บทสักรวาเรื่องอิเหนา ตอนไปใช้บน
เริ่มต้นบทชวน
ชาย ๑๏ สักรวาขอปลอบนางทางไมตรี | เชิญร้องเล่นเปนที่สโมสร |
ฝ่ายนารีก็ชำนาญในการกลอน | อย่าให้วอนเวียนว่าอยู่ช้านาน |
เสียแรงได้มาเรียงเคียงลำ | จะฟังคำสักรวาว่าขาน |
พอเจือใจในรศพจมาน | เหมือนซ้อมไว้ให้ชำนาญการกลอน เอย ฯ |
ชาย ๒๏ สักรวาเสียแรงปลอบไม่ตอบคำ | นี่เนื้อแท้ทาระกำทำเข็ญ |
ฤาจะแกล้งแสร้งให้เลือดตากระเด็น | จึงจะเห็นใจประจักษ์ว่ารักจริง |
ฤๅชิงชังอย่างไรจึงไม่ตอบ | ฤาจะชอบให้สำออยอ้อยอิ่ง |
จะอุส่าห์สู้ชะอ้อนวอนวิง | แต่อย่าทิ้งทางสวาดิให้ขาด เอย ฯ |
ชาย ๓๏ สักรวาวิงวอนจนอ่อนจิตร | นิจาเจ้าเฝ้าบิดตะเหลเก๋ |
พี่ใช่ชายเฉโกโว้เว้ | อย่าประเว่ประวิงทำนิ่งมิ |
เสียแรงรักรำปลอบไม่ตอบคำ | ดูดู๋ทำว่ายากปากไม่ปริ |
ช่างนิ่งนั่งหลับตาสมาธิ | ฤาจะเปนอะโหสิเสียแล้ว เอย ฯ |
หญิง ๔๏ สักรวาฟังเฝ้าเซ้าซี้ | จึงจำมีวาจาประสาซื่อ |
เจ้าฉลาดปราชญ์เปรื่องเลื่องฦๅ | ได้ฝึกปรือสันทัดจัดเจนจริง |
นี่หากเห็นแก่หน้าที่มาปลอบ | ซังตายตอบตามประสาปัญญาหญิง |
ที่ว่าไม่โว้เว้ประเว่ประวิง | ข้าเจ้าเองเกรงกริ่งอยู่เจียว เอย ฯ |
ชาย ๕๏ สักรวาว่าจริงจริงสิกริ่งเล่า | ฤๅเห็นเราลวงใครที่ไหนนั่น |
เมื่อมีแต่คิดระคางไปอย่างนั้น | น้อยฤๅนั่นกระบวนสำนวนนาง |
เห็นเปนชาวบ้านนอกแล้วหลอกหลอน | แคะค่อนตีฝีปากถากถาง |
ถึงเปนปราชญ์ก็ฉลาดแต่บึงบาง | ไม่เหมือนอย่างชาวบางกอกดอกเจ้า เอย ฯ |
หญิง ๖๏ สักรวาชะเจ้าชาวบ้านนอก | ถึงบางกอกใครจะรอไม่ต่อติด |
เจ้าหลายเล่ห์ลิ้นลมคมชิด | ไม่รู้ฤทธิ์ก็จะเร่อละเมอฟัง |
ชะช่างพูดถ่อมตัวน่าหัวร่อ | ข้าก็พอรู้เท่าเจ้าอยู่มั่ง |
อย่าเสียดสีทีทำแต่ลำพัง | นึกจะว่าข้ายังยั้งอยู่ เอย ฯ |
ชาย ๗๏ สักรวามิเสียทีดีจริงเจ้า | เอออะไรรู้เท่าไปทุกอย่าง |
ทั้งหยุดยั้งชั่งใจไว้วาง | ไม่เสียทางไมตรีประนีประนอม |
มิเสียแรงที่รักสักรวา | รู้อัชฌาอาไศรยใจโอบอ้อม |
กระบวนกระบิดคิดอ่านหว่านล้อม | คารี้คารมสมเปนหม่อมแล้ว เอย ฯ |
หญิง ๘๏ สักรวาฟังว่าน่าหัวร่อ | ยังจะยอกันตะบึงไปถึงไหน |
ถึงจะโง่จะเง่าพอเข้าใจ | จะเลียนล้อต่อกันไปก็ป่วยการ |
เจ้าเปนชายเชิญชักยักเรื่องร้อง | สมิงทองลำนำคำหวาน |
ให้เรียบร้อยถ้อยความตามนิทาน | จงต่อติดคิดอ่านดูเถิด เอย ฯ |
ชาย ๙๏ สักรวาจะให้ชักยักเรื่องร้อง | สมิงทองคำหวานพานจะขัด |
แต่นิทานบุราณเราสันทัด | จะสำแดงแจ้งจัดให้เจ้าฟัง |
จะเล่นเมื่ออิเหนาเผาเมือง | ให้สิ้นเรื่องจนมาอยู่กาหลัง |
แม้นเห็นว่าฟั่นเฝือเหลือรั้ง | เรื่องน้อยน้อยหอยสังข์ก็มี เอย ฯ |
หญิง ๑๐๏ สักรวาเจ้าช่างชักยักเรื่อง | เมื่ออิเหนาเผาเมืองดาหา |
น้อยฤๅไม่เสียทีมีปัญญา | เลือกว่าตามสันทัดสนัดใจ |
ถึงว่าเรื่องน้อยน้อยหอยสังข์ | ข้าก็ยังหาสันทัดจัดเจนไม่ |
เมื่ออิเหนาขึ้นเฝ้าก็เปนไร | ถ้าหาไม่ก็ไปใช้บน เอย ฯ |
ชาย ๑๑๏ สักรวาเรื่องอิเหนาเจ้าสันทัด | ไม่ขืนขัดตามแต่ปราถนา |
พวกลำเราล้วนแต่แก่ชรา | เปนดาหาเมื่อจะไปใช้บน |
ทหารแห่คู่เคียงเรียงเรียบ | รถประเทียบคั่งคับสับสน |
จรกากองหลังรั้งพล | พวกระเด่นดาหยนนำน่า เอย ฯ |
บทสักรวาเรื่องอิเหนา ตอนไปใช้บน
๑๒๏ สักรวามาพร้อมเรือประพาศ | ถวายบังคมบรมนารถนาถา |
จะจับเรื่องอิเหนาชาวชวา | ท้าวดาหาเสด็จไปใช้บน |
ทหารแห่คู่เคียงเรียงเรียบ | รถประเทียบคั่งคับสับสน |
จรกากองหลังรั้งพล | พวกระเด่นดาหยนนำน่า เอย ฯ |
๑๓๏ สักรวาอิเหนากุเรปัน | ตื่นสายหาทันเสด็จไม่ |
สรงพระภักตร์ผลัดภูษาแล้วคลาไคล | ขึ้นทรงม้ารีบไปจะให้ทัน |
หลีกทัพจรกามาโดยด่วน | ถึงกระบวนประเทียบเหล่าสาวสรรค์ |
จึงรอม้าที่นั่งสั่งคนพลัน | จงช่วยกันเก็บบุหงามาให้ เอย ฯ |
๑๔๏ สักรวาประสันตากิดาหยัน | ทั้งไพร่นายรายกันเก็บบุหงา |
บ้างเก็บดอกพุดจีบปีบจำปา | อุส่าห์เลือกปลิดให้ติดใบ |
บ้างหาไม้น้อยน้อยสอยพวงพยอม | เช่นนี้หม่อมเธอขี้มักรักใคร่ |
ต่างได้ดอกบุหงาพากันไป | ส่งให้ตัวนายถวาย เอย ฯ |
๑๕๏ สักรวาระเด่นเห็นดอกไม้ | จึงให้ใส่พานรองทองเนื้อห้า |
