เดือน ๙ จุลศักราช ๑๒๔๗

วัน ๓ ๙ ปีระกายังเป็นฉอศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้ว เสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง พระศรีเสนาอ่านบอกพระพิทักษ์เทพธานี ปลัดกรมการกรุงเก่า ว่าด้วยมีตราโปรดเกล้า ฯ ให้ปักเขตต์ขยายที่วิสุงคามสีมาวัดเสนาสนารามออกไปอีก โดยกว้าง ๑๒ วายาว ๓ เส้น กับวาหนึ่งนั้น ได้พร้อมกับพระธรรมราชานุวัตรปักเขตต์ที่วิสุงคามสีมาตามท้องตราแล้ว ขอถวายพระราชกุศล ฉะบับ ๑ กับใบบอกพระพรหมประสาทศิลปเมืองพรหมบุรี ว่านายจันมาแจ้งความว่าพระภิกษุสงฆ์ไปบิณฑบาตร เห็นเรือสัมปนีจอดอยู่ท่ากระบือ ได้ยินเด็กร้องจึงเข้าไปดูพร้อมด้วยนายจันเห็นผู้หญิงนอนตายอยู่ พระพรหมประสาทศิลปได้ให้กรมการไปถอยเรือมาตรวจดูเห็นเด็กชายอายุประมาณ ๗-๘ เดือนตกอยู่ในท้องเรือมีหญิงนอนดายมีรอยอ้ายผู้ร้ายฟัน ได้ชัณสูตรบาดแผลและทำบาญชีของที่เหลือไว้ ภายหลังอำแดงเหมือนมารดาอำแดงจีบมาแจ้งความว่า นายอาจผัวอำแดงจีบกับบุตรชายอายุ ๑๑ ปีคนหนึ่ง อายุ ๘ ปีคนหนึ่ง อายุ ๗-๘ เดือนคนหนึ่ง ลงเรือสัมปนีว่าจะไปค้าขายเมืองสระบุรี พระพรหมได้ให้กรมการออกสืบเสาะติดตามอ้ายผู้ร้ายยังไม่ได้ความ กับกรมการตามได้ศพนายอาจผัวกับบุตรมีบาดแผลหลายแห่ง แล้วอำแดงเหมือนได้รับเอาบุตรและทรัพย์สิ่งของไป ถ้าสืบได้ความจะบอกมาครั้งหลัง

พระนรินทรอ่านบอกพระยาสมบัติภิรมย์กรมการเมืองสงขลาบอกนำ อุรังกายอเดหวาอินดารา อุรังกายอสกุนนา มกัดยุสุบเจะอาลี ศรีตะวันกรมการนายไพร่เมืองตรัง ๖๔ คน ซึ่งพระยาตรังกานูแต่งให้คุมต้นไม้ทองเงิน เครื่องราชบรรณาการจำนวนปีระกาสัปตศกเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวายพร้อมด้วยกรมการเมืองสงขลาฉะบับ ๑ กับหนังสือบอกพระยาพิไชยภูเบนทรนเรนทรภักดีเมืองตรังกานู ว่าด้วยแต่งให้ อุรังกายอเดหวาอินดารา อุรังกายอสกุนนา มะกัดยุสุบ เจะอาลี ศรีตะวันกรมการ คุมต้นไม้ทองเงินเครื่องราชบรรณาการจำนวนปีระกาสัปตศก เข้ามาทูลเกล้า ฯ ถวายต้นไม้ทองต้น ๑ สูง ๑-๓-๗ ศอก ต้นไม้เงินต้นหนึ่งสูงต่ำเท่ากัน เครื่องราชบรรณาการผ้ายกทองคู่ ๑ พิมเสนหนัก ๔ ชั่งจีน ผ้าดอก ๔ พับ ผ้าขาวยาวห้าสิบศอก ๑๒ พับ ผ้าเจะเปาะ ๔ พับ หวายตะฆ้าแทนสาคู ๒๐๐ กำ หวายหิน ๔๐๐ ขด หวายตะฆ้าตามธรรมเนียม ๒๐๐ กำ กระแชงเตยใหญ่ ๑๐๐ ผืน ไม้พลอง ๔๐๐ ท่อน หอยมุกด์ ๔๐๐ ตัว ฉะบับ ๑ เป็นหนังสือพระยาตรังกานู เรียน ฯพณฯ สมุหพระกลาโหม ว่าด้วยแต่งต้นไม้ทองเงินเครื่องราชบรรณาการ จำนวนปีระกาสัปตศกเข้ามาทูลเกล้า ฯ ถวายขอให้นำศรีตะวันกรมการเฝ้า กับว่าจัดได้พิมเสนชั่งหนึ่ง ผ้าขาว ๕๐ ศอก ๖ พับ ผ้าเจะเปาะ ๒ พับ หวายตะฆ้า ๑๐๐ กำ ให้ ฯพณฯ สมุหพระกลาโหม

พระยาพิพัฒอ่านบอกพระยาสมุทรสาครานุรักษ์เมืองสมุทรสาคร ว่าหลวงเรืองศักดิ์สาครเขตต์ปลัด เป็นคนชราโรคภัยเบียดเบียนมาก ขอกราบถวายบังคมลาออกนอกราชการ พระยาสมุทรสาครขอพระราชทานนายถมผู้เป็นที่ขุนวิชิตชลหาร ปลัดกรมอาษาวิเศษ บุตรหลวงเรืองศักดิ์สาครเขตต์ปลัด ไปรับราชการแทน

เสด็จขึ้นประทับออฟฟิศรับสั่งกับกรมหมื่นเทววงศ์ครู่หนึ่ง เสด็จขึ้นข้างใน อนึ่งวันนี้เริ่มการสวดมนต์ที่โรงช้างในริมโรงทหารมหาดเล็ก ในการที่จะแห่พระเศวตรุจิราภาพรรณเข้าโรงใน โปรดให้มีการสวดมนต์ พระสงฆ์ราชาคณะและปเรียญรวม ๑๐ รูปสวดพระพุทธมนต์ ไม่ได้เสด็จพระราชดำเนิน โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเสด็จไปทรงจุดเทียน

วัน ๔ ๙ ค่ำ ปีระกายังเป็นฉอศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๔ โมงเศษเสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้ว เสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

พระศรีเสนาอ่านบอกหลวงอนุชิตพิทักย์ ข้าหลวงผู้รักษาเมืองนครนายกรายงานน้ำฝนต้นข้าว พระอาทิตย์ยกขึ้นอยู่ราษีเมษเมถุน ฝนตก ๑๒ ครั้งรองน้ำได้ ๑๔ นิ้ว ๓ ทสางค์ มากกว่าปีวอกฉอศก ๓ นิ้ว น้ำท่า ๓ ศอกคืบ ราษฎรทำนาบ้างแล้ว ราคาข้าวเกวียนละ ๗ ตำลึง ฉะบับ ๑ ว่ากรมการราษฎรหลายคนไว้ความให้หลวงจ่าเมืองฟ้องกล่าวโทษหายาซิน แขกในบังคับฮอลันดากับพรรคพวก ว่าตั้งโรงรับซื้อโคกระบือผู้ร้าย ซ่องสุมโจรผู้ร้ายแย่งชิงโคกระบือ เจ้าของตามพบต้องไถ่ ถ้าไม่ไถ่ก็ชำและกระบือเสีย ได้มีหมายไปเกาะได้ตัวคนต้องหามาบ้าง แต่มายาซินว่ามีหมายกงซุลมาจึงจะยอมให้พิจารณา ฉะบับ ๑ ว่าได้ชำระความเก่าใหม่แล้วไปครั้งก่อน ๖๕ ครั้งนี้ ๙๒ รวมเก่าใหม่ ๑๕๗ เรื่อง

พระนรินทรอ่านบอกพระจรูญราชโภคากรเมืองหลังสวน ว่าเก็บได้เงินภาษีผลประโยชน์เมืองหลังสวน จำนวนปีวอกฉอศก เงิน ๑๕๕ ชั่ง ให้กรมการคุมเข้ามาส่ง ฉะบับ ๑ กับใบบอกพระวิชิตภักดีสุรสงครามปลัดเมืองตะกั่วป่า พระอินทรศักดิ์ พระสุนทรวรนารถผู้ช่วยเมืองตะกั่วป่า พระพลพยุหสงครามเมืองกระบี่ พระบริสุทธิโลหภูมินทราธิบดีเมืองตะกั่วทุ่ง พระเสนานุวงศ์ภักดีศรีธรรมราชเมืองคิริรัฐนิคม รวมชื่อกันบอกมา ๒ ฉะบับๆ ๑ ว่าได้รับตราพระคชสีห์ พระราชทานศิลาหน้าเพลิงกับสิ่งของไปพระราชทานในการศพพระยาเสนานุชิตนั้นแล้ว จึงได้พร้อมด้วยญาติพี่น้องและนายพลพ่ายหุ้มแพร ทำการศพพระยาเสนานุชิต ได้นิมนต์พระสงฆ์บังสุกุลของหลวงซึ่งโปรดพระราชทานไป คือ ผ้าไตร ๗ ผ้าขาว ๑๐ พับ ไทยธรรม ๓๐๐ และทำบุญให้ทานแล้ว ได้เชิญหีบศิลาหน้าเพลิงพระราชทานเพลิงศพพระยาเสนานุชิตแล้ว และเงินเฟื้อง ๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ซึ่งพระราชทานนั้น ได้ทิ้งทาน ขอพระราชทานถวายพระราชกุศล กับว่าพระวิชิตภักดีจัดได้ไม้ควักหูทองคำ ๒๐ พวง ให้นายพลพ่ายมหาดเล็กนำมาทูลเกล้า ฯ ถวาย ฉะบับ ๑ ว่ามีตราโปรดพระราชทานศิลาหน้าเพลิงและสิ่งของในการศพพระสมบัตยานุรักษ์ ผ้าขาว ๕ พับ ร่ม รองเท้า ๕๐ เงินเฟื้อง ๒๐๐ นั้น ในการศพพระเรืองฤทธิรักษาราษฎร์ หีบศิลาหน้าเพลิงสำรับ ๑ ผ้าขาว ๕ พับ ร่มรองเท้า ๕๐ เงินเฟื้อง ๒๐๐ นั้นได้ทราบแล้ว ได้พร้อมด้วยญาติพี่น้องทำการศพพระสมบัตยานุรักษ์ และจุดเพลิงศพเสร็จแล้ว ได้พร้อมกันทำศพพระเรืองฤทธิรักษาราษฎร์ แล้วขอพระราชทานถวายพระราชกุศล กับว่า นายจัน นายพันมหาดเล็ก น้องพระเรืองฤทธิจัดได้ทองคำตะเภาหนัก ๖ ตำลึง นายนุ้ยมหาดเล็กน้องพระสมบัตยานุรักษ์จัดได้ทองคำตะเภาหนัก ๖ ตำลึง ขอพระราชทานทูลเกล้า ฯ ถวาย

