อภัยนุราช
ช้า
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงท้าวไทอภัยนุราชเรืองศรี |
กับโฉมยงองค์ทิพมาลี | ครองบูรีรมเยศเขตคัน |
มีโอรสธิดาน่ารัก | ประไพพักตร์ลักษณ์เลิศเฉิดฉัน |
เชษฐาชื่อว่าพระอนันต์ | น้องชื่อวรรณาสุดาถาวร |
คนละปีพี่สิบขวบเศษ | ดังเทเวศร์สุรางค์นางอัปสร |
พระวงศาข้าบาทราษฎร | ทุกข์ร้อนไม่มีบีฑา |
วันหนึ่งจึงท้าวอภัยนุราช | คิดใคร่ไปประพาสภูผา |
ไล่ฝูงโคถึกมฤคา | แรมค้างกลางป่าพนาวัน ฯ |
ร่าย
๏ คิดพลางทางสั่งเสนี | พรุ่งนี้เราจะไปไพรสัณฑ์ |
เกณฑ์โยธีขี่ม้าสักห้าพัน | ถือเกาทัณฑ์ปืนยาหน้าไม้ ฯ |
๏ บัดนั้น | เสนารับสั่งบังคมไหว้ |
ก้มกรานคลานคล้อยถอยออกไป | เกณฑ์ไพร่พร้อมกันดังบัญชา |
ฯ เจรจา ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระปิ่นเกศเขตขันธ์หรรษา |
ครั้นรุ่งรางสร่างแสงสุริยา | มาโสรจสรงคงคาวารี |
แล้วทรงเครื่องประดับเสร็จสรรพ | มงกุฎเก็จเพชรพรายหลายสี |
จับพระขรรค์อันเรืองฤทธี | ไปตรวจพลมนตรีที่เกยลา ฯ |
ฯ เสมอ ฯ
ร่าย
๏ พระองค์ขึ้นทรงช้างต้น | พร้อมพลไพร่นายกราบซ้ายขวา |
เดินทหารควาญไสไอยรา | ตำรวจหน้านำตรงเข้าพงไพร ฯ |
ฯ กราวนอก ฯ
ชมดง
๏ เดินทางหว่างเขาเงาร่ม | เพลินชมเชิงผาพฤกษาไสว |
บ้างผลิดอกออกแทรกแตกใบ | ลูกมะไฟมะเฟืองเหลืองระย้า |
จำปาดะขนุนกรุ่นหอม | มะปรางปริงกิ่งค้อมริมจอมผา |
ร้อยลิ้นอินจันพรรณพวา | ฝูงนกกาจิกเจาะเกาะกิน |
บนเขาสูงฝูงหงส์บุหรงร้อง | เยี่ยมหุบห้องปล่องเปลวเหวหิน |
ชมเพลินเดินรอบขอบคีรินทร์ | มีโกรกสินธุพุปรุปราย |
ริมลำธารศาลเจ้าเก่าแก่ | กษัตริย์แต่ก่อนปางสร้างถวาย |
เสาศิลาฝากรุผุทลาย | ต้นรังรายรื่นร่มพนมไพร ฯ |
ร่าย
๏ จึงหยุดช้างที่นั่งสั่งเสนา | ปลูกประทับพลับพลาอาศัย |
ให้แยกย้ายรายพลค้นไป | สกัดไล่โคถึกมฤคา ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ บัดนั้น | พวกหมื่นขุนมูลนายซ้ายขวา |
ต่างเกณฑ์ไพร่ไปริมหิมวา | ไล่สกัดสัตว์ป่าพนาวัน |
โห่ครื้นปืนยิงกระทิงถึก | ล้อมมฤคแรดควายทรายสมัน |
ต้อนตะพัดลัดแลงแทงฟัน | พัลวันมาหน้าพลับพลาไพร ฯ |
ฯ เชิด ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระภูมินทร์ยินดีจะมีไหน |
เผ่นขึ้นม้าทรงก่งศิลป์ชัย | ขับไล่เลี้ยวลัดยิงสัตว์ดง ฯ |
ฯ เชิดฉิ่ง ฯ
ร่าย
๏ ลั่นสายหลายลูกไม่ถูกสัตว์ | ก้าวสกัดพลัดแพลงลัดแลงหลง |
จนรอนรอนอ่อนแสงสุริยง | ขับม้าทรงตรงมาพลับพลาชัย ฯ |
ฯ เชิด ฯ
ร่าย
๏ พร้อมทั้งเสนีรี้พล | ต่างคนเหนื่อยบอบหอบเหื่อไหล |
ไม่ได้เนื้อเบื้อบ้างเป็นอย่างไร | หลากใจนักหนาพูดจากัน ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้น | ผู้เฒ่าชาวป่าพนาสัณฑ์ |
จึงกราบทูลองค์พระทรงธรรม์ | นี่ชื่อป่าสาลวันบรรพต |
แต่ย่าปู่ผู้เฒ่าเล่าว่า | เทพารักษ์ศักดาปรากฏ |
แต่ก่อนท้าวเจ้าเมืองเรืองยศ | มาประณตนับถือลือชา |
ครั้งนี้มิได้เซ่นวัก | อารักษ์ไม่ให้สัตว์ในป่า |
พระองค์จงบวงสรวงเทวา | ซึ่งสิงสู่ภูผาพนาลัย ฯ |
๏ ฟังทูล | นเรศูรเคืองขัดอัชฌาสัย |
จึงตรัสว่าป่าดงพงไพร | ก็อยู่ในเขตแคว้นแดนเรา |
เพราะอารักษ์หักแกล้งกูแผลงศร | ไม่แน่นอนเหมือนหมายอายเขา |
ไม่ยำเยงเกรงกูดูเบา | เอาไฟเผาศาลให้ไหม้หมดโครง ฯ |
๏ บัดนั้น | พวกขุนนางต่างใส่ไฟโขมง |
ไหม้หลังคาฝาเปิงเพลิงโพลง | เสียงผึงโผงเผาศาลเป็นถ่านไป ฯ |
ฯ เหม่งตุมเพล่ง ฯ
๏ เมื่อนั้น | จอมวังนั่งหน้าพลับพลาใหญ่ |
ให้เลี้ยงโต๊ะโยธาเสนาใน | เสวยชัยบาลสำราญครัน ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ บัดนั้น | พวกเสนาสามนต์พลขันธ์ |
ต่างกินเหล้าเมามัวไม่กลัวกัน | บ่าวขันสู้นายเรียกอ้ายเกลอ |
บ้างร้องลำสำรวจอวดรู้ | การกูผู้ใดไม่เสมอ |
บ้างเมามากรากท้นบ่นเพ้อ | พูดเอะอะคะเอออึงไป |
บ้างร้องเพลงพาดควายไก่ป่า | เมาร่ารำแต้ต้องแก้ไข |
บ้างขันชกยกตัวไม่กลัวใคร | ผลักไสซวนเซเสียงเฮฮา |
จนพลบค่ำกำลังเล่นสนุก | บ้างล้มลุกหลับกลิ้งพิงพฤกษา |
ทั้งองค์ท้าวเมาเซพวกเสนา | ลุกถลาล้มทับเลยหลับไป ฯ |
ฯ เซ่นเหล้า ฯ ฯ เจรจา ฯ
ยานี
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงอารักษ์ที่เขาเผาศาลไหม้ |
ขึ้นสิงสู่อยู่บนต้นไทร | แค้นท้าวอภัยนุราชบังอาจนัก |
