พระราชนิพนธ์

วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๑๒๕ ออกจากสวนดุสิต ๒ ทุ่ม ไปในวังแล้วไปบ้านบุรฉัตร พอสวดมนต์จบเลี้ยงแล้วตัดสินโต๊ะฉเพาะชิ้นปักกิ่ง ๔ ทุ่มครึ่งรดน้ำแล้วกลับเข้ามาในวังทูลลาแล้วลงเรือ ถึงตำหนักแพวังหน้า ๕ ทุ่ม ถึงวัดเขมา ๕ ทุ่มครึ่ง

วันที่ ๒๘ เช้าโมงครึ่ง ถ่ายรูป รับพวกกรมการผู้ใหญ่บ้าน และพระวินัยรักขิต ถวายเงินชั่ง ๑ แล้วลงเรือไปตลาดบางเขน ถ่ายรูปที่ด่านภาษี กลับขึ้นเรือชื่นใจ ผ่านหน้าวัดเขมาเวลา ๓ โมง ๑๕ มินิต แต่หน้าวัดเขมาถึงวัดปากอ่าว ๗๐ มินิต จากวัดปากอ่าวถึงวัดเทียนถวาย ๔๐ มินิต ขึ้นวัดถ่ายรูป ถวายเงินสมภาร ๒๐ บาท ออกจากวัดเทียนถวายถึงบางหลวงเชียงรากเที่ยง ๑๕ ถึงดงตาลเที่ยง ๒๐ มีคนมาก ถ่ายรูปแล้วทำกับเข้า กินเข้าแล้วมีสบ้ามอญ ฝนตกประปราย บ่าย ๓ โมง ๑๕ มินิตมาด้วยเรือมาด มีฝนตลอดทาง ถึงวัดท้ายเกาะใหญ่ที่จอดเรือเวลาบ่าย ๕ โมง จัดที่พักที่ศาลา ๒ หลังต่อกัน มีพิณพาทย์มอญ

วันที่ ๒๙ เช้า ขึ้นไปบนวัดถ่ายรูป วัดนี้เรียกตามตำบลชื่อ เวียงจาม เปนพระรามัญ เปนวัดที่สุดเขตประทุม พระรามัญมุนี เจ้าคณะเมือง กับพระครูเจ้าคณะรอง เจ้าคณะแขวง เจ้าอธิการ แลอันดับวัดอื่นในแขวงประทุมมารับ ถวายวัตถุปัจจัยทั่วกันแล้วกลับมาลงเรือ ออกจากท้ายเกาะ ๓ โมงครึ่ง มาแวะคลองตะเคียนซื้อผ้า เวลาล่าไปฝนก็ตก ลืมดูนาฬิกาจนหิวจึงรู้สึก จึงจอดทำกับเข้าที่แพซุงใกล้คลองตะเคียน เปนกับเข้าปัจจุบัน มีปลาแห้งผัด ไข่เจียว แกงกทิ สำเร็จอาหารกิจอย่างอร่อย เพราะมอยอมอแกอยู่บ้าง แล้วออกเรือหมายว่าจะแวะวัดพนัญเชิง แต่ฝนไม่หยุดจึงเลยขึ้นมาเกาะลอย พอถึงที่ฝนก็หาย อาบน้ำแล้วลงเรือเล็กขึ้นไปทางคลองเพนียด ซื้อของตามร้านตามแพแล้วกลับมาเข้าในคลองเมือง ไปจนแพช่างทองนอกตำหนักแพแล้วจึงได้กลับ ค่ำไม่ได้ขึ้นอยู่บนเรือน เขาถอยแพมาจอดให้อยู่ที่หน้าเรือนกรมมรุพงศ์

วันที่ ๓๐ เช้า ขึ้นไปถ่ายรูปบนสพานแลบ้านกรมมรุพงศ์ แล้วลงเรือไปขึ้นสพานวังจันทร์ ดูตลาดเลิกบ่อนเสียอยู่ข้างจะซัวไปสักหน่อย ลงเรือจากตลาดแวะซื้อของที่ตลาดเรือสี่แยก แล้วขึ้นมาตามแควป่าสัก แวะกินเข้ากลางวันที่พระนครหลวง ถ่ายรูปแลทำกับเข้า กำลังกินฝนตกวันนี้มากมีฟ้าร้อง ตามพื้นที่รก แต่ที่สร้างขึ้นใหม่สำหรับพระจันทร์ลอยแล้วสำเร็จ ถ้ามีสมภารที่ขยันจริง ๆ จะรักษาไปได้หลายปี แม้ว่าเช่นนี้น่าจะไม่อยู่ได้นาน ลงเรือกำลังฝน ออก ๒ โมงครึ่ง ฝนมาหายเกือบถึงศาลาลอย ถึงบ่าย ๔ โมงเศษ ศาลาลอยนั้นไม่มีพื้น ถ่ายรูปแล้วจึงได้อาบน้ำ

วันที่ ๓๑ เช้า ๓ โมงออกเรือ แวะที่ท่าเจ้าสนุก เขาถางเห็นรากกำแพงแลพระที่นั่ง คงจะเปนหลังยาวตามแบบ มีบ่ออยู่แห่งหนึ่งลึกมาก ก่ออิฐถือปูนลงไปจนตลอด แต่มีรอยชักอิฐอยู่ในระหว่างกลาง กุกันว่าเปนกำแพงข้ามบ่อ บ่อนั้นใช้ได้ทั้งข้างหน้าข้างใน ดูยังไม่เห็นจริง เพราะพึ่งจะค้นพบชิ้นยังไม่ได้ตรวจเลอียด ตรงท่าเจ้าสนุกข้ามเรียกว่าท่าเกย คือเปนที่เกยประทับช้าง เวลาจะเสด็จพระบาทต้องลงเรือข้ามไปท่าเกย แวะถ่ายรูปบางแห่งมีสพานจักรีเปนต้น กรมนรามาคอยอยู่ที่ ท.จ.ก. แล้ว แวะพูดกันหน่อยหนึ่ง ขึ้นมาปลดเรือไฟที่วัดสดาง มีคนมาคอยเขนเรือตามเคย แต่ไม่ต้องเขน เพราะฝน ๓ วันนี้พอที่จะให้น้ำขึ้นได้ กินเข้ากลางวันที่วัดท่างาม ซึ่งเดี๋ยวนี้เรียกกันว่าท่าหลวง ซึ่งเรียกท่าหลวงนั้นเกิดขึ้นใหม่ เพราะพระจุลจอมเกล้า ฯ เสด็จพระบาท ๒ ครั้งขึ้นที่ท่างามทั้ง ๒ ครั้ง เดิมจะแรมที่นี้แต่ตกลงข้ามเสีย เพราะใกล้จะให้ได้วันมาก ขึ้นมาจวนจะถึงเสาไห้ฝนตกมืดมาข้างหลัง ยังเชื่อว่าจะหนีทัน แต่เพราะที่จอดเรืออยู่ถึงวัดสมุหประดิษฐจึงหนีไม่ทัน ฝนตกหนัก ตั้งแต่ก่อนย่ำค่ำ ๑๕ มินิต ตกหนักจนเวลา ๔ ทุ่มจึงได้เลยพรำต่อไป อยู่ข้างจะกันดารที่

วันที่ ๑ สิงหาคม เมื่อคืนนี้ที่ว่าฝนหยุด ๔ ทุ่มนั้นเปนคำเท็จ กลับตกใหม่หนักอย่างเดียวกันไปจน ๒ ยามจึงพรำไปจน ๗ ทุ่ม น้ำท่วมสพานหาดค่อยๆหายไปจนลบ น้ำขึ้นศอกเศษ ตวงน้ำฝนที่ๆว่าการเมืองสระบุรีได้ ๘ เซนต์ เช้ายังพรำอยู่อีกจนสายจึงได้หายสนิธ ลงเรือมาดเรือโมเตอร์อมรโอสถลากขึ้นไปตามลำน้ำ แวะถ่ายรูปเปนตอน ๆ จนถึงแก่งม่วงถ่ายเรือลงแก่งขึ้นแก่ง ขึ้นถ่ายบนบกที่แก่งเพรียว แต่แก่งนี้น้ำขึ้นลบศิลาเสียมาก ล่องกลับลงมาขึ้นบกที่บ้านพระยาสระบุรี ตั้งแต่เสาไห้ไปจนถึงแก่งเพรียวหย่อน ๓ ชั่วโมง ขึ้นดูที่ว่าการแลดูตลาดที่จะพอเปนเมืองขึ้นในภายหน้า มีถนนลงมาเสาไห้ทาง ๒๐๐ เส้น กินเข้าที่บ้านพระยาสระบุรี แล้วลงเรือล่องมาเสาไห้ชั่วโมงเศษ อาบน้ำแล้วออกเรือกระบวรใหญ่ เวลาบ่าย ๓ โมงเศษ ล่องลงมาถึงท่าเรือทุ่มครึ่ง อยู่ใน ๔ ชั่วโมงเต็ม กรมนราแต่งโคมยี่ปุ่นหรู แต่พอถึงก็ฝนตกต้องสั่งให้เก็บ แต่เห็นจะไม่ตกมาก

วันที่ ๒ สามโมงเช้าขึ้นรถไฟกรมนราไปพระบาท ทางเรียบร้อยดีกว่าแต่ก่อน ถมบาลัศเต็มไป จวนถึงฝนตกเรื่อยไปจนกระทั่งเดิรขึ้นพระบาททั้งฝน มีเหตุสำหรับเปนสวัสดิมงคลในการต้องขลึก ๒ อย่าง คือม่านที่กั้นกลางรถราวหลุดประการหนึ่ง อีกสักเส้นหนึ่งจะถึงรถหลังตกราง เลยต้องลงไม่ถึงสเตชั่น มณฑปพระบาทรื้อเครื่องบนลงหมดมุงสังกะสีไว้ เหมือนสวมหมวกแฮลเม็ดน่าเกลียด ข้อที่แปลกนั้น คือเห็นต้นไม้ที่พระบาทใบเขียวแลต้นเล็กน้อยขึ้นรกผิดกับเทศกาลที่เคยโกร๋นเกร๋น มีศาลาเมรุหลวงธุระการ๑๐ ปลูกอยู่ต้นทางเข้าไปหน้าหมู่กุฏิซึ่งเขาจัดเปนที่พักกินเข้า แปลกขึ้นใหม่หลังเดียว นอกนั้นคงเดิม ถ่ายรูปออกจะทั้งฝนเกือบทั้งนั้น แล้วกลับมากินเข้าที่ศาลาที่ว่าแล้ว กรมนราแจกแพรแถบพม่ากับตีน๑๑ ผู้ชายมีมีดเงี้ยวผู้หญิงมีอับเงี้ยว รถขึ้นชั่วโมง ๑ พักอยู่เกือบ ๓ ชั่วโมง กลับมาเรือไม่ถึงบ่าย ๓ โมง ฝนหยุดหน่อยหนึ่งแล้วกลับตกอีก น้ำขึ้นแต่คืนนี้ท่วมร้านที่จอดเรือ ต้องยกพื้นอีกชั้นหนึ่ง ค่ำยาม ๑ มีละคอนนฤมิต ในสเตชั่นรถไฟจัดโรงหรู แต่โปรแกรมเรื่องล้นเวลา ตอนต้นเล่นหณุมานส่งวานริน นางซึ่งเจ้าจอมมารดาเขียนตื่นพเน้าพนึงอยู่นาน๑๒ จนเกือบ ๒ ยามจึงได้ลงมือเล่นตอนของกรมนรา เรียกชื่ออิศรแก่ตัว ไม่ทันถึงม่านต้องตัดป่นตัดปี้ แต่กระนั้นก็ ๒ ยามเลยมาก จนง่วงเต็มที ความคิดเห็นตอนแรกตั้งใจจะอวดรำงามร้องเพราะ แต่มันเบื่อที่เปนลิงกับคนแลยืดยาด ตอนหลังตั้งใจจะมีเกร็ดเข้าไปหรูในเรื่องมาก จึงชักให้ช้า แต่ท้องเรื่องหลวม ถ้าเล่นแต่ลำพัง เห็นจะดูไม่สู้ช้านัก

วันที่ ๓ เช้า ๒ โมง ล่องด้วยเรือใหญ่ นอนไม่ตื่นจน ๔ โมงจึงลุกขึ้นทำกับเข้า พอถึงเวลากินก็พอถึงกรุงเก่า แล้วไปสเตชั่นบ่าย ๑ โมง ๔๐ เศษลงมาบางกอก เสนาบดีกระทรวงโยธา๑๓ไปรับ ถึงสเตชั่นบ่าย ๓ โมงเศษ ผู้รักษาพระนครแลเสนาบดีรับไปส่งเจ้าสาย๑๔ ที่บ้านชายแล้วกลับเข้าในวัง แขกเมืองพร้อมแล้วกลับเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวครึ่งยศเสื้อสักหลาด ออกรับต้นไม้เงินทอง เมืองไทร เมืองปลิศ เมืองสตูล แล้วกลับเข้าดูห้องในพระที่นั่งนอนเหนื่อย ๆ กินของว่าง หมายว่าจะออกประชุม ๕ โมงเศษ๑๕ ได้โทรเลขพระยาบำเรอภักดิ์๑๖ ว่ารถพิเศษปากน้ำจะถึงย่ำค่ำเศษ จึงนัดเลื่อนกันใหม่ ไปรับส่งแล้วจึงจะกลับมาประชุม จนเวลา ๒ ทุ่มพอจะขึ้นรถ ได้โทรเลขมาใหม่ว่าติดรถธรรมดา จะถึงต่อทุ่ม ๔๐ จึงได้พากันขึ้นหอประชุม มีเวลาชั่วโมง ๑ เศษเล็กน้อย มีเรื่องสำคัญหลายเรื่องต้องรีบรัดแลได้สั่งการให้สำเร็จ จนอีก ๑๕ มินิต จะถึงกำหนดจึงได้ไปสเตชั่นเลยไม่ทัน ลูก๑๗มาถึงเสียก่อน ๔ - ๕ นาทีแล้วยังต้องคอยพวกในที่ประชุมซึ่งไปภายหลัง จนพร้อมกันแล้วจึงได้มาบ้านได้เลี้ยงกัน ๒ ทุ่ม ยามเศษออกไปสเตชั่นสามเสน ขึ้นรถไฟกลับมาบางปอิน ชายมาด้วยแต่สุริยงค์๑๘อยู่บางกอก ถึงเกือบ ๕ ทุ่ม จอดเรือที่แพพระยาสุรสีห์๑๙ ซึ่งเลื่อนขึ้นมาไว้ใต้สพาน แล้วยังมีพวกสหายหลวง๒๐ มาเลี้ยงขนมจีนเลี้ยงหมี่ แต่ดึกเสียเต็มทีอิ่มด้วย แจกหีบเงินแลผ้าห่ม วันนี้นอนดึก

วันที่ ๔ นอนดึกตื่นสาย แลท้องไม่สู้ปรกติ กินเข้ากลางวันแล้วจึงได้ออกเรือบ่ายโมง ล่องลงมาเลี้ยวเข้าแควสีกุก ทำหนังสือไปบางกอก ฝนตกเรื่อยมาจนเวลาเย็นมีพยุ หางเสือเรือไม่กินน้ำปั่น จะไปต่อไปก็เห็นว่าฝนตกไม่หยุดแลจะมืดค่ำ จึงจอดนอนที่วัดสีกุก เวลาบ่ายกินเข้าต้มเวลาหนึ่ง วันนี้จันทรุปราคา เห็นไม่ได้เพราะฝนตกจนหมดเวลา ที่วัดนี้มีมณฑปอยู่ตรงเรือจอด แต่ยังไม่รู้ว่าอะไรอยู่ในนั้น น้ำขึ้นมากน้ำท่วมจะขึ้นบกถึงต้องใช้เรือ

วันที่ ๕ เช้าโมง ๑ น้ำลดสพานเดิรได้ขึ้นไปถ่ายรูป ในมณฑปที่พูดเมื่อวานนี้มีพระป่าเลไลย แลรูปเจ้าอธิการวัดบางปลาหมอ ที่เขาเรียกในคำจารึกแต่ว่าพระอาจารย์วัดหมอ๒๑ รูปร่างหน้าตางามขนาดเท่าตัว ท่านอาจารย์คนนี้เปนหมอรักษาบ้า ว่าเปนพระญาติสมเด็จพระปวเรศ เพราะเดิรขึ้นไปไม่มีใคร ได้พระเจริญพร (โดยไม่รู้จัก) ออกเรือ ๒ โมงเช้า วันนี้ได้เทศา๒๒ลงเรือมาด้วย รู้ตำบลมาก ๕ โมงเช้าถึงบ้านตาช้าง๒๓ หมื่นปฏิพัทธภูวนาถทั้งผัวทั้งเมียแลลูกลงมาเต้นอยู่ที่ท่าน้ำ ดาดปรำแต่สพานตลอดจนถึงบันไดเรือนปูพรมทาง บนเรือนนั้นหอที่ปลูกใหม่สำหรับรับเสด็จแต่งหรูอย่างกุฏิพระ คือติดนาฬิกาทุกเสา ๑๒ เรือน ติดรูป มีพระรูปแลรูปพระ สมเด็จพระวันรัตนเปนต้น เขากวางตู้ถ้วย กระจกเงาเปนต้น มีถ้วยชา หีบหมากเงิน เชี่ยนหมาก ชาก็พอกิน หมากก็กินได้ ผู้คนญาติแน่นหนา ลูกแต่งตัวเต็มยศปุกปุยเต็มที่ ที่จริงทำให้เรือนนั้นสบายขึ้นมาก แต่ร้อนจัดสู้โรงที่เคยทำครัวแต่ก่อน ซึ่งแกย้ายไปปลูกห่างเรือนออกไปนั้นไม่ได้ คราวนี้พื้นเต็มเรียบร้อย แต่โรงนั้นก็โรงเก่านั่นเอง มีปลูกขึ้นใหม่หว่างเรือน แลโรงที่ทำครัวหลังหนึ่งมุงกระเบื้อง รอยปิดกระดาษเสาว่าเปนโรงพิธีฉลองตรา มีหนังสือถวายพระราชกุศลหรือใบอุทิศถวายเรือนฉบับหนึ่ง ว่าได้ลงทุนฉลองตราสิ้นเงิน ๔๐๐๐ บาท ฉลองพระไล๒๔ลูกด้วย มีงาร ๗ วัน คนแน่นหลามไปหมดจนเขาพากันว่าจะเกิดเหตุ แต่ก็ไม่มีอะไรจนตลอดงาร มียี่เกมีเพลงแลอะไรอีกอย่างหนึ่ง เรือนที่ทำถวายนี้ลงทุน ๑๕๐๐ บาท เสร็จการปราสัยแล้วก็ลงไปทำครัว นางลูกสาวแกงไก่ ยายพลับแกงบะฉ่อ แก้ซึ่งมีผู้ใส่น้ำปลาครั้งก่อน แต่เสียงยายพลับเบาไปไม่จ้าเหมือนครั้งก่อน ตาช้างว่าคราวนี้สนุกกว่าคราวก่อน แต่ยายพลับว่าคราวก่อนสนุกกว่าคราวนี้ ได้ให้หีบเงินตรา จ.ป.ร. ยายพลับ นายช้างลูกกระดุมเงินลงยาใหญ่ นางลูกสาว ๒ คนผ้าห่มมีหนังสือชื่อ อ้ายเจ๊กขันซองบุหรี่เงิน พาลูกเจ๊กขันมาขอชื่อ เปนผู้ชายน่าเอนดูดี ให้ชื่อเจอ ถ่ายรูปเรือนแลทั้งครัว บ่าย ๒ โมงเศษได้ออกเรือ ตาช้างตามส่งถึงป่าโมกข์ สพานป่าโมกทำสูงน้ำมาก เดิมคิดว่าจะไปให้ถึงอ่างทองเสียทีเดียว แต่เห็นเวลาบ่าย ๔ โมงแล้ว ถ้าจะไปคงจะถึงย่ำค่ำเลย จึงหยุดที่ป่าโมกข์ หม่อมอมรวงศ์๒๕มาคอยอยู่ มีราษฎรมามากเหมือนเทศกาลไหว้พระ แต่ถามดูก็ได้ความว่านัดกันมารับเสด็จเท่านั้น ขึ้นถ่ายรูปนมัสการพระตามเคย

มีเรื่องแปลกที่มาได้พบตัวจริงของผู้ที่ว่าได้เคยพูดกับพระนอน ซึ่งเจ้าคณะได้บอกลงไปหลายเดือนมาแล้ว เรื่องราวนั้นคือ อำแดงคนหนึ่งเปนหลานพระครูป่าโมกข์ มารักษาอุโบสถอยู่ที่วัดนี้ในกาฬปักษ์ใดปักษ์หนึ่ง เวลานั้นสัปรุษพากันรับเพลตามภาษาเขาเรียกอยู่ที่วิหารเขียน แต่นางหลานพระครูคนนี้ไม่รับเพล ด้วยมีความวิตกว่าลุงเจ็บ จึงไปบอกหลวงพ่อคือพระนอนขอให้ช่วยรักษา นางนั้นตกใจมากที่ได้ยินเสียงพระนอนนั้นพูดตอบออกมา แต่มิได้ตอบทางพระโอษฐ เสียงก้องออกมาจากพระอุระ ดังได้ยินจนนอกโบสถ์ บอกตำรายา ถามนางนั้นก็อิดเอื้อนไปว่าจำไม่ได้หมด จำได้แต่ใบเงินใบทอง พระครูรับว่าจะให้เพราะได้จดไว้ ยานั้นไปรักษาลุงหาย ได้แจ้งความให้พระครูทราบ พระครูไม่เชื่อ พอประจวบเกิดพระสงฆ์เปนอหิวาตกโรค จึงได้ไปลองพูดดูบ้างก็ได้รับคำตอบทักทายปราสัยเปนอันดี จนถึงว่าอยากพูดกับพระครูมานานแล้วเปนต้น แต่นั้นมาพระครูได้รักษาไข้เจ็บด้วยยานั้น เปนอะไรๆก็หาย ห้ามมิให้เรียกขวัญเข้าค่ายานอกจากหมากคำเดียว แลไม่ใช่พูดแต่ ๒ ครั้งเท่านั้น พูดเนือง ๆ มา พระครูจึงได้บอกลงไปยังเจ้าคณะแลกระทรวง ผู้ที่ได้ฟังพระพูดนั้นไม่ต้องฉเพาะว่าคนเดียว พระฟังพร้อมกัน ๑๕ รูปก็ได้ ให้นางคนนั้นลองพูดกับพระ ก็เห็นจะขาดกรมประจักษ์จึงไม่ได้ตอบ กลับลงมามีเด็กมากอดได้ให้เสมา ตกค่ำจึงมีพยุแลฝนตกพรำไม่มาก พระครูส่งจดหมายที่เตรียมไว้จะให้มกุฎราชกุมารเรื่องพระพูดแลตำรายา ในเนื้อความที่พระครูกล่าวนั้นไม่ยืนยันว่าพระพุทธองค์พูด เปนคิดเห็นว่าผีสางเทวดาที่สิงอยู่พูด ยานั้นก็เปน ๒ ขนาน ๆ หนึ่งเข้าใบส้มใบมะกาเปนยาปัด ขนานหนึ่งเข้าใบมะตูมเปนยาคุม

