นิราศพระแท่นดงรัง

๏ เณรหนูกลั่นวันทามหาเถร
ซึ่งอวยพรตทศธรรมเป็นสามเณร พระคุณเท่าเขาพระเมรุไม่เอนเอียง
สอนให้ทราบบาปบุญที่คุณโทษ ผลประโยชน์ยืดยาวไม่ก้าวเถียง
มาหมายมั่นพันผูกเป็นลูกเลี้ยง ก็รักเพียงลูกยาให้ถาวร
เป็นสัจธรรม์กรรุณา[๑]สานุศิษย์ สุจริตรักร่ำเฝ้าพร่ำสอน
ได้เรียนหนังสือถือศีลพระชินวร ให้ถาพรพูนสวัสดิ์กำจัดภัย
ขอพระคุณบุญญาปรีชาฉลาด ที่เปรื่องปราชญ์เปรียบมหาชลาไหล
จะคิดกลอนผ่อนปรนช่วยดลใจ ให้พริ้งไพรเราะรสพจมาน
จะกล่าวความตามที่ได้ไปพระแท่น ถึงดงแดนด้วยศรัทธานั้นกล้าหาญ
ในเดือนสี่ปีมะเส็งเพ็งวันอังคาร[๒] มัสการพุทธรัตน์พระปัฏิมา
ทั้งพรหมมินทร์อินทร์จันทร์ทุกชั้นช่อง ช่วยคุ้มครองป้องกันให้หรรษา
พอยามสองล่องเลื่อนค่อยเคลื่อนคลา ออกมหานาค[๓]สนานสำราญใจ
พระจันทร์ตรงทรงกลดขึ้นหมดเมฆ ดูวิเวกเวหาพฤกษาไสว
สงัดเงียบเยียบเย็นไม่เห็นใคร ล่องไปในแนวคลองเมื่อสองยาม
๏ ถึงเชิงเลน[๔]เห็นแต่เรือเกลือสล้าง เรือโอ่งอ่างแอบจอดตลอดหลาม
ทุกพ่วงแพแลไม่เห็นไฟตาม ถึงอารามวัดเลียบ[๕]ยิ่งเยียบเย็น
เห็นถิ่นฐานบ้านช่องของคุณปู่ ที่เคยอยู่มาแต่หลังก็ยังเห็น
เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น เมื่อปู่เป็นเจ้าคุณสุรเสนา[๖]
ไม่มีพ่อก็ได้บุญของคุณปู่ ให้กินอยู่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรักษา
ได้อยู่เย็นเป็นสุขทุกเวลา ทั้งคุณป้าคุ้มครองช่วยป้องกัน
ขอกุศลผลผลาให้ป้าปู่ ได้ไปสู่ทิพสถานพิมานสวรรค์
เสวยสุขทุกเวลาทิวาวัน จนล่วงลับกัปกัลป์พุทธันดร
โอ้สิ้นบุญคุณปู่อยู่แต่ย่า ได้พึ่งพาภิญโญสโมสร
มาปลดเปลื้องเคืองขัดถึงตัดรอน โอ้ชาติก่อนกรรมสร้างไว้อย่างไร
ทั้งพ่อแม่แลลับอัประภาค คิดถึงยากอย่างจะพาเลือดตาไหล
เป็นกำพร้าว้าเหว่ร่อนเร่ไป นี่หากได้พึ่งพระค่อยสบาย
ได้ถือธรรมสามเณรกินเพลเช้า ศีลพระเจ้ามิได้ช้ำสล่ำสลาย
แบ่งกุศลผลบุญแทนคุณยาย ได้ดื่มสายเลือดอกช่วยปกครอง
ยังยากจนทนทุเรศสังเวชจิต เหลือจะคิดแทนคุณการุณสนอง
โอ้ชาตินี้วิบัติขัดเงินทอง มีแต่ต้องย่อยยับอัประมาณ
ฝ่ายคุณย่าอาพี่ซึ่งมียศ จงปรากฏตราบกระลาปาวสาน
ถึงตัดรอนค่อนว่าด่าประจาน พระคุณท่านมากกว่าแผ่นฟ้าดิน
ไม่โกรธตอบขอบคุณส่วนบุญบวช ได้ตรึกตรวจน้ำคิดเป็นนิจศิล
ให้เป็นสุขทุกทิวาอย่าราคิน ฉันนี้สิ้นวาสนาขอลาไป
พอนาวามาถึงช่องคลองบางหลวง[๗] ครรไลล่วงลอยลำตามน้ำไหล
ดูเหย้าเรือนเดือนหงายสบายใจ ล้วนต้นไม้สวนสล้างสองข้างคลอง
๏ ถึงวัดหงส์เห็นแต่หงส์เสาธงปัก หงส์สลักก่อนเก่าดูเศร้าหมอง
เหมือนตัวเราเผ่าพงศ์เพียงหงส์ทอง ตัวมาต้องเป็นการะอาอาย
โอ้เสียชาติวาสนาเอ๋ยอาภัพ สุดจะนับว่านเครือในเชื้อสาย
ข้างหน้าเห็นเป็นแมงกุฉลุลาย ส่วนข้างท้ายสิเหมือนดังว่ามังกร
๏ จนล่วงทางบางยี่เรือฝั่งเหนือใต้ ล้วนไม้ไหล้ซ้อนซับสลับสลอน
เห็นคุ่มคุ่มคลุมเครือริมเรือจร หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นโรย
ประเดี๋ยวเดียวเลี้ยวล่องเข้าคลองด่าน เห็นแต่บ้านเรือกสวนให้หวนโหย
ระรื่นรินกลิ่นโศกมาโบกโบย บ้างร่วงโรยริมชลาที่อาราม
๏ เห็นวัดหมู[๘]รู้ว่าคุณป้า[๙]สร้าง ครั้นจะอ้างว่าเป็นเชื้อก็เหลือขาม
ขอภิญโญโมทนาสง่างาม ให้อารามเรืองรื่นอยู่ยืนยาว
โอ้ไม่ถึงครั้งชาติสิ้นญาติ อโหสิจะสู้บวชจนหนวดขาว
โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างลงพร่างพราว ดูดวงดาวเดือนคล้อยละห้อยใจ
ประมาณสามยามเงียบเซียบสงัด มาถึงวัดจอมทองดูผ่องใส
มีเกาะขวางกลางชลาพฤกษาไทร ยังจำได้พรั่งพร้อมวัดจอมทอง[๑๐]
คุณย่าพามาที่นี่ทั้งพี่สาว เมื่อครั้งคราวมีงานการฉลอง[๑๑]
ทั้งคุณอามาดูงานในม่านทอง ฉันพี่น้องได้ไปนั่งหลังคุณอา
ทั้งเจ้าครอกออกมาตามเสด็จด้วย ได้พุ่งพวยผุดผาดพึ่งพาสนา