แต่ก่อนกูอยู่มาป่านี้ | ชาวบูรีเกรงฤทธิ์สิทธิศักดิ์ |
ถึงเดือนห้ามาเล่นเซ่นวัก | ไม่ทำการหาญหักเหมือนดังนี้ |
จะแก้แค้นแทนทำให้ส่ำเสีย | ให้เสียลูกเสียเมียเสียกรุงศรี |
คิดพลางทางแผลงฤทธี | ไปเรือนอีผีสิงหญิงคนทรง ฯ |
ฯ เชิด ฯ
ร่าย
๏ ครั้นถึงจึงเทพารักษ์ | ลอบหักคออีศรีสาหง |
เข้าสิงสู่ชูใจให้ดำรง | รูปทรงคงเป็นเหมือนเช่นดี ฯ |
๏ บัดนั้น | นางศรีสาหงคนทรงผี |
อยู่แต่ตัวผัวตายหลายปี | อายุสี่สิบสี่ปีปลาย |
นัยน์ตาพองสองผมนมคล้อย | ทำชดช้อยลอยเลิศเฉิดฉาย |
นุ่งแดงห่มชมพูพิศดูกาย | ออกจากเรือนเดือนหงายกรีดกรายมา ฯ |
ฯ ฉุยฉาย ฯ
๏ พอรุ่งแจ้งแสงทองถึงกองทัพ | เข้าหยุดยับยั้งอยู่ริมภูผา |
แกล้งคิดคำทำนองร้องพัดชา | วิเวกแว่วแนวป่าวนาดอน ฯ |
พัดชา
๏ โอ้สงสารพระหน่อวรนาถ | แรมนิราศเรือนจันทร์พระบรรถร |
อยู่ในวังดังพระศศิธร | ดารากรแวดล้อมอยู่พร้อมเพรียง |
เคยฟังขับรับพิณซอจีนเจ้ง | ฆ้องระนาดพาดเพลงวังเวงเสียง |
มโหรีปี่แก้วแจ้วจำเรียง | เสนาะสำเนียงนางเห่ทุกเวลา |
มานอนในไพรพนมต้องลมว่าว | อนาถหนาวน้ำค้างพร่างพฤกษา |
หอมดอกกลอยสร้อยสนสุมณฑา | มะลิลาลมโชยมาโรยริน |
ดอกไม้สดรสรื่นชื่นแช่ม | เหมือนกลิ่นแก้มแจ่มนวลหวนถวิล |
หอมบุปผาสารพันลูกจันทร์อิน | ไม่เหมือนกลิ่นนุชเนื้อที่เจือจันทร์ |
เจ้าพี่เอ๋ยเชยอื่นไม่ชื่นจิต | เหมือนเชยชิดโฉมน้องประคองขวัญ |
มานอนเดียวเปลี่ยวใจในไพรวัน | สะอื้นอั้นอกน้องมัวหมองเอย ฯ |
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระจอมวังฟังนิ่งอิงเขนย |
สำเนียงขับจับใจกระไรเลย | ลุกขึ้นเผยพระแกลเล็งแลไป |
ยิ่งเพลินฟังวังเวงในเพลงขับ | ดูพวกพ้องกองทัพยังหลับใหล |
พระลงจากพลับพลาคลาไคล | คอยฟังเสียงเมียงไปในไพรวัน ฯ |
ฯ ฉุยฉาย ฯ
ชมโฉม
๏ เห็นนารีผีสิงพริ้งเพริศ | โฉมเฉิดเลิศอย่างนางสวรรค์ |
สวยสำอางคางคิ้วผิวพรรณ | เป็นสองผมคมสันเพียงขวัญตา |
ถันเทียบเรียบปทุมที่หุ้มฝัก | ดูหน้าตาน่ารักหนักหนา |
นาสิกเสี้ยมเอี่ยมโอ่โสภา | นุ่งผ้าแดงห่มสีชมพู |
ดูจ้ำม่ำล้ำหญิงยิ่งอย่าง | รูปร่างรัดกุมใส่ตุ้มหู |
พินิจไหนให้เห็นน่าเอ็นดู | จะใคร่รู้เรื่องความตรัสถามไป ฯ |
โอ้ชาตรี
๏ ทรามสงวน | เจ้างามล้วนนวลละอองผ่องใส |
พี่ขอถามตามซื่ออย่าถือใจ | เจ้าชื่อไรไยมาอยู่อารัญ |
หรือบ้านเมืองเคืองเข็ญเป็นวิบัติ | จากจังหวัดเวียงชัยไอศวรรย์ |
หรือเข็ญใจไร้วงศ์พงศ์พันธุ์ | จะรับขวัญเนตรน้องไปครองวัง |
วาสนาพาพี่มาพานพบ | อย่าหลีกหลบผินผันหันหลัง |
จงพรายแพร่งแจ้งอรรถตามสัจจัง | จะขอฟังวาจาเจ้าพาที ฯ |
ร่าย
๏ ฟังคำ | นางทำชม้อยถอยหนี |
พลางนบนอบตอบว่าข้านี้ | ชื่อศรีสาหงไร้พงศ์พันธุ์ |
เดิมสำหรับขับร้องรองบาท | เจ้าไกรลาสเลี้ยงไว้ในสวรรค์ |
ข้าเล่นเพื่อนเชือนเที่ยวเป็นโทษทัณฑ์ | จึงสาปสรรให้มาอยู่ป่าดอน |
ผู้เดียวเปลี่ยวเปล่าทุกเช้าค่ำ | อยู่อาศัยในถ้ำที่สิงขร |
ซึ่งเสด็จเมตตาอาวรณ์ | เหมือนบิดรมารดาปรานี |
จะรับไปไว้วังดังตรัส | เกรงจะขัดใจพระมเหสี |
จะพาลผิดริษยาด่าตี | น่าที่ชีวันจะบรรลัย ฯ |
โอ้ชาตรี
๏ สาวสวรรค์ | อย่าหวาดจิตคิดพรั่นหวั่นไหว |
จะถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้ | รักใคร่ให้เหมือนเพื่อนชีวัน |
แม้นเมียหลวงจ้วงจาบหยาบช้า | จะฆ่าตีชีวาให้อาสัญ |
สมบัติวัตถาสารพัน | จะมอบขวัญเนตรทั้งวังเวียง |
เจ้าเคยคู่กุศลส่งให้ | พี่จะได้ฟังคำน้ำเสียง |
ว่าพลางย่างย่องประคองเคียง | อย่าหลีกเลี่ยงเมียงเมินสะเทินใจ |
ขอเชิญเจ้าเข้าวังวันนี้ | ได้อยู่ที่แท่นทองผ่องใส |
พลางพยุงจูงนางมากลางไพร | ตรงไปที่ประทับพลับพลา ฯ |
ฯ เพลง ฯ
๏ ครั้นถึงจึงปลุกพวกเสนี | ทั้งโยธีไพร่นายซ้ายขวา |
พระนั่งเตียงเคียงนางพลางพูดจา | ประทานพานสลาให้นารี ฯ |
๏ บัดนั้น | พวกขุนนางต่างกราบเจ้ากรุงศรี |
เห็นนางนั่งบนเตียงเคียงภูมี | เหมือนรูปผีปีศาจประหลาดใจ |
จึงทูลถามพระองค์ทรงศักดิ์ | หลากนักนางนี้อยู่ที่ไหน |
เผ่าพงศ์วงศ์วานประการใด | โปรดให้นั่งเตียงเคียงองค์ ฯ |
๏ เมื่อนั้น | พระทรงธรรม์ฟั่นเฟือนเลอะเลือนหลง |
จึงบัญชาว่านางโฉมยง | ลอยลงมาจากฟากฟ้า |
ทั้งรูปงามนามเพราะเสนาะเสียง | สำเนียงในมนุษย์สุดหา |