แล้วตรัสใช้ให้พี่เลี้ยงประสันตา | เอาบุหงาไปให้สองพระน้องรัก |
ระเด่นสียะตรายาใจ | มาราชรถไหนให้ประจักษ์ |
จะมาด้วยบุษบายุพาภักตร์ | ฤๅน้องรักมากับชนนี เอย ฯ |
๑๖๏ สักรวาประสันตาคนคะนอง | เชิญพานทองวิ่งแต้แร่ไปน่า |
ดูข้าหลวงหลงเพลินเดินขึ้นมา | ถามบรรดาสาวสรรค์กำนัลใน |
รู้ว่าสียะตรามารถหลัง | ก็ยืนยั้งอยู่ข้างหนทางใหญ่ |
พอเห็นโฉมพระธิดายาใจ | ตลึงตะไลแลดูเปนครู่ เอย ฯ |
๑๗๏ สักรวาบาหยันพระพี่เลี้ยง | เห็นชายเมียงมองดูก็ขู่ให้ |
โขลนจ่าไม่ว่ากล่าวนี่บ่าวใคร | มาชูพานดอกไม้แลตะลึง |
ฤๅเพื่อนเปนชาวบ้านนอกคอกนา | จนแต่ว่าแล้วยังขืนยืนขึง |
ใจฅอน้อยฤๅช่างดื้อดึง | ฤๅหนึ่งบ้าหลังกระมัง เอย ฯ |
๑๘๏ สักรวาประสันตาทำหน้าตื่น | ประคองพานเข้าไปยื่นให้บาหยัน |
จึงบอกว่าข้าพเจ้าชาวสุพรรณ | องค์อิเหนากุเรปันนั้นใช้มา |
ให้เอาดอกมาลีนี้ประทาน | พระบุตรีกุมารเมืองดาหา |
บอกพลางทางหยิบดอกจำปา | นี่ของข้าให้หม่อมหอมนัก เอย ฯ |
๑๙๏ สักรวาบาหยันกลั้นหัวร่อ | จึงทำว่าข้าขอโทษเถิดเจ้า |
คิดว่าใครไม่รู้จึงดูเบา | มิรู้เหล่ามหาดเล็กเด็กชา |
แล้วแหวกม่านสุวรรณที่กั้นกาง | ถวายพานขึ้นไปทางท้ายรัถา |
แล้วทูลพระบุตรีสียะตรา | พี่ยาประทานสองพระน้อง เอย ฯ |
๒๐๏ สักรวาระเด่นสียะตรา | เห็นบุหงามากมายหลายอย่าง |
จึงเทปันกันกับพระพี่นาง | แล้วเยี่ยมหน้ามาข้างรถมณี |
เอาพานยื่นคืนให้ประสันตา | จงไปเฝ้าพระเชษฐาเรืองศรี |
ช่วยทูลว่าข้ากับพี่นางนี้ | อัญชลีภูวไนยไป เอย ฯ |
๒๑๏ สักระวาพระบุตรีศรีสวัสดิ | ฟังพระน้องข้องขัดอัชฌาไศรย |
สบิ้งสบัดปัดบุหงาแล้วว่าไป | แม่เจ้าเอ๋ยนี่ใครให้พูดจา |
ราวกับเขาเยาว์อยู่ไม่รู้ความ | เจ้าจะมาเปนล่ามส่งภาษา |
ว่าพลางหยิกตีสียะตรา | ทีนี้จะว่าต่อไปฤาไม่ เอย ฯ |
๒๒๏ สักรวาพระน้องต้องหยิกตี | แสร้งพาโลโศกีสอื้นไห้ |
ข้าหยาบช้าว่าขานประการใด | จึงว่าไม่ปฤกษาหารือ |
สั่งให้ทูลเชษฐาว่าบังคม | ก็ทำไมไม่สมทีเดียวฤๅ |
ทั้งหยิกทั้งตีเปนขี้มือ | ฮือฮือข่มเหงเขาเปล่าเปล่า เอย ฯ |
๒๓๏ สักรวาประสันตาพาพานเปล่า | กลับมาพบอิเหนาเข้าไปหา |
จึงทูลว่าพระบุตรีสียะตรา | ทั้งสองรามาร่วมรถเดียวกัน |
แล้วแกล้งทำเฉยหน้าว่าเล่น | ข้าไปเห็นรูปร่างนางสวรรค์ |
งามนักภักตร์เปล่งดังเพ็ญจันทร์ | วันนี้จะต้องทำขวัญตา เอย ฯ |
๒๔๏ สักรวาอิเหนาเจ้าชู้ | คิดอดสูเสแสร้งแกล้งว่า |
ราวกับคนบ้านนอกคอกนา | หน้าตาไหลเล่อกะเบ้อกะบัง |
เห็นผู้หญิงวิ่งออกมาอวดก้อ | น่าหัวร่อนักหนาเหมือนบ้าหลัง |
ช่างชมชื่นตื่นรูปนางชาววัง | น่าเกลียดขี้เกียจฟังแล้ว เอย ฯ |
๒๕๏ สักรวาประสันตาว่าจริงอยู่ | แต่เกิดมาหาได้ดูเช่นนี้ไม่ |
ด้วยโฉมพระบุตรีองค์นี้ไซ้ | งามวิไลยทุกสิ่งพริ้งพร้อม |
ถึงชาวในได้เห็นอยู่ครุ่นครุ่น | ยังหมกมุ่นรักรูปจนซูบผอม |
ลืมเสวยลืมสรงจนองค์มอม | อย่าคิดอ่านหว่านล้อมไปเลย เอย ฯ |
๒๖๏ สักรวาสังคามารตา | หัวร่อร่าร้องตอบว่าชอบอยู่ |
พี่ทายถูกทุกข้อเหมือนหมอดู | ข้าก็รู้เช่นกันกระนั้นจริง |
เคราะห์ร้ายเต็มทีคืนนี้น้อง | เข้าไปต้องเล่นเพื่อนเหมือนผู้หญิง |
ที่จะคืนภาราอย่าประวิง | ชวนกันปลูกกระท่อมทิ้งไว้เถิด เอย ฯ |
๒๗๏ สักรวาอิเหนาเข้าสองรวด | จึงว่าอวดปัญญาน่าหัวร่อ |
จะต้องทำประคำไว้ให้พอ | คอยทำขวัญแขวนฅอเจ้าหมอดู |
จะรีบไปให้ทันกระบวนน่า | อย่าเพ้อพูดเลยข้ารำคาญหู |
แล้วขับม้าผ่าพวกพลระตู | สังเกตดูบุษบาขึ้นมา เอย ฯ |
๒๘๏ สักรวาระเด่นบุษบา | ที่ขัดเคืองน้องยาค่อยเหือดหาย |
แลดูบุหงาเห็นเรี่ยราย | ครั้นจะหยิบก็อายอนุชา |
ที่เปนส่วนของตัวกลัวจะช้ำ | เอาพัดด้ำจิ้วจันทน์กันบุหงา |
แล้วทรงเลือกมลิวันกรรณิกา | จะร้อยมาไลยเล่นสักพวง เอย ฯ |
๒๙๏ สักรวาสียะตราตาชะม้อย | เห็นพี่นางนั่งตะบอยร้อยบุหงา |
ทำเสแสร้งสรวลสันต์จำนรรจา | น่าสมเพชเวทนานักหนานัก |
เจ้าข้าเอ๋ยใครใครที่ไหนหนอ | มาหัวร่อเล่นด้วยกันให้ฟันหัก |
ส่วนดอกไม้ของเขาสิเรารัก | ส่วนเจ้าของไม่รู้จักเจียว เอย ฯ |
๓๐๏ สักรวาระเด่นบุษบา | ได้ฟังว่าแนมเหน็บเจ็บจิตร |