----------------------------

ลิขิตของพระครูปาโมกขมุนี

(ลิขิตฉบับนี้ พระครูปาโมกขมุนี เตรียมไว้ถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เมื่อคราวเสด็จกลับจากมณฑลพายัพ แต่ผเอิญหาได้เสด็จประทับที่วัดป่าโมกข์ไม่ ลิขิตฉบับนี้จึงยังตกค้าง)

ที่วัดปาโมกข์

วันที่ ๓๐ มกราคม ร.ศ. ๑๒๔

ลิขิตพระครูปาโมกขมุนี วัดปาโมกข์ เมืองอ่างทอง

ขอถวายพระพรยังสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงทราบ

๑ เดิมวันที่ ๑๐ ธันวาคม ศก ๑๒๔ ปีนี้ เวลาบ่ายประมาณ ๖ โมงเย็น พระโตอยู่ในวัดปาโมกข์ ป่วยเปนไข้อหิวาตกะโรค หมอรักษาก็ไม่บันเทา ขณะนั้นอูบาสิกาเหลียน อยู่บ้านเอกราชแขวงปาโมกข์ เมืองอ่างทอง จึงมาขอยา ตั้งความสัตยาธิฐานต่อพระพุทธไสยาสน์ แล้วก็เอาใบไม้ที่สมมตว่าเปนยานั้นเอามาต้มให้พระโตที่ป่วยนั้นฉัน พระโตก็ฉันยาเข้าไป โรคของพระโตก็หายสมประสงค์ พระโตที่ป่วยกับอุบาสิกาเหลียนนั้นเปนลุงหลานกัน

๒ อุบาสิกาเหลียนมาแจ้งความต่ออาตมาภาพกับพระภิกษุสงฆ์ในวัดปาโมกข์ ว่าพระพุทธไสยาสน์นี้ท่านเปนหลวงพ่อฉัน ฉันจะธุระนึกเอาอันใดใปหาท่าน มีเสียงออกจากพระอุระมาเสมอ ๆ ท่านไม่ขัดฉัน อาตมาภาพถามอุบาสิกาเหลียนว่าเสียงพูดออกมาจากพระอุระพระพุทธไสยาสน์ได้จริงหรือ อุบาสิกาเหลียนตอบว่าจริงเจ้าข้า

๓ วันที่ ๑๔ ธันวาคม ร.ศ. ๑๒๔ เพลา ๖ ทุ่ม ๗ ทุ่ม เลิกประชุม อาตภาพจัดให้พระสงฆ์ในวัดป่าโมกข์ประมาณ ๑๐ รูป คฤหัสถ์ ๕ คน ศิษย์วัดด้วย รวมพระสงฆ์คฤหัสถ์ศิษย์วัดประมาณ ๓๐ คนพากันไปที่พระวิหารพระพุทธไสยาสน์ อุบาสิกาเหลียนก็ไปด้วย ขณะนั้นอาตมาภาพจึงให้พระสงฆ์จุดโคมไฟให้แสงสว่างทั่วไปในพระวิหารนั้น อาตภาพได้ให้พระสงฆ์ตรวจดูว่าจะเปนผู้ใดทำกลมารยา เร้นซ่อนเข้ามาพูดกับอุบาสิกาเหลียน กลัวว่าอุบาสิกาเหลียนจะเปนคนเท็จทุจริต พระสงฆ์ก็ตรวจดูตามทาง คือพระวิหารแลฝาผนังองค์พระทั่วไป ก็ไม่เห็นมีคนที่จะเข้ามาแอบแฝงอยู่ในที่นั้นได้ แล้วอาตมภาพจึงให้พระสงฆ์ปิดประตูพระวิหาร แลให้รักษาคอยสอดแนมดูอยู่ในพระวิหารทั่วไป เปนเหตุที่ไม่เชื่อคำอุบาสิกาเหลียน หวังใจจะจับเท็จอุบาสิกาเหลียน

๔ อุบาสิกาเหลียน ๑ อาตมภาพแลพระสงฆ์ ๑๐ รูป คฤหัสถ์ชาวบ้านศิษย์วัดรวม ๓๐ คน พากันเข้าไปในพระวิหารพร้อมกัน มีแสงไฟสว่างทั่วไป ไปนั่งอยู่ที่ตรงพระพักตรพระพุทธไสยาสน์ ห่างประมาณ ๔ ศอก อุบาสิกาเหลียนจุดธูปเทียนเอาใบพลู ๑ ใบทาปูนพับ ๔ เหลี่ยม หมาก ๑ ซีก ยาสูบใส่พานบูชา แล้วออกอุทานวาจาตั้งอธิฐานว่าดัง ๆ พยานที่ไปก็ได้ยิน ในคำอธิฐานนั้น ว่านิมนต์หลวงพ่อเอาเภสัชในพานนี้ไปฉันให้พระครูปาโมกขมุนีดู ประมาณ ๒ มินิตหมากที่ในพานก็หายไป อาตมาภาพกับพยานได้เห็นเปนอัศจรรย์ชั้นแรกแต่จิตต์นั้นไม่เชื่อ แล้วอาตมภาพถามอุบาสิกาเหลียนว่านิฉันจะพูดด้วยจะได้หรือไม่ได้ อุบาสิกเหลียนก็ร้องขึ้นว่า นิมนต์หลวงพ่อพูดกับท่านพระครูจะได้หรือไม่ได้ ขณะนั้นได้ยินเสียงปรากฎอยู่ที่พระอุระ สำเนียงกระแสเสียงตอบว่าได้

๕ ขณะนั้นอาตมภาพก็ยกมือขึ้นนมัสการร้องเรียกหลวงพ่อคำรบ ๓ มีเสียงปรากฎออกจากพระอุระตอบว่าเรียกทำไม อาตมภาพไต่สวนต่อไป ถามว่าหลวงพ่อในสมัยนี้หลวงพ่อมีความสุขสบายดีหรือ ตอบออกมาว่าสบาย แล้วอาตมภาพถามว่าหลวงพ่อสบายแล้ว หลวงพ่อให้ความสุขสบายแก่ผมบ้างไม่ได้หรือ เสียงตอบว่าพระครูก็เปนสุขสบายอยู่แล้ว อาตมภาพถามว่าจะให้เปนสุขสบายขึ้นไปยิ่งกว่านี้จะได้หรือไม่ได้ ตอบว่าไม่ได้ อาตมภาพถามว่าเหตุใดจึงไม่ได้ ตอบออกมาว่าเดือนยี่กับเดือน ๕ จะเกิดเปนโรคอหิวาตกะโรค แล้วอาตมภาพถามว่าส่วนที่จะเกิดโรคอหิวาตกะโรคทำไมจึงทราบได้ หยูกยาจะไม่ทราบบ้างหรือ ถ้าทราบยาได้แล้วบอกให้เปนทานแก่มหาชนทั้งหลายทั้งปวงสืบต่อไป ตอบว่าไม่ต้องรับประทานยา อาตมภาพถามว่าไม่รับประทานยาจะรับประทานอะไรจึงจะหาย ตอบว่ารับประทานน้ำมนต์ก็หาย อาตมภาพถามว่าเดือนยี่กับเดือน ๕ ยังอยู่อีกหลายราตรี จะคิดเวียนเทียนถวายจะชอบหรือไม่ชอบ ตอบว่าชอบ ถามว่าจะทำข้างขึ้นหรือข้างแรม ตอบว่าให้ทำข้างแรม ถามว่าเครื่องดนตรีนั้นจะต้องใช้หรือไม่ต้องใช้ไม่ตอบ อาตมภาพถามว่าหรือจะไม่ชอบ ๆ แต่ดอกไม้ธูปเทียนเวียนเทียนเท่านั้น ตอบว่าฮือ แล้วอาตมภาพไต่สวนถามต่อไป ว่าที่มหาชนมาเวียนเทียนแลที่จะมาขอน้ำมนต์ไปรับประทานตั้งแต่เดือนอ้ายไปถึงเดือนยี่ แลเดือน ๕ ที่จะเกิดไข้อหิวาตกะโรคนั้น ถ้ากินหนเดียวครั้งเดียวจะคุ้มไปถึงได้หรือไม่ได้ ตอบว่าได้ พยานพระแลคฤหัสถ์ก็ได้ยิน ที่มานั่งประชุมฟังเสียงพูดเปนอัศจรรย์ ได้ยินทั้งพระภิกษุสงฆ์แลคฤหัสถ์ได้ยินทุก ๆ คนเปนอัศจรรย์ชั้นปฐม ถึงได้ยินเสียงปรากฎดังนี้ อาตมภาพยังไม่เชื่อแท้ ยังมีความสงสัยอยู่ ว่าจะเปนเสียงภูตปิศาจหรือเทวดาหรืออารักษเทวาแลอมนุษย์พูดแทนอย่างใดอย่างหนึ่ง อาตมภาพไม่เห็นตัวได้ยินแต่เสียงอัศจรรย์จากพระอุระพระพุทธไสยาสน์ดังนี้ สิ้นเวลาวันปฐม

๖ ต่อมาวันที่ ๑๖ ธันวาคม ร.ศ. ๑๒๔ เพลา ๔ ทุ่ม อาตมภาพพระสงฆ์ ๑๕ รูป คฤหัสถ์ ๒๐ คน อุบาสิกาเหลียนด้วยพากันเข้าไปในพระวิหารไปตรวจดูในพระวิหาร มีแสงไฟสว่างตามที่ตรวจดูมาแต่เดิมก็ไม่เห็นผู้คนผู้หนึ่งผู้ใด ที่จะเข้ามาแอบแฝงเร้นซ่อนบังกายอยู่ในพระวิหารแลองค์พระพุทธไสยาสน์ตรวจทั่วไป พร้อมด้วยพระสงฆ์คฤหัสถ์พากันจุดธูปเทียนนมัสการบูชา ปิดประตูรายกันอยู่ทั่วไปในพระวิหารคอยดูคนทุจริต อาตมภาพนั่งอยู่ที่ตรงพระพักตรพระพุทธไสยาสน์ อุบาสิกาเหลียนก็ร้องขึ้นดัง ๆ ว่าหลวงพ่อ เสียงดังออกมาจากพระอุระว่าฮือ คำตอบก็ดังปรากฎออกมาว่าอยากจะพูดกับพระครูปาโมกขมุนีอีก ขณะนั้นอาตมภาพก็ถามว่า ผมจะทำรั้วสังกะสีตาข่าย ทำเปนรั้วกั้นในรอบองค์หลวงพ่อ ๆ จะชอบหรือไม่ คำตอบว่าชอบ คำถามก็รับว่าจะทำถวาย อาตมภาพถามว่าเดิมหลวงพ่ออยู่วิหารเก่าที่ฝั่งมรรคา อยู่เคียงศาลาโรงธรรมหรือกุฏิกระผมขึ้นไป เพราะเจ้านายเสด็จไปมาตรัสถามวิหารเก่าอยู่ที่ไหน กระผมเพ็ททูลข้องขัด ถ้าจะถามเดิมตอบว่าอยู่เมืองลาว อาตมภาพถามว่าเมืองลาวที่อยู่นั้นสมมตเรียกว่าเมืองอะไร คำตอบก็ไม่มีปรากฎออกมา อาตมภาพถามว่าเหตุใดจึงได้มาอยู่วัดป่าโมกข์ได้ ตอบว่าลอยน้ำมา ถามว่าลอยน้ำมาพะปะอยู่ที่ไหน ตอบว่าถ้าอยากจะรู้แล้ว ให้เข้าไปแต่พระครูองค์เดียว จะเล่าของเก่าแก่ให้ฟังทั้งสิ้น ตอบว่าพระพูดให้เสียงดังจะไม่ให้กลัวด้วย อาตมภาพไต่สวนต่อไป ถามว่ากระผมซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ปิดทองให้เปนที่งดงามขึ้นกว่าแต่ก่อนดังนี้ หลวงพ่อจะชอบหรือไม่ชอบ คำตอบว่าชอบคล้ายกับหัวเราะด้วย อาตมภาพกับพยานพระสงฆ์แลคฤหัสถ์มีชื่อที่ได้ยินได้ฟัง ได้ทราบเหตุที่เปนอัศจรรย์บังเกิดขึ้นในวัดดังนี้ อาตมภาพได้ทำรายงารไว้ลอกคัดถวายพระเดชพระคุณสมเด็จพระบรมทรงทราบ ขอบุญบารมีพระเดชพระคุณเปนที่พึ่งเพราะเปนการอัศจรรย์ จะเปนเสียงภูตปิศาจหรือเทพารักษ์ อมนุษย์อย่างใดก็ยังไม่เชื่อแท้ เปนเสียงเลื่อนลอย ไม่เห็นตัวเห็นตนมีเสียงพูดดังออกมาจากพระอุระพระพุทธไสยาสน์ดังนี้

ควรมิควรสุดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรด ขอถวายพระพร

พระครูปาโมกขมุนี

ใบส้มโอ ๑ ใบโคนดินสอ ๑ ใบมะกรูด ๑ ใบเงิน ๑ ใบทอง ๑ ใบมะภู่ ๑ ใบมะกา ๑ ใบมะนาว ๑ รวม ๘ สิ่งนี้เปนยาต้ม

ต้องลงคุณพระ ลงด้วยพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แลสักกัตตวาจนจบบท พุทธคุณห้องต้นนั้นลงกระดาษปิดปากหม้อ แลธรรมคุณ สังฆคุณ สักกัตตวานี้ ลงใส่กระดาษไว้ก้นหม้อ ต้มแล้วรับประทานครั้ง ๑ รุ่งราตรีหน้าแล้วเอากระดาษที่ปิดปากหม้อใส่ลงในหม้อต้มเขี้ยวไปกับยา

เมื่อเวลาจะประกอบยานี้ จุดดอกไม้ธูปเทียน แล้วรลึกถึงเจ้าของยา เมื่อรับยาบอกว่าเปนโรคสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วจึงรับ

ขวัญเข้าหมาก ๑ คำ หาคล้ายกับเมี่ยงลาว พันสำลีสามเปลาะใส่พานแขวนไว้สูง ๆ

ถ้าหายโรคแล้ว หมากคำนั้นต้องส่งขวัญเข้า เภสัชนั้นแห้งเสียแล้วหาอื่นแทนก็ได้ แต่ต้องหาเหมือนกันยังที่ตั้งขวัญเข้าไว้

เมื่อพระอาพาธเปนไข้อหิวาตกะโรคนั้น ได้ยาขนานนี้บริโภคหาย ใบขนุน ๑ ใบเข็ม ๑ ใบบานไม่รู้โรยขาว ๑ ใบมะตูม ๑ รวม ๔ สิ่งเปนยาต้ม

ยา ๒ ขนานนี้ปรุงเสมอภาค

----------------------------

วันที่ ๖ เช้า ๒ โมงออกเรือ เช้า ๔ โมงถึงอ่างทอง แวะที่ตลาด ถ่ายรูปแลซื้อของบ้าง เลิกบ่อนเสียตลาดโรยไป ๑ ใน ๑๐ ไม่มากนัก ออกจากตลาดลงเรือมาดมาที่ ๆ ว่าการเมืองซึ่งย้ายขึ้นไปตั้งข้างเหนือน้ำ โรงเลื่อยซึ่งอยู่ตรงข้ามฟาก อันเริ่มทำเมื่อขึ้นไปเมืองเหนือ บัดนี้สำเร็จแล้ว ที่ว่าการเก่าเปลี่ยนเปนที่พักสำหรับข้าหลวงตรวจราชการ ที่ว่าการใหม่ทำห่างแม่น้ำเข้าไปเปนตึกงดงามแน่นหนาดี แต่ศาลยังคงเปนไม้อยู่ ตรวจดูออฟฟิศแลศาล ๒ แห่ง ทั้งถ่ายรูปเสร็จแล้วจึงได้ลงเรือขึ้นไปบ้านข้าหลวงซึ่งอยู่คนละฟาก ไกลขึ้นไป บ้านนี้คือที่พลับพลาเมื่อครั้งไปเหนือ ซึ่งทำเปนสวนบนฝั่งหลังที่จอดเรือ มีข่อยมากเปนที่อาศรัยร่มได้ เรือนทำขึ้นใหม่เปนเรือนไม้สบายดี กลับลงมาที่พักแพทำครัวกินเข้ากลางวัน แพนี้เปนแพคราวพิษณุโลก บ่าย ๒ โมงออกเรือ บ่าย ๔ โมงเศษจอดที่ไชโย ขึ้นไปนมัสการพระแลถ่ายรูป มีคนมากทั้งตาเกดมหาพุทธพิมพา แลมหาอิ่ม๒๖ ซึ่งมาเปนนายบ้านก็อยู่ด้วย เวลาพลบฝนตก

วันที่ ๗ เช้า ๒ โมง ออกเรือจากไชโย ๔ โมงถึงวัดชลอนพรหมเทพาวาสของท่านพิมล (อ้น) ขึ้นถ่ายรูป มีพี่น้องท่านพิมลมารับมาก ต้นโพธิ์กิ่งตอนวัดนิเวศน์ใหญ่โตงามดีมาก แต่เอียงไปข้างหนึ่งเพราะหลบต้นมะม่วง อยู่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงออกจากวัดชลอนขึ้นตลาดหมื่นหาญ สนุกครึกครื้นกว่าแต่ก่อน ตลาดนี้ติดได้เพราะเปนท่าเกวียนมาแต่เมืองลพบุรี ทางแต่ท่านี้ไปถึงวัดไลโดยม้าชั่วโมงหนึ่ง มีผักสดปลาสดมาขายจากลพบุรี แล้วเดิรตั้งแต่ตลาดมาถึงที่ว่าการอำเภอ หยุดทำกับเข้ากินที่ตลิ่งหน้าออฟฟิศโทรเลข ยังไม่ทันถึง ๒ โมงลงเรือมาด ขึ้นมาเข้าปากน้ำบางพุทราซึ่งเดี๋ยวนี้เรือเมล์เดิรได้แล้ว แวะที่ไร่พริกแล้วกลับขึ้นมาจอดที่เมืองสิงห์ใหม่ ขึ้นเดิรบกถ่ายรูปจนถึงวัดสุดตลาด ที่ตลาดก็ดูครึกครื้นดี แต่สู้อ่างทองไม่ได้ ที่ว่าการต่าง ๆ ทำขึ้นใหม่บ้าง แต่เปนไม้เล็ก ๆ แต่จวนผู้ว่าราชการยังเปนจวนพังโทรมเต็มทีทำใหม่ยังไม่แล้ว ถนนดีแต่สำหรับไม่มีฝน ถ้ามีฝนทีจะเปนโคลน (ที่วัดข้างใต้เมือง) มีพระแก่เบา ๆ อยู่องค์หนึ่ง กรมประจักษ์ตั้งให้เปนพระครู คุยพล่ามว่าได้เปนผู้บังคับการพระบาทมงคลทิพมงคลเทพก็รู้จัก มีเครื่องอยู่คงมาแจกทหารมาก เมื่อไปพบหมดเสียแล้ว พักทำครัวที่แพชุดพิษณุโลกเหมือนกัน วันนี้มีกับเข้าดีมาก แลฝนไม่ตก เปนวันแรกตั้งแต่มา

วันที่ ๘ เช้า ๒ โมงออกเรือ เขาเตรียมจะให้พักกลางวันวัดเวฬุวันวัตยาราม แต่เห็นยังเช้านักจึงได้เลยขึ้นมาจนถึงที่ว่าการเมืองอำเภอเมืองอินทร์ แวะจอดที่นั้นถ่ายรูป ให้พระยาโบราณมาตรวจดูหน้าวัดปลาสุกว่าจอดได้ เลื่อนเรือมาจอดวัดปลาสุก ๕ โมงเศษ วัดนี้เปนที่พระครูอินทมุนีอยู่ ชื่อใหม่เรียกวัดสนามไชย ดูเปนวัดโบราณมากต้นไม้ใหญ่ แต่ฝีมือเลว ๆ เอาโบสถ์เข้าไปไว้ในหมู่ไม้ลึกห่างน้ำมาก เดิมเข้าใจว่าหลังข้างในที่สุดซึ่งเปนผนังตึกจะเปนโบสถ์ แต่ไม่ใช่กลายเปนวิหารไป พระอุโบสถนั้นเสาไม้รูปร่างเหมือนการเปรียญ ตั้งต่อออกมาข้างหน้า มีหน้าพระเมืองสรรค์งามอยู่หน้าหนึ่ง ปั้นพระองค์เปนปูนต่อขึ้นไว้ ถามได้ความว่าไปเอามาแต่วัดตรงข้ามฟาก ได้บอกให้พระยาโบราณมาทำพระเศียร ทำกับเข้าในหมู่ต้นไม้ลานวัดข้างกุฏิ พระครูอินทมุนีนี้เปนหมอ แต่เปนหมอยามากกว่าหมอเษกเป่า ชาวบ้านนับถือ ฟังตาผู้ใหญ่บ้านมาลือต่าง ๆ แกชื่อบุญ เติมลือ ให้เปนชื่อบุญลือ เรื่องลือที่ ๑ นั้น คือว่าโหรถวายฎีกา ว่าจะได้ผู้มีบุญ จึงได้เสด็จออกไปเมืองตวันออก ได้ลูกเงาะ๒๗มาคนหนึ่งโปรดมาก ถึงจะทำอย่างไร ๆ ต่อหน้าขุนนางก็รับสั่งไม่ให้ใครว่ากล่าวห้ามปราม การที่เสด็จมาครั้งนี้เมืองพิชัยมีใบบอกลงไป ว่าเกิดต้นโพธิ์ขึ้นต้นหนึ่งใบขาวเปนเงิน จึงได้เสด็จขึ้นมาทอดพระเนตรต้นโพธิ์เงิน อีกนัยหนึ่งว่าจะมาตรวจสุขทุกข์ของราษฎรห้ามไม่ให้กะเกณฑ์แลอื่น ๆ กลับลงมาจากวัดบ่าย ๒ โมง ๔๐ ออกเรือมาถึงอำเภอสรรพยาเวลาบ่าย ๕ โมงเกินเล็กน้อย ท้าวเวสสุวรรณ คือพระยาอมรินทร๒๘ลงมาคอยอยู่แล้ว ที่นี่หรูขึ้นไปกว่าที่อื่นด้วยอดไม่ได้ ถึงตีรั้วแทนฉนวนกั้นแลตามไฟ ขึ้นเดิรไปประมาณ ๒๐ เส้น ไม่มีอะไรที่จะพึงดูเลย กลับมาดูทหารไชยนาทซึ่งเจ้าคำรบ๒๙พาลงมาเปนน่าดูกว่าอื่น ๆ หมด เอาลงมารักษาการ ๕๐ คน เวลาคำนับร้องเพลงสรรเสริญบารมีเรียบร้อย ได้ไปลองทักทายตั้งแต่นายสิบจนลูกแถวพูดจาคล่อง พิจะค่ะขอรับเปนทุกคน หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนคนคุ้นเคย เปนคนหนุ่มๆ ทั้งสิ้น