เคยคู่กุศลจึงส่งมา | เราจะพาไปเลี้ยงไว้เวียงชัย ฯ |
๏ บัดนั้น | อำมาตย์ราชครูผู้ใหญ่ |
พิศดูรู้เท่าทูลท้าวไท | นางนี้มิใช่ชาวฟากฟ้า |
เป็นผีสิงหญิงแก่แม่ม่าย | สาบแสลงแรงร้ายพรายรักษา |
จะขอทำน้ำมนต์พ่นมารยา | ให้ผีป่าไปจากซากสตรี ฯ |
๏ บัดนั้น | นางศรีสาหงคนทรงผี |
ฟังหมอว่าพาโลโศกี | มือตีอกร่ำฟายน้ำตา |
สะอื้นอ้อนวอนองค์ทรงฤทธิ์ | พวกข้าเฝ้าเขาคิดริษยา |
แม้นไปอยู่บูรีชีวา | เห็นว่าไม่ข้ามถึงสามวัน |
ข้าพระจะลาอยู่ป่าเขา | ตามพระเป็นเจ้าสาปสรร |
เชิญพระเสด็จเข้าเขตคัน | รำพันพูดจาโศกาพลาง ฯ |
ฯ โอด ฯ
๏ เมื่อนั้น | กรุงกษัตริย์ขัดข้องหมองหมาง |
กริ้วกราดราชครูดูหมิ่นนาง | ว่างผีสางสิงองค์นงเยาว์ |
กูมิได้ไต่ถามเอาความบอก | ชาติชั่วหัวหงอกหลอกเจ้า |
เหวยเพชฌฆาตเอ็งเร่งเอา | อ้ายเฒ่าไปฟันให้บรรลัย ฯ |
๏ บัดนั้น | องครักษ์ชักดาบก้มกราบไหว้ |
จิกศีรษะมหาเสนาใน | พาไปชายป่าพนาวัน ฯ |
ฯ เตียว ฯ
๏ บัดนั้น | ราชครูผู้ใหญ่มิได้พรั่น |
ประกาศก้องร้องสั่งคนทั้งนั้น | เรากตัญญูจึงโทษถึงตาย |
ท่านที่อยู่ดูไปเถิดไม่ช้า | ทั้งเวียงชัยไพร่ฟ้าจะฉิบหาย |
เพราะอีผีสิงหญิงร้าย | เราต้องตายก่อนกรรมได้ทำมา |
พอขาดคำร่ำสั่งนั่งนิ่ง | ไม่ไหวติงตั้งอารมณ์ก้มหน้า |
เพื่อนขุนนางต่างคนขอสมา | กลั้นน้ำตาไม่ได้ทั้งไพร่นาย ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายเพชฌฆาตมาดหมาย |
ย่างสามขุมกุมดาบเดินกราย | หมายที่ท้ายผมฟันลงทันที ฯ |
ฯ กลองเหม่งโอด ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระจอมวังคลั่งจิตด้วยฤทธิ์ผี |
ให้เลิกทัพกลับหน้าเข้าธานี | พระชวนศรีสาหงขึ้นทรงช้าง |
นั่งในกูบทองประคองหัตถ์ | ไปเชยชมสมบัติอย่าหมองหมาง |
โลมลูบจูบกอดชวนพลอดพลาง | เพลิดเพลินเดินทางมากลางดง ฯ |
ฯ กลองโยน ฯ
๏ ครั้นถึงจึงประทับเกยทอง | พระประคองเทวีศรีหงสา |
นำดำเนินเดินเรียงเคียงองค์ | เสด็จตรงเข้ายังวังใน ฯ |
ฯ เสมอ ฯ
๏ ขึ้นบนมนเทียรเขียนผนัง | ให้นางนั่งแท่นทองผ่องใส |
พิศวงหลงลืมปลื้มใจ | เฝ้าลูบไล้เล้าโลมนางโฉมยง ฯ |
โอ้ชาตรี
๏ น้องรัก | ผ่องพักตร์ลักขณาศรีสาหง |
เจ้างามเหมือนเดือนแรมแจ่มวง | ทรวดทรงพริ้งพร้อมกล่อมกลม |
เจ้าอยู่ถึงไกรลาสวาสนา | จำเพาะพามาพบประสบสม |
จะเล้าโลมโฉมหอมถนอมชม | ชื่นอารมณ์ร่วมจิตสนิทใน |
อย่าเมินเมียงเอียงอายสายสมร | จงโอนอ่อนผ่อนจิตพิสมัย |
พลางขยับจับต้องลองใจ | นางปัดกรค้อนให้ไม่ไยดี |
พระแนบนางพลางว่านิจจาน้อง | เฝ้าขัดข้องป้องกันผินผันหนี |
นางพลิกผลักหนักหน่วงทำท่วงที | พระหยอกเย้าเซ้าซี้ปรีดา ฯ |
๏ ทรงศักดิ์ | อย่ารุกรานหาญหักหนักหนา |
น้องอุตส่าห์พยายามตามมา | จะขอเป็นเช่นข้าฝ่าละออง |
ด้วยเกินสาวคราวแก่แพ้ผม | ไม่ควรคู่ชูชมสมสอง |
ที่รุ่นราวชาวเมืองเนืองนอง | อันรูปร่างอย่างน้องไม่ต้องการ |
เหมือนเขาเปรียบเทียบความเมื่อยามรัก | น้ำผักต้มขมก็ชมหวาน |
เมื่อจืดจางห่างเหินเนิ่นนาน | แต่น้ำตาลว่าเปรี้ยวไม่เหลียวดู |
ขอสนองรองบาทเหมือนมาดหมาย | อย่าด่วนได้ให้อายอดสู |
ราชกิจผิดชอบไม่รอบรู้ | พระภูวไนยได้เมตตา ฯ |
โอ้โลม
๏ สุดสวาสดิ์ | แสนฉลาดน่ารักหนักหนา |
โฉมเฉลาชาวสวรรค์ชั้นฟ้า | จะเป็นข้าอย่าคิดบิดเบือน |
ถึงทั้งเจ้าเฒ่าแก่แพ้ผม | สาวพรหมจารีไม่มีเหมือน |
อย่าห่วงเหเรรวนชวนเชือน | จงเป็นเพื่อนรักพี่ร่วมที่นอน |
ที่สาวสาวลาวตายพี่คลายรัก | ที่เคยคู่รู้หลักไม่พักสอน |
เขาย่อมว่าปรากฏเป็นบทกลอน | กระต่ายแก่แม่ปลาช่อนงอนชด |
ได้เชยน้องสองผมสมกับพี่ | ไม่มีที่ตำหนิกะทิสด |
พลางกอดเกี้ยวเกลียวกลมภิรมย์รส | เหมือนแม่มดเจ้าเข้าเมาสุรา |
รำฟ้อนอ่อนโยนตีโทนรับ | เยื้องขยับโยกย้ายซ้ายขวา |
ความอยากเหล้าเฝ้าดื่มไม่ลืมตา | จนผีออกกลอกหน้าไหว้อารักษ์ ฯ |
ฯ โลมปี่พาทย์ ฯ
ช้า
๏ บัดนั้น | นางศรีสาหงกราบทรงศักดิ์ |
แอบชะอ้อนวอนว่าสามิภักดิ์ | น้องซื่อตรงจงรักพระจักรี |
เหมือนเกือกทองรองบาทมาดหมาย | ไม่ม้วยมอดวอดวายไม่หน่ายหนี |
แม้นขัดเคืองเบื้องหน้าจงปรานี | อย่าฆ่าตีชีวันให้บรรลัย |
ซึ่งทรงเดชเมตตาเอามาเลี้ยง | พระคุณเพียงแผ่นฟ้าจะหาไหน |
ซึ่งสัญญาว่าขานประการใด | จงโปรดให้ตลอดอย่าทอดทิ้ง ฯ |