พระยาพิพัฒโกษา อ่านบอกพระยาวิชยาธิบดีเมืองจันทบุรีรายงานน้ำฝนต้นข้าว น้ำฝนปีนี้มากกว่าปีวอกฉอศก ข้าวในนาบริบูรณ์ดี ข้าวเปลือกเกวียนละ ๕ ตำลึง ๒ บาทบ้าง ๖ ตำลึงบ้าง

พระยาสิงหเทพนำพระยามหาเทพ จมื่นทิพเสนา หลวงคเชนทรามาตย์ กราบถวายบังคมลาเป็นข้าหลวงไปราชการชำระอั้งยี่ ณ เมืองพระตะบอง เมืองนครเสียมราฐ เสด็จขึ้นประทับออฟฟิศรับสั่งกับกรมหมื่นพิชิต กรมหมื่นเทววงศ์จนเวลาย่ำค่ำเสด็จขึ้น

เวลาวันนี้มีการสวดมนต์ที่โรงช้างใน ซึ่งพระเศวตรุจิราภาพรรณจะมาอยู่นั้นเหมือนวันก่อน โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเสด็จไปจุดเทียนเหมือนกัน

วัน ๕ ๙ ค่ำ ปีระกายังเป็นฉอศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

พระศรีเสนาอ่านบอกพระโบราณบุรานุรักษ์ พระพิทักษ์เทพธานีปลัดกรมการกรุงเก่ารายงานน้ำฝนต้นข้าว พระอาทิตย์ยกมาราษีกรกฏกึ่งราษี ฝนตก ๙ ครั้งรองได้ ๒๘๖ เซ็นต์มากกว่าน้ำฝนกึ่งองษาราษีกรกฏปีวอกฉอศก ๑๖๐ เซ็นต์น้ำท่าน้อย ๔ นิ้ว ๓ กระเบียด ที่ท่าสิบเบี้ยน้ำลงเรือพายม้ายาว ๓ วา ๒ ศอกไปมาได้ นาหว่านแล้ว ๔ ส่วน ยัง ๑ ส่วน ราคาข้าวเปลือกเกวียนละ ๖ ตำลึง ๓ บาท ฉะบับ ๑ กับใบบอกพระยาสุรบดินทรฦๅไชยเมืองชัยนาทรายงานน้ำฝนต้นข้าวราษีเมถุนฝนตก ๖ ครั้งรองน้ำได้ ๕ นิ้ว น้อยกว่าปีวอกฉอศก ๑ ทสางค์ น้ำท่าคืบ ๔ นิ้ว ๑ กระเบียดมากกว่าปีวอกฉอศก ๓ นิ้ว ๑ กระเบียด ราษฎรไถหว่านบ้างแล้ว ราคาข้าวเปลือกเกวียนละ ๕ ตำลึง ๒ บาทบ้าง ๖ ตำลึงบ้าง ฉะบับ ๑ ใบบอกพระยาไตรเพ็ชร์รัตนราชสงครามเมืองนครสวรรค์ ว่านายอ่ำ ลุตเตอแนนเชิญตราพระราชสีห์ขึ้นไปว่านายน้อย นายบุญ นายชม นายยิ้ม ๔ คนสักเป็นเลขล้อมพระบรมมหาราชวัง เจ้าหมู่จะเอามารับราชการ พระพลสงครามขัดเสีย ให้พระยานครสวรรค์ถามให้ได้ความนั้น ได้หาตัวพระพลและเลข ๔ คนมาถามได้ความว่าเป็นเลขกองด่านมา ๕-๖ ปี และเป็นบุตรหมู่เลขกองด่านด้วยได้เก็บเงินค่าราชการเสมอมา ครั้นเมื่อปีมะโรงโทศก ขุนอภัยนายกองส่วยล้อมพระบรมมหาราชวังเกลี้ยกล่อมเลข ๔ คนมาสักไว้ในล้อมวัง พระพลสงครามคนใหม่ได้ร้องต่อแม่กองสัก ๆ ส่งมากรุงเทพฯ สมเด็จกรมหลวงภาณุพันธุ์ได้ทรงตัดสินว่าเป็นคนกองด่านให้ไปตามเดิม พระพลสงครามหาได้ขัดเลขไม่ ได้ส่งตัวเลขกับถ้อยคำลงมา รับสั่งว่าถ้าเป็นล้อมวังจริงแล้วให้ส่งมาตามที่เป็นแล้ว

พระสุรินทรามาตย์อ่านบอกพระยาอมรินทรฦๅไชย พระสัจจาภิรมย์ เมืองราชบุรี ๒ ฉะบับๆ หนึ่งส่งนายแหโจทก์กับนายปาอำแดงบาง จำเลยซึ่งต้องหาว่าฆ่านายแกตายเข้ามากรุงเทพฯ ฉะบับ ๑ ส่งอำแดงพุ่ม อำแดงทิมโจทก์กับอ้ายจีนครึ้นผู้ร้ายยิงจีนเปลี่ยนตายเข้ามากรุงเทพ ฯ โปรดเกล้า ฯ ให้ลูกขุนปรึกษา

พระยาพิพัฒน์อ่านบอกพระยาสมุทรบุรานุรักษ์เมืองสมุทรปราการว่า ด้วยมีตราเร่งให้ส่งเงินปี้จีนจำนวนปีมะเมียจัตวาศกนั้น ได้กำกับข้าหลวงพระคลังสินค้าผูกปี้เรียกเงินค่าแรงได้จำนวนจีนคงเมือง ๑๐๖๘ คน จีนจร ๙๖๐ คน รวม ๒๐๒๘ คนเรียกค่าแรงได้เงิน ๑๐๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึงเสร็จแล้ว แต่นายรองสนองได้มอบเงินไว้ ๕๑ ชั่ง ได้ส่งมาแล้ว เงินยังค้างนายรองสนอง ๔๘ ชั่ง ๑๕ ตำลึง ๑ สลึง ๑๙๒ ไพ เร่งรัดตักเตือนหลายครั้งแล้วไม่ไปชำระ ได้ส่งฎีกาเหลือกลับเข้ามา โปรดให้เจ้าพนักงานกรมท่าส่งไปให้เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ชำระเร่งให้จงได้

เสด็จขึ้นประทับในออฟฟิศครู่หนึ่งเสด็จขึ้นข้างใน วันนี้มีสวดมนต์โรงช้างด้วย

วันนี้เจ้าจอมมารดาพร้อมประสูตรพระเจ้าลูกเธอเป็น ๒ พระองค์ พระองค์หนึ่งประสูตรเวลาทุ่ม ๑ กับ ๑๑ นาฑี พระองค์หนึ่งประสูตรเวลายาม ๔๙ นาทีเป็นบุตรีทั้ง ๒ พระองค์ แต่ก่อนจะประสูตรนั้นเจ็บอยู่นาน เจ็บแต่วัน ๙ ค่ำ เวลาเช้า ๔ โมง แต่พักผ่อนบ้าง ในเวลาวันนี้สมเด็จกรมพระประกอบยาถวายจึงประสูตรง่าย

วัน ๖ ๙ ค่ำ ปีระกายังเป็นฉอศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาเช้า ๓ โมงเศษ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินประทับโรงช้างในโรงที่ ๑ ริมทหารมหาดเล็กโปรดให้เดินกระบวนแห่พระเศวตรุจิราภาพรรณแต่โรงนอกมาในเวลาฤกษ์เช้า ๓ โมง ๓๘ นาฑีกระบวนเดินมาเข้าประตูวิเศษไชยศรี กระบวนมีธงมังกรคู่แห่กลองชะนะแตรสังข์เครื่องสูงพระกันภิรม และมีพระยาช้างเผือกเดินนำกระบวนด้วย คือ พระวิมลรัตนกิริณี พระเศวตสกลวโรภาส พระเศวตวรลักษณะ ครั้นมาถึงหน้าโรงทหารโรงช้างใน กระบวนทั้งปวงและพระยาช้างทั้งปวงก็เดินเลยไป ถึงช้างนำและพระเศวตรุจิราพรรณก็เดินเข้าโรงใน ขณะนั้นพระสงฆ์ในโรงช้าง ๑๐ รูปมีพระเทพโมฬีเป็นประธานสวดชัยมงคลพร้อมกัน ครั้งพระเศวตรุจิราภาพรรณขึ้นยืนแท่นแล้ว ทรงจุดเทียนนมัสการ พระเทพโมฬีถวายศีล แล้วเจ้าพนักงานเปลื้องเครื่องพระคชาธาร แล้วพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นพระทับบนเกยริมแท่นทรงหลั่งน้ำพระเต้าต่าง ๆ พระราชทานพระเศวตรุจิราภาพรรณ ขณะนั้นพระสงฆ์ ๑๐ รูปสวดชัยมงคล เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์พิณพาทพร้อมกัน ขณะนั้นมีการสมโภชไม้ต่ำสูง สิงห์โตญวนหก เล่นพร้อม โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จกรมพระทรงรดน้ำด้วย เจ้าพนักงานผูกเครื่องพระคชาธาร พระสงฆ์ถวายพระพรจบเสด็จทรงประเคนแล้วเสด็จกลับเข้าประตูพิมานไชยศรีเสด็จขึ้นพระที่นั่งจักรีโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอทรงประเคนไทยธรรม พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาอติเรกถวายพระพรลา เจ้าพนักงานตั้งบายศรีแก้วเงินทองบายศรีตองคู่ ๑ พระครูพราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียน ๓ รอบสมโภชมีละครท้าวราชกิจโรง ๑ เพลงโรง ๑ สมโภชด้วย

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จลงสมโภชพระเจ้าลูกเธอซึ่งประสูตรวัน ๓ ๑๑ ๘ ค่ำ เป็นบรรจบเดือนหนึ่ง ได้พระราชทานพระนามว่า พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงอรประพันธ์รำไพ

แล้วโปรดให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระเจ้าน้องยาเธอที่เสด็จไปสมโภชพระเจ้าลูกเธอนั้น เสด็จไปเยี่ยมพระเจ้าลูกเธอ ๒ พระองค์ที่ประสูตรเวลาวานนี้

ค่ำวันนี้ไม่เสด็จออกโรงพระเศวตรุจิราภาพรรณ โปรดให้เวียนเทียนสมโภชเสีย

วัน ๗ ๙ ค่ำ ปีระกายังเป็นฉอศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทางพระที่นั่งจักรี ทรงพระราชยานเสด็จไปประทับโรงพระเศวตรุจิราภาพรรณ เสด็จประทับพระที่นั่ง พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระครูพราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียนสมโภชโดยทักขิณาวัฏถ้วนตติยวาร ขณะนั้นมีไม้ลอย ญวนหกสมโภชด้วย ครั้นเวียนเทียนแล้วเสด็จไปประทับพลับพลาหน้าโรงละคร ทอดพระเนตรละครท้าวราชกิจเล่นเรื่องอิเหนา แล้วพระราชทานสัญญาบัตรพระเทพสงคราม เลื่อนเป็นพระยาเทพสงครามปลัดเมืองจันทบุรี ๑ หลวงวิจารณ์พยุหพลปลัดเป็นพระพยุหาภิบาล ผู้ว่าราชการเมืองพยุหคิรี ๑ แล้วสมเด็จกรมพระ สมเด็จกรมหลวงภาณุพันธุ กรมหมื่นเทววงศ์ กรมหมื่นประจักษ์เฝ้า ทรงปรึกษาเรื่องจะจัดการทหารขึ้นไปปราบฮ่อทุ่งเชียงคำ เวลา ๒ ทุ่มเสด็จกลับจากพลับพลาโรงละคร

