุดไทย คือ สมุดไทยเล่ม ๑ หรือเล่มต้นอยู่ที่หอสมุดประจำรัฐแห่งกรุงเบอร์ลิน สมุดไทยเล่ม ๒ เล่ม ๓ และเล่ม ๔ อยู่ที่หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพมหานคร สมุดไทยทั้ง ๔ เล่ม มีเนื้อหาต่อเนื่องกัน ดำเนินเรื่องตั้งแต่ศึกสัทธาสูร วิรุญจำบัง ไปจนถึงผูกผมทศกัณฐ์กับนางมณโฑ ซึ่งการตรวจสอบต้นฉบับครั้งนี้พิจารณาสอบทานจากสมุดไทยเส้นทองทั้ง ๔ เล่ม ส่วนสมุดไทยดำชุบเส้นทองเล่ม ๕ (ตอนพระมงกุฎ) ไม่พบต้นฉบับสมุดไทย การจัดพิมพ์พระราชนิพนธ์ตอนพระมงกุฎครั้งนี้จึงจัดพิมพ์ตามฉบับที่อาจารย์ธนิต อยู่โพธิ์ตรวจสอบไว้เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๔

การตรวจสอบต้นฉบับ “บทละครเรื่องรามเกียรติ์” พระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ตั้งแต่ตอนศึกสัทธาสูร วิรุญจำบัง ถึงตอนผูกผมทศกัณฐ์กับนางมณโฑ เพื่อจัดพิมพ์เผยแพร่คราวนี้ใช้สำเนาเอกสารสมุดไทยจำนวน ๕ เล่มสมุดไทย ตามรายละเอียดดังนี้

สมุดไทย เล่ม ๑

สมุดไทยดำ ชุบเส้นทอง ถ่ายสำเนาจากหอสมุดประจำรัฐแห่งกรุงเบอร์ลิน ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สมุดไทยเล่มนี้ ปกหน้า ปกหลัง และด้านข้างปิดทองทึบ เป็นฉบับหลวงที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือประณีตยิ่ง

หน้าต้น มีข้อความระบุว่า

๏ วัน ๑ ๑+ ๖ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๓๒ ปีขารโทศก พระราชนิพนทรงแต่งขึ้นต้นเปนประถม ยัง ทราม ภอดี } อยู่ ๚๛

หน้าปลาย มีข้อความว่า

๏ พระสมุด๑ หา ๒ ๏

๏ วัน ๑ +๘ ๑๒ ค่ำ จุลศักกราช ๑๑๔๒ ปีชวดโทศก ๛

๏ ข้าพระพุทธิเจ้านายเชดอาลักษณ

ชุบเส้นทอง ขุนสรปรเสิด ขุนมหาสิท } ทาน ๓ ครั้ง

สมุดไทย เล่ม ๒

สมุดไทยดำ ชุบเส้นทอง เอกสารเลขที่ ๕๓๐ หอพระสมุดฯ ซื้อจากหม่อมหลวงแดง สุประดิษฐ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๙

หน้าต้น มีข้อความว่า

๏ พระราชนิพนเรื่อง หนุมานเกี้ยววานริน จนท้าวมาลีวะราชมา } ๒ หา ๓ ๚๛

หน้าที่ ๒ มีข้อความว่า

๏ วัน ๑ ๑+ ๖ ค่ำจุลศักราช ๑๑๓๒ ปีขารโทศก พระราชนิพนททรงแต่ง ชั้นต้นเปนประถมยัง ทราม ภอดี } อยู่ ๚๛

หน้าปลาย มีข้อความว่า

๏ ๒ หา ๓

๏ วัน ๑ +๘ ๑๒ ค่ำจุลศักราช ๑๑๔๒ ปีชวดโทศก ข้าพระพุทธิเจ้านายสังอาลักษณชุบเส้นทอง

๏ ข้าพระพุทธิเจ้า ขุนสรประเสริด ขุนมหาสิท } ทาน ๓ ครั้ง ๚๛

สมุดไทย เล่ม ๓

สมุดไทยดำ ชุบเส้นทอง เอกสารเลขที่ ๕๓๑ หอพระสมุดฯ ซื้อจากหม่อมหลวงแดง สุประดิษฐ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๙