ลำนำ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวอภัยนุราชปีศาจสิง |
นางว่าไรให้เห็นเป็นจริง | แอบอิงพิงนางพลางพูดจา |
จะถนอมกล่อมเกลี้ยงไว้เคียงข้าง | ไม่ละเมินเหินห่างเสน่หา |
ไม่ถือโกรธโทษทัณฑ์กัลยา | สาวสวรรค์ขวัญตาอย่าปรารมณ์ |
ร้อยปีพี่ไม่ลืมแม่ปลื้มจิต | พลางโอบอุ้มจุมพิตสนิทสนม |
เพลินพลอดกอดเกยเชยชม | จนบรรทมระงับหลับไป ฯ |
ฯ กล่อม ฯ
ช้าปี่
๏ ครั้นรุ่งเช้าท้าวตื่นฟื้นองค์ | ให้ลุ่มหลงปลงจิตพิสมัย |
ลืมเหล่าสาวสรรค์กำนัลใน | มิได้ว่าขานการบูรี |
ลืมเสวยเลยลืมสรงน้ำ | พระพักตร์คล้ำดำหมองเพราะต้องผี |
ลืมโอรสธิดาลืมมาลี | เล่นกับศรีสาหงทรงสกา |
นางแพ้เสียเบี้ยทับนับแต้ม | ต้องเอียงแก้มถวายทั้งซ้ายขวา |
นางชนะกษัตริย์จัดจินดา | ธำมรงค์ลงยาให้นารี ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | นางโฉมยงองค์พระมเหสี |
ให้ลอบดูรู้ว่าพระสามี | ไปได้อีหญิงแก่มาแต่ไพร |
พระลุ่มหลงปลงจิตพิศวาส | ไม่จากอาสน์คลาดนางไปข้างไหน |
ไม่ว่าขานการบำรุงกรุงไกร | หรือท้าวไทถูกฤทธิ์กฤษยา |
ประหลาดนักจักใคร่ขึ้นไปเฝ้า | ดูอีเจ้ายาแฝดแพศยา |
แต่เกรงท้าวคราวหลงจะสงกา | ว่าอิจฉานางเมียจะเสียที |
จำจะใช้ให้สองหน่อนาถ | ไปทูลราชการงานกรุงศรี |
นางนิ่งนึกตรึกตราเห็นว่าดี | เรียกโอรสบุตรีทั้งพี่น้อง ฯ |
ร่าย
๏ มานบนอบหมอบเฝ้าค่อยเล่าเรื่อง | ความบ้านเมืองสอนสั่งเจ้าทั้งสอง |
แล้วแต่องค์ทรงเครื่องให้เรืองรอง | ไปปรางค์ทองทูลพระชนกา ฯ |
๏ เมื่อนั้น | ทั้งสององค์อภิวันท์หรรษา |
ชวนพี่เลี้ยงสาวสรรค์กัลยา | ลีลาขึ้นเฝ้าท้าวไท ฯ |
ฯ เพลง ฯ
๏ ครั้นถึงจึงค่อยมองเมียง | อยู่เพียงม่านทองสองไข |
เห็นอีเฒ่าเฝ้าอยู่ภูวไนย | เข้าเคียงไหล่ลูบต้องกระกองกร |
ค่อยแหวกม่านคลานเคียงกันพี่น้อง | ถึงแท่นทองสุวรรณบรรถร |
บังคมสมเด็จพระบิดร | เห็นภูธรทำยอบหมอบเมิน ฯ |
๏ เมื่อนั้น | ท้าวไทไหลเล่อเก้อเขิน |
ออกห่างนางพลางถามตามสะเทิ้น | มาหมอบเมินมองหน้าอยู่ว่าไร ฯ |
๏ เมื่อนั้น | สองกุมารกราบก้มบังคมไหว้ |
จึงทูลว่ามาเฝ้าท้าวไท | ด้วยอาลัยไม่แจ้งแคลงความ |
ไม่เห็นพระเสด็จออกข้างหน้า | พวกเสนาน้อยใหญ่เข้าไต่ถาม |
ราษฎรร้อนใจดังไฟลาม | เพราะถ้อยความมีคู่ความอุทธรณ์ |
ทั้งตีกลองร้องทุกข์พลุกพล่าน | ความโรงศาลเก่าแก่แซ่สลอน |
ไม่รู้ที่ชี้ขาดราษฎร | ยิ่งซับซ้อนเก่าใหม่แน่นในวัง |
ผู้ชำระจะคอยทูลฉลอง | ที่ขัดข้องต้องบังคับรับสั่ง |
เสนาในใหญ่น้อยเขาคอยฟัง | วอนให้ข้ามาบังคมทูล ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวไทอภัยนุราชนเรนทร์สูร |
ค่อนคลายคลั่งฟังเล่าเค้ามูล | อนุกูลไพร่ฟ้าเสนาใน |
จึงว่าพ่อก็เป็นเหน็บเจ็บปวด | ให้เขานวดหน้าหลังพึ่งนั่งได้ |
วันนี้มีแรงจะแข็งใจ | ออกไปไต่ถามความพารา |
แล้วเข้าที่สระสรงทรงเครื่อง | รุ่งเรืองระยับวับเวหา |
ชวนโอรสบุตรีลีลา | สาวสรรค์กัลยาตามคลาไคล ฯ |
ฯ เสมอ ฯ
๏ ออกห้องท้องพระโรงรูจี | พระนั่งที่แท่นทองผ่องใส |
เห็นเสนาข้าเฝ้าท้าวไท | คลั่งไคล้ไม่ถามความบูรี |
เคลิ้มเคล้นเห็นหน้าศรีสาหง | ตะลึงหลงปลงจิตด้วยฤทธิ์ผี |
จึงถามว่าข้าเฝ้าเหล่านี้ | เคยมีเมียชู้เคยรู้รัก |
อันสาวแก่แม่ม่ายหลายอย่าง | ใครรักข้างไหนจะใคร่ประจักษ์ |
กูชอบแก่แม่ม่ายแยบคายนัก | รู้หลักยักย้ายได้หลายเพลง |
ไม่พักเตือนเบือนเห็นก็เป็นได้ | รู้จักใจจำเพาะเหมาะเหม็ง |
มีเมียสาวลาวตายเหนื่อยกายเอง | มันโก้งเก้งกูไม่พอใจคบ ฯ |
๏ บัดนั้น | พวกข้าเฝ้าเจ้าชู้รู้ประจบ |
ต่างชอบแก่แม่ม่ายแยบคายครบ | ท้าวเธอตบเพลาสรวลชวนพูดจา ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระมเหสีเสน่หา |
รู้ว่าพระเสด็จออกเสนา | จะขึ้นไปดูหน้าอีกาลี |
จึงจัดแจงแต่งองค์ทรงเครื่อง | รุ่งเรืองจำรัสรัศมี |
ชวนเหล่าสาวสรรค์ขันที | ไปที่มนเทียรวิเชียรรัตน์ ฯ |
ฯ เพลงช้า ฯ
ร่าย
๏ ครั้นถึงจึงเผยม่านบัง | เห็นนางนั่งบนแท่นเท้าแขนหยัด |
ดัดจริตกรีดมือกระพือพัด | แป้งผัดหน้าขาวเหมือนจาวตาล |
หน้านิ่วคิ้วผูกจมูกยักษ์ | ไม่ควรพระจะรักสมัครสมาน |
ตาผองสองผมนมยาน | ยังโปรดปรานประหลาดหวาดวิญญาณ์ |
เห็นท่วงทีอีเฒ่าเจ้าเล่ห์ | ทำเสน่ห์ยาแฝดแพศยา |