วัน ๑ ๙ ค่ำปีระกายังเป็นฉอศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๒ โมงเศษพระองค์สวัสดิ์เข้าไปเฝ้าข้างใน ทรงหนังสือจนเวลาย่ำค่ำ

วันนี้ไม่ได้เสด็จพระราชดำเนินโรงพระเศวตรุจิราภาพรรณ โปรดให้เจ้าพนักงานเวียนเทียนสมโภชมีการสมโภชต่างๆ ตามเคย เป็นเสร็จการสมโภชในวันนี้

วัน ๒ ๙ ค่ำ ปีระกายังเป็นฉอศก จุกศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษพระเจ้าอยู่หัวทรงฉลองพระองค์ครึ่งยศทหารมหาดเล็ก ทรงเครื่องราชอิศริยยศสร้อยจักรีบรมราชวงศ์และจักรีดารา เสด็จพระราชดำเนินออกประทับพระที่นั่งพุดตานทองคำ ภายใต้พระมหาเศวตฉัตรณท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทตามตำแหน่งถ้วนทุกกระทรวง ชาวประโคมแตรฝรั่งมโหรทึกตามขัตติยราชประเพณี ทหารล้อมพระบรมมหาราชวังซึ่งอยู่หน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทถวายคำนับประโคมแตรสรรเสริญบารมี ครั้นสุดเสียงประโคมแล้วเจ้าพนักงานกรมวัง กรมพระกลาโหมนำศรีตะวันกรมการเมืองตรังกานู ๔ คนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระยาเทพประชุนทูลเบิกว่าพระยาพิไชยภูเบนทรนเรนทรทภักดี พระยาตรังกานู แต่งให้อุรังกายอเดหวาอินดาหรา อุรังกายอสกุนนา มะกัดยุซุบ เจะอาลีศรีตะวันกรมการ ๔ นายคุมต้นไม้ทองเงินเครื่องราชบรรณาการมาทูลเกล้า ฯ ถวาย ดำรัสราชปฏิสัณฐาร ๓ นัดแล้วเสด็จขึ้นข้างใน

เสด็จลงสมโภช ๓ วันพระเจ้าลูกเธอ ๒ พระองค์ซึ่งประสูตรณวัน ๕ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก

วัน ๓ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก ๑๒๔๗

วันนี้ไม่มีราชการอะไร ไม่ได้เสด็จออก แต่กรมหมื่นภูธเรศถวายคำลูกขุน ปรึกษาวางบทโทษพระยาเจริญราชไมตรีซึ่งเฆี่ยนตีตบนายเล็กอายุ ๒๐ ปีอยู่ได้ ๑๒ วันทนบาดแผลไม่ได้ขาดใจตาย ลูกขุนผู้รับปรึกษาวางบทว่าพระยาเจริญราชไมตรีเป็นข้าราชการรู้ขนบธรรมเนียมราชการ กลับทำการฮึกเหิมหาญหักไม่เกรงกลัวพระราชอาญาอาณาจักร และทุกขโทษภัยในอนาคตปัจจุบัน พร้อมใจกันกับอ้ายบ่าวทาษทำโทษนายเล็กถึงสาหัส โทษพระยาเจริญราชไมตรีเป็นมหันตโทษ อ้ายเตี้ย อ้ายทอง อ้ายนาค อ้ายเปลี่ยนผู้เฆี่ยนตีตบนายเล็กเป็นมัธยมโทษ เพราะอยู่ในบังคับพระยาเจริญ นายรองพิจารณ์ซึ่งอยู่ในที่วิวาทไม่ห้ามปรามเป็นลหุโทษ ต้องบทพระอัยยการให้ริบราชบาทว์สวิญญาณกทรัพย์ อวิญญาณกทรัพย์ ของพระยาเจริญเป็นหลวง แล้วเฆี่ยนพระยาเจริญ ๓ ยก ๙๐ ทีเอาตัวไปประหารชีวิตเสียให้ตายตกไปตามกัน แต่เห็นว่าพระยาเจริญราชไมตรีเป็นผู้มีความชอบความดีในราชการแผ่นดินอยู่ ถ้าโปรดเกล้าฯ มิให้ตายก็ให้เอาบรรดาศักดิ์พระยาเจริญราชไมตรีเป็นเคาน์ซิลลอศักดินา ๔๐๐๐ ไร่ ตั้งปรับไหม ๒๘ ค่าเงิน ๒๕ ชั่ง ๔ ตำลึง เป็นสินไหมกึ่งพินัยกึ่ง สินไหมให้แก่นายผู้บิดานายเล็กผู้ตาย แต่พินัยนั้นพระยาเจริญได้รับเครื่องราชอิสริยยศพระราชบัญญัติโปรดยกพระราชทาน แต่ให้ตั้งเบี้ยปลุกตัวนายเล็กผู้ตาย เงิน ๑๒ ตำลึง ให้นายผู้บิดานายเล็กไปทำบุญ แล้วเอาตัวพระยาเจริญราชไมตรีเฆี่ยน ๒ ยก ๒๐ ทีส่งตัวไปจำไว้ณคุก แต่อ้ายเตี้ย อ้ายทอง อ้ายนาค อ้ายเปลี่ยนผู้เฆี่ยนตีตบนายเล็กโดยพระยาเจริญบังคับนั้นให้เฆี่ยนคนละ ๕๐ ที ให้มูลนายรับตัวไป นายรองพิจารณ์ซึ่งไม่ร่ำเรียนทัดทานเป็นความผิดให้ปรับไหมลาหนึ่ง เงิน ๘ ตำลึง ๑ บาท เป็นพินัยหลวง

ทรงเซ็นว่าซึ่งลูกขุนปรึกษาวางบทมาถูกต้อง สมควรแล้วแต่ยังทรงพระกรุณาที่ได้มีความชอบความดีอยู่บ้าง ครั้นจะไม่ทำโทษก็จะทำให้ข้าราชการมีใจกำเริบลงอาญาแก่ไพร่เหลือเกินไป ให้กรมพระตำรวจเอาตัวพระยาเจริญมาจำไว้ในวังให้เข็ดหลาบ ให้ยกโทษเฆี่ยน ๖๐ ทีจำคุกเสีย

อนึ่งวันนี้โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าหมื่นสรรพ์เพ็ชญ์ภักดีเชิญพระราชหัตถเลขาลงไปทรงถามข่าวกรมพระราชวังบวรซึ่งทรงพระประชวร เสด็จไปรักษาพระองค์อยู่ณเมืองสมุทปราการ และให้ฟังพระอาการด้วย เจ้าหมื่นสรรพ์เพ็ชญ์กลับขึ้นมาว่าพระอาการมากอยู่ แต่เสวยโอสถของดอกเตอ วิลเลียม วิลลิศ ค่อยทรงสบายขึ้น

วัน ๔ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษเสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระและพระไตรปิฎก แล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

พระศรีเสนาอ่านบอกพระยาพิสุทธิธรรมธาดา เมืองลพบุรี ส่งอ้ายอ่าง อ้ายตัน ผู้ร้ายฆ่านายวันตายลงมากรุงเทพ ฯ ฉะบับ ๑ กับใบบอกพระยาวิเศษฦาไชยเมืองฉะเชิงเทรา ว่าด้วยหลวงแพ่งเอาตัวจีนฮงซึ่งยิงจีนมีบิดาตายมาส่ง ได้ถามจีนฮงให้การว่าอำแดงเพงมารดาจะไปขายของน้ำยังไม่ขึ้นจึงให้จีนมีบิดาลงไปเฝ้าเรืออยู่ ครั้นเวลาค่ำจีนฮงเอาปืนไปยิงค้างคาวที่กินผลไม้ เห็นค้างคาวบินมาจับต้นลำภูห่างที่เรือจอดประมาณ ๔ วา จึงยิงปืนไปแล้วได้ยินเสียงจีนมีร้องว่าทำไมยิงเอา จีนมีขึ้นนั่งคอยดูผู้ร้ายจะลักเรืออยู่ จึงได้พร้อมกับมารดาและน้องพยุงจีนมีมาเรือน ได้หาหมอรักษาพยาบาลจีนมีอยู่ได้ ๒ วันขาดใจตาย จึงส่งตัวจีนฮงเข้ามา

พระสุรินทรามาตย์อ่านบอกพระยาอมรินทรฦๅไชย รายงานน้ำฝนต้นข้าวพระอาทิตย์สถิตย์ราษีเมษฝนตก ๒ ครั้ง รองน้ำได้ ๓ ทสางค์ มากกว่าปีวอกฉอศกทสางค์ ๑ ราษีพฤศภฝนตก ๒ ครั้ง รองได้ ๗ ทสางค์ น้อยไป ๒ นิ้ว ๗ ทสางค์ ราษีเมถุนฝนตก ๘ ครั้ง รองน้ำได้นิ้ว ๑ กับ ๘ ทสางค์ น้อยไป ๑ นิ้ว ๕ ทสางค์ น้ำท่ายังไม่เข้าทุ่งนา ราษฎรทำนาแล้วประมาณ ๑๒๐๐ ไร่ ราคาข้าวเกวียนละ ๘ ตำลึง ฉะบับ ๑

พระยาพิพัฒโกษา อ่านบอกพระยาสมุทรบุรานุรักษ์รายงานน้ำฝนต้นข้าว พระอาทิตย์สถิตย์ราษีเมษฝนตก ๓ ครั้ง รองได้น้ำ ๑ นิ้ว ๕ ทสางค์ มากกว่าปีวอกฉอศก ๖ ทสางค์ ราษีพฤศภฝนตก ๖ ครั้ง รองได้น้ำ ๑ นิ้ว ๓ ทสางค์ เท่าปีวอกฉอศก ราษีเมถุนฝนตก ๓ ครั้ง รองได้ ๕ ทสางค์ น้อยกว่าปีวอก ๑ ทสางค์ ราษฎรทำนาบ้างแล้ว ข้าวงามดี ราคาเกวียนละ ๑๐ ตำลึงบ้าง ๙ ตำลึงบ้าง

พระยาเทพประชุนนำพระยาอาหารบริรักษ์ หลวงภูเบนทรสิงหนาทกราบถวายบังคมลาไปเป็นข้าหลวงไปชำระความนายเนตรกล่าวโทษเจ้าเมืองกรมการเสนาเมืองนครศรีธรรมราช เมืองไชยา เมืองชุมพร เมืองหลังสวน เมืองกำเนิดนพคุณ เมืองประจวบคีรีขันธ์ เมืองปราณบุรี แล้วเสด็จขึ้นประทับออฟฟิศตรัสกับกรมหมื่นเทววงศ์ เวลาทุ่มเศษเสด็จขึ้น

