คนในคนนอก

เจ้าหล่อนหกคนมาถึงบ้านที่มีงานพร้อมกันพลดีที่ตรงประตูบ้าน สาวมณีสามดวงนั่งรถยนตร์มาจากปลายสุดของซอย สามสาวทองเดินมาอย่างระมัดระวังรองเท้าส้นเข็ม ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายเฉพาะสมัยอยู่ เจ้าหล่อนทั้งสามนี้อยู่ไกลจากบ้านที่มีงานเพียงระยะเสาไฟฟ้าเดียว เมื่อได้พบกันหกคนก็มีการพิศดูเครื่องแต่งกายของกันและกันอย่างถี่ถ้วนเป็นธรรมดา ยกเว้นสาวมณีดวงที่สาม แพทย์หญิง สุดามณี ผู้ซึ่งไม่ค่อยเอาใจใส่กับการแต่งกายนัก ทองสรร น้องสุดท้ายของครอบครัว ทองเป็นคนช่างพินิจพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ใบหญ้า ดอกหญ้า ไปจนถึงมุมปากและแววตาของมนุษย์ ทุกคนที่หล่อนอาจพินิจได้ ทองทบพี่สาวใหญ่ขอบพิจารณาเครื่องแต่งกายของคนอื่นมากกว่าตนเอง มีผลให้หล่อนไม่ค่อยมีชื่อเสียงในศิลปะการแต่งกายนัก ทองสายคนกลางเป็นคนเฉย ๆ ชอบดูและชอบชมเมื่อมีอารมณ์จะชม ไม่มีอารมณ์จะชมก็ไม่ชม แต่กานดามณีพี่สาวใหญ่ของครอบครัว สามมณีนั้นเป็นคนช่ำชองและเอาใจใส่ศิลปะนี้เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะอยู่ในห้องนอนหรือห้องนั่งเล่นในบ้าน หรือออกไปธุระใดในเวลากลางวัน โดยเฉพาะมาในงานอย่างที่มาในวันนี้ ในยามที่ใช้แสงไฟฟ้าแทนแสงอาทิตย์ กานดามณีย่อมใช้ความประณีตและมีความตื่นเต้นกับเครื่องแต่งกายของตนและของคนอื่นด้วยน้ำใสใจรักจริง ๆ หาใช่เพื่อความนิยมเฉพาะแต่จะโอ่อวดความงามของหล่อนเองแต่อย่างเดียวไม่ ส่วนลีลามณีนั้นเป็นคนที่มีความสนใจในเรื่องทั่วไปอย่างเดียวกับทองสรร สตรีทั้งสองคนนี้จึงเป็นเพื่อนรักสนิทกันที่สุด

หกคนเดินเข้าไปในบ้านของ พลโท ณรงค์ ปัทมเสนา เจ้าของงานเลี้ยงฉลองสายตะพาย วชิรมงกุฎ พร้อมกันมีคนมองดูหล่อนทั้งหกด้วยความเอาใจใส่เป็นจำนวนมาก สุดามณีเตี้ยกว่าเพื่อน แต่หล่อนมีดวงหน้ากลมๆ และเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มน่าดูพอใช้ เหมาะส่วนสัดแก่ร่าง ลีลามณีรูปโปร่ง และท่าทางเดินกระฉับกระเฉง ดวงหน้าและสีหน้าของหล่อนก็น่าดูไม่น้อย ประกอบกับที่หล่อนเป็นคนประหยัดกับการตกแต่ง คือดูแลให้เหมาะแก่ตัว แก่โอกาสและฐานะ ถึงแม้จะไม่มีชื่อในทางความงามเช่นเดียวกับพี่สาว แต่หล่อนก็เป็นหญิงที่ชายจำนวนมากในสังคมของหล่อนสนใจ ทองทบนั้นมีวัยสูงกว่าน้องและเพื่อนขึ้นไปหลายปี จึงไม่ค่อยตื่นเต้นกับสายตาที่พากันมองมายังกลุ่มของหล่อน ขณะที่เดินผ่านแขกที่คับคั่งเข้าไปในบ้าน ทองสายก็เป็นคนเฉย ๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่กานดามณีลำบากใจในการที่จะไม่มองซ้ายย้ายขวา และต้องตั้งหน้าเดินตัวตรงและข่มน้อย ๆ พอเหมาะพองาม เพราะใจของหล่อนอยากดูให้ทั่ว ว่าใคร ผู้ใด เอาใจใส่กับใครมากน้อยเพียงใด

สาวทั้งหกหาโต๊ะนั่งโต๊ะเดียวกัน ทองสรรเอ่ยขึ้นว่า “คนพบกันเกือบทุกวัน แล้วก็นั่งอยู่เป็นวงเดียวกัน”

“แล้วจะทำยังไง” ทองทบถามน้องสาวในเชิงค้าน “ไปเที่ยวขอนั่งกับใครเขาได้ล่ะ”

แต่เจ้าหล่อนทั้งหกไม่น่าห่วงใยเลย เพราะภายในเวลาไม่ถึง ๑๐ นาที ก็มีชายหนุ่มทยอยเปลี่ยนหน้ากันเข้ามาทักทาย แล้วก็มีญาติมิตรจากบ้านอื่นมาชวนให้หล่อนแยกย้ายที่นั่ง สุดามณีเดินไปกับเพื่อนร่วมอาชีพกลุ่มหนึ่ง ทองสายไปกับเพื่อนนักเรียน ธิดาเจ้าของบ้านมาชวนทองทบไปช่วยรับแขกผู้ใหญ่ในตึก เหลืออยู่ที่โต๊ะเดิม คือ ทองสรร กานดามณี และลีลามณี และมีชายหนุ่มสองคนที่หล่อนรู้จักเป็นอันดีนั่งเป็นเพื่อนคุยด้วยความเอาใจใส่

ชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นญาติห่างๆ อาชีพเป็นสัตวแพทย์ คนโดยมากเรียกเพื่อความสะดวกว่า หมอยนตร์ อีกคนหนึ่งเป็นนักกฎหมายหนุ่ม เพิ่งจะกลับมาจากการศึกษาและดูงานหลายประเทศมาได้ไม่กี่ปี แต่ได้รับความไว้วางใจให้ทำงานสำคัญของประเทศหลายชิ้น แต่เขาเป็นคนเอาจริงเอาจังกับงาน เขาชอบทำความรู้จักกับคนทั่วไป และชอบเดินทางสำรวจส่วนต่างๆ ของประเทศ ทองสรรจึงให้ความสนใจแก่เขามาก เพราะหล่อนชอบพินิจพิจารณาคนและสิ่งทั่วไป ทองสรรเรียกชายผู้นี้ตามน้องสาวของเขาซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนกินนอนกับหล่อนว่า พี่เชิญ

ทองสรรเริ่มการสนทนาตามลักษณะของหล่อน “พี่เชิญ มีอะไรมาเล่าให้ฟังอีกบ้างเรื่องบ้านเรื่องเมือง เรื่องสังคมไทยอะไรต่ออะไร”

“มีมากมาย” เชิญสนอง เขาชอบคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับคนทั่วไป หน้าเขายิ้มอยู่เสมอโดยธรรมชาติ เป็นคนมีเสน่ห์มาก แต่ดูเหมือนเขาไม่รู้ว่าเขามีคุณสมบัติดังกล่าว เขาพูดเรียบ ๆ อย่างคนรักวิชาการต่อไป “ผมไปเห็นอะไรตามบ้านนอกมา มางานอย่างนี้แล้วรู้สึกพิลึก”

“เป็นยังไงคะ” ลีลามณีถามขึ้นบ้างด้วยความแปลกใจเช่นเดียวกับทองสรร

“มันเหลื่อมล้ำกันน่าใจหาย แต่ที่จริงก็ยังมีประเทศอย่างเราอีกมาก” เชิญตอบพลางกวาดตาไปรอบๆ

“ไม่สนุกหรือคะ” ทองสรรถามอย่างตรงไปตรงมาตามลักษณะนิสัยของหล่อน

“สนุกซิครับ ทำไมจะไม่สนุก แต่ก็อดใจวับหวำไม่ได้” เชิญตอบ

มัวไปวับหวำเรื่องเมืองไทยละก็ ทำราชการไม่ได้นาน” หมอยนตร์ขัดขึ้นมา “ทำใจว่า เราทำอะไรไม่ได้ เราหาความสุขยังไงได้ก็หาไป”

“นั่นซี คนโดยมากไปถือเสียอย่างนั้น” เชิญว่า “ดูทุกคนคิดว่าไม่มีอะไรจะทำเสียแล้ว” พอเขาพูดจบลงก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินถือถาดอาหารผ่านโต๊ะที่นั่งกันอยู่มาในระยะใกล้พอที่หมอยนตร์จะส่งเสียงเรียกร้องได้”

“อ้าว นั่นธเณศนี่นะ ธเณศ เณศ ไอ้เณศ”

ชายหนุ่มคนนั้นเหลียวมาทางเสียงเรียก หมอยนตร์ส่งเสียงต่อไปเป็นทำนองเชิญชวนให้เขามานั่งร่วมด้วย เขาก็เข้ามา หมอยนตร์บอกแก่เพื่อนร่วมโต๊ะเดิมว่า “นี่ อยากจะพบกับคนที่รักชาติมาก ๆ ละก็ ขอแนะนำคุณธเณศ นักเศรษฐกิจ”

ทุกคนขยับตัวเลื่อนเก้าอี้บ้าง เลื่อนจานอาหารที่มีผู้มาวางไว้ให้แล้วบ้าง คนที่มาใหม่ก็เข้ามาร่วมด้วย หมอยนตร์กับเขาทำความเข้าใจกันว่า เขาไม่ได้จงใจจะไปนั่งกับใครที่ไหน และยินดีจะร่วมวงสนทนา

“บอกตรง ๆ” เชิญว่า “มางานอย่างนี้มักเบื่อ พอดูสาวๆ แต่งตัวสวย ๆ ทั่วแล้ว ก็รู้สึกขี้เกียจอยากกลับบ้านไปทำงานหรืออ่านหนังสือ”

หมอยนตร์สัพยอกเพื่อนไปในทางว่าเขาไม่ค่อยมีมารยาทของสุภาพบุรุษ แล้วแนะนำผู้เข้ามาใหม่ต่อไป “นายธเณศคนนี้เขามีชื่อเสียงว่า เข้ากับผู้ชายก็ได้ ผู้หญิงก็ดี เอ้า แสดงคุณสมบัติให้สมกับที่เราโฆษณานะเจ้า ไม่งั้นเราเสียแย่ในสายตาสุภาพสตรีดวงมณีและสาวทอง”

“คุณหมอยนตร์นี้ไม่ควรเป็นสัตวแพทย์เลย” ทองสรรสัพยอกเขาบ้าง “ถ้าเป็นมนุสแพทย์คงมีคนไข้ติดใจกันแยะ คุณธเณศคงแปลกใจว่าดวงมณีกับสาวทองแปลว่าอะไรกัน”

“ในซอยนี้มีอยู่สุดซอยบ้านหนึ่ง มีลูกสาวสาม ชื่อมณีทั้งนั้น ที่นั่งอยู่นี่คุณลีลามณี คนนี้กานดามณี อีกบ้านหนึ่งอยู่ปากซอยห่างจากที่นี่ไปสองบ้าน มีลูกสาวสามเหมือนกัน ชื่อทองๆทั้งนั้นเหมือนกับ ที่นั่งอยู่ที่นี่คุณทองสรร จำได้หรือยัง”

ชายหนุ่มและหญิงสาวทำความเคารพกันและกันตามธรรมเนียม และต่างคนต่างกวาดตาดูทั่วร่างของกันและกันเท่าที่มารยาทจะอำนวย

ทองสรรและลีลามณีเห็นชายหนุ่มที่มาใหม่เป็นคนมีลักษณะงามคนหนึ่ง รูปของเขาสูงได้ส่วนสัด ดวงหน้ามีเสน่ห์ แววตาซื่อ มองดูราวกับแววตาเด็กสาวบริสุทธิ์ ผมหยักศกน้อยๆ ริมฝีปากเผยอยิ้มพอเหมาะพอดีกับแววตา เมื่อหล่อนเห็นเขา เกิดความเอ็นดูและมีน้ำใจต่อเขาภายในวินาทีนั้น หมอยนตร์ยังกล่าวโฆษณาคุณสมบัติเขาต่อไป

“เอ้า ดอกเตอร์เชิญ ลื้อมันขยันคุยแต่เรื่องวิชา สองสตรีนี้ก็เป็นคนชอบรู้ชอบเรียน ธเณศนี้จะให้เขาฟังหรือจะให้เขาคุย หรือมีธุระอะไรจะไหว้วาน เขารับได้ทั้งนั้น”

“คุณมีอะไรเสียบ้างไหมครับ” ดอกเตอร์เชิญนักกฎหมายถามนักเศรษฐกิจ “ผมไม่เคยได้ยินไอ้หมอนี่สรรเสริญใครเลย ชักไม่ค่อยไว้วางใจ มันเป็นคนมือออกจะเปื้อนๆ อย่ด้วย ผมกลัวคุณจะเป็นคนมีอิทธิพลอะไรมาทราบไว้ผมผมจะได้พูดจาให้ถูกต้อง”

“ผมว่าวันนี้วิศกี้ดี ๆ ของท่านนายพลจะมีพลังอย่างไรอยู่” ธเณศยิ้ม “ว่าแต่นี่มีอาหารกันแล้วทุกคนหรือครับ ไม่รับประทานอะไรกันมากกว่านี้หรือ ถ้าเป็นธุระเพียงแค่นี้ผมอาสาได้แน่ ผมเป็นคนขยันเดิน”

“นั่นยังไง” หมอยนตร์ว่า “เอ้า ไปจัดการ ไปตักมาสี่ถาด เอากับข้าวอย่าให้ซ้ำกัน กินอย่างโน่นบ้างอย่างนี้บ้าง”

ธเณศขยับตัวจากเก้าอี้ทันที “เอ้าได้ แต่ที่จริงแกเป็นญาติกับเจ้าของบ้าน แกมาช่วยบ้างก็ดี”

“อุบ๊ะ งั้นเขาจะอุตส่าห์เรียกร้องชวนเชิญคนอย่างแกมาทำไม” หมอยนตร์ตอบ เขาไม่ขยับเขยื้อน นอกจากพิงหลังกับพนักเก้าอี้ในท่าสบายยิ่งขึ้น ลีลามณีก็รีบลุกขึ้นอย่างว่องไว

“ดิฉันชอบเลือกอาหารเอง คุณธเณศรู้แล้วกระมังว่าร้านอะไรอยู่ที่ไหน ช่วยเป็นผู้แนะทางก็แล้วกัน”

เมื่อได้เกี่ยงกันในเรื่องหน้าที่ไปตักอาหารพอเป็นธรรมเนียมแล้ว ลีลามณีกับธเณศที่รับทำงานไปจัดหามาให้เพื่อนร่วมโต๊ะ มิใยเชิญจะคะยั้นคะยอหมอยนตร์อย่างไร เขาก็ทำท่าขี้เกียจไม่เปลี่ยนแปลง มิหนำยังห้ามไม่ให้เชิญลุกขึ้นไปด้วย

ลีลามณีและธเนศกลับมาที่โต๊ะอาหาร แล้วสตรีและบุรุษที่โต๊ะนั้นก็บริโภคกันเป็นที่อิ่มสบาย การสนทนามีทั้งเรื่องที่เป็นความรู้มีสาระและมีการสัพยอกรื่นเริง จนถึงเวลาที่แขกทั้งหมดไปชมการแสดงซึ่งตามสมัยนิยมมีผู้แสดงที่เป็นลูกหลานยินดีจะร่ายรำเป็นเกียรติแก่เจ้าของงาน โดยมิได้ทำให้ศิลปะของชาติงอกงามขึ้นอย่างใด แต่อย่างน้อยก็ธำรงรักษาไว้ได้เท่าที่เคยมีมา ธเณศ ลีลามณีและทองสรรมีโอกาสนั่งใกล้กัน ก็ได้แลกเปลี่ยนทรรศนะกันในเรื่องนี้ด้วย ธเณศเป็นพหูสูต และยังมีวาทศิลป์ พูดจาน่าฟังทั้งเรื่องที่มีสาระและเรื่องหยอกล้อกัน