น้อยหรือนั่งตั้งปึ่งทำขึงตา | ไม่พูดจาจองหองจะลองทัก |
จึงเข้าใกล้ไต่ถามนางงามนี้ | นั่งร่วมที่พระองค์ทรงศักดิ์ |
ทำละเมิดเพลิดเพลินเหลือเกินนัก | ไม่รู้จักเราบ้างหรืออย่างไร |
จะขอถามนามวงศ์พงศ์เผ่า | พวกพ้องของเจ้าเป็นชาวไหน |
ยวนลาวชาวละครหรือมอญไทย | บอกให้รู้บ้างอย่าพรางกัน ฯ |
๏ บัดนั้น | นางผีสิงยิ่งหัวเราะเยาะหยัน |
แล้วย้อนว่าข้าเจ้าชาวสุพรรณ | ไม่รู้ชั้นเชิงเช่นเป็นชาววัง |
ก็ตัวเจ้าเผ่าพงศ์วงศ์ไหน | ชื่อไรไม่บอกออกมั่ง |
ข้าเคยอยู่สุวรรณบัลลังก์ | จะมาบังคับข้าว่าไร ฯ |
๏ ได้ฟัง | แค้นคั่งดังว่าเลือดตาไหล |
เหลือที่จะสะกดอดใจ | มันฮึกฮักซักไซ้กลับไล่เลียง |
จึงชี้หน้าว่าแน่อีแก่แรด | วาสนายาแฝดพูดแผดเสียง |
เห็นทรงศักดิ์รักใคร่ใกล้เคียง | มาทุ่มเถียงลามเลียมเทียมทัด |
กูเป็นพระมเหสีเอก | ร่วมที่ภิเษกเอกฉัตร |
มึงชาติข้ามานั่งบัลลังก์รัตน์ | เท้าแขนแอ่นหยัดดัดทรง |
เชื่อดีผีสิงอีกิ้งก่า | พูดจาปั้นเจ๋อเห็นเธอหลง |
ขึ้นนั่งแท่นแม้นดื้อถือทะนง | จะถีบส่งลงให้สาใจมึง ฯ |
๏ นางเมียหลวง | หยามหยาบจาบจ้วงหวงหึง |
มเหสีชิชะเอะอะอึง | ขึ้นกูมึงถึงแรดแผดร้อง |
ข้ามันอีผีสิงหยิ่งเย่อ | จึงดุดันปั้นเจ๋อจองหอง |
ริษยาว่านั่งบัลลังก์ทอง | มาถีบลองดูเล่นก็เป็นไร |
ตายร้ายตายดีก็ทีหนึ่ง | ที่กูจะละมึงอย่าสงสัย |
แท่นทองของพระภูวไนย | ประทานให้ได้อยู่อย่าดูแคลน |
มิใช่ข้าอาศัยเมื่อไรเล่า | ของเราเจ้าล่วงมาหวงแหน |
จะตีปีกฉีกแหกให้แตกแตน | มเหเสือเหลือแสนทำแทนเธอ ฯ |
๏ น้อยหรือ | จะสู้มือถือดีตีเสมอ |
จองหองร้องแรกแหกกระเชอ | ปากจะเจ่อจริงวะไม่ละมึง |
เข้าตบตีผีสิงสะบิ้งสะบัด | ผลักพลัดตกเตียงเสียงผิง |
ร้องเรียกเหล่าสาวศรีมี่อึง | เข้าหยิกทึ้งทุบปล้ำด้วยกำลัง ฯ |
๏ บัดนั้น | คนทรงผีตีต่อยไม่ถอยหลัง |
ต่างยุดยื้ออื้ออึงตึงตัง | เสียงอึกทึกทั้งวังใน ฯ |
ฯ เชิด ฯ
๏ บัดนั้น | พวกพระมเหสีตีผลักไส |
มันกลอกกลับรับรองว่องไว | เลี้ยวไล่ล้มลุกคลุกคลี ฯ |
๏ บัดนั้น | ผีสิงยิ่งขยิกไม่หลีกหนี |
คนเดียวเลี้ยวตลบตบตี | ข่วนเทวีอีบ่าวเลือดซาวไป ฯ |
ฯ เชิด ฯ เจรจา ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระจอมวังคลั่งคิดพิสมัย |
เสียงอื้ออึงตึงตังที่วังใน | เสด็จจากพระโรงชัยฉับพลัน ฯ |
ฯ เสมอ ฯ
๏ ขึ้นบนมนเทียรเขียนทอง | เห็นหญิงแก่แซ่ซ้องสาวสรรค์ |
พวกพระมเหสีตีรัน | เข้ายืนขวางกางกั้นทันที |
พลางถามว่าอะไรมิใคร่หยุด | อุตลุดฉุดคร่าน่าบัดสี |
ดูฮึกฮักหนักหนานางมาลี | ประเดี๋ยวนี้ก็ได้ขัดใจจริง ฯ |
โอ้ช้า
๏ บัดนั้น | นางมารยากาลีผีสิง |
ทำร้องครางพลางฉะอ้อนวอนวิง | พระทอดทิ้งเมียไว้ไม่นำพา |
เขามากลุ้มรุมตีหนีไม่พ้น | เหลือทนจนชีวังจะสังขา |
จะเลยลับดับสูญขอทูลลา | พลางโศกากอดบาทไม่คลาดคลาย ฯ |
ฯ โอด ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ท้าวอภัยนุราชหวาดหวั่นขวัญหาย |
เห็นหอบรวนครวญครางจะวางวาย | ประคองเมียเสียดายฟายน้ำตา ฯ |
ฯ โอด ฯ
๏ เมื่อนั้น | มเหสีมีแต่แผลนขา |
เจ็บแสบแทบจะมรณา | ยิ่งโมโหโศกาพาที |
พระองค์จงแลดูแผลน้อง | แขนขนองเลือดซับดังสับสี |
ทั้งคางคิ้วริ้วรอยมันต่อยตี | ร้ายกาจชาติผีมือมีพิษ |
ฉะครางร่ำสำออยน้อยหรือนั่น | ไหนตัวมันมีแผลแต่สักหนิด |
พระหลงเชื่อเสือเฒ่าเจ้าความคิด | ไม่พินิจผิดชอบเฝ้าปลอบมัน |
แม้นครั้งนี้มิเลี้ยงตามเยี่ยงอย่าง | จะเข้าข้างอีแก่แปรผัน |
พระองค์จงพิฆาตฟาดฟัน | ให้ข้านี้ชีวันวางวาย |
แม้นเอ็นดูอยู่ว่าเป็นข้าเก่า | โทษอีเฒ่าหัวเสือเหลือหลาย |
ขอใส่บททดแทนที่แสนร้าย | อย่าให้อายอดสูชาวบูรี ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ ทรงฟัง | ยิ่งแค้นคั่งว่าเหม่มเหสี |
ไม่ยำเยงเกรงผัวตัวดี | มารุมตีเมียข้าด่าทอ |
ยังจะเอาเขาไปใส่บท | ตั้งกฎโกงไว้ศาลไหนหนอ |
แม้นชำระจะยับต้องปรับพอ | เบี้ยรุกเบี้ยก่อหมอความ |
ที่โทษตัวชั่วช้าไม่ว่ามั่ง | ทำลำพังใจเองไม่เกรงขาม |
ชอบเอาบ่าวข้าที่มาตาม | เฆี่ยนถามสามยกผ่าอกมัน |
ยังไม่ไปให้พ้นบ่นบ้า | ประเดี๋ยวนี้ชีวาจะอาสัญ |
อีผีสิงยิ่งครางไม่ห่างกัน | เฝ้านวดฟั้นฟกช้ำลูบคลำไป ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางกษัตริย์ขัดข้องไม่ผ่องใส |