วันที่ ๙ ระยะทางมากกว่าวันก่อน เปนอันจะไปได้เพียงเมืองกำแพงเพ็ชร๓๐ จึงคิดร่นตอนต้นนี้ที่เคยเห็นให้น้อยเข้า ออกเวลา ๒ โมงเช้า ถึงวัดพระธาตุเวลา ๔ โมงเศษ พระครูอินทโมลี๓๑จัดรับแขงแรงถึงทำปรำเปนฉนวน ผูกฉัตรแลต้นกล้วย แต่ที่เก่งนั้นพระครูเองเดิรออกไปบอกร้องวันทยหัดถ์ให้ผู้ใหญ่บ้านแลนักเรียนคำนับ ได้ถ่ายรูปแลบูชาตามเคย พระไชยนฤนาท๓๒ออกความเห็นใหม่ว่า ที่พระธาตุนี้ไม่ใช่เมืองไชยนาทเพราะเมืองใกล้เมืองสรรค์นักระยะทาง ๔๐๐ เส้น ได้ไปค้นพบใหม่แห่งอื่นแล้ว กำลังยังตรวจตราให้แน่กันอยู่๓๓ ที่วัดพระธาตุนี้เปนทำนบกั้นน้ำห้วยกรดซึ่งอยู่ใกล้วัดให้ไปลงน้ำแพรก ของเขาชอบกลดีอยู่ เจ้าครองเมืองเหล่านี้คงตั้งประจำแม่น้ำละองค์ คือน้ำสุพรรณองค์หนึ่ง น้ำแพรกองค์หนึ่ง น้ำไชยนาทองค์หนึ่ง พระธาตุเห็นจะได้สร้างภายหลัง เมื่อชักตระกูลสุโขทัยลงมาเปนเมืองชั่วคราว ๕ โมงครึ่งออกจากวัดพระธาตุไปจอดที่ ๆ จัดไว้สำหรับให้แรมตรงที่ว่าการข้าม เพราะฟากตวันออกร้อนนัก เขาเลื่อนแพมาจอดไว้ด้วย ขึ้นทำกับเข้าแลอาบน้ำ บ่าย ๒ โมงครึ่งได้ออกเรือแวะที่โรงทหารขึ้นตรวจแถว แลตรวจโรงซึ่งแล้วใหม่ ดูคนซึ่งเข้าใหม่ คนชั้นเกณฑ์คราวหลังนี้มีเล็ก ๆ มาก อายุ ๑๙ ดูยังเด็ก กลับจากโรงทหารขึ้นมาถึงหน้าเขาธรรมามูล ๔ โมงครึ่ง ข้ามไปถ่ายรูปที่หาดตรงข้ามจนเย็นจึงได้ขึ้น เขาเรี่ยรายปฏิสังขรณ์ศาลาแลวิหารขึ้นใหม่ แต่โบสถ์แลพระเจดีย์ยังไม่ได้จับการ ได้เข้าเรี่ยรายด้วย เทศกาลไหว้พระมี ๓ คราว คือ กลางเดือน ๖ กลางเดือน ๑๒ กลางเดือน ๓ กลางเดือน ๑๒ เปนเวลาประชุมใหญ่ ฝนไม่ตกมาหลายวันชาวบ้านนี้บ่น วันนี้ฟ้าแลบแต่ไม่ตก

วันที่ ๑๐ ออกเรือ ๒ โมงเช้า มาถึงหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองมโนรมย์ ๔ โมงเศษ เขาเอาแพเล็ก ๆ มาจอดเรียงกัน ๓ หลัง แล้วทำนอกชานจนดูเปนแพใหญ่ดี ๕ โมงเช้าลงเรือมาไปเข้าคลองสแกกรัง ชั่วโมงเศษถึง เขายืมแพวัดไปจอดที่ ๆ เคยจอดแต่ก่อน ทำกับเข้ากินเข้าแล้ว บ่าย ๒ โมงเศษลงเรือขึ้นไปเหนือน้ำ หยุดถ่ายรูปแล้วขึ้นตลาด คราวนี้ถนนแห้งเดิรดูได้ทั่วถึง ดูครึกครื้นกว่าตลาดกรุงเก่ามาก กลับมาลงเรือแวะที่หน้าวัดโบสถ์พบพระครูจัน๓๔ครู่หนึ่ง แล้วกลับมามโนรมย์ ขึ้นเดิรบนบก ครึกครื้นดีกว่าที่คาดเปนอันมาก ที่ติดได้เพราะเหตุด้วยหน้าแล้ง พวกสแกกรังต้องเดิรมาซื้อในที่นี้ เพระปากคลองปิด เข้าได้แต่เรือพายม้า ๒ แจว

วันที่ ๑๑ มาถึงวัดพระปรางค์เหลืองเที่ยง พระครู๓๕ลงมาคอยอยู่ที่แพ ขึ้นบกทำกับเข้าแล้วดูเหยียบฉ่า๓๖ กรมหลวงประจักษ์ให้เหยียบ ถ่ายรูป พบเจ้าพระยาเทเวศรซึ่งมารักษาตัวอยู่ที่นี้ ดูเดิรคล่องขึ้น ถามพระหมอแรกบอกว่าเปนอำมพาต แต่เปนมาเสียนานถึง ๓๕ ปี ครั้นเถียงว่าอำมพาตทำไมถึงช้าเพียงนั้น ก็รับว่าอ้ายนั่นว่าที่เปนใหม่นี่หายแล้วยังจะรักษาที่เปนเก่าต่อไปอีก เดิรดูกุฏิแลโบสถ์ที่ทำใหม่ ไม่มีสาระอะไร กลับลงมาร้อนอาบน้ำเลยให้พระครูรดน้ำมนต์ อยู่ข้างจะเหวสบายมาก๓๗ มาชั่วโมงเศษถึงอำเภอพยุหคิรี มีพยุฝนตกประปราย ต่อฝนหายจึงได้ขึ้น จะไปพระบาทที่เขาสร้างขึ้นไว้ใหม่บนเขาเมื่อ ๒๐ ปีนี้ กลัวจะมืด จึงเดิรไปแต่ที่ต้นทาง ทางที่ไปเขานี้เปนทางไปขึ้นรถไฟ ตำบลเนินมกอก ๑๒๐ เส้น มีคนขึ้นลงเสมอ แต่ไม่มีสินค้านอกจากหมากพลู วันนี้รับหนังสือบางกอก

วันที่ ๑๒ เวลาเที่ยงถึงวัดบ้านเกาะ หยุดสำหรับกินเข้าได้ทำมาตามทางแล้ว ขึ้นบกพบสมภารอายุ ๘๗ ปี เคี้ยวจัดเหมือนสมเด็จพุฒาจารย์๓๘ ตาบอดข้างหนึ่งแต่รูปร่างเปล่งปลั่งดี วัดใหญ่รักษาสอาด มีตึกอย่างเก่า ๒ หลัง ในโบสถ์จารึกว่าสร้างเมื่อศักราช ๑๑๕๕ มีของประหลาทแต่พระกระจายยืนรูปร่างดี ได้ขอพระแล้วให้เงินไว้ให้สร้างเปลี่ยนใหม่ ต่อมาอีกชั่วโมงเศษถึงนครสวรรค์ จอดแพที่หน้าว่าการ พบพระยาสุรสีห์ลงมาแต่เชียงใหม่ พระยาศรี๓๙ขึ้นมาแต่กรุงเทพ ฯ นึกจะไปดูเรือแม่ปะแต่เรียกเรือไม่ได้ เลยขึ้นไปบนบกถ่ายรูปที่ว่าการ ไปบ้านเทศาดูคุกแลศาล วันนี้นอนบนแพร้อนจัด เพราะมืดฝนแต่ยังไม่ตก น้ำลด ๒ ศอกเพราะฝนขาด

วันที่ ๑๓ ไปตลาดปากน้ำโพ ขึ้นริมห้างจีนสมบุญ๔๐ ถ่ายรูปแลซื้อของไปจนถึงบ้านยายจูซึ่งเปนที่สุดของตลาด เมื่อมาคราวที่แล้วมานี้เวลาไม่พอ ขึ้นแห่งนี้ไปลงท่าหน้าวัดโพธิ์ เพราะฉนั้นได้เห็นครึ่งตลาดเท่านั้น คราวนี้ได้เห็นตลอด ของขายเปนของกรุงเทพฯ ของที่เงี้ยวเอามาขายถ้าเปนผ้าก็แมนเชสเตอร์ทั้งนั้น ไม่ใคร่จะมีอะไรที่จะซื้อได้ ยายจูมาเชิญเสด็จถึงกลางตลาด ด้วยความประสงค์จะให้ดูเห็ดซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเวลากำหนดว่าจะเสด็จ ข้างจีนเขานับถือกันว่าเปนมงคล ที่จริงไม่เคยเห็นโตอย่างนี้ พอเต็มอ่างเขียวขนาดใหญ่ กลับมาเที่ยง บ่าย ๕ โมงไปดูโรงทหาร ตั้งอยู่ต่อค่ายพม่าเก่า ปีนี้เปนปีที่ ๔ คนสำรับแรกได้ออกบ้างแล้วจึงเปนการสงบเรียบร้อยไม่มีการตื่นเต้นอันใด การปลูกสร้างก็ร่วมเข้ามาก แต่ยังไม่พอคนอยู่ คนประจำมณฑล ๑๒๐๐ เต็มอัตรา ปลูกต้นสัก แล้วตรวจโรง เลี้ยงน้ำชาที่ ๆ ว่าการ แล้วกลับดูเรือแม่ปะที่จะเปนเรือพระที่นั่ง เปนเรือของลูกโตได้มาจากพระยาสุรสีห์๔๑ ทำเก๋งเดิรได้ตลอดลำอย่างโก้ เจ้าของขอให้ตั้งชื่อ จึงตั้งชื่อว่า “สุวรรณวิจิก” มีเรือเก๋ง ๓ ลำ ของกรมดำรงลำ ๑ พระยาสุจริต๔๒ลำ ๑ พระวิเชียร๔๓ลำ ๑ เปนเรือข้างใน แต่เรือที่นั่งจัดประทุนไว้ด้วยลำ ๑ เวลาค่ำฝนตกไม่สู้มาก มีลมจัด

วันที่ ๑๔ เมื่อคืนนี้ฝนตกพรำต่อไปอีกยังรุ่ง พวกทหารเขาถือว่าเปนฤกษ์ปลูกต้นสักที่โรงทหาร เพราะเมื่อเวลาปลูกนั้นยอดพับ ครั้นถูกฝนคืนนี้ตลอดยอดกลับตั้ง เวลาเช้าไป (ดู) เขาบวชนาค หน้าแล้งแปลกกว่าหน้าน้ำมาก ใช่แต่สพานไม่ถึงน้ำ ยังมีหาดขึ้นขวางหน้าร่องน้ำต้องไปเข้าทางเหนือ แต่มิใช่หรืออะไรเข้าไปได้ต้องเขนแลลุย ให้แต่ผู้หญิงขึ้น ถ่ายรูปอยู่ตามสพานแลศาลา พบกองพรานที่เขาเกณฑ์มา จะให้ตามขึ้นไป มีช้าง ๕ เชือก เข้ากระโจมปืน แลตั้งยามล้อมกันอยู่ ได้ถ่ายรูปพวกหัวหน้า ขออย่าให้ต้องตามไป อนุญาตให้ปล่อย แจกเงินให้คนละกึ่งตำลึง แล้วกลับมาจัดเรือ เวลาบ่ายลงเรือไปเที่ยวตลาดแพในแควใหญ่ มีแพห้างจีนของฝรั่งแพ ๑ เหมือนกับร้านแควน้อย เขาช่างเลือกของซึ่งจำเพาะจะใช้เดิรทาง เจ้าของร้านดูเปนคนฉลาด ว่ามีรถไฟแล้วนำของขึ้นมาได้ง่าย มีกำไรดีขึ้นกว่าแต่ก่อน

วันที่ ๑๕ สองโมงเช้า ติดแผ่นเงินชื่อเรือสุวรรณวิจิกแล้วออกเรือ ๆ ไฟลากขึ้นมาจนพ้นตลาดแล้วจึงได้ถ่อ อันลักษณถ่อนี้ฟังเล่าไม่เข้าใจชัด จนเวลาได้เห็นเอง เรือลำนี้ใช้คนถ่อ ๕ นายร้อยถือท้าย ๑ ที่แท้ได้ถ่อแต่คราวละ ๔ ถ่อ ผลัดกันนั่งเสียคน ๑ ถ้าร่องน้ำไปขวาถ่อซ้าย ถ้าร่องน้ำไปซ้ายถ่อขวา ถ่อที่ขึ้นพ้นน้ำยกลอยข้ามศีร์ษะคนที่กำลังถ่อ เมื่อยังไม่เคยมาในเรือเช่นนี้ นึกว่านายร้อยที่ถือท้ายจนเกะกะกีดอยู่ข้างท้ายมาก แต่ที่จริงดีกว่ากลาสีถือท้ายเรือกรรเชียงซึ่งขึ้นมานั่งข่มอยู่ข้างหลังเรามาก ที่ยืนอยู่ต่างหากนอกเก๋งไม่เกี่ยวข้องอันใดเลย เรือลำนี้เดิรเร็วมาก ลงเรือชล่า๔๔ไปขึ้นถ่ายรูปที่หาดทรายงาม ซึ่งอยู่เหนือเมืองนครสวรรค์ไม่ถึง ๒ เลี้ยว แล้วเปลี่ยนไปขึ้นเรือแม่ปะปะทุน เอากรมดำรงกับพระยาโบราณซึ่งไปพบกันที่หาดทรายนั้นลงเรือไปด้วย ลงมือทำกับเข้าไปพลาง ไปอีกหน่อยทันเรือชายยุคล เอาตัวลงมาด้วย พวกที่ไปจากเรือ ๓ คน คือชายอุรุพงศ์ พระยาบุรุษ หลวงนายศักดิ์๔๕ มหาดเล็กประจำเรือ ๔ คน ตั้งใจจะให้หลงลำ แต่ไม่สำเร็จ จนถึงที่พักร้อน เพราะเหตุที่เทศาพาเรือประพาสมาตาม ประเดี๋ยวผู้ใหญ่บ้านถ่อเรือชล่าตาม ต้องไล่เทศาไปลงเรือสุวรรณวิจิก ให้จอดคอยกระบวรหลังซึ่งยังล้าอยู่มาก แลถอดเสื้อกางเกงคนถ่อลงนุ่งกางเกงขาก๊วย ผ่านเรือพวกบางกอกขึ้นมาเสียอีกหลายลำ มารู้ว่าสำเร็จได้เมื่อผ่านเรือนายทหารมณฑลนครสวรรค์ ซึ่งขึ้นมาตามเสด็จไม่รู้จัก จึงลงมือเสาะหาที่หยุด ได้ข้างฝั่งขวา เปนบ้านนายพันอำแดงอิ่ม มีลูกหลานว่านเครือมาก เปนเจ้าของนาโท เพราะแกเล่าว่าแกเสียค่านา ๓ สลึง เปนเจ้าของที่ไร่ยาสูบ ซึ่งเปนที่ดี (สมมตให้) พระยาโบราณเปนเจ้าตัวผู้ใหญ่ในการเที่ยวครั้งนี้ ในหน้าที่เทศากรุงเก่า ทำท่าทางแลพูดจาไต่ถามดีมาก เราเปนช่างถ่ายรูปของเจ้าคุณ จนกระทั่งเชิญขึ้นเรือน แลนั่งสั่งสนทนาเปนที่สนิธสนมดีมาก ข้อความที่สนทนาว่าโดยย่อแปลกใจที่ค่านาทำไมขึ้นไปกว่าแต่ก่อน ยอมรับว่าหาเงินเดี๋ยวนี้ได้ง่าย แต่ใช้ก็มากเหมือนกัน เมื่อก่อนเข้าเคยขายเกวียนละ ๔ ตำลึงเท่านั้น ปล้นตีชิงไม่มี แต่ถ้าเจ้าของไม่ระวังรักษา เช่นควายเปนต้นถูกโขมย ถ้าระวังอยู่แล้วโขมยไม่กล้า เคยลงไปเฝ้าในหลวงที่ปากน้ำโพ ได้เฝ้าใกล้จำได้ หลานได้เสมามา ๒ คน เสมานั้นเปนเครื่องคุ้มกันอันตรายดีอย่างยิ่ง เพราะเวลาท่านประทานท่านให้พร หลานได้มาครั้งนั้น ๒ คน เดี๋ยวนี้ต้องแบ่งไปให้หลานบ้านอื่นเสียอัน ๑ เพราะขี้โรค ที่อยู่ที่บ้านเดี๋ยวนี้ต้องผลัดกันผูก ใครขี้โรคคนนั้นได้ผูก ท่านแจกก็มากจะหาซื้อสักอันหนึ่งไม่ได้เลย ไม่มีใครเขาขาย อยากเฝ้าในหลวง พระยาโบราณรับจะพาเฝ้า นัดหมายกันมั่นคงว่าจะลงไปกรุงเก่า แต่จะรอขายเข้าให้ได้ทุนเสียก่อน แสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินเปนอันมาก เพราะได้อยู่เย็นเปนสุขเพราะท่าน เปนใจความเช่นนี้ กินเข้าที่ใต้ต้นไม้ริมตลิ่ง ไม่รับเชิญขึ้นไปกินบนเรือน เมื่อกินอิ่มแล้วชาวบ้านลงมาหาสนทนากันต่อไป๔๖ ได้ออกเรือจวนบ่าย ๒ โมง มาถึงที่ประทับแรมยางเอนยังไม่ทันจะบ่าย ๓ โมง เดิรขึ้นบก มีพวกชาวบ้านมาคอยอยู่บนฝั่งมาก มีร้านขายของกิน นักเรียนพวกหนึ่งเดิรขึ้นมาจากวัดเหนือตำบลพังม่วงที่บ้านยายอิ่มอยู่หน่อยหนึ่ง เพื่อจะมาร้องสรรเสริญบารมี อันจำจะต้องร้องผิดทุกแห่ง แต่วัดนี้ผิดมากสุ้งเสียงกวัดแกว่งเหลือเกิน แต่เดิรเปนทหารทีเดียว ได้ถามดูบอกว่าเหนื่อยมาก แจกเงินคนละสองสลึง ชาวบ้านมามากแจกเสมาถ่ายรูปเรือแลลำน้ำ แล้วกลับลงมาที่จอดเรือ ซึ่งทำพื้นแตะฝาใบพลู ๕ ห้อง เฉลียงด้านเดียว ลงมือทำกับเข้าแต่เย็นได้กินพอพลบ

วันที่ ๑๖ สองโมงเช้า ออกเรือมาถึงวัดบ้านเกาะ ลงเรือประพาสไปขึ้นที่วัดหมายจะถ่ายรูปกระบวร แต่เวลาอยู่ข้างกระชั้น คนคอยเฝ้ามากนัก ตั้งกล้องไม่ใคร่จะได้เกะกะไปหมด เลยไม่ได้รูปดี วัดนั้นก็เปนแต่ลานใหญ่ ๆ มีอะไรตามเคยของวัด แต่ต้นเต็มที เวลาจะกลับแจกเสมา แย่งกันลงมาเกือบสพานหัก ครั้นถ่อขึ้นมาได้หน่อยหนึ่ง ได้ยินเสียงร้องตะโกน “กินกิน” รู้ว่าเปนบริษัทดุ๊ก๔๗ แวะเข้าไปเจอกรมดำรง รพี ชายยุคล พระยาโบราณ ร้องกันอยู่บนเรือดุ๊ก เปนผู้ที่ถูกเรียกกินมาแล้ว เขาจะเรียกให้เปนยุติธรรม ไม่เลือกว่าใคร ๆ เว้นแต่เรือเจ้าสาย๔๘ ถ้าเรียกกลัวจะเอาสำรับไปให้ด้วยหมายจะกิน เมื่อกินแลแจกกันแล้วเสร็จพากันลงเรือประพาสนั้นขึ้นมาจนถึงที่พักร้อน พากันขึ้นเรือเหลืองออกต่อไป ทำครัวมากลางทาง พอสำเร็จถึงบ้านเก้าเลี้ยว แวะเข้ากินเข้า ดุ๊กได้รับหน้าที่เปนพระราชา แต่ทำท่าไม่สนิธ เพราะแกกลัวอับปลิช๔๙ ทักทายปราสัยก็ต้องสอนกันมาก ข้อที่เกิดความนั้นเห็นจะเปนด้วยเมียตากำนัน เปนผู้รับฉันทานุมัติของพวกจีนแคะเจ้าของไร่อ้อยหลายเถ้าแก่ด้วยกัน มาเชิญเสด็จไปที่เรือนเขาทำไว้ถวายตกลงยอมไป เรากลับเปนพระราชาตามเดิม มีผู้คนมาก มีพิณพาทย์ไทยพิณพาทย์จีนแลม้าล่อเปนอันมาก มีธูปเทียนมาเชิญให้ขึ้นบก ได้ขึ้นไปบนเรือนตั้งโต๊ะเครื่องบูชา มีโต๊ะเก้าอี้หุ้มแพร เตียงนอนมุ้งแพรอย่างจีนทั้งนั้น อุทิศถวายไว้ให้เปนที่สำหรับพักข้าหลวงไปมาต่อไป จีนเม่งกุ่ยเปนหัวหน้า เมื่อได้อนุโมทนาเสร็จแล้วลงเรือโมเตอร์แล่นต่อมาอีก มาเกยที่ตื้น ๒-๓ คราว เลยทรายเข้าอุดท่อน้ำ ต้องมาหยุดแก้อยู่ช้านาน จนกระบวรมาถึงจึงต้องลงเรือเหลืองมาขึ้นที่บ้านท่าวัว ถ่ายรูปกระบวรเรือ แล้วเดิรต่อมาทางบก มาเจอพวกเดิรบกด้วยกันหลายคน เลยเปนกองโต เดิรแจกเสมาระมา ที่นี้เปนหมู่บ้านใหญ่ผู้คนแน่นหนามาก จนถึงวัดซึ่งสำหรับจะจอดแรม เขาเรียกในระยะทางว่าบ้านหัวดง มีคนมาประชุมอยู่แน่นในลานวัด ต้องไปยืนให้กราบตีนตามความต้องการเปนอันมาก แถบนี้แตงไทยอร่อยกินทั้งวานแลวันนี้