หน้าต้น มีข้อความว่า

๏ พระราชนิพนท ทรงแปลงใหม่

หน้าที่ ๒ มีข้อความว่า

๏ พระสมุดรามเกียรเรื่องท้าวมาลีวะราช พิภาคษาความ จนทศกรรเข้าเมือง } ๓ ๚๛

หน้าที่ ๓ มีข้อความว่า

๏ วัน ๑ ๑+ ๖ ค่ำจุลศักราช ๑๑๓๒ ปีขารโทศก พระราชนิพนททรงแต่งชั้นต้นเปนประถม ยัง ทราม ภอดี } อยู่ ๚๛

หน้าปลาย มีข้อความว่า ๏ ๚ สมุด ๓ หา ๔ ๚ ๚๛

สมุดไทย เล่ม ๔

สมุดไทยดำ ชุบเส้นทอง เอกสารเลขที่ ๕๓๒ หอพระสมุดฯ ซื้อจากหม่อมหลวงแดง สุประดิษฐ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๙

หน้าต้น มีข้อความว่า

๏ พระสมุดรามเกียรเรื่อง ทศกรรฐต้งงพิทธีซายกรด พระลักษต้องหอกกระบิละพัด } จนผูกผม ๔ ๚๛

หน้าที่ ๒ มีข้อความว่า

๏ วัน๑ +๘ ๑๒ ค่ำ จุลราช ๑๑๔๒ ปีขารโทศก พระราชนิพน

ทรงแต่งชั้นต้น เปนประถมยัง ทราม ภอดี } อยู่ ๚๛

หน้าปลาย มีข้อความว่า

๏ วัน ๑ +๘ ๑๒ ค่ำจุลศักราช ๑๑๔๒ ปีชวดโทศก

ข้าพระพุทธิเจ้านายบุญจันอาลักษณชุบเส้นทอง

ข้าพระพุทธิเจ้า ขุนสรปรเสริด ขุนมหาสิท } ทาน ๓ ครั้ง ๚๛

สมุดไทย เล่ม ๕

สมุดไทยดำ ชุบเส้นหรดาล เอกสารเลขที่ ๕๓๓ สมบัติของหอพระสมุดฯ

หน้าต้น มีข้อความว่า

วัน ๖ +๗ ๑๑ ค่ำจุลศักราช ๑๑๔๒ ปีชวดโทศก

ข้าพระพุทธิเจ้านายบุญจันอาลักษณชุบ ขุนสรประเสริด ขุนมหาสิทธิ } ทาน ๓ ครั้ง ๚๛

๏ ข้างในทานกับฉบับข้างที่แล้ว ๓ ครั้ง ๚๛

เนื้อความพระราชนิพนธ์ในสมุดเล่มนี้เหมือนกับสมุดเล่ม ๔

สมุดไทยเล่ม ๑ เล่ม ๒ เล่ม ๓ และเล่ม ๔ ระบุวันเดือนปีที่ทรงพระราชนิพนธ์ตรงกันทุกเล่มคือ วันจันทร์ เดือน ๖ ขึ้นค่ำ ๑ จุลศักราช ๑๑๓๒ (พุทธศักราช ๒๓๑๓) อันเป็นปีที่ ๓ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ส่วนวันเดือนปีที่ชุบสมุดไทยนั้นต่างกัน คือ ฉบับชุบเส้นทองเล่ม ๑ เล่ม ๒ และเล่ม ๔ ชุบเมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๑๒ แรม ๘ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๔๒ (พุทธศักราช ๒๓๒๓) ก่อนสิ้นรัชกาล ๒ ปี ส่วนสมุดเส้นทองเล่ม ๓ ไม่ปรากฏวันเดือนปีที่ชุบ สมุดไทยเล่ม ๕ ชุบเส้นหรดาล มีเนื้อความตรงกับสมุดไทย เล่ม ๔ สมุดไทยเล่ม ๕ นี้น่าจะเป็นฉบับต่างสำรับกับฉบับชุบเส้นทอง หลักฐานที่ระบุไว้ในสมุดไทยเล่ม ๕ นั้นแสดงว่า มีพระราชนิพนธ์ฉบับข้างที่อยู่ครบทุกเล่มก่อนที่จะมีฉบับชุบเส้นทอง