เห็นสามีวิปริตผิดใจ | นางครวญคร่ำร่ำไรโศกา ฯ |
ฯ โอด ฯ
โอ้ช้า
๏ โอ้ว่าพระองค์ทรงศักดิ์ | ช่างลุ่มหลงปลงรักมันหนักหนา |
เสียแรงน้องรองบาทไม่คลาดคลา | ต้องต่ำต้อยน้อยหน้าอีกาลี |
เหมือนละลดยศศักดิ์อัคเรศ | จงห้ำหั่นบั่นเกศเกศี |
ไม่ขออยู่ดูหน้าชาวธานี | ชาตินี้มีกรรมก็จำตาย |
ต้องกริ้วกราดคาดโทษโกรธแค้น | สุดแสนอดสูไม่รู้หาย |
ร่ำพลางนางทุ่มทอดกาย | ฟูมฟายชลนาโศกาลัย ฯ |
ฯ โอด ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้น | นางศรีสาหงเห็นหลงใหล |
แสร้งฉะอ้อนวอนพระภูวไนย | ขอลาไปสู่ป่าพนาวัน |
อยู่ในวังดังไฟใกล้ฝอย | จะตบต่อยตีด่าให้อาสัญ |
เขาเขม่นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน | ชุ่ยฉันนั่นแน่พระแลดู ฯ |
๏ ฟังยุ | พระพลอยดุเดือดว่าน่าอดสู |
กูเห็นแน่แก่ตาต่อหน้ากู | แขนชูชุ่ยนางทำอย่างนี้ |
คอยเขม่นเข่นเขี้ยวเจียวอุเหม่ | เจ้าโมโหโวเว้มเหสี |
ไม่ยำเยงเกรงกลัวถือตัวดี | ประเดี๋ยวนี้ก็ได้ถูกไม้เรียว ฯ |
๏ ทูลเกล้า | พ่อเจ้าประคุณอย่าฉุนเฉียว |
ช่างเชื่ออีผีสิงจริงเจียว | เห็นชุ่ยเห็นเข่นเขี้ยวคอเดียวกัน |
ฉะหนักหนอตอแหลอีแก่แรด | ทำออดแอดอ้อนวอนผ่อนผัน |
มิยำเยงเกรงองค์พระทรงธรรม์ | จะเอาฟันออกจากปากมึง |
จะข่มขู่กูนั้นอย่ามั่นหมาย | ตายร้ายตายดีก็ทีหนึ่ง |
เฝ้าแต้มเติมเหิมฮึกลึกซึ้ง | ไม่แคล้วแล้วมึงแมวพึ่งพระ ฯ |
๏ แม่เจ้า | จะทำไมทำเข้าเอาซินะ |
เข้าเคียงนางพลางว่ามาแล้วคะ | จะตบจะต่อยทำตามลำพัง ฯ |
๏ เหลือกลัว | นางจิกหัวตบตีหน้าที่นั่ง |
อีผีสิงยิ่งร้องก้องดัง | ตาทั้งสองบอดทุ่มทอดกาย ฯ |
ฯ โอด ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวไทได้กราดฟาดโฉมฉาย |
โมโหมาตามัวหวดขรัวยาย | ตีรายร้องอึงคะนึงไป ฯ |
ฯ เชิด ฯ
๏ เมื่อนั้น | มเหสีหนีออกข้างนอกได้ |
พาเหล่าสาวสรรค์กำนัลใน | กลับไปปรางค์มาศปราสาททอง ฯ |
ฯ เสมอ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระภูธนร้อนรนหม่นหมอง |
พยุงนางวางเตียงเคียงประคอง | พลางถามว่าตาน้องเป็นอย่างไร ฯ |
๏ บัดนั้น | นางผีสิงยิ่งทำร่ำไห้ |
ปวดนักจักขุปะทุไป | แกล้งพิไรครางร้องกุมสองตา ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระจอมวังฟังนางครางนักหนา |
เร็วเร็วเข้าเถ้าแก่บอกเสนา | ให้ผูกคอหมอมาอย่าช้าที ฯ |
๏ บัดนั้น | เถ้าแก่ประณตบทศรี |
ไปเร่งสั่งข้างหน้าหาหมอดี | อยู่ที่ไหนไหนไปเอามา ฯ |
๏ บัดนั้น | กรมวังทั้งหลายซ้ายขวา |
ไปเที่ยวผูกคอหมอยาตา | ได้มาพาเข้าเฝ้าเจ้านาย ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ เมื่อนั้น | จอมกษัตริย์ตรัสสั่งหมอทั้งหลาย |
ให้รักษายาใส่แม้นไม่คลาย | ถูกถองเฆี่ยนเจียนตายหลังลายไป ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ บัดนั้น | นางศรีสาหงเห็นหลงใหล |
ทำมารยาว่ากล่าวกับท้าวไท | เพื่อนที่ไกรลาสมาเมื่อราตรี |
เขาบอกว่าถ้าพระองค์จงรัก | ให้ควักเนตรพระมเหสี |
เอามาใส่นัยน์ตาข้านี้ | จะเห็นดีเหมือนดังแต่หลังมา ฯ |
๏ ทรงฟัง | กำลังคลั่งรักหนักหนา |
จึงว่าบุญแล้วเจ้าแก้วตา | เทวาบอกความให้ทรามวัย |
อีทิพมาลีมันตีน้อง | จนจักขุพุพองเป็นหนองไหล |
โทษหนักจักทำให้หนำใจ | ควักตามาใส่ให้เทวี |
แม้นโฉมฉายหายแน่แลเห็น | จะให้เป็นที่พระมเหสี |
ว่าพลางย่างเยื้องจรลี | ออกนั่งที่แท่นโถงพระโรงใน ฯ |
ฯ เสมอ ฯ
๏ ตรัสเรียกกรมวังมาสั่งว่า | โทษอีมาลีหนักถึงตักษัย |
ตีเมียรักจักขุปะทุไป | จะควักตามาใส่ให้นงลักษณ์ |
ตัวมันนั้นส่งเป็นโขลนจ่า | ริบหมดยศถาบรรดาศักดิ์ |
จะคอยเอาเข้ายาอย่าช้านัก | ไปควักลูกตามาไวไว ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ บัดนั้น | กรมวังบังคมประนมไหว้ |
กับท้าวนางต่างพากันคลาไคล | ตรงไปปรางค์ปรานางมาลี ฯ |
ฯ เชิด ฯ
๏ ครั้นถึงจึงทูลนงลักษณ์ | สั่งให้ควักแก้วตามารศรี |
ริบหมดลดถอดเทวี | เป็นที่โขลนใช้อยู่ในวัง ฯ |
๏ ได้ยิน | สุดสิ้นสติตะลึงนั่ง |
เขาฉุดองค์ลงจากบัลลังก์ | กรมวังพร้อมพรักจะควักตา |
นางอ้อนวอนว่าช้าสักหน่อย | ตะโกนเรียกลูกน้อยเสน่หา |