วัน ๕ ๑๐ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง วันนี้ไม่มีบอกราชการ แล้วเสด็จขึ้นประทับออฟฟิศพระวิสูตรสาครดิฐเฝ้า แล้วกรมหมื่นเทววงศ์เฝ้า เวลาย่ำค่ำเสด็จขึ้น

อนึ่งวันนี้มีสวดมนต์ที่พระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ ด้วยพรุ่งนี้จะหล่อพระประจำพระชนม์พรรษา หม่อมเจ้าพระอรุณกับถานานุกรมวัดราชบพิธ ๕ รูป สวดพระพุทธมนต์ที่พระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเสด็จไปทรงจุดเทียน โรงหล่อนั้นตั้งข้างพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทตามเช่นเคยมาทุกปี

วัน ๖ ๑๑ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาเช้า ๕ โมงเศษ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทางประตูพรหมโสภาเสด็จประทับพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท ทรงจุดเทียนนมัสการ หม่อมเจ้าพระอรุณถวายศีล ครั้นทรงศีลแล้วเสด็จลงไปประทับที่โรงหล่อ ทรงเทเงินหล่อพระประจำพระชนม์พรรษา ขณะนั้นพระสงฆ์ถวายชัยมงคล เจ้าพนักงานประโคมสังข์แตรพิณพาทย์ฆ้องชัยพร้อมกัน ครั้นทรงเททองแล้วเสด็จขึ้นประทับบนพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ พระสงฆ์ถวายพระพรจบแล้ว เสด็จทรงประเคนพระสงฆ์รับพระราชทานฉัน ครั้นพระสงฆ์ฉันแล้วทรงประเคนไทยทาน พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา อติเรก ถวายพระพรลา เสด็จขึ้นข้างใน

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ พระเจ้าอยู่หัวทรงฉลองพระองค์ครึ่งยศทหาร ทรงเครื่องราชอิศริยยศจักรีดารา และดวงดาราปฐมจุลจอมเกล้า เสด็จออกประทับเหนือพระที่นั่งพุดตานทองคำภายใด้พระมหาเศวดฉัตรพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทตามตำแหน่งถ้วนทุกกระทรวง เจ้าพนักงานประโคมแตรฝรั่งมโหรทึก ทหารรักษาพระบรมมหาราชวังเป่าแตรสรรเสริญบารมี ครั้นสุดเสียงประโคมแล้วเจ้าพนักงานทางกรมวังกรมพระกลาโหมนำหวันอาหวัง หวันกะเด หวันอีซอ หวันมหมุด ศรีตะวันกรมการเมืองกลันตัน ๔ นาย กับกรมการเมืองนครศรีธรรมราช ๒ นาย เสื้ออัตลัดคนละเสื้อดำรัสพระราชปฏิสัณฐาร และพระราชทานพรพระยาเดชานุชิตจางวาง พระยาพิพิธภักดีเจ้าเมืองกลันตันและศรีตะวันกรมการแล้วเสด็จขึ้น เจ้าพนักงานประโคมตามขัตติยราชประเพณี

เสด็จขึ้นจากออกแขกเมืองแล้ว เสด็จออกประทับห้องออฟฟิศหลวงรับสั่งกับกรมหมื่นเทววงศ์เฝ้าครู่หนึ่งเสด็จขึ้นข้างใน

วัน ๗ ๑๒ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษเสด็จออกประทับซิตติงรูม กรมหมื่นประจักษ์ กรมหมื่นเทววงศ์ เฝ้าอยู่จนเกือบเวลาย่ำค่ำแล้วเสด็จประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้วเสด็จออกพระแท่นออกขุนนาง

พระศรีเสนาอ่านบอกพระโบราณบุรานุรักษ์ พระยาพิทักษ์เทพธานีปลัดกรมการกรุงเก่ารายงานน้ำฝนต้นข้าว พระอาทิตย์สถิตย์ราษีกรกฎกึ่งราษีตอนท้ายฝนตก ๘ ครั้งรองน้ำได้ ๖๒๔ เซ็นต์ รวมครั้งก่อนเป็น ๙๑๐ เซ็นต์ มากกว่าปีวอกฉอศก ๒๔๓ เซ็นต์ น้ำท่ามากกว่าปีวอกฉอศก ๓ นิ้ว ราษฎรไถหว่านเกือบเสร็จแล้วราคาข๊าวเปลือกเกวียนละ ๖ ตำลึง ๒ บาท ฉะบับ ๑ กับใบบอกพระยาพิสุทธิ์ธรรมธาดาเมืองลพบุรีรายงานน้ำฝนต้นข้าว พระอาทิตย์สถิตย์ราษีกรกฎฝนตก ๑๒ ครั้ง รองน้ำได้ ๙ นิ้ว ๔ ทสางค์ น้อยกว่าปีวอกฉอศก ๗ ทสางค์ น้ำท่าน้อยกว่าปีวอกฉอศก ๑ ศอก ๑๑ นิ้ว ราคาข้าวเปลือกเกวียนละ ๕ ตำลึง พระยาพิพัฒโกษานำพระยาเทพสงครามปลัดเมืองจันทบุรีกราบถวายบังคมลาไปรักษาราชการบ้านเมือง แล้วพระราชทานสัญญาบัตรหม่อมราชวงศ์วิล เป็นหลวงราชพงศ์ภักดี มีตำแหน่งราชการกรมมหาดเล็ก ๑ เลื่อนพระสัมพาหบดีเป็นพระยาสัมพาหบดีจางวางกรมหมอนวด ๑ ขุนภักดีองค์เป็นหลวงราชรักษาเจ้ากรมหมอนวดขวา ๑ นายนุ้ยเป็นขุนภักดีองค์ปลัดกรมหมอนวดขวา ๑ นายชมสัปลุตเตอแนนทหารหน้าเป็นขุนสุนทรศาทิศลักษณช่างถ่ายรูปกรมเซอร์เว ๑ ขุนวิชิตชลหาญปลัดกรมอาษาวิเศษเป็นหลวงเรืองศักดิ์สาคร ปลัดเมืองสมุทรสาคร ๑ แล้วเสด็จขึ้นประทับออฟฟิศ กับตันลอฟตัสเฝ้าถวายแผนที่เกาะสีชัง เวลาเกือบทุ่มเสด็จขึ้น

วัน ๑ ๑๓ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

พระสุรินทรามาตย์อ่านบอกพระขยันสงคราม ปลัดกรมการเมืองนครเขื่อนขันธ์ ๒ ฉะบับ ๆ หนึ่งส่งตัวอ้ายอำผู้เมาสุราวิวาทกับอำแดงหุ่นภรรยา ฆ่าอำแดงหุ่นตาย ขึ้นมา ฉะบับ ๑ ว่าด้วยมีใบบอกมาครั้งก่อนว่าจับตัวอ้ายผู้ร้ายปล้นเรือนจีนสิ้ว จีนเกีย มาถามรับเป็นสัตย์แล้วนั้น ได้เร่งของกลางอ้ายผู้ร้ายเอาไปนั้นช้านานแล้วยังหาได้ไม่ อ้ายผู้ร้ายปรารถนาจะปกปิดของกลางเสีย ภายหลังจะได้กลับคำโดยง่าย ครั้นจะชำระไปก็เหลือสติกำลัง ขอพระราชทานข้าหลวงไปชำระ

เสด็จประทับออฟฟิศ กรมหมื่นเทววงศ์เฝ้ารับสั่งอยู่จนเวลาเกือบทุ่มเสด็จขึ้น

วัน ๒ ๑๔ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ พระเจ้าอยู่หัวทรงฉลองพระองค์ครึ่งยศทหารมหาดเล็กทรงเครื่องราชอิศริยยศจักรีดาราและดวงดาราปฐมจุลจอมเกล้า เสด็จพระราชดำเนินออกประทับพระที่นั่งพุดตานทองคำภายใต้พระมหาเศวตฉัตร ณท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทตามตำแหน่งถ้วนทุกกระทรวง เจ้าพนักงานประโคมแตรฝรั่งมโหรทึก และทหารล้อมพระบรมมหาราชวังเป่าแตรสรรเสริญพระบารมี ครั้นสุดเสียงประโคมแล้วเจ้าพนักงานกรมวัง กรมพระกลาโหม นำ อุรังกายอเดหวายินดาหรา อุรังกายอสกุนนา มกัดยุซุบ เจะอาลี ศรีตะวันกรมการเมืองตรังกานู ๔ นาย เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วพระยาเทพประชุนทูลเบิกนำศรีตะวันกรมการเมืองตรังกานู กราบถวายบังคมลากลับไปบ้านเมือง พระเจ้าอยู่หัวดำรัสพระราชปฏิสัณฐารและพระราชทานพรพระยาตรังกานูศรีตะวันกรมการแล้วเสด็จขึ้นข้างใน แต่เสื้อผ้าและเงินเบี้ยเลี้ยงนั้นเจ้าพนักงานนำมาตั้งไม่ทันโปรดให้ส่งไปพระราชทาน

วัน ๓ ๑๕ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาเช้า ๒ โมงเศษ เสด็จออกพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทรงพระราชยานไปประทับตำหนักแพ ตรัสกับข้าราชการที่มาส่งเสด็จ แล้วเสด็จลงเรือพระที่นั่งลงเรือเวสาตรีออกจากท่าราชวรดิตถ์เวลา ๓ โมง แล่นขึ้นไปถึงบางไทรเวลาบ่าย ๓ โมงเศษ เรือสกรูพิการ ทรงเรือสติมลันช์เสด็จจากบางไทรไปถึงเกาะบางปอินเวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เรือพระที่นั่งประทับท่าพระราชวังเสด็จขึ้น พระองค์ทองแถมและเจ้าพระยาพลเทพมาคอยเฝ้าอยู่ที่นั้นด้วย รับสั่งกับพระองค์เจ้าทองแถมเรื่องการพระที่นั่งวโรภาศพิมานซึ่งรื้อแล้วเสด็จพระราชดำเนินไปตามสะพานไม้ซึ่งทำใหม่ ข้ามมาแต่ท้องพระโรงซึ่งทำใหม่ที่หน้าประตูเทวราชดำรงศร เสด็จขึ้นข้างในทางประตูเทวราชดำรงศร ท้องพระโรงที่ปลูกใหม่นั้น ๗ ห้องเฉลียงรอบ

อนึ่งเมื่อก่อนเสด็จลงเรือพระที่นั่งเวสาตรีนั้น พระนรินทรนำจมื่นประทานมณเฑียรกราบถวายบังคมลาไปผูกปี้เมืองเพ็ชรบุรี ปราณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เปลี่ยนจมื่นไชยาภรณ์ด้วย จะโปรดให้จมื่นไชยาภรณ์ไปราชการปราบปรามฮ่อ