น้อยฤานั่นลิ้นลมคมชิด | ลูกนิดนิดสำนวนกวนใจ |
ว่าพลางทางตีสียะตรา | หยิกทั้งสองขาไม่ปราไส |
ถ้าขืนปากกล้าว่าต่อไป | จะต้องตีด้วยไม้เรียว เอย ฯ |
๓๑๏ สักรวาสียะตราหน้านิ่ว | พลิกพลิ้วผลักไสร้องไห้จ้า |
ดูเถิดซีพี่นางบุษบา | มาตีข้าเก้อเก้อเอออะไร |
พาลเล็กพาลน้อยไปร้อยอย่าง | เขาจะพูดเล่นบ้างก็ไม่ได้ |
พลางกรรแสงแกล้งแหวกวิสูตรไว้ | ตั้งใจคอยพระพี่อิเหนา เอย ฯ |
๓๒๏ สักรวาอิเหนากุเรปัน | ขับม้ามาทันรัถา |
แลเห็นนางตีสียะตรา | กุมาราครวญคร่ำร่ำไร |
พระดูนางนฤมลที่บนรถ | ให้ระทดระทวยองค์หลงใหล |
ตลึงแลแส้พลัดพระหัดถ์ไป | ลำลำจะใคร่ทัก เอย ฯ |
๓๓๏ สักรวาบุษบาพระบุตรี | สถิตย์บนรถมณีที่นั่ง |
สาละวนบ่นบ้าว่าดังดัง | ด้วยกำลังขัดข้องพระน้องชาย |
ชำเลืองแลเห็นอิเหนากุเรปัน | นางผินผันหลบเลียงเมียงม่าย |
พลางปิดม่านสุวรรณพรรณราย | นึกสเทิ้นเขินอายอดสู เอย ฯ |
๓๔๏ สักรวาสียะตราเห็นอิเหนา | ดิ้นเร่าร้องไห้จะไปหา |
แกล้งแหวกม่านกว้างกระจ่างตา | บุษบารวบรูดวิสูตรไว้ |
จึงร้องว่าอะไรนี่พี่นาง | แกล้งจัณฑาลรานทางทุกสิ่งได้ |
พลางพาโลโศกีพิรี้พิไร | ออกกั้นไว้มิให้รูดวิสูตร เอย ฯ |
๓๕๏ สักรวาอิเหนาเจ้าความคิด | เห็นม่านทองป้องปิดเสียมิดหมด |
แกล้งชักม้าย่างย่ำทำพยศ | รอเรียงเคียงรถพระบุตรี |
เสียงพระน้องร้องไห้จะไปรับ | แล้วรื้อกลับเกรงใจประไหมสุหรี |
แกล้งกะระตะม้าพาชี | มาใกล้รถชนนีนาง เอย ฯ |
๓๖๏ สักรวาองค์ประไหมสุหรี | สถิตย์ที่รถทองผ่องใส |
ได้ยินเสียงครวญคร่ำร่ำไร | จำได้ว่าเสียงสียะตรา |
จึงว่าใครทำไมให้เคืองขัด | สียะตราหนึ่งหรัดร้องไห้จ้า |
ตรัสพลางนางเยี่ยมภักตรา | ใครตามมาข้างหลังไม่ฟัง เอย ฯ |
๓๗๏ สักรวาอิเหนาเจ้าเล่ห์ | สมคเนขับม้าเข้ามาใกล้ |
จึงทูลว่าสียะตราโศกาไลย | อยู่ในราชรถพระบุตรี |
เมื่อตะกี้พระน้องร้องเรียกข้า | ให้เอาม้าเข้าไปรับจะขับขี่ |
เห็นข้างน้ำข้างในอยู่ดูไม่ดี | มิรู้ที่จะเข้าไปได้ เอย ฯ |
๓๘๏ สักรวาประไหมสุหรีมียศ | จะรู้เท่าอิเหนาปดก็หาไม่ |
ยิ้มลไมในหน้าแล้วว่าไป | ดูเถิดเจ้าราวกับใครที่ไหนมา |
เดี๋ยวนี้กลับไว้ตัวกลัวผู้หญิง | แกล้งทิ้งนิ่งให้น้องร้องไห้หา |
เจ้าจงกลับไปรับสียะตรา | ให้ขี่ม้าไปด้วยเถิด เอย ฯ |
๓๙๏ สักรวาอิเหนารับเสาวนี | ขับพาชีเข้าเคียงรถที่นั่ง |
แลเห็นม่านสุวรรณกั้นกำบัง | กะทั่งไอให้ดังถึงอนุชา |
พอน้องรักชักสายวิสูตรกว้าง | แลเห็นนางนึกแสนเสนหา |
ให้เพลิดเพลินเมินรับสียะตรา | พระหัดถ์คว้าหวิดหวิดผิดไป เอย ฯ |
๔๐๏ สักรวาสียะตราหนึ่งหรัด | แลเห็นหัดถ์เชษฐาคว้าควักไขว่ |
จึงฉวยฉุดยุดกรกุมไว้ | คว้าไปริมม่านพานจะล้ม |
ยึดไม่อยู่ดูเอาเถิดเจ้ากรรม | อะไรเล่าเฝ้าไปคลำเอาขันถม |
ไม่พูดจาง่ามือฤๅเปนลม | จะคลำหายาดมกระมัง เอย ฯ |
๔๑๏ สักรวาอิเหนาเฝ้าเพ่งพิศ | ฟังน้องว่าหวาดจิตรคิดอดสู |
จึงว่าพี่เปนไรก็ไม่รู้ | หลากนักหนาตาหูให้มัวไป |
แล้วอุ้มสียะตรามาทรงม้า | ถามว่าเปนไรน้องจึงร้องไห้ |
นึกคนึงถึงนางพลางลูบไล้ | คิดบ้าบ้าประสาใจไป เอย ฯ |
๔๒๏ สักรวาสียะตราว่าพี่นาง | ทำจัณฑาลรานทางไปเปล่าเปล่า |
แต่สั่งว่าไหว้พระพี่ก็ตีเอา | จะเปิดม่านก็เข้าหยิกทึ้ง |
ไม่พอที่ตีน้องถึงสองครั้ง | เดี๋ยวนี้ยังโกรธาทำหน้าบึ้ง |
แล้วว่ามีพี่ใหม่ใจดื้อดึง | ทำประหนึ่งมิใช่เนื้อเหลือแค้น เอย ฯ |
๔๓๏ สักรวาระเด่นมนตรี | จึงว่าน้องต้องตีเพราะเชษฐา |
ถึงเดือนสามสำเภาเขาเข้ามา | พี่จะซื้อตุ๊กกระตาทำขวัญน้อง |
อย่าครวญคร่ำกำสรดโศกี | จงหัดขี่มโนไมยเสียให้คล่อง |
แล้วขับม้าเผ่นโผนโจนคะนอง | รีบไปเข้ากองน่า เอย ฯ |
๔๔๏ สักรวาท้าวดาหาชราร่าง | ทรงพระกล้องมาพลางบนรัถา |
ถึงประทับยับยั้งโยธา | เสด็จขึ้นพลับพลาพนาลี |
ทั้งลูกรักอัคเรศพร้อมพรั่ง | จึงดำรัสตรัสสั่งมะเดหวี |
จงพาอนะบุษบานารี | ไปเล่นน้ำยังที่ธาร เอย ฯ |
๔๕๏ สักรวามะเดหวีศรีสวัสดิ | ได้ฟังตรัสปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
