วิเคราะห์บทดอกสร้อยสวรรค์ ครั้งกรุงเก่า
นายบุญเตือน ศรีวรพจน์ กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์
บทดอกสร้อยสวรรค์ครั้งกรุงศรีอยุธยาที่นำมาพิมพ์ในหนังสือนี้ ประกอบด้วยบทโต้ตอบระหว่างชาย หญิง รวมทั้งสิ้น ๗๗ บท เป็นบทชาย ๓๙ บท บทหญิง ๓๘ บท ในบทสุดท้ายมีเนื้อความตอนหนึ่งที่ผู้ประพันธ์กล่าวถึงที่มาของบทดอกสร้อยสวรรค์ว่า
“ดอกสร้อยเกษีอันมีรศ | ก็หมดเรื่องร้องทั้งสองข้าง |
แต่สอนเปนเล่นพลางพลาง | แม้นขาดบทน้างอย่าไยไพ |
ประดิษฐติดต่อข้อกลอน | ตูข้าพึ่งสอนทำใหม่ |
เอาโคลงมาแต่งจึ่งแจ้งใจ | ฟังแล้วอย่าได้นินทา” |
ข้อความที่ผู้ประพันธ์ระบุว่า “เอาโคลงมาแต่งจึ่งแจ้งใจ” นั้นเมื่อพิจารณาคำและเนื้อหาในบทดอกสร้อยแล้วจะเห็นว่าหลายบทคงจะได้ต้นเค้าในการแต่งมาจาก “โคลง” ซึ่งกวีในยุคก่อนหน้านี้ได้ประพันธ์ไว้ โคลงสมัยอยุธยาบางบทที่เหลือตกทอดมาถึงปัจจุบันมีเค้าคำ เค้าความ ใกล้เคียงกับบทดอกสร้อยสวรรค์ เช่นโคลงกวีโบราณซึ่งพระยาตรังรวบรวมไว้เมื่อสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โคลงบทหนึ่งที่กล่าวว่าเป็นฝีปากของ พระมหาราช แต่งไว้แต่ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ดังนี้
๏ มลักเห็นใบจากเจ้า | นิรมิตร |
เป็นสำเภาไพจิตร | แป๊ะโล้ |
จะลงระวางวิด | จวนแก่ อกเอย |
แม้นหนุ่มวันนั้นโอ้ | พี่เพี้ยงเดินสาน ฯ |
บทดอกสร้อยสวรรค์ บทชายบทหนึ่ง ว่า
๏ หลากเอยหลากเห็น | เหมือนจะเปนสำเภาอันไพจิตร |
งามจริงยิ่งเทพนิมิตร | แปดทิศโล้เลื่อนลอยมา |
คิดจะใคร่ลงระวางเล่น | ก็เห็นจวนแก่หนักหนา |
ยามเมื่อหนุ่มแน่นอยู่นั้นนา | จะเดินสารเภตราคลาไคล |
ข้าได้เรียนรู้ต้นหน | ทั้งคนท้ายนายใบแก้ไข |
เล่ห์ทายคิดเสียดายเปนพ้นใจ | เอนดูเถิดเราจะไปด้วยกัน ฯ |
อีกบทในโคลงกวีโบราณฝีปากของ บโทน ต่อพระนิพนธ์ ว่า
๏ เรียมพิศแต่บาทเท้า | ถึงผม |
บ ต่ำ บ สูงสม | แน่งน้อย |
อ้อนแอ้นอ่อนเอวกลม | กำรอบ |
(ติแต่นมเล็กหน้อย | หนึ่งนั้นเสียโฉม) ฯ |
บทดอกสร้อยสวรรค์ ว่า
๏ พิศเอยพิศบัวบาท | ผุดผาดแต่เท้าถึงผม |
นวลลอองผ่องภักตร์พึงชม | สมสรรพสรรพางค์แน่งน้อย |
อ้อนแอ้นเอวกลมกำรอบ | ประกอบจริงยิ่งดวงดอกสร้อย |
ใครจะเอี่ยมเทียมเจ้าสาวน้อย | ร้อยชั่งไม่มีใครจะปาน ฯ |
บทนี้แปลงความในบาทที่ ๔ ของโคลงเสียใหม่ให้มีเนื้อหาในเชิงนิยมยกย่อง
บทดอกสร้อยสวรรค์บทหนึ่งมีลีลาใกล้เคียงกับ โคลงทวาทศมาส ความว่า