วัน ๔ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ ทรงเรือเก๋งเสด็จจากท่าพระราชวังบางปอินเสด็จไปประทับท่าวัดนิเวศธรรมประวัติ เสด็จประทับในพระอุโบสถทรงถวายเครื่องสักการะแด่พระพุทธปฏิมากร แล้วทรงพระราชปฏิสัณฐารพระอมราภิรักขิตถานานุกรม ซึ่งมารับเสด็จอยู่ในพระอุโบสถ แล้วเสด็จพระราชดำเนินออกจากพระอุโบสถ เสด็จทรงสักการะบูชาในเจดียสถานต่างๆ คือ ที่พระคันธารราษฎร์ พระศรีมหาโพธิ พระนาคปรก แล้วเสด็จไปประทับศาลาโรงเรียน ทรงแจกเงินเด็กที่เรียนหนังสือ แล้วเสด็จพระราชดำเนินออกหลังวัด ทอดพระเนตรที่ซึ่งจะขยายเขตต์พระอารามออกไปอีก เวลาย่ำค่ำเสด็จกลับพระราชวังเสด็จขึ้น

วัน ๕ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลากลางวันนี้สมเด็จกรมพระกับกรมหมื่นสถิตย์ธำรงสวัสดิ์ขึ้นมาจากกรุงเทพ ฯ จะนำพระอาการกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญซึ่งทรงประชวรพระโรคเรื้อรังมาช้านาน เสด็จไปประทับอยู่ที่เมืองสมุทรปราการ บัดนี้พระอาการมากลงจะให้เสด็จกลับขึ้นมา พระราชวังบวรก็ไม่เสด็จ พระอาการมากลงทุกเวลา หมอแพทย์ในพระราชวังบวรถวายพระโอสถก็ไม่ถอยว่าเป็นพระโรคกระสายทัน กรมหมื่นสถิตย์ได้มาทูลสมเด็จกรมพระแล้ว สมเด็จกรมพระและกรมหมื่นสถิตย์จึงได้ตามเสด็จขึ้นไปณพระราชวังบางปอิน ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จกรมพระเสด็จเข้าไปเฝ้าในพระที่นั่งอุทยานภูมสเถียร แล้วโปรดเกล้า ฯ ให้กรมหมื่นสถิตย์เข้าไปเฝ้าที่ข้างในด้วย รับสั่งด้วยพระอาการที่วังหน้าประชวร แล้วโปรดให้จัดการเชิญเสด็จกลับเสียให้ได้ แล้วกรมสถิตย์กราบถวายบังคมกลับลงไปกรุงเทพ ฯ สมเด็จกรมพระก็กราบถวายบังคมลากลับออกมาพร้อมกัน

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จออกประทับท้องพระโรงที่ทำใหม่หน้าประตูเทวราชดำรงศร เจ้านายข้าราชการเฝ้าเวลา ๒ ทุ่มเสด็จขึ้น

วัน ๖ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาเช้าโมงเศษเสด็จออกประตูเทวราชครรไลย ทรงพระราชดำเนินมาทรงพระราชยานที่สุดสะพานข้ามสระ เสด็จพระราชดำเนินไปที่เก๋งศาลเจ้า ทรงสักการะบูชาแล้วเสด็จมาลงเรือพระที่นั่งเก๋งทองทั้งแท่ง ออกจากพระราชวังบางปอินเวลาเช้า ๒ โมง ล่องน้ำไปประทับประพาสไร่ที่ฝั่งตะวันตกตรงเกาะเกิด เรือพระที่นั่งเวสาตรีซึ่งทอดอยู่ท้ายเกาะบางปอินล่องตามเรือพระที่นั่งลงมาด้วย เสด็จขึ้นประพาสไร่ไม่ช้านานนัก เสด็จกลับลงเรือพระที่นั่งเวสาตรี ออกจากที่ทอดท้ายเกาะเกิด ล่องกลับลงมากรุงเทพ ฯ ถึงหน้าตำหนักแพเวลาบ่าย ๒ โมงกลับเรือพระที่นั่งประทับท่าราชวรดิตถ์ เสด็จขึ้นประทับที่พระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย ตรัสกับข้าราชการที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ในที่นั้นตามสมควรแล้ว เสด็จขึ้นทรงพระราชยานมาประทับที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เสด็จขึ้นทางพระทวารกลาง

เวลาวันนี้กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งเสด็จไปประชวรอยู่ที่พลับพลา ณ เมืองสมุทรปราการนั้น พระอาการซุดหนักลง คือพระอาการเดิมนั้นให้เสวยพระอาหารไม่ได้ ทรงพระอาเจียนเป็นพระวาโย พระเขฬะเหนียว พระเสมหะไปวันละหลายๆครั้ง พระบังคลหนักตึงผูก ๒-๓ เวลา ไปครั้งหนึ่ง บางทีต้องสูบจึงออกบ้าง พระกายซูบ พระฉวิเผือดผิดปกติ พระกำลังถอยน้อยไป พระอาการทรงอยู่บ้างซุดไปบ้าง พระยาประเสริฐศาสตรธำรงถวายพระโอสถมาช้านาน พระอาการทรงอยู่และมากไปไม่คลายถอย จึงโปรดให้หมอวิลิศถวายยามาหลายเวลา พระอาการก็ไม่คลายและให้สะบัดร้อนสะท้านหนาว ครั้นวัน ๑๕ ๙ ค่ำพระอาการซุดมาก ไปพระบังคลหนักทั้งกลางวันกลางคืนวันละหลายๆ ครั้ง ๆ ละน้อย ๆ มีพระเสมหะเจือระคนเป็นอุจจาระธาตุพิการ พระอาการตกถึงระหว่างอติสาร เจ้าหมื่นสรรพ์เพ็ชญ์ได้ลงไปเชิญพระอาการทุกวันมา ได้ถามพระยาประเสริฐศาสตรธำรง พระประสิทธิ์วิทยาคม ว่าพระอาการเห็นจะไม่ตลอดถึงวัน ๙ ค่ำ กรมหมื่นสถิตย์ธำรงค์สวัสดิ์และข้าราชการในพระราชวังบวรทูลเชิญเสด็จให้กลับขึ้นมากรุงเทพฯ ทรงเรือพระที่นั่งปิกนิก เรือกลไฟสีนวนน้อยจูงขึ้นมาจากเมืองสมุทรปราการเวลา ๒ ทุ่มเศษ พร้อมด้วยพระองค์สายสินิทวงศ์และเจ้าหมื่นสรรพ์เพ็ชญ์ภักดีซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ลงไปเฝ้าฟังพระอาการนั้น ขึ้นมาถึงกรุงเทพ ฯ เวลา ๔ ทุ่มเศษ ทรงพระเก้าอี้สอดคานหามเข้าในพระราชวังบวร ประทับอยู่ที่พระที่นั่งบวรปริวัตรได้ประมาณครึ่งชั่วโมงพระโรคกำเริบหนัก ทิวงคตเวลา ๕ ทุ่ม ๓๐ นาที กรมพระราชวังบวรสถานมงคลประสูติณ วัน ๕ ๑๐ ค่ำ ปีจอสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๐๐ เป็นพระโอรสที่ ๓ ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทิวงคตพระชนมายุคำนวณตามโหราศาสตร์ได้ ๔๗ พรรษา ดำรงอยู่ในตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลได้ ๑๖ ปี ๙ เดือนกับ ๘ วัน มีพระโอรส ๑๑ องค์ พระธิคา ๑๒ องค์ รวม ๒๓ พระองค์

ครั้นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลทิวงคตแล้ว เจ้าพนักงานได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในเวลานั้น จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระบำราบปรปักษ์ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม กรมหมื่นเทววงศ์วโรปการ เสด็จขึ้นไปที่พระราชวังบวร จัดการวางเจ้าพนักงานรักษาราชการดามหน้าที่ต่าง ๆ ตามราชประเพณี และจัดการที่สรงน้ำพระศพในวันรุ่งพรุ่งนี้พร้อมเสร็จ

วัน ๗ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาเช้าวันนี้สมเด็จกรมพระและเจ้าพนักงานภูษามาลาและเจ้าพนักงานกรมต่างๆ ได้ขึ้นไปจัดการที่จะสรงน้ำพระศพกรมพระราชวังบวรสถานมงคลซึ่งทิวงคต และเตรียมการที่จะเชิญพระศพออกมาไว้ที่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัยในพระราชวังบวร

เวลาบ่าย ๓ โมงเศษพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องดำ เสด็จออกทางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เสด็จทรงพระราชยานพร้อมด้วยกระบวนนำและตาม เสด็จพระราชดำเนินไปในพระราชวังบวร เสด็จเข้าไปประทับในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยดำรัสกับกรมพระ ฯ ครู่หนึ่งแล้ว เสด็จพระราชดำเนินเข้าทางทวารเฉลียงพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยพร้อมด้วยตำรวจและทหารมหาดเล็ก เสด็จไปประทับพระที่นั่งใหม่ในพระราชวังบวรชั้นใน ซึ่งเชิญพระศพกรมพระราชวังบวรขึ้นไปไว้ เพราะกรมพระราชวังบวรได้ทิวงคตที่พระที่นั่งบวรปริวัตร แต่เป็นที่คับแคบจึงได้เชิญขึ้นไปไว้พระที่นั่งใหม่ ครั้นพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปประทับบนพระที่นั่งใหม่ พระบรมวงศานุวงศ์ก็ตามเสด็จขึ้นไปอยู่บนนั้นพร้อมกัน พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานน้ำสรงพระศพกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เจ้าพนักงานประโคมสังข์ แตร กลองชนะตามธรรมเนียม แล้วพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดีสรงน้ำพระศพทั่วกัน เจ้าพนักงานกรมภูษามาลาทรงเครื่องพระศพตามโบราณขัตติยราชประเพณี แล้วเชิญพระศพลงบรรจุพระโกษฐ์ลองใน พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระชฎาทรงพระศพ แล้วเสด็จพระราชดำเนินออกมาประทับพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย สมเด็จกรมพระให้กรมพระตำรวจในพระราชวังบวร เชิญพระศพลงจากพระที่นั่งขึ้นเสลี่ยงหิ้วมาออกประตูสถานมณเฑียร เชิญพระโกษฐ์ลองในขึ้นตั้งบนพระยานุมาศสามคาน พระราชทานพระโกษฐ์ทองน้อยประกับนอก พระองค์เจ้าวิไลยวรวิลาศ พระองค์เจ้ากาญจโนภาศรัศมี ทรงผ้าขาวฉลองพระองค์ครุยขึ้นประคองพระศพ เจ้าพนักงานเดินกระบวนแห่จากประตูสถานมณเฑียร กระบวนแห่นั้นมีตำรวจหวายและตำรวจคู่แห่สรวมเสื้อครุยลอมพอก และเจ้ากรม ปลัดกรม จ่าตำรวจ ในวังหน้าสรวมเสื้อครุยนุ่งผ้าเกี้ยวเดินแซงเป็นริ้วนอก กลองชนะแตรสังข์เป็นริ้วใน พระราชทานเครื่องสูงทองแผ่ลวดสำหรับแห่หน้า ๑ สำรับ ยานุมาศสามลำคานทรงพระโกษฐ์ มีบังแซกล้อมด้วย ข้างหลังมีเครื่องสูงจามร หักทองขวาง สำหรับพระราชวังบวรสำรับ ๑ แล้วมหาดเล็กเชิญเครื่องตามมาพร้อมด้วยหัวหมื่นมหาดเล็กนายเวร จ่าหุ้มแพร มหาดเล็กเลวตามพระโกษฐ์มาเป็นอันมาก แล้วมีข้าราชการข้างในของกรมพระราชวังบวรตามพระศพมาด้วย ครั้นกระบวนแห่มาถึงข้างพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ กระบวนหน้าก็เดินเข้ามาประตูกำแพงแก้วพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย เจ้าพนักงานเชิญพระโกษฐ์ลงจากยานุมาศสามคานขึ้นเสลี่ยงหิ้วเข้ามาในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย เชิญพระโกษฐ์ขึ้นตั้งบนแว่นฟ้า ๓ ชั้น แล้วห้อยผ้าภูษาโยงลงมา พระเจ้าอยู่หัวทรงทอดผ้าไตร ๕๐ หม่อมเจ้าพระธรรมมุณหิศ พระราชาคณะถานานุกรมปเรียญ ๕๐ รูปสดับปกรณ์แล้ว ถวายอนุโมทนาอติเรก พระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับ ขึ้นทรงพระราชยานเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง เจ้าพนักงานได้เชิญพระโกษฐ์ทองน้อยประกับนอก ตั้งเครื่องสูงหักทองขวางห้าชั้น ๔ คัน สามชั้น ๘ คัน จามรแขกตามระยะเครื่องสูง ทั้งนี้เป็นของในพระราชวังบวรทั้งนั้น พระราชทานพระสงฆ์สวดอภิธรรมเตียงหนึ่งทั้งกลางวันกลางคืน กลองชนะ ๓๐ สังข์ แตร จ่าปี่ กลองประโคมทั้งกลางวันกลางคืนตามประเพณี

พระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ทรงเครื่องดำแสดงความโศกเศร้าตามควร เรือรบหลวง และเรือพ่อค้าวาณิชและเสาธงทั้งปวงจะได้ลดลงครึ่งเสา ๗ วันตามธรรมเนียม

วัน ๑ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้ว เสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

พระนรินทรอ่านบอกพระยาสมบัติภิรมย์ กรมการเมืองสงขลา ๒ ฉะบับ ๆ หนึ่งว่าได้แต่งกรมการลงไปเร่งต้นไม้ทองเงินเครื่องราชบรรณาการจำนวนปีระกาสัปตศก แก่เจ้าเมืองแขกประเทศราช ๗ เมือง พระยาภูผาภักดีเมืองระแงะแต่งให้แม่กองสาหลัม ๑ ปังอะลู ๑ หมัดดาริสาแล ๑ ไพร่ ๓๘ รวม ๔๐ คน คุมเรือปินิอย่างมะลายูบรรทุกต้นไม้ทองเงินเครื่องราชบรรณาการจำนวนปีระกาสัปตศกมาถึงเมืองสงขลา แต่ต้นไม้ทองเงินเมืองตานี เมืองยิริง เมืองยะลา เมืองรามัญ เมืองสายบุรี เมืองหนองจิก ยังไม่มาถึง ครั้นจะรอไว้ให้พร้อมกัน พระยาระแงะก็ส่งมาแล้ว ได้ตรวจดูต้นไม้ทองต้นหนึ่งสูง ๒-๑-๖ ศอก มีกิ่งก้านกาบดอกใบพร้อม ต้นไม้เงินต้นหนึ่งสูงต่ำกิ่งก้านเท่ากัน เครื่องราชบรรณาการทองคำทรายหนัก ๓ ตำลึงไทย ผ้าขาว ๘๐ ศอกแทนพรม ๑๐ พับ ผ้าขาวยาว ๕๐ ศอก ๒๐ พับ ผ้าขาว ๒๔ ศอก ๒๐ พับ หอกคอทองเถลิงทอง ๒ คู่ หอกคอเงินเถลิง ๑ คู่ หอกคอทองเลว ๑ คู่ หอกคอเงินเลว ๑ คู่ หวายตะฆ้า ๒๐๐ กำ หวายหิน ๒๐๐ ขด ได้จ่ายสะเบียงอาหารให้แล้วแต่ขุนอินทเสนากรมการนำเข้ามากรุงเทพฯ ฉะบับ ๑ ว่ามีตราโปรดให้แต่งกรมการกำกับ ขุนทิพเสนาเดินประเมินเก็บเงินค่านาในเมืองสงขลาจำนวนปีมะแมเบญจศก เก็บเงินค่านาได้นาขึ้นวัดเงิน ๑๓ ตำลึง ๓ บาท ๓ สลึง ๑ เฟื้อง นาราษฎรเงิน ๗๙ ชั่ง ๘ ตำลึง ๓ บาท ๓ สลึง หักพระราชทานเสนากรมการร้อยละ ๑๒ แล้วคงเหลือเงินส่ง ๖๙ ชั่ง ๑๘ ตำลึง ๑ บาท ๓๘๔ ไพ เป็นเสร็จสิ้นจำนวนนาแล้ว ได้มอบเงิน ๖๙ ชั่ง ๑๘ ตำลึง ๑ บาท ๓๘๔ ไพ ให้เสนากรมการคุมเข้ามาส่ง

เสด็จขึ้นประทับออฟฟิศ รับสั่งกับกรมหมื่นเทววงศ์เรื่องวังหน้าทิวงคตต่าง ๆ จนเวลาเกือบ ๒ ทุ่มเสด็จขึ้นข้างใน

วัน ๒ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษเสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้ว เสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง วันนี้ไม่มีใบบอกข้อราชการ

พระยาอนุรักษ์ราชมณเทียร นำพระยากลาโหมราชเสนา พระยามณเทียรบาล พระยาไพบูลสมบัติ พระยาโยธาเขื่อนขันธ์ พระยาทิพมณเทียร พระยาสุนทรนุรักษ์ พระยาบริรักษ์ราชา พระยาอัษฎาเรืองเดช พระยา พระ หลวง จมื่น จ่า ขุน ข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนในพระราชวังบวรเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ดำรัสถามถึงการในพระราชวังบวรแก่พระยากลาโหมราชเสนาๆ กราบบังคมทูลตำแหน่งราชการกรมมหาดไทย พระยาราชโยชาป่วย พระยาสุนทรนุรักษ์ พระอินทรารักษ์ดูแลราชการแทน กรมท่า พระยาวิสูตร์ว่าการแทน พระยาไตรโกษาไม่มีตัว กรมนาไม่มีตัว พระยาสาตราฤทธิรงค์ดูการแทนพระยาเกษตรารักษ์ กรมล้อมวัง พระยาโยธาเขื่อนขันธ์รับราชการแทน พระยาเพ็ชรรัตน์ไม่มีตัว คลังมหาสมบัติ พระยาอัษฎาเรืองเดช รับราชการแทนพระยาศิริไอสวรรย์ไม่มีตัว สุรัสวดีไม่มีตัว พระยานรานุกิจมนตรี พระยาภักดีภูบาลรับราชการแทน รับสั่งถามถึงส่วยในกรมมหาดไทย กรมกลาโหม และการกรมสุรัสวดี และการในคลังมหาสมบัติ แก่ผู้ที่ว่าการตำแหน่งนั้นๆ แล้วเสด็จขึ้นประทับออฟฟิศครู่หนึ่ง เสด็จไปประทับซิตติงรูม เจ้าพระยาสุรวงศ์เฝ้ารับสั่งเรื่องวังหน้าอยู่จนเวลาเกือบทุ่มเสด็จขึ้น

เวลา ๒ ทุ่มเสด็จออกประทับออฟฟิศหลวงพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทอดพระเนตรหนังสือต่างๆ ของกรมพระราชวังบวร ซึ่งโปรดเกล้า ฯ ให้พระองค์เจ้าสวัสดิ์ประวัติขึ้นไปรวบรวมมาแต่พระราชวังบวร รับสั่งอยู่กับกรมหมื่นเทววงศ์จนเวลาเกือบ ๕ ทุ่มเสด็จขึ้น

อนึ่งวันนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พระองค์เจ้าภาณุมาศ พระองค์เจ้าเฉิดโฉม ซึ่งต้องรับพระราชอาญาจำขังอยู่ในพระราชวังบวรนั้นให้พ้นโทษไป

วัน ๓ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระและพระคัมภีร์แล้ว เสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

พระยาศรีสิงหเทพ อ่านบอกพระยาพิไชยรณรงค์สงครามเมืองสระบุรี ๒ ฉะบับๆหนึ่งว่าได้แต่งให้หลวงแพ่งแทนตัวเสนานายหนึ่ง ขุนนากรมการกำกับนายหนึ่ง ออกเดินประเมินเก็บเงินค่านาแก่ราษฎรจำนวนปีวอกฉอศก ได้เงิน ๓๐๐ ชั่ง ยังหาสิ้นจำนวนไม่ ได้ให้กรมการคุมลงมาส่งครั้งหนึ่งก่อน ฉะบับ ๑ รายงานน้ำฝนต้นข้าว พระอาทิตยอยู่ราษีกรกฏฝนตก ๑๐ ครั้งรองน้ำฝนได้ ๒๑ นิ้ว ๘ ทสางค์ มากกว่าปีวอกฉอศก ๑๔ นิ้ว ๔ ทสางค์ น้ำท่า ๑๐ ศอก ๗ นิ้ว มากกว่าปีวอก ๙ ศอกคืบ มากกว่าฤดูแล้ง ๑๐ ศอก ๕ นิ้ว ราคาข้าวเกวียนละ ๖ ตำลึง ๓ บาท