นับแต่นั้นมา ลีลามณี ทองสรร กับธเณศก็หาโอกาสพบปะสังสรรค์กันมากขึ้น จนกระทั่งธเณศเป็นแขกประจำบ้านมณี และบ้านทองทั้งสองบ้าน ภายในสัปดาห์หนึ่งๆ เขาจะมารับประทานอาหารค่ำหรือกลางวัน อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง ณ บ้านใดบ้านหนึ่ง ถ้าเขามาที่บ้านของลีลามณี หล่อนก็จะบอกไปยังทองสรรให้มาร่วมการรับประทานอาหารด้วย ทองสรรก็ประพฤติในทำนองเดียวกันแก่เพื่อนรักของหล่อน

ที่บ้านของลีลามณีนั้น มีแขกหนุ่ม ๆ มาเยี่ยมเยือนบ่อยกว่าและจำนวนมากกว่าบ้านของทองสรร เพราะกานดามณีเป็นที่หมายปองของชายในสังคมอยู่หลายคน สุดามณีมีที่มั่นหมายของหล่อนแน่วแน่แล้ว เป็นแพทย์ฐานะค่อนข้างยากจน ไม่เป็นที่ถูกใจบิดามารดานัก แต่ก็ไม่มีทางจะขัดขืนลูกสาว กานดามณีตัดสินใจไม่ได้ว่าคนไหนเหมาะควรแก่หล่อนกว่ากัน หล่อนยังสนุกกับการเป็นดวงดาวที่สุกใส ชายหนุ่มสองสามคนที่เข้ายังบ้านนั้น ด้วยความหมายปองในตัวกานดามณีก่อน ได้หันเหความสนใจมายังลีลามณี แต่เจ้าหล่อนผู้นี้เป็นคนที่ไม่แสดงความรู้สึกออกให้ปรากฏ เมื่อบิดามารดาหรือญาติมิตรที่หวังดี และที่อยากรู้เรื่องชนิดนี้เป็นการบันเทิงชนิดหนึ่ง ไต่ถามเอาความนึกคิดว่าเกิดนิยมชมชอบคนใดเป็นพิเศษหรือยัง หล่อนก็ไม่ให้คำตอบไปในทางที่จะให้ผู้ใดหวัง หรือมีโอกาสไปเล่าต่อกันไปให้มีเรื่องสนทนาเพิ่มขึ้นเช่นกัน

“ดูๆ ไป ลูกบ้านนี้จะคว้าน้ำเหลวเสียก็ไม่รู้ ออกจะเลือกมากเกินการไป” มารดาทองสรรกล่าวแก่สามีและบุตรีวันหนึ่ง ระหว่างที่คุยกันในยามว่างในครอบครัว

“ไปเที่ยวพูดเรื่องคนอื่น” สามีทัก “ราวกับของเราคนมาปองทั้งเมือง”

“คุณ คุณอย่าทำโบราณไป” ภรรยาท้วง “เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่ผู้ชายมาอยากได้ผู้หญิง แต่ว่ามันเป็นเรื่องผู้หญิงเขาอยากได้ผู้ชายชนิดไหนเขาก็เลือกเอา”

“เห็นจะไม่งั้นทุกคนมั้ง” สามีท้วงอีกต่อหนึ่ง “ผู้หญิงที่เลือกไม่ได้ก็มี พอใครมาพอให้เห็นหน้าก็ต้องรีบฉวยก็เห็นจะมีแยะ”

“ผู้ชายก็เห็นจะมีเหมือนกัน” ภรรยาว่า “ผู้ชายบางคนก็รู้ตัวว่ามัวเลือกอยู่ไม่ได้ หาใครได้ก็ต้องรีบฉวยก็มี”

“มันก็คงมีร้อยสีพันอย่างตามธรรมดามนุษย์” นายสุวรรณสามีตอบ แล้วก็พยักหน้ากับภรรยาเป็นสัญญาณให้ลุกไปดูโทรทัศน์

เหลือแต่พี่น้องสามสาวยังไม่สนใจกับโทรทัศน์ ทองสายเกิดความพอใจที่จะคุย จึงถามทองสรร

“นี่สรร คุณธเณศนี่เขาเอียงไปทางไหน ทางกานดาหรือทางลีลา หรือทางสรรเอง”

ทองสรรมีสีหน้าเป็นชมพูเรื่อขึ้น “ยังไม่เห็นว่าเขาเอียงไปทางไหน”

“ไม่มีอะไรกับทองสรรเลยหรือ” พี่สาวย้อนถาม

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้” น้องสาวตอบ “ทำไม พี่สายรู้สึกว่าเขาเป็นยังไง”

“เห็นหมอยนตร์คนหนึ่ง กับคนที่รู้จักอีกหลายคนว่าเป็นคนดีจริง ๆ แล้วทรัพย์สมบัติก็พอใช้ และนายก็รักมาก” ทองสายบอกน้อง “ถ้ายังไงอย่าเล่นตัว”

“สรรเขาจะเล่นตัวทำไม แต่เขาก็ที่มั่นหมายเดิมอยู่คนหนึ่ง” พี่สาวใหญ่ว่า “ว่าไง เรื่องดอกเตอร์เชิญ ทำไมไม่คืบหน้าไปรึ”

“แหม แล้วตัวพี่สายกับพี่ใหญ่ล่ะ ทำราวกับฉันเป็นคนมีคนหมายมั่นอยู่คนเดียว” ทองสรรพูดอย่างกระดาก

“ที่ว่าดอกเตอร์ดีกว่า เขาจะได้เป็นใหญ่เป็นโตแน่ เขาว่าอีกสักสองปีก็จะได้ชั้นพิเศษแล้ว” ทองทบสนับสนุนคนรู้จักมาก่อน “แล้วเราก็รู้จักพี่น้องเขา คุณธเณศนี่เราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร รู้จักแต่ตัวเขาคนเดียว”

ที่บ้านสาวมณีก็มีการสนทนากันในทำนองเดียวกัน กานดามณีอยู่ในห้องส่วนตัวของหล่อน กำลังลองเสื้อตัวใหม่ซึ่งเพิ่งรับมาจากร้านตัดเสื้อ เป็นเสื้อแนบร่างทำด้วยผ้าไหมไทยสีเลื่อมอมเขียวกับแดง มีโบว์ใหญ่ติดที่เอว ทิ้งสายยาวสีเหลือบเลื่อมอีกสีหนึ่ง มีทั้งสีแสด สีแดง สีน้ำตาลทอง เป็นเสื้อที่ราคาแพงมาก เพราะต้องใช้ผ้าจำนวนมาก ตัดเฉลียงจากผ้าไหมต่างชิ้น

น้องสาวสองคนพิศดูพี่สาว แพทย์หญิงสุดามณีเอ่ยขึ้น “สวยตามเคย แล้วก็แพงตามเคย ถ้าเราทั้งสามคนแต่งตัวอย่างพี่ดา เงินเดือนคุณพ่อเห็นจะหมดไปกับเครื่องแต่งตัวลูกสาว ไม่เหลือไว้ซื้อแม้แต่ข้าวสาร”

“อย่าพูดอย่างงั้นน่ะ น้องเติม” กานดามณีปรามน้องสาว “ราวกับคุณพ่อลำเอียงให้พี่คนเดียว ใครขอท่านก็ให้เหมือนกันทุกคน”

“พี่ต่อเขาเห็นพี่ต้นขอเสียพอแล้ว เขาก็เลยใช้แต่เงินเดือนเขา” น้องสาวคนเล็กพูดต่อไปอย่างไม่ค่อยเกรงใจพี่สาวนัก “เติมก็เหมือนกัน ปีนี้ได้เงินเดือนเต็มแล้วจะไม่รบกวนคุณพ่อคณแม่เลย ยิ่งจะแต่งงานกับคนจน ๆ ประเดี๋ยวจะถูกอบรมว่า คะไม่พอกันกินกันใช้”

ตกลงแน่ใจแล้วเรอะ” กานดามณีถามน้องสาว พลางถอดเสื้อออกมาลูบคลำด้วยความพอใจ “พี่ก็ยังหนักใจแทนเหมือนกัน เวลารักกันก็ไม่คิดถึงความยากจน พอมีลูกมีเต้าแล้วก็แลเห็นความลำบาก ยิ่งอย่างน้องเติมเพื่อนฝูงเขาก็ฐานะดี ๆ กันทั้งนั้น”

สุดามณีทำสีหน้าค่อนข้างไม่น่าดู “อย่าห่วงฉันเลย ห่วงตัวพี่ต้นเถอะ ดูไม่เห็นตกลงใจสักที จะเลือกเอาวิเศษแค่ไหน”

“เออ น้องฉัน พูดจาไม่น่าฟังเลย” กานดามณีดูหน้าน้องสาวคนรองอย่างขอความเห็นใจ “น้องเติมก็ไม่ต้องห่วงพี่เหมือนกัน” หยุดนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ “รู้ไหมพี่คอยอะไร พี่อยากรู้จักความรักที่เรามีคนเข้ามาชอบๆ พอๆ มันเป็นการดูฐานะกันอะไรกันเทือกนี้ พี่อยากรู้ว่า ถ้าเกิดความรักมันจะรู้สึกยังไง”

“ถ้ายังงั้น ทำไมพี่ต้นพูดว่าห่วงฉันค่ะ” น้องสาวคนเล็กถามด้วยน้ำเสียงไม่นิยมพี่สาวดังที่ใช้มาตั้งแต่การสนทนา “ถ้ามีความรักมันไม่คิดถึงฐานะถึงอะไรหรอก แต่เมื่อกี้พูดเหมือนเตือนสติฉันให้คิดถึงฐานะของฉัน”

“พี่น้องมันก็ต้องพูดจากันมั่งซีจ้ะ แม่หมอ” กานดามณีว่า น้ำเสียงเริ่มมีความไม่พอใจเจืออยู่ ตามปรกติกานดามณีเป็นคนไม่โกรธใครง่าย ๆ หล่อนได้รับคำบอกเล่าและได้รับเอาไว้ใส่ใจนานมาแล้วว่า คนโกรธมักลดความสวยลงไป “ว่าไงน้องต่อ เธอมีความเห็นว่าไง”

ตลอดเวลาที่พี่และน้องโต้ตอบกัน ลีลามณีมีสีหน้าใช้ความคิด เมื่อพี่สาวหันมาขอความเห็นก็พูดขึ้น “จริงนะคนเราแต่งงานเพื่ออะไร”

“เพื่อเป็นไปตามธรรมชาติ” สุดามณีตอบ “มนุษย์ก็สัตว์ชนิดหนึ่ง ก็ต้องหาคู่ แต่เป็นสัตว์มีประเพณี มีวัฒนธรรม ก็เลยต้องแต่งงาน สัตว์อื่นๆ ไม่ต้องแต่งงาน พบคู่ก็ร่วมชีวิตกันเลย”

“เออ แต่สัตว์บางชนิดมันรวมกันตลอดชีวิต เช่นนก ใช่ไหม” ลีลามณีถามน้องสาวในฐานะคนมีความรู้มากกว่า “บางชนิดมันก็เป็นฮาเร็มอย่างกวาง สิงโตก็ดูเหมือนอยู่กันเป็นคู่ตลอดชีวิต ช้างไม่รู้ แล้วมนุษย์ที่แท้จริงมันเป็นยังไง”

“แท้จริงมนุษย์เมื่อมีสภาพใกล้สัตว์ ก่อนที่จะมีอารยธรรม” สุดามณีตอบพี่สาวคนกลาง “เป็นชนิดตัวผู้มีตัวเมียหลายตัวเขาว่ายังงั้น แต่ชักไม่แน่ใจ” เมื่อหยุดคิดประเดี๋ยวหนึ่งแล้วพูดต่อ “อย่างไรก็ตาม ผู้ชายทั่วไปในโลก ถ้ามีเงินขึ้นมาก็มักไม่พอใจมีคนเดียว ถ้าดูจากนี้แล้วคงเป็นชนิดฮาเร็ม”

พี่น้องสามคนสนทนาเรื่องนี้ต่อไปอีกเล็กน้อย แล้วก็แยกย้ายกันไปหาความสำราญตามอัธยาศัย โดยไม่ตกลงกันว่ามนุษย์มีธรรมชาติอย่างไรแน่

อีกไม่กี่วันต่อมาจากนั้น สาวมณีทั้งสามก็ได้รับคำชวนให้ไปรับประทานอาหารที่บ้านสาวทอง ในค่ำวันนั้นจะมีชายหนุ่มที่สาวทั้งสองบ้านคุ้นเคยและถูกอัธยาศัยมาร่วมด้วยสามคน แต่ล้วนเป็นคนที่คุ้นเคยกันขึ้น ถูกอัธยาศัยกันขึ้นทุกที คือสัตวแพทย์ยนตร์ ดอกเตอร์เชิญ และนายธเณศ

นายสุวรรณและนางพวงทองภรรยาไม่อยู่บ้าน สองสามีภรรยานี้เป็นคนสมัยใหม่แท้ เมื่อทราบว่าลูกสาวจะมีแขกหนุ่มมาที่บ้าน ท่านอยากเลี่ยงไปหาความสำราญกันที่อื่น ไม่ค่อยชอบร่วมการรับประทานอาหารกับเขาถ้าหาเหตุไปได้ หนุ่มสาวจึงมีอิสระเต็มทีที่จะพูดคุยหรือสนุกสนานตามวัยและรสนิยมของตน

ชายหนุ่มสามคนที่มาเป็นแขกในวันนั้นเป็นคนชอบไปทางการงาน พูดคุยก็นิยมไปในทางที่เป็นสาระ ทางวิชาความรู้ ความคิดเห็นเกี่ยวกับสังคมและบ้านเมือง หกสาวก็เตรียมรับรองเขาไปในทางนั้น ถ้าแขกหนุ่มที่ชอบในทางเฮฮามากกว่าการแลกเปลี่ยนทรรศนะ หล่อนก็เตรียมจานเสียงสำหรับเต้นรำโก้ และอุปกรณ์อื่นๆ หรือนัดแนะไปเที่ยวเตร่กันนอกบ้านเมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว

คนใช้ในบ้านที่รับใช้อยู่ใกล้ชิดครอบครัว และมักมาเป็นคนช่วยในการรับแขกมีอยู่สามคน เป็นหญิงสอง คือแม่ครัวคนหนึ่ง ญาติผู้หญิงของแม่ครัว มีหน้าที่ซักเสื้อผ้าและรับใช้เบ็ดเตล็ดคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งเป็นชาย เป็นคนขับรถและช่วยเหลือเป็นพนักงานเดินโต๊ะเมื่อถึงโอกาสที่จำเป็นต้องทำ

สามคนสนทนากันในครัวก่อนแขกมาถึง ระหว่างที่สาวเจ้าของบ้านแต่งตัวอยู่ นายฉลองคนขับรถพูดขึ้น

“วันนี้เราจะได้ทิปพิเศษไหมเอ่ย”

“วันนี้ นอกจากรางวัลค่าเดินโต๊ะแล้ว คงไม่ได้ค่าออกไปไหนเวลากลางคืน” นางสาวเสงี่ยมแม่ครัวว่า “คุณหมอยนตร์มาละก็ไม่ค่อยไปไหนกัน มักนั่งคุยกัน แล้วคุณเชิญก็ไม่ชอบไปไหน ทำท่าทางเหมือนคนแก่ไงไม่รู้ อีกคนหนึ่งหน้าใหม่ไม่รู้ว่าจะยังไง แต่สองคนไม่ชอบไปเที่ยว อีกคนหนึ่งก็คงไม่ไป”

“คนใหม่ที่น้าว่านี่ชื่อคุณธเณศใช่ไหม” นางเพียร คนซักผ้าถาม “คุณคนนี้ยังไงไม่รู้ ฉันรู้สึกรักสงสารไงไม่รู้”

“ฮื่อ ข้าก็เหมือนกัน” นางสาวเสงี่ยมคล้อยตาม “ดูหน้าตาแกราวกับจะเป็นเด็ก แต่เห็นคุณสายว่าแกเป็นคนไม่ชอบเที่ยวเตร่ เป็นคนสมถะเหมือนกัน”

“ดูคนเผิน ๆ อย่าเพ่อวางใจ” นายฉลองพูดเสียงหนัก ๆ “ไม่เหมือนเราคนจน ๆ หรอก มันเป็นยังไงก็ต้องยังงั้น พวกคนรวยนี่หน้าไหว้หลังหลอก”