๏ โอ๊ะโอ้นัยนิศน้อง | นางนงค์ แน่งเอย |
จรเจตจิตตเรียมจง | จอดเจ้า |
สระบาสมบูรณ์บง | กชมาศ กูเอย |
ฤๅนิรารสเหน้า | หน่อศรี ฯ |
เทียบดอกสร้อยสวรรค์ว่า
๏ “หน้าเอยหน้างาม | ทรามเสน่ห์เจ้าเนื้อนวลหง |
เยาวสรรพสรรพางค์สำอางองค์ | ยงยิ่งใช่แกล้งกล่าวน้อง |
ขาวศรีสมบูรณ์บงกชมาศ | เพียงจะบาดตาพี่ไม่มีสอง |
ภักตราดังมณฑาทอง | ทำนองดังหงส์ทองบิน” |
บทดอกสร้อยสวรรค์อีกบทหนึ่งน่าจะนำมาจากโคลงกลอักษรเลข ในหนังสือจินดามณีฉบับพระโหราธิบดี
๏ คิดถึงรำพึงถ้า | บ วายวัน |
หลับหลงใหลมเมอฝัน | อยู่ด้วย |
ในฝันว่ารศอัน | เอมโอช |
เปนนิรันดร ฤๅม้วย | แต่ตั้งคนึงถึง ฯ |
บทชาย
๏ คิดเอยคิดถึง | แสนคนึงท่าน้องไม่วายวัน |
เรียมหลับประเพ้อละเมอฝัน | ว่าอยู่ด้วยกันทุกราตรี |
ในฝันว่ารศเอมโอช | ประโมทย์ด้วยความเกษมศรี |
รำพึงคนึงนารี | มิตรจิตรก็มีมิตรใจ ฯ |
อนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯให้จารึกตำราศิลปวิทยาการต่างๆ ไว้ที่วัดพระเชตุพนฯครั้งนั้นมีการรวบรวมโคลงกลบทและโคลงกลอักษรหลายชนิดไว้ด้วยกลบทบางชนิดเป็นของที่มีมาแต่ก่อน บางชนิดเป็นผลงานของราชกวีแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กลบทชนิดหนึ่งมีชื่อว่า ฉันท์ลันโลงโคลงลาว ๑๔ อักษร ต้นแบบของกลบทนี้นำเอาดอกสร้อยสวรรค์ ครั้งกรุงเก่ามาเป็นตัวตั้ง ดังนี้
๏ นอนเอยนอนวัน | ใฝ่ฝันว่าได้ไปพบศรี |
เจ้าสาวสวัสดิ์กระษัตรีย์ | อยู่ดีหรือไค่เจ้าแน่งน้อย |
เรียมรักเจ้าสุดแสนทวี | ตัวพี่ไม่ไค่แต่ใจสร้อย |
ดังหนึ่งเลือดตาจะหยดย้อย | เพราะเพื่อน้องน้อยเจ้านานมา ฯ |
ถอนกลออกเป็นโคลงสี่สุภาพได้ว่า
๏ นอนวันฝันว่าได้ | พบศรี |
เจ้าสาวสวัสดิ์กระษัตรีย์ | แน่งน้อย |
เรียมรักสุดแสนทวี | พี่ไค่ |
ดังเลือดตาจะย้อย | เพื่อน้องนานมา ฯ |
จากความที่ผู้แต่งบทดอกสร้อยสวรรค์กล่าวว่า “เอาโคลงมาแต่ง จึ่งแจ้งใจ” บทประพันธ์ที่เป็นกลอนต้นแบบของกลฉันท์ลันโลงโคลงลาว ๑๔ อักษรน่าจะเกิดขึ้นภายหลังโคลงที่ถอนถอดออกจากกล คือมีโคลงอยู่ก่อนแล้วนำมาปรับแปลงแต่งเป็นดอกสร้อยในภายหลัง และอาจตั้งเป็นข้อสันนิษฐานได้ว่า โคลงบทนี้น่าจะแทรกอยู่ในวรรณกรรมสมัยอยุธยาเรื่องใดเรื่องหนึ่งแต่ต้นฉบับสูญไปไม่เหลือมาถึงปัจจุบัน
โคลงกลจากจารึกวัดพระเชตุพนฯที่กล่าวถึงข้างต้นนี้เป็นกุญแจสำคัญที่ไขไปสู่สมมุติฐานว่าบทดอกสร้อยสวรรค์บทอื่นๆ อีกหลายบท น่าจะมีที่มาจากโคลงสี่สุภาพเช่นกันแต่ตัวโคลงที่เป็นแม่แบบสูญหายไปแล้ว เหลือแต่เค้าของรูปคำและจังหวะลีลาของโคลงที่แทรกอยู่ในกลอน ตัวอย่างเช่น