องค์พระอนันต์นางวรรณา | วิ่งมากอดองค์พระชนนี ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ บัดนั้น | ท่านท้าวนางต่างว่ามารศรี |
จะรอช้าข้าเจ้าเหล่านี้ | จะมีโทษทัณฑ์อันตราย |
กรรมของพระแม่แน่นัก | สุดที่จักแก้ไขให้หาย |
พลางผูกหัตถ์มัดเงื่อนไม่เคลื่อนคลาย | เจ้าขรัวนายสั่งให้ควักนัยน์ตา ฯ |
๏ เมื่อนั้น | มเหสีชีวังจะสังขา |
สงสารพระอนันต์นางวรรณา | โศกาครวญคร่ำรำพัน ฯ |
ฯ โอด ฯ
โอ้ปี่
๏ โอ้ลูกแก้วแววตาของแม่เอ๋ย | แม่เคยเลี้ยงถนอมจอมขวัญ |
อยู่กับเจ้าเช้าเย็นได้เห็นกัน | ครั้งนี้ชีวันจะบรรลัย |
ทั้งสององค์จงจำคำสั่ง | คอยระวังกายาอัชฌาสัย |
แม้นขับหนีตีโบยต้องโพยภัย | พากันไปพึ่งพระอัยกา |
แม้นเลี้ยงดูอยู่ดีทั้งพี่น้อง | จงปกป้องครององค์ไร้วงศา |
ฝ่ายน้องรักภักดีฝ่ายพี่ยา | พ่ออย่าด่าตีน้องจงครองกัน |
แม่นี้ชีวิตไม่รอดแล้ว | จะคลาดแคล้วแก้วตาม้วยอาสัญ |
จะเกิดไหนให้สองพี่น้องนั้น | ได้กำเนิดเกิดครรภ์ของมารดร |
แล้วฝากฝังทั้งปวงข้าหลวงใหญ่ | แม้นหน่อไทผิดพลั้งช่วยสั่งสอน |
สงสารลูกผูกใจอาลัยวอน | สะอื้นอ้อนโศกาอาลัย ฯ |
ฯ โอด ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระพี่น้องสองราน้ำตาไหล |
กันแสงพลางต่างกอดพระแม่ไว้ | มิให้ผู้ใดควักนัยน์ตา |
แล้วร้องว่าฆ่าเรานี้เสียด้วย | จะสู้ม้วยชีวังสังขา |
แม้นไม่ประหารผลาญชีวา | ไม่ให้นัยนาชนนี ฯ |
๏ บัดนั้น | ท้าวนางต่างประคองสองศรี |
ค่อยผันผ่อนวอนว่าพาที | ขัดขวางอย่างนี้มีโทษทัณฑ์ |
ถ้าเพ็ดทูลฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด | ต้องรับราชอาชญาอาสัญ |
แม้นพี่น้องสองราพากัน | ไปทูลขอโทษทัณฑ์พระมารดา |
ถ้าออกโอษฐ์โปรดให้ไม่ม้วย | ได้ช่วยชนนีดีหนักหนา |
จะรอรั้งยังไม่ควักนัยน์ตา | ทั้งสององค์จงพากันคลาไคล ฯ |
๏ เมื่อนั้น | พระพี่น้องสองทรงกันแสงไห้ |
สวมสอดกอดองค์พระแม่ไว้ | ครวญคร่ำร่ำไรโศกา ฯ |
โอ้ปี่
๏ โอ้แม่เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย | พระองค์เคยกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรักษา |
แม้นพระชนนีสิ้นชีวา | ลูกยาจะอยู่กับผู้ใด |
พระบิตุรงค์หลงเมียเสียแล้วจ้ะ | จะเหมือนพระชนนีลูกที่ไหน |
จะอดอยากยากเย็นจะเห็นใคร | ลูกเปลี่ยวใจไม่อยู่จะสู้ตาย |
ใครใครไปทูลเถิดว่าข้า | สงสารมารดาไม่รู้หาย |
ถ้าแม้นว่าตาบอดคงวอดวาย | จะขอตายด้วยพระชนนี |
จะทูลขอก็เห็นจะไม่ให้ | แค้นใจน้อยหน้าอีทาสี |
อย่าช้าอยู่ผู้รับสั่งทั้งนี้ | เร่งฆ่าตีชีวันให้บรรลัย |
พระแม่จ๋าอย่าอยู่เลยพูคะ | ตายเถิดจ้ะประเสริฐไปเกิดใหม่ |
ลูกดูแม่แลดูลูกผูกใจ | สะอื้นให้ไม่วายฟายน้ำตา ฯ |
ฯ โอด ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้น | กรมวังทั้งขรัวนายซ้ายขวา |
สงสารคำรำพันจำนรรจา | ต่างปรึกษาว่าจะทำกระไร |
หน่อกษัตริย์ขัดขวางอย่างนี้ | ไม่รู้ที่จะควักจักขุได้ |
จะฉุดลากพรากเธออำเภอใจ | ก็เกินไปไม่ควรลวนลาม |
เหมือนหลบลู่ดูถูกลูกหลวง | ลามล่วงจ้วงจาบหยาบหยาม |
ที่ขัดข้องต้องทูลมูลความ | สุดแต่ตามจะโปรดโทษทัณฑ์ |
ปรึกษาพลางทางพากันมาเฝ้า | ก้มเกล้ากราบกลัวตัวสั่น |
ทูลถามตามจริงทุกสิ่งอัน | กล่าวโทษพระอนันต์นางวรรณา ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ ได้ฟัง | ค่อยคลายคลั่งยังรักหนักหนา |
ไหนลูกกูอยู่ไหนทั้งสองรา | กับแม่มันนั้นพามาไวไว ฯ |
๏ บัดนั้น | กรมวังฟังตรัสกราบไหว้ |
ต่างวิ่งมาหาสองหน่อไท | จูงไปทั้งองค์นงเยาว์ ฯ |
๏ เมื่อนั้น | มเหสีวิโยคโศกเศร้า |
เห็นคลายโกรธโทษทัณฑ์บรรเทา | คลานเข้าไปกราบกับบาทา ฯ |
ฯ โอด ฯ
โอ้ปี่
๏ โอ้พระผ่านเกล้าเจ้าประคุณ | เคยพึ่งบุญอุ่นเกศเกศา |
แต่รุ่นราวสาวหนุ่มคุ้มชรา | ไม่ข้องขัดอัชฌาพระสามี |
มาเกิดเข็ญเป็นเคราะห์เพราะวิวาท | ให้ขุ่นเคืองเบื้องบาทบทศรี |
เพราะเบาจิตผิดพลั้งครั้งนี้ | พระภูมีจงโปรดยกโทษทัณฑ์ |
ถ้าแม้นควักจักขุปะทุบอด | เหมือนม้วยมอดชีวาอาสัญ |
จงโปรดไว้ให้มีชีวัน | อยู่เลี้ยงเจ้าอนันต์กับวรรณา |
พระองค์จงคิดถึงเมียมั่ง | มาไกลทั้งบิตุรงค์วงศา |
พระชุบย้อมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมา | ไม่นิราศคลาดคลาฝ่าธุลี |
ถึงมิเลี้ยงเคียงองค์พระทรงเดช | ใช้เช่นเป็นวิเสทโรงสี |
สะอื้นอ้อนวอนว่าพระสามี | โศกีกอดบาทไม่คลาดคลา ฯ |
ฯ โอด ฯ
ร่าย
๏ ฟังวอน | กระกองกรแก้มัดหัตถา |
ค่อยคลายคลั่งนั่งเคียงขอสมา | ให้คงว่าที่พระเสาวนีย์ ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ บัดนั้น | นางศรีสาหงรู้เพราะหูผี |
ทำครางร้องมองมาเตือนสามี | ไม่ปรานีน้องบ้างหรืออย่างไร |
จะขอแก้วแววตาทำยายอด | ให้หายบอดชื่นแช่มแจ่มใส |
พลางเคียงเข้าเป่ามนต์ให้ดลใจ | พระกลับคลั่งสั่งให้ควักนัยน์ตา ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ บัดนั้น | กรมวังฟังตรัสผูกหัตถา |
จะจูงไปให้ห่างนางพญา | ร้องทูลอ้อนวอนว่าจาบัลย์ ฯ |
ฯ โอด ฯ
โอ้ร่าย
๏ โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว | โปรดแล้วกลับฉุนหุนหัน |
แม้นเนตรน้องต้องประสงค์ทรงธรรม์ | ถึงชีวันบรรลัยไม่เสียดาย |
จะควักไปให้อีผีสิง | น้อยหน้าจริงเจ็บใจไม่รู้หาย |
ถึงแสนชาติคลาดแคล้วเกิดแล้วตาย | ไม่เคลื่อนคลายวายแค้นแสนทวี |
พระองค์สงสารกับบุตรบ้าง | จะอ้างว้างทั้งสองหมองศรี |
เห็นกับพระชนกชนนี | ได้ฝากฝังครั้งนี้ขอชีวา |
ไว้ชีวิตคิดมั่งสักครั้งหนึ่ง | อย่ามึนตึงขึ้งโกรธโปรดเกศา |
เขาลากฉุดหยุดยั้งรั้งรา | สะอื้นอ้อนวอนว่าโศกาลัย ฯ |
ฯ โอด ฯ
โอ้ช้า
๏ เมื่อนั้น | พระพี่น้องสองราน้ำตาไหล |
กราบบิดรวอนทูลท้าวไท | พระบิตุรงค์จงได้โปรดปราน |
ถึงแม้นพระมารดาตาบอด | จะม้วยมอดมั่นคงน่าสงสาร |
ลูกเปล่าใจไร้พงศ์วงศ์วาน | ขอประทานโทษพระชนนี |
มิโปรดเกล้าเอาลูกฆ่าเสียด้วย | ไม่ขออยู่สู้ม้วยไปเป็นผี |
เห็นสุดคิดบิดาไม่พาที | ต่างโศกีกลิ้งเกลือกเสือกกาย |
ฯ โอด ฯ
๏ ฟังวอน | พระทัยอ่อนอาลัยจิตใจหาย |
สมประดีมีมั่งคลั่งคลาย | กลับเสียดายกัลยาอาลัย |
เรียกตำรวจเหวยพากลับมานี่ | ครั้นอีผีเป่าองค์เคลิ้มหลงใหล |
กลับเคืองขัดตรัสว่าพามาไย | เอาตัวไปควักตาเสียอย่าฟัง ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ บัดนั้น | พวกโขลนจ่าว้าวุ่นรุนหน้าหลัง |
ฉุดคร่าพานางไปกลางวัง | พระลูกทั้งสองวิ่งเข้าชิงไว้ |
พวกท้าวนางต่างเหนี่ยวหน่อกษัตริย์ | กอดกระหวัดไว้สิ้นดิ้นไม่ไหว |
ต่างผูกมัดรัดองค์อรไท | ยุดไว้ให้ตึงตรึงตรา |
แล้วแขวะควักจักขุเลือดพุพลุ่ง | นางสะดุ้งร้องกรีดหวีดผวา |
เอาพานทองรองแก้วแววตา | นางพญาเสือกซบสลบลง ฯ |
ฯ โอด ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระหน่อไททั้งสองร้องเสียงหลง |
เขาละวางต่างชิงกันวิ่งตรง | เข้าสวมสอดกอดองค์ชนนี |
เห็นเลือดนองสองตาซ้ายขวาบอด | ระทวยทอดทุ่มอกชกเกศี |
สงสารแม่แน่นิ่งยิ่งโศกี | ครวญคร่ำร่ำพิรี้พิไรไป ฯ |
ฯ โอด ฯ
โอ้ปี่
๏ โอ้สงสารมารดาตาบอด | เลือดยังฟอดฟูมโซมชโลมไหล |
ช่วยไม่ทันมันฉุดยุดไว้ | ไม่เห็นใจเจ้าคุณสิ้นบุญแล้ว |
ลูกแลเหลียวเปลี่ยวจิตสุดคิดอ่าน | สิ้นวงศ์วานว่านเครือเชื้อแถว |
จะเกิดอื่นหมื่นชาติอย่าคลาดแคล้ว | ให้ลูกแก้วเกิดครรภ์พระมารดร |
ได้เคยเห็นเย็นเช้าเจ้าประคุณ | พระการุญรับขวัญรำพันสอน |
ถนอมเลี้ยงลูกยาไม่อาทร | จะนั่งนอนเป็นสุขทุกเวลา |
ลูกจะใคร่ได้ม้วยด้วยพระแม่ | สงสารแต่น้องรักหนักหนา |
พลางสวมกอดพลอดกันจำนรรจา | แม่วรรณาหนะม้วยเสียด้วยกัน |
ขนิษฐาว่าจ้ะจะตายด้วย | เป็นเพื่อนม้วยช่วยพาฉันอาสัญ |
แล้วพี่น้องสองราร่ำจาบัลย์ | สะอื้นอั้นอ่อนซบสลบไป ฯ |
ฯ โอด ฯ
๏ บัดนั้น | หลวงแม่เจ้าเถ้าแก่เข้าแก้ไข |
ขรัวนายนั้นพรั่นตัวกลัวภัย | เชิญพานใส่แก้วตารีบมาพลัน ฯ |
ฯ เสมอ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงประคองพานทองตั้ง | ถนอมพระจอมวังนรังสรรค์ |
แล้วทูลความตามจริงทุกสิ่งอัน | สามองค์นั้นแน่นิ่งไม่ติงองค์ ฯ |
๏ เมื่อนั้น | ท้าวไทได้ของต้องประสงค์ |
ยกพานไปในห้องทองผจง | ตั้งให้ศรีสาหงนงลักษณ์ ฯ |
ฯ เจรจา ฯ
๏ บัดนั้น | นางสาหงทรงผียินดีนัก |
ทำเสกใส่นัยน์ตาฤทธิ์อารักษ์ | ให้ท้าวเห็นเป็นจักขุคืนดี ฯ |
๏ เมื่อนั้น | พระจอมวังนั่งชมนางโฉมศรี |
มาพบเห็นเป็นเมียมิเสียที | ได้เทวีชาวสวรรค์ชั้นฟ้า |
พระเนตรน้องสองข้างสว่างแล้ว | ดูผ่องแผ้วผิวพักตร์นวลหนักหนา |
พลางกอดเกี้ยวเกลียวกลมภิรมยา | จนโพล้เพล้เวลาราตรี ฯ |
ฯ โลมปี่พาทย์ ฯ