“แกละก็” นางสาวเสงี่ยมทำเสียงไม่พอใจ “ทำไมจะต้องพูดคนมีคนจน คนเรามันก็เหมือนกัน ความทุกข์ความสุขมันมีด้วยกันทุกคน ลองแกรวยขึ้นมาเมื่อไหร่ แกก็รนไปหาที่ต่าง ๆ เหมือนกัน”

“ยังไม่รวยก็รนอยู่แล้ว” นางเพียรว่า “แต่ยังไงๆ ก็ขอรวยล่ะ ชาตินี้ทำบุญมาก ๆ เกิดชาติหน้าจะได้ไม่ต้องเป็นบ่าวเขา จะได้ไปนั่งในห้องรับแขก คอยรับแขกหนุ่มรูปหล่อเหมือนลูกนายบ้าง”

ระหว่างที่สามคนสนทนากัน สาวเจ้าของบ้านก็ทยอยกันลงจากตึกชั้นบนลงมาที่ห้องรับแขก ทองทบลงมาก่อนน้อง ๆ นั่งรออยู่ในห้องรับแขกจนรู้สึกรำคาญ จึงลุกออกไปเดินเล่นในสวน

ทองทบรู้ดีว่า แขกวันนี้ทั้งสามคนไม่มีความสนใจในตัวหล่อนเป็นพิเศษ และเพ่งเล็งไปยังน้องสาวคนเล็กหรือพี่สาวคนกลางและคนใหญ่ในครอบครัวเพื่อนบ้าน แต่หล่อนก็พอใจที่จะให้มีคนมารับประทานอาหารที่บ้าน เพื่อจะได้เปลี่ยนหน้าคนคุย ไม่จำเจอยู่แต่กับบิดามารดาและพี่น้องเท่านั้น ทองสายก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน หล่อนตามพี่สาวใหญ่ออกมายังสวนภายในเวลาไม่กี่นาที ทองทบพูดแก่น้อง

“สรรเขาบรรจงแต่งตัวหรือไง ทำไมลงมาช้ากว่าเพื่อน”

“จริงนะ สรรเขาจะไปทางไหน พี่ใหญ่เอาใจช่วยใคร” ทองสายถาม

“ไม่เอาใจช่วยใครทั้งนั้น ไม่ใช่ธุระของพี่ แต่คุณพ่อคุณแม่ยังไม่เอาใจใส่” ทองทบตอบ

“พ่อแม่เราใจเย็นดีจังนะ” ทองสายว่าเป็นทำนองตำหนิ “ไม่ช่วยดู ไม่แนะนำเลย”

“คุณพ่อคุณแม่รู้แล้วว่าสรรน่ะ ถึงจะแนะนำเขาก็คงไม่ฟัง” ทองทบว่า “ว่าแต่พี่ชักสงสัยว่าเพื่อนรักสองคนจะกลายเป็นคู่แข่งกันได้ไหม”

“คู่แข่งสำหรับใคร” ทองสายถาม

“กำลังดูอยู่ละซิ สรรจะไปข้างดอกเตอร์เชิญ หรือจะไปข้างคุณธเณศ แล้วก็ลีลามณีก็เหมือนกัน เขาจะโอนเอียงไปทางไหน”

“ดอกเตอร์เชิญเขามีท่าว่าจะเอียงไปหาลีลามณีเหมือนกันเรอะ เห็นเคยสนิทสนมกับสรรมาก” น้องคนกลางปรารภ

“เอ้า นั่นใครมาคนหนึ่งแล้ว” ทองทบบอกน้องสาว

มีรถยนต์มาจอดหน้าบ้านคันหนึ่ง แล้วมีคนลงจากรถ “อ้อ คุณธเณศนั่นเอง เออ จริงนะ แกมาแท็กซี่ทุกที แกไม่มีรถของตัวเองหรอกรึ”

ธเณศเดินเข้าบ้านมา แสงไฟจากซุ้มประตูและจากหน้าตึกส่องให้เห็นหน้าของเขาชัดขึ้น เขาเดินเข้ามาใกล้สองสาวเจ้าของบ้าน ทองทบไม่ลืมที่จะถาม “ทำไมมาแท็กซี่คะ รถไปไหนเสียล่ะ”

“ขายไปแล้วครับ กำลังดูจะซื้อใหม่” ธเณศตอบ ขณะที่สองสาวค่อยเดินพาเขาเข้าไปในห้องรับแขก

“แหม ซื้อง่ายขายคล่อง เขาว่าคุณธเณศนี่เสี่ยใหญ่” ทองสายพูดขึ้น มีผลให้พี่สาวหันมาดูหน้าด้วยความไม่ค่อยพอใจนัก

“เขาว่าผิดครับ ถ้าว่าเป็นเสี่ยน้อย ๆ ค่อยใกล้ความจริงหน่อย” ชายหนุ่มตอบ แล้วก็ลงหาที่นั่งอย่างคนคุ้นสถานที่

“เสี่ยน้อยก็ไม่เลว” ทองทบว่า

“ถ้าไม่เป็นเสี่ยเลยเลวหรือครับ” ชายหนุ่มย้อนถาม ระหว่างที่เขาพูดยังไม่จบประโยค ก็เห็นทองสรรเดินลงบันไดมา เขาขยับตัวพอเป็นกิริยา ไม่ถึงแก่ลุกขึ้นยืนให้อย่างชายชาวตะวันตกเมื่อสตรีเดินเข้ามา ทองสรรรีบนั่งลง พร้อมกันนั้น คนใช้ซึ่งได้รับการฝึกหัดดีก็นำเครื่องดื่มที่เตรียมไว้มาตั้งที่โต๊ะเตี้ยภายในกลุ่มเก้าอี้รับแขก

“พูดกันเรื่องเป็นเสี่ยหรือไม่เป็นเสี่ยหรือคะ” ทองสรรเอ่ยถาม “คุณธเณศมีความเห็นว่าคนที่ไม่เป็นเสี่ยใช้ไม่ได้หรือคะ”

“เป็นไปไม่ได้ครับอย่างนั้น” ชายหนุ่มปฏิเสธพลางก็รินเครื่องดื่มที่ถูกใจ จัดการผสมเองด้วยความคุ้นเคย “ผมกำลังถามความเห็นคุณใหญ่กับคุณสาย”

“ความเห็นของดิฉันสำคัญหรือคะ” ทองสายถาม ซ่อนความน้อยใจในเรื่องที่มีชายหนุ่มเอาใจใส่กับน้องสาวมากกว่าตัวไว้ไม่ได้

“สำคัญซีครับ ทำไมจะไม่สำคัญ” ธเณศพูดเรื่อย แล้วเลยหันไปหาทองสรร “ว่าไง คุณสรร คนที่ไม่เป็นเสี่ยเลยใช้ไม่ได้หรือเปล่า”

“คุณไปเอาความคิดอะไรมาจากไหน มาถามคำถามอย่างนี้” ทองสรรพูดอย่างเป็นงานเป็นการตามอุปนิสัย “ดิฉันว่าเป็นคำถามที่ ขอประทานโทษ....”

“เหลวไหล” ธเณศรีบชิงจบประโยคให้หญิงสาว “ผมเห็นด้วยกับคุณสรร แต่บางคราวเราก็พูดเหลวไหลบ้าง”

“ดิฉันว่าไม่ใช่บางคราวเราพูดเหลวไหล ดิฉันว่าบางคราวเราถึงจะพูดเหลวไหล” ทองสรรพูด คำพูดเช่นนี้ถ้าอออกจากปากหญิงอื่นอาจไม่น่าฟัง แต่ดวงหน้าสวยเก๋และน้ำเสียงนุ่มของทองสรร ประกอบกับน้ำเสียงที่แสดงความจริงใจและไม่เป็นไปทำนองตำหนิ ทำให้คำพูดที่ออกจากปากทองสรร เป็นคำที่น่าสนใจสำหรับชายหนุ่มในสังคมเดียวกับหล่อนหลายคน

“มีคนเขาว่า สรรเป็นคนจริงจังเกินไป” ทองทบกล่าวขึ้น

“รึคะ สรรว่ามีคนจริงจังเสียบ้างก็ดี คนที่ไม่จริงจังมีแยะแล้ว” ทองสรรกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเช่นเดิม

“ผมคนหนึ่งละเห็นด้วยกับคุณสรร” ธเณศว่า “คนเรายังเข้าใจผิดอีกหลายคน หมดสมัยแล้วครับ ไอ้เรื่องหนู ๆ พี่ไปโน่นนะ ไปนั่นได้ไหมจ๊ะ สมัยนี้เรามีเสรีภาพ เราเลือกคบคนตามใจเราได้ ผู้ชายคนไหนชอบผู้หญิงชนิดไหนก็ไปกับชนิดนั้น ไม่ต้องแกล้งทำกันอีกต่อไป”

“เป็นไงคะ ไม่ต้องแกล้งทำ” ทองสายถามด้วยความไม่เข้าใจ “แต่ก่อนนี้เราต้องแกล้งทำอะไร”

มีรถยนต์แล่นเข้ามาจอดข้างตึก แล้วอีกครู่หนึ่งดอกเตอร์เชิญก็เดินเข้ามาในห้อง ทำให้การสนทนาชะงักไปเพื่อการปฏิสันถาร แต่พอเชิญลงนั่งเรียบร้อยแล้ว ทองสายผู้ซึ่งเกิดมีอารมณ์อยากเข้าใจคำพูดของธเณศ ก็ถามคำถามที่ค้างอยู่ซ้ำ

“เอ้อ คุณเชิญมาพอดี จะได้ช่วยฟังว่าผมพูดถูกพูดผิดแค่ไหน” ธเณศกล่าวให้เชิญเข้าร่วมในการสนทนา “ผมพูดว่าเดี๋ยวนี้พวกเรา ผู้ชายผู้หญิงไทยมีเสรีภาพที่จะเลือกคบกัน คนชนิดไหนชอบคบกับคนชนิดไหนก็เลือกเอาได้ แต่ก่อนนี้ จำนวนคนที่ชอบคุยอะไรเป็นเรื่องเป็นราวมีน้อยมาก ถ้ามีใครชอบอย่างนั้น ต้องแกล้งทำว่าไม่เป็นคนอย่างนั้นเวลาอยู่ต่อหน้าเพื่อนฝูง นี่ญาติของผมคนหนึ่ง เขาว่าเมื่อก่อนผมจะมาบ้านนี้นี่เอง เขาว่าเมื่อสมัยเขาเป็นหนุ่ม ๑๕ ปีก่อนนั้น ผู้ชายต้องแกล้งทำเป็นคนเละๆ เทะๆ คุยไม่เป็นเรื่องเป็นราว ผู้หญิงต้องแกล้งทำเป็นไม่ค่อยรู้อะไร แล้วมักหาสามียาก ผู้หญิงที่มีความคิดนึกเป็นของตัวเอง ถ้ามีก็ต้องซ่อนไว้ให้ดี เอาไว้แสดงเมื่อได้แต่งงานแล้ว จับอยู่ไปคนหนึ่งแล้ว”

ระหว่างที่ธเณศเล่าค่อนข้างยาวนี้ หมอยนตร์ได้เข้ามายืนอยู่ที่ส่วนหน้าของห้องข้างหลังคนพูด เจ้าของบ้านทำการปฏิสันถารรับรองเงียบ ๆ เพราะหมอยนตร์ทำท่าทีว่าสนใจอยากให้ธเณศพูดจบ พอจบเขาก็ขัดขึ้นทันที

“ผิดทั้งเรื่อง ใครไปเอาเรื่องความคิดนึกอะไรมาสาธยาย คนหนุ่มสาวคบกัน ขอโทษนะ คุณสาวทองทั้งสาม เราก็ผู้ใหญ่ ๆ กันแล้ว ได้ร่ำเรียนกันมาพอใช้ทั้งนั้น คนหนุ่มสาวคบกัน มีสองเรื่องที่เอาใจใส่กัน อาจเป็นโดยจงใจ แต่บางรายก็ไม่รู้ตัว”

“เขาเอาใจใส่กับอะไรคะ” ทองสายถามขึ้นด้วยขาดความอดทน ความอยากรู้มีมากกว่า

“ผมจะเดาให้ ถ้าหมอยนตร์เป็นคนพูดละก็ เพราะได้ยินทฤษฎีเขามาหลายหน” เชิญชิงอาสา

“หนอยแน่ ทฤษฎีเป็นสัจจธรรม ไอ้บ้า” หมอยนตร์ว่าแก่เพื่อน

“อะไรล่ะคะ” ทองทบเกิดความอยากรู้บ้าง

“เออ มีคุณใหญ่อยู่คนหนึ่ง เราควรพูดกันอย่างนี้ไหมก็ไม่รู้” ธเณศปรารภขึ้น “พอบอกว่าทฤษฎีหมอยนตร์ชักเดาออก”

“ทำไมจะพูดไม่ได้” หมอยนตร์ว่า “คนเราต้องรู้ความจริงของชีวิต”

“งั้นซี ทฤษฎีของเขาเป็นถึงสัจจธรรม” เชิญกล่าวแก่ธเณศ สีหน้าของเขายิ้มขณะที่พูด

“ตาย อยากรู้เต็มแก่” ทองทบเร่ง “อะไรคะเป็นถึงสัจจธรรม เมื่อกี้เราพูดกันถึงเรื่องใครคบกันไม่คบกัน”

“ชีวิตคืออะไร คุณใหญ่” หมอยนตร์เริ่มสาธยายทฤษฎีของเขา “ชีวิตคือการเกิดมา โตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาว จับคู่กันสืบพืชพันธุ์ แล้วก็แก่แล้วก็ตาย ใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ” ทองทบตอบ ทำตนราวกับเป็นศิษย์หมอยนตร์

“แล้วก็เวลาที่เป็นหนุ่มเป็นสาว เวลาที่หาคู่ร่วมชีวิต เป็นเวลาสำคัญใช่ไหม” หมอยนตร์ทำทีเป็นอาจารย์ต่อไป ชายหนุ่มอีกสองคนพิศดูสีหน้าของทองสรรเพลินขณะที่ทองทบจ้องหน้าหมอยนตร์อย่างเอาใจใส่จริงจัง เมื่อได้รับคำตอบด้วยการพยักหน้าของทองทบ หมอยนตร์พูตต่อ “เมื่อกี้เจ้าเณศเขาพูดเรื่องคนหนุ่มคนสาวสมัยนี้คบกัน เพราะชอบคุยเรื่องมีสาระหรือไม่มีสาระเหมือนกัน ผมแย้งว่าไม่จริง ความสนใจของมนุษย์หนุ่มมนุษย์สาวอยู่ที่ของสองอย่าง เพศกับทรัพย์ ถ้าทางเพศมันมีคลื่นรับคลื่นส่งเข้ากันได้ แล้วทรัพย์มันพอไปกันได้ เรื่องความคิดเรื่องอะไรไม่สำคัญ”

ขณะที่หมอยนตร์กล่าวประโยคสุดท้ายนั้น สามสาวมณีก็เข้าประตูห้องมา ทันเวลาจะได้ยินคำพูดของเขาส่วนมาก

มีการต้อนรับ ถามเรื่องเครื่องดื่มแล้ว แขกกับเจ้าของบ้านหาที่นั่งกันใหม่ให้เหมาะแก่การที่จะสังสรรกันยิ่งขึ้นแล้ว การสนทนาเวียนเข้าเรื่องเดิมเพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนสนใจ

กานดามณีไม่ใช่เป็นคนที่จะเปิดการสนทนาแบบนี้ ไม่ใช่หล่อนต้องแสร้งทำอย่างที่ธเณศว่าคนเมื่อ ๑๕ ปีก่อนต้องทำ เพื่อไม่ให้ดูแปลกจากเพื่อนฝูง แต่เป็นเพราะโดยธรรมชาติ หล่อนเป็นบุคคลที่ริเริ่มอะไรในเชิงความคิดนึก แต่เป็นคนสงบใจฟังได้เมื่อเพื่อนฝูงคุยกัน หล่อนไม่เคยมีเวลานั่งคิดเรื่องหลักการอะไรในชีวิต หล่อนต้องใช้หัวคิดมากไปในเรื่องการเลือกแบบเสื้อแบบกระโปรง เนื้อผ้า เครื่องประกอบ มีกระเป๋าถือ เข็มกลัด และดอกไม้ประดับผม เป็นต้น สุดามณีไม่ค่อยเกรงใจผู้ใด ต้องการอยากรู้เรื่องใดก็จะถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ไม่สนใจก็เลิกฟัง เพียงแต่รักษามารยาทตามสมควร ลีลามณีนั้นสนใจใคร่รู้ ถามและฟังทุกจังหวะ ในคราวนี้สุดามณีเป็นคนถาม