พระสุรินทรามาตย์ อ่านบอกพระยาประสิทธิสงครามเมืองกาญจนบุรี ว่าพระเสลภูมาธิกรณ์ผู้ว่าราชการเมืองทองผาภูมิเข้ามาราชการกรุงเทพ ฯ กลับออกไปถึงบ้านนครชุมป่วยเป็นอหิวาตกโรคถึงแก่กรรม หลวงปลัด บุตร ภรรยาญาติ ได้ยกศพบรรจุหีบไว้ ขอพระราชทานศิลาหน้าเพลิงไปเผาศพฉะบับ ๑ กับใบบอกพระยาอมรินทรฦๅไชยเมืองราชบุรี ว่าจีนโตชาวบ้านหนองปลาเล็กมาให้การต่างฟ้องว่าวัน ๘ ค่ำ เวลาค่ำเข้าใต้เพลิง จีนอิ่มผู้เดียวเอาเงิน ๓ ตำลึงเดินไปเล่นโป ถึงหน้าสวนจีนหอมบิดาจีนช้อยๆ เอาปืนยิงจีนอิ่มอายุ ๒๘ ปี ถูกกะสุนปืน ๑๗ แห่งขาดใจตาย จีนช้อย จีนหอม จีนแดง จีนโต๊ะ อำแดงพวงกลุ้มรุมยกศพเข้าไว้ในสวนพริก จีนโตบิดาได้หากำนันมาชัณสูตร์พลิกศพไว้ ได้เอาตัวอ้ายจีนช้อยมาถามให้การว่า ประมาณยามเศษว่าตัวผู้เดียวถือปืนออกไปเฝ้าสวนพริกของจีนหอมบิดา เห็นผู้ร้ายเข้ามาลักเก็บพริกจึงร้องให้ชาวบ้านช่วยจับ อ้ายผู้ร้ายกลับหน้ามาสู้ จึงเอาปืนยิงล้มลง วิ่งเข้าไปดูจึงรู้ว่าจีนอิ่มๆ ตาย จีนช้อยกลัวญาติพี่น้องจีนอิ่มจะมาลักศพไปเสีย จึงได้ยกศพเข้าไปไว้กลางร่องสวนแต่ผู้เดียว ภายหลังจีนหอม จีนแดง จีนโต๊ะ อำแดงพวงได้พากันมาดูแล ได้ไปหากำนันมาทำคำตราสินชัณสูตรพลิกไว้ แต่จีนหอม จีนแดง จีนโต๊ะ อำแดงพวงให้การว่าหาได้ช่วยยกศพไม่ เป็นแต่ได้ไปดูเมื่อจีนอิ่มตายแล้ว ได้ให้โจทก์จำเลยนำสืบพะยานได้แต่คำชัณสูตรทั้ง ๒ ฝ่ายแล้ว ได้ส่งตัวโจทก์จำเลยกับพรรคพวกที่ต้องหาและคำให้การ คำพะยานชัณสูตร ตราสินของโจทก์จำเลยเข้ามาด้วยแล้ว

เสด็จขึ้นประทับอยู่ครู่หนึ่ง เสด็จขึ้นประทับออฟฟิศครู่หนึ่ง เสด็จขึ้นข้างใน

วัน ๔ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

วันนี้ไม่มีราชการอะไร ไม่ได้เสด็จออก

วัน ๕ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษเสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้ว เสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

พระมนตรีพจนกิจอ่านบอกพระเจริญราชเดชเมืองมหาสารคาม ๔ ฉะบับ ๆ หนึ่งส่งเงินแทนผลเร่วส่วยจำนวนปีมะแมเบญจศก เงิน ๖๐ ชั่ง คิดราคาหาบละ ๕ ตำลึง เป็นเร่วหนัก ๒๔๐ บาท ให้พระศรีวรราชคุมมาส่ง กับว่าราษฎรทำนาได้ผลเมล็ดข้าว ๔ ส่วนเสียส่วนหนึ่ง ได้เก็บขึ้นฉางไว้ ข้าวเปลือก ๒๐๐๐ ถัง ข้าวสาร ๕๐๐ ถัง ฉะบับ ๑ ว่าพระยานครราชสีมาจับผู้ร้ายรายปล้นผู้คุมเงินส่วย ได้ตัวมาชำระเร่งเงินส่งให้พระเจริญราชเดช เงิน ๓๑ ชั่ง ๔๘ ตำลึง แทนเร่วหนัก ๑๒๗ บาท ๖๐ สลึง ได้ให้พระศรีวรราชคุมมาส่ง ฉะบับ ๑ ว่าได้หาตัวพระพิทักษ์นรากรเจ้าเมืองวาปีประทุมเมืองขึ้นมาชำระ ได้เงินแทนเร่วส่วยจำนวนปีมะแมเบญจศก เงิน ๓ ชั่ง แทนเร่วหนัก ๑๒ บาท ให้พระศรีวรราชคุมมาส่ง ฉะบับ ๑ ว่าได้รับหนังสือพระยาราชวรานุกูลมีมาแต่เมืองหนองคาย ให้จัดช้าง ๕ ซ้าง ม้า ๑๐ ม้า โคต่าง ๑๐๐ โค ข้าวเปลือก ๒๐๐๐ ถัง ส่งไปเข้ากองทัพ ได้จัดช้าง ๕ ม้า ๑๐ โคต่าง ๑๐๐ ข้าวเปลือก ๒๐๐๐ ถังให้ท้าวเพี้ยนายไพร่ ๓๘ คนคุมไปส่งแล้ว

พระสุรินทรามาตย์ อ่านบอกพระยาพิทักษ์ทวยหารเมืองประทุมธานี ว่าขุนวิเศษบรรจงข้าหลวงกรมพระกลาโหม ขุนอุดมสมบัติข้าหลวงกรมพระคลังสินค้า เชิญตราพระคชสีห์ไปวางให้พระยาประทุมป่าวร้องจีนมาผูกปี้นั้น ได้แต่งให้หลวงประสิทธิสงครามยกกระบัตรไล่จีนมาผูกปี้ ได้จีนคงเมือง ๓๐ จีนจร ๗๗๐ คน เรียกเงินค่าแรง ๔๐ ตำลึง ค่าฎีกา ๒ ตำลึง ให้หลวงปลัดคุมมาส่งครั้งหนึ่งก่อน ถ้าผูกปี้ได้อีกมากน้อยเท่าใดจะบอกมาครั้งหลัง ฉะบับ ๑ ใบบอกพระยาอนุรักษ์โยธาข้าหลวงรักษาราชการเมืองตะวันตก ส่งคำหาคำให้การเรื่องแขกนิโจทก์ ฟ้องว่าอ้ายกันทาษภรรยาพระยาวิชิตภักดีที่ถึงแก่กรรมแทงแขกนุยตายที่เกาะสิเร่เมืองภูเก็ต เรื่อง ๑ นายกือโจทก์ฟ้องว่าอ้ายทองแทงนายนุ้ยตายที่บ้านฉลองเมืองภูเก็ต เรื่อง ๑ เข้ามาขอให้ลูกขุนปรึกษาวางบทออกไปทำโทษผู้ร้ายอย่าให้ใครเอาเยี่ยงอย่างต่อไป โปรดให้สั่งให้ลูกขุนปรึกษาวางบทไปโดยเร็ว

วันนี้พระยากลาโหมราชเสนาเข้ามาเฝ้า รับสั่งว่าการสิ่งไรในพระราชวังบวรเคยทำอย่างไรว่ากันอย่างไรก็ให้คงว่าไปตามเดิมอย่าให้เลิกถอนละทิ้งเสีย ให้คงอยู่ตามตำแหน่งไม่ย้ายถอนทั้งสิ้น แล้วเสด็จขึ้นประทับออฟฟิศครู่หนึ่งเสด็จไปประทับซิตติงรูม สมเด็จกรมพระเฝ้ารับสั่งเรื่องการที่จะทำเมรุพระราชทานเพลิงศพกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ประทับอยู่จนเวลา ๒ ทุ่มเศษเสด็จขึ้น

วัน ๖ ๑๐ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง วันนี้ไม่มีใบบอกข้อราชการ มีพระบรมราชโองการกระแสพระราชดำริเรื่องตำแหน่งกรมพระราชวังบวร ทรงปรึกษาแด่พระบรมวงศานุวงศ์เสนาบดีข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ ว่าตำแหน่งกรมพระราชวังบวรนี้แต่กาลก่อนมาไม่เป็นธรรมเนียมที่จำเป็นจะต้องตั้งเลย เหมือนครั้งพระนครศรีอยุธยาโบราณคือกรุงเทพทวาราวดีแต่ก่อนมาก็ไม่เคยมีตำแหน่งกรมพระราชวังบวร ครั้นมาถึงตอนกลางจึงมีชุกชุมแทบทุกแผ่นดิน ที่ไม่มีเลยก็มี เหมือนแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็ไม่ทรงตั้งกรมพระราชวังบวร ครั้นภายหลังมาเมื่อตั้งกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทรนี้ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงตั้งพระมหาอุปราชมาทุกรัชชกาล แต่มิได้ดำรงอยู่ตลอดรัชชกาลทั้งนั้น ถ้าไม่ได้ทรงตั้งใหม่ ตำแหน่งก็ว่างเปล่าไปหลาย ๆ ปี เพราะไม่เป็นการจำเป็นที่จะตั้ง การครั้งนี้ก็เปลี่ยนแปลงธรรมเนียมมาต่าง ๆ จนผูกพันธ์ทางพระราชไมตรีกับนานาประเทศซึ่งธรรมเนียมบ้านเมืองผิดกับกรุงสยามมากทำให้เปนที่เข้าใจและเห็นไปต่าง ๆ เพราะเป็นตำแหน่งลอยอยู่มิได้เป็นคุณแก่บ้านเมืองแต่ต้องใช้เงินแผ่นดินมาก ควรจะยกเลิกตำแหน่งมากอุปราชไม่ตั้งต่อไป บรรดาข้าราชการในพระราชวังบวรก็ให้ควบคุมบังคับบัญชาการงานตามตำแหน่งเดิมอย่าให้แตกหมู่แตกพรรค เหมือนมีกรมพระราชวังบวรอยู่ตามเดิมทุกประการ บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์เสนาบดีก็เห็นโดยพระราชโองการสิ้นทั้งนั้น จึงมีพระบรมราชโองการให้พระยาศรีสุนทรโวหารร่างประกาศให้ทราบทั่วกัน แล้วรับสั่งว่าธรรมเนียมแต่ก่อนมา กรมพระราชวังทิวงคตล่วงไปแล้วก็เคยทรงสถาปนาตำแหน่งยศพระบรมวงศานุวงศ์ที่มีความชอบความดีขึ้นทุกๆ คราว ครั้นทรงพระราชดำริว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้ฟ้ามหามาลากรมพระบำราบปรปักษ์ได้ทรงมีความชอบความดีเป็นหลักฐานที่ทรงปรึกษาในราชการและเป็นที่พึ่งที่นับถือของพระบรมวงศานุวงศ์ ควรสถาปนาเลื่อนพระยศขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์ กับสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงจักรพรรดิพงศ์ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นพระราชอนุชาร่วมพระราชโสทราอันสนิทและทรงอุตสาหรับราชการฉลองพระเดชพระคุณโดยสวามิภักดิ์เป็นอันมาก ควรเลื่อนพระยศขึ้นเป็นสมเด็จกรมพระทั้ง ๒ พระองค์ และโปรดเกล้าฯ เลื่อนตำแหน่งยศพระเจ้าน้อง ยาเธอกรมหมื่น ๆ ที่มีความชอบความดีขึ้นเป็นกรมหลวงกรมขุนสมควรแล้ว พระราชทานสัญญาบัตรจมื่นสุรฤทธิพฤฒิไกรเป็นพระราชวรินทรเจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา ๑ นายเสน่ห์หุ้มแพรเป็นหลวงฤทธินายเวรมหาดเล็ก ๑ แล้วเสด็จขึ้นประทับออฟฟิศครู่หนึ่งเสด็จขึ้นข้างใน

เสด็จลงสมโภชเดือนพระองค์เจ้าหญิงซึ่งประสูตรวัน ๖ ๘ ค่ำ ปีระกาสัปตศก พระราชทานพระนามว่าพระเจ้าลูกเธอพระองค์มาลินีนพดารา