โอ้เคราะห์กรรมจำขาดญาติกา เพราะศรัทธาถือศีลพระชินวร
๏ ทุกวันนี้มีแต่ครูเอ็นดูเลี้ยง ได้พึ่งเพียงพุ่มโพสโมสร
พระคุณใครไม่เท่าคุณพระสุนทร[๑๒] เหมือนบิดรโดยจริงทุกสิ่งอัน
กับตาบน้องสองทั้งพี่เณรพัด ได้ตั้งสัจสิ้นรังเกียจไม่เดียดฉันท์
ทุกเช้าเย็นเป็นกำพร้าเห็นหน้ากัน เหมือนร่วมครรภ์มารดาด้วยปราณี
๏ ถึงวัดไทรในตำบลน้ำชลตื้น ดูครึมครื้นมืดมัวน่ากลัวผี
ชื่อบางบอนก็เห็นบอนสลอนมี เหมือนคนที่สำมกากมันปากบอน
ไปยุยงลงโทษให้โกรธครึ่ง จนได้ถึงสุขุมเหมือนสุมขอน
ที่คนซื่อถือสัจต้องตัดรอน เพราะอีบอนบวมฉุมันยุแยง
๏ ถึงศีรษะกระบือเป็นชื่อบ้าน บิดาท่านโปรดเกล้าเล่าแถลง
ว่าพญาพาลีซึ่งมีแรง เข้ารบแผลงฤทธิ์ต่อด้วยทรพี
ตัดศีรษะกระบือแล้วถือคว่าง ปลิวมากลางเวหาพนาศรี
มาตกลงตรงย่านที่บ้านนี้ จึงเรียกศีรษะกระบือเป็นชื่อนาม
๏ แสมดำตำบลที่คนอยู่ สังเกตดูฟืนตองเขากองหลาม
ดูรุงรังฝั่งน้ำล้วนรำราม ถึงโคกขามบ้านขอมล้วนลอมฟืน
พอฟ้าขาวดาวเดือนจะเลื่อนลับ แสงทองจับแจ่มฟ้าค่อยฝ่าฝืน
เสียงลิงค่างวางเวงครึกเครงครื้น ปักษาตื่นต่างเรียกกันเพรียกไพร
สุริยงทรงรถขึ้นหมดแสง กระจ่างแจ้งแจ่มฟ้าพฤกษาไสว
ถึงชะวากปากชลามหาชัย เห็นป้อมใหญ่อยู่ข้างขวาสง่างาม
มีปีกป้องช่องปืนที่ยืนรบ ที่หลีกหลบแล่นลากลงขวากหนาม
ดูเผ่นผาดอาจองในสงคราม ดูแล้วข้ามตรงมาในสาคร
ลำภูรายชายตลิ่งล้วนลิงค่าง บ้างเกาคางขู่ตะคอกบ้างหลอกหลอน
บ้างโลดไล่ไขว่คว้าตามวานร ที่ลูกอ่อนอุ้มแอบแนบอุรา
โอ้พ่อแม่แต่ชั้นลิงไม่ทิ้งลูก ดูพันผูกความรักนั้นหนักหนา
เราเป็นคนผลกรรมได้ทำมา ญาติกาก็มิได้อาลัยแล
๏ ถึงท่าจีนถิ่นฐานโรงร้านมาก ที่เขาตากไว้ล้วนแต่อวนแห
ไม่น่าดูสู้เบือนทำเชือนแช ชมแสมไม้ปะโลงเหล้าโกงกาง
ตะบูนต้นผลลูกดังผูกห้อย ระย้าย้อยหยิบสนัดไม่ขัดขวาง
หนูตาบน้อยคอยรับรำดับวาง ไว้เล่นต่างตุ๊กกระตาประสาสบาย
เห็นตะบูนฉุนเศร้าให้เปล่าจิต แม้นมีมิตรเหมือนดั่งท่านทั้งหลาย
จะเก็บไว้ไปฝากให้มากมาย จะได้เล่นเช่นกระทายสบายใจ
นี่ไม่มีพี่น้องพวกพ้องหญิง เล่นแล้วทิ้งเสียในลำแม่น้ำไหล
ลูกโกงกางข้างชลาระย้าไป ทั้งปรงไข่ขึ้นสล้างริมทางจร
๏ ถึงบ้านบ่อกอจากสองฟากฝั่ง ยอดสะพรั่งเพรียวแซมแหลมแหลมสลอน
มีดอกงอกออกกับกออรชร ทั้งลูกอ่อนแซกเคียงขึ้นเรียงราย
พอเห็นเขาเจ้าของร้องบิณฑ์บาต เขาอนุญาตยกให้เหมือนใจหมาย
พี่เณรพัดตัดได้ลูกหลายทะลาย ผ่าถวายพระนั้นเต็มขันโต
ท่านไม่ฉันครั้นเรากินชิ้นลูกจาก อร่อยมากมีรสร่ำหมดโถ
ท่านบิดรนอนบ่นว่าคนโซ สะอื้นโอ้อายใจกระไรเลย
เคยกล้ำกลืนชื่นจิตชิดแช่อิ่ม มาเชยชิมลูกจากแล้วปากเอ๋ย
เพราะสิ้นสุดอุดหนุนที่คุ้นเคย กระไรเลยแลเหลียวให้เปลี่ยวทรวง
๏ ถึงนาขวางข้างซ้ายนายภาษี ตั้งอยู่ที่ปากคลองเก็บของหลวง
เรียกภาษีที่เรือเกลือทั้งปวง บ้างทักท้วงเถียงกันสนั่นดัง
แต่จีนเถ้าเจ้าภาษีมีเมียสาว ไว้เล็บยาวเหมือนอย่างครุฑนั่งจุดหลัง
เหมือนจะรู้อยู่ว่าเขาเป็นชาววัง รู้จักครั้งเข้าไปอยู่เมื่อปู่ตาย
แต่แกล้งเมินเพลินดูฝูงปูเปี่ยว บ้างแดงเขียวขาวผาดประหลาดหลาย
บ้างเลื่อมเหลืองเรืองรองกระดองลาย ก้ามตะกายกินเลนน่าเอ็นดู
แต่หากว่าน่ากลัวตัวหนิดหนีด ก้ามมันดีดดังเปาะเสนาะหู
ล้านปรงปรกรกเรี้ยวรอยเปี่ยวปู กับเหี้ยอยู่ที่ในโพรงรากโกงกาง
เห็นปลาตีนกินโคลนตาโปนโป่ง ครีบกระโดงพลิ้วพลิกกระดิกหาง
บ้างกัดกันผันผยองทำพองคาง ทั้งลิงค่างคอยเที่ยวล้วงเปี่ยวปู
๏ ถึงย่านซื่อชื่อว่าย่านกาหลง เห็นกาลงเลียบฝั่งอยู่ทั้งคู่
แล้วบอกข่าวอ่าวอ้อแก้ก๋อกู จะบอกผู้ใดเล่าไม่เข้าใจ
เราไม่มีพี่น้องพวกพ้องดอก กาจะบอกข่าวดีฉันที่ไหน
โอ้เปลี่ยวกายอายกาก้มหน้าไป จนเข้าในแนวคลองสามสิบสองคด
กับตาบน้อยคอยนับหนึ่งสองสาม คุณพ่อถามกลับเลื่อนเปื้อนไปหมด