“กลับไปพูดเรื่องที่หมอยนตร์ตั้งทฤษฎีซิ คุณยนตร์์ว่า ผู้หญิงสาวผู้ชายหนุ่มทั้งหลายสนใจสองเรื่อง คือเพศกับทรัพย์ ถ้ายังงั้นคนที่ไม่สนใจเรื่องทรัพย์ก็มีเรื่องเดียวคือเพศ”

“คำว่าเพศนี่ต้องอธิบายประกอบยาวเสียหน่อยก็จะดี” ธเณศเสนอ “หมายถึงแค่ไหน หมายถึงว่าพอเห็นว่าเป็นผู้ชายก็ใช้ได้ละ สนใจละ สำหรับผู้หญิง แล้วก็ผู้ชายก็แบบเดียวกันงั้นใช่ไหม”

“เป็นบ้า” หมอยนตร์ประณาม “เขาไม่ได้หมายความยังงั้น เมื่อกี้พูดแล้ว คลื่นรับคลื่นส่งมันต้องพอดีกัน”

“ไอ้นี่มันสำคัญที่สุดใช่ไหม” เชิญถาม

“แล้วแต่คน” หมอยนตร์ตั้งตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ “บางคนเป็นมนุษย์ดั้งเดิม คือยังใกล้บรรพบุรุษดึกดำบรรพ์อยู่ ก็มักถือไอ้นี่สำคัญ ไม่ค่อยมีสติสตังคิดเรื่องอื่น บางคนเป็นมนุษย์มีวัฒนธรรมก็คิดหลายอย่าง คิดเรื่องทรัพย์หรือเรื่องเงินเป็นต้น”

“แล้วอะไรเป็นต่อ แล้วอะไรเป็นเติม” เชิญถามล้อชื่อเรียกเล่นสาวมณีทั้งสาม

“อ้าว บางคนเขาคิดต่อไปถึงตระกูลว่าเป็นพวกเป็นเหล่าเดียวกัน พ่อแม่พี่น้องเข้ากันได้ไหม บางคนเขาก็เติมไปจนถึงศีลธรรม มาจากตระกูลดี เคยซื่อสัตย์สุจริตไหม”

“อีตอนเติมนี่ สมัยนี้เห็นจะเลิกพูดกันได้” สุดามณีว่า

“นี่แหละ สังคมเรามันถึงเป็นยังงี้ทุกวันนี้ไงล่ะ” หมอยนตร์ลงความเห็น “สมัยก่อน ถ้ายังไม่บวชไม่เรียน ไปขอลูกสาวใครเขา เขาไม่เต็มใจให้ มันเป็นไม้วัดคุณค่าชีวิตดีออกจะตาย สมัยนี้เหลือสองเรื่องไงที่เราว่า คลื่นเพศกับสมุดประจำธนาคาร ใช้สำนวนฝรั่งเสียหน่อย”

“กำลังจะว่าคุณยนตร์พูดเหมือนผู้หญิง เห็นใช้คำออกจะตายจะเตย” ทองทบแทรกขึ้นบ้าง

“นี่ก็อีก” หมอยนตร์ขัด “คนชอบแจกแจงระหว่างผู้หญิงผู้ชายมากเกินไป มีสำนวนผู้หญิงสำนวนผู้ชาย นั่นมันเรื่องสิ่งแวดล้อมทั้งนั้น ว่าถึงความรู้สึก ผู้หญิงผู้ชายเหมือนกัน ผิดกันแต่ว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายเอาไปให้ไม่ได้ อย่างเก่งก็ยั่วให้ผู้ชายให้”

“ผู้ชายให้ได้เสมอไปหรือเปล่า” เชิญถามล้อๆ

“ไม่เสมอไป ไม่เคยอ่านประวัติศาสตร์หรือประวัติคนสำคัญหรือไง เป็นกับถึงขั้นดอกเตอร์ดอกเต้ย” หมอยนตร์พูดพลางเขาก็แสดงความเบิกบาน ด้วยการเติมเครื่องดื่มที่ถูกใจเอาเองโดยไม่รอให้เจ้าของบ้านต้องเชื้อเชิญ

หญิงสาวห้าคนพยายามวางสีหน้าให้ปรกติ แพทย์หญิงสุดามณีพูดอย่างไม่เอาใจใส่กับความเป็นกุลสตรีนัก

“ผู้ชายที่ให้ไม่ได้นี่เขาว่าน่าสงสารนักใช่ไหม”

“คงเป็นงั้นมัง” เชิญพูดหัวเราะ ๆ เขาอยากจะกลบเกลื่อนคำพูดของเพื่อนชายให้บรรเทาความตรงต่อธรรมชาติเกินไป และพยายามหักเหการสนทนา “ว่าแต่ผมอยากทราบมานานแล้วไม่ได้ถาม ทำไมคุณพ่อทองคุณแม่ทองถึงไม่เคยอยู่บ้านเวลาผมมาเลย ท่านไม่รังเกียจผมใช่ไหม พบที่ไหนท่านก็ทักทายดี”

“ท่านรังเกียจหมอยนตร์ต่างหาก” สุดามณีว่า “ท่านเห็นว่าคนเป็นสัตวแพทย์วางท่าเป็นนักปรัชญาน่าหมั่นไส้”

“นั่นก็ผิดอีก” หมอยนตร์พูดอย่างไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้ใดในที่นั้นนัก “ผมไม่ใช่นักปรัชญา ผมพูดเรื่องธรรมชาติของสัตว์ มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง แต่ไม่ต้องตกใจหรอกคุณหมอเติมมณี ผมไม่แย่งคนไข้ของคุณหรอก”

“ลองแย่งฉันจะได้ไปแจ้งความตำรวจ” สุดามณีว่า “จะมาแย่งทำไมนะ เป็นหมอสัตว์รวยกว่าหมอคนเป็นไหน ๆ”

การสนทนาดำเนินไปในเรื่องอาชีพของสัตวแพทย์และแพทย์ธรรมดาหรือ หมอมนุษย์อย่างที่หมอยนตร์เรียกไปหลายนาที แล้วสาวหกหนุ่มสามก็ไปกินอาหาร หยอกล้อกันด้วยเรื่องทั้งที่มีวิชาและไม่ต้องอาศัยวิชา เบื่อการสนทนาก็เปิดเครื่องวิทยุโทรทัศน์ชมรายการที่เขาสนใจ แล้วก็เลิกไปฟังดนตรี แลกเปลี่ยนความรู้สึกเกี่ยวกับดนตรีอยู่อีกพักหนึ่งแล้วเห็นว่าได้เวลาสมควร ประมาณเกือบ ๒๓ นาฬิกาก็ลากันแยกย้ายไป

ระหว่างทำความสะอาดภาชนะกันอยู่ในครัว ฉลอง นางสาวเสงี่ยม กับนางเพียรก็แลกเปลี่ยนทรรศนะกันตามมาตรฐานของเขาทั้งสามบ้าง

“ดูแสนสุขสนุกสบายกันจริง ๆ นะ คนรวยนี่ไม่คิดห่วงเรื่องอะไรเลย มีผู้ชายมาคุยกัน เลือกคู่กัน ไม่เหมือนเราต้องคิดห่วงหน้าห่วงหลัง ว่าลูกคนนั้นมันจะหาโรงเรียนเข้าได้ไหม ไอ้น้องมันจะมาขอเงินอีกไหม” นางเพียงปรารภ

“สมัยฉันเป็นเด็ก ๆ นะ ฉันอยู่บ้านเจ้าคุณลุงคุณผู้ชายบ้านนี้ แหม ฉันเคยคิดว่าเป็นไพร่นี่สบายกว่าผู้ดี คุณอาๆ ของคุณ ๆ นี่จับเจ่าอยู่กับบ้าน ไม่เคยไปไหนเล้ย จนกว่าจะมีใครเขามาขอก็คึกคักกันไปเสียที ถ้าไม่มีใครเขามาขอ ก็นั่งอยู่กับคุณแม่น่ะแหละ สมัยนั้นใคร ๆ ก็ว่าคนรวยสบายไม่ต้องทำงานทำการ แต่เดี๋ยวนี้เห็นออกไปทำงานกันทุกคน มีแต่คุณใหญ่อยู่บ้านคนเดียว แต่ฉันดูไปฉันกลับเห็นว่าคุณสายกับคุณสรรดูจะรื่นเริงกว่าคุณใหญ่”

“เดี๋ยวนี้เข็ดแล้ว” นายฉลองเอ่ยขึ้นเรื่องของตน “เรื่องไม่พอใจลาออก ลาออก เดี๋ยวนี้มีลูก ๕ คน หวานอมขมกลืน เผอิญบ้านนี้ท่านก็ดี พูดจาเพราะหูอยู่เสมอ คุณผู้หญิงกับคุณ ๆ ลูก ๆ คุณผู้ชายมีปึงปังมั่ง แต่เราก็ทนเอาหน่อย เวลาหางานทำไม่ได้ ลูกแม่เอย พี่เอย เมียเอย เป็นไอ้ขี้ปากเขาจนแทบจะอยากมุดแผ่นดิน เดี๋ยวนี้คงเป็นเพราะแก่ตัวเข้า มีความคิดขึ้น”

“ของฉันยัง” นางเพียรพูดพลางเข็ดขามพลางถอนใจ “ถ้าบังเอิญเราไม่ได้ทำงานที่นี่ มีห้องมีหับให้พ่อเจ้าประคุณได้หลบหน้าเข้าไปนอนเวลาเมา เรื่องลูกเรื่องเต้าจะได้เล่าเรียนคงไม่ต้องพูดถึง”

ในคืนวันนั้น สาวมณีสามพี่น้องกลับไปบ้านโดยไม่ติดใจคุยกันต่อเรื่องที่ได้สนทนาเก็บเพื่อนหญิงชาย แต่วันรุ่งขึ้น ที่โต๊ะอาหารเช้า สุดามณีกับลีลามณีรับประทานอาหารด้วยกันสองคน เพราะวันนั้นเป็นวันหยุดงาน กานดามณีกับคุณพ่อคุณแม่ออกไปเที่ยวตลาดนัดกันแต่เช้า สุดามณีเอ่ยขึ้นว่า

“ว่าไง พี่ต่อ คลื่นอะไรกับคลื่นอะไรรับส่งมั่งเลยรึสำหรับพี่ ดูพี่เช้ยเฉยกับคุณธเณศ ฉันว่าแกมีคลื่นส่งมาทางพี่นะ”

ลีลามณีหยิบขนมปังออกจากที่ปิ้งไฟฟ้าพลางยิ้มมองดูน้องสาว “ไหนคนมีความจัดเจน เล่าให้พี่ฟังมั่งซิ คลื่นของเธอกับหมอประสิทธิ์ มันทำยังไงกันมั่ง”

“สิทธิ์กับฉันน่ะมันคุ้นกันจนจำคลื่นอะไรไม่ได้เสียแล้ว รู้แต่ว่า เวลานี้ฉันขาดเขาไปฉันก็รู้สึกว่าไม่เป็นตัวของฉัน แต่ไม่เคยถามเขาสักที เพราะเขาคอยแต่มองหึง กลัวว่าฉันจะเปลี่ยนใจไปรับคลื่นของท่านเยนเติลแมนที่มีรถผ่อนส่งขับไปขับมา”

“พูดถึงรถ คุณธเณศนี้เห็นแกทีไร เห็นแกมีรถคนละคันกับครั้งที่แล้วมา แล้วเมื่อคืนไม่มีรถ” ลีลามณีตั้งข้อสังเกต แล้วยังไง ไม่เห็นพบปะใครที่รู้จักญาติพี่น้องพ่อแม่แก รู้จักแต่ตัวแกเท่านั้น”

“พี่ถือด้วยเหรอ เรื่องอย่างนี้” สุดามณีถาม

“ก็พี่ยังไม่มีคลื่นอย่างที่น้องเล็กว่านี่” ลีลามณีแก้ “มีเมื่อไหร่คงไม่เอาใจใส่กับอะไรละมั้ง”

“ฉันว่าพี่ต่อจะเป็นชนิดที่ใช้สมองไม่ว่าเรื่องอะไร แต่ฉันไม่รู้เป็นไง เห็นหน้าแกแล้วเกิดความเอ็นดู อยากเข้าไปปลอบโยน อยากเข้าไปทำอะไรให้ พี่รู้สึกงั้นไหม”

“คุณแม่ก็ว่าอย่างงั้น” ลีลามณีบอก “แล้วยังเตือนพี่ว่าอย่าปล่อยให้ความรู้สึกอย่างนั้นตัดสินเรื่องชีวิต ต้องรู้จักเขาให้ดีกว่านี้ นี่ราวกับเป็นตัวคนเดียว”

บ่ายวันนั้นทองสรรมาหาลีลามณี สุดามณีได้ไปจากบ้านแล้วพร้อมกับคู่หมายของหล่อน กานดามณีไปร้านตัดเสื้อ คุณพ่อคุณแม่นอนหลับอยู่ที่เฉลียงชั้นบน เพื่อนสนิทสองคนนั่งคุยกันที่ในห้องรับแขกชั้นล่าง

“นี่สรร” ลีลามณีเริ่ม “คุณเชิญกับเธอมีคลื่นอะไรกันแล้วหรือยัง”

ทองสรรหัวเราะน้อย ๆ “ใครมีความจัดเจนทางนี้บ้าง อยากรู้เหมือนกัน รู้จักกันมาก็นานแล้ว เพื่อนฝูงก็ดูเหมือนจะคาดหมายเอา แต่ไม่เห็นเขามีอะไรผิดสังเกต ฉันว่าเขาก็ชอบเธอชอบน้องเติมชอบฉันเท่า ๆ กัน ทีแรกน่ะเขาจดเข้ามาที่พี่ต้นของเธอ”

“ฮึ ไม่ใช่น่ะ หมอยนตร์ละว่าไม่ถูก แรกทีเดียวชอบใจพี่ต้น แต่แล้วเขายังไงราไปก็ไม่รู้ ทีแรกฉันนึกว่าเขาโอนไปทางสาย เดี๋ยวนี้ดูจะไม่เอากับใครในพวกเราสักคน”

“พี่ต้นตอนนี้มีใครเป็นอัควิน” ทองสรรถามไปตามประสาความอยากรู้ของผู้หญิง

“สองสามคน” ลีลามณีตอบอย่างไม่ค่อยเอาใจใส่นัก “เปลี่ยนหน้ากันเข้ามาเรื่อย”

“พี่ต้นของเธอเขาตั้งหลักเกณฑ์ของเขาไว้ไง ถึงได้ไม่ตกเนื้อต้องใจกับใครสักคน นับได้เกือบสิบแล้วมั้ง”

“เอาแน่ไม่ได้หรอกพี่สาวฉันน่ะ” ลีลามณีตอบ “แต่ฉันเดา ไม่รู้จะถูกกับทฤษฎีหมอยนตร์ไหม เอ้อ มันจะเป็นการนินทาพี่สาวเสียมากกว่า”

“นินทากับฉันจะเป็นอะไรไป ยังมีถือเขาถือเราอีกเหรอ เธอกับฉัน เธอน่ะฉันว่าออกจะเป็นคนนิ่งนะ เก็บอะไรไว้เรื่อยไม่ดีหรอก ฉันมันคนพูดมาก พูดเรื่อย เพิ่งมาสังเกตเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าเธอเป็นฝ่ายฟัง ฉันเป็นฝ่ายพูดเสียเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์”

ลีลามณีพยักหน้า “ฉันพูดกับเธอได้ เพราะเริ่มจะเป็นห่วง ๆ” ลีลามณีพูดอย่างตรึกตรอง “พี่ต้นนี่ฉันว่าผู้ชายเขามักราไปเพราะเห็นฤทธิ์แต่งตัว ใครแต่งงานกับพี่ต้นต้องมีรายได้ส่วนตัวไว้ต่างหาก เงินเดือนที่ไหนก็ไม่พอ เวลานี้เป็นหนี้คุณพ่อเป็นพัน ๆ แล้วก็เป็นหนี้ตามร้านตัดเสื้อหลายร้านเป็นพัน ๆ”