อนึ่งวันนี้พระราชทานหม่อมราชวงศ์ปลื้มในพระองค์เจ้าประเสริฐศักดิ์ ไปเป็นบาทบริจาริกในพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าจิตร์เจริญ

วัน ๗ ๑๑ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

พระมนตรีพจนกิจอ่านบอกหลวงภักดีณรงค์ ขุนพรพิทักษ์ข้าหลวงเมืองอุบลราชธานีฉะบับ ๑ ถวายพระราชกุศลที่โปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องศิลาหน้าเพลิงสำรับ ๑ ผ้าขาว ๓ พับ ร่มรองเท้า ๓๐ สำรับ ไปทำการเผาศพพระศรีเกษตราธิสัยนั้น ได้ทำการเผาศพพระศรีเกษตราธิสัยเจ้าเมืองศิริเกษตรวิสัยเสร็จแล้ว ได้ก่อพระเจดีย์ฐานกว้าง ๗ ศอก สูง ๑๑ ศอก กับบวชพระภิกษุสามเณร ๑๔ รูปขอถวายพระราชกุศล กับใบบอกพระยาสุรบดินสุรินทรฦาชัยเมืองชัยนาทว่านายสอนทหารกำกับโรงฝิ่นเมืองชัยนาทจับอ้ายแตง อ้ายรักญวนกับพระพุทธรูปเงิน ๘๗ องค์ ผ้าห่มพระ ๒๖ ผืนมาอายัติ ได้ถามให้การว่าสักเป็นทหารปืนใหญ่ขึ้นพระบันลือในพระราชวังบวร ได้ไปเที่ยวลักพระพุทธรูปตามวัด ๕ วัด มาถึงภาษีฝิ่นเมืองชัยนาททหารลงไปตรวจฝิ่นจึงจับเอาตัวได้ ส่งตัวอ้ายแตง อ้ายรักญวนลงมาแล้ว

พระสุรินทรามาตย์อ่านบอกพระยาอมรินทรฦาชัยเมืองราชบุรี ว่าด้วยอำเภอบ้านบางกล้วยแขวงเมืองราชบุรีมาแจ้งความว่าณวัน ๘ ค่ำเวลา ๗ ทุ่มมีอ้ายผู้ร้าย ๙ - ๑๐ คนขึ้นปล้นเรือนนายนิลอำแดงหนูเก็บทรัพย์สมบัติไปเงิน ๕ ชั่ง ผ้านุ่งห่มบ้าง ตีฟันแทงเจ้าของทรัพย์มีบาดแผลแล้วหนีไปยังติดตามสืบสวนอยู่

พระยาพิพัฒน์โกษาอ่านบอกพระยาวิชยาธิบดีเมืองจันทบุรี ว่าด้วยมีตราโปรดให้แต่งกรมการกำกับเสนาออกเดินประเมินเก็บเงินค่านาแก่ราษฎรจำนวนปีมะแมเบญจศกนั้นได้แต่งให้หลวงชัยเทพนากรมการกำกับขุนเทพเสนาออกเดินเก็บเงินค่านาได้เงินค่านาขึ้นวัด ๑ ชั่ง ๑๗ ตำลึง ๑ บาท ๑ เฟื้อง นาราษฎร ๓๑๙ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ๓ บาท ๓ สลึง ๑ เฟื้อง หักสิบลดพระราชทานเสนากรมการเงิน ๓๘ ชั่ง ๖ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง ๑ เฟื้อง ๒๕๖ ไพ คงส่งเงินหลวง ๒๘๑ ชั่ง ๔ ตำลึง ๑ เฟื้อง ๕๔๔ ไพ แต่ได้ส่งมาครั้งก่อน เงิน ๒๕๐ ชั่ง ครั้งนี้ได้มอบเงิน ๓๑ ชั่ง ๔ ตำลึง ๑ เฟื้อง ๕๔๔ ไพ ให้เสนากรมการคุมเข้ามาส่งเป็นเสร็จสิ้นจำนวนนาแล้ว เงินค่านาขึ้นวัดนั้นได้ถวายพระสงฆ์แล้ว อีกฉะบับ ๑ ว่าพระยากำพุชพนมนิคมภักดีกับเขมรชาวบ้าน ได้สร้างพระอุโบสถวัดบ้านโป่งน้ำร้อน ขอพระราชทานที่กว้าง ๑๐ วา ยาว ๑๓ วา ผูกพัทสีมาตามธรรมเนียม

เสด็จขึ้นประทับออฟฟิศหลวง รับสั่งกับกรมหมื่นเทววงศ์จนเวลาเกือบทุ่มเสด็จขึ้น

วัน ๑ ๑๒ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ เสด็จออกประทับห้องออกขุนนาง ทรงปิดทองพระแล้วเสด็จขึ้นพระแท่นออกขุนนาง

พระมนตรีพจนกิจอ่านบอกพระพิทักษ์เทพธานีปลัดกรมการกรุงเก่า ๒ ฉะบับๆ ๑ รายงานน้ำฝนต้นข้าว พระอาทิตย์ยกมาอยู่ราษีสิงห์ ๑๖ วัน กึ่งราษีฝนตก ๑๐ ครั้ง รองน้ำได้ ๔๒๔ เซ็นต์ น้อยกว่ากึ่งราษีปีวอกฉอศก ๓๘๙ เซ็นต์ น้ำท่วมมากกว่าปีวอก ๒ นิ้วกึ่ง ต้นข้าวงามดีราคาข้าวเปลือกเกวียนละ ๖ ตำลึงบ้าง ๖ ตำลึง ๑ บาทบ้าง ฉะบับ ๑ ว่าจีนริ้ว หมื่นพัฒน์สมบัติจับเอาตัวนายอ่ำ กับเงินแดง ๑ ชั่ง ๗ ตำลึง ๒ บาท ผ้าขาวม้าผืน ๑ มาอายัติว่านายอ่ำเป็นขะโมยลักเงิน ๕ ตำลึงกับผ้าขาวม้าผืน ๑ ได้ติดตามทันจับได้นายอ่ำกับเงินแดงในกระเป๋าคาดเอว ๑ ชั่ง ๗ ตำลึง ๒ บาท แต่เงินตรา ๕ ตำลึงนั้นไม่ได้ อำเภอผู้รับอายัตินำตัวมาส่งได้ถามนายอ่ำๆ ให้การว่าตัวเอาเงิน ๕ ตำลึง ๒ บาทมาเล่นโปได้ ๙ ตำลึง ๒ บาท รวมเป็นเงิน ๑๕ ตำลึง เวลาบ่ายเดินกลับไปถึงทุ่งนาพวกหมื่นพัฒน์ตามไปทุบตีจับเอาตัวมา แล้วเอาเงินในกระเป๋าเสีย แล้วเอาตัวนายอ่ำกับเงินแดงมาส่งให้อำเภอหาใช่เงินของนายอ่ำไม่ ฝ่ายหมื่นพัฒน์ก็ไม่ร้องฟ้องประการใด จะควรชำระดตามจารีตนครบาลหรือประการใดแล้วแต่จะโปรด โปรดให้สืบสวนก่อน

เสด็จขึ้นประทับออฟฟิศรับสั่งกับกรมหมื่นเทววงศ์จนเวลาเกือบทุ่มเสด็จขึ้น

วัน ๒ ๑๓ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉลองพระองค์ครึ่งยศทหาร ทรงประดับดวงดาราปฐมจุลจอมเกล้า เสด็จออกประทับพระที่นั่งพุดตานทองคำ ภายใต้พระมหาเศวตฉัตรณท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ข้ราชการฝ่ายทหารพลเรือนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทตามตำแหน่งถ้วนทุกกระทรวง เจ้าพนักงานประโคมแตรฝรั่งมโหรทึกตามขัตติยราชประเพณี ทหารรักษาพระราชวังเป่าแตรเพลงสรรเสริญบารมีเหมือนทุกคราวมา ครั้นสุดเสียงประโคมแล้ว เจ้าพนักงานกรมวังกรมพระกลาโหมนำแม่กองสาหลัม ปังอะลูหมัดดาริสาแล รวมศรีตะวันกรมการเมืองระแงะ ๒ นายเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระนรินทรราชเสนีทูลเบิกนำศรีตะวันกรมการเมืองระแงะเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายต้นไม้ทองเงินเครื่องราชบรรณาการจำนวนปีระกาสัปตศก ซึ่งพระยาภูผาภักดีศรีสุวรรณประเทศวิเศษวังษา พระยาระแงะแต่งเข้ามาทูลเกล้า ฯ ถวาย พระเจ้าอยู่หัวดำรัสพระราชปฏิสัณฐารโดยควรแล้วเสด็จขึ้น

วัน ๓ ๑๔ ๙ ค่ำ ปีระกาสัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗

วันนี้ทรงพระกรุณาโปรดให้จัดการบำเพ็ญพระราชกุศลที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ด้วยทรงพระราชดำริว่ามีพระชนม์พรรษาทรงพระราชเจริญมาได้ ๓๒ พรรษา ถ้าจะนับคำนวณเป็นวัน ๑๑๑๖๗๙ วัน เสมอกึ่งพระชนม์พรรษาของสมเด็จพระบรมชนกนารถพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ เจ้าอยู่หัว ทรงพระราชคำนึงถึงพระเดชพระคุณแห่งสมเด็จพระบรมชนกนารถ ซึ่งทรงมีแด่พระองค์เป็นอันมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระบรมอัษฐิพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ เจ้าอยู่หัวขึ้นประดิษฐานบนบุศบกทองคำรองชั้นแว่นฟ้าทองคำสามชั้น ณพระที่นั่งไพศาลทักษิณด้านตะวันตก มีเครื่องสูงและต้นไม้ทองเงินล้อมบุศบกด้วย เบื้องขวาตั้งเครื่องราชูปโภค เบื้องซ้ายตั้งอาศน์มีม้าหมู่ แล้วเชิญพระชัยในรัชชกาลที่ ๔ ตั้ง มีเครื่องนมัสการตั้งด้วย

เวลาทุ่มเศษพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับพระที่นั่งไพศาลทักษิณ เจ้าพนักงานนำสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ถานานุกรมปเรียญอันดับวัดราชประดิษฐ์ ๓๓ รูป เพราะพระชนม์พรรษา ๓๒ แต่ให้เกินไว้องค์ ๑ ครั้งพระสงฆ์นั่งที่แล้วเสด็จประทับตรัสกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ถานานุกรมครู่หนึ่ง ทรงจุดเทียนนมัสการ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ถวายศีลแล้ว สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ถานานุกรมอันดับ ๓๒ รูป สวดธรรมจักกัปปวัตนสูตร มงคลสูตร รัตนสูตร เมตตสูตร เวลา ๔ ทุ่มเศษสวดมนต์จบ พระเจ้าอยู่หัวทรงทอดผ้าไตรอย่างดี ๓๓ ไตร พระสงฆ์ที่สวดมนต์สดับปกรณ์แล้วถวายอติเรกถวายพระพรลากลับไป พระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้น

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