วันที่ ๑๗ ออกเรือเวลาเช้า ๒ โมง จนใกล้บ้านหูกวางเวลา ๔ โมงเช้า ลงเรือชล่าประพาส จะไปขึ้นบ้านหูกวาง พระยาอมรินทรบอกว่าบ้านกำนันใยเปนที่ใกล้บึงที่สุด แต่ที่แท้แกเข้าใจผิด เปนในท้องที่กำนันใยไป ไม่ใช่บ้านกำนันใย ที่ซึ่งใกล้ที่สุดอยู่ใต้บ้านกำนันใยลงไปสักครึ่งเลี้ยว สิ้นความพยายามที่จะถอยหลังกลับลงไปอีก สังเกตดูตามคำเล่า บึงนั้นเห็นจะเปนลำแม่น้ำเก่า ยาวเหลือเกิน ในลำบึงเปนพงขึ้น ว่ามีคันดินกว้างประมาณ ๓ วา ยื่นลงไปในบึงนั้น แต่ไม่ข้ามตลอดพอตกลึกก็จม เห็นว่าเปนที่ซึ่งล้อมช้างแผ่นดินพระพุทธเจ้าเสือแน่ แต่ป่ายางกองทองไม่ได้ความ เพราะเหล่านี้แกไม่ข้ามบึง เมื่อมาตามทางพบกรมหลวงประจักษ์ แต่ไม่ได้จับตัวเพราะกลัวจะไม่พบดุ๊ก ครั้นขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่ง พบเรือรพีก็รู้ว่าดุ๊กอยู่ ได้ตัวทั้งกรมดำรงแลพระยาโบราณด้วย ให้เอาเรือโมเตอร์ลงไปรับกรมหลวงประจักษ์พากันไปขึ้นบ้านกำนันใย ได้ความว่าเดิมเปนเลขขุนกำแหงล้อมวัง แต่ให้พระยาโบราณขึ้นไปหรือว่าพระยาศักดามาเสียก่อน/*49แล้ว จึงกลับไม่ได้ ต้องให้ขุนกำแหงอยู่ในบังคับพระยาศักดา ตาอ้นเปนพระยาศักดา ถูกนุ่งผ้าคนเดียว ทำท่าทางอุ้ยอ้ายดีมาก กินเข้าในร่มไม้ที่บ้านกำนันใยสบายดี แต่ตากำนันใยเองอยู่ข้างจะพวักพะวนมาก ดูเหมือนจะได้รับคำสั่งให้เตรียมตัว เพื่อจะเสด็จขึ้นทอดพระเนตรบึง สงสัยพวกเราที่ไปก็สงสัย ประเดี๋ยวเรือกระบวรไป พากันวิ่งตึงตังลงไปริมน้ำ แบกจอบไปคอยฟันดิน สักครู่หนึ่งหน้าเล่อล่ากลับขึ้นมาว่าเจ้าคุณเทศาไล่ให้กลับขึ้นมาว่าไม่เสด็จแวะ ทำกับเข้าวันนี้อร่อยมาก แต่เวลาที่ทำนั้นน้อย ยังต้องไปรออยู่ที่หน้าบ้านกำนันใยหน่อยหนึ่งจึงได้แล้ว ถ่ายรูปพงศาวดารเวลาเจ้าฟ้าเพชรเจ้าฟ้าพรสั่งให้นายผลไปเชิญเสด็จเจ้าแม่ผู้เฒ่า๕๐ แล้วลงเรือต่อมา คิดกันว่าจะข้ามระยะหยุดเอาวันไปใช้ที่กำแพงเพ็ชรอีกสักวันหนึ่ง จึงสั่งหลวงอนุชิต๕๑ไว้ให้บอกกระบวรใหญ่ เลยข้ามอำเภอบรรพตขึ้นมา ที่อำเภอบรรพตนี้มีคนแน่นหนา มีวัดหลังคาซ้อน ๓ ชั้นช่อฟ้าปิดทองทำใหม่ ๆ ทรวดทรงก็ทีจะดี แต่ช่อฟ้านั้นชวนฟ้าชำเลืองอยู่บ้าง๕๒ ไม่ได้แวะ ถัดขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่งมีวัดรูปพรรณอย่างเดียวกัน แต่หลังคา ๒ ชั้น ด้วยเห็นพระพุทธรูปเก่าตั้งอยู่ที่หัวสพานจึงได้แวะขึ้นดู เปนพระเก่าจริงแต่ชำรุดมากไม่สู้งาม โบสถ์ที่หรูอยู่นั้นเปนโบสถ์ทำใหม่ไม่มีฝา หน้าบรรณเปนอามมีมงกุฎแลราชสีห์, คชสีห์ โซดทำใหม่ทีเดียว แต่พระเก่ามีหลายองค์ไม่สู้งามทั้งนั้น แจกเสมาทั้งที่บ้านกำนันใยแลที่วัด ดูเปนรือล่วงหน้ากันมาเสียมากเรื่องเสมา ถึงที่ไหนแวะแห่งไร มีแต่อุ้มเด็กเต็มไปทั้งนั้น จะไม่ให้ก็สงสาร เพราะต้องการจริง ๆ ที่วัดนี้มีเด็กน่าเอ็นดูหลายคน แต่ชื่อวัดยาวจนพระหนุ่ม ๆ ในวัดก็จำไม่ได้ตลอด คือช่องลมวารินศรัทธาราม เปนเช่นนี้ไปทั้งนั้น ออกจากวัดขึ้นมาจนตาคนถ่อเหนื่อยจึงหยุดที่น้ำหักให้กินเข้าแลถ่ายรูปอีกครั้งหนึ่ง เย็นแล้วก็ไม่ถึง เห็นกระบวรใหญ่แล้วกลับหาย จนออกเคลือบแคลง ต้องสั่งซาวเข้าถึง ๒ ครั้ง แต่ดีที่ตานายร้อยยืนยันว่าคงจะถึงในเวลาพลบ เกือบจะถวายชีวิตได้ ก็เปนความจริงของแก มาถึงที่พักบ้านแดนอีก ๓ มินิตจะย่ำค่ำ บ้านคนตั้งแต่บรรพตขึ้นมาระยะห่างไปแลมีแต่ฝั่งตวันตก ฝั่งตวันออกมีน้อยเปนป่ามาก เขาว่าฝั่งตวันตกลุ่มทำนาดี มีไร่กล้วยไร่อ้อยเปนพื้น ไร่เหล่านี้นายร้อยเรือก็ว่าพึ่งตั้งได้สัก ๘ ปีนี้ แต่ก่อนมาเรือเปดค้าขายขึ้นมาเพียงบรรพต แต่มาวันนี้เห็นเรือเปดจอดที่บ้านแดนนี้มากหลายลำ ผู้เดิรทางแถบนี้ ไล่เลียงถึงข้างบกไม่ใคร่ได้ความ เปนแต่ถ่อขึ้นล่องลง

วันที่ ๑๘ เวลาเช้าโมง ๑ ขึ้นไปถ่ายรูปที่วัดอรุณราชศรัทธารามหลังที่จอดเรือแล้วเดิรขึ้นไปเขานอ ระยะ ๘๗ เส้น ตอนนอกเปนป่าไผ่ แล้วมีสพานข้ามบึงตื้น ๆ ไปขึ้นชายป่าแล้วกลับลงที่ลุ่ม เมื่อเวลาน้ำมาครั้งก่อนท่วม แต่เวลานี้ฉเพาะถูกคราวน้ำลด หนทางยังเปนโคลนเดิรยาก จนถึงชานเขาจึงดอน ตามคำเล่ากันว่าเปนเขาซึ่งนางพันธุรัตน์ตามมาพบพระสังข์ มีมนต์มหาจินดาเขียนอยู่ที่แผ่นศิลา แต่พอไปถึงเห็นฐานพระเจดีย์อยู่บนยอด มีคนยืนชี้อยู่บนนั้นก็สิ้นหวัง เหตุว่าคำจารึกกับพระเจดีย์ไม่ใช่เวลาเดียวกัน ถ้าสร้างพระเจดีย์แล้วเปนชั้นใหม่ ได้ความว่าถึงที่พระเจดีย์ก็ไม่มีจารึกอะไร หน้าเขามีลานกว้าง เพราะมีสัปรุษมาไหว้ประจำปี มีทางเกวียนเดิรผ่านทางนั้น เข้าไปบ้านดอนซึ่งเปนนาดีเข้าตกมาก ขึ้นไปแต่ลานหน้าเขาทางไม่ชัน ๒ ทบก็ถึงถ้ำพระนอน ในตรงหว่างทางที่ทบมีรูปปั้นเห็นจะเปนปูนแลลม้ายศิลา เปนรูปโพธิสัตว์ ซึ่งเขาสมมติกันว่าเปนรูปพระสังข์ ถ้ำพระนอนก็เปนเพิงผาตื้น คล้ายหน้าเทวดาเกาะสี่เกาะห้า๕๓ พระนอนก็ไม่ใหญ่ไม่อัศจรรย์อะไร มีพระเล็ก ๆ ตั้งอยู่มาก มีทางอ้อมขึ้นไปข้างหลังถ้ำ มีถ้ำประทุนอีกถ้ำหนึ่ง ถ้ำยายชีอิกถ้ำหนึ่ง ก็ไม่อัศจรรย์อะไรเหมือนกัน ชั่วแต่ถ่ายรูปเล่น กลับยังไม่ทัน ๔ โมง มาเก้าอี้เพราะแดดร้อน อาบน้ำแล้วลงเรือประทุนเหลือง ได้ออกเรือ ๕ โมง ทำกับเข้าไปตามทาง พวกที่เคยทำครัวกระจัดพลัดพรายกันไปหมด ไปคุมกันติดจนจวนถึงเวลากิน ขึ้นกินใต้ร่มไม้ริมฝั่งบ้านบางแก้ว วันนี้ได้หน่อไม้แทงมาใหม่จากที่เขาอร่อยมาก แต่ที่ ๆ ขึ้นนั้นจืดไม่สนุก เปนบ้านเจ๊กมียายแก่เปนป้าของเจ๊กชาติภูมิเมืองนี้ เดิมอยู่ใกล้หาดส้มเสี้ยวซึ่งเปนเมืองบรรพต แล้วว่าคับแคบไป จึงขยายออกมาอยู่ที่นี้ เปนเจ้าของที่ดินมาก เหตุด้วยได้หักร้างไว้แต่แผ่นดินยังไม่มีราคา ใครถางได้เพียงใดก็เปนเจ้าของอยู่เพียงนั้น มาบัดนี้ต้องซื้อมีราคาทั้งนั้น แจ้งว่าตอนหลังฝ่ายตวันตกมีที่ลุ่ม เวลาหน้าน้ำจนถึงควายต้องว่ายน้ำ ลุ่มไปจนจดป่า ข้างฝั่งตวันออกที่แลเห็นเปนเฟือยอยู่ริมตลิ่ง เปนที่มีเจ้าของทั้งนั้น เขาทิ้งหญ้าไว้ให้กันพัง เมื่อเข้าไปพ้นเฟือยหญ้านั้นเปนที่เตียนตลอด เว้นไว้แต่ที่เปนป่ายาง ๆ นั้นมักตกถึงชายตลิ่ง แต่ก็มีเจ้าของทุกต้น ได้ความจากพระศรีสิทธิกรรม์นายอำเภอบรรพตว่า ตั้งแต่เลิกบ่อนพวกที่หากินในการบ่อนสาดขึ้นมาตามลำน้ำ ที่เมืองบรรพตมีมาก ที่หาดส้มเสี้ยวพวกค้าขายมากขึ้น จนต้องถึงทำโรงตลาดเพิ่มเติมหลาย ๑๐ ห้อง ที่จับการเพาะปลูกแล้วก็มี นี้เปนข่าวที่ได้ยินใหม่ในผลของการที่เลิกบ่อนเบี้ย ออกจากบ้านบางแก้วหน่อยหนึ่งก็ทันกระบวร ได้แวะขึ้นเรือสุวรรณวิจิก เพราะออกจะเหนื่อย ๆ หมายจะขึ้นไปเอน แต่มารู้สึกว่าเรือเก๋งกระดานร้อนกว่าเรือประทุนเปนอันมาก เอนไม่ใคร่จะลง เวลาบ่าย ๔ โมงแวะจอดถ่ายรูปที่หาด แล้วเลยลงเรือชล่าประพาสเที่ยวต่อไป แวะบ้านข้างฝั่งตวันออกถูกบ้านตาแสนปม เปนปมไปทั้งตัว แต่ไม่มีอะไร แดดเผาจึงได้ลงเรือต่อมาจนเวลาจวนย่ำค่ำ ขึ้นที่หาดบ้านแสนตอ เดิรข้ามไปวัดสว่างอารมณ์ ตำบลที่เรียกว่าแสนตอจนเปนชื่อเมืองขาณุนี้ มีตอมากจริงเรือได้โดนครั้งหนึ่ง เพราะเหตุที่เปนที่ตลิ่งพังมาก เดิรตามถนนฝั่งตวันตก แวะเก็บอะไรต่ออะไรบ้าง มาจนถึงวัดซึ่งเปนวัดสร้างใหม่เรียกว่าวัดหัวเมือง ต่อแต่วัดนั้นมาถึงที่ว่าการเมือง ซึ่งยังเปนเรือนหลังคามุงแฝกอยู่ทั้งนั้น ที่จอดเรืออยู่เหนือที่ว่าการนิดหนึ่ง

อนึ่งวันนี้พระยาตากลงมาถึงพาเรือชล่าประทุนลงมาอีกหลายสิบลำ

วันที่ ๑๙ วันนี้ตื่นสายไป แล้วพระวิเชียรพาคนผมแดงมาให้ดู อันลักษณะผมแดงนั้นเปนผมม้าแดงอย่างอ่อนหรือเหลืองอย่างแก่ ผมที่แดงนี้มาข้างพันธุ์พ่อ ถ้าผู้หญิงไปได้ผัวผมดำ ลูกออกมาก็ผมดำไปด้วย ผมแดงนั้นเปลี่ยน ๓ อย่าง แรกแดงครั้นอายุมากเข้าก็ดำหม่นลง แก่ก็เลยขาวทีเดียว บอกพืชพันธุ์ว่าทราบว่าตัวมาแต่เวียงจันท์ แต่มาก่อนอนุเปนขบถ จะได้ตั้งอยู่ช้านานเท่าไรไม่ทราบ พูดเปนไทยประพฤติอาการกิริยาก็เปนไทย ฉเพาะมีมากอยู่ที่เมืองขาณุ ที่กำแพงเพ็ชรนี้มีแต่กระเส็นกระสาย ออกเรือเวลา ๓ โมงตรง เกือบ ๕ โมงจึงได้ขึ้นเรือเหลืองทำกับเข้า แวะเข้าจอดที่ ๆ ประทับร้อนเพราะระยะสั้นแต่จืดไปไม่สนุก จึงได้ไปจอดหัวหาดแม่ลาด ซึ่งมีต้นไม้ร่ม กินเข้าแลถ่ายรูปเล่นในที่นั้นแล้วเดิรทางต่อมา หมายว่าจะข้ามระยะไปนอนคลองขลุง แต่เห็นเวลาเย็น ที่พลับพลาตำบลบางแขมนี้ทำดี ตั้งอยู่ที่หาดแลพลับพลาหันหน้าต้องลม จึงได้หยุดพอเวลาบ่าย ๔ โมงตรง อาบน้ำแล้วมีพวกชาวบ้านลงมาหาเล่าถึงเรื่องไปทัพเงี้ยว เวลาเย็นขึ้นไปเที่ยวบนบ้านแลไปที่ไร่ ระยะทางเวลาวันนี้สองฝั่งน้ำ ระยะบ้านห่างลงมีป่าคั่นมาก แลดูเหมือนจะไม่จับฝั่งตวันตกเช่นตอนล่าง ๆ มีตวันตกบ้างตวันออกบ้าง เช่นบ้านบางแขมนี้ก็เปนบ้านหมู่ใหญ่อยู่ฝั่งตวันออก ราษฎรอยู่ข้างจะขี้ขลาดกว่าตอนข้างล่าง ไม่ใคร่รู้อะไร สังเกตตามเรื่องราวที่ยื่นเปนขอไม่ให้ต้องทำอะไร ไม่ให้ต้องเสียอะไรมาก

วันที่ ๒๐ ออกเรือเกือบ ๓ โมงเช้า ๔ โมงครึ่งขึ้นเรือเหลือง ทำกับเข้ามาจนถึงที่ประทับร้อนไม่แวะ เลยขึ้นมาข้างเหนือแวะฝั่งตวันออก ตลิ่งชันแลสูงมาก แต่ต้นไม้งาม ปีนขึ้นไปกินเข้าบนบกสำหรับถ่ายรูป แล้วลงเรือมาถึงวังนางร้างเปนที่แรมบ่าย ๓ โมงเท่านั้น ครั้นจะเลยไปอื่นระยะก็ห่าง จึงลงเรือเล็กไปถ่ายรูปฝั่งน้ำข้างตวันออก แล้วข้ามมาตวันตกหมายจะเข้าไปถ่ายในป่า ท่วงทีจะเปนทุ่งเลยไม่ได้ไปถ่าย กลับบ่าย ๔ โมง พลับพลาตั้งฝั่งตวันออก ที่นี้เปนหมู่บ้านคนบ้านหนึ่งซึ่งอยู่ในระยะทางตั้งแต่พลับพลามาถึงที่นี้ เกือบจะว่าไม่มีบ้านคนก็ได้ เปนป่าไปทั้งนั้น ไม้สักก็มี

วันที่ ๒๑ ออกเวลาเช้า ๒ โมงเศษ ๔ โมงครึ่งขึ้นเรือเหลือง ชายยุคลเจ็บ เจอะชายบริพัตรจับขึ้นเรือมา ทำฉู่ฉี่ ถึงปึกผักกูดที่ประทับร้อน ไม่ได้หยุดเพราะกับเข้ายังไม่แล้ว ระยะสั้นจึงเลยไปจนถึงเกาะธำรง ซึ่งจัดไว้เปนที่แรมก็เพียงเที่ยง เห็นควรจะย่นทางได้ หยุดกินเข้าเเล้วออกเรือต่อมา หยุดที่พักร้อนบ้านขี้เหล็ก ถึงบ่าย ๔ โมงครึ่งพอฝนตก ที่พักอาศรัยไม่ได้ต้องมุงหลังคา เลยอุดกันอยู่ในเรือ เลี้ยงขนมกันอีกครั้งหนึ่ง จนกระบวรเรือใหญ่มาถึงเวลาย่ำค่ำครึ่ง ทายถูกว่าพระยาอมรินทรคงกลัวพยุ แต่ที่จริงเรือเหลืองไม่ได้ถูกพยุเลยด้วยบังตลิ่ง เรือโมเตอร์ที่มาถึงก่อนบอกว่าพลับพลาจะพังเสียให้ได้ ทางที่มาวันนี้ตั้งแต่พลับพลาวังนางร้างมาฝั่งตวันตกมีบ้านเรือนมาก มีเรือจอดมาก มีหีบเสียงเล่นด้วย เพราะเปนท่าสินค้ามาแต่ดอน ต่อขึ้นมาก็มีเรือนราย ๆ แต่ฝั่งตวันออกเปนป่า จนถึงบ้านโคน ซึ่งเดากันว่าจะเปนเมืองเทพนคร แต่ไม่มีหลักถานอันใด๕๔ บ้านเรือนดีมีวัดใหญ่เสาหงส์มากเกินปรกติอยู่ฝั่งตวันออก มาจนถึงบ้านท่าขี้เหล็กอยู่ฝั่งตวันตก พลับพลาตั้งฝั่งตวันออก เมื่อคืนนี้ฝนตกเกือบตลอดรุ่ง วันนี้ก็โปรยปรายเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปมีเวลาแดดน้อย จนต้องกินเข้าที่พลับพลาประทับร้อน ตั้งแต่บ่าย ๔ โมงเศษฝนก็ตกมาจนเวลานี้ ๒ ทุ่มเกือบครึ่งทีก็จะตลอดรุ่ง ที่พักอยู่ข้างจะกันดาร เหตุด้วยเอาร้อนเปนแรม

วันที่ ๒๒ เมื่อคืนนี้ฝนตกพร่ำเพรื่อไปยังรุ่ง แรกนอนไม่รู้สึกว่าจะเย็น ต่อหลับไปตื่นขึ้นจึงรู้สึกเย็นเยือกไปทั้งตัวท้องก็แขงขลุกขลักอยู่เปนนานจนเอาสักหลาดขึงอุดหมดจึงได้นอนหลับ ตื่น ๒ โมงครึ่ง ออกเรือจวน ๓ โมง มาจากท่าขี้เหล็กเลี้ยวเดียวก็ถึงวังพระธาตุ อยู่ฝั่งตวันตกมีบ้านเรือนรายตลอดขึ้นมา แต่อยู่ฟากตวันตก ฟากตวันออกเปนป่า ตั้งแต่พ้นคลองขลุงขึ้นมามีต้นสักชุม แต่เปนไม้เล็ก ๆ ซึ่งเปนเวลาหวงห้าม เดิรเรือวันนี้รู้สึกว่าไปในกลางป่าสูง ได้ยินเสียงนกร้องต่าง ๆ อย่างชมดงเพรียกมาตลอดทาง ตำบลที่เรียกชื่อคลองเช่นคลองขลุงหรือแม่อะไรต่ออะไรใช่ว่าเราจะแลเห็นในเวลานี้ ปากคลองแห้งอยู่ในหาด ได้พยายามจะไปดูคลองขลุงก็เข้าไม่ถึงด้วยหาดกว้าง คลองขลุงนี้เปนปลายน้ำอันหนึ่ง วันนี้แลเห็นเขาประทัดซึ่งปันแดนยืนเปนแถว ที่วังพระธาตุนี้เปนชื่อของชาวเรือตั้ง วังไม่ได้แปลว่าบ้าน แปลว่าห้วงน้ำ พระธาตุนั้นคือพระธาตุซึ่งตั้งอยู่ตรงวังนั้น จอดเรือที่ ๆ พักร้อนเหนือวังพระธาตุนิดหนึ่ง พระธาตุนี้มีฐานแท่นซ้อน ๓ ชั้น แล้วถึงชั้นคูหาบนเปนรูปกลมซึ่งกรมหลวงนริศร์เรียกว่าทนาน ถัดขึ้นไปจึงถึงบัลลังก์ปล้องไฉน ๗ ปล้อง ปลีแล้วปักฉัตร ไม่ผิดกันกับพระเจดีย์เมืองฝางที่เห็นซึ่งแก้เปนพระเจดีย์มอญเสีย เขาว่าสุโขทัยสวรรคโลก เปนรูปนี้ทั้งนั้น เปนรูปพระเจดีย์ของแผ่นดินฝ่ายเหนือเห็นจะไม่แปลกกันมาก องค์พระเจดีย์ชำรุดพังลงมาเสียซีกหนึ่ง มีรากระเบียงรอบวิหาร ๔ ทิศ วิหารใหญ่ที่บูชาอยู่ทิศใต้ พระอุโบสถซึ่งมีสีมาเปนสำคัญอยู่ทิศตวันออกเยื้องไม่ตรงกลาง เขาปลูกโรงหลังคามุงกระเบื้องในที่ใกล้พระเจดีย์ด้านตวันออก มีพระพุทธรูปทั้งนั่งทั้งยืนหลายองค์ พระพุทธรูปหน้าตาดีแปลกกว่าที่เคยเห็น เปนช่างได้ทำ ได้ถ่ายรูปที่เหล่านี้ไว้ เวลานี้มีพระซึ่งขึ้นมาแต่เมืองนนท์เปนคนเคยรู้จักมาแต่ก่อน ขึ้นมาจำพรรษาอยู่ในที่นี้ คิดจะปฏิสังขรณ์ปลูกกุฎีอยู่เยื้องหน้าพระธาตุ ห่างจากศาลามุงกระเบื้องเดิมซึ่งอยู่ข้างริมน้ำใต้ลงไป๕๕ เดิรจากวังพระธาตุไปตามลำน้ำข้างเหนือ ทาง ๒๖ เส้น ถึงคูด้านใต้ของเมืองไตรตรึงศ์ คูนั้นใหญ่กว้างราว ๑๕ วา ลึกลงเสมอพื้นหาดแต่น้ำแห้ง ยื่นเข้าไปจนถึงเชิงเทิน หลังเมืองไปมีถนนข้ามเข้าเมืองอยู่กลางย่านด้านใต้ แต่ด้านเหนือไม่มีถนน มีแต่ลำคูมาบัญจบด้านใต้ กำหนดเชิงเทินยาวตามลำแม่น้ำ ๔๐ เส้น ยืนเข้าไปทางตวันตกตวันออก ๓๗ เส้นเห็นเปนเมืองใหญ่โตอยู่ พื้นแผ่นดินเปนแลงไปทั่วทั้งนั้น ในท้องคูก็เปนแลง เข้าไปในเมืองหน่อยหนึ่งพบโคก เห็นจะเปนวิหารเจดีย์พังตั้งอยู่เบื้องหลัง ถัดเข้าไปอีกหน่อยหนึ่ง เรียกว่าเจดีย์ ๗ ยอด จะเปนด้วยผู้ที่มาตรวจตราค้นพบสามารถจะถางเข้าไปได้แต่ ๗ ยอด แต่ที่จริงคราวนี้เขาได้ถางดีกว่าที่ได้ถางมาแต่ก่อน จึงได้ไปพบว่ากว่า ๗ คือพระเจดีย์ใหญ่ขนาดพระมหาธาตุริมน้ำอยู่กลาง มีพระเจดีย์ราย ๓ ด้าน วิหารด้านเหนือวางเลอะ ๆ ทำนองนี้