“อื้อ ฉันว่าไม่มีความจริงใจน่ะ ผู้ชายน่ะเรอะจะมาคิดไปถึงราคาเสื้อผ้าผู้หญิง ผู้หญิงด้วยกันยังน้อยคนจะคิดไปถึง โดยมากเห็นเขาสวย ๆ ก็พอใจกันทั้งนั้น” ทองสรรค้าน

“แล้วเธอล่ะ เธอมีอะไรไว้เป็นหลักเกณฑ์” ลีลามณีถามเพื่อนบ้าง

“ฉันก็ขอความจริงใจนี่แหละ” ทองสรงตอบ “ที่เห็นมา ฉันว่ายังไม่เคยเลยที่จะพ้นทฤษฎีบทที่สองของหมอยนตร์ ฉันว่าที่พบ ๆ มา ถ้าเราไม่ได้อยู่บ้านอย่างที่เราอยู่ ไม่ได้พบกันตามที่ที่พบ ก็คงไม่สนใจใยดีอะไรหรอก”

“แล้วก็พี่เชิญล่ะ พี่เชิญเธอก็ว่าเข้าข่ายนั้นเรอะ ลีลามณีย้อนถาม

“ถ้าพี่เชิญรักฉัน คงไม่ยืดเยื้อมาถึงป่านนี้ อะไรก็เห็นกันหมดแล้ว ฉันว่าเขาชอบเป็นเพื่อนกันมากกว่า ไม่มีคลื่นรับคลื่นส่ง” ทองสรรตอบ

น่ากลัวจะเป็นเรื่องดวงชาตาเสียกระมัง” ลีลามณีคิดอยู่สักครู่แล้วพูด “พอถึงคราวทฤษฎีไหน ๆ ก็ใช้ไม่ได้เลย”

เย็นวันนั้นเอง ธเณศมาหาลีลามณี เขาทำทีกิริยาจนเป็นที่เข้าใจว่าเขาต้องการพบหล่อนสองต่อสอง เผอิญมีบุรุษอัศวินของกานดามณีมาชวนให้ออกไปกินไอศครีมด้วยกัน เขาชวนลีลามณีกับธเณศด้วยเป็นมารยาท ธเณศส่งสายตาวิงวอนลีลามณีไม่ให้รับเชิญ หล่อนจึงบอกขอตัวด้วยความอยากรู้ ขณะที่เดินลงไปหาที่นั่งสบายในสวน ใกล้ฉากที่ประกอบด้วยพุ่มไม้ ใจหล่อนเต้นผิดจังหวะไปบ้าง แต่แล้วก็นั่งคุยกับเขาได้อย่างสงบ

คุยกันเรื่องห่างตัวและห่างจากใจได้สักสองสามนาที ธเณศก็หาจังหวะเข้าหาเรื่องที่เขาตั้งใจจะมาพูดได้ เขาเริ่มด้วย “เออ ว่าไงครับคุณต่อ ทฤษฎีหรือสัจจธรรมของหมอยนตร์ คุณมีความเห็นว่ายังไง”

“ในแง่ไหนล่ะคะ?” ลีลามณีก็เอาใจใส่กับเรื่องนั้นพอที่จะรู้สึกว่าการสนทนาออกรสเพิ่มขึ้นมาก

“ในแง่ความจริง คุณว่าคนโดยมากเป็นอย่างที่หมอยนตร์ว่าไหม” ธเณศถาม

“ดิฉันออกจะเห็นด้วย” ลีลามณีตอบสั้น ๆ

“ผมว่าคงมีคนยกเว้นบ้าง ไม่มีเลยหรือครับ คนที่แต่งงานกันเพราะมีอุดมคติตรงกัน ความคิดนึก หรือรสนิยมเข้ากัน” ธเณศถามต่อไป

“ดิฉันก็ว่ามีบ้าง” ลีลามณีตอบสั้น ๆ อีก เพราะอยากฟังเขามากกว่า

“สมมุตินะครับ เขากล่าวต่อไป “ทีแรกคุณรู้จักผู้ชายคนหนึ่ง คุณก็ไม่ค่อยได้เอาใจใส่กับเขาเท่าไหร่ แล้วต่อมา คุณเห็นว่าเขามีนิสัยต้องกับคุณ อยู่ด้วยกันก็จะเป็นสุข แล้วคุณไว้ใจได้หลายอย่าง เช่นไม่เจ้าชู้แน่หรืออะไรอย่างนั้น คุณจะเริ่มให้ความสนใจแล้วปลงใจในที่สุดได้ไหม”

“เมื่อบ่ายนี้เอง ดิฉันคุยอยู่กับทองสรร” ลีลามณีเล่าบ้าง “เมื่อคุยกันเรื่องนี้ได้ไปไม่เท่าไหร่ ก็เลยสรุปว่าถ้าถึงเวลาดวงชาตามันจะเข้าเกณฑ์ มันคงเกิดอะไรให้เรารู้ ทฤษฎีไหน ๆ ก็คงไม่ค่อยแน่กระมังคะ”

“แต่ผมมี ไม่ไม่ทฤษฎีครับ” เขาว่า “ผมทำใจของผมได้ ผมตั้งแล้วว่า ถ้าผู้หญิงจะกรุณาผม ผมจะเลือกผู้หญิงจากน้ำใสใจคอ ไม่คิดไปถึงคลื่นรับคลื่นส่ง เออ ก็คงมีบ้างกระมัง ไอ้พรรณยังงั้น แต่ผมใช้ความสังเกต ผมเลือกจากอุปนิสัยใจคอ”

ลีลามณียิ้มค่อนข้างอ่อนโยน ธเณศเป็นคนทำที่วิสาสะกับเขา เกิดความรู้สึกในทำนองนั้นเป็นธรรมดาของเขา “น่าสนใจค่ะ คุณว่าไปซิคะ คุณชอบอุปนิสัยอย่างไร รสนิยมชนิดไหน”

“ผมชอบคนเยือกเย็น คนใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ คนรู้จักหน้าที่ คนไม่พูดพร่ำเพรื่อ” ธเณศตอบอย่างผู้ที่ได้ไตร่ตรองมาดีแล้ว

“ดิฉันว่าถ้าหาคนอย่างนั้นได้ก็ดี” ลีลามณีคล้อยตาม “แต่เคยได้ยิน ๆ ว่า ไอ้คลื่นรับคลื่นส่งของหมอยนตร์มันมีอำนาจไม่ใช่เล่น บางทีสามีเห็นคุณความดีของภรรยาม้ด แต่แพ้ไอ้คลื่นนี่ได้”

“ถ้าคุณไม่ช่ำชองชีวิตละก็เป็นได้” ธเณศตอบ “แต่ถ้าคนเคยซอกซอนเรียนโลกมาแล้ว เขารู้ใจของตัวเขาแล้ว ผมว่าคุณไม่ต้องห่วง”

ลีลามณีเกิดความกระดาก ไม่กล้าสบตาของชายหนุ่มเพื่อนสนทนา หล่อนทอดสายตาไปมองแปลงดอกไม้ที่มุมหนึ่งของสวน ธเณศกล่าวต่อไปโดยหล่อนไม่เห็นสีหน้าเขา ได้ยินแต่เสียงที่ค่อนข้างเครือเพราะมีอารมณ์เข้าแทรกแซง ทั้งที่เขากำลังยกย่องคุณค่าของความไม่มีอารมณ์

“ทีนี้นะครับ ทีนี้ผมก็อยากรู้ว่า มีผู้หญิงที่ไหนเขาจะใจตรงกับผมบ้าง ผมอดไม่ได้ที่จะหวังว่า ผมอยากให้คุณเป็นผู้หญิงคนนั้น ไม่ต้องรอคลื่นอะไร ใช้สติปัญญา ไปสืบประวัติ สืบเรื่องราวของผู้ชาย แล้วก็ตัดสินใจด้วยเหตุผล”

“เหตุผลควรมีอะไรบ้างคะ” ลีลามณีถามด้วยความใคร่รู้ความคิดของเขา

“ถึงตอนนี้ผมบอกไม่ได้ครับ มันอันตรายสำหรับผม ผมว่าคุณสืบประวัติผมดู ถ้าถูกใจคุณ คุณใช้สติปัญญาตัดสินใจ ถ้าไม่ถูกใจ ก็แปลว่าผมโชคร้าย” ธเณศตอบอย่างคนไตร่ตรองมาดีแล้วอีกครั้งหนึ่ง

“อันตรายยังไงคะ ถ้าคุณบอก” ลีลามณีถาม หล่อนมีความรู้สึกที่อธิบายต่อตนเองไม่ได้ รู้แต่ว่าหล่อนเอียงไปในทางเอ็นดูเขาเป็นส่วนใหญ่ หล่อนมองดูดวงหน้าที่เกลี้ยงเกลาของเขา ดูท่วงทีที่เขาขยับแขนและมือ ดูผมที่หยักศกน้อย ๆ เกาะอยู่กับศีรษะเขา หล่อนอยากฟังเขาพูดกับหล่อนนานๆ

“ถ้าผมบอก อาจเป็นการโฆษณาตัวเอง หรืออาจเป็นการขัดขวางตนเอง คือคุณพยายามดูให้มันเกินไป หรือน้อยไป ได้ทั้งสองอย่าง เวลานี้ผมก็ไม่รู้ใจคุณ ผมอาจแหยเต็มที คุณมีใครในใจเสียแล้ว แล้วผมก็กะเร่อกะร่าเข้ามาหรืออาจมีหลักอะไรไว้ ผมไม่กล้าถาม ฝรั่งเขาว่าฝ่ายที่ขอจะเลือกไม่ได้ หรือขอทานอย่าช่างเลือก หรือจะแปลว่ายังไงก็สุดแล้วแต่ ผมว่าคุณเข้าใจว่าหมายความว่ายังไง”

ภายในเวลาค่ำวันนั้น ลีลามณีก็เล่าถึงการสนทนาระหว่างธเณศกับตัวหล่อนให้น้องคนเล็กฟัง สุดามณีดึงมือพี่สาวออกมาจากห้องของหล่อน พาไปทางห้องของมารดา แต่เมื่อไปถึงห้องนั้น ได้ยินเสียงบิดากับมารดาคุยกัน มีสำเนียงว่า กำลังมีความสุขอยู่กับการแลกเปลี่ยนเรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนฝูงที่ต่างคนต่างไปพบมาในวันนั้น ลีลามณีเกรงใจเห็นว่าธุระของหล่อนไม่รีบร้อน อยากให้บิดามารดามีความสุขร่วมกันตามวัยของท่าน จึงดึงมือน้องสาวกลับไปคุยกันต่อไปที่ห้องของตนเอง หล่อนสั่งสุดามณีไม่ให้เล่าให้กานดามณีฟัง เพราะบางคราว กานดามณีก็มักทนฟังเรื่องความเอาใจใส่ของชายใดต่อหญิงอื่น นอกไปจากตัวของหล่อนเองไม่ค่อยได้ มีคำพูดที่แสดงความรู้สึกที่ลีลามณีไม่อยากฟัง แต่ในวันต่อมา สุดามณีมีโอกาสเล่าให้คุณแม่ฟังถึงความสนใจที่ธเณศมีต่อพี่สาวคนกลาง คุณแม่ก็ตกลงใจว่าจะทำตามที่เขาเสนอคือเริ่มสืบประวัติของเขาให้ถี่ถ้วนที่สุดที่จะทำได้ ลีลามณีเกิดกระดาก เล่าให้คุณแม่ฟังเองหรือปรึกษาหารือไม่ได้ทั้งสิ้น

หกเดือนล่วงไปก่อนที่จะมีการตัดสินใจ ในเรื่องของลีลามณีกับธเณศ ระหว่างหกเดือนนั้น ชีวิตของหกสาวมีความคืบหน้ารวดเร็วโดยไม่มีผู้ใดคาดฝันไว้ ทองทบได้มีชายหนุ่มใหญ่ มีลูกติดคนหนึ่ง เกิดจากภรรยาที่ไม่ได้ยกย่องตามประเพณีหรือรับรองตามกฎหมาย มาสู่ขอ โดยพลโทณรงค์ ปัทมเสนา เพื่อนบ้านชักพามาแนะนำรับรองในความประพฤติและฐานะ ระหว่างที่มีการติดต่อทาบทามขอสู่ทองทบ ในบ้านของสามสาวมณี ก็มีการสากัจฉากันตามปกติ

“ทองทบแกก็เคราะห์ดี นึกว่าจะเป็นสาวแก่ติดบ้านเสียแล้ว” นางรัตนาภรรยานายวิเชียร มารดาของสาวมณีทั้งสามเอ่ยขึ้นที่โต๊ะอาหาร

“ถ้าเป็นสาวแก่ติดบ้าน เสียหายยังไงหรือคะ คุณแม่” แพทย์หญิงสุดามณีถามขึ้นทันที

“ตามปกติ แต่งงานเสียมันก็ดี แต่ไม่ถึงกับต้องเที่ยววิ่งหาหรอก” คุณพ่อบอก

“ก็เผื่อเราไม่อยากปกติล่ะคะ” สุดามณีไม่ยอมจำนนง่าย ๆ

“คนอย่างนั้นก็มี” คุณพ่อตอบ “เช่นแกเป็นต้น”

“โบราณท่านเคยเห็นโลกมา สมัยนี้พูดว่ารู้จักชีวิต” คุณแม่ว่า “ผู้หญิงถ้าอยู่ตัวเปล่าไปจนเกือบแก่ บางทีเขาก็อยู่ไปได้ โบราณก็ยกย่องกัน เช่นที่บ้านแม่ คุณอา ๆ ที่ไม่ได้แต่งงานสองคน คุณพ่อให้ลูก ๆ เคารพยิ่งกว่าใครทั้งหมด แต่โดยมาก อยู่ไป ๆ มักอยู่ไม่ได้ บางคนไปแย่งผัวเขา บางคนก็ทรัพย์สมบัติไปทูนให้เจ้าหนุ่มที่มันรู้คิด มิหนำยังหาเมียน้อยให้มัน แล้วยังต้องคอยเอาใจเมียน้อยให้มันด้วย”

“ที่เจ้าหนุ่มมันดี ๆ มีไหมคะ คุณแม่” สุภามณีซักต่อไป

“เท่าที่เห็นมา ต่อให้ดียังไง ผู้ชายนะลูก มันก็ต้องการไอ้เรื่องธรรมชาติ อย่างดีเขาก็สุภาพ ให้เคารพนับถือ อย่างเลวมันก็ข่มๆร้อยแปด กลัวอายเขาก็ทนเอา”

เรื่องอายเขานี้ สำหรับลูกวางใจได้” สุดามณีพูดหนักแน่น “ใครมันจะว่ายังไง มันก็ดีแต่พูดไป ไม่เห็นมีใครมันจะมาช่วยเรา หรือจะมาทำอะไรเราได้ ไม่ชอบใจขึ้นมา เราก็หย่ามัน ไม่เห็นแปลก”

“พูดอย่างคนสมัยใหม่แท้ คุณหมอ” คุณพ่อว่า สีหน้าไม่แสดงว่าเห็นด้วยหรือไม่ “แล้วก็ทั้งลูกทั้งแม่ ช่างชอบใช้มัน มัน เสียจริง ๆ”

“ขอรับประทานโทษ ไม่ทราบว่ามีท่านผู้ดีแบบเก่าคนหนึ่ง แต่คุณย่าฉันท่านก็เป็นลูกพระยาพานทอง เห็นมันไม่ละเว้น คุณพ่อฉัน เห็นคุณย่าพูด พ่อรัตน์มันยังงั้น มันยังงี้ทุกคำ”

“นั่นท่านแม่ลูกกัน แต่คำว่าผู้ชายแล้วต้องมันนี่ ฉันต้องขอประท้วงไว้เสมอ” คุณพ่อว่าพลางก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ เป็นการจบการสนทนาสำหรับอาหารมื้อนั้น