สมุดไทยเล่ม ๕ ซึ่งชุบเส้นหรดาลและมีเนื้อหาพระราชนิพนธ์ตรงกับสมุดไทยเล่ม ๔ ชุบเมื่อวันศุกร์ เดือน ๗ แรม ๑๑ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๔๒ (พุทธศักราช ๒๓๒๓) ก่อนที่จะชุบฉบับเส้นทองและระบุว่า “ทานกับฉบับข้างที่แล้ว” ดังนั้นบทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงน่าจะมี “ฉบับข้างที่” หรือฉบับหลวงส่วนพระองค์อยู่ก่อนที่จะชุบฉบับเส้นทองกับฉบับเส้นหรดาล ของหอสมุดแห่งชาติ ดังนั้นเอกสารฉบับชุบเส้นทองเล่ม ๑ ซึ่งเก็บรักษาอยู่ที่หอสมุดประจำรัฐแห่งกรุงเบอร์ลิน จึงเป็นเอกสารสำรับเดียวกันกับฉบับชุบเส้นทอง เล่ม ๒ เล่ม ๓ และเล่ม ๔ ที่อยู่ในหอสมุดแห่งชาติ

นามอาลักษณ์ผู้ชุบเส้นทองคือ สมุดไทยเล่ม ๑ นายเชด สมุดไทยเล่ม ๒ นายสัง สมุดไทยเล่ม ๓ ไม่ปรากฏนามผู้ชุบและผู้ทาน แต่พิจารณาจากลายมือแล้วน่าจะเป็นบุคคลที่ชุบสมุดไทย เล่ม ๒ สมุดไทยเล่ม ๔ นายบุญจัน และสมุดเล่มไทยเล่ม ๕ ชุบเส้นหรดาลนายบุญจันเป็นผู้ชุบ ส่วนผู้ทานมี ๒ ท่าน คือ ขุนสรประเสริด (ขุนสรประเสริฐ) และขุนมหาสิท (ขุนมหาสิทธิโวหาร) นามของข้าราชการสังกัดกรมพระอาลักษณ์ที่ปรากฏหลายท่าน น่าจะได้รับราชการต่อมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เช่น พระอาลักษณ์บุญจัน ผู้แต่งโคลงธรรมสุภาษิตทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ ๑ เมื่อพุทธศักราช ๒๓๓๘

เนื้อความในสมุดไทย “บทละครเรื่องรามเกียรติ์” พระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่ตรวจสอบต้นฉบับคราวนี้ ประกอบด้วย

สมุดไทยเล่ม ๑ ศึกสัทธาสูร วิรุญจำบัง จับเรื่องตั้งแต่ทศกัณฐ์ใช้นนทจิตรกับนนทไพรี เป็นทูตไปเชิญสัทธาสูร เจ้ากรุงอัษฎงค์ และวิรุญจำบัง เจ้ากรุงจารึกให้มาช่วยรบกับพระรามและพลวานร เริ่มความในบทพระราชนิพนธ์ว่า