จึงตรัสชวนบุษบานารี | อัญชลีลาองค์พระทรงยศ |
ลงจากพลับพลามาตามทาง | ข้าหลวงลูกขุนนางกางพระกลด |
พาธิดาเดินเที่ยวเลี้ยวลด | มายังเชิงบรรพตที่ธาร เอย ฯ |
๔๖๏ สักรวาบุษบานารี | พระชนนีกำนัลในซ้ายขวา |
ถึงลหานธารถั่งธารา | ร่มพฤกษาโศกใหญ่ใบบัง |
มีทั้งแท่นแผ่นผาริมวารี | มะเดหวีหยุดพักสำนักนั่ง |
นางชวนฝูงสาวสาวชาววัง | ลงยังท้องธารสำราญ เอย ฯ |
๔๗๏ สักรวาอิเหนานั่งอยู่ข้างน่า | รู้ว่าโฉมยงไปสรงสนาน |
ชวนพี่เลี้ยงเสนีตะลีตะลาน | ตามไปถึงธารนที |
เข้าแอบไม้มองเขม้นเห็นบุษบา | สรงคงคาอยู่กับเหล่าสาวศรี |
พระยิ้มใหญ่ยิ้มน้อยพลอยเปรมปรีดิ์ | เก็บมาลีลอยลงไปให้ เอย ฯ |
๔๘๏ สักรวาระเด่นบุตรี | เห็นมาลีลอยเกลื่อนกลางชลไหล |
นางหยิบเล่นเห็นมดแล้วโยนไป | ประทานให้สาวสรรค์กัลยา |
แล้วเสสรวลชวนพี่เลี้ยงบาหยัน | สำราญรมย์ชมพรรณมัจฉา |
โน่นปลาอะไรว่ายคล้ายคล้ายมา | หน้าดำเหมือนกาเจียวพี่ เอย ฯ |
๔๙๏ สักรวาบาหยันพระพี่เลี้ยง | บ่ายเบี่ยงบอกตามนามมัจฉา |
พระน้องไม่รู้ฤๅชื่อปลากา | เช่นนี้มีอยู่ที่น่าตำหนักแพ |
เที่ยวหากินถิ่นฐานหามีไม่ | ขี้มักไปซ่อนซอกที่จอกแหน |
แล้วพูดกลบเกลื่อนเชือนแช | ต่างสำรวลสรวลแซ่ไป เอย ฯ |
๕๐๏ สักรวาระเด่นมนตรี | จึงให้พี่เลี้ยงหักกิ่งพฤกษา |
ทำเหมือนห้างกลางทุ่งมุงหลังคา | แล้วเลขาเพลงยาวกล่าวเกี้ยวพาน |
เอาดินปั้นตุ๊กกระตาน่ารัก | เปนแม่ชักแม่สื่อถือสาร |
ใส่ในเรือนเลื่อนลอยไปตามธาร | แล้วลนลานรีบมาพลับพลา เอย ฯ |
๕๑๏ สักรวาระเด่นบุษบา | เล่นด้วยฝูงกัลยาบาหยัน |
ต่างเลือกเก็บก้อนกรวดมาอวดกัน | สีสันแดงขาวเขียวขจี |
พอแลเห็นเรือนน้อยลอยมาใกล้ | ตกใจคิดว่าเช่นเขาเส้นผี |
จึงร้องถามบาหยันไปทันที | เรือนอะไรอย่างนี้ณพี่ เอย ฯ |
๕๒๏ สักรวาบาหยันยังเพลินเล่น | เหลียวมาเห็นเรือนน้อยลอยเลื่อน |
จึงหยิบขึ้นเปิดประตูดูในเรือน | เห็นรูปเหมือนคนถือหนังสือชู |
หยิบเอาสารามาเพ่งพิศ | นิ่งพินิจกระดาษประหลาดอยู่ |
จึงเอาไปให้พระชนนีดู | หนังสืออะไรไม่รู้เลย เอย ฯ |
๕๓๏ สักรวามะเดหวีคลี่สารอ่าน | ได้แจ้งการเคืองขัดอัชฌาไศรย |
จึงว่าแก่บาหยันทันใด | จะเปนใครบังอาจประมาทเรา |
ความนี้เห็นเปนจรกาคิด | ถ้าแม้นผิดอิกทีก็อีเหนา |
แล้วตรัสชวนโฉมยงนงเยาว์ | กับพวกเหล่ากำนัลมาพลับพลา เอย ฯ |
๕๔๏ สักรวาท้าวดาหาเพลาบ่าย | ผันผายมาขึ้นราชรัถา |
เคลื่อนกระบวนพยุหบาตรยาตรา | ไปวิลิศมาหราบรรพต |
เสด็จขึ้นพลับพลาผาศุกใจ | ทั้งข้างน่าข้างในมาพร้อมหมด |
จึงตรัสเรียกเครื่องชาสุธารศ | มาทรงซดอยู่ที่น่าพลับพลา เอย ฯ |
๕๕๏ สักรวาประไหมสุหรี | เห็นบุตรีเศร้าหมองไม่ผ่องใส |
จึงตรัสกับลูกน้อยกลอยใจ | เจ้าจงไปเที่ยวชมเชิงคิรี |
มีทั้งศาลเทวาอาวาศ | รุกขชาติหลายอย่างต่างสี |
แล้วจงเก็บบุบผามาลี | มาให้ชนนีบ้าง เอย ฯ |
๕๖๏ สักรวาระเด่นบุษบา | ชลีลาไปกับเหล่าสาวศรี |
ลดเลี้ยวเที่ยวเล่นริมคิรี | เก็บบุบผามาลีหลายพรรณ |
แล้วมาหยุดยั้งนั่งสำนัก | ริมศาลเทพารักษ์รังสรรค์ |
จึงสั่งสาวสุรางค์นางกำนัล | ให้เที่ยวเก็บดอกปะหนันมา เอย ฯ |
๕๗๏ สักรวาสาวใช้ไปเที่ยวหา | อยากจะใคร่ได้หน้าด้วยกันหมด |
เก็บลั่นทมริมทางหว่างบรรพต | จนยางหยดถูกนางที่หว่างคิ้ว |
เห็นมะกรูดกรูวิ่งชิงกันเก็บ | หยิกขยี้สีเล็บแล้วดมผิว |
บ้างโน้มกิ่งมดกัดสบัดนิ้ว | ร้องอุยหน่าหน้านิ่วอยู่ เอย ฯ |
๕๘๏ สักรวานางยุบลด้นเดิน | เพลิดเพลินหลงทางมากลางเถื่อน |
ถึงยอดเขาเปล่าจิตรคิดฟั่นเฟือน | ไม่เห็นเพื่อนสาวสรรค์กำนัลใน |
เหลียวซ้ายแลขวาล้วนป่ากว้าง | หาทางหลายตลบหาพบไม่ |
ยิ่งพรั่นตัวกลัวเสือเหลือใจ | เที่ยวกู่ก้องร้องไห้หาเพื่อน เอย ฯ |
๕๙๏ สักรวาอิเหนาให้เปล่าเปลี่ยว | ชวนพี่เลี้ยงไปเที่ยวถึงเขาสูง |
ชมพฤกษาสล้างยางยูง | ฟังฝูงบุหรงร้องก้องป่ารัง |
พอได้ยินเสียงผู้หญิงวิ่งมาดู | เห็นนั่งอยู่ถามไปด้วยใจหวัง |
นางคนนี้ลาดเลาเปนชาววัง | เจ้ามานั่งร้องไห้อยู่ไย เอย ฯ |
๖๐๏ สักรวายุบลคนค่อม | นอบน้อมบังคมคัลด้วยหรรษา |
จึงทูลว่าระเด่นบุษบา | อยู่ที่ศาลเทวาน่าบรรพต |