นอกจากทองทบ ก็มีชายมีทรัพย์พอสู้กับการแต่งกายของกานดามณีเสนอตัวเข้ามาสู้ กานดามณีออกจะเบิกบานมากและทำทีทำให้เข้าใจกันทั่วไปว่า คน ๆ นี้เป็นที่ถูกใจหล่อนแน่แล้ว ตัวเขาก็ทำตัวให้ถูกใจหล่อนมากด้วยการแสดงความเต็มใจไปหาแพร หาผ้า เที่ยวชมตลาด และพาไปรับประทานอาหารกลางฉัน ณ ภัตตาคารที่เรียกราคาอาหารแพงลิ่ว เขามีเวลาที่จะประพฤติตามความพอใจตนด้วย เพราะรายได้ของเขาได้มาจากกองมรดกกองใหญ่ ไม่ต้องอาศัยเงินเดือนจากบริษัทหรือตำแหน่งราชการชั้นไหน

นางรัตนา มารดาสามสาวมณีเริ่มการสืบประวัติของธเณศจากวงมิตรสหาย และจากหมอยนตร์เป็นจุดเริ่ม ทำให้หมอยนตร์สนุกกับเหตุการณ์มาก และเขาให้ความร่วมมือกับท่านเป็นอย่างดี ด้วยการหาโอกาสให้ท่านหรือผู้แทนของท่านได้พบกับผู้ที่เคยรู้จักธเณศ จนกระทั่งนางรัตนาได้ไปพบกับญาติกลุ่มหนึ่งของชายหนุ่มผู้นั้น

เมื่อพบกับญาติกลุ่มนั้นเป็นครั้งแรก นางรัตนาต้องเผชิญกับความผิดหวัง เพราะตัวท่านมีความเอ็นดูและเอาใจช่วยธเณศอยู่มาก ญาติกลุ่มนั้นมีด้วยกันสองครอบครัว เป็นครอบครัวของน้าผู้หญิง ซึ่งเป็นลูกเรียงพี่เรียงน้องของมารดาธเณศ และอีกครอบครัวหนึ่งเป็นครบครัวของอาผู้ชาย ซึ่งมีความสนิทฐานะญาติเท่ากับน้าผู้หญิง

คุณอาผู้ชายเป็นข้าราชการชั้นโทในกระทรวงหนึ่ง ผู้แทนของนางรัตนาได้ไปทำความรู้จักกับเขาที่บ้านของเพื่อนคนหนึ่งในงานทำบุญวันเกิดญาติผู้ใหญ่ เมื่อทราบว่าเขาเป็นญาติกับธเณศ โดยบังเอิญคุยไปถึงครอบครัวของนายสุวรรณและนางรัตนา ผู้แทนก็เล่าให้ฟังอย่างไม่จริงจังนักว่าธเณศติดต่อกับลูกสาวของครอบครัวนั้นอยู่คนหนึ่ง

“เออ” ชายกลางคนนั้นถอนใจ “นายธเณศ”

“เป็นไงคะ คุณรู้จักกับนายธเณศดีหรือคะ” ผู้แทนครอบครัวสาวมณีแสร้งถามทั้งที่รู้แล้วว่าเขาเป็นญาติกัน

“ครับ รู้จัก” ชายคนนั้นตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจพูดต่อไป

“เขาเป็นคนทำงานทำการดี จะได้ดีต่อไปข้างหน้าใช่ไหมคะ แต่ส่วนตัวเป็นไงนะ อยากรู้ เห็นหน้าตาหล่อ” ท่านผู้แทนพูดต่อไป

“อือ” เสียงถอนใจอีก “ก็ไม่ใช่ธุระอะไรของผม” ญาติธเณศพูดเสียงเนือยๆ

ในโอกาสนั้น ผู้แทนนางรัตนาไม่สามารถซักถามเรื่องธเณศต่อไป แต่ในเมื่อญาติของธเณศมีอาการที่ก่อความสงสัย ผู้แทนนั้นจึงจัดการจนนางรัตนาได้พบกับญาติของธเณศผู้นั้น เขาชื่อ นายธันย์ นางรัตนาไปหาเขาที่บ้าน และบอกแก่เขาตรง ๆ ว่าธเณศไปติดต่อกับลูกสาวของท่าน และท่านอยากทราบว่า เขาเป็นคนสมควรที่ท่านจะส่งเสริมหรือเกียดกัน ขอให้เขาเห็นแก่เพื่อนมนุษย์บอกความจริงในเรื่องของธเณศเท่าที่เขาจะบอกได้

คำตอบที่ได้รับไม่ตรงกับคำถาม เป็นคำตอบเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง ว่าเขากับธเณศไม่ถูกกันเรื่องส่วนตัว จบด้วยคำพูดว่า “ผมจะไปว่าเขาเป็นคนไม่ดีก็ไม่ได้ เรามันจน จะมาให้เขาเคารพนับถือเหมือนญาติมั่งมีน่ะมันไม่ได้”

นางรัตนากลับบ้านด้วยความผิดหวังดังกล่าวแล้ว ผิดหวังเพราะอยากฟังคำสนับสนุนธเณศ และผิดหวังว่าธเณศมีญาติอย่างที่เขามี ส่วนพ่อแม่ของเขาเองนั้นล่วงลับไปนานแล้ว เป็นที่ทราบกันดี แต่นางรัตนาไม่หมดความพยายามง่าย ๆ จากการสนทนากับนายธันย์ ท่านได้รับทราบว่ามีครอบครัวของน้าผู้หนึ่งซึ่งเป็นญาติสนิทกับธเณศเท่ากับตัวเขา ท่านจึงหาทางจนกระทั่งมีโอกาสได้เข้าไปพบน้าของธเณศผู้นั้น ผู้มีชื่อว่า ศิริ

เมื่อได้พบกับนางศิริที่บ้านของท่านผู้นั้นเอง นางรัตนาก็ขอทราบเรื่องราวเกี่ยวกับธเณศอย่างตรง ๆ ดังที่ได้เคยทำแล้วกับนายธันย์ เพราะได้ติดต่อกันไว้ดีแล้ว คำตอบที่ได้รับจากนางศิรินี้เป็นคำตอบที่ล้วนเป็นเรื่องที่นางศิริเห็นเป็นขบขัน

“ทุกอย่างเขาดีค่ะ ตั้งแต่เห็นมา กับพ่อแม่เขามีกตัญญูมาก เขาพยาบาลแม่เข้าเกือบจะว่าคนเดียว พี่น้องอื่นจากกัน มาช่วยเหลือไม่ได้ จะมีเสียอยู่ก็ข้อหนึ่งละค่ะ แต่ถ้าลูกคุณไม่รุนแรงทางนี้ก็คงจะไม่เป็นไร แกเจ้าชู้ค่ะ” พูดจบแล้วก็หัวเราะคิกคัก

“แกทำยังไงบ้างคะ ที่ว่าเจ้าชู้” นางรัตนาถาม

“แกมีมาหลายคนแล้วค่ะ ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ไม่เห็นเอาจริงกับใคร แต่ว่าผู้ชายนะคะ ถืออะไร้ พอถึงอายุเข้า เห็นลูกเขาดี ๆ หาที่พึ่งที่พาได้ มันก็สงบลง ดิฉันอีกว่าไอ้ที่มันออกฤทธิ์ตอนแก่ ดิฉันว่ายังงี้นะคะ คุณมาหาขอให้บอกความจริง ดิฉันก็มีเท่านี้ล่ะค่ะ”

มารดาของลีลามณีให้หล่อนทราบเรื่องราวของธเณศตลอดทุกระยะที่สืบสาวราวเรื่องเขามาได้ ตลอดเวลานี้เขาก็ติดต่ออยู่อย่างสม่ำเสมอเหมือนดังที่ได้ทำมา กับทั้งที่บ้านสาวทองทั้งสามและที่บ้านสาวมณี ระยะนี้ออกจะครึกครื้นขึ้นกว่าระยะที่แล้วมา เพราะมีคู่หมั้นของทองทบและคู่หมายกานดามณีมาเป็นแขกประจำบ้านทั้งสองด้วย

วันหนึ่งหมอยนตร์มาเยี่ยมลีลามณี ในเวลาเย็นคนเดียว โดยไม่มีเชิญหรือธเณศมาด้วย เขาขอมาพบหล่อนคนเดียวแล้ว เมื่อได้สนทนาปราศรัยตามธรรมเนียมเล็กน้อย เขาก็ออกปากชวนหล่อนให้ไปนั่งรถเที่ยวกับเขา ลีลามณีก็รับเชิญ แล้วก็นั่งไปด้วยกัน

หมอยนตร์พารถเข้าถนนซอยจากถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เลี้ยวมาถึงถนนนครสวรรค์ เลี้ยวไปทางซอยระหว่างถนนพระรามที่หกกับถนนพระรามที่ห้า พาลีลามณีชมบ้านเก่าซึ่งสร้างขึ้นในพระนครแปลกตาหล่อน และหล่อนก็บอกว่าหล่อนสนุกเพราะไม่เคยไปตามทิศทางที่เขาพามาเลย

“มันนิสัยของคุณน่ะ อะไร ๆ คิดไปในทางดีได้เสมอ” หมอยนตร์ว่า “คุณน่ะ ไม่คอยช่างคุย ไม่เหมือนคุณทองสรรไม่เหมือนพี่สาวหรือน้องสาวคุณ คุณช่างสังเกตอะไร เก็บไว้เงียบ ๆ แต่ไม่เงียบเอาไปทุกข์ พยายามทำให้ทุกอย่างสนุก”

“เป็นคำชมใช่ไหมคะ” ลีลามณีถาม

“พุทโธ่ ผมชมใครเป็น ผมพูดตามที่ผมสังเกต” เขาตอบพลางค่อยๆ ชะลอรถ ขณะนี้เขาได้พารถเข้ามายังซอยค่อนข้างเล็กระหว่างบางซื่อและถนนพระรามที่หก “อ้อ ถึงแล้ว รู้ไหม ผมหลงทาง หวังว่าหายหลงแล้ว”

เขาจอดรถที่หน้าบ้านมีรั้วสังกะสี อยู่ในสภาพดีทั้งรั้วและประตูทางเข้า เขาดึงสายลวดที่ทิ้งชายออกมานอกรั้ว ทำให้มีเสียงกริ่งดังขึ้น อีกภายในไม่เกินสามนาที มีหญิงในวัยสูงกว่าลีลามณีแต่ไม่ถึงแก่จะเรียกว่ากลางคน เปิดประตูและโผลหน้าออกมาดูว่าใครเป็นแขกของหล่อน หมอยนตร์เข้าไปยืนใกล้บอกว่า “ผมเอง หมอยนตร์จำได้ไหม”

หญิงนั้นยิ้มเปิดประตูรับ “เชิญเข้ามาค่ะ แหม ไม่ได้พบกับนาน”

“ก็ไม่เห็นใครไปตามให้มารักษาสัตว์อะไรอีกนี่ครับ” หมอยนตร์ว่า “อื้อ นี่คุณลีลามณี นี่คุณ อื้อ ผมต้องขอรับประทานโทษอย่างมาก เมาไปหน่อย ลืมชื่อคุณเสียแล้ว”

“ชื่ออิงพรรณค่ะ” หญิงเจ้าของบ้านตอบ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณหมอมักจำชื่อคนไม่ได้ แต่ถ้าคนไข้ เอ๊ย อะไรล่ะ หมาที่คุณหมอรักษาละก็ เห็นจำได้แม่นยำ”

ทันใดนั้นเองมีสุนัขวิ่งลงจากเรือนสี่ตัว ส่งเสียงเห่ากรรโชกบ้าง กระดิกหางบ้าง หมอยนตร์ทักหมาตัวหนึ่ง “นี่เจ้ามี่ ว่าไง เห่าเสียงดังเชียวนะ คราวนี้”

เจ้ามี่เข้ามาหาหมอยนตร์ เปลี่ยนจากทีท่าหวงบ้านหวงเจ้าของเป็นการต้อนรับ หมาอื่นก็เปลี่ยนทีท่า มีอยู่ตัวหนึ่งตัวน้อยกว่าเพื่อน ไม่กล้าเข้ามาใกล้คนแปลกหน้าและคำรามอยู่ไกล ๆ

“นั่นคงเป็นแม่ลิน” หมอยนตร์ว่า “โตเร็วจริงนะเรา อะไร จำหมอไม่ได้เรอะ ไม่ได้หมอละก็แกไม่ได้มาส่งเสียงคำรามอยู่นี่หรอก”

หญิงเจ้าของบ้านห้ามสุนัขแล้วก็เชื้อเชิญพาหมอยนตร์และลีลามณีขึ้นไปบนเรือน ปลูกอย่างสมัยใหม่พอใช้ แต่ไม่มีเครื่องเรือนอย่างดีนัก เมื่อหมอยนตร์และลีลามณีลงนั่งแล้ว เจ้าของบ้านจัดการกับน้ำสำหรับดื่มตามธรรมเนียม แล้วก็ถาม

“คุณหมอมีธุระอะไรคะ หรือผ่านมาก็เลยเข้ามาเยี่ยมคนไข้

“ผ่านมาก็เลยมาเยี่ยมครับ” หมอยนตร์ตอบ “เจ้าของพวกนี้เขาไปไหนกันหมดละครับ”

“คงอยู่หลังบ้านค่ะ เล่นขายข้าวขายของ ชมภู่มันกำลังออกเต็มต้น แก่บ้าง อ่อนบ้าง จัดการเอาเป็นสินค้าหมด เจ้าพวกนี้เมื่อกี้ก็คงสาละวนอยู่กับอะไร ไม่งั้นดิฉันไปที่ประตูไม่ทันหรอกค่ะ มันต้องไปออเห่ากันอยู่ก่อน”

พูดจบก็เดินไปโผล่หน้าต่างด้านหลังบ้านดูออกไปในสวนน้อย แล้วก็เรียก “เออ แม่เภาก็เข้าคณะเสียด้วย มิน่าล่ะต้องออกไปเปิดประตูเอง”

เด็กหญิงในวัยประมาณ ๑๔ คนหนึ่งมาโผล่หน้าเข้ามาในห้องนั่งเล่นชั้นล่างนั้น “อ้อ คุณหมอของเจ้ามี่ นางลิน” เจ้าหล่อนว่า “แหม ดีจังค่ะ นางลินกำลังนัยน์ตาเป็นไงไม่รู้ คุณหมอดูให้หน่อยได้ไหมคะ”

เด็กหญิงนั้น ชื่อเล่นว่า เภา ตามที่เจ้าของบ้านเรียก อุ้มสุนัขตัวเล็กเข้ามาในห้อง หมอยนตร์ตรวจดูตาสุนัขแล้วว่า “ไม่เป็นอะไร เอายาฆ่าเชื้อล้างให้มันหน่อย อย่างที่เคยทำให้เจ้ามี่คราวก่อน”

“เรียกชื่อกันง่าย ๆ ดีนะคะ” ลีลามณีเอ่ยขึ้น เพราะเห็นว่านั่งอยู่นานแล้ว ยังไม่ได้แสดงความสนใจอย่างใดกับบ้านที่หล่อนเข้ามาเป็นแขกเลย “ชื่อเจ้ามี่นางลิน”

หมอยนตร์หัวเราะอย่างขบขัน เจ้าของบ้านหัวเราะด้วย เด็กหญิงวัยรุ่นนั้นอุ้มหมาเบี่ยงตัวไปทางอื่นอย่างอาย

“พี่ธเณศเขาว่าเอาแล้วค่ะ” เจ้าของบ้านเล่า ทำให้ลีลามณีเบิกตาโตทันที “เขาว่าทำไมตั้งชื่อหมาเป็นชื่อฝรั่งแล้วก็ไม่เรียกมันให้ถูก เจ้าตัวนั้นชื่อ ทอมมี่ ค่ะ แล้วนังตัวเล็กนั้นชื่อ มาริลิน”

ลีลามณีไม่สามารถกลั้นยิ้มอย่างขบขันมากไว้ได้ แต่พร้อมกันนั้นก็ถามด้วยความสนใจว่า “คุณเป็นญาติกับคุณธเณศหรือคะ”

เจ้าของบ้านชำเลืองตาดูเด็กหญิง พอเด็กอุ้มสุนัขออกไปไกลพอสมควร จึงตอบเสียงค่อนข้างเบาว่า “ที่จริงไม่ได้เป็นหรอกค่ะ นับถือกัน ดิฉันไม่มีลูกไม่มีใคร ชอบเลี้ยงเด็ก แต่ไม่มีเงิน พี่ธเณศเป็นคนขี้สงสาร เขาเป็นคนอาภัพเรื่องญาติ เป็นกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เล็กพี่น้องก็เหมือนจะผิดใจกันเรื่องทรัพย์สมบัติ แกมีเงิน เห็นดิฉันรักเด็กแกก็เลยสนับสนุน เอาเงินมาช่วยให้เลี้ยง ไม่งั้นเลี้ยงไม่ได้หลายคนอย่างงี้หรอกค่ะ”