บทชาย
๏ แก่เอยแก่แล้ว | รากแก้วพี่หักฟันฟาง |
มือถือตะไกรต่างคาง | พี่พลางเสียดซอยย่อยยํ้า |
อันว่าความรักไม่วายวาง | คนึงนางพี่พลางครวญคร่ำ |
ค่ำคลุ้มชอุ่มลง ว้ำว้ำ | พี่ก็คร่ำเรียกน้องเข้านอนใน ฯ |
บทดอกสร้อยนี้เมื่อตัดทอนคำบางคำออกจะเป็นโคลงสี่สุภาพได้ ดังนี้
๏ “แก่แล้วรากแก้วพี่ | ฟันฟาง |
ถือตะไกรต่างคาง | ย่อยยํ้า |
ความรักไม่วายวาง | ครวญคร่ำ |
ค่ำคลุ้มชอุ่มว้ำว้ำ | เรียกน้องนอนใน” |
บทชาย
สุดเอยสุดใจ | ไกลเนตรพี่แล้วเจ้าแก้วตา |
สุดที่จะเล็งแลหา | เจ้าแล้วแลนาณกลอยใจ |
สุดโหยสุดไห้อาไลยนัก | สุดรักสุดจิตรพิศมัย |
ดังจะสุดชีวิตจิตรใจ | พ่างเพียงจะสิ้นสุดปราณ ฯ |
บทนี้เมื่อเพิ่มและตัดคำบางคำออกจะเป็นโคลงสี่สุภาพ ดังนี้
๏ “สุดใจไกลเนตรแล้ว | แก้วตา |
สุดที่เล็งแลหา | (___)[๑] แล้ว |
สุดโหยสุดไห้อา | ไลยนัก |
ดังจะสุดชีวิต(___) | พ่างสิ้นสุดปราณ” |
บทชาย
๏ ใจเอยใจหลง | จงจิตรรักชู้ที่คู่หมาย |
อาวรณ์ร้อนรนสกลกาย | พี่ชายวากเว้ทุกเวลา |
เสียคำจำเปนเสียดายนัก | จะปลิดปลดรศรักเสน่หา |
ได้บุกป่าฝ่าดงแต่เดิมมา | วัจนาเสียชื่อกระสัตรี |
จะฝืนคืนตัวก็ยิ่งยาก | นี่เนื้อวิบากกรรมมาทำพี่ |
จำเปนจะลองเล่นครั้งนี้ | เจ้าจงปราณีพี่ด้วยรา ฯ |
อาจเพิ่มหรือตัดทอนคำบางคำออกได้เปนโคลงสี่สุภาพได้ว่า
๏ “ใจหลงจงรักชู้ | คู่หมาย |
ร้อน(___)สกลกาย | วากเว้ |
เสียคำ(___)เสียดาย | รศรัก |
บุกป่าฝ่าดง(___) | นี่เนื้อวิบากกรรม” |
นอกจากบทดอกสร้อยสวรรค์บางบทจะมีที่มาจากโคลง ดังตัวอย่างที่อ้างแล้วในตอนต้น ความคิดในบทดอกสร้อยอาจส่งอิทธิพลมาถึงงานกวีนิพนธ์ในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์บางเรื่องดังจะเห็นได้จากโคลงโลกนิติ พระนิพนธ์ในสมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร มีโคลงบทหนึ่งว่า
๏ “หนี เสือขึ้นไม้รอด | ปากเสือ |
พบ ต่อแตนดุเหลือ | ต่อยต้อง |
หนี แรดร่ายลงเรือ | รอดจาก แรดนา |
ปะ จระเข้ในท้อง | น่านน้ำหนุนเรือ ฯ |
ที่มาของโคลงบทนี้คือสำนวนคำพังเพยที่ว่า “หนีเสือปะจระเข้ ขึ้นต้นไม้ปะรังแตน” ซึ่งมีในบทดอกสร้อยสวรรค์ครั้งกรุงเก่าว่า
๏ หนีเอยหนีเสือ | ขึ้นต้นไม้ก็ต่อแตนขบ |
ครั้นขึ้นสู่ภูเขาเทาทบ | มาสบแรดร้ายราวี |
ครั้นลงมาสู่แผ่นดินเล่า | ก็พบงูเห่าวิ่งหนี |