มาจะกล่าวบทไป ถึงนนทจิตรยักษี
กับอสูรนนทไพรี สองศรีไปคนละพารา

สัทธาสูรและวิรุญจำบังยกกองทัพมาถึงกรุงลงกา ทศกัณฐ์จัดเลี้ยงต้อนรับกองทัพสัมพันธมิตรอย่างเอิกเกริก สัทธาสูรยกทัพออกไปรบถูกหนุมานฆ่าตาย ฝ่ายวิรุญจำบังซึ่งยกเป็นทัพหนุนขี่ม้ากำบังกายเข้าเข่นฆ่าไพร่พลวานร พระรามแผลงศรเป็นข่ายเพชรล้อมไว้ วิรุญจำบังเห็นว่าตนเองจะพ่ายแพ้จึงผูกผ้าพยนต์ให้รบแทนตน แล้วหนีไปซ่อนกายในฟองน้ำที่มหาสมุทรเชิงเขาอังกาศ พระรามให้หนุมานออกติดตามได้พบกับนางวานริน ซึ่งเป็นนางฟ้าถูกพระอิศวรสาปให้ลงมาคอยบอกทางแก่หนุมาน กระทั่งหนุมานได้พบและเกี้ยวนางวานริน หมดความในหน้าสมุดสุดท้ายเป็นบทที่นางวานรินกล่าวเย้ยหยันหนุมาน คือ

ฉิฉะดูกรเจ้ายิ่งผู้ ข้าต้องสาปอยู่พระคูหา
แม้นดีจงมีเมตตา ช่วยแก้ร้อนข้าอันราคี
ให้คืนยังอิศวรบรมนาถ คุงบาทรองเบื้องบทศรี
ข้าจึงจะเห็นเป็นดี ถ้าฉะนี้จะเชื่อวาจา

สมุดไทยเล่ม ๒ หนุมานเกี้ยวนางวานรินจนท้าวมาลีวราชมา บทพระราชนิพนธ์ในหน้าสมุดแรก เป็นตอนนางวานรินกล่าวเย้ยหยันหนุมาน คำกลอนแรกรับสัมผัสกับคำกลอนสุดท้ายของสมุดไทยเล่ม ๒

ฝ่ายข้าก็เห็นสุดที่ ฉิเจ้าคนดีมุสา
อย่าโป้ปดคดคิดเจรจา ไม่สบายวิญญาอย่ายายี

ในที่สุดหนุมานได้นางวานรินเป็นภรรยา นางบอกทางให้หนุมานตามไปจนพบวิรุญจำบัง เมื่อสังหารวิรุญจำบังแล้วหนุมานก็ส่งนางวานรินกลับคืนสู่สวรรค์และนำศีรษะของวิรุญจำบังไปถวายพระราม

ครั้นทศกัณฐ์ทราบข่าวว่าสัทธาสูรและวิรุญจำบังพ่ายแพ้ถึงแก่ความตาย จึงให้นนยุเวกกับวายุเวกไปเชิญท้าวมาลีวราชมหาพรหมซึ่งมีศักดิ์เป็นอัยกาของตนและมีวาจาสิทธิ์ เพื่อขอให้สาปพระรามกับพระลักษณ์ให้พ่ายแพ้แก่ตน ท้าวมาลีวราชเป็นสหายกับท้าวอัชบาลอัยกาของพระราม เห็นว่าทั้งพระรามและทศกัณฐ์ต่างก็มีศักดิ์เป็นหลาน จึงเดินทางมาไกล่เกลี่ยตัดสินคดียังสมรภูมิ ให้เชิญพระรามมาไต่สวนคดีด้วย บทพระราชนิพนธ์ในสมุดไทยเล่ม ๒ หน้าสุดท้ายจบลงตอนที่ท้าวมาลีวราชถามพระราม ความว่า

ครั้นเห็นลักษ์รามเรืองไชย ท้าวไทเพ่งพิจรณา
องค์อัคคอ้อนแอ้นทั้งสอง ผ่องแผ้วผิวนิลวัตถา
เรืองรุทรสุดเลิศลักขณา เหมือนมหาอัชบาลสหายกู
จึงเอื้อนอรรถโองการปราศรัย เหตุใดเวียงไชยเจ้าไม่อยู่