<img>

ที่เขาค้นถากถางเข้ามาให้ดูได้เพียงนี้ นอกนั้นยังเปนป่าทึบอยู่มาก ไม่ใช่รกอย่างกรุงเก่า เปนป่าสูงไม้ใหญ่ ข้างล่างโปร่งทั้งในเมืองนอกเมือง เหตุด้วยทิ้งร้างเปนป่ามาช้านานกว่ากันมาก ข้อซึ่งจะโจทย์สงสัยว่าเปนเมืองไตรตรึงศ์แน่ละหรือ เพราะมีข้อที่พากันสงสัยว่าเจ้าแผ่นดินลงมาแต่เชียงราย เวลานั้นเมืองกำแพงเพชรก็มีเจ้า เหตุไฉนจะข้ามลงไปสร้างเมืองไตรตรึงศ์ขึ้นในที่ใกล้ห่างกันเพียง ๔๐๐ เส้น ความที่เดาว่าเมืองกำแพงเพชรมีเจ้าอยู่ในเวลานั้น น่าจะเดาจากบาญชีเมืองประเทศราชครั้งแผ่นดินพระเจ้าอู่ทอง ในท้องเรื่องที่ว่าเจ้าเชียงรายยกลงมา ไม่ได้กล่าวว่าตีเมืองกำแพงเพชร ไปตั้งเมืองแปบเปนเมืองไตรตรึงศ์ทีเดียวจึงเกิดสงสัย ที่จริงคงจะได้เมืองกำแพงเพชรแล้ว แต่หากจะย้ายไปสร้างเมืองใหม่ ให้เปนเกียรติยศหรือด้วยความขัดข้องประการใด เมืองกำแพงเพชรที่อยู่ฝั่งตวันออก คงจะเกี่ยวดองหรืออยู่ในอำนาจเมืองสวรรคโลก สุโขทัย พิษณุโลก จึงตั้งฝั่งทางที่เปนแผ่นดินเดียวกัน ถ้าพวกเชียงรายจรมาจะไปตั้งฝั่งตวันตกก็จะได้ เพราะถูกต้องความในจดหมาย ว่าข้ามแม่น้ำโพไปตั้งฝั่งตวันตกเมืองกำแพงเพชร เห็นจะเปนเมืองไตรตรึงศ์แน่ กลับเวลาเที่ยงลงเรือเหลืองมาถึงพลับพลาประทับร้อนไม่แวะ ด้วยจะฉ้อวันให้ได้อีก ๑ วัน ระยะเขากะ ๑๐ วันเปนอันฉ้อได้ ๒ วัน คง ๘ วัน ฝนตกเปนคราว ๆ มาแวะกินเข้าที่บ้านไร่ เปนบ้านนายเทียนอำแดงแจ่ม ท่วงทีบ้านเรือนสบาย พื้นบ้านเตียนหมดจด มีไม้ดอกไม้ผลหลายอย่าง ผิดกันกับบ้านแถบนี้ เจ้าของบ้านก็ไม่ออกมาทักทายตามอย่างที่เคยแวะมา ออกจะหลบ ๆ ครั้นเมื่อไปสั่งสนทนาจวนตัวเข้าแลหายกลัวด้วยเห็นเปนคนแปลกหน้า ถ้าจะไม่มีอันตราย จึงได้ขยายว่าเปนชาวเมืองนนท์ ขึ้นมาอยู่ได้ ๑๐ ปี หน้าตาแยบคายชอบกล เปนคนฉลาดรู้อะไร ๆ มาก แลลงหนังสือขอมทั่วทั้งตัว จึงลงเนื้อเห็นกันว่า ทีจะเปนผู้ร้ายคนโตหลบขึ้นมาอยู่ในที่นี้ ออกจากบ้านไร่มาถูกฝนอีกมาก ถึงกำแพงเพชรจอดหน้าเมืองเก่าเกือบทุ่ม ๑ ที่นี้เขาทำพลับพลาขึ้นไปบนฝั่ง แอบปรำจอดเรืออีกหลัง ๑ วันนี้ได้ตั้งตาอ้นเปนเจ้าหมื่นเสมอใจ

วันที่ ๒๓ แต่เช้าฝนตกประปรายอยู่เสมอ ๓ โมงต้องไปทั้งฝน ถ่ายรูปทั้งฝน ไปตามถนนบนฝั่งน้ำชั้นบน ขึ้นไปข้างเหนือผ่านวัดเล็ก ๆ ทำด้วยเเลงแลที่ว่าการซึ่งยังทำไม่แล้ว เลี้ยวเข้าประตูน้ำอ้อยทิศตวันตก หน้าประตูนี้เปนทางลึกลงไปจากฝั่งจนถึงท้องคูแล้วจึงขึ้นเมือง ๆ ตั้งอยู่ในที่ดอนน้ำไม่ท่วม เลียบไปตามทางริมกำแพงซึ่งเขาว่าได้ตัดแล้วรอบ เมืองนี้ไม่ได้ทำเปนเหลี่ยม โอนไปตามรูปแม่น้ำ ประมาณว่าด้านเหนือด้านใต้ ๕๐ เส้น ด้านสกัดทิศใต้ ๑๒ เส้น สกัดข้างเหนือ ๖ เส้นรูปสอบ ใช้พูนดินเปนเชิงเทิน คิดทั้งท้องคูข้างนอกสูงมาก กำแพงก่อด้วยแลง ใบเสมาเปนรูปเสมาหยักแต่ใหญ่ คออ้วนเหลืออยู่น้อย ตามประตูน่าจะเปนป้อมทุกแห่ง แต่ที่ได้เห็น ๓ ประตู คือประตูน้ำอ้อย ประตูบ้านโนน ประตูดั้น ประตูหลังยังคงมีป้อมก่อด้วยแลงปรากฎ ป้อมนั้นเปนลับแลอยู่ปากคูข้างนอก ตรวจว่าจะชักเข้ามาติดกำแพงอย่างเมืองนครศรีธรรมราชหรืออินเดียก็ไม่มีร่องรอย แต่เปนเมืองอย่างมั่นคงดีกว่านครศรีธรรมราชแลนครราชสิมา ที่สำคัญคงอยู่ฝ่ายเหนือ ซึ่งเปนที่ตั้งวัดใหญ่ที่ตกลงกันเรียกว่าวัดพระแก้วอยู่ข้างเหนือวังอยู่ใต้ใกล้กัน วัดนั้นมีกำแพงแลงทั้งท่อนตั้งมีทับหลังสูงสัก ๒ ศอกเศษ ไม่ใช่สร้างคราวเดียว ไปเข้าทางช่องกลาง ๆ ย่านของวัด สิ่งที่ก่อสร้างภายในเปนแลงเปนพื้นเห็นจะซ่อมแซมด้วยอิฐภายหลัง หย่อมต้นเปนฐานทักษิณอันเดียวยาว จะเปนพระเจดีย์เหลี่ยมหรือพระปรางค์อยู่ท้าย กลางเปนมณฑป ตอนข้างหน้าเปนวิหารใหญ่ ลักษณเดียวกันกับวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ที่กรุงเก่า เห็นจะเอาอย่างไปจากนี้ เหมือนกันกับหมู่พุทธปรางค์ (กรุงเทพ ฯ) เอาอย่างไปจากวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ต่อมามีระยะกันถึงวิหารใหญ่พระเจดีย์กลมลอมฟางอยู่หลังวิหารอีกหน่อยหนึ่ง หย่อมนี้เห็นจะเปนชั้นลังกา แต่พระเจดีย์นั้นทำงามมาก ชั้นล่างเปนซุ้มคูหารอบ มีสิงห์ยืนในคูหา ถัดขึ้นไปอีกชั้น ๑ เปนคูหาไว้พระพุทธรูปขนาดเดียวกับพระโบโรบุโด ซึ่งเชิญมาไว้ในวัดพระแก้ว แต่คเนยังไม่ได้ว่าจะเปนท่าต่าง ๆ หรือไม่ ถัดขึ้นไปจึงถึงองค์พระเจดีย์บัวคว่ำบัวหงายที่รับปากรฆังเปนบัวหลังเบี้ยสลับกลีบกันงามเข้าทีมาก บัลลังก์มีซุ้มยื่นออกมา ๔ ทิศ ไว้พระ ๔ ปาง ไม่เห็นมีเสารับยอดซึ่งกรมหลวงนริศร์สงสัยว่าจะเปนทวย ถัดขึ้นไปปล้องไฉนแต่ยอดด้วน ประมาณว่าจะสูงราว ๑๕ วา ต่อนั้นไปเปนวิหารโถงมีกำแพงแก้ว กำแพงก่อด้วยแลงแต่ปั้นปูนเปนรูปรามเกียรติ์ ทำให้เห็นชัดได้ว่าเครื่องแต่งตัวอย่างโบราณนั้นไม่ได้นุ่งผ้าแน่แล้ว สวมกางเกง ๒ ชั้น ๆ หนึ่งยาวหุ้มแข้งชั้นนอกเขินเพียงเข่า แล้วคาดผ้าปล่อยชายยาวลงมาทั้งสองชาย จึงสวมเสื้ออย่างน้อยซึ่งมีชายเสื้อทับผ้าคาด แล้วสวมเสื้อแขนสั้นทับอีกชั้น ๑ ในระหว่างชายเสื้อกับเสื้อแขนสั้นคาดเข็มขัด แต่หมวกจะเปนอย่างไรพิจารณายังไม่เห็นชัดเพราะชำรุดมากเวลาไม่พอ ผู้หญิงก็ดูเหมือนจะนุ่งผ้า ๒ ผืนคล้ายเทวรูปแต่ยังเห็นไม่ชัด ในวิหารโถงนี้มีพระนอนแล้วมีพระเจดีย์องค์เล็ก ๆ รายอยู่ที่ฐานชุกะชีรอบ ที่หน้ากระดานแลที่บัลลังก์พระเจดีย์เล็ก ๆ นี้ทำเปนซุ้มพระพุทธรูปเล็ก ๆ เรียงติดกันไปรอบ มีผู้ไปสร้างพระองค์ใหญ่นั่งอยู่ข้างหลังพระนอนหน้าพระเจดีย์เติมขึ้นอีก ๒ องค์ เห็นชัดว่าคงจะเติมภายหลังเพราะเบียดเสียดกันมาก รูปพรรณก็เลวทราม วิหารโถงนี้คล้ายกันกับที่ท้ายวัดพระศรีสรรเพชญ์กรุงเก่านั้นอีก ในระหว่างพระเจดีย์แลวิหารโถงนี้มีมณฑปตั้งพระพุทธรูปใหญ่ ๆ อยู่ ๓ มณฑป แต่ไม่ใช่แนวเดียวกันกลางถลำลงไปหน่อยหนึ่ง บางทีจะสร้างแทรกเติมขึ้น พ้นจากหมู่วิหารโถงนี้เปนวิหารใหญ่อีกหย่อมหนึ่ง มีพระรเบียงล้อมรอบ พระหน้าตาชนิดหนึ่ง ซึ่งรู้จักอยู่แลมีที่วัดเบญจมบพิตรหลายองค์นั้น เดิมไม่ได้กล่าวกันว่าเปนพระเมืองกำแพง บัดนี้รู้จักกันแล้วว่าพระหน้าตาเช่นนี้เปนพระเมืองกำแพง ถัดนั้นไปมีอีกหย่อมหนึ่งมีกำแพงคั่น เขาเรียกต่างชื่อไปว่าเปนวัดช้างเผือก แต่เห็นจะไม่ใช่เพราะไม่มีถนนคั่น ชำรุดทรุดโทรมมากไม่ได้ไปดูถึงที่ ส่วนข้างด้านหน้าหมู่ต้นนั้นเขาก็เรียกเปนวัดอื่นต่างหาก เพราะห้อยออกไปมีวิหารใหญ่มีพระปรางค์ แต่ที่จริงเห็นจะเปนวัดเดียวกันทั้งนั้น เจ้าแผ่นดินวงศ์หนึ่งหรือคนหนึ่งก็จะสร้างเติม ๆ ออกไปเปนวัดยาวเลื้อยเหมือนอย่างวัดหน้าพระธาตุเมืองลพบุรี ทีจะมีพระเจดีย์แลวิหารเล็ก ๆ รายข้าง ๆ อีกมากแต่พังเสียหมด ชื่อวัดนี้ไม่ปรากฎ ถ้าจะเรียกตามลพบุรีก็เปนวัดหน้าพระธาตุ ถ้าจะเรียกตามกรุงเก่าก็เปนวัดพระศรีสรรเพชญ์ซึ่งยอมรับว่าจะเรียกวัดพระแก้วก็ได้นั้น เพราะเหตุที่มีในตำนานว่าพระแก้วได้เคยมาอยู่เมืองนี้ ถ้าหากว่าได้มาอยู่คงจะไม่ได้อยู่วัดอื่น คงอยู่วัดนี้เปนแน่ ออกจากวัดไปที่หลักเมือง ซึ่งอยู่มุมท้ายวัดอยู่ในระหว่างวัดกับวัง แล้วไปที่วัง ๆ นี้มีแนวเชิงเทินดินต่ำ ๆ รอบ ไม่เห็นมีกำแพงเหลือเลย เห็นจะใช้ระเนียดไม้เช่นเมืองพม่าเขาก็ยังใช้อยู่ ยาว ๖ เส้น กว้าง ๕ เส้น ไว้ชานในระหว่างรเนียดชั้นนอกพอสมควร พอการพิทักษ์รักษาแลบริษัทบริวารจะอยู่ ชั้นในขุดคูรอบคงจะมีรเนียดปากคูข้างในอีกชั้น ๑ มีถนนเดิรเข้า ๓ ด้าน เว้นด้าน ๑ ดูภูมิฐานคล้าย ๆ สระแก้วเมืองพิษณุโลก ในกลางวังมีสระใหญ่รูปรีสระหนึ่ง ไม่มีรอยก่อสร้างเลย เห็นจะเปนเรือนไม้ทั้งนั้น เขาปลูกพลับพลาแลปรำที่พักในที่นี้ มีราษฎรมาประชุมอยู่เปนอันมาก ภรรยาข้าราชการแลผู้ดีในเมืองนี้ทำสำรับมาเลี้ยงหลายสิบสำรับ หน้าพลับพลาทำเปนรูปเต่ารูปช้างเผือกโผล่จากดิน รูปเสือแลรูปงูอยู่ที่ต้นไม้ริมพลับพลา เปนความคิดนายอำเภอบ้านพรานกระต่ายทำ ได้กินของเลี้ยงแลถ่ายรูปคนงามเมืองกำแพงเพชร๕๖ ซึ่งได้สั่งให้เลือกหาไว้ก่อน เขาคัดเอาแต่ลูกผู้ดี ความจริงราษฎรที่มานั่งอยู่ทั้งหมู่หน้าตาดีกว่าก็มี ผู้หญิงเมืองนี้นับว่ารูปพรรณสันฐานดีกว่าเมืองอื่นในข้างเหนือ คนงามทั้ง ๔ ที่จะมาถ่ายรูปนั้นเขาให้ถือกระเช้าหมากคอยแจกเลี้ยง คือหวีดบุตรหลวงพิพิธอภัย อายุ ๑๖ ปี คนนี้รู้จักนั่งโปสต์ถ่ายรูป จึงได้ถ่ายรูปฉเพาะคนเดียว ยังอีก ๓ คนนั้นชื่อ ประคองลูกหลวงพิพิธอภัยเหมือนกัน อายุ ๑๗ ปี ริ้วลูกพระพลอายุ ๑๗ พิงลูกพระยารามรณรงค์อายุ ๑๖ อาหารที่เลี้ยงเปนกับเข้าอย่างเก่า ๆ พอกินได้ ดีกว่าบ้านนอกแท้ กลับออกจากวังแวะถ่ายรูปที่วัดอิกหน่อยหนึ่งแล้วจึงไปเทวสถาน เขาเรียกว่าพระอิศวรแต่ที่แท้เห็นจะเปนสถานเดียวรวมกัน ลักษณศาลพระกาฬเมืองลพบุรี คือคงจะเปนปรางค์ แล้วมีเทวสถานต่อข้างหน้าอยู่ในฐานชุกะชีอันเดียวกัน ที่นี่ซึ่งคนเยอรมันได้มาลักรูปพระอิศวรที่อยู่ (พระที่นั่ง) พุทไธศวรรย์เดี๋ยวนี้ไปตามกลับมาได้ ยังคงเหลืออยู่บัดนี้ แต่พระอุมาแลพระนารายณ์ซึ่งเอาศีร์ษะไปเสียแล้ว แลเทวรูปเล็กน้อย ฝีมือดีทันกันกับพระอิศวรองค์ใหญ่นั้น ได้เห็นบ่อกรุ ๒ บ่อ แต่ตื้นตันไปเสียแล้ว ที่เขาว่ายังดีอยู่ก็มี บ่อกรุรายทั่วไปในเมือง มีวัดอื่นที่ย่อม ๆ ลงไปอีก กลับบ่าย ๓ โมง เวลาเย็นพยุจัดฝนตกไม่สู้มาก ได้ข่าวว่ารูปที่ส่งไปล้างบางกอกได้ส่วน ๑ เสีย ๒ ส่วน เห็นจะเปนด้วยน้ำยาไม่ถูกกันหรือจะชื้นจะรั่วประการใด นึกเสียดายเมื่อไรจะได้มาถ่ายรูปเมืองกำแพงเพชรอีก จึงได้จัดการโอมเอาห้องอาบน้ำเปนห้องล้างรูปทนล้างเอาในวันนี้ ประดักประเดิดมาก ๒ ยามเศษจึงได้หมด ได้รับหนังสือบางกอกซ้ำเข้ามาด้วย

วันที่ ๒๔ วันนี้ขึ้นเดิรบกไปโดยทางเดิม จนถึงถนนเลี้ยวประตูน้ำอ้อย ไม่เลี้ยวตรงไปตามทางข้างทิศตวันตกแต่โอนเหนือ พบวัดใหญ่บ้างเล็กบ้าง อย่างก่อด้วยอิฐกำมะลอ ๒-๓ วัด แล้วเลี้ยวเข้าประตูดั้นซึ่งออกไปดูเมื่อวานนี้ เดิรเลียบตามในกำแพงต่อไป จนถึงทางที่เคยเลี้ยวเข้าวัดที่เรียกไว้ว่าวัดพระแก้วเมื่อวานนี้นั้นเปนที่สุดทางที่ได้ไป แล้วจึงเดิรเลียบกำแพงนั้นต่อไปอีก ยังเปนทิศตวันตกอยู่นั่นเอง มีป้อม ๆ หนึ่งไม่มีชื่อ เปนป้อม ๓ เหลี่ยมเหมือนกับป้อมอื่น ๆ ฝีมือวิชาเยนทร ใกล้ป้อมนั้นมีประตูอีกประตูหนึ่ง เรียกว่าประตูเจ้าอินเจ้าจัน ในระยะแต่นี้ไปมีกำแพงที่ยังดีอยู่หลายตอน เปนอันได้รูปว่า ก่อแลงเสิมขึ้นเปนเชิงเทิน หลังเนินดินสูงประมาณ ๓ ศอก ๔ ศอก แล้วจึงตั้งฐานเสมาเจาะช่องปืนใต้เสมา ๆ นั้นคล้ายอย่างอินเดีย เสี้ยมปลายแต่ไม่หยักเม็ด ป้อมมุมตวันตกต่อกับเหนือหมายว่าจะแปลกก็ไม่แปลกอันใดเท่ากัน ถัดไปจึงถึงประตูเขาเรียกชื่อว่าประตูหัวเมือง ประตูนี้มกุฏราชกุมารคเนว่าจะเปนประตูไชย แต่เห็นจะไม่ถูก เพราะไม่ใช่ตรงข้างเหนือแท้ ที่คเนนั้นคเนโดยเห็นมีหอรบ ๒ ข้างประตู เมื่อถึงด้านตวันออกเริ่มต้นเปนประตูผีออก ซึ่งยังมีกำแพงอยู่ดีกว่าประตูอื่น ๆ ถัดไปถึงป้อมซึ่งพระวิเชียรให้ชื่อไว้ว่าป้อมเพ็ชร เพราะเปนด้านเหนือเขาถือว่าเปนป้อมสำคัญ ขึ้นไปดูก็ไม่เห็นแปลกอะไร เปนป้อม ๓ เหลี่ยมชุดเดียวกันกับป้อมทั้งปวงนั้น ต่อไปอีกจึงถึงประตูเขาเรียกไว้ว่าสพานโคม ซึ่งน่าจะเรียกว่าประตูไชย เพราะเปนทางไปแลมากับเมืองสุโขทัย ประตูนั้นก็เปนประตูใหญ่ ลักษณประตูเพนียดลพบุรี ลงไปลึกจึงถึงถนนข้ามคู ปลายถนนข้ามคูเปนที่ลุ่มลึกใหญ่ มีเกาะอยู่กลางซึ่งเขายังไม่ได้แปลว่าอะไรนั้น แลเห็นได้ถนัดว่าเปนป้อมประจำประตูอย่างประตูดั้นแต่ใหญ่กว่า เมื่อไปพ้นป้อมนั้นจึงขึ้นถนน ขุดดินเปนร่อง ๒ ข้างขึ้นพูนเปนถนนสูง กว้างประมาณ ๘ วาตรงลิ่ว เรียกว่าถนนพระร่วง ถนนพระร่วงชนิดนี้มีในระหว่างสุโขทัยกับสวรรคโลก เหมือนถนนสายนี้ ๆ ไปสุโขทัย แต่ขาดเปนห้วงเปนตอน เชื่อแน่ได้ว่าเปนถนนพระร่วงจริง เมื่อไปได้ประมาณสัก ๒๐ เส้นเศษ ย้ายลงเดิรจากถนนไปข้างซ้ายมือ ที่นั่นดูเปนที่ลุ่มต่ำลงไปจนถึงเปนน้ำเปนโคลน แล้วจึงไปขึ้นดินสูง ที่สูงนั้นพื้นเปนแลงทั้งสิ้น ที่เปนแลงแลเห็นเปนแท่ง ๆ ก็มี ที่ป่นเปนทรายแดงไปก็มี พอขึ้นที่สูงนั้นหน่อยหนึ่งก็ถึงวัดเปนวัดใหญ่ ๆ แต่ไม่มีชื่อทั้งนั้น ด้วยเปนวัดทิ้งอยู่ในป่าเสียแล้ว วัดเหล่านี้ใช้แลงแผ่นยาว ๆ ตั้ง ๒ ศอกเศษ หน้ากว้างคืบเศษหรือศอก ๑ หนา ๕ นิ้ว ๖ นิ้ว ตั้งเรียงกันเปนรเนียดมีกรอบแลงเหลี่ยมลอกมุมทับหลังเหมือนกันทุก ๆ วัด แต่วัดที่เขาให้ชื่อว่ากำแพงงามเปนเรียบร้อยดีกว่าทุกแห่ง ทีจะทำภายหลังวัดอื่น การข้างในจึงไม่มีสลักสำคัญอันใดเห็นจะไม่แล้ว วัดต้นทางที่ไปถึงไม่มีชื่อ ถัดไปจึงถึงวัดพระนอนซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน วัดเหล่านี้มักจะมีวิหารหรืออุโบสถใหญ่อยู่ข้างหน้า มีทักษิณล่างชั้นหนึ่งแล้วจึงถึงฐานบัตร ลักษณวัดสุทัศน์ วิหารเหล่านี้ไม่เกิน ๕ ห้อง แต่คงมีมุขเด็ดด้านหน้าอย่างวัดหน้าพระธาตุเมืองลพบุรี พนักเปนช่องลูกฟัก เสาเปนแปดเหลี่ยม ตัดแลงเปน ๘ เหลี่ยมทีเดียว ด้านหลังมีมุขตั้งทักษิณชั้นล่างจนผนัง แลเสาใช้แลงอย่างเดียวไม่มีอิฐปน ใช้พื้นโบถพื้นวิหารสูง ไม่ต่ำเหมือนอย่างกรุงเก่า เหตุที่เขารวยแลง แต่หลังคาจะหาตัวอย่างให้เห็นว่าเปนอย่างไรไม่มีสักหลังเดียว ถัดโบสถ์หรือวิหารนี้ไป จึงมีก้อนกลางต่าง ๆ กันชิ้นหลังก็ยักไปต่าง ๆ กัน บางทีมีแต่ ๒ ชิ้น