“เด็ก ๆ นี่เป็นลูกหลานของคุณหรือของคุณธเณศคะ” ลีลามณีถาม

“ที่เป็นก็มี ที่ไม่เป็นก็มีค่ะ” เจ้าของบ้านตอบ “คนเมื่อกี้เป็นหลานคุณธเณศ แต่ห่างๆ กันนะคะ เป็นกำพร้าทั้งนั้น บางคนเป็นทางดิฉัน บางคนเป็นเด็กเขามาจ้างเลี้ยง เราได้อาศัยเด็กพวกนี้เจือจานพวกกำพร้าต่อไป”

“เดี๋ยวนี้มีกี่คนแล้ว” หมอยนตร์ถาม

“ดิฉันรับเกิน ๑๒ ไม่ไหวค่ะ แล้วหาคนช่วยก็ไม่ได้ ต้องให้ค่าจ้างเขาแพง” เจ้าของบ้านชี้แจงต่อไป “คุณธเณศเขาว่า เขาไม่ต้องการโรงเลี้ยงเด็ก เขาเป็นแต่อยากช่วยเด็กเท่าที่เขาช่วยพอไหว”

“ใครพาคุณยนตร์มา” ลีลามณีหันมาถามเพื่อนชาย

“เจ้ามี่ค่ะ” เจ้าของบ้านตอบด้วยสีหน้ายิ้มอย่างชื่นชม “เจ้ามี่เกิดชักแด็ก ๆ ขึ้นมาวันหนึ่ง น้ำลายเป็นฟอง แม่คนเมื่อกี้แหล่ะค่ะ เจ้าของเขา ร้องไห้โฮ ๆ ดิฉันต้องตัดตินใจ รีบไปโทรศัพท์เรียกคุณธเณศที่ทำงาน เขาก็ไปตามคุณหมอมาให้”

“ผมมาครั้งแรก ไม่รู้ว่าธเณศเขามีบทบาทอะไรกับบ้านนี้” หมอยนตร์กล่าว “นึกว่ารับเลี้ยงเด็ก แต่เห็นเด็กออกมารุม คุณลุงเณศ คุณอาเณศให้วุ่นไป ทีแรกผมก็ยังคิดต่อไปว่า เจ้าเณศนี่มีคนบอกว่ามันเจ้าชู้ เที่ยวไปติดผู้หญิงหลายรายแล้วไม่เอาจริง นึกว่าเป็นลูกเจ้าเณศเอามาซ่อนไว้ มาอีกทีเห็นตั้งโหล เลยไต่ถามได้ความว่าคุณอื้อ อิง เป็นแม่พระรับเลี้ยง”

“แหม ขอเสียที เรียกอะไรก็เรียก อย่าเรียกไอ้คำนั้นเลย” คุณอิงรีบห้ามโดยเร็ว ดิฉันเป็นนักเรียนโรงเรียนแม่ชี พอได้ยินเป็นนึกถึงแม่พระเยซูทุกที”

สามคนหัวเราะกันอย่างถูกใจ ลีลามณีอดไม่ได้ที่จะถามต่อไปว่า “คุณธเณศนี่รวยมากหรือคะ”

“ถ้าเหมือนผู้ชายอื่น ๆ คงรวยค่ะ” เจ้าของบ้านมิตรร่วมใจของธเณศตอบ มีน้ำเสียงจริงใจ “ถ้าแกไม่เที่ยวช่วยสงเคราะห์ญาติ สงเคราะห์มิตรอย่างดิฉัน แกซื้อรถขายรถ หกเดือนเจ็ดเดือน กำไรเป็นหมื่นค่ะ แกเก่งเรื่องค้าขายจริง ๆ แปล๊กแปลก ไม่เห็นมีเลือดจีนที่ไหน หรือจะมีเลือดแขกก็ไม่รู้ ดิฉันเคยรู้จักตั้งแต่คุณย่าแก เห็นเป็นไทย ๆ กันทั้งนั้น แต่แกไม่เหมือนคนอื่น ๆ แกอดช่วยคนไม่ได้”

“ที่จริง คนไทย ๆ เราก็สงเคราะห์ญาติกันเกือบทุกคน ชั่วแต่บางคนสงเคราะห์จากที่มีเศษมีเลย บางคนสงเคราะห์จากการเสียสละความสุขของตัว” หมอยนตร์พูดอย่างคนเจนโลก

“ข้อนั้นก็จริงค่ะ” ลีลามณีรับ “แต่ที่ทำเป็นพรรคเป็นผลไม่ค่อยเห็นมี อย่างนี้มันกินเวลานานนี่คะ ต้องให้เล่าให้เรียนด้วยใช่ไหม หรือเลี้ยงพอให้ชีวิตรอด”

“มีรับประกันการศึกษาทุกคนแล้วค่ะ” อิงพรรณเล่าเรียบ ๆ “พอขายรถได้คันหนึ่ง ก็เปิดบัญชีประกันรายหนึ่ง เหลือแต่ตาปุ้ย เพิ่งมาใหม่ กับยายเอี้ยง สองคนนี่ดิฉันว่าจะพยายามส่งเอง แต่มันไม่ค่อยสมประกอบ คงไม่หมดเปลืองทางทรัพย์ เปลืองแรงไม่เป็นไร ดิฉันเป็นคนไม่เจ็บไม่ไข้ ดวงชาตาเขาก็ว่ายังงั้น เห็นจะพอเลี้ยงเองได้ ที่คุณธเณศมีประกันการศึกษาแล้วสี่คน นอกนั้นเขามีคุณตาคุณยาย ยายจิ้มลิ้มก็มีทรัพย์สมบัติของตัวเอง มีคนดูแลให้ไว้ใจได้ ขาดแต่คนประคับประคองอบรม คุณธเณศเลยไปพามาให้ดิฉัน”

“ทำมาอย่างนี้ได้กี่มากน้อยแล้วคะ” ลีลามณีถาม “ขอประทานโทษ เดี๋ยวจะว่าช่างซักจริง สนใจจริงๆ ค่ะ ไม่เคยพบคนอย่างคุณ”

“ไหมล่ะ" หมดยนตร์ขัดขึ้น “ก็จะได้พบที่ไหน พวกคุณ ๆ ทั้งหลาย ชีวิตของคุณอยู่กับอะไร อยู่กับแบบเสื้อ รองเท้าแล้วก็เอ้อ ขอโทษพูดความจริงนะ แล้วก็ชายหนุ่ม ขอโทษอีกหน”

ลีลามณีอดหัวเราะเพื่อนเก่าไม่ได้ อิงพรรณพูดขึ้น “แต่ถ้าคุณๆ ผู้หญิงไม่เป็นอย่างนั้น อย่างคุณหมอก็ไม่สนใจใช่ไหมคะ”

“ผมชักจะแก่แล้วครับ” หมอยนตร์ว่า “พอคิดว่าจะเข้าหาคุณทองทบ ที่จริงแกอายุเท่าผม ก็พอดีคนรวยกว่าเขาก็เสนอตัวเข้ามา” หมอยนตร์พูด แล้วสามคนก็สนทนาพาทีกันอีกครู่ใหญ่ แล้วหมอยนตร์ก็ชวนลีลามณีขึ้นรถกลับไปบ้าน

หลายสัปดาห์ล่วงไป ลีลามณีไม่ได้มีโอกาสคุยกับหมอยนตร์เรื่องบ้านเลี้ยงเด็กของธเณศ ระหว่างนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหล่อนก็ดูเหมือนจะดำเนิน ไปด้วยดี เกิดความสนิทสนมกันขึ้นทุกวัน จนถึงโอกาสที่คู่หมายของกานดามณีจะเปลี่ยนฐานะเป็นคู่หมั้น โดยมีเถ้าแก่มาทาบทามสู่ขอต่อบิดามารดา ในเวลาเย็นใกล้ ๆ วันที่จะมีการหมั้นเป็นทางการกันหนึ่ง ธเณศมาหาลีลามณี หล่อนรับรองเขาในสวนหลังบ้านตามเคย พอได้โอกาส ปลอดจากเพื่อนที่ต้องวิสาสะตามมารยาท เขาจึงถามหล่อน

“คุณต่อ โอกาสของผมมีบ้างไหม”

ลีลามณีเข้าใจคำถามของเขาดี แต่ด้วยความกระดาก จึงเสพูดไปทางอื่นอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ธเณศจึงพูด “ผมอยากทราบว่า เดี๋ยวนี้ คุณทราบทั้งเรื่องไม่ดีตามสายตาของคนภายนอกพอสมควรแล้ว ในเรื่องทรัพย์ ผมก็รับรองได้ว่าผมจะไม่ต้องให้คุณตกระกำลำบาก ผมหาคนมารับประกันก็ได้ ในเรื่องอุปนิสัยใจคอ เรารู้จักกันพอแล้วหรือยัง คลื่นรับคลื่นส่งอะไรนั้น คุณมีกับผมอย่างที่ผมมีกับคุณบ้างไหม”

ลีลามณีรู้ดีว่าหล่อนจะแต่งงานกับคนอื่นไม่ได้แล้วนอกจากธเณศ แต่หล่อนเป็นคนกระดาก ไม่กล้าตอบ แต่มองเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยไมตรีจิตอย่างลึกซึ้ง

“คุณนี่ โบราณหรือยังไง” ธเณศพ้อ “คนอื่นเขาพูดกันอย่างตื่นเต้นทั้งนั้น”

“แปลว่าคุณเคยฟังมาหลายหนแล้ว” ลีลามณีพูดเชิงสัพยอก

“โธ่ ผมก็เคยพบอะไรมาบ้าง” ธเณศว่า แต่พอให้คุณเชื่อ ไม่เคยมีใครมานั่งอยู่ในหัวใจผมเหมือนคุณ” เห็นหล่อนยิ้มเมินมองที่อื่นด้วยความกระดาก เขาพูดต่อ “ถ้าผมหาผู้ใหญ่มาพูดกับคุณพ่อคุณแม่ของคุณ คุณไม่ขัดข้องใช่ไหม” เขาเริ่มแสดงบทของบุรุษเมื่อมีโอกาสอยู่กับหญิงสองต่อสอง ลีลามณีรู้สึกเป็นสุขกับสัมผัสของชายหนุ่มคนนี้ คนที่หล่อนเชื่อถือแน่แล้วผู้นั้นยิ่งนัก หล่อนไม่ขัดขืนในทางใด เพราะเขาก็อยู่ภายในขอบเขตของชายหนุ่มและหญิงสาวผู้เป็นที่รักแก่กันและกัน ตามวัฒนธรรมของสมัยของคนรุ่นเขาและหล่อน

แล้วเขาก็หยุดจากการแสดงความรักด้วยกาย และเปลี่ยนสีหน้าเป็นเศร้าหน่อย ๆ และเปลี่ยนน้ำเสียงให้ราบรื่น

“ก่อนที่จะไปหาผู้ใหญ่มาเกี่ยวพันกับเรา” เขาว่า “คุณกับผมมีอะไรต้องเข้าใจกันเฉพาะสองคน”

ลีลามณีเตรียมใจว่า เขาจะสารภาพว่าเขาเคยมีลูกแล้ว อาจมากกว่าคนหนึ่ง ใจหล่อนเริ่มเต้น แต่พยายามระงับไว้ แต่ในขณะนั้นความคิดที่เข้ามาในสมองยังไม่เป็นระเบียบ เรียบเรียงเป็นถ้อยคำไม่ได้

“คุณ” เขากุมมือหล่อนไว้และลูบคลำเบา ๆ ดวงตาของเขาวิงวอน “คุณเป็นยอดที่รักของผม คุณอย่าปล่อยให้ความสงสารหรืออะไรเข้ามาข้องเกี่ยวนะ คุณต้องใช้ปัญญา ใช้คลื่นอะไรไม่ได้ทั้งนั้น” เขานิ่งไปครู่ใหญ่ ลีลามณีเริ่มใจสะท้อนด้วยความตื่นเต้น แล้วจึงได้ยินเขาพูดว่า “คุณ คุณต่อ ถึงอย่างไร ๆ ผมก็ไม่ว่าอะไรคุณเป็นอันขาด” แล้วเขาหยุดไปนานอีก

“คุณมีลูกไว้แล้วหรือคะ” ลีลามณีอดทนต่อไปไม่ได้ ต้องช่วยให้เขาสารภาพเพื่อหล่อนจะได้บอกว่า หล่อนพร้อมแล้วที่จะอภัยเขาทุกอย่าง

“โถ คุณ” ธเณศจับมือหญิงสาวบีบด้วยความรักอย่างอ่อนโยน “ไม่ใช่ ไม่ใช่เคยมีลูก แต่ผม ผมจะไม่มีโอกาสมีลูกกับคุณได้ กับใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น” พูดจบแล้วเขาจ้องตาดูหล่อน จ้องเข้าไปราวกับจะดึงดวงใจของหล่อนออกมาและวิงวอนต่อหัวใจนั้นให้เห็นแก่เขา “ผมเป็นคนอาภัพหลายอย่างในชาตินี้” ในที่สุดเขาพูดได้คล่อง เหมือนน้ำที่ไหลบ่าจากทำนบแล้ว ก็มีแรงดันของตนเองให้ไหลต่อไปได้ “พ่อแม่ตายตั้งแต่ยังอายุไม่เท่าไหร่ ญาติผู้ใหญ่โกงมรดกเสียกว่าครึ่ง แต่ก็เหลือพอให้ตั้งเนื้อตั้งตัวได้ แล้วผมก็ไม่ทำเสียหาย แล้วผมยิ่งอาภัพหนักที่รักเด็กเสียจริงเลย เห็นใครอยากเลี้ยงเด็ก ผมอดไม่ไหว ต้องช่วยจนสุดกำลัง”

“คุณ คุณไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วค่ะ” ลีลามณีรีบบอก ความสงสารแล่นเข้าจับใจ “คุณส่งผู้ใหญ่มาขอเร็วที่สุด”

ในซอยที่ตั้งบ้านของสาวสามมณี กับสาวทองทั้งสาม ในปีนั้นมีความครึกครื้นเนื่องด้วยงานสมรสเป็นระยะตลอดปี เริ่มด้วยงานของทองทบ แล้วต่อมาอีกประมาณเดือนก็ถึงงานของกานดามณี พอพักหายเหนื่อย นางรัตนากับนายวิเชียร ก็จัดงานให้ลีลามณีกับธเณศ ต่อมาอีกไม่ถึง ๔ เดือน ก็ถึงงานของทองสรรและดอกเตอร์เชิญ ซึ่งตัดสินร่วมกันเมื่อลีลามณีรับหมั้นธเณศแล้วไม่นาน ประมาณปีหนึ่งนับแต่ทองทบแต่งงาน นายวิเชียรกับนางรัตนาก็ตัดสินใจเรื่องของสุดามณีว่า

“ช่วยจัดการให้มันเสียเถอะ รักกันมาตั้งนานแล้ว ไม่มีบ้านใหม่ก็อยู่บ้านเก่านี่แหละ ตึกแถวเขาเปิดใหม่ให้มันเซ้งทำร้านสักห้องหนึ่ง เราทำตัวเป็นนายทุนก็แล้วกัน ให้มันสองคนช่วยกันใช้หนี้ทีละน้อย”

เวลาล่วงไปอีกไม่กี่เดือน ทองทบก็ตั้งท้อง ญาติและมิตรก็เอาใจใส่กันมาก เพราะอายุของทองทบเกินวัยสาวธรรมดาที่แต่งงาน แต่แพทย์หัวเราะกันเป็นเรื่องขบขัน เพราะวิชาทางการคลอดเจริญมาก ไม่น่าต้องห่วงใย ทองทบแสดงความอารีด้วยการรับเอาลูกของสามีมาเลี้ยงดูเช่นบุตรของตน และตระเตรียมให้ทำใจรักน้องที่จะเกิดใหม่อย่างถูกต้องตามตำราที่สุดามณีคอยพร่ำแนะนำ ทองทบคลอดบุตรแล้ว ก็มีข่าวทองสรร กานดามณีนั้น สามีของหล่อนบอกว่า หล่อนยังไม่อยากมีลูก และตัวเขาก็ไม่เร่งร้อน อยากตามใจให้ภรรยาหาความสุขตามใจหล่อนนานเท่าที่หล่อนปรารถนา