มันโอบอ้อมค้อมเคี้ยวดูเลี้ยวลด เห็นคุ้งคดคิดไปเหมือนใจโกง
แต่ปากคำทำซื่อทำถือศิล ใจมันกินเลือดเล่ห์ตะเข้[๑๓]ตะโขง
สองฟากฝ่ายซ้ายขวาป่าปะโลง มีเรือนโรงรอนฟืนแต่พื้นมอญ
ลำภูรายซ้ายขวาระย้าย้อย มีดอกห้อยบานแย้มแซมเกสร
บ้างออกลูกสุกงอมหอมขจร เกสรร่อนร่วงลงตรงนาวา
มีนกบินกินปูได้ดูเล่น นกกระเต็นขวานแขวกเที่ยวแถกถา
นกกามกวมต๋วมลงในคงคา คาบได้ปลาปรบปีกบินหลีกไป
๏ ถึงเขตแขวงแหล่งหลักสุนัขหอน เรือสลอนลอยรอถือถ่อไสว
ทั้งพ่วงแพแซ่ซ้อนเจ๊กมอญไทย บ้างมาไปปะกันเสียงครั่นครื้น
บ้างโดนดุนรุนรับดูกลับกลอก บ้างเข้าออกอึดอัดต่างขัดขืน
หลีกเรือฝางวางเรือเกลือติดเรือฟืน โกรธคนอื่นอื้ออึงขึ้นมึงกู
เขมรด่าว่ามะจุยไอ้ตุยนา ลาวว่าปาสิแม่บแพ่สู
พวกเจ๊กด่าว่าปิหนังติกังพู เสียงมอญขู่ตะคอกตอกขะมิ
ด้วยมากมายหลายอย่างมาทางนั้น เรือน้ำมันหมากพลูกุ้งปูกะปิ
บ้างยัดเยียดเสียดแซกบ้างแตกลิ บ้างกราบปริประทุนปรุทะลุทะลาย
จนตกลึกนึกว่าชะคุณพระช่วย ไม่เจ็บป่วยเปื้อนเหมือนเพื่อนทั้งหลาย
ถึงเขตสวนล้วนเหล่ามะพร้าวราย บางแม่ยายพ่อตาตำรามี
๏ แล้วถึงบางนางสะใภ้ผู้ใหญ่เล่า เป็นบ้านเก่าที่สังเกตพวกเศรษฐี
แต่หญ้ากกรกเรี้ยวประเดี๋ยวนี้ ยังเห็นมีแต่ทับทิมที่ริมคลอง
กับทั้งหัวถั่วพูมันหนูมันนก เจ้าของยกตั้งรายเรียกขายของ
ได้ปราสัยไถ่ถามตามทำนอง ถึงแม่กลองดูเกลื่อนบ้านเรือนโรง
ทำปลาทูปูเค็มไว้เต็มตุ่ม ดูควันกลุ้มกลิ่นฟุ้งเหม็นคลุ้งโขลง
ที่เรือหาปลากุ้งกระบุงโพง ใส่อ่างโอ่งอลหม่านทุกบ้านเรือน
จนเรือออกนอกลำแม่น้ำกว้าง วิเวกวางเวงใจใครจะเหมือน
ทั้งสองฟากหมากมะพร้าวมีเหย้าเรือน ค่อยลอยเลื่อนแลเพลินจำเริญใจ
พฤกษาสวนล้วนแต่ปลูกมีลูกดอก มะม่วงออกช่อแฉล้มแซมไสว
ทั้งกล้วยอ้อยร้อยลิ้นลำไยมะไฟ ล้วนต้นไม้ต่างต่างข้างคงคา
๏ ถึงคลองบางนางลี่เห็นมีวัด ชุลีหัตถ์อภิวาทพระศาสนา
เป็นที่สุดพุทธคุณกรุณา ลูกกำพร้าอย่าให้มีราคีพาน
๏ ถึงคลองน้ำอัมพวาที่ค้าขาย เห็นเรือรายเรือนเรียงเคียงขนาน
มีศาลาท่าน้ำน่าสำราญ พวกชาวบ้านซื้อขายคอนท้ายเรือ
ริมชายสวนล้วนมะพร้าวหมูสีปลูก ทะลายลูกลากดินน่ากินเหลือ
กล้วยหักมุกสุกห่ามอร่ามเครือ พริกมะเขือหลายหลากหมากมะพร้าว
ริมวารีมีแพขายแพรผ้า ทั้งขวานพร้าพร้อมเครื่องทองเหลืองทองขาว
เจ้าของแพแลดูหางหนูยาว มีลูกสาวสิเป็นไทยถอนไรปลิว
ดูชาวสวนล้วนขี้ไคลทั้งใหญ่เด็ก ส่วนเมียเจ๊กหวีผมระบมผิว
เห็นเรือเคียงเมียงชม้ายแต่ปลายคิ้ว แกล้งกรีดนิ้วนั่งอวดทำทรวดทรง
๏ ถึงคลองขวางบางกุ้งที่คุ้งน้ำ พวกเจ๊กทำศาลเจ้าปุนเถาก๋ง
เป็นวันเล่นเห็นเขาเชิญเจ้าลง เจ๊กคนทรงสับหัวของตัวเอง
เอาขวานผ่าหน้าผากแทงปากลิ้น แล้วดื่มกินเหล้าโลดกระโดดเหยง
เลือดชะโลมโซมเนื้อเสื้อกังเกง เดินโทงเทงถือง้าวเป็นจ้าวนาย
นึกก็เห็นเป็นกลคนสับปลับ จะเอาทรัพย์สินบนคนทั้งหลาย
สู้เสียเลือดเชือดตัวไม่กลัวตาย ใช้อุบายบอกคนด้วยกลโกง
๏ ถึงบางป่ามาพ้นตำบลสวน ตลอดล้วนแหลมคุ้งเป็นทุ่งโถง
พอโพล้เพล้เวลาล่วงห้าโมง เห็นเมฆโพลงพลุ่งรอบเป็นขอบคัน
บ้างเขียวแดงแฝงฝากเหมือนฉากเขียน ยิ่งพิศเพี้ยนรูปสัตว์ดูผัดผัน
เหมือนลิงค่างช้างม้าสารพัน ดูดังมันจะมาทับวับวิญญาณ์
ท่านบิดรสอนว่าตำราห้าม คือคนสามประเภทในเทศนา
คนเข็ญใจไร้ทรัพย์อัพลา ลูกกำพร้าดูเมฆวิเวกใจ
จะสร้อยเศร้าเหงาง่วงในดวงจิต เสียจริตงวยงงลุ่มหวงใหล
เห็นเที่ยงแท้แต่เราพิศพินิจไป จนตกใจเจียนจะเห็นว่าเป็นตัว
พอสุริยงลงลับพะยับค่ำ ท้องฟ้าคล้ำคลุ้มบดสลดสลัว
ดูอ้างว้างกลางชลาเป็นน่ากลัว ถึงคอกงัวสี่หมื่นตื่นกันดู
ไม่เห็นตัวงัวควายเป็นชายทุ่ง เสียงแต่ยุงริ้นร้องกึกก้องหู
ริมตลิ่งหิ่งห้อยย้อยลำภู สังเกตดูดังหนึ่งเม็ดเพชรรัตน์
อร่ามเรืองเหลืองงามแวมวามวับ กระจ่างจับพงแขมแจ่มจำรัส
น้ำค้างพรมลมเชยรำเพยพัด ละลอกซัดส่งท้ายสบายดี