รับสั่งใช้ให้หาดอกปาหนัน | เพื่อนกันเขาทิ้งข้าเสียหมด |
ได้พบปะพระองค์ทรงยศ | ช่วยพาลงจากบรรพตด้วยเถิด เอย ฯ |
๖๑๏ สักรวาอิเหนาเข้าใจแจ้ง | สมคเนเสแสร้งตอบสาวสรรค์ |
เปนบุญตัวนักหนาเรามาทัน | ถ้าเสือมันมาพบก็ขบตาย |
แม้นเราว่าไรมั่งถ้าฟังกัน | จะช่วยหาดอกปะหนันให้ถวาย |
แต่อย่าให้ใครแจ้งแพร่งพราย | จึงจะรอดความตายไปได้ เอย ฯ |
๖๒๏ สักรวานางยุบลคนซื่อ | ฟังออกชื่อเสือกลัวจนตัวสั่น |
จึงว่าพระจะใช้สิ่งใดนั้น | สารพันไม่ขัดอัธยา |
จงโปรดด้วยช่วยพาข้าลงไป | ให้พ้นไภยเสือสางที่กลางป่า |
ดอกปะหนันนั้นได้ก็เอามา | พระธิดาจะต้องประสงค์ เอย ฯ |
๖๓๏ สักรวาอิเหนากุเรปัน | จึงเที่ยวเก็บดอกปะหนันได้สมหวัง |
คิดอักษรเขียนใส่ในกลีบบัง | กลับมายังสาวใช้ให้มาลี |
จึงพาไปใกล้เทวสถาน | เห็นสับสนอลหม่านล้วนสาวศรี |
เข้าแอบองค์ตรงชะง่อนเงื้อมคิรี | พระหัดถ์ชี้ทางให้สาวใช้ เอย ฯ |
๖๔๏ สักรวานางยุบลคนใช้ | ไม่สงไสยพาซื่อถือศุภสาร |
พลางถวายบังคมก้มกราบกราน | ลนลานลัดมาในอารัญ |
เห็นโฉมยงทรงนั่งเลือกบุหงา | กับบรรดาพวกเหล่าสาวสรรค์ |
ค่อยแอบอ้อมด้อมเดินเข้าไปพลัน | ชูแต่ดอกปะหนันให้เห็น เอย ฯ |
๖๕๏ สักรวาบุษบาเห็นนางค่อม | ดูหน้ามอมมัวหมองเหมือนร้องไห้ |
ยิ้มพลางทางถามไปทันใด | ดอกปะหนันนั้นได้ที่ไหนมา |
รูปร่างนางก็เตี้ยต่ำต้อย | เจ้าได้ไม้ไหนสอยดอกบุหงา |
ฤาไปปะมดตะนอยมันต่อยตา | จึงดูหน้ายู่ยี่เช่นนี้ เอย ฯ |
๖๖๏ สักรวายุบลคนโปรดปราน | คิดรำคาญปะหนันพรั่นนักหนา |
ไม่รู้ว่าอิเหนาใส่อะไรมา | ครั้นจะทูลเอาหน้าก็นึกแคลง |
ถวายแล้วลุกไปเสียให้พ้น | มิให้คนทั้งสิ้นกินแหนง |
ให้ร้อนตัวกลัวผิดคิดระแวง | เข้าแอบพุ่มชุมแสงอยู่ เอย ฯ |
๖๗๏ สักรวาบุษบาโฉมยง | สมประสงค์ทรงรับดอกปะหนัน |
ปลิดกลีบข้างนอกออกหลายอัน | ถึงข้างชั้นในเห็นเปนสารา |
จึงทรงอ่านอักษรกลอนเพลงยาว | ว่ากล่าวจ้วงจาบหยาบนักหนา |
ให้คั่งแค้นเคืองขัดอัธยา | ฉีกบุหงายุ่งยิ่งทิ้งเสีย เอย ฯ |
๖๘๏ สักรวาสาวสาวเหล่าข้าหลวง | ที่ไม่ล่วงรู้แจ้งแย่งบุหงา |
มิได้พินิจพิจารณา | หยิบเอามาแซมผมแล้วชมชู |
บ้างเก็บได้หลายกลีบก็ซ่อนไว้ | จะเอาไปอบผ้าหายากอยู่ |
บ้างอวดว่าของข้าน่าเอ็นดู | เอาทัดหูเสียไม่ให้ใคร เอย ฯ |
๖๙๏ สักรวาพระพี่เลี้ยงปะเสหรัน | เห็นนางทิ้งดอกปะหนันนึกสงไสย |
จะมีเหตุสักสิ่งให้กริ่งใจ | จึงเรียกเหล่าสาวใช้มาพร้อมกัน |
ใครชิงได้ดอกลำเจียกเรียกเอามา | เห็นสาราก็ประหลาดหวาดหวั่น |
เอาติดต่อพอเห็นเปนสำคัญ | แล้วส่งให้บาหยันอ่าน เอย ฯ |
๗๐๏ สักรวาบาหยันอ่านอักษร | รู้ว่ากลอนเพลงยาวกล่าวถากถาง |
เห็นทีอีเหนามาตามนาง | น้อยฤาช่างเล็ดลอดดอดมาพบ |
ไหนนางยุบลคนขยัน | เอาปะหนันมาให้แล้วไพล่หลบ |
ใครช่วยไปหานางช่างสมคบ | มาให้ข้าขอพบสักหน่อย เอย ฯ |
๗๑๏ สักรวาพวกเหล่านางสาวใช้ | แยกกันไปค้นคว้าหานางค่อม |
บ้างบุกเข้ารกเรี้ยวเที่ยวอ้อมค้อม | ดูดู๋หม่อมยุบลซุกซนครัน |
เห็นสุมทุมพุ่มไม้เข้าไปมอง | หลบไยเล่าเจ้าของดอกปะหนัน |
มาเถิดจะได้ให้รางวัล | พลางสำรวลสรวลสันต์แซ่ไป เอย ฯ |
๗๒๏ สักรวาอิเหนาดูเยาวมาลย์ | ให้ซาบซ่านเสียวจิตรพิศมัย |
เห็นนางดูบุหรงตรงกิ่งไม้ | งามวิไลยลม่อมพร้อมพริ้ง |
จึงชักกฤชออกฉายกรายกรีด | เสียงพระน้องร้องหวีดสลบนิ่ง |
แลเห็นองค์อรไทยไม่ไหวติง | ก็วางวิ่งเลี้ยวลัดไปวัด เอย ฯ |
๗๓๏ สักรวาพี่เลี้ยงเสียงร้องหวีด | ตกประหม่าหน้าซีดตัวสั่น |
ทั้งแสนสาวสุรางค์นางกำนัล | เข้าแก้ไขนวดฟั้นพระบุตรี |
ครั้นนางฟื้นคืนได้สติมา | จึงถามว่าประหลาดเหลือเมื่อตะกี้ |
เห็นพระน้องร้องสิ้นสมประดี | จิตรใจข้าไม่มีเลย เอย ฯ |
๗๔๏ สักรวาบุษบายาใจ | จึงบอกว่าเหตุอะไรไม่รู้ที่ |
น้องแลดูบุหรงอยู่ตรงนี้ | ไม่เห็นมีผู้ใดใครเข้ามา |
ประหลาดหลากนักหนาไม่ว่าเล่น | ต่อจะเปนผีสางที่กลางป่า |
เห็นแปลบปลาบเปนประกายเหมือนสายฟ้า | ต้องตาข้าสลบซบลง เอย ฯ |
๗๕๏ สักรวาปะเสหรันบาหยัน | เห็นเหตุเปนเช่นกันกับบุหงา |