ครั้นโถมลงน้ำนที | พี่มาพบท้าวพันวัง |
เรือน้องน้อยเจ้าพายมา | เมตตามารับพี่มั่ง |
พี่นี้สิ้นสูญกำลัง | ร้อยชั่งจงได้ปรานี ฯ |
บทดอกสร้อยสวรรค์บทนี้ พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) นำมาประพันธ์เป็นกาพย์ห่อโคลงอธิบายความหมายของสำนวนในเรื่อง “ไขภาษา” ความว่า
หนี พยัคฆ์หยักรั้งวิ่ง | วู่วาม |
เสือ ยิ่งแล่นไล่ตาม | ติดกระชั้น |
ปะ คลองใหญ่ใจหวาม | โจรว่าย น้ำแฮ |
จระเข้ โผล่กั้น | เกิดร้ารอบทาง |
หนี พยัคฆ์หยักรั้งวิ่ง | เสือ ก็ยิ่งไล่มิวาง |
ปะ คลองจ้องโจนผาง | จระเข้ ขวางหมดทางไป |
ขึ้น บนต้นไม้เพื่อ | พ้นเสือ |
ต้น ใหญ่ป่ายปีนเจือ | จดจ้อง |
ไม้ เปลาต่ายตามเครือ | เถากระทั่ง ยอดนา |
ก็ ปะรังแตนต้อง | ไต่ต้อยถอยหลัง |
ขึ้น พฤกษ์หนีเสือไล่ | ต้น มันใหญ่ใช้เหนี่ยวรั้ง |
ไม้ เถาเต้าสมหวัง | ก็ ปะรังแตนต้องหนี |
วรรณกรรมเป็นเครื่องมือบันทึกความคิดความเชื่อของสังคมและบุคคลในสมัยนั้น ความคิดความเชื่อบางอย่างอาจมีการถ่ายทอดโดยการเล่าสืบกันมา บางอย่างถ่ายทอดโดยการบันทึกบางกรณีเราไม่อาจทราบได้ว่าวรรณกรรมแต่ละเรื่องที่มีเนื้อหาตรงกันหรือใกล้เคียงกันนั้น ได้รับการถ่ายทอดจากยุคหนึ่งไปสู่ยุคหนึ่งด้วยวิธีการใด
นิทานคำกลอนเรื่องจันทโครบของสุนทรภู่ มีเนื้อหาตอนที่จันทโครบพานางโมราเดินทางไปในป่าตอนหนึ่ง ว่า
“พะงางอนวอนถามถึงนามนก | ไยวิหคจึ่งรู้รำแพนหาง |
พระแย้มเยื้อนเบือนบอกยุบลนาง | แต่ก่อนปางนั้นเจ้าเขาเล่ากัน |
ว่ายังมีมยุรากับการ้าย | จะผลัดกันเขียนลายให้เฉิดฉัน |
กาประดิษฐ์คิดเขียนนกยูงพลัน | ให้ขนนั้นเขียวเหลืองอยู่เรืองพราย |
ถึงทีกามยุราจึ่งลงรัก | แล้วจะปักลายทองให้เฉิดฉาย |
สกุณกาลามกไม่มีอาย | ไปกินกายสุนัขาในสาชล |
มยุราเห็นกาก็เกลียดนัก | จึ่งทิ้งรักเสียให้แห้งไม่เขียนขน |
เห็นกามารำร่าออกอวดตน | จะเท็จจริงอยู่กับคนเขาเล่ามา” |
นิทานเรื่องกากับนกยูงที่แทรกอยู่ในนิทานคำกลอนเรื่องจันทโครบ มีเนื้อหาทำนองเดียวกับบทดอกสร้อยสวรรค์บทหนึ่ง คือ
๏ ทำเอยทำคุณ | ไม่รู้การุณแทนสนอง |
คุณพี่อย่ามีเลยปอง | จองแต่โทษร้ายพาธา |
กลกาเขียนแก่ยูงทอง | ลายเลิศลำยองเลขา |
ส่วนยูงเอาหมึกมอทา | ลูบไล้ให้กามอมแมม |
ส่วนลายไม่เขียนให้แก่กา | เอาแต่คุลาเข้ามาแต้ม |
ส่วนยูงสิงามอยู่วามแวม | แต้มลายระบายอยู่ทั้งตัว ฯ |
ฉันทลักษณ์ของกลอนในบทดอกสร้อยสรรค์ครั้งกรุงเก่ามีลักษณะแตกต่างไปจากรูปแบบของกลอนดอกสร้อยที่เขียนกันในปัจจุบัน ดังนี้