๏ พอเดือนเด่นเห็นดวงขึ้นส่องแสง กระจ่างแจ้งแจ่มฟ้าทุกราศี
สักยามหนึ่งถึงหาดเมืองราชพรี[๑๔] กำแพงมีรอบล้อมทั้งป้อมปืน
ถามบิดาว่าพระองค์ดำรงภพ สร้างไว้รบรับพม่าไม่ฝ่าฝืน
แต่เฟือนช่องร่องทางด้วยกลางคืน เข้าจอดตื้นติดหาดเมืองราชพรี
สำนัก[๑๕]นอนผ่อนสบายที่ท้ายวัด น้อมนมัสการศีลพระชินสีห์
ด้วยเดชะพระมหาบารมี ในราตรีเภทภัยมิได้พาน
ครั้นรุ่งเช้าชาวเรือข้างเหนือใต้ ต่างเลื่อมใสศรัทธาทำอาหาร
มาถวายหลายลำค่อยสำราญ ทั้งอ้อยตาลต้มแกงกับแตงไทย
ครั้นเสร็จฉันกรรุณายถาสนอง ให้เจ้าของซึ่งศรัทธาอัชฌาสัย
แล้วภิญโญโมทนาลาครรไล สำราญใจจากหาดเมืองราชพรี
๏ ถึงชะวากปากคลองบางสองร้อย แต่น้ำน้อยทางเดินเนินวิถี
เห็นเขางูอยู่ข้างซ้ายหลายคีรี พฤกษาศรีเขียวชุ่มดูคลุมเครือ
ที่เงื้อมง้ำลำเนาชื่อเขาแร้ง ศิลาแดงดังหนึ่งชาดประหลาดเหลือ
จะขึ้นบ้างทางบกก็รกเรื้อ จนเลี้ยวเรือลับแหลมล้วนแขมคา
๏ ถึงคุ้งย่านบ้านกล้วยสลวยสล้าง เขาปลูกสร้างไร่รายทั้งซ้ายขวา
พริกมะเขือเหลืองามอร่ามตา นกสาริกาแก้วกาลิงมาชิงกิน
บ้างกอดเกาะเจาะจิกเม็ดพริกคาบ บ้างโฉบฉาบชิงกันดูผันผิน
โอ้น่ารักปักษาริมวาริน บ้างโบยบินบ้างก็จับอยู่กับรัง
บ้างกู่ก้องร้องเรียกกันเพรียกเพราะ ฟังเสนาะนึกในน้ำใจหวัง
คิดถึงพี่ที่เข้าไปอยู่กับวัง เมื่อคราวครั้งคุณย่าไปค้าเรือ
เคยชมป่าพาทีกันพี่น้อง เที่ยวเก็บของจุกจิกพริกมะเขือ
เดี๋ยวนี้พี่มียศท่านชดเจือ น้องนี้เชื้อชาติต่ำจึงจำไกล
๏ ถึงบางกระไม่เห็นกระปะแต่บ้าน เป็นภูมิฐานทิวป่าพฤกษาไสว
โอ้ผันแปรแลเหลียวให้เปลี่ยวใจ ถึงย่านใหญ่เจ็ดเสมียนเตียนสบาย
ว่าแรกเริ่มเดิมทีมีตะเข้[๑๖] ขึ้นผุดเร่เรียงกลาดไม่ขาดสาย
จอมกระษัตริย์จัดเสมียนเขียนเจ็ดนาย มาจดหมายมิได้ถ้วนล้วนกุมภา
แต่เดี๋ยวนี้มิได้เห็นเหมือนเช่นเล่า เห็นแต่เหล่ากริวกราวกับเต่าฝา
ถึงคลองขวางบางขามหวามวิญญา ล้วนไผ่ป่าหนาหนามน่าขามใจ
๏ ถึงอารามนามอ้างชื่อหางโตนด มีทั้งโบสถ์วิหารต้นตาลไสว
ต่างวันทาคลาเคลื่อนเลื่อนครรไล ถึงหาดใหญ่กว้างขวางชื่อบางแขยง
เป็นโขดเขินเนินทรายชายสมุทร แลจนสุดสายเนตรที่เขตแขวง
เป็นคุ้งอ้อมค้อมเคี้ยวน้ำเชี่ยวแรง ทั้งร้อนแสงสุริยาลงวารี
กับหนูตาบอาบน้ำปล้ำกันเล่น พี่เณรเห็นไล่โลดกระโดดหนี
ช่วยคุณพ่อก่อพระทรายคล้ายเจดีย์ ไว้ตรงที่หน้าวัดได้มัสการ
แล้ววิ่งเต้นเล่นทรายที่ชายหาด ทะลุดทะลาดล้มลุกสนุกสนาน
ลงนอนขวางกลางน้ำเล่นสำราญ ว่ากุมารมัทรีไม่มีเครือ
ครั้นแดดร่มลมรื่นค่อยชื่นแช่ม ออกจากแหลมบางแขยงขึ้นแขวงเหนือ
แม่น้ำตื้นพื้นสูงลงจูงเรือ สนุกเหลือเล่นน้ำยังค่ำไป
ต่อบิดรนอนตื่นขืนให้ขึ้น ยังวิ่งครื้นโครมครามห้ามไม่ไหว
ต่อสุดขัดผลัดผ้ายังอาลัย ถึงบ้านใหญ่ชื่อว่าโพธาราม
๏ ตลิ่งลาดหาดทรายที่ขายของ เรือขึ้นล่องแวะจอดตลอดหลาม
พวกเจ๊กจีนสินค้าใบชาชาม ส้มมะขามเปรี้ยวปั้นน้ำมันพร้าว
ที่ของเหล่าชาวป่าเอามาขาย ทั้งนุ่นฝ้ายใส่กรุกระชุขาว
พวกประมงลงอวนไทยญวนลาว ทำร้านยาวย่างปลาริมวารี
มีโรงทำน้ำตาลทรายที่ท้ายบ้าน เป็นภูมิฐานรวมทางหว่างวิถี
พวกเกียนต่างกลางป่าพนาลี มาลงที่หน้าท่าโพธาราม
๏ จนล่วงทางบางเลาเห็นชาวบ้าน ทำงานการเกี่ยวแฝกบ้างแบกหาม
ดูผิวดำคร่ำคร่าดังทาคราม ไม่มีงามเหมือนหนึ่งเหล่านางชาววัง
๏ ถึงครชุม[๑๗]ภูมิฐานเป็นบ้านป่า สายคงคาเชี่ยวเหลือเรือถอยหลัง
ต้องแข็งข้อถ่อค้ำด้วยกำลัง จนกระทั่งงิ้วรายหาดทรายเตียน
ต้นงิ้วงามตามตลิ่งกิ่งแฉล้ม ดูชื่นแช่มช้อยใบเหมือนไม้เขียน
บ้างผุะผากรากโคนดูโกร๋นเกียน ยิ่งพิศเพี้ยนภาพฉากหลากหลากกัน
๏ ถึงศาลเจ้าเบิกไพรมีไม้สูง เห็นนกยูงยืนเกลื่อนไก่เถื่อนขัน
มีศาลตั้งฝั่งน้ำเป็นสำคัญ อยู่เคียงกันสามศาลตระหง่านงาม
พวกชาวเรือเหนือใต้ขึ้นไหว้จ้าว หมากมะพร้าวอ่อนด้วยกล้วยเข้าหลาม