ก็รู้แจ้งแกล้งเชิญพระธิดา | ไปพลับพลาเสียแต่วันทันที |
สองพี่เลี้ยงเคียงข้างนางโฉมยง | เข้าไปเฝ้าองค์มะเดหวี |
ทูลแถลงแจ้งความตามเหตุมี | ข้าเห็นอีเหนาแท้แน่แล้ว เอย ฯ |
๗๖๏ สักรวามะเดหวีมีศักดิ | แจ้งประจักษ์จึงว่ากับบาหยัน |
บัดนี้อิเหนากุเรปัน | ก็หมายมั่นโฉมยงนงเยาว์ |
ฝ่ายระตูสู่ขอต่อบิตุรงค์ | พระองค์ก็ได้ยกให้เขา |
เปนสองรายสองรักหนักอกเรา | น้ำใจเจ้าเห็นจะได้ข้างไหน เอย ฯ |
๗๗๏ สักรวาบาหยันอัญชลี | จึงทูลว่าข้านี้ก็นึกอยู่ |
คิดคิดว่าจะใคร่ให้หมอดู | แต่เห็นจะไม่สู้เสี่ยงทาย |
เชิญเสด็จเข้าไปในวิหาร | อธิฐานเทียนทองเปนสองฝ่าย |
แม้นบุญใครจะมิได้ใกล้กราย | ให้เพลิงนั้นอันตรายไป เอย ฯ |
๗๘๏ สักรวามะเดหวีเห็นดีด้วย | คุณพระช่วยจึงจะล้างทางสงไสย |
จึงจัดแจงเครื่องบุบผามาไลย | ทั้งธูปเทียนจะได้ไปบูชา |
แล้วให้พระบุตรีศรีสวัสดิ | แต่งองค์ทรงปรัดผัดหน้า |
พร้อมเหล่าสาวสรรค์กัลยา | เสด็จลงจากพลับพลามา เอย ฯ |
๗๙๏ สักรวาระเด่นมนตรี | ยังอยู่ที่เขาวิลิศมาหรา |
รู้ว่าระเด่นบุษบา | จะกลับมาก็ยั้งรั้งรอ |
พระสุริยันต์ก็บ่ายชายเย็น | เปนไฉนไม่เห็นมาเลยหนอ |
จึงตรัสเรียกประสันตาเข้ามาล้อ | แต่พอค่อยคลายสบาย เอย ฯ |
๘๐๏ สักรวากิดาหยันอยู่พร้อมหน้า | เล่นจ้องเตเฮฮาโห่ฉาว |
บ้างคิดอ่านสานตะกร้อใบมะพร้าว | อวดฝีท้าวเตะโต้กันไปมา |
บ้างหัดร้องลำรำเต้น | บ้างก็เล่นมวยปล้ำทำท่า |
บ้างชวนเพื่อนพรั่งพร้อมซ้อมสักรวา | จะได้เล่นเมื่อน่าน้ำ เอย ฯ |
๘๑๏ สักรวาโฉมยงองค์มะเดหวี | กับบุตรีแน่งน้อยเสนหา |
เสด็จเดินถนนหนทางมา | ทั้งโขลนจ่าชาวแม่แจจรร |
ครั้นถึงที่เนินผาน่าวัด | เห็นหนุ่มหนุ่มกลุ้มกลัดอยู่ที่นั่น |
จึงหยุดยั้งสั่งหลวงแม่เจ้าพลัน | ไปขับเขาเหล่านั้นเสียที เอย ฯ |
๘๒๏ สักรวาจ่าดำหลวงแม่เจ้า | มายืนเท้าสะเอวมองร้องขู่เข็น |
จวนเวลาสายัณห์ตวันเย็น | พวกไหนใครมาเล่นอยู่เหล่านี้ |
จะเสด็จขึ้นไปไหว้พระ | อย่ามายืนเกะกะอยู่ที่นี่ |
เหมือนลูกหลานดอกบอกดีดี | มิฟังว่าข้าจะตีเอาดอก เอย ฯ |
๘๓๏ สักรวากิดาหยันไม่ทันเห็น | กำลังเล่นตะกร้อหัวร่อฉาว |
สไปเตะตัวเปนเกลียวเกรียวกราว | จนโดนหลวงแม่จ้าวล้มกลิ้งไป |
แล้วขอโทษทำว่าข้าไม่เห็น | มายืนกีดเขาเล่นก็เปนได้ |
พอแลเห็นพระกลดกั้นให้พรั่นใจ | จึงถามว่าเสด็จไหนนี่ยาย เอย ฯ |
๘๔๏ สักรวาหลวงแม่เจ้าคราวเคราะห์ร้าย | คิดเหมือนลูกหลานชายหาโกรธไม่ |
จึงว่าเจ้าเหล่านี้นี่บ่าวใคร | ฤๅว่าไพร่หลวงเลขสักข้อมือ |
เสด็จพระธิดามาถึงนี่ | ทำไมตาหามีไม่ดอกฤๅ |
จะต้องให้เขาฉุดยุดยื้อ | ว่าไม่ฟังยังดื้ออยู่อิก เอย ฯ |
๘๕๏ สักรวากิดาหยันชวนกันหลอก | ข้าเจ้าชาวบ้านนอกดอกยายเอ๋ย |
อย่าขู่เข็นค้อนควักไปนักเลย | ข้าไม่เคยจะขอถามตามจริง |
ตัวของท่านยายนี้นายประตู | ฤๅตำรวจตรวจหมู่ข้างผู้หญิง |
จงบอกมาอย่าให้ต้องวอนวิง | นี้ข้าเอาอิฐทิ้งเอาดอก เอย ฯ |
๘๖๏ สักรวาอิเหนากุเรปัน | ได้ยินเสียงเถียงกันอยู่อึงมี่ |
เดินมาดูรู้ว่าพระบุตรี | จึงขับเหล่าเสนีตะลีตะลาน |
กวักเรียกอนุชาพาพี่เลี้ยง | หลบเลี่ยงเข้าไปในวิหาร |
จะคอยดูโฉมยงนงคราญ | เข้าแอบหลังพระประธานอยู่ เอย ฯ |
๘๗๏ สักรวานางกระษัตริย์มะเดหวี | พาบุตรีเข้าไปในวิหาร |
เอาธูปเทียนจุดจัดนมัสการ | แล้วกราบกรานพระปฏิมากร |
จึงจุดเทียนอิเหนาจรกา | เทียนระเด่นบุษบาดวงสมร |
ขอให้รู้แท้แน่นอน | แล้วสอนบุษบาให้ว่า เอย ฯ |
๘๘๏ สักรวาบุษบานารี | ฟังพระชนนีเซ้าซี้สอน |
นึกนึกก็รำคาญด้วยมารดร | เฝ้าอ้อนวอนให้ว่าน่าอายใจ |
จึงว่าความพิศฐานนั้นพานยาก | เมื่อสอนมากหลายคำจำไม่ได้ |
เมื่อตะกี้พระมารดาว่ากะไร | ลูกหลงลืมไปเสียแล้ว เอย ฯ |
๘๙๏ สักรวามะเดหวีศรีสมร | เฝ้าสั่งสอนแคะไค้ให้ว่า |
เทียนข้างซ้ายฝ่ายระตูจรกา | ข้างขวาของอิเหนากุเรปัน |
ขอให้ประจักษ์แจ้งแห่งเหตุผล | ทั้งสองคนล้วนมาตุนาหงัน |
แม้นใครใช่คู่เคยกัน | ให้เทียนของคนนั้นดับไป เอย ฯ |
๙๐๏ สักรวาพระบุตรีศรีสวัสดิ | จะขืนขัดชนนีก็มิได้ |
แต่อิดเอื้อนเยื้อนว่าด้วยจำใจ | พระปฏิมาจงได้ปรานี |