จะว่าด้วยวัดพระนอนนี้ วิหารหน้าใหญ่มาก แต่โทรมไม่มีอะไรอัศจรรย์ ในทักษิณชั้นล่างตั้งสิงห์เบือนเห็นจะมากคู่ แต่เดี๋ยวนี้เหลือ ๒ ตัว ชิ้นกลางเปนวิหาร ๕ ห้อง กันไว้ข้างหน้า ๒ ห้องข้างหลัง ๒ ห้อง เหมือนวิหารพระศาสดาวัดบวรนิเวศแลวิหารพระสัฐารถวัดสระเกศแต่ใหญ่มาก เสาใช้แลงท่อนเดียวเปนเสา ๔ เหลี่ยมสูงใหญ่ ห้องข้างหน้ามีพระนอน ห้องข้างหลังมีพระนั่ง ๒ องค์ ชิ้นหลังเปนพระเจดีย์ฐาน ๘ เหลี่ยม ระฆังกลมรูปแจ้งามมาก เกือบจะสู้พระเจดีย์กลางถนนเมืองย่างกุ้งได้ ยังดีไม่ซวดเซอันใด เหตุด้วยพื้นเปนแลงแขงไม่ต้องทำราก ชั่วแต่ยอดหัก แต่ที่เหลืออยู่บัดนี้สูงกว่า ๑๕ วา ที่หน้าพระเจดีย์นี้มีที่บูชา เปนศาลาหลังคา ๒ ตอน ลักษณเดียวกับที่ทูลกระหม่อมไปสร้างไว้ในที่ต่าง ๆ ต่อไปข้างหลังมีฐานโพธิ์แลมีวิหารอะไรอีกหลังหนึ่งชำรุดมากดูไม่ออก เปนวัดใหญ่มากแต่จะเรียกว่าวัดพระนอนก็ควร เพราะมีพระนอนเปนสำคัญ

ตั้งแต่วัดนี้ไปมีกำแพงวัดอีกหลายวัดอยู่ชิด ๆ กันอย่างวัดกรุงเก่า แต่ไม่มีเวลาจะแวะดู ทางที่ไปเปนป่าไม้พลวงเปนพื้นโปร่ง ๆ เมื่อพ้นวัดกำแพงงามจึงถึงวัดเขาตั้งชื่อไว้ว่าวัดพระยืน มีสพานข้ามคู เสาล้วนแต่ศิลาแลงทั้งนั้น วิหารใหญ่ด้านหน้าจะโตกว่าวัดสุทัศน์ แต่ไม่มีอะไรหลงเหลือเลยนอกจากพระเศียรพระเล็ก ๆ น้อย ๆ ชิ้นกลางเห็นจะเปนวิหารยอดจัตุรมุข แต่สูงใหญ่เหลือเกิน มุขหน้าเปนพระเดิร มุขหลังเปนพระยืน มุขซ้ายเปนพระนอน มุขขวาเปนพระนั่ง ที่มุมปั้นเปนรูปนารายณ์ขี่ครุฑใหญ่มาก จะรับหลังคาอย่างไรน่าคิด แต่พระเหล่านี้เปนพระปั้นด้วยปูน ใครจะมาซ่อมมาทำเพิ่มเติมอย่างไรภายหลัง แต่รูปพรรณสัณฐานคงเปนพระกำแพง ไม่ใช่ช่างเมืองอื่นมาทำ พระยืนนั้นขนาดพระโลกนาถวัดพระเชตุพน แต่ประเปรียวกว่า เห็นว่าให้ชื่อไว้ว่าวัดพระยืนนั้นไม่เข้าเค้า จึงเปลี่ยนให้เรียกวัดพระเชตุพนไปพลาง กว่าจะมีชื่ออื่นดีกว่า เหตุด้วยเมืองสุโขทัยมีวัดเชตุพน บางทีเขาจะตั้งชื่อซ้ำกันบ้าง ต่อนั้นไปจึงถึงวัดใหญ่ ซึ่งมีวิหารอย่างเดียวกัน กลางเปนรูปไม้สิบสอง จะเปนเจดีย์หรือปรางค์อันใดพังเสียหรือไม่แล้ว ด้านหลังก็เปนวิหารใหญ่อีกหลังหนึ่ง ในลานวัดนั้นเต็มไปด้วยพระเจดีย์ ที่เปนฐานเดียวกันหลาย ๆ องค์บ้างองค์เดียวบ้าง ลักษณเดียวกับวัดหน้าพระธาตุลพบุรีแลวัดพระมหาธาตุเมืองนครศรีธรรมราช จะเปนวัดอื่นนอกจากวัดหน้าพระธาตุไม่ได้เลย วัดนี้ดูบริบูรณ์มากกว่าวัดอื่น ซุ้มประตูใหญ่น้อยก็ยังมี ข้างหน้าวัดมีสระ ๔ เหลี่ยมกว้างยาวลึกประมาณสัก ๕ วา ขุดลงไปในแลงเหมือนอ่างศิลา ไม่มีรอยก่อเลย มีห้องฝาแลงกั้นสำหรับพระสรงน้ำ คงใช้โพงคันชั่ง น้ำในนั้นมีบริบูรณ์ใช้ได้อยู่จนบัดนี้ เมื่อเห็นวัดนี้เข้าแล้ว เปนการจำเปนที่จะยืนยันรับรองว่าวัดในเมืองจะเปนวัดพระแก้วไม่ได้เลย ถ้าพระแก้วได้อยู่ในเมืองนี้คงจะอยู่วัดนี้ ใช่จะแต่ฉเพาะว่าวัดใหญ่ เกี่ยวด้วยกาลเวลาเสียด้วย เปนอันลงสันนิษฐานได้ในเรื่องเมืองกำแพงเพชรนี้ดังที่จะว่าต่อไป

เมืองกำแพงเพชรนี้เดิมตั้งอยู่ห่างฝั่งน้ำทุกวันนี้ประมาณ ๑๐๐ เส้น น่าจะมีลำน้ำมาที่ชายเนินแลง ซึ่งได้กล่าวไว้ว่าเปนที่ลุ่มนั้นหรือที่อื่น ตลอดจนถึงเวลาพระร่วงเปนใหญ่ในเมืองสวรรคโลก เปนเวลาร่วมกันกับมังรายลงมาจากเชียงราย ตั้งเชียงใหม่เปนเมืองหลวง พวกเจ้านายในเมืองสวรรคโลกกลัวว่าสวรรคโลกล่อแหลมนัก จึงคิดอ่านตั้งสุโขทัยเปนเมืองหลวงขึ้นอีกเมืองหนึ่ง สวรรคโลกให้ลูกเธอไปอยู่เปนทัพหน้า ข้างฝ่ายแม่น้ำน้อยนี้ จะเปนด้วยแม่น้ำเปลี่ยนไปก็ตามหรือเมืองเดิมตั้งอยู่ห่างน้ำก็ตาม พระร่วงหรือวงศ์พระร่วงเห็นว่าควรจะเลื่อนเมืองลงมาตั้งริมน้ำให้ข่มแม่น้ำนี้ จึงมาสร้างกำแพงขึ้นใหม่ ให้ชื่อเมืองกำแพงเพชร ทำทางหลวงเดิรขึ้นไปสวรรคโลกสายหนึ่ง มากำแพงเพชรสายหนึ่ง เพื่อจะให้เดิรทัพช่วยกันได้สดวก เมืองเหนือคงเปน ๓ พระนคร ทางเดิรในระหว่างกำแพงเพชรไปสุโขทัยนอน ๒ คืน ด้วยเหตุฉนั้นเจ้าผู้ครองเมืองกำแพงเพชรจึงย้ายเข้ามาอยู่ในกำแพง ได้สร้างวัดใหญ่ขึ้นแต่วัดเดียว เมื่อองค์อื่นจะสร้างก็สร้างเติมต่อ ๆ ไป จึงไม่มีวัดใหญ่ในกำแพงเมือง วัดในกำแพงต้นทางที่มีพระเจดีย์ ซึ่งมกุฏราชกุมารสมมตให้เปนวัดมหาธาตุ ถ้าจะเทียบกับวัดข้างนอกเมืองเล็กนักเปนไม่ได้ วัดพระแก้วนั้นเล่าพระแก้วก็อยู่ไม่ได้ ด้วยเหตุที่พระแก้วจะตกมาอยู่กำแพงเพชรคงจะมาอยู่ก่อนสร้างกำแพงเมืองกำแพงเพชรทุกวันนี้ ด้วยถ้ามาอยู่ภายหลัง คงจะไม่อยู่เมืองกำแพงเพชรต้องไปอยู่สุโขทัย เมืองชั้นกำแพงเพชรไม่เกิน ๖๐๐ ปี แต่เมืองโบราณภายในนี้ไม่ภายหลังพระร่วง ถ้าหากว่าได้ค้นคว้ากันจริง ๆ คงจะพบลำน้ำเขิน พบเชิงเทินเมืองเก่า เดี๋ยวนี้พวกที่ค้นหลงว่าเมืองเก่านั้นเปนวัดนอกเมืองจึงมามัวคลำแต่ในกำแพง ถ้าเปนนอกเมืองแล้วจะไปสร้างวัดออกเต็มไปเช่นนั้นที่ไหนได้ ถ้าจับบทหันไปค้นนอกเมือง ซึ่งเปนเมืองโบราณนี้คงจะได้อะไรอีกมาก วันนี้อยู่ข้างจะสนุก แต่เวลาไม่พอเลย หยุดแต่ชั่วกินเข้าที่ปากสระวัดมหาธาตุครู่เดียวยังกลับมาถึงเกือบบ่าย ๕ โมง

วันนี้ค่ำล้างรูป แลมีละคอนของมารดาหลวงพิพิธอภัย เล่นเรื่องไชยเชษฐ กรมดำรงเชื่อว่าจะเก่าแท้ไม่มีโซดขึ้นมาถึง ที่แท้โซดเสียป่นปี้ยับเยินมาก คือนายโรงแต่งตัวเปนละคอนแต่เสื้อผ้าขาวไม่ปัก ตพายแพรอย่างเจ้าพระยามหินทร อัตลัดดอกใหญ่ลอยเลื่อมดอกละ ๓ อัน นายโรงนี้แก่มากแก้มลึกเหมือนช้อนหอย นางใส่เสื้อแพรหรือเสื้อขาวห่มแพรสไบเฉียงสวมนวมแลตาบ นุ่งผ้าไหมเลี่ยน นางแมวนั้นแต่งหรูคือใส่เสื้อผู้หญิงอย่างใหม่เกี่ยวขอข้างหลัง มีความเสียใจที่คับไปหน่อยหนึ่ง ตั้งแต่บั้นเอวลงมาจนก้นเกี่ยวขอไม่ได้ต้องง่าอยู่เฉย ๆ แลการที่สวมนั้นก็พลาดพลั้งเอียงอยู่ข้างหนึ่งด้วย วิเศษขึ้นที่ห่มสำรด คาดเอวทับแพรอีกชั้นหนึ่งสวมกระบังหน้า นารายณ์ธิเบศรสวมเสื้ออย่างใหม่แขนพองสพายแพร ท้าวสิงหฬสวมเสื้อขาวสพายแพร หน้าโขนเปนหน้าเขียวสวมชฎาดอกลำโพง ลูกคู่นั้นไม่กี่คนแต่อายุตั้งแต่ ๗๐ ลงมาหา ๑๕ ปี ร้องเปนทำนองละคอนในเห็นจะเปนด้วยเล่นพระราชนิพนธ์ หมายว่าละคอนในคงต้องร้องละคอนในทั้งสิ้น ถามเจ้าของดูว่าหางารกันกลางวันครึ่งวันกลางคืนครึ่งคืนเปนเงิน ๔๐ ได้เล่นอยู่ทุกปีมิใช่เล่นอยู่เสมอ แต่ยังเล่นเปนละคอนไม่ใช่ยี่เก

วันที่ ๒๕ วันนี้ตื่นสายเพราะวานนี้อยู่ข้างจะฟกช้ำ ๔ โมงจึงได้ลงเรือเหลืองข้ามฟากไปฝั่งตวันตก ยังไม่ขึ้นที่วัดพระธาตุเลยไปคลองสวนหมาก ต้องขึ้นไปไกลอยู่หน่อย ในคลองนี้น้ำไหลเชี่ยวแต่น้ำใสเพราะเปนลำห้วย มีคลองแยกข้างขวามือแต่ต้นทางที่จะเข้าไปเรียกว่าแม่พล้อ ถ้าไปตามลำคลอง ๓ วันจึงถึงป่าไม้ แต่มีหลักตอมาก เขาขึ้นเดิรไปทางวันเดียวถึง ป่าไม้นี้พะโป๊กะเหรี่ยงในบังคับอังกฤษเปนคนทำ เมียเปนไทยชื่ออำแดงทองย้อย เปนบุตรผู้ใหญ่บ้านวันแลอำแดงไท ตั้งบ้านเรือนติดกันในที่นั้น ไปขึ้นถ่ายรูปที่หน้าบ้าน ๒ บ้านนี้ แล้วจึงกลับออกมาจอดกินกลางวันที่หาดกลางน้ำ คลองสวนหมากนี้ตามลัทธิเก่าถือกันว่าเปนที่ร้ายนัก จะขึ้นล่องต้องเมินหน้าไปเสียข้างฝั่งตวันออก เพียงแต่แลดูก็จับไข้ ความจริงนั้นเปนที่มีไข้ชุมจริง เพราะเปนน้ำลงมาแต่ห้วยในป่าไม้ แต่เงินไม่เปนเครื่องห้ามกันให้ผู้ใดกลัวความตายได้ แซงพอกะเหรี่ยงซึ่งเรียกว่าพญาตก่าพี่พะโป๊มาทำป่าไม้ ราษฎรซึ่งอยู่ฟากตวันออกก็พลอยข้ามไปหากินมีบ้านเรือนคนมากขึ้น ความกลัวเกรงก็เสื่อมไป กินเข้าแล้วล่องลงมาขึ้นที่วัดพระธาตุ ซึ่งแต่เดิมเปนพระเจดีย์อย่างเดียวกับที่วังพระธาตุ ใหญ่องค์ ๑ ย่อม ๒ องค์ พญาตก่าสร้างรวม ๓ องค์เปนองค์เดียว แปลงรูปเปนพระเจดีย์มอญ แต่ยังไม่แล้วเสร็จพญาตก่าตาย พะโป๊จึงได้มาปฏิสังขรณ์ต่อ ได้ยกฉัตรยอดซึ่งทำมาแต่เมืองมรแหม่งพึ่งแล้ว แต่ฐานชุกชียังถือปูนไม่รอบ พระเจดีย์นี้ทาสีเหลืองมีลายปูนขาว แลดูในแม่น้ำงามดี มีพระครูอยู่ในวัดเปนเจ้าคณะรองรูปหนึ่ง พระครูเจ้าคณะแขวงอำเภอพรานกระต่ายอยู่อีกพวกหนึ่ง เปน ๒ พวกออกจะลอยกัน มีโรงเรียนอยู่ในหมู่กุฏิ มีราษฎรมาหาเปนอันมาก

พระเจดีย์ ๓ องค์นี้ นายชิดมหาดเล็กหลานพระยาประธานนคโรไทย ซึ่งเปนนายอำเภออยู่ในมณฑลนครไชยศรีป่วยลาออกรักษาตัว ไปได้ตำนานแลพระพิมพ์มาให้ ว่ามีกษัตริย์องค์หนึ่งทรงนามพระยาศรีธรรมาโศกราช จะบำรุงพระพุทธสาสนา จึงไปเชิญพระธาตุมาแต่ลังกา สร้างเจดีย์บัญจุไว้ในแควน้ำปิงแลน้ำยมเปนจำนวนพระเจดีย์ ๘๔๐๐๐ พระฤๅษีจึงได้สร้างพระพิมพ์ขึ้นถวายพระยาศรีธรรมาโศกราชเปนอุปการะ จึงได้บัญจุพระธาตุแลพระพิมพ์ไว้ในพระเจดีย์แต่นั้นมา เหตุที่พบพระพิมพ์กำแพงเพชรขึ้นนี้ว่าเมื่อปีระกา เอกศก จุลศักราช ๑๒๑๑ สมเด็จพระพุฒาจารย์โตวัดระฆังขึ้นมาเยี่ยมญาติที่เมืองกำแพงเพชร ได้อ่านแผ่นศิลาจารึกอักษรไทยโบราณ มีอยู่ที่วัดเสด็จได้ความว่า มีพระเจดีย์โบราณบัญจุพระบรมธาตุอยู่น้ำปิงฝั่งตวันตกตรงหน้าเมืองข้าม จึงได้ค้นคว้ากันขึ้นพบพระเจดีย์ ๓ องค์นี้ชำรุดทั้ง ๓ องค์ เมื่อพญาตก่าขอสร้างรวมเปนองค์เดียว รื้อพระเจดีย์ลงจึงได้พบกับพระพิมพ์กับได้ลานเงินจารึกอักษรขอมเปนตำนานสร้างพระพิมพ์แลวิธีบูชา นายชิดได้คัดตำนานแลวิธีบูชามาให้ด้วย ของถวายในเมืองกำแพงนี้ ก็มีพระพิมพ์เปนพื้น ได้คัดตำนานติดท้ายหนังสือนี้ไว้ด้วย

----------------------------

เมืองกำแพงเพ็ชร์

วันที่ ๒๕ สิงหาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๕

ข้าพระพุทธเจ้า นายชิด มหาดเล็กเวรเดช หลานพระยาประธานนคโรไทยจางวางเมืองอุไทยธานี เดิมได้รับราชการในกระทรวงมหาดไทย เปนตำแหน่งนายอำเภอ อยู่มณฑลนครไชยศรี ข้าพระพุทธเจ้าป่วยเจ็บทุพลภาพ จึงกราบถวายบังคัมลาออกจากหน้าที่ราชการ ขึ้นมารักษาตัวอยู่บ้านภรรยาที่เมืองกำแพงเพชร์ ข้าพระพุทธเจ้า ได้สืบเสาะหาพระพิมพ์ของโบราณซึ่งมีผู้ขุดค้นได้ในเมืองกำแพงเพชร์นี้ ได้ไว้หลายอย่าง พร้อมพิมพ์แบบทำพระ ๑ แบบ ขอพระราชทานทูลเกล้า ฯ ถวาย

ข้าพระพุทธเจ้า ได้สืบถามผู้เฒ่าผู้แก่ถึงตำนานพระพิมพ์เหล่านี้ อันเปนที่เชื่อถือกันในแขวงเมืองกำแพงเพชร์สืบมาแต่ก่อน ได้ความว่าพระพิมพ์เมืองกำแพงเพชร์นี้ มีมหาชนเปนอันมากนิยมนับถือลือชามาช้านาน ว่ามีคุณานิสงส์แก่ผู้สักการบูชาในปัจจุบัน หรือมีอานุภาพทำให้สำเร็จผลความปราถนา แห่งผู้สักการบูชาด้วยอเนกประการ

สัณฐานของพระพุทธรูปพิมพ์นี้ ตามที่มีผู้ได้พบเห็นแล้วมี ๓ อย่างคือ พระลีลาศ (ที่เรียกว่าพระเดิร) อย่าง ๑ พระยืนอย่าง ๑ พระนั่งสมาธิอย่าง ๑

วัตถุที่ทำเปนองค์พระต่างกันเปน ๔ อย่าง คือ:- ดีบุก (หรือตะกั่ว) อย่าง ๑ ว่านอย่าง ๑ เกสรอย่าง ๑ ดินอย่าง ๑ พระพิมพ์นี้ ครั้งแรกที่มหาชนจะได้พบเห็นนั้น ได้ในเจดีย์วัดพระธาตุฝั่งตวันตกเปนเดิม

แลการที่สร้างพระพิมพ์นี้ขึ้นนั้น ตามสามัญนิยมว่า ณกาลครั้งเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขักธปรินิพพานแล้ว มีพระบรมกษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระยาศรีธรรมาโศกราชเปนพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ ทรงมหิทธิเดชานุภาพแผ่ไปในทิศานุทิศตลอดถึงทวีปลังกา ทรงอนุสรคำนึงในการสถาปนูปถัมภกพระพุทธสาสนา เพื่อให้แผ่ไพศาลยิ่งขึ้น จึงเสด็จสู่ลังกาทวีปรวบรวมพระบรมธาตุสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำมาสร้างเจดีย์บัญจุไว้ ในคำกล่าวว่าแควน้ำปิงแลน้ำยมเปนต้น เปนจำนวนพระเจดีย์ ๘๔๐๐๐ องค์ ครั้งนั้นพระฤๅษีจึงได้กระทำพิธีสร้างพระพิมพ์เหล่านี้ถวายแก่พระยาศรีธรรมาโศกราช เปนการอุปการในพระพุทธศาสนา

ครั้งแรกที่จะได้พบพระเจดีย์บัญจุพระบรมธาตุแลพระพิมพ์เหล่านี้ เดิมณปีระกาเอกศก จุลศักราช ๑๒๑๑ (นับโดยลำดับปีมาถึงศกนี้ได้ ๕๘ ปี) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดรฆัง กรุงเทพ ฯ ขึ้นมาเยี่ยมญาติณเมืองกำแพงเพชร์นี้ ได้อ่านแผ่นศิลาจารึกอักษรไทยโบราณ ที่ประดิษฐานอยู่ณพระอุโบสถวัดเสด็จได้ความว่า มีเจดีย์โบราณบัญจุพระบรมธาตุอยู่น้ำปิงตวันตกตรงหน้าเมืองเก่าข้าม ๓ องค์ ขณะนั้นพระยากำแพง (น้อย) ผู้ว่าราชการเมือง ได้จัดการค้นคว้าพบวัดแลเจดีย์สมตามอักษรในแผ่นศิลา จึงป่าวร้องบอกบุญราษฎรช่วยกันแผ้วถางแลปฏิสังขรณ์ขึ้น เจดียที่ค้นพบเดิมมี ๓ องค์ ๆ ใหญ่ซึ่งบัญจุพระบรมธาตุอยู่กลาง ชำรุดบ้างทั้ง ๓ องค์