ได้คุ้มภัยในชลาวันนาราม จึงทรงนามเบิกไพรกันไพรี
ท่านบิดรสอนให้ว่าเทพารักษ์ เจริญพักตร์พ้นทุกข์เป็นสุขี
เห็นไก่ขาวจ้าวเลี้ยงเพียงสำลี กินอยู่ที่ชายป่าดูน่าชม
เป็นดงใหญ่ไม้สูงฝูงนกเขา ขึ้นจับเคล้าคลอคู่คูขรม
บ้างปรบปีกจิกกันขันขะรม ชวนกันชมต่างต่างสองข้างเรือ
๏ ถึงปากแรดแดดดับพะยับแสง ท้องฟ้าแดงดูสลัวน่ากลัวเสือ
เป็นป่าไผ่ไม้พุ่มครึมคลุมเครือ เสียงเสือเนื้อปีบคะนองสยองเย็น
เห็นนกยูงฝูงใหญ่ที่ชายหาด รำแพนฟาดหางแผ่พอแลเห็น
ตัวเมียพร้อมล้อมตามกามกระเด็น ได้กินเป็นฟองไข่ขึ้นในกาย
บิดาบอกดอกว่าฝูงนกยูงนั้น ไม่สัดกันเหมือนดังนกทั้งหลาย
พึ่งเห็นแน่แก่ตาตำราทาย ให้นึกอายใจไม่พอใจดู
๏ ถึงบางพังวังวนสาชลเชี่ยว เป็นเกลียวเกลียวกลิ้งคว้างเหมือนหางหนู
เห็นวัดร้างข้างซ้ายชายสินธู เข้าหยุดอยู่นอนค้างที่บางพัง
พอพลบค่ำลำเดียวดูเปลี่ยวอก เสียงแต่นกเซ็งแซ่ดังแตรสังข์
ข้างซ้ายป่าขวาชลเป็นวลวัง เสียงค่างดังอื้ออ้าบนค่าไม้
ฝ่ายคุณพ่อบริกรรมแล้วจำวัด พี่เณรพัดหนูตาบต่างหลับไหล
ยิ่งดึกดื่นครื้นเครงวางเวงใจ เสียงเรไรหริ่งแหร่แซ่สำเนียง
จะเคลิ้มหลับวับแว่วถึงแก้วหู เหมือนคนกู่เกริ่นเรียกกันเพรียกเสียง
เสียงเผาะเผาะเหยาะย่องค่อยมองเมียง เห็นเสือเลี่ยงหลีกอ้อมเที่ยวด้อมมอง
ดูน่ากลัวตัวขาวราวกับนุ่น แบ่งส่วนบุญบ่นภาวนาสนอง
ทั้งในน้ำทำเลตะเข้คะนอง ขึ้นคลานร้องฮูมฮูมน้ำฟูมฟาย
เดชะกิจบิตุรงค์ซึ่งทรงพรต เห็นปรากฏกำจัดสัตว์ทั้งหลาย
มันหลีกเลยเฉยไปไม่ใกล้กราย เหมือนมีค่ายเขื่อนรอบประกอบกัน
จนล่วงสามยามเวลาบิดาตื่น ประเคนผืนกาสาน้ำชาฉัน
เงียบสงัดสัตว์ป่าพนาวัน เสียงไก่ขันแจ้วแจ้วแว่ววิญญาณ์
ท่านอวยพรสอนพระธรรมกรรมฐาน ทางนิพานพ้นทุกข์เป็นสุขา
ได้เรียนธรรมบำเพ็งภาวนา เมื่อนอนหน้าวัดร้างคุ้งบางพัง
แล้วบิดาพาเดินขึ้นเนินวัด เงียบสงัดงึมป่าข้างหน้าหลัง
เข้านิโครธโบสถ์ใหญ่ร่มไม้รัง สำรวมนั่งนึกภาวนาใน
ด้วยเดชะพระมหาสมาธิ เป็นคติตามศรัทธาอัชฌาสัย
พอแสงทองส่องฟ้านภาลัย ลาพระไทรสาขาลงมาเรือ
๏ จากวัดร้างบางพังสองฝั่งน้ำ แต่ล้วนร่ำรามเริงซุ้มเซิงเสือ
ถึงวังวาน[๑๘]ย่านบกก็รกเรื้อ เสียงฟานเนื้อนกร้องก้องโกลา
๏ ถึงลูแกแต่ล้วนไม้ไผ่สพรั่ง เห็นมอญตั้งตัดไม้ทั้งซ้ายขวา
ที่บ้านร้างว่างคนต้นพุทรา ดกระย้าสุกห่ามอร่ามเรือง
เห็นสมควรชวนกันขึ้นสั่นต้น คอยเก็บหล่นลูกล้วนเป็นนวลเหลือง
เอาเกลือตำรำหัดเมื่อขัดเคือง พอทรงเครื่องเจ้าพุทราสง่างาม
๏ แล้วจากท่ามาถึงตรงคุ้งพงตึก[๑๙] อนาถนึกสงสัยได้ไถ่ถาม
ท่านผู้เฒ่าเล่าต่อเป็นข้อความ ว่าตึกพราหมณ์ครั้งแผ่นดินโกสินราย
แต่ตึกมีที่ริมน้ำเป็นสำเหนียก คนจึงเรียกพงตึกเหมือนนึกหมาย
ถึงท่าหว้า[๒๐]ป่ารังสองฝั่งราย กับเซิงหวายโป่งกลุ้มดูคลุมเครือ
๏ ถึงวังทองสองฝั่งเขาตั้งบ้าน มีโรงร้านฟักแฟงแตงมะเขือ
ใส่กระทายขายเขาพวกชาวเรือ ทั้งกล้วยเครือสุกห่ามอร่ามไป
๏ ถึงละเมาะเกาะชื่อเกาะน้ำเชี่ยว มีเกาะเดียวกลางมหาชลาไหล
เหมือนเราเดียวเปลี่ยวเปล่าให้เศร้าใจ เห็นแต่ไพรพฤกษาพนาวัน
๏ ถึงถิ่นฐานบ้านร่ายชื่อหวายเหนียว เห็นแต่เรียวหวายไสวในไพรสัณฑ์
ยิ่งน้ำตื้นขึ้นก็ยิ่งตลิ่งชัน ถึงเขตขันคุ้งน้ำถ้ำมะกา
ดูแดนดินถิ่นที่เหมือนมีถ้ำ พิลึกล้ำแลเวิ้งดังเพิงผา
เงื้อมชะง่อนก้อนดินเหมือนสินลา สายคงคาเชี่ยวคว้างเป็นหว่างวน
วิเวกจิตพิศเพลินด้วยเนินหาด ไม่คั่นขาดคุ้งแขวงทุกแห่งหน
เต่าขึ้นไข่ไว้ทุกหาดไม่ขาดคน เที่ยวขุดค้นไข่ได้ด้วยง่ายดาย
สะธุสะพระบิดาเมตตาเต่า บิณฑ์บาตเขาเขาเห็นพระก็ถวาย
เอาใส่ไว้ในหลุมทุกขุมทราย แล้วเกลี่ยทรายสุมทับให้ลับตา
เป็นประโยชน์โปรดสัตว์ซึ่งปัฏิสนธิ์ ให้รอดพ้นความตายได้นักหนา
ขอส่วนบุญคุณศีลพระชินกา ให้ผ่องผาสุกสวัสดิ์กำจัดภัย