ครั้นจะออกชื่อชายอายอุบอิบ | จึงว่าลืมเสียฉิบแล้วเมื่อกี้ |
แกล้งให้พระมารดานั้นพาที | ค่อยว่าตามชนนีไป เอย ฯ |
๙๑๏ สักรวาอิเหนาเฝ้าเมียงมอง | ฟังพระน้องว่าประวิงไม่นิ่งได้ |
จึงร้องตอบบุษบายาใจ | จะบอกให้โฉมยงนงเยาว์ |
เจ้าก็เปนสุริวงษ์พงษ์เทวัญ | จะได้กันกับพระพี่อิเหนา |
จรการะตูใช่คู่เคล้า | อย่าได้ออกชื่อเขาเลยเจ้า เอย ฯ |
๙๒๏ สักรวามะเดหวีกับพี่เลี้ยง | ได้ฟังเสียงพระบอกออกมาได้ |
ประหลาดจิตรคิดอัศจรรย์ใจ | ยังเกรงนักซักไซ้พระปฏิมา |
อันอิเหนาเขาไม่ต้องประสงค์ | ไปลุ่มหลงอยู่กินกับจินตะหรา |
นางถามพระเท่าไรไม่พูดจา | จึงสอนให้บุษบาว่าไป เอย ฯ |
๙๓๏ สักรวาบุษบายุพาพาล | เห็นพระประธานพูดด้วยก็ขวยเขิน |
จะซักไซ้ใจคิดสทกสเทิ้น | ชม้ายเมินมิได้ว่าประหม่าใจ |
ครั้นชนนีพี่เลี้ยงวอนวิง | จะขืนนิ่งเกรงจะขัดอัชฌาไศรย |
จึงว่าเขาสิเปนเช่นนั้นไป | พระจะว่ากะไรเล่า เอย ฯ |
๙๔๏ สักรวาอิเหนาฟังเขาซัก | จึงเยื้องยักว่ากล่าวก้าวเฉียง |
จินตะหรานั้นอิเหนาเขาไม่เลี้ยง | อย่ามาเถียงเลยสีกาข้ารำคาญ |
แล้วให้น้องต้อนค้างคาวฉาวออกไป | ดับไฟมืดมัวทั่ววิหาร |
ย่องมาใกล้ได้ยินเสียงเยาวมาลย์ | เข้าอุ้มองค์นงคราญไว้ เอย ฯ |
๙๕๏ สักรวาระเด่นบุษบา | ไม่รู้ตัวตกประหม่าว่าผีสาง |
นึกภาวนามนต์บ่นไปพลาง | พระหัดถ์นางสบัดปัดไป |
เห็นไม่ถอยหนีมือดื้อนักหนา | อิเหนามามั่นคงไม่สงไสย |
จึงฉวยฉุดยุดชนนีไว้ | พระพี่ยามาในนี้ เอย ฯ |
๙๖๏ สักรวาพระมารดาได้ฟังนาง | ยังคิดคลางแคลงใจไม่ประจักษ์ |
สำคัญว่าพระอิฐเธอคิดรัก | มาลอบลักหยอกยุดพระบุตรี |
จึงห้ามว่าอย่าร้องไปเลยลูก | มือแม่ถูกเจ้าเองเมื่อตะกี้ |
แล้วตรัสสั่งประเสหรันทันที | จุดอัคคีเข้ามาอย่าช้า เอย ฯ |
๙๗๏ สักรวาประเสหรันกัลยา | วิ่งไปจุดเทียนมาหาช้าไม่ |
ถึงประตูเพลิงดับกลับออกไป | น่าแค้นใจด้วยค้างคาวเหล่านี้ครัน |
พอเห็นปล้องไม้วางข้างชุกชี | หยิบมาครอบอัคคีขมีขมัน |
เข้าในวิหารได้เปิดไฟพลัน | เห็นอิเหนากุเรปันอยู่นั่น เอย ฯ |
๙๘๏ สักรวามะเดหวีโฉมเฉลา | เห็นอิเหนานึกแค้นแน่นในจิตร |
น้อยฤาทำได้ช่างไม่คิด | จะเกรงใจใครสักนิดก็ไม่มี |
แต่แรกว่าไม่รักทำหักหาญ | จนจวนจะตั้งการภิเศกศรี |
กลับมาทำข่มเหงเล่นเช่นนี้ | เจ้าเชื่อดีอย่างไรที่ไหน เอย ฯ |
๙๙๏ สักรวาอิเหนาเจ้าสำนวน | จึงว่าควรแล้วฤามาว่าร้อยอย่าง |
เมื่อข้าได้ตุนาหงันกันกับนาง | จะพรากไปให้ข้างจรกา |
ชวนกันทำข่มเหงไม่เกรงใจ | แต่เขาไม่จู้จี้ดีนักหนา |
เดี๋ยวนี้ถึงใช้ให้เทวดา | ลงมาว่าก็ไม่วางนาง เอย ฯ |
๑๐๐๏ สักรวามะเดหวีว่าอิเหนา | จริงอยู่เจ้าได้มาตุนาหงัน |
แล้วตัดรอนค่อนว่าสารพัน | ก็เคืองขาดจากกันแต่นั้นมา |
จึงยกองค์ทรามไวยให้ระตู | เมื่อเจ้างมชมอยู่เมืองหมันหยา |
นี่รู้แจ้งว่าจะแต่งงานวิวาห์ | จึงแกล้งมาจัณฑาลรานทาง เอย ฯ |
๑๐๑๏ สักรวาอิเหนากุเรปัน | ประจุบันแก้ไขไวว่อง |
ข้าเปนคู่ตุนาหงันกับพระน้อง | พระมารดาว่าของจรกา |
ก็ให้ตัวระตูมาสู้กัน | กว่าชีวันจะม้วยมุดสุดสังขาร์ |
แม้นตัวข้าไม่ตายวายชีวา | อย่าสงกาว่าจะวางนาง เอย ฯ |
๑๐๒๏ สักรวาฝ่ายว่ามะเดหวี | ฟังระเด่นมนตรีพูดโอหัง |
แม้นลวกด้วยน้ำเย็นเห็นจะฟัง | จึงปลอบว่าข้าก็ยังไม่ตัดรอน |
เมื่อยังรักใคร่ในพระน้อง | แม่จะช่วยตริตรองผันผ่อน |
ทูลพระองค์ทรงฤทธิบิดร | อ้อนวอนให้ได้ดังใจ เอย ฯ |
๑๐๓๏ สักรวาอิเหนาเจ้าเล่ห์ | สมคเนนึกยิ้มอยู่ในหน้า |
เอาถ้อยยำคำมั่นสัญญา | แล้วเปลื้องมหาสังวาลส่งให้นงเยาว์ |
ขอเปลี่ยนสีน้ำดอกไม้สไบบาง | จะได้ไปชมพลางต่างเจ้า |
แต่พอส่างโศกศัลย์บันเทา | อย่าทิ้งให้ไปเปล่าเลย เอย ฯ |
๑๐๔๏ สักรวามะเดหวีศรีสมร | ได้ฟังคำจำผ่อนผันหา |
จึงเปลื้องเครื่องทรงองค์บุษบา | ยื่นให้นัดดาด้วยปรานี |
แล้วหยิบเอาเครื่องอิเหนาทรง | ประดับองค์บุษบามารศรี |
ชวนธิดาลาพระจรลี | มายังที่ประทับพลับพลา เอย ฯ |
๑๐๕๏ สักรวาระเด่นบุษบา | เข้านิทรามัวหมองไม่ผ่องใส |
ยิ่งคิดเศร้าสร้อยน้อยใจ | ชลไนยคลอเนตรกัลยา |