ภายหลังพระยากำแพง (อ่อง) เปนผู้ว่าราชการเมือง แซรพอเกรี่ยง (ที่ราษฎรเรียกว่าพญาตะก่า) ได้ขออนุญาตรื้อพระเจดีย์สามองค์นี้ทำใหม่รวมเปนองค์เดียว

ขณะที่รื้อพระเจดีย์ ๓ องค์นั้น ได้พบตรุพระพุทธรูปพิมพ์ แลลานเงินจารึกอักษรขอมกล่าวตำนานการสร้างพระพิมพ์แลลักษณะการสักการบูชาด้วยประการต่าง ๆ พระพิมพ์ชนิดนี้มีผู้ขุดค้นได้ที่เมืองสรรคบุรีครั้งหนึ่ง แต่หามีแผ่นลานเงินไม่ แผ่นลานเงินตำนานนี้ กล่าวว่ามีฉเพาะแต่ในพระเจดีย์วัดพระธาตุฝั่งน้ำปิงตวันตกแห่งเดียว มีสำเนาที่ผู้อื่นเขียนไว้ดังนี้

“ตำนาน”

ตำบลเมืองพิศณุโลก เมืองกำแพงเพชร์ เมืองพิไชยสงคราม เมืองพิจิตร เมืองสุพรรณว่ายังมีฤๅษี ๑๑ ตน ฤๅษีเปนใหญ่ ๓ ตน ๆ หนึ่ง ฤๅษีพิลาไลยตนหนึ่งฤๅษีตาไฟตนหนึ่ง ฤๅษีตางัวตนหนึ่ง เปนประธานแก่ฤๅษีทั้งหลาย จึงปรึกษากันว่า เราท่านทั้งนี้จะเอาอันใดให้แก่พระยาศรีธรรมาโศกราช ฤๅษีทั้ง ๓ จึงว่าแก่ฤๅษีทั้งปวงว่า เราจะทำด้วยฤทธิ์ ทำด้วยเครื่องประดิษฐานเงินทองไว้ฉนี้ ฉลองพระองค์จึงทำเปนเมฆพัตร อุทุมพรเปนมฤตย์พิศม์อายุวัฒนะ พระฤๅษีประดิษฐานไว้ในถ้ำเหวใหญ่น้อย เปนอานุภาพแก่มนุษย์ทั้งหลาย สมณะชีพราหมณาจารย์เจ้าไปถ้วน ๕๐๐๐ พรรษา พระฤๅษีองค์หนึ่งจึงว่าแก่ฤๅษีทั้งปวงว่า ท่านจงไปเอาว่านทั้งหลาย อันมีฤทธิ์เอามาให้ได้สัก ๑๐๐๐ เก็บเอาเกสรไม้อันวิเศษ ที่มีกฤษณาเปนอาทิให้ได้ ๑๐๐๐ ครั้นเสร็จแล้ว ฤๅษีจึงป่าวร้องเทวดาทั้งปวงให้ช่วยกันบดยา ทำเปนพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่ง ทำเปนเมฆพัตรสถานหนึ่ง ฤๅษีทั้ง ๓ องค์นั้นจึงบังคับฤๅษีทั้งปวง ให้เอาว่านทำเปนผงเปนก้อนประดิษฐานด้วยมนต์คาถาทั้งปวงให้ประสิทธิ์ทุกอัน จึงให้ฤๅษีทั้งนั้นเอาเกสรแลว่านมาประสมกันดีเปนพระให้ประสิทธิ์แล้วด้วยเนาวะหรคุณประดิษฐานไว้บนเจดีย์อันหนึ่ง ถ้าผู้ใดให้ถวายพระพรแล้ว จึงเอาไว้ใช้ตามอานุภาพเถิด ให้ระลึกถึงคุณพระฤๅษีที่ทำไว้นั้นเถิด ฤๅษีไว้อุปเทห์ดังนี้

แม้อันตรายสักเท่าไรก็ดี ให้นิมนต์พระใส่ศีร์ษะ อันตรายทั้งปวงหายสิ้นแล ถ้าจะเข้าการณรงค์สงคราม ให้เอาพระใส่น้ำมันหอมเข้าด้วยเนาวะหรคุณแล้วเอาใส่ผมศักดิ์สิทธิ์ความปราถนา ถ้าผู้ใดจะปราสิทธิแก่หอกดาบศัสตราวุธทั้งปวง เอาพระสรงน้ำมันหอมแล้วเสกด้วย อิติปิโสภกูราติ เสก ๓ ที ๗ ทีแล้วใส่ขันสำริดพิษฐานตามความปราถนาเถิด ถ้าผู้ใดจะใคร่มาตุคามเอาพระสรงน้ำมันหอมใส่ใบพลูทาประสิทธิ์แก่คนทั้งหลาย ถ้าจะสง่าเจรจาให้คนกลัวเกรงเอาใส่น้ำมันหอมหุงขี้ผึ้งเสกด้วยเนาวะหรคุณ ๗ ที ถ้าจะค้าขายก็ดี มีที่ไปทางบกทางเรือก็ดี ให้นมัสการด้วยพาหุงแล้วเอาพระสรงน้ำหอมเสกด้วยพระพุทธคุณ อิติปิโสภกูราติ เสก ๗ ที ประสิทธิ์แก่คนทั้งหลายแล ถ้าจะให้สวัสดีสถาพรทุกอัน ให้เอาดอกไม้ดอกบัวบูชาทุกวันจะปราถนาอันใดก็ได้ทุกประการแล ถ้าผู้ใดพบพระเกสรก็ดี พระว่านก็ดี พระปรอดก็ดี ก็เหมือนกันอย่าได้ประมาทเลย อานุภาพดังกำแพงล้อมกันไภยแก่ผู้นั้น ถ้าจะให้ความสูนย์ เอาพระสรงน้ำมันหอมเอาด้าย ๑๑ เส้นชุบน้ำมันหอม แลทำไส้เทียนตามถวายพระแล้วพิษฐานตามความปรารถนาเถิด ถ้าผู้ใดจะสระหัวให้เขียนยันต์นี้ ใส่ไส้เทียนเถิด

ยันต์:-

<img>

แล้วว่านโมไปจนจบแล้วว่าพาหุง แล้วว่า อิติปิโสกการ มหเชยฺยํ มงฺคลํ แล้วว่าพระเจ้าทั้ง ๑๖ พระองค์เอาทั้งคู กิริมิทิ กุรุมุทุ กรมท เกเรเมเท ตามแต่จะเสกเถิด ๓ ที ๗ ทีวิเศษนัก ถ้าได้รู้พระคาถานี้แล้ว อย่ากลัวอันใดเลย ท่านตีค่าไว้ควรเมือง จะไปรบศึกก็คุ้มได้สารพัดศัตรูแล

ข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระราชทานคัดต่อมาดังนี้

ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ

ขอเดชะ

ข้าพระพุทธเจ้า นายชิต

----------------------------

ขากลับลงเรือชล่าล่องไปขึ้นท้ายเมืองใหม่ เดินขึ้นมาจนถึงพลับพลา ที่เมืองใหม่นี้มีถนน ๒ สาย ยาวขึ้นมาตามลำน้ำเคียงกันขึ้นมา สาย ๑ อยู่ริมน้ำ สาย ๑ อยู่บนดอน แต่ถึงสายริมน้ำน่าน้ำก็ไม่ท่วม บ้านเรือนก็เปนอย่างลักษณถนนบ้านหม้อเมืองเพชรบุรี หรือถนนบางกอกอย่างเก่า ไม่ใช่ถนนเสาชิงช้า ผู้คนก็แน่นหนาอยู่ มาแต่ท้ายเมืองถึงพลับพลาประมาณ ๒๐ เส้นเศษ

วันนี้ถ่ายรูปไม่มากแต่สนุก เพราะได้เปลี่ยนแว่นเปลี่ยนทำนองถ่าย แลถ่ายง่ายไม่เหมือนถ่ายในป่า ๒ วันมาแล้ว ซึ่งยังไม่เคยถ่ายเลย ล้างรูปไว้แต่กระจกใหญ่ จะล้างหมดกลัวแห้งไม่ทัน วันนี้ได้ตัดผม ตามพระเทพาภรณ์ขึ้นมาจากบางกอกโดยทางรถไฟแล้วลงเรือมาด้วยแต่นครสวรรค์ เพราะหาเวลาตัดไม่ได้

วันที่ ๒๖ หมายจะยังไม่ตื่นแต่หมาเข้าไปปลุก ๒ โมงเศษ กินเข้าแล้วออกไปแจกของให้ผู้ที่มาเลี้ยงดูแลรับทั้งผู้หญิงผู้ชาย หลวงพิพิธอภัยผู้ช่วยซึ่งเปนบุตรพระยากำแพง (อ้น) นำดาบฝักทองซึ่งพระพุทธยอดฟ้าพระราชทานพระยากำแพง (นุช) เปนบำเหน็จมือเมื่อไปทัพแขก แล้วตกมาแก่พระยากำแพง (นาก) ซึ่งเปนสามีแพงบุตรีพระยากำแพง (นุช) บุตรพระยากำแพง (นุช) แลแพงภรรยาได้เปนผู้ว่าราชการเมืองกำแพงต่อมา ๔ คน คือพระยากำแพง (บัว) พระยากำแพง (เถื่อน) พระยากำแพง (น้อย) พระยากำแพง (เกิด) ได้รับดาบเล่มนี้ต่อ ๆ กันมา ครั้นพระยากำแพง (เกิด) ถึงอนิจกรรมผู้อื่นนอกจากตระกูลนี้มาเปนพระยากำแพงหลายคน ดาบตกอยู่แก่นายอ้นบุตรพระยากำแพง (เกิด) ซึ่งเปนบิดาหลวงพิพิธอภัย ภายหลังนายอ้นได้เปนพระยากำแพง ครั้นพระยากำแพงอ้นถึงแก่กรรม ดาบจึงตกอยู่กับหลวงพิพิธอภัยบุตรผู้นำมาให้นี้ พิเคราะห์ดูก็เห็นจะเปนดาบพระราชทานจริง เห็นว่าเมืองกำแพงเพชรยังไม่มีพระแสงสำหรับเมืองเช่นแควใหญ่ ไม่ได้เตรียมมา จึงได้มอบดาบเล่มนี้ไว้เปนพระแสงสำหรับเมือง ให้ผู้ว่าราชการรักษาไว้สำหรับใช้ในการพระราชพิธี แล้วถ่ายรูปพวกตระกูลเมืองกำแพงที่มาหา ตั้งต้นคือท่านผู้หญิงทรัพย์ภรรยาพระยากำแพง (เกิด) อายุ ๙๓ ปีจอ เห็นจะเปนปีจอฉศกจุลศักราช ๑๑๗๖ ยังสบายแจ่มใสพูดจาไม่หลงเดิรได้เปนต้น กับลูกที่มา ๒ คนคือ ชื่อผึ้งเปนภรรยาพระพล (เหลี่ยม) อายุ ๗๓ ปี ลูกคนสุดท้องชื่อภู่ เคยไปทำราชการในวังครั้งรัชกาลที่ ๔ แล้วมาเปนภรรยาพระยารามรณรงค์ (หรุ่น) อายุ ๖๔ ปี หลานหญิงชื่อหลาบเปนภรรยาหลวงแพ่งอายุ ๖๔ ปี หลานหญิงชื่อเพื่อนเปนภรรยาพระพลอายุ ๔๖ ปี หลานหญิงชื่อพันภรรยาหลวงพิพิธอภัยอายุ ๔๔ ปี หลานชายหลวงพิพิธอภัยอายุ ๔๔ ปี เหลนที่มา ๖ คน คือกระจ่าง ภรรยานายชิตอายุ ๒๔ ปี เปล่งภรรยานายคลองอายุ ๒๑ ริ้วบุตรีพระพลอายุ ๑๗ ประคองอายุ ๑๗ หวีดอายุ ๑๖ บุตรหลวงพิพิธอภัย ลอองบุตรีนายจีนอายุ ๑๒ ปี โหลนได้ตัวมา ๒ คน แต่ถ่ายคนเดียวแต่ที่ชื่อเลอียดบุตรีโน้มอายุ ๑๓ ปี ได้ถ่ายรวมกันเปน ๕ ชั่วคน ที่ถ่ายนี้กันออกเสียบ้างด้วยมาไม่ครบหมดด้วยกัน ลูก หลาน เหลน โหลน ซึ่งสืบมาแต่ท่านผู้หญิงทรัพย์ ซึ่งมีชีวิตอยู่ด้วยกันเดี๋ยวนี้ ๑๑๑ คน ที่เมืองกำแพงนี้ประหลาทว่าเปนที่มีไข้เจ็บชุม ถึงถามชาวเมืองนั้นเองก็ไม่มีใครปฏิเสธสักคนหนึ่งว่าไข้ไม่ชุมแลไม่ร้าย แต่ได้พบคนแก่ทั้งหญิงทั้งชายมากกว่าที่ไหน ๆ หมด กรมการคร่ำ ๆ อายุ ๗๐-๘๐ ก็มีมากหลายคน ราษฏรตามแถวตลาดก็มีคนแก่มาก ถ้าจะหารือพวกกำแพงจริงคงบอกว่าพระพิมพ์ป้องกัน ด้วยนับถือกันมาก พระเล่าให้ฟังว่าเวลาที่ไม่ได้เสด็จมาหากันนัก ดูหายากอย่างยิ่ง ต่อเมื่อเสด็จมาจึงรู้ว่าพระพิมพ์มีมากถึงเพียงนี้ ต่างคนต่างก็ตระเตรียมกันอยากจะถวาย ก็เปนความจริง เพราะผู้ที่มาถวายไม่ได้ถือหรือห่อมาตามปรกติ จัดมาในพานดอกไม้ นั่งรายตามริมถนน ได้เสมอทุกวันไม่ได้ขาด ดูความนับถือกลัวเกรงเจ้านั้นมากอย่างยิ่ง เพราะไม่ใคร่ได้เคยเฝ้าแหน แต่กิริยาอาการเรียบร้อยไม่เหมือนตำบลบ้านตามระยะทางซึ่งกล้าไปยืนอยู่ คงมีผู้มากราบถึงตีนไม่ได้ขาด

ถ่ายรูปแล้วเสร็จลงเรือประพาสล่องไปขึ้นท่าหน้าวัดเสด็จเพื่อจะถ่ายรูปวัดเสด็จ ซึ่งเปนที่จารึกบอกเรื่องพระพิมพ์ แต่คำจารึกนั้นได้นำไปกรุงเทพฯ เสียแล้ว๕๗แล้วจึงเดิรไปวัดคูยาง ซึ่งเปนที่พระครูเจ้าคณะอยู่ผ่านถนนสายใน ถนนสายนี้งามมากได้ถ่ายรูปไว้แลให้ชื่อถนนราชดำเนิร วัดคูยางนี้มีลำคูกว้างประมาณ ๖ วาหรือ ๘ วา น้ำขัง หอไตรและกุฎิปลูกอยู่ในน้ำแปลกอยู่ ต่อข้ามคูเข้าไปจึงถึงบริเวณพระอุโบสถ ทางที่เข้าเปนทิศตวันตกด้านหลังหันหน้าออกทางทุ่ง มีพระอุโบสถย่อมหลังหนึ่งวิหารใหญ่หลังหนึ่ง ก่อด้วยแลงแต่เสิมอิฐถือปูน หลังคาเห็นจะผิดรูปเตี้ยแบนไป หลังพระวิหารมีถาน ๓ ชั้น อย่างพระเจดีย์เมืองนี้ แต่ข้างบนแปลงเปนพระปรางค์ เห็นจะแก้ไขขึ้นใหม่โดยพังเสียแล้วไม่รู้ว่ารูปเดิมอย่างไร ในพระวิหารมีพระพุทธรูปต่าง ๆ อยู่ข้างจะดี ๆ พระครูเลือกไว้ให้เปนพระลีลาสูงศอกคืบ กับอะไรอีกองค์หนึ่งต้นเต็มทีไม่ชอบ จึงได้ขอเลือกเอาเอง ๔ องค์ เปนพระยืนกำแพงโบราณแท้ชั้นเขมรองค์ ๑ พระนาคปรกขาดถานเขาหล่อถานเติมขึ้นไว้องค์ ๑ พระกำแพงเก่าอีกองค์ ๑ พระชินราชจำลองเหมือนพอใช้อีกองค์ ๑ กลับจากวัดหยุดถ่ายรูปบ้าง จนเที่ยงจึงได้ลงเรือเหลือง ล่องลงมาไม่พบกรมหลวงประจักษ์ ตกลงทำกับเข้ากันมา ต่อจวนกับเข้าสำเร็จจึงได้พบ แลกินที่พลับพลาปากอ่าง ล่องเรือลงมาหยุดชั่วแต่พอถ่ายรูปเวลาพบเท่านั้น ขาล่องนี้เรือใช้ตีกรรเชียง แต่ก็เปนอันสักว่าตี เบาเสียกว่ากรรเชียงเรือเล็ก ๆ อยู่ในลอยน้ำลงมา ถึงที่พักแรมตำบลวังนางร้าง แต่ที่แท้เขาเรียกวังอีร้าง เรียกนางร้างถึงตาถือท้ายไม่เข้าใจ เวลาทุ่มเศษ

วันที่ ๒๗ ออกเรือเช้า ๓ โมงจน ๕ โมงจึงได้ไปขึ้นเรือเหลือง หยุดกินเข้าที่ตลิ่งเปนป่าฝั่งตวันออก แล้วมาหยุดที่หาด ถ่ายรูปเวลาพระอาทิตย์ตก เลยตีกรรเชียงลงมาจนถึงพลับพลาบ้านแดนเวลาพลบ ไม่มีเรื่องอะไรเลยนอกจากอ้ายกรรเชียงที่ตีง่ายแสนสาหัส ขึ้นชื่อว่ากรรเชียงแล้วไม่มีอะไรจะเบาเท่า ถ้าขืนตีทวนน้ำแล้วเปนไม่ขึ้นเปนอันขาด

วันที่ ๒๘ ออกเรือ ๓ โมงเช้า ต้องรอรับพวกจีนไทยที่มาหารวมทั้งตาแสนปมที่เห็นพายเรือมาแต่วานนี้ด้วย แวะกินเข้าที่พลับพลาหัวดง ซึ่งเขากะให้มาแรมเวลาบ่ายโมง ๑ เท่านั้น จึงเปลี่ยนเลื่อนลงมายางเอน หยุดถ่ายรูปเขานอครั้งหนึ่ง มาตามทางมีคนรู้จักเรือเหลืองว่าเปนที่นั่งทั่วทุกแห่ง ที่ไหนเคยแวะที่นั่นคนยิ่งประชุมมาก มีอะไรที่จะตีจะเคาะโห่ร้องได้ก็ตีเคาะโห่ร้องทุกแห่ง มีลงเรือพายตามเอาของมาให้ก็มาก ที่เก้าเลี้ยวประโคมใหญ่เพิ่มเถิดเทิงด้วย ผู้หญิงตีเถิดเทิง มาถึงเขาดินได้ยินเสียงมโหรีแลพระสวด เห็นเวลายังวันอยู่จึงได้คิดแวะถ่ายรูป แต่ชายหาดน้ำตื้นเรือใหญ่เข้าไปไม่ถึง ต้องลงเรือเล็กลำเลียงเข้าไปอิก เดิรหาดร้อนเหลือกำลังทั้งเวลาก็บ่าย ๔ โมงแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นเขา แต่ครั้นเข้าถ่ายรูปที่เขาแล้ว เห็นที่วัดตระเตรียมรับแน่นหนามาก จึงเลยไปถ่ายรูป ครั้นเข้าไปไกล้ดูคนตะเกียกตะกายกันหนักขึ้น จนต้องยอมขึ้นวัด ๆ นี้เรียกชื่อสามัญว่าวัดเขาดิน แต่ชื่อตั้งหรูมากจนจำไม่ได้ต้องจดว่า “วัดพระหน่อธรณินทรใกล้วารินคงคาราม” เจ้าอธิการชื่อเฮ็ง รูปพรรณสัณฐานดี กลางคนไม่หนุ่มไม่แก่ เปนฝ่ายวิปัสนาธุระ ทีคนจะนับถือมาก พึ่งมาจากวัดมหาโพธิที่ตรงกันข้ามได้ ๒ ปี แต่มีคนแก่สัปรุษแลชาวบ้านหลายคน มาคอยอธิบายชี้แจงโน่นนี่ เจ้าอธิการว่าได้สร้างศาลาขึ้นไว้หลังหนึ่งขัดเครื่องมุง จึงให้เงิน ๑๐๐ บาทช่วยศาลานั้น แล้วสัปรุษทายกชักชวนให้เข้าไปดูในวัด ซึ่งเชื่อเสียแล้วว่าจะไม่มีอะไร แต่เสียอ้อนวอนไม่ได้ ครั้นเข้าไปถึงในลานวัดเห็นใหญ่โตมาก เปนที่เตียนราบใต้ร่มไม้ใหญ่ กว้างเห็นจะเกือบ ๓ เส้น ยาวสัก ๔ เส้น เปนที่รักษาสอาดหมดจดอย่างยิ่ง รู้สึกสบายถ่ายรูปแล้ว พวกสัปรุษชวนให้ไปดูพระอุโบสถ ซึ่งอยู่บนเขา จึงได้รู้ว่ามีทางอีกทางหนึ่งสำหรับขึ้นเขา มีบันไดอิฐขึ้นตลอดจะต่ำกว่าเขาบวชนาคสักหน่อย แต่ทางขึ้นง่ายไม่ใช่เขาดินเปนเขาศิลา มีดินหุ้มแต่ตอนล่าง ๆ พวกสัปรุษพากันตักน้ำขึ้นไปไว้สำหรับจะให้กินให้อาบ โบสถ์นั้นรูปร่างเปนศาลาไม่มีฝาหลังใหญ่ มีพระเจดีย์องค์ ๑ แต่ข้างหลังโบสถ์แลดูภูมิที่งดงามดี คือมีบึงใหญ่ เห็นจะเปนลำเดียวกันกับบึงบ้านหูกวาง แลเห็นเขาหลวงเมืองนครสวรรค์สกัดอยู่ในที่สุด ถ่ายรูปแล้วไล่เลียงเรื่องวัดนี้ ได้ความว่าพระครูหวาอยู่วัดมหาโพธิมาเริ่มสร้างได้ ๘๐ ปีมาแล้ว ๆ ได้ปฏิสังขรณ์กันต่อ ๆ มา ตามที่เล่านั้นว่าเปนที่สิงสู่ของพวกชาวลับแล พึ่งจะย้ายขึ้นไปอยู่เขาหลวงเมืองไชยนาทเสียเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีตาแก่คนหนึ่งอายุ ๘๐ เศษ เปนผู้รู้เรื่องชาวลับแลมากตั้งแต่ชั้นต้นมา มีตาเจ๊กดำอีกคนหนึ่งอายุ ๖๐ เศษ เปนพยานยืนยันชั้นเก่า ๆ ยังพวกหนุ่ม ๆ อีกเปนกองเปนพยานยืนยันชั้นหลังว่า ได้ยินเสียงพิณพาทย์แลเสียงฆ้องเสียงโห่ร้องเพราะผิดกับสามัญเปนอันมาก ครั้นขึ้นไปดูก็ไม่เห็นอะไร ในบึงหลังเขาแต่เดิมมาไม่มีกะบิรกเช่นนี้ เพราะเปนที่เขาเล่นแข่งเรือกัน ได้ยินเสียงเกรียวกราวไปดูก็ไม่เห็นอะไร ทั้งการที่ได้ยินเกรียวกราวนั้นไม่ใช่เวลากลางคืนเปนกลางวันด้วย ต่อแล้ว ๆ จึงได้เห็นกระทงที่ใส่ของมากินนั้นทิ้งเกลื่อนกลาดอยู่ในบึง จนเมื่อเวลาเสด็จขึ้นไปเหนือทางแควใหญ่เร็ว ๆ นี้เอง ก็ยังได้ยินเสียงอยู่ แต่ก่อนที่เขานี้มีถ้ำหลายแห่ง พวกลับแลเขาไปเขาปิดถ้ำเสียด้วย ได้ถามล่อจะให้เห็นคนรูไม่ยอมรับเห็น เล่าแต่เรื่องคนลับแลอย่างเดียวเปนจริงเปนจังไป คนเชื่อลับแลเช่นนี้ยังมีมาก แล้วเขาพาเดิรไปตามสันเขา ออกไปลูกนอกซึ่งแลเห็นจากแม่น้ำ มีวิหารเล็กแลทับที่คนอาศรัย รักษาสอาดหมดจดดีเหมือนกัน เอาอ่างมาตั้งเปนกระถางต้นไม้เล่นเขาดีพอใช้ กลับลงทางด้านข้างริมน้ำ ซึ่งมีบันไดปูนเหมือนกัน เจ้าอธิการถามหาทูลกระหม่อมมีติดขึ้นมาบ้างฤๅไม่ ครั้นได้ความว่ามีมาจึงเอาแหวนถักพี่รอดมาแจก แหวนนั้นทำนองเดียวกับขรัวม่วงวัดประดู่ แต่ขรัวม่วงถักด้วยกระดาษลงรัก นี่ถักด้วยด้ายทำเรียบร้อยดี กลับลงมาโดยสพานเขาทำยื่นลงมาจนพ้นหาดในยาวอยู่ พวกราษฎรทั้งชายหญิงแลเด็กลงมาช่วยกันเข็นเรือโดยความเบิกบาน เหมือนอย่างแห่พระ เด็ก ๆ จนจมถึงคอยังไม่วางต้องไล่ ล่องลงมาถึงพลับพลายางเอนเวลาพลบ วันนี้ยุงชุมกว่าทุกวัน ถึงเมื่อขามาก็มามีที่นครสวรรค์ ตอนบนมีบ้างก็เปนยุงนอนหัวค่ำไม่มีไปเท่าไร แต่อย่างไร ๆ ก็คงยังน้อยกว่าบางกอก