บ้านที่อยู่ของลีลามณีไกลไปจากที่อยู่ของญาติมิตรหมู่เก่า คือในซอยที่ตั้งบ้านเลี้ยงเด็กของอิงพรรณและธเณศ หล่อนได้มีโอกาสช่วยอิงพรรณดูแลอบรมเด็กที่อิงพรรณเลี้ยงด้วยใจกุศล และมีความสุขเพลิดเพลินโดยไม่มีความเศร้าหมองอย่างใด แล้วทองสรรก็คลอดบุตร ลีลามณีก็ได้ใช้เวลาไปให้ความสนใจแก่บุตรของทองสรร อุ้มชู เลี้ยงดูด้วยความรักอย่างอ่อนโยน

“เธอตั้งใจรออะไรเหมือนคุณพี่ต้นของเธอหรือเปล่าน่ะ” ทองสรรถามเพื่อน

ลีลามณีสั่นศีรษะ ทองสรรสังเกตว่ามีแววเศร้าอยู่ในดวงตา หล่อนพูดต่อไป “ไม่มีเองหรือ เคยไปให้หมอตรวจหรือเบล่า เธอหรือคุณธเณศ แท้จริงก็แต่งงานได้สองปีกว่า ๆ เท่านั้น เห็นจะไม่ต้องรีบร้อน” ทองสรรจบเรื่องลงเอง

สุดามณีแต่งงานได้ ๑๓ เดือนก็มีหลานป้าให้ลีลามณีชมเชย ลีลามณีเอาใจใส่กับลูกของสุดามณีเป็นอันมาก เกือบไม่มีเลยที่สัปดาห์หนึ่งจะล่วงไปโดยที่หล่อนไม่มาอุ้มชูหลานป้า

“เมื่อไหร่พี่ต่อจะมีลูกบ้างล่ะ ไปทำศิวิไลซ์อย่างพี่ต้นหรือเปล่าน่ะ ทำดีไปเถอะ อย่างพี่ต้นน่ะ พออยากจะมีขึ้นมา มันเกิดไม่ยอมมี ที่นี้ละโรคประสาทกินละ”

ลีลามณีสั่นศีรษะ สุดามณีไม่สังเกตว่าอย่างไร สาธยายตำราแพทย์ของหล่อนต่อไป

ประมาณอีกสองปีต่อมา ธเณศก็ถูกทางราชการส่งตัวไปประจำสถานกงสุลที่ฮ่องกง ธเณศกับลีลามณีไปราชการต่างประเทศสองปี ระหว่างนั้น ทองทบกันทองสรรมีลูกกันอีกคนละคน วันหนึ่งลีลามณีก็ไปหาทองสรรที่บ้าน ทองสรรรับรองด้วยความยินดียิ่ง ถามว่าหล่อนกลับมาเมืองไทยเมื่อใด จะอยู่นานเท่าใด

“จะย้ายกลับมาเร็ว ๆ นี้ละ” ลีลามณีบอก

“ว่าจะไปเที่ยว ๆ ไม่ได้โอกาสสักที อีตาปานยุ่งจัง เจ็บบ่อย ๆ ต้องกวนน้องเติมเรื่อย คนเลี้ยงก็หาไม่ค่อยได้ สมัยนี้ฝรั่งมาอยู่แถวนี้มากขึ้นทุกที มันแย่งลูกจ้างไปหมด”

สองสาวปรับทุกข์ปัญหาคนรับใช้ในบ้านกันอยู่นานพอสมควร แล้วก็คุยกันเรื่องอื่น แล้วทองสรรถามขึ้น “ต่อ เธอกับคุณธเณศ อะไรต่ออะไรเรียบร้อยนะ ไม่มีอะไรผิดใจกันนะ”

“อะไรทำให้เธอถาม” ลีลามณีย้อนถามเพื่อน

“ขอโทษนะ ถ้าถามไม่ถูก ถามไปด้วยความห่วงใยไม่เข้าเรื่อง จะมีอะไรกันได้ คนดีด้วยกันทั้งคู่”

ลีลามณีกับธเณศกลับมาอยู่ในพระนครอีกสองปี ทางราชการก็ส่งธเณศออกนอกประเทศอีก ไปอยู่ที่กรุงมนิลา

ลีลามณีกับธเณศ ไปประจำอยู่ที่มนิลาได้ประมาณ ๖ เดือน หมอยนตร์ก็มีราชการไปประชุมที่เมืองนั้น เมื่อเขากลับลีลามณีได้กลับมาพร้อมกับเขา ลีลามณีมาพักที่บ้านเดิมของหล่อน จึงมีเวลาได้พบและคุยเล่นกับทองสรรบ่อยๆ

ลีลามณีอยู่ในพระนครจนล่วงเข้าเดือนที่สอง วันหนึ่งทองสรรจึงถามขึ้น

“เออ นี่ต่อจะอยู่กรุงเทพฯอีกเท่าไหร่ มัวแต่ดีใจลืมไม่ได้ถามสักที”

ลีลามณีมีแววตาเศร้าซึมขึ้นมาทันที แล้วหล่อนส่ายหน้าเบาๆ เมื่อทองสรรจ้องมองด้วยความห่วงใยจนเห็นชัด ลีลามณีก็ตอบว่า “ไม่แน่”

“ต่อ ต่อกับฉันไม่ควรปิดอะไรกัน” ทองสรรร้องขึ้นทันที “เธอมีเรื่องอะไรกับคุณธเณศ”

ลีลามณีสั่นศีรษะช้า ๆ อีก “ไม่ได้มีเรื่องกับคุณธเณศ มีกับตัวฉันเอง” หล่อนตอบเสียงลึกอยู่ในทรวงอก

“โธ่ เล่าน่า อย่าเก็บอะไรไว้คนเดียว ฉันรู้สึกยังไงมาหลายหน เวลาเธอเล่นกับเด็ก เธอทำสายตายังไง ทำให้ฉันรู้สึกยังไงๆ พูดไม่ถูก”

“เธอมันก็ช่างสังเกตเหลือเกินนี่” ลีลามณีพูด น้ำเสียงเศร้าแต่แววตาอ่อนโยนตามเคยของหล่อน “จะว่ามีก็มี แต่มัน มัน แหม”

“ต่อ อย่าเก็บไว้คนเดียว เรื่องลี้ลับที่สุดก็ต้องหาใครพูดด้วยสักคน เดี๋ยวเป็นโรคประสาท” ทองสรรวิงวอน

ลีลามณีอ้ำอึ้ง อักอ่วน ทองสรรปลอบและขู่ ด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจ ในที่สุดหล่อนได้รับความสำเร็จครึ่งหนึ่ง คือลีลามณีกล่าวเนิบ ๆ “ใครไม่โดนกับตัว ไม่เข้าใจหรอกเธอ” นิ่งไปอีก ทองสรรวิงวอนอีก จึงได้คำตอบเพียงครึ่งหนึ่งอีก

“เราตกลงกันแล้ว แยกกันอยู่ดูเหมือนจะมีความสุขกว่าอยู่ด้วยกัน”

“เขาเลวทรามยังไง ไม่น่าเชื่อเลย” ทองสรรทำเสียงรำพัน ทันใดนั้นลีลามณีก็รีบพูด

“เขาเป็นคนดีที่สุด คนอย่างเขาหาไม่ได้อีกแล้ว ฉันต่างหากล่ะ ดีไม่พอ”

“อะไร เธอไปทำอะไร เธอไปรักใครเข้า เพราะตอนแต่งงานเธอแต่งเพราะสงสารงั้นเรอะ” ทองสรรถามโดยเกือบไม่หายใจ แต่หัวใจหล่อนไม่มีจังหวะเต้น

“ฉันเห็นจะรักใครมากกว่าที่ฉันรักคุณธเณศไม่ได้แล้ว เพราะยังงั้น ฉันถึงว่าฉันอยู่กับเขาไม่ได้” ลีลามณีพูดด้วยเลียงกระเส่า

“มันเป็นยังไง” ทองสรรซักอย่างเร่าร้อน

“ก่อนแต่งงาน ฉันรู้ว่าคุณธเณศมีลูกไม่ได้ แต่ทีนี้มันไม่เพียงแต่มีลูกไม่ได้ มันมีอะไรไม่ได้อีก ตัวเขาก็ไม่รู้ หมอก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า ผู้ชายพันคน จะมีอย่างคุณธเณศไม่ถึงครึ่งคน ฉันสงสารแกเหลือเกิน แกรักฉันจริง ๆ มันยิ่งเอาใหญ่ ทรมานด้วยกันทั้งสองคน ฉันก็ช่วยทุกทางที่หมอเขาแนะนำ มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เขาเลยแนะให้อยู่แยกกัน แยกกันมาเสียได้นี่ สบายขึ้นแยะ เขาบอกกะฉันว่า ให้แยกกันอยู่ไปจนกว่าฉันจะพบผู้ชายที่ถูกใจ ฉันยังแลไม่เห็น จะพบใครที่ถูกใจเท่า ถูกกันหมดทุกอย่าง หัวเราะด้วยกัน ถอนใจด้วยกัน รำคาญด้วยกัน แต่อยู่ด้วยกันไม่ได้”

อีกสองสัปดาห์ต่อมา ลีลามณีมาลาทองสรรกลับมนิลา ทองสรรไล่เลียงจนลีลามณีต้องบอกว่า “เป็นห่วงเธอ ไปดูเสียหน่อย แล้วก็กลับมาอีก”

“คุณพ่อคุณแม่ถามหรือเปล่า” ทองสรรถาม

“ฉันไม่รอให้ถาม ฉันเรียนคุณแม่ แล้วให้คุณแม่เรียนคุณพ่อ น้องเติมก็รู้”

ต่อมาอีกประมาณหกเดือน หมอยนตร์มาลาทองสรรกับเชิญว่าจะไปพักผ่อนที่มนิลา เขาไปประมาณ ๑๐ วัน แล้วกลับมาพร้อมด้วยลีลามณี

ลีลามณีมาอยู่บ้านได้ประมาณ ๒ เดือน ทองสรรก็ได้รับคำบอกเล่าว่า “ฉันกับคุณธเณศจะหย่ากันแล้ว ฉันจะแต่งงานกับหมอยนตร์”

“เอ้า นึกอะไรขึ้นมา” ทองสรรร้อง เพราะหล่อนติดตามความรู้สึกของลีลามณีอยู่อย่างใกล้ชิด

“ไม่ไหวเธอ เราอยู่ในโลก ทนคนถามไม่ได้ ขี้ปดก็ไม่เก่ง พอเขาถามถึงคุณธเณศทีไร ฉันเป็นต้องทำพิรุธทุกที แล้วเขาถามหนักเข้า ๆ ก็เลยเบื่อ อยากทำอะไรโลก ๆ แล้วเธอจะเข้าใจไหมก็ไม่รู้ ใครไม่เคยกับตัว จะเข้าใจไม่ได้”

“ฉันพอเดาได้น่ะ แต่ว่าทำไมจะแต่งงานกับหมอยนตร์ เขารู้เรื่องหรือเปล่า แล้วเธอจะให้รู้หรือเปล่า”

“เขารู้” ลีลามณีตอบด้วยเสียงที่ทองสรงฟังเหมือนไม่ใช่เสียงของเพื่อนเก่าของหล่อน “เขาว่าเป็นความผิดของเขาด้วย ทีแรกเขาไม่รู้เท่าที่รู้เดี๋ยวนี้หรอก รู้แต่ว่ามีลูกไม่ได้ เขาว่าเขาไม่ควรยุ่งกับชีวิตมนุษย์ในเมื่อตัวเป็นแต่หมอสัตว์ แต่ที่เขาสนับสนุนก็เพราะเห็นฉันกับคุณธเณศเหมาะกัน แล้วเขาสงสารเพื่อนเขา เรื่องที่เธออาภัพมาตั้งแต่เด็ก”

“โอ๊ย เธอจะแก้ปัญหาอย่างนี้ จะดีเร้อ” ทองสรรค้านด้วยความหวังดี

“ถ้าฉันอยู่คนเดียว ไม่มีใครคอยถาม เป็นไง ทำไมยังไม่กลับไป โกรธกับคุณธเณศเรอะ ถ้าไม่มีเพื่อน ไม่มีญาตินะ ฉันก็อยู่กับคุณพ่อคุณแม่เรื่อย ๆ ไปได้ แต่นี่ พอถูกถาม ความรู้สึกมันเกิดเหมือนมีมีดสะกิดสะเก็ดแผล อยากร้องกรี๊ด จะเป็นบ้า”

“แล้วเธอแต่งงานกับหมอยนตร์ มันจะไปได้ก็น้ำ” ทองสรรว่า

“หมอยนตร์เขาบอกว่าให้ลองดู เขารักฉันมานาน แต่ขาดคลื่นอะไรของเขานั้น เขาก็รอมาๆ มันเป็นความรักอย่างเพื่อนอย่างน้อง แต่เดี๋ยวนี้ เขาเกิดมีไอ้คลื่นนั่นจนจะเป็นบ้าไปอีกคนหนึ่งแล้ว ไปเห็นฉันอยู่ที่บ้านกับคุณธเณศ เขาบอกเขาอยากร้องกรี๊ดเหมือนกัน เขาบอกว่า ถ้าแต่งงานกันแล้ว ฉันอยู่กับเขาไม่มีความสุข ก็หย่ากันได้”

“อ้าว แล้วทีนี้ ไม่กลัวโลกคอยถามเหรอ” ทองสรรทำเสียงไม่พอใจอย่างยิ่ง

“ฉันเชื่อหมอยนตร์ เขาว่า โลกล้วนแล้วไปด้วยคนบ้า ถ้าฉันเกิดหย่ากับเขา ฉันจะกลายเป็นนางเอกไป ที่ใคร ๆ เคยมองดูฉันว่าเป็นคนเรียบ ๆ อะไรน่ะ ฉันก็จะกลายเป็นคนอยู่กับผัวคนไหนก็ไม่ได้ แล้วโลกนับถือ ไม่กล้ามาตอแย แต่เขาว่าเขารับรอง มันอยู่ที่เขา เขาว่าเขาบอกแล้วว่า มนุษย์ไม่ได้อยู่ได้ด้วยอุดมคติ อะไรพรรค์อย่างนั้น”

“แล้วก็ทฤษฎีเรื่องคลื่นของเขา เวลานี้เขามีกับเธอ แล้วเธอมีกับเขาหรือเปล่าค่ะ”

ลีลามณีไม่สบตาเพื่อน หล่อนพูดแผ่วเบา “มี แต่ไม่เหมือนกับที่มีกับคุณธเณศเลย มีเหมือนสัตว์ อยากแต่จะมีลูกท่าเดียว”

อีกปีหนึ่งกับสามเดือนต่อมา ลีลามณีก็สมประสงค์ หล่อนมีลูกชายกับหมอยนตร์ หล่อนตั้งชื่อว่า เรศ ทองสรรและสุดามณีรู้ว่า ในใจของลีลามณีหล่อนเรียกลูกคนนี้ว่าธเณศ วันหนึ่ง ทองสรรและสุดามณีอยู่ที่บ้านของลีลามณีและหมอยนตร์พร้อมกัน เจ้าของบ้านทั้งสองไปตากอากาศ ฝากฝังให้ทั้งสองคอยไปดูแลกิจการทางบ้าน สุดามณีมองไปรอบๆ เคหะนั้น แล้วกล่าวแก่ทองสรร

“สรร ดูที่บ้านหมอยนตร์แล้ว เธอว่าไง”

“ฉันไม่รู้จะว่าไง ดูเขาก็มีความสุขดี” ทองสรรตอบพลางถอนใจ

“คุณแม่ท่านว่าไงรู้ไหม ท่านว่าเรื่องของมนุษย์แล้ว อย่าไปเดาอะไร แล้วก็คุณธเณศเขาก็ดีนี่ ไปเป็นเศรษฐีอเมริกัน แกลาออกจากราชการพอพี่ต่อแต่งงาน แกไปรับจ้างฝรั่ง ได้ตำแหน่งใหญ่โต แกส่งเงินมาให้คุณอิงพรรณปลูกบ้านใหม่สวยงามกว้างขวาง เลี้ยงเด็กได้อีกหลายคน คุณอิงพรรณก็หาคนช่วยได้ เพราะมีเงินจ้างคนแพง ๆ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