๏ ถึงคุ้งน้ำตำบลบ้านกอจิก เขาปลูกพริกฝ้ายออกดอกไสว
โอ้เห็นแท้แต่สำลียังมีใย ควรฤๅใจคนจืดไม่ยืดยาว
พอเย็นย่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย เป็นฝอยฝอยฟุ้งสาดอนาถหนาว
ที่บนบกรกเรี้ยวเสียงเกรียวกราว เห็นหาดขาวโขดตั้งอยู่ฝั่งซ้าย[๒๑]
ข้างฟากขวาท่าเรือขึ้นพระแท่น ยิ่งสุดแสนชื่นชมด้วยสมหมาย
เขาพ่วงไม้ไผ่แลดูแพราย เข้าจอดฝ่ายฝั่งขวาบ้านท่าเรือ
๏ พอมืดค่ำคล้ำคลุ้มชะอุ่มฟ้า เสียงสัตว์ป่าปีบสะท้านทั้งฟานเสือ
เป็นพงไผ่ไม้พุ่มดูคลุมเครือ เสียงข้างเหนืออูมอูมล้วนกุมภา
ดังกอกกอกตรอกตรอที่กอไผ่ ระวังไพรร้องเรียกเพรียกพฤกษา
ยิ่งดึกดื่นรื่นรินกลิ่นผกา หอมบุปผาผอยหลับระงับไป
โอ้ฝันเห็นเป็นว่าปู่มาอยู่ด้วย ให้กินกล้วยอ้อยหวานน้ำตาลใส
พอฟื้นกายหายหน้ายิ่งอาลัย พอเสียงไก่ขันขานหวานวิญญาณ์
โอ้สิ้นบุญคุณปู่อยู่แต่ชื่อ ยังนับถือกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรักษา
ที่เป็นคนผลกรรมได้ทำมา เหมือนต่างฟ้าดินแดนด้วยแสนไกล
จนแจ่มแจ้งแสงตะวันฉันอาหาร โปรยให้ทานปลาคล่ำในน้ำไหล
ปลาแก้มช้ำน้ำเงินงามประไพ มาใกล้ใกล้เกลื่อนกลาดดาษเดียร
ทั้งซิวซ่าปลากระแหแลสลับ ดูกลอกกลับกลุ้มกลัดฉวัดเฉวียน
โอ้น่ารักหนักหนาปลาตะเพียน เกล็ดเหมือนเขียนครีบหางกระจ่างตา
ด้วยน้ำไหลใสสว่างอย่างกระจก เที่ยวหันหกเห็นสนัดตัวมัจฉา
พอพวกพ้องของศิษย์พระบิดา มาวันทาขอถวายเกียนควายมี
๏ ชื่อนายช่องน้องนายแก้วกับเจ๊กกลิ่น เขาเจนถิ่นทางป่าพนาศรี
เกียนมารับกับท่าริมวารี พอราตรีพระบิดาครองผ้าไตร
ขนนั่งเกียนเทียนโคมแขวนข้างหน้า มีฝาบังหลังคาพออาศัย
เรากับน้องสองนั่งอยู่ข้างใน พี่เณรได้นั่งหน้าหลังคาบัง
อันนายช่องน้องนายแก้วนั้นแกล้วกล้า ขับข้างหน้าเจ๊กกลิ่นปีนข้างหลัง
เข้าเดินดงกงเกียนวิ่งเวียนดัง เหมือนเสียงสังข์แตรซ้องก้องกังวาน
ลางทีฟังดังแอ้อี๋แอ่ออด เหมือนซอสอดเสียงเอกวิเวกหวาน
ตกที่ลุ่มดุมดังกังสะท้าน กิ่งไม้กรานสวบสาบกรอบกราบโกรง
ทั้งตับไตไส้ขย้อนคลอนคลอกแคลก กระทบกระแทกโคกโขดโขยดโขยง
สะดุดโดนโคนรังกึงกังโกง จนตัวโงงโงกผงะศีร์ษะเวียน
พอโคมดับลับเงาเหมือนเข้าถ้ำ พบห้วยน้ำหลีกลัดฉวัดเฉวียน
แต่หนูตาบกับพี่เณรนั้นเจนเกียน ไม่วิงเวียนนั่งหัวร่อร้องยอควาย
ท่านบิดรนอนนิ่งอิงพะนัก สอนให้ยักโยกตัวเวียนหัวหาย
รู้จังหวะระวังนั่งสบาย คอยยักย้ายเยื้องโยกชะโงกตาม
แต่ขับเกียนเวียนวนอยู่จนดึก เสียงสัตว์ครึกครื้นเครงน่าเกรงขาม
ที่รกเรื้อเสือกระหึ่มครึมคำราม เห็นแวมวามวาวสว่างเหมือนอย่างไฟ
ถามบิดาว่าโขมดมันโชติช่วง ทำล่อลวงเวียนวงให้หลงใหล
กำดัดดึกนึกภาวนาใน เสียงนางไม้พูดพึมงึมงึมงำ
เที่ยวขับเกียนเวียนวนไม่พ้นหนอง จนควายร้องฟูดฟาดพลาดถลำ
เดชะบุญคุณพ่อนั่งบริกรรม เหมือนคนนำไปข้างหน้าสี่ห้าคน
พอเกียนโดนโคนไม้เหมือนไฟวุบ กลิ้งตลุบไปตามทางที่กลางหน
พอนายช่องมองจำเห็นตำบล ขึ้นถนนแนวทางไปกลางดง
เจ๊กกลิ่นว่าอารักษ์มาชักช่วย เดชะด้วยพระกุศลจึงพ้นหลง
ต่างกราบพระจะเป็นศิษย์บิตุรงค์ พอเดือนส่งแสงสว่างตามทางไป
๏ ประมาณสามยามสัตว์สงัดเงียบ ยังเย็นเยียบหย่อมหญ้าพฤกษาไสว
หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร หอมดอกไม้รื่นรื่นชื่นวิญญาณ์
ดอกอะไรไม่รู้ดูไม่เห็น หอมเหมือนเช่นน้ำหอมของหม่อมป้า
โอ้เคราะห์กรรมจำขาดญาติกา เมื่อยามเข็ญเห็นหน้าแต่อาแป๊ะ
อยู่ท้ายเกียนเทียนธูปสิ่งใดตก ช่วยหยิบยกให้คุณพ่อหัวร่อแหระ
ออกทุ่งกว้างทางเตียนขับเกียนแวะ ให้ควายและเล็มหญ้ากินวารี
แล้วเดินทางกลางนาเวลาดึก แลพิลึกกว้างขวางหว่างวิถี
หนทางเกียนเตียนตล่งเป็นผงคลี ต้นไม้มีรายรายริมชายนา
๏ ถึงรั้วล้อมหย่อมย่านบ้านตะเข้ ดึกคะเนสิบทุ่มคลุ้มเวหา
เรือนนายช่องห้องใหญ่ให้ไสยา พระบิดาสวดมนต์อยู่บนเกียน