สมุดไทยเล่ม ๓ ตอนท้าวมาลีวราชพิพากษาความ จนทศกัณฐ์เข้าเมือง ความในบทพระราชนิพนธ์เริ่มคำกลอนแรกต่อเนื่องจากสมุดไทยเล่ม ๒ คือ

มาเที่ยวไพรไยทั้งคู่ เกิดรบสู้กันด้วยอันใด
เมื่อนั้น พระรามสูริวงศ์เป็นใหญ่
จึงทูลแถลงแจ้งไป ซึ่งมาอยู่ใบพนาลี
ด้วยพระบิตุรงค์ทรงไชย ให้สัตย์นางไกยเกษี
ขอให้พระพรตผ่านบุรี ให้ข้านี้บวชอยู่ไพร

ท้าวมาลีวราชไต่สวนสอบถามความจากทศกัณฐ์และพระราม และให้นำนางสีดามาให้การด้วย เหล่าเทพยดาต่างให้การเป็นพยานว่าพระรามเป็นฝ่ายถูก ท้าวมาลีวราชจึงพิพากษาให้ทศกัณฐ์ส่งนางสีดาคืนแก่พระราม ทศกัณฐ์ไม่ยอมท้าวมาลีวราชจึงสาปให้พ่ายแพ้พระราม ทศกัณฐ์กลับเข้ากรุงลงกาปรึกษานางมณโฑคิดจะเอาชนะพระรามและแก้แค้นเหล่าเทวดาที่พากันเข้าข้างพระราม จึงตั้งพิธีชุบหอกกระบิลพัทและเผารูปเทวดาที่หาดทรายกรดเชิงเขาพระสุเมรุ

ความในสมุดไทยเล่ม ๓ หน้าสุดท้ายจบพระราชนิพนธ์ลงตอนที่ทศกัณฐ์และนางมณโทออกท้องพระโรงเตรียมสั่งให้เสนายักษ์ตั้งโรงพิธี

แก้วเอยเจ้าแก้วตา มาไปพระโรงไชยศรี
เรียกพลางทางพาจรลี ออกที่พระโรงหมีช้า

สมุดไทยเล่ม ตอนทศกัณฐ์ตั้งพิธีทรายกรด พระลักษณ์ต้องหอกกระบิลพัท จนผูกผม ความในบทพระราชนิพนธ์เริ่มคำกลอนแรกเมื่อทศกัณฐ์ออกท้องพระโรง เตรียมให้ตั้งพิธีที่หาดทรายกรด

จึ่งตรัสแก่หมู่อสูรราช ประภาษแก่มารยักษา
ทั้งพวกอำมาตย์เสนา กูได้มหารูจี
ท่านเร่งเกษมเปรมใจ อย่าครั่นคร้ามขามใครยักษี
อันลักษ์แลรามขุนกระบี่ น่าที่จะม้วยพิราลัย

ทศกัณฐ์ตั้งพิธีชุบหอกกระบิลพัทและเผารูปเทวดาที่หาดทรายกรดเชิงเขาพระสุเมรุ หากครบ ๓ วัน หอกกระบิลพัทจะมีอานุภาพมากและเทวดาจะพากันตายหมด พระอินทร์และเทวดาทั้งหลายพากันไปเฝ้าพระอิศวรขอให้ช่วยแก้ไข พระอิศวรจึงให้เทพบุตรพาลี เนรมิตกายเป็นพาลีทำลายพิธีของทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์สู้เทพบุตรพาลีไม่ได้ก็เสียพิธีหนีกลับเข้ากรุงลงกา