วันที่ ๒๙ เช้าพวกชาวบ้านมาหา แต่ล้วนพวกที่ยังไม่รู้จักต้องการจะมาดู ในหมู่นั้นมียายอิ่มบ้านพังม่วง ซึ่งได้ไปขึ้นกินเข้าวันแรกมาด้วยกับลูกสาวคนหนึ่งหลานคนหนึ่ง ครั้นเวลาออกไปก็ไม่รู้จักอยู่นั่นเอง ได้ถามว่าพระยาโบราณไปที่บ้านหรือ ตอบว่า ท่านว่า ท่านเปนพระยาโบราณ แต่อย่างไรก็ไม่ทราบ ถามว่าท่านนัดให้ลงไปหาจะพาเฝ้าไม่ใช่หรือ ก็รับว่าท่านว่าเช่นนั้นแหละแต่จะอย่างไรก็ไม่ทราบ ถามว่าทำไมแกไม่เชื่อท่านหรือ บอกว่าก็เชื่อแต่อย่างไรก็ไม่ทราบ ถามว่าทำไมจึงว่าอย่างไรก็ไม่ทราบ บอกว่าชาวบ้านเขาว่าอย่างหนึ่ง ถามว่าเขาว่ากะไร อิดเอื้อนไม่ใคร่จะบอกต้องซัก แล้วกระซิบกระซาบว่าเขาว่าไม่ใช่พระยาโบราณ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเอง พอรู้เช่นนั้นเข้าขนลุกซ่าทั้งตัว ได้นึกสงสัยอยู่แล้ว เลยนอนไม่หลับกระสับกระส่ายไป ถามว่าแกเพ็ดทูลอะไรหรือจึงได้ไม่สบาย ก็ว่าได้พูดมากอยู่มีเรื่องขึ้นค่านาเปนต้น ถามว่าพระรูปพระโฉมท่านเปนอย่างไร กระซิบบอกว่าสูง ๆ ผอม ๆ ผิวอยู่ข้างจะคล้าม จึงถามว่าวันนั้นไปด้วยกับเจ้าคุณโบราณแกจำได้หรือไม่ ว่าไม่ทันสังเกตมัวรับรองอยู่ แล้วหันไปถามลูกสาวว่าท่านไปด้วยหรือไม่ นางลูกสาวหัวร่อบอกว่าท่านไปด้วยจำได้ ถามว่าถ้าข้าจะบอกแกว่าเปนพระเจ้าอยู่หัวเองแกจะว่ากระไร ออกจะเหลือกลานแลจ้องอยู่สักครู่หนึ่ง ลุกขึ้นนั่งยอง ๆ ปูผ้า ชวนลูกสาวแน่แล้วให้มากราบท่านเสีย ลูกสาวก็หยุดหัวร่อทันที สองคนปูผ้าลงกราบ ๓ หนอย่างไหว้พระ ได้ให้แหวนเนื่องประดับเพชรพลอยซื้อจากกรุงเก่าทำขวัญคนละวง หลานผเอิญเสมาหมด เปนของแกต้องการมาก ต้องให้กำไลเงินขื่อผีแทนคู่หนึ่ง แล้วได้ลงเรือเวลา ๓ โมงเช้า มาจนเลี้ยวขึ้นแควใหญ่จึงได้เอาเรือไฟลาก ขึ้นมาจอดที่แพใต้สเตชั่นรถไฟ พบพระยาสุขุมแลจิระซึ่งได้พยายามทำเปนคนตามเสด็จ ลงเรือแม่ปะถ่อขึ้นไปแม่น้ำน้อยบ้าง เรือแม่ปะมาถึงแควใหญ่เข้าดูงุ่มง่ามเต็มที ตานายท้ายบ่นว่าไม่ถึงถ่อ มันเปนเรือสำหรับแควน้อยอย่างเดียวแท้ ๆ แต่ถ้าผู้ซึ่งไปเรือแม่ปะชั่วแต่ขาล่องไม่ได้ถ่อขึ้นแล้ว นับว่าเปนผู้ไม่เคยลงเรือแม่ปะได้ เพราะเวลาล่องมันเซ่อพ้นประมาณ ทำกับเข้าเลี้ยงกันที่แพ แล้วสั่งคำพิพากษาประหารชีวิตอ้ายวิม ทหารราบที่ ๑๐ โทษฆ่านายสิบนายหมู่ตัวตาย ความเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๕ นายร้อยเอกขุนพิทยุทธคุมทหารเมืองนครสวรรค์ตามขึ้นไปจนถึงกำแพงเพชร จอดอยู่ฝั่งตวันตกห่างเรือที่นั่งจอดประมาณ ๒๐ เส้น วันนั้นอ้ายวิมอยู่ยามในเรือมอซึ่งเปนเรือทหารอยู่ พวกทหารทั้งปวงมารับเสด็จเวลาเช้า ๒ โมงเศษ อ้ายวิมบ่นว่าหิวเข้าขอนายสิบเรียกทหารมาเปลี่ยน นายสิบบอกว่ายังไม่มีคนให้อยู่ไปอิกหน่อยหนึ่ง แล้วลุกขึ้นโผล่ออกมาจากขยาบ อ้ายวิมยืนยามอยู่ที่กระดานเลียบ เอาดาบปลายปืนแทงนายสิบที่นักแร้ลึกถึงราวนม พลัดตกน้ำลงไปแต่น้ำตื้นไม่ได้จมแลไม่มีหลักตออันใด นายสิบร้องขึ้นคนที่อยู่ในเรือไปช่วย พยุงขึ้นมาก็ขาดใจตาย ได้มีโทรเลขส่งไปถึงจิระเห็นว่าเปนการสำคัญอยู่ควรจะต้องลงโทษโดยทันที ความเช่นนี้เปนหน้าที่ศาลทหาร ให้จัดการตั้งศาลทหารที่เมืองนครสวรรค์พิจารณาให้เสร็จทันวันกลับลงมาถึง คำให้การอ้ายวิม รับแก้ว่าเผลอสติ หมายจะสกิด พยานเบิกว่าไม่มีสาเหตุวิวาทอันใดกัน หมอตรวจว่าอ้ายวิมไม่ได้เปนคนเสียจริต นายทหารประจำหมวดเบิกความว่าอ้ายวิมเปนคนเรียบร้อยไม่เคยต้องรับโทษเลย พึ่งเข้ามาเปนทหารเมื่อเดือนเมษายน ศาลปรึกษาว่าอ้ายวิมทำผิดพระราชกำหนดกฎหมายแลข้อบังคับทหาร ทั้งเปนเวลารักษาราชการเสด็จพระราชดำเนิร ให้ลงโทษประหารชีวิต ได้สั่งให้ประหารชีวิตตามคำปรึกษา เพราะเห็นว่าทหารพึ่งตั้งขึ้นใหม่ ๆ ในหัวเมือง ถ้าลดหย่อนโทษจะเปนเยี่ยงอย่างให้มีความกำเริบ กำหนดจะได้นำไปยิงเสียในเวลาพรุ่งนี้

เวลาบ่ายลงเรือไปเที่ยวหมายจะถ่ายรูป ขึ้นไปพอพ้นจากคลองบรเพ็ธหน่อยหนึ่ง พอเห็นฝนตั้งจึงให้ปล่อยเรือไฟล่องมาถ่ายรูปได้ ๒-๓ แผ่น พอมีพยุจัดฝนตกต้องกลับลงมาทั้งฝน เวลาค่ำมีคนขายของ แต่ใต่ถามได้ความว่า เขาเกณฑ์ให้มาขายเปนการกรุด ในแม่น้ำจุดไฟตามเรือแพสว่าง แลมีพิณพาทย์ครึกครื้น ไม่มียุงเหมือนเมื่อคืนนี้ด้วย.

หมดพระราชนิพนธ์เพียงเท่านี้

----------------------------

  1. ๑. เสด็จไปในการพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร ขึ้นวังใหม่

  2. ๒. ในสมัยนั้นโปรดทรงชักรูป

  3. ๓. พระวินัยรักขิต คง เจ้าอาวาสวัดเขมา ฯ

  4. ๔. เรือพระที่นั่งยนต์ ซึ่งบริษัทบอเนียวถวาย ต่อมาเปลี่ยนชื่อว่า “เรือลบแหล่งรัตน”

  5. ๕. คือตำหนักสพานเกลือ ซึ่งกรมขุนมรุพงศ เคยประทับเมื่อเปนสมุหเทศาภิบาล แต่เวลานั้นย้ายไปสำเร็จราชการมณฑลปราจิณ ฯ แล้ว

  6. ๖. ตำหนักท่าเจ้าสนุกสร้างแต่ครั้งกรุงเก่า พระยาโบราณ ฯ พึ่งค้นพบก่อนเสด็จไม่ช้านัก

  7. ๗. ท.จ.ก. หมายความว่าทุนจำกัด มาแต่ท้ายชื่อบริษัทรถรางพระพุทธบาท ท.จ.ก.

  8. ๘. พระยาสระบุรี (ดิศ นามะสนธิ) ต่อมาเปนพระยาวจีสัตยารักษ์

  9. ๙. ตั้งแต่เสด็จโดยรถรางพระพุทธบาท พเอิญมีเหตุขัดข้องมาทุกคราว จึงดำรัสว่าเปนสวัสดิมงคล

  10. ๑๐. เมรุสร้างเผาศพหลวงธุระการกำจัด (เทียม อัศวรักษ์) ที่วัดจักรวรรดิ ทำด้วยเครื่องไม้จริง แล้วอุทิศถวายให้ไปสร้างเปนศาลาที่พระพุทธบาท

  11. ๑๑. บริษัทรถรางพระพุทธบาท ทำเปนรูปพระพุทธบาทด้วยอาลูมิเนียม สำหรับขายคนขึ้นพระบาทซื้อไปแขวนนาฬิกาเปนที่รลึก มักเรียกกันแต่ว่า “ตีน”

  12. ๑๒. นางละคอนคนนี้ชื่อช้อย ต่อมาเปนตัวเอกของละคอนปรีดาลัย เวลาเมื่อเสด็จพึ่งหัดขึ้น

  13. ๑๓. พระยาสุขุมนัยวินิต คือเจ้าพระยายมราช

  14. ๑๔. พระวิมาดาเธอ ฯ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ตามเสด็จลงมารับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้า ฯ กรมหลวงลพบุรีราเมศวร จะเสด็จกลับจากยุโรปในวันนั้น

  15. ๑๕. ประชุมเสนาบดี

  16. ๑๖. พระยาบำเรอภักดิ์ (เจิม อมาตยกุล) ภายหลังเปนพระยาเพ็ชรพิไชย

  17. ๑๗. คือสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์

  18. ๑๘. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าสุริยงประยุรพันธ์ (กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาศ) เสด็จกลับมาจากยุโรป

  19. ๑๙. แพหลังนี้ เดิมพระยาสุรสีห์ สร้างเปนที่อยู่ เมื่อเปนเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลก รับซื้อมาเปนของหลวง

  20. ๒๐. พวกสหายหลวงนี้ มักดำรัสเรียกว่า เพื่อนต้น คือพวกชาวบ้านที่ทรงคุ้นเคย

  21. ๒๑. อาจารย์วัดบางปลาหมอองค์นี้ ชื่ออาจารย์สุ่น

  22. ๒๒. เทศา คือพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชคุปต์) เปนข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า

  23. ๒๓. นายช้างคนนี้ ได้ทรงคุ้นเคยในคราวเสด็จประพาสครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ เสด็จไปแวะที่บ้าน นายช้างกับนางพลับภรรยาไม่รู้จัก แต่ต้อนรับเสด็จให้ทรงสำราญพระราชหฤทัย ประพฤติตัวเหมือนฉันทมิตรสหายที่เสมอกัน ต่อเสด็จกลับแล้วนายช้างนางพลับจึงได้รู้ ทรงพระกรุณาโปรด ให้ตั้งเปนหมื่นปฏิพัทธภูวนาถ เปนคนโปรดมาแต่ครั้งนั้น เรื่องพิสดารของนายช้างปรากฎอยู่ในจดหมายเหตุประพาสต้นครั้งแรก

  24. ๒๔. พระไลบุตรนายช้างนางพลับ ได้ลงมาบวชอยู่วัดเบญจมบพิตร แล้วได้เปนเปรียญ

  25. ๒๕. หม่อมอมรวงศวิจิตร (ม.ร.ว. ปฐม คเนจร ณอยุธยา) ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ต่อมาได้ไปเปนปลัดมณฑลอิสาณ ไปป่วยถึงอนิจกรรมในราชการ

  26. ๒๖. นายเกต เปรียญ เมื่อบวชได้เปนพระราชาคณะที่พระมหาพุทธพิมพาภิบาล เจ้าอาวาสวัดไชโย มหาอิ่มนั้น เดิมบวชเปนเปรียญอยู่วัดบุรณะสิริ ฯ

  27. ๒๗. ลูกเงาะคนนี้ คือนายคะนัง เปนลูกเงาะชาวเมืองพัทลุง ทรงเลี้ยงไว้ในพระบรมมหาราชวัง แลตามเสด็จประพาสด้วยเปนนิตย์

  28. ๒๘. คือพระพระยารัตนกุลอดุลยภักดี (จำรัศ รัตนกุล) เวลานั้นเปนสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์ ซึ่งดำรัสเรียกว่าท้าวเวสสุวรรณนั้น เพราะเมื่อครั้งเตรียมการรับเจ้าต่างประเทศที่พระราชวังบางปอินครั้ง ๑ พระยารัตนกุล ฯ ยังเปนผู้ว่าราชการเมืองอ่างทอง พระยาพิสุทธิธรรมธาดา (สว่าง) ผู้ว่าราชการเมืองลพบุรี พระยาวจีสัตยารักษ์ (ดิศ นามสนธิ) ครั้งยังเปนผู้ว่าราชการเมืองสระบุรี กับพระยาศรีสัชนาลัย (เจิม บุนนาค) เมื่อยังเปนผู้ว่าราชการเมืองสิงหบุรี ทั้ง ๔ คนนี้ได้เปนนายด้านทำการแต่งพระราชวัง มีพระราชดำรัสเรียกว่า “จตุโลกบาลทั้ง ๔” พระยารัตนกุลได้รับสมมตเปนท้าวเวสสุวรรณ

  29. ๒๙. พระองค์เจ้าคำรบ เวลานั้นยังเปนหม่อมเจ้า ตำแหน่งนายพล ผู้บัญชาการทหารบกมณฑลนครสวรรค์

  30. ๓๐. มีพระราชประสงค์จะเสด็จประพาสหัวเมืองทางลำน้ำพิงตอนเหนือปากน้ำโพมาช้านาน แต่ต้องหาโอกาศให้ได้คราวน้ำ แลเวลาปราศจากความไข้เจ็บ จึงได้รอมาจนคราวนี้

  31. ๓๑. พระครูอินทโมลี (ช้าง) ต่อมาได้เปนพระราชาคณะที่พระอินทโมลี คงอยู่วัดนั้น

  32. ๓๒. พระไชยนฤนาท (ม.ล.อั้น เสนีวงศ ณอยุธยา) ผู้ว่าราชการเมืองไชยนาท เดี๋ยวนี้เปนพระยอดเมืองขวาง

  33. ๓๓. เมืองไชยนาทเก่าที่ว่านี้ ตรวจพบอยู่ใต้วัดมหาธาตุลงมา คราวหลังได้เสด็จไปประพาส

  34. ๓๔. พระครูสุนทรมุนี (จัน) เจ้าคณะใหญ่เมืองอุไทยธานี

  35. ๓๕. พระครูพยุหานุสาสก์ (เงิน) เจ้าคณะเมืองพยุหคิรี

  36. ๓๖. เวลานั้นมีพระหมอมาแต่เมืองเขมรรูป ๑ มาพักอยู่ที่วัดพระปรางค์เหลือง รับรักษาโรคเมื่อยขัดต่าง ๆ ด้วยวิธีเอายาทาฝ่าเท้าของพระนั้นเอง แล้วเอาเท้าลนไฟถ่านให้ร้อนจัด เวลาเอามาเหยียบตนไข้ตรงที่เมื่อยขบดังฉ่า กรมหลวงประจักษ์ ฯ รับอาสาจะลองให้เหยียบ

  37. ๓๗. พระครูพยุหานุสาสก์ (เงิน) มีเกียรติคุณในทางวิปัสนา พวกชาวเมืองนับถือว่ารดน้ำมนต์ดีนัก

  38. ๓๘. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เขียว) วัดราชาธิวาส

  39. ๓๙. พระยาศรีสหเทพ ปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทย เดี๋ยวนี้เปนพระยามหาอำมาตย์

  40. ๔๐. จีนสมบุญ เปนพ่อค้าใหญ่อยู่ที่ปากน้ำโพ เดี๋ยวนี้เปนที่ขุนพัฒนวาณิช

  41. ๔๑. เรือลำนี้ถวายสมเด็จพระบรมโอรส ครั้งเสด็จเชียงใหม่

  42. ๔๒. พระยาสุจริตรักษา (เชื้อ กัลยาณมิตร) ผู้ว่าราชการเมืองตาก

  43. ๔๓. พระวิเชียรปราการ (ฉาย อัมพเศวต) ผู้ว่าราชการเมืองกำแพงเพ็ชร ต่อมาได้เปนพระยาไชยนฤนาท ผู้ว่าราชการจังหวัดไชยนาท

  44. ๔๔. เรือชล่าลำนี้ เปนเรือเก๋ง เรียกว่าเรือประพาส

  45. ๔๕. หลวงศักดิ์นายเวร (อ้น นรพัลลภ) ต่อมาเปนพระยาพิพัทธราชกิจ

  46. ๔๖. นางอิ่มคนนี้ ต่อมาลงมาเฝ้า เปนคนโปรดอีกคน ๑

  47. ๔๗. ดุ๊ก คือกรมหลวงสรรพศาสตรศุภกิจ

  48. ๔๘. คือพระวิมาดาเธอ ฯ กรมพระสุทธาสินีนาฎ

  49. ๔๙. คำว่าอับปลิช เปนภาษาของนายคนังเงาะ หมายความว่าอัปรีย์ แต่พูดไม่ชัด

  50. ๕๐. เรื่องพงศาวดาร ตอนพระเจ้าเสือให้เจ้าฟ้า ๒ พระองค์ทำตพานข้ามบึงหูกวาง ไม่สำเร็จทันพระทัยให้ลงพระราชอาญา ที่ทรงถ่ายรูป ทรงสมมตให้กรมหลวงประจักษ์ ฯ เปนเจ้าฟ้าเพ็ชร์ กรมหลวงสรรพสาตร เปนเจ้าฟ้าพร พระยาโบราณ ฯ เปนนายผล

  51. ๕๑. หลวงอนุชิตพิทักษ์ (ชาย สุนทรารชุน) เดี๋ยวนี้เปนพระยาสฤษดิพจนกร

  52. ๕๒. คำว่า “ช่อฟ้าชวนฟ้าชำเลือง” นี้ อยู่ในฉันท์ของกรมสมเด็จพระปรมานุชิต ฯ เรื่อง ๑ ทรงยกมาติโบสถ์ ที่ทำช่อฟ้ายาวเกินขนาด

  53. ๕๓. เกาะสี่เกาะห้า เปนเกาะรังนกอยู่ในทเลสาบแขวงเมืองสงขลา

  54. ๕๔. เมืองเก่าที่บ้านโคน มีอยู่ห่างตลิ่งเข้าไปกว่า ๑๐ เส้น ค้นพบภายหลังเสด็จคราวนั้น เห็นว่าจะตรงกับเมืองคณฑี ที่เรียกในจารึกครั้งสุโขทัย

  55. ๕๕. ที่วัดวังพระธาตุ มีพระสงฆ์คิดจะไปอยู่หลายคราว ตั้งอยู่ได้ไม่ช้า ทนความไข้ไม่ไหวก็ต้องเลิกไป

  56. ๕๖. เมื่อเล่นถ่ายรูปกันคราวนั้น ถ่ายทั้งแผนที่แลผู้คน ไปถ่ายถึงที่เมืองไหนจึงหาคนงามในเมืองนั้นถ่าย ใครได้รับเลือกทรงถ่ายรูป ต่อมามักมีผู้พอใจขอสู่ด้วยเหตุนั้น

  57. ๕๗. จารึกนี้ เดี๋ยวนี้อยู่ในหอพระสมุดวชิรญาณ ว่าด้วยเรื่องพระธรรมราชาลิไทยสร้างพระมหาธาตุแลปลูกพระศรีมหาโพธิ ซึ่งได้มาจากลังกา ณเมืองนครชุม สืบสวนได้หลักฐานต่อมา ว่าจารึกแผ่นนั้น เดิมอยู่ที่หน้าพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุข้างฝั่งตวันตกเมืองกำแพงเพชร ฐานปักศิลาจารึกนั้นยังอยู่จนบัดนี้ มีผู้ขนมาไว้ที่วัดเสด็จ แล้วจึงได้ส่งลงมากรุงเทพ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