จนรุ่งแจ้งแสงสว่างกระจ่างฟ้า เห็นไร่นาเย่าเรือนดูเหมือนเขียน
ข้างเบื้องซ้ายชายป่าสุธาเตียน เต็งตะเคียนรังร่มพนมเนิน
ข้างแควขวานาไร่กอไผ่รก ฝูงนกหกหากินเที่ยวบินเหิน
เขาปล่อยควายชายทุ่งเป็นฝูงเดิน ได้ดูเพลินพลอยให้ใจสบาย
ฝ่ายพวกเขาชาวป่าทำอาหาร แกงผักหวานกับปลาร้ามาถวาย
ทั้งแย้บึ้งอึ่งย่างมาวางราย ทั้งหญิงชายชาวป่าศรัทธาครัน
ทั้งปลาทูปูป่าประสายาก ไม่มีหมากเปลือกไม้จีบใส่ขัน
ถวายพระพระประโยชน์โปรดพวกนั้น อุตส่าห์ฉันของป่าไม่อาเจียน
แต่หนูตาบกับพี่เณรเราเห็นอึ่ง กับแย้บึ้งเบือนอายไม่หายเหียน
พอเสร็จพระยถาลานายเกียน ตามทางเตียนตัดตรงเข้าดงรัง
๏ สำราญรมย์ลมรื่นชื่นชื่นเฉื่อย เรไรเรื่อยร้องแซ่ดังแตรสังข์
จักจั่นแจ่แม่ม่ายลองไนดัง วิเวกวังเวงใจในไพรวัน
เป็นป่าสูงฝูงสาลิกาแก้ว จับพลอดแจ้วจับใจเสียงไก่ขัน
ดอกเต็งรังดังดอกจอกแลดอกจันทน์ เป็นสีสันสอดแซงเหลืองแดงดี
ต่างเก็บได้ใจหมายถวายพระ ใส่ตะบะแบกเดินเนินวิถี
ถึงพระแท่นแสนสงัดเห็นวัดมี ทั้งโบสถ์ที่ครอบพระแท่นแผ่นศิลา
กับต้นรังทั้งคู่ยังอยู่พร้อม ดูยอดน้อมมาข้างแท่นที่แผ่นผา[๒๒]
ต่างชื่นชมโสมนัสยิ่งศรัทธา ตามบิดาทักษิณด้วยยินดี
เข้าประตูดูแผ่นพระแท่นตั้ง[๒๓] เหมือนบัลลังก์แลจำรัสรัศมี
ก้อนโลหิตคิดเห็นเช่นบาลี[๒๔] อยู่ข้างที่แท่นพระเจ้าเข้านิพพาน
๏ จุดเทียนธูปบุปผาบูชาพระ นึกมานะนิ่งคิดพิษฐาน
ขอเดชะพระมหาโลกาจารย์ เป็นประธานทั้งพระแท่นแผ่นศิลา
อันชาตินี้มีกรรมมาจำเกิด ต้องร้างเริดไร้ญาติน้อยวาสนา
สิ้นตระกูลสูญขาดญาติกา จะก้มหน้าบวชเรียนไม่เวียนวน
ขอเดชะพระผลาอานิสงส์ ซึ่งเราทรงศีลสร้างทางกุศล
อย่ามีโศกโรคภัยสิ่งไรระคน ประจวบจนจะได้ตรัสด้วยศรัทธา
แม้นมิถึงซึ่งนิพพานการประเสริฐ จะกลับเกิดก็อย่าคลาดพระศาสนา
ให้เชื้อวงศ์พงศ์พันธุ์กรรุณา อย่าทำหน้าเหมือนหนึ่งยักษ์ให้รักกัน
ให้รูปงามทรามประโลมโฉมฉอเลาะ รู้ปะเหลาะประโลมหญิงทุกสิ่งสรรพ์
พอสพเนตรเจตนาอย่าช้าพลัน ให้นุชนั้นน้อมจิตสนิทใน
ประการหนึ่งซึ่งที่นึกรำลึกถึง ให้ทราบซึ่งสุจริตพิสมัย
มิตรจิตขอให้มิตรใจไป เหมือนมาลัยลอยฟ้าลงมามือ
จะออกปากฝากรักก็ศักดิ์ต่ำ กลัวจะซ้ำถมทับไม่นับถือ
ถึงยามนอนร้อนฤทัยดังไฟฮือ ชมแต่ชื่อก็ค่อยชื่นทุกคืนวัน
เวลาหลับคลับคล้ายไม่วายเว้น ได้พบเห็นชื่นใจแต่ในฝัน
ขอฝากปากฝากคำที่รำพัน ให้ทราบขวัญนัยนาด้วยอาวรณ์
แม้นได้ชมสมหวังดังสวาท ไม่คลาคลาดเคลื่อนคลายสายสมร
แม้นชาตินี้ชีวาตม์จะขาดรอน ไม่อาวรณ์หวังให้ลือว่าชื่อชาย
๏ พอบิดาลาออกมานอกโบสถ์ ขึ้นเขาโขดเขตผาศิลาสลาย
เป็นภูมิพื้นรื่นร่มลั่นทมราย ชื่อเขาถวายพระเพลิง[๒๕]พระเจ้าเขาเล่าความ
เป็นกรวดแก้วแวววาวพรอยพราวพร่าง เพชรน้ำค้างอย่างมณีสีสยาม
แม้นกลางคืนพื้นผาริมอาราม ดูแวมวามวาบวับแจ่มจับตา
ครั้นกลางวันนั้นก็เห็นเป็นแต่กรวด จะเก็บมาอวดกันก็ทราบบาปหนักหนา
เที่ยวชมรอบขอบอารามตามบิดา แล้วเลยลาลัดทางมากลางดง
๏ ถึงท่าเรือเมื่อตะวันสายัณห์ย่ำ ได้กรวดน้ำแผ่ผลาอานิสงส์
ให้ดับโศกโลกธาตุญาติวงศ์ แล้วล่องลงมาทางหาดเมืองราชพรี
เมื่อเดินทางกลางแดนนั้นแสนอด เสบียงหมดหมายมุ่งมากรุงศรี
โอ้เศร้าสร้อยน้อยหน้าทั้งตาปี ด้วยไม่มีญาติมิตรสนิทใน
ถึงคนผู้อยู่เกลื่อนก็เหมือนเปลี่ยว สุดจะเหลียวแลหาที่อาศัย
คำบูราณท่านว่ามิตรจิตใจ ก็เปล่าไปไม่เหมือนคำที่รำพัน
จำเดิมแต่แลพบประสบพักตร์ เรานึกรักร่ำไปเฝ้าใฝ่ฝัน
คอยฟังฝ่ายสายสวาทไม่ขาดวัน ไม่ผ่อนผันพจมานประการใด
จะเด็ดรักหักจิตไม่คิดรัก ดังศรปักสักแสนศรถอนไม่ไหว
จะสู้บวชรวดเดียวไม่เกี้ยวใคร ธุดงค์ไปโป่งป่าตามอาจารย์
แม้นผู้ใดได้อ่านของฉานมั่ง ทั้งผู้ฟังเรื่องไร้แรมไพรสาณฑ์
แบ่งกุศลผลผลาสมาทาน ให้กับท่านทุกทุกคนตามจนเอย ฯ