๑. คำขึ้นต้น ใช้คำว่า “เอย” ในอักษรที่ ๒ ซ้ำรูปและเสียงอักษรแรกกับอักษรที่ ๓ เช่น ตัวเอยตัวเรียม เพื่อนเอยเพื่อนตาย ทำเอยทำคุณ ฯลฯ คำว่า “เอย” ปัจจุบันแปลงเสียงวรรณยุกต์เห็น “เอ๋ย” อนึ่งในวรรคแรกนั้นบางครั้งบทดอกสร้อยสวรรค์ใช้ถึง ๕ อักษร เช่น จะเอยจะใคร่ช่วย พิศเอยพิศบัวบาท เป็นต้น
๒. คำลงท้าย ดอกสร้อยสวรรค์เมื่อจบในแต่ละบทไม่ลงด้วยคำว่า “เอย” เช่น
“เลือดตาจะกระเด็นอยู่เปนนิจ | จะคิดเปล่าแล้วอย่าปรารมภ์ ฯ” |
“จะอิงแอบแนบเนื้อนวลลออง | มิให้หมองไมตรีที่ในนาง ฯ” |
๓. จำนวนคำกลอน บทดอกสร้อยที่นิยมแต่งกันในสมัยปัจจุบัน บทหนึ่งประกอบด้วย ๔ คำกลอน แต่ในบทดอกสร้อยสวรรค์ บทหนึ่งอาจมี ๔ หรือ ๖ หรือ ๘ คำกลอนก็ได้ เช่น
๏ ทำเอยทำเนียบ | นิทานบุราณเปรียบไว้เปนไพร่ |
ถ้าเห็นสิ่งอื่นที่ชื่นใจ | สิ่งนั้นท่านให้พินิจดู |
ให้ฟังแต่ที่เพราเพราะ | อันพึงไพเราะแก่หู |
ที่ไม่ควรดูอย่าให้ดู | ท่านห้ามทั้งหูทั้งตา |
ถึงได้ฟังก็ดังหาไม่ | นกเค้านี้ใครย่อมใฝ่หา |
สุ้งเสียงก็เพียงอัพลา | จะมุ่งมาดปราถนาไปว่าไร |
อันผีสางอย่างนี้ก็ไม่กลัว | หากจะยั่วทางความให้ลามไล่ |
อันการเวกร้องต้องใจ | ท่านชมไว้แล้วพี่ก็เชยตาม ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๔. จำนวนอักษรในแต่ละวรรค ดอกสร้อยสวรรค์วรรคหนึ่ง อาจประกอบด้วย ๖ – ๗ - ๘ อักษร ลีลาและน้ำหนักของกลอนมีลักษณะใกล้เคียงกับกลอนในพระราชนิพนธ์บทละคร เรื่องรามเกียรติ์ ในรัชกาลที่ ๑ และบทมโหรีเรื่องกากี ของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่กลอนดอกสร้อยที่นิยมแต่งกันในทุกวันนี้ วรรคหนึ่งนิยม ๘ อักษรทั้งนี้อาจเนื่องมาจากอิทธิพลของกลอนสุนทรภู่
๕. การส่งสัมผัส สัมผัสที่ส่งจากปลายวรรคที่ ๑ ไปยังวรรคที่ ๒ และจากปลายวรรคที่ ๓ ไปยังวรรคที่ ๔ มีลักษณะเป็นอิสระคล้ายกลอนเสภา คืออาจส่งไปยังอักษรที่ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ หรือ ๔ หรือ ๕ ก็ได้ ทั้งนี้เพราะในการขับลำนำเป็นทำนองต่างๆ ผู้ขับอาจเอื้อนเสียงให้สัมผัสลงในตำแหน่งที่เหมาะสม ประมวลได้คือ
สัมผัสที่ส่งจากท้ายวรรคหน้าไปยังอักษรที่ ๑ ของวรรคหลังเช่น
“เร่งคิดจิตรพี่เร่งร้อน | ข้อนทรวงเข้าเพียงอกหัก” |
“งามละม่อมพร้อมทรงนงคราญ | ลานจิตรพิศเพียงขวัญตา” |
สัมผัสส่งจากท้ายวรรคหน้าไปยังอักษรที่ ๒ ของวรรคหลัง เช่น
“ลูกหลานอย่าได้ถือโทษ | เหมือนโปรดแก่เถ้าทั้งคู่” |