นางมณโฑคิดว่าพิเภกเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้ บอกความลับของฝ่ายทศกัณฐ์แก่พระราม ขอให้ทศกัณฐ์กำจัดพิเภกก่อนจึงจะได้ชัยชนะพระราม ทศกัณฐ์ยกออกรบกับพระรามและหมายพุ่งหอกกระบิลพัทฆ่าพิเภก แต่พิเภกหลบอยู่ข้างหลังพระลักษณ์ หอกจึงพลาดไปต้องพระลักษณ์

พิเภกขอให้หนุมานไปเก็บยาแก้หอกกระบิลพัทซึ่งประกอบด้วย สังกรณีตรีชวา มูลโคอุสุภราช แม่หินบดยาที่พญากาลนาคเมืองบาดาล และลูกหินบดยาซึ่งทศกัณฐ์ทำเป็นเขนยรองบรรทมที่ปราสาทในกรุงลงกา

หนุมานเก็บยาทุกอย่างได้ครบ และลอบสะกดเข้าไปขโมยลูกหินบดยา ขณะที่ทศกัณฐ์กับนางมณโฑหลับสนิทด้วยอานุภาพมนตร์สะกด หนุมานผูกผมทศกัณฐ์กับนางมณโฑเข้าด้วยกันและสาปว่า จะแก้ได้ต่อเมื่อนางมณโฑชกศีรษะทศกัณฐ์ผมที่ผูกไว้จึงจะหลุดออกและเขียนวิธีแก้ไว้ที่หน้าผากของทศกัณฐ์ ครั้นรุ่งเช้าทศกัณฐ์ตื่นขึ้น เส้นผมติดกับนางมณโฑแก้ไขอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จึงให้ไปนิมนต์พระฤษีโคบุตรอาจารย์ของตนมาแก้ไข พระฤษีเห็นข้อความบนหน้าผากจึงให้นางมณโฑชกศีรษะของทศกัณฐ์ ผมที่ผูกไว้ก็หลุดออก

จากนั้นพระฤษีทำพิธีลอยบาปสะเดาะเคราะห์ให้ทศกัณฐ์ และทศกัณฐ์ให้พระวิษณุกรรมมาซ่อมปราสาทที่ได้รับความเสียหายจากอิทธิฤทธิ์ของหนุมาน พระราชนิพนธ์ในหน้าสุดท้ายจบลงตอนที่

เทวานิมิตตามจิตไป บัดใจก็แล้วทันที
ครั้นเสร็จแล้วอำลา เหาะมาฟากฟ้าราศี
ฝ่ายทศกรรฐ์์อสุรี มีมโนในนิ่งจินดา

พระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ตามที่ปรากฏในสมุดไทยทั้ง ๔ เล่มน่าจะจบเพียงเท่านี้เพราะหากมีเนื้อความต่อไปมักมีข้อความบอกตอนท้ายเล่มสมุดว่า “พระสมุด ๑ หา ๒” หรือ “สมุด ๓ หา ๔” แต่เมื่อหมดหน้าสุดท้ายเล่ม ๔ แล้ว ไม่ปรากฏข้อความใดๆ ที่แสดงว่ายังมีพระราชนิพนธ์เล่มต่อไปอีก

ประวัติเอกสารต้นฉบับสมุดไทยชุบเส้นทองเล่ม ๒ เล่ม ๓ และเล่ม ๔ ที่เก็บรักษาไว้ ณ หอสมุดแห่งชาติ ระบุว่า สมุดไทยทั้ง ๓ เล่ม หอพระสมุดฯ ซื้อจากหม่อมหลวงแดง สุประดิษฐ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๙ หม่อมหลวงแดง สุประดิษฐ์ เป็นทายาทที่สืบเชื้อสายมาจากหม่อมเจ้าปิยภักดีนารถ สุประดิษฐ์ ซึ่งเป็นนักสะสมหนังสือเก่าผู้มีชื่อเสียงเกียรติคุณในสมัยรัชกาลที่ ๕ ประกอบกับหม่อมเจ้าปิยภักดีนารถ ทรงเป็นโอรสของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิศณุนารถนิภาธร พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อย ซึ่งเป็นนัดดาในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ดังนั้นต้นฉบับสมุดไทยพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ สำรับที่ชุบเส้นทองทั้ง ๔ เล่ม น่าจะเป็นของหม่อมเจ้าปิยภักดีนารถและเป็นสมบัติตกทอดมาในสายราชสกุลสุประดิษฐ์ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า สมุดไทยชุบเส้นทองเล่ม ๑ มีการซื้อขายไปก่อนที่หม่อมหลวงแดง สุประดิษฐ์ ขายเล่มที่เหลืออยู่ให้แก่หอพระสมุดฯ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๙ สมุดไทยเล่มดังกล่าวจึงพลัดพรายไปอยู่ที่หอสมุดประจำรัฐแห่งกรุงเบอร์ลิน

ส่วนต้นฉบับสมุดไทยพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอน พระมงกุฎ เมื่อตรวจสอบคราวนี้ไม่พบต้นฉบับ จึงพิมพ์ตามฉบับที่อาจารย์ธนิต อยู่โพธิ์ ตรวจสอบไว้ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๔

บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่ตรวจสอบต้นฉบับคราวนี้ ได้ปรับปรุงอักขรวิธีบางส่วน เพื่อประโยชน์แก่นักเรียนนักศึกษา ทั้งนี้ บางส่วนได้คงอักขรวิธีไว้ตามเดิม เพื่อให้ผู้ศึกษาได้เห็นพัฒนาการของอักขรวิธีและการใช้คำ เช่น “พระลักษณ์” “สีดา” “ทศกัณฐ์” ในเอกสารต้นฉบับพระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีใช้ว่า “ลักษ” “ษีดา” และ “ทศกรรฐ” เกือบทุกแห่ง ซึ่งหากเป็นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ ใช้ “ลักษณ์” “สีดา” และ “ทศกรรฐ์” เป็นส่วนมาก และหากเป็นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ ใช้ “ลักษมณ์” “สีดา” และ “ทศกัณฐ์” คำว่า “มิ” เช่น “มิได้” “มิใช่” ต้นฉบับใช้ว่า “หมีได้” หรือ “หมีใช่” เกือบทุกแห่ง หากปรับอักขรวิธีเป็น “มิ” แล้ว บางจุดมีสัมผัสสระกับวรรคหน้าจะทำให้เสียงสัมผัสเสียไป จึงคงไว้ตามเดิม เช่น

ลางบ้างก็ทูลเฉลย ไม่เกรงเลยแค่หมู่กระบี่ศรี
จะคาเขี้ยวเคี้ยวให้ธุลี หมีให้เหลือเลยอย่าสงกา

คำว่า “ชัย” กับ “ไชย” มีความหมายต่างกัน แต่ต้นฉบับชุบเส้นทองใช้ “ไชย” เกือบทุกแห่ง ในการตรวจสอบคราวนี้ใช้ “ชัย” กับบริบทที่ใช้กับคำกริยา หมายถึง “ชนะ” เช่น ชิงชัย เป็นต้น และใช้ “ไชย” ในบริบทที่ใช้กับคำนาม หมายถึง “ดี ประเสริฐ” เช่น บัญชรไชย วิมานไชย เป็นต้น

อนึ่ง ในการพิมพ์คราวนี้นำสำเนาเอกสารสมุดไทย ฉบับชุบเส้นทอง ทั้ง ๔ เล่มมาพิมพ์ไว้ด้วย เพื่อให้ผู้ศึกษาได้เห็นรูปแบบตัวอักษรและอักขรวิธีอันเป็นแบบแผนของราชสำนักสมัยกรุงธนบุรี และเป็นการรักษามรดกสำคัญของชาติให้คงอยู่สืบไป

  1. ๑. นายบุญเตือน ศรีวรพจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรศาสตร์ กรมศิลปากร เรียบเรียง

  2. ๒. นายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