[๑] ถ้าอ่าน กันรุณาได้สัมผัสใน แต่ในบางแห่งก็อ่าน กรุนณา

[๒] สอบตามปฏิทิน ปรากฏว่ามี ปีมะเส็งตรีศก พ.ศ. ๒๓๖๔ ปีมะเส็งเบญจศก พ.ศ. ๒๓๗๖ กับปีมะเส็ง สัปตศก พ.ศ. ๒๓๘๘ ไม่ปรากฏว่าวันเพ็ญเดือน ๔ ตรงกับวันอังคาร แต่คราวแต่งนิราศนี้คงเป็น ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๗๖ ดู-สถานที่กล่าวถึง ท้ายเล่ม

[๓] ไปทางเรือเข้าคลองมหานาค

[๔] เชิงเลน ปากคลองโอ่งอ่าง

[๕] ผ่านข้างวัดเลียบ หรือ วัดราชบูรณะ ออกแม่น้ำเจ้าพระยา

[๖] เข้าใจว่าหมายถึงพระยาสุรเสนา (ฉิม) ในรัชกาลที่ ๒

[๗] เรือแวะเข้าคลองบางหลวง

[๘] คือ วัดอัปสรสวรรค์

[๙] ตามประวัติว่า เจ้าจอมน้อย สุหรานากง ในรัชกาลที่ ๓ บุตรีเจ้าพระยาพลเทพ (ฉิม) เป็นผู้สร้าง

[๑๐] คือวัดราชโอรส อยู่ในคลองด่าน จังหวัดธนบุรี

[๑๑] หมายถึงงานฉลอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๕

[๑๒] หมายถึงพระภิกษุสุนทรภู่ ถึงปี พ.ศ. ๒๓๗๖ นี้ท่านมีอายุ ๔๗ ปี และบวชมาได้ราว ๑๐ พรรษา

[๑๓] ตะเข้ ในที่นี้หมายถึงสัตว์น้ำชนิดหนึ่ง ปัจจุบันเขียนกันว่า จระเข้

[๑๔] คือ เมืองราชบุรี ดูสถานที่กล่าวถึง หมายเลข ๓๒ ท้ายเล่ม

[๑๕] พำนัก ?

[๑๖] ตะเข้ = จระเข้

[๑๗] ปัจจุบันนี้เป็นตำบลนครชุม ขึ้นอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี

[๑๘] เข้าใจว่าเป็น รังวาน หรือ รางวาน ปัจจุบันนี้มีหมู่บ้านและวัดรางวาน

[๑๙] พงตึกตั้งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำแม่กลอง เป็นตำบลขึ้นอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี มีซากโบราณสถานและมีผู้พบพระพุทธรูปและศิลปวัตถุสมัยทวารวดี สันนิษฐานกันว่า ท้องที่แถวนี้เคยเป็นที่ตั้งบ้านเมืองมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรทวารวดี

[๒๐] อาจเป็น “ถึงท่าหว้าป่ารังสองฝั่งราย” มีบ้านท่าหว้าและตลาดท่าหว้าอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำแม่กลอง ตรงข้ามกับพงตึก ซึ่งมีวัดดงสักตั้งอยู่ฝั่งขวา

[๒๑] ที่ว่าขวาและซ้ายในที่นี้ คงหมายถึงขวาและซ้ายของผู้นั่งเรือทวนน้ำขึ้นไปตามลำน้ำแม่กลอง มิใช่ขวาและซ้ายอย่างหันหน้าล่องตามน้ำ

[๒๒] ต้นรังทั้งคู่ริมพระแท่นที่กล่าวถึงนี้ เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว

[๒๓] แผ่นศิลาที่ว่าเป็นพระแท่นนี้ เขาก่อวิหารครอบไว้

[๒๔] เคยมีก้อนศิลาที่ว่าเป็นก้อนพระโลหิตอยู่ก้อนหนึ่ง พวกผู้ไปนมัสการพระแท่นแย่งกันบังสุกุล เลยตกแตก

[๒๕] เขาถวายพระเพลิงสูง ๕๕ เมตร อยู่ทางทิศตะวันตกของวิหารพระแท่น

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