“ทำไฉนจะได้ไปเมืองอินทร์ | แต่งลิ้นจะให้ยินดี” |
สัมผัสจากท้ายวรรคหน้าไปยังอักษรที่ ๓ ของวรรคหลัง เช่น
“ข้าว่าให้ดีสิไม่เห็น | มาเลียมเล่นด้วยลมคมสัน” |
“รอนรอนใจพี่นี้จะขาด | ด้วยอำนาจความเสน่หา” |
สัมผัสจากท้ายวรรคหน้าไปยังอักษรที่ ๔ ของวรรคหลัง เช่น
“ไปลองยายเถิดให้สบายใจ | พาลเถ้าแสนไร้ทรชน” |
“มีเรือแหนั่งขี่แพดีกว่า | ความหนักชั่วช้าไม่มีเหมือน” |
สัมผัสจากท้ายวรรคหน้าไปยังอักษรที่ ๕ หรือ ๖ (หรือ ๗) ของวรรคหลัง เช่น
“ตีเต่าก็คงเข้าใจ | แต่ความรักนั้นไม่ฟังตา” |
“ปีหน้าจะชราหนักไป | ถึงระวางมิว่างเป็นไรมี” |
“แล้วจะคิดแต่เมื่อแรกราก | ครั้นได้แล้วจะบ่ายบากหนี” |
ไม่มีสัมผัสจากท้ายวรรคหน้าไปยังอักษรใดๆของวรรคหลัง เช่น
“ตัวเอยตัวน้อง | คือหนึ่งดอกสร้อยเกษี" |
“ดังจะสุดชีวิตรจิตรใจ | พ่างเพียงจะสิ้นสุดปราณ” |
“หนึ่งเอยหนึ่งนับน้อง | ล้ำเลิศก็เพียงโฉมเฉลา” |
๖. เสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรค เสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรคของอักษรที่ส่งสัมผัสถึงกันในกลอนดอกสร้อยหรือกลอนสุภาพทั่วไปไม่นิยมใช้คำหรือระดับเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน ในที่นี้จะยกตัวอย่างกลอนจากนิราศพระประธม ของสุนทรภู่ คือ
“โอ้บุปผาสารพัดที่กลัดกลีบ | ครั้นรุ่งรีบบานงามไม่ห้ามหวง |
ให้ชื่นชุ่มภุมรินสิ้นทั้งปวง | ได้ซาบทรวงเสาวรสไม่อดออม |
แต่ดอกฟ้าส่าหรีเจ้าพี่เอ๋ย | มิหล่นเลยให้หมู่แมงภู่สนอม |
จะกลัดกลิ่นสิ้นรสเพราะมดตอม | จนหายหอมแลกลอกเหมือนดอกกลอย” |
คำที่ส่งสัมผัสถึงกันในท้ายวรรคอันได้แก่คำที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรเน้นจะมีระดับเสียงวรรณยุกต์เหมือนกันไม่ได้ แต่กลอนที่แต่งขึ้นเพื่อใช้สำหรับขับลำนำเป็นทำนองเพลงในสมัยอยุธยาไม่เคร่งครัดนักกับข้อจำกัดดังกล่าว เช่นกลอนในบทละครครั้งกรุงเก่า เรื่องนางมโนห์รา บทดอกสร้อยสวรรค์ครั้งกรุงเก่าบางบทมีลักษณะเดียวกัน เช่น
“มาเอยมาพบ | ดอกสร้อยสวรรค์มาไลย |
เรียกรักจำนงจงใจ | จะใคร่ได้ดอกสุมณฑา” |
“ตัวเอยตัวเรียม | เทียมภุมเรศเรืองรศคนธ์ |
มาพบดอกแก้วโกมล | สร้อยสนสวรรค์มาลา” |
ทำนองเพลงที่ใช้สำหรับขับร้องในบทดอกสร้อยสวรรค์นี้เรียกว่า “ลำ” ซึ่งหมายถึงลำนำส่วนจังหวะหรือหน้าทับที่ใช้ประกอบเพลงต่างๆนั้น เรียกว่า “ทับ” ซึ่งเพลงและชื่อหน้าทับที่ปรากฏเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่าบทดอกสร้อยสวรรค์ ครั้งกรุงเก่าสำนวนนี้ประพันธ์ขึ้นในสมัยอยุธยาอย่างแน่นอน เพราะชื่อลำนำและชื่อหน้าทับส่วนใหญ่ตรงกับบทมโนรีครั้งกรุงเก่า ฉบับที่หอพระสมุดวชิรญาณรวบรวมไว้ ลำนำที่กล่าวถึงในดอกสร้อยสวรรค์บางเพลงยังมีผู้เล่นสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ดอกไม้ไทร พระทอง นางนาค คำหวาน เป็นต้น แต่บางเพลงสันนิษฐานว่าสูญไปแล้ว เช่น คนพายโยก มอญลพบุรี หิ้วชาย เนียรไทรโยก ฯลฯ ในส่วนของจังหวะหน้าทับต่างๆก็เช่นกัน ปัจจุบันสูญหายไปเป็นส่วนมาก เช่น หน้าทับสามไม้ถอยหลัง หน้าทับเนรปาตี หน้าทับโฉลกแบก เป็นต้น
ภาษาสมัยอยุธยาตอนปลายที่ใช้ในบทดอกสร้อยสวรรค์ ครั้งกรุงเก่ามีลักษณะใกล้เคียงกับภาษาที่ใช้ในคำประพันธ์ประเภทกลอนในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ศัพท์ต่างๆเป็นคำพื้นๆเข้าใจง่าย และอาจสื่อสารกับยุคปัจจุบันได้ไม่ลำบากนัก ส่วนคำศัพท์ชั้นสูงที่มีแทรกอยู่บ้างอาจเนื่องมาจากกลิ่นอายของโคลงที่นำมาเป็นต้นแบบ การวางจังหวะและลักษณะคำในบทดอกสร้อยสวรรค์มีลีลาคล้ายทับบทมโหรีครั้งกรุงเก่า เช่น
บทร้องสร้อยสน
๏ เจ้าเอยสร้อยสน | หน้ามนเจ้าร้อยห้อยไว้ |
พี่จำฝีมือของเจ้าได้ | ช่างงามกะไรน่าเอ็นดู |
หอมรวยชวยชื่นใช่น้อย | ระย้าย้อยเป็นพวงภู่ |
เห็นน่ารักน่าเอ็นดู | โฉมตรูเจ้าช่างร้อยเอย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
จะเห็นว่าบทมโหรีครั้งกรุงเก่าที่ยกมาเป็นตัวอย่างข้างบนนี้ใช้สำนวนภาษาง่ายๆ สามารถสื่อความกับยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ข้อสังเกตประการหนึ่งเกี่ยวกับภาษาที่ปรากฏในวรรณกรรมสมัยอยุธยาคือ มักเป็นคำศัพท์ชั้นสูงเข้าใจยากเป็นส่วนมากโดยเฉพาะในคำประพันธ์ประเภทโคลงและฉันท์ ซึ่งเป็นภาษาต่างระดับกับบทดอกสร้อยสวรรค์จึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจไขว้เขวว่า บทดอกสร้อยนี้มีอายุไม่เก่าถึงสมัยอยุธยา ความต่างระดับของภาษาที่ปรากฏในวรรณกรรมที่ร่วมสมัยกันนั้นอาจเนื่องมาจากสาเหตุสำคัญ ๒ ประเด็นคือ ประเด็นแรกเกิดจากความถนัดหรือความรู้ความสามารถเฉพาะตัวของกวี กวีที่มีความรู้ในทางอักษรศาสตร์ชั้นสูงย่อมนิยมใช้ศัพท์สูงอันแสดงถึงภูมิรู้ของตนและเขียนให้คนที่มีภูมิรู้ในระดับเดียวกันอ่าน เช่นสมเด็จฯ พระมหาสมณะเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงพระนิพนธ์สมุทรโฆษคำฉันท์ต่อจากสำนวนของพระมหาราชครูและสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงใช้ภาษาระดับเดียวกันมีความกลมกลืนสนิทสนม แพรวพราวด้วยศัพท์ชั้นสูงซึ่งแม้ปัจจุบันก็ยังเข้าใจได้ยาก แต่สุนทรภู่ชี่งเป็นกวีร่วมสมัยกับสมเด็จฯ พระมหาสมณะเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ใช้ภาษาพื้นๆสามารถสื่อได้กับยุคปัจจุบัน ประเด็นที่สอง เนื่องจากลักษณะของคำประพันธ์ ภาษาระดับหนึ่งเหมาะกับคำประพันธ์ประเภทหนึ่ง เช่นกลอนเหมาะกับการประพันธ์เรื่องสำหรับเป็นบทเพื่อการละเล่นต่างๆ เป็นต้นว่า ละคร เพลงยาว ดอกสร้อย สักรวา ฯลฯ อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรื่นเริง สนุกสนาน ภาษาที่ใช้ต้องสื่อได้กับคนทุกระดับชั้น ดังนั้นจึงนิยมใช้ภาษาง่ายๆ ประกอบกับจังหวะลีลาของคำประพันธ์แต่ละชนิดนั้นเหมาะกับคำที่มีจังหวะและน้ำหนักต่างกัน เช่นหากนำภาษาที่เหมาะกับกลอนไปใช้ประพันธ์โคลง โคลงนั้นก็ไม่มีความสง่างามเท่าที่ควร หรือนำภาษาชั้นสูงที่เหมาะกับฉันท์ไปใช้ในการประพันธ์กลอน กลอนนั้นก็จะขาดอรรถรสของกลอนไป กวีในอดีตท่านคงคำนึงถึงข้อจำกัดดังกล่าวจึงเลือกใช้ภาษาให้เหมาะกับงานประพันธ์แต่ละชนิด ดังนั้นการจะวินิจฉัยอายุของวรรณกรรมที่มีปัญหาเรื่องยุคสมัยในการแต่งจึงต้องกระทำอย่างรอบคอบ นอกจากใช้สมมุติฐานความน่าจะเป็นไปได้ด้านสำนวนภาษาแล้วยังต้องพิจารณาหลักฐานอื่นๆ ประกอบด้วย
บทดอกสร้อยสวรรค์ ครั้งกรุงเก่านี้แม้จะเป็นกวีนิพนธ์ขนาดสั้น มีเนื้อหาสาระไม่มากนัก แต่ส่วนที่สอดแทรกอยู่ในเนื้อหาสามารถโยงใยไปถึงงานกวีนิพนธ์ชนิดอื่น โดยเฉพาะโคลงที่กวีรุ่นก่อนหน้านี้ประพันธ์ไว้ ทั้งนี้มิได้หมายความว่าบทดอกสร้อยสวรรค์ทุกบทปรับแปลงมาจากโคลงทั้งหมด บทที่ได้ต้นเค้ามาจากโคลงนั้นน่าจะเป็นบทต้นของการตั้งประเด็นในการโต้ตอบซึ่งเป็นบทของฝ่ายชาย ส่วนบทโต้ตอบที่ขยายความต่อจากประเด็นหลักน่าจะเป็นความคิดของกวีผู้เป็นเจ้าของบทดอกสร้อยเอง อย่างไรก็ตาม นอกจากบทดอกสร้อยสวรรค์ครั้งกรุงเก่าจะเป็นสิ่งยืนยันอายุของโคลงกวีโบราณบางบทได้แล้ว บทดอกสร้อยสวรรค์หลายบทยังบ่งชี้ถึงเค้าของสำนวนคำพังเพยไทย ความเชื่อตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
[๑] คำที่เว้นไว้ คือจำนวนคำในบังคับของโคลงสี่สุภาพ แต่ไม่อาจสันนิฐานได้ว่าโคลงโบราณใช้คำใด การถอนกลอนเป็นโคลงในลักษณะดังกล่าวเพื่อสนับสนุนที่มาของบทดอกสร้อยสวรรค์ที่กวีอ้างถึง