อกเอ๋ยอนิจาครานี้ | แม้นม้วยชีวีเสียดีกว่า |
นางสอึกสอื้นไห้ไปมา | ไม่สรงเสวยโภชนาเลย เอย ฯ |
๑๐๖๏ สักรวาพระผู้ผ่านดาหา | เห็นลูกรักภักตราหม่นหมอง |
พระนั่งนิ่งดำริห์ตริตรอง | เห็นจะข้องเคืองขัดอัธยา |
จึงดำรัสตรัสแก่มะเดหวี | วันนี้เคราะห์ร้ายนักหนา |
จงพาระเด่นบุษบา | ไปให้พระสิทธารดน้ำ เอย ฯ |
๑๐๗๏ สักรวาอนงค์องค์มะเดหวี | อัญชลีคำนับรับสั่ง |
จึงสั่งให้สาวสาวชาววัง | จัดพานผ้ามาตั้งเตรียมไว้ |
ให้เยาวมาลย์เชิญพานภูษาศรี | ลงจากที่พลับพลาทองผ่องใส |
พร้อมเหล่าสาวสรรค์กำนัลใน | ตรงไปกุฎีฤาษี เอย ฯ |
๑๐๘๏ สักรวาอิเหนากุเรปัน | อยู่พร้อมกันกับกระษัตริย์ทั้งห้า |
แลเห็นระเด่นบุษบา | เชิญพานภูษาประหม่าชาย |
ออกเอนเอียงเพียงพานจะตกลง | ก็วิ่งตรงเข้าช่วยนางโฉมฉาย |
แล้วแกล้งว่าห้ากระษัตริย์ตรัสภิปราย | ช่างนิ่งอยู่ดูดายเสียได้ เอย ฯ |
๑๐๙๏ สักรวาจรกาทำตาเขียว | หันหุนฉุนเฉียวเฉลียวจิตร |
ครั้นจะว่าก็มิได้ในใจคิด | ด้วยเขาพี่น้องสนิทชิดกว่าเรา |
จึงเสว่ากับระเด่นทั้งสาม | มาทำหยามเย้ยหยันกันเปล่าเปล่า |
ตั้งชุมนุมรุมดูคู่ของเรา | กะไรเจ้านี่ช่างไม่เกรงใจ เอย ฯ |
๑๑๐๏ สักรวาสังคามาระตา | หัวร่อร่าร้องเย้ยเฉลยไข |
ถึงเราแลก็แต่น้อยต่อคล้อยไป | ด้วยแจ้งใจว่าคู่ครองของเธอ |
อันองค์พระบุตรีนีฤมล | เราเจียมตนเหมือนเปนข้าไม่กล้าเผยอ |
อย่าควรคิดฤษยาว่าเพ้อ | เขาจะเยาะก็จะเก้อเสียดอก เอย ฯ |
๑๑๑๏ สักรวากะหรัดตะปาตี | จึงพาทีฝีปากถากถาง |
ข้าแลเปนตัวครูดูนาง | อยากจะใครได้บ้างต่างสกุล |
ด้วยรูปชั่วตัวดำต่ำชาติ | จึงมาดสูงเนื้อไปเกื้อหนุน |
มิเหมือนหมายตายเปนก็ตามบุญ | จะแอบอุ่นอยู่ดาหาภารา เอย ฯ |
๑๑๒๏ สักรวาสุหรานากง | จึงตรัสห้ามสามองค์อึงนักหนา |
นี่แน่คะระตูจรกา | เจ้าว่ามาทั้งนี้ผิดทีไป |
ถึงจะเปนคู่ครองของเจ้า | แต่พี่น้องของเราเรายกให้ |
อย่าดูนางจะอดสูใจ | ได้ไปเถิดจึงพิศให้อิ่ม เอย ฯ |
๑๑๓๏ สักรวาจรกาล่าสำ | ได้ฟังคำแค้นคั่งเจ้าทั้งสาม |
คิดจะตอบก็จะได้แต่ไม่งาม | จะเกิดความวามวู่ไม่คู่ควร |
บุราณว่าอดใจได้เปนพระ | สธุสะให้ได้น้องครองสงวน |
คนึงนึกตรึกไตรใคร่ครวญ | พลอยสำรวลสรวลสันต์ด้วยกัน เอย ฯ |
๑๑๔๏ สักรวาอิเหนาเจ้าชู้ | เดินเปนคู่เคียงประคองพานผ้า |
ยิ้มพรายชายชำเลืองเล่นตา | เสนหาอาวรณ์ร้อนฤดี |
เหน็บแนมแกมกลปนไป | มิให้ปรากฎแก่สาวศรี |
ครั้นใกล้อาศรมพระมุนี | ภูมีมิใคร่จะไป เอย ฯ |
๑๑๕๏ สักรวาพระบุตรีศรีสวัสดิ | สุดแสนแค้นขัดด้วยเชษฐา |
ค้อนเคืองชำเลืองหางตา | บ่นบ้าเบื่อใจไม่ไกลกัน |
เฝ้าชิดเฉียดเสียดสีจู้จี้จ้าน | นึกเดือดดาลเดินประชดเหลืออดกลั้น |
ถึงศาลาอาศรมพระนักธรรม์ | ก็ย่างขึ้นอัฒจันท์ทันที เอย ฯ |
๑๑๖๏ สักรวาฝ่ายว่ามะเดหวี | มาถึงที่พระสิทธาดาบศ |
จึงนั่งลงตรงภักตร์พระนักพรต | น้อมประณตแล้วแถลงแจ้งยุบล |
พระปิ่นปักนัคเรศดาหา | ให้พาองค์บุษบามาเปนต้น |
ขอรับประทานน้ำทิพมนต์ | รดให้พ้นเคราะห์ร้ายสบาย เอย ฯ |
๑๑๗๏ สักรวาฤาษีสังปะติเงะ | ร้องว่าเอะสีกามาดอกฤๅ |
พิเคราะห์ดูรู้เรื่องที่เลื่องฦๅ | ประสาซื่อซักถามความเบาเบา |
ซึ่งจะให้เราทำรดน้ำมนต์ | ทั้งสองคนทีเดียวเจียวฤๅเจ้า |
จงแถลงแจ้งความไปตามเลา | อย่าให้เรารดน้ำมนต์สองหน เอย ฯ |
๑๑๘๏ สักรวามะเดหวีมีศักดิ | ได้ประจักษ์แจ้งคำพระฤาษี |
ยิ้มแล้วแลมาไม่ช้าที | ข้างฝ่ายอีเหนายิ้มแล้วเมินภักตร์ |
แต่ระเด่นบุษบายุพาพาล | เห็นหน้าม้านหมอบอยู่อดสูหนัก |
ทั้งสี่พี่เลี้ยงนางนงลักษณ์ | ยิ้มพยักแลดูกันอยู่ เอย ฯ |
๑๑๙๏ สักรวาพระมุนีฤาษีเอก | ก็ทรงเศกมนต์เวทวิเศษโส |
สิ้นหัวใจกอข้อทั้งนอโม | แล้วหยิบโอออกมาน่าประตู |
รดอิเหนาบุษบาบังอร | อวยพรสององค์ให้คงคู่ |
แต่บรรดาสารพัดพวกศัตรู | อย่าให้สู้เจ้าได้ไปเถิด เอย ฯ |
๑๒๐๏ สักรวามะเดหวีศรีสมร | ฟังให้พรซ่อนยิ้มอยู่ในหน้า |
แต่โฉมยงองค์ระเด่นบุษบา | หน้าตาไม่สบายอายเต็มที |
แล้วถวายประนตบทบงสุ์ | ลาองค์พระมหาฤๅษี |
ต่างลงจากกระไดด้วยทันที | มายังที่ประทับพลับพลา เอย ฯ |
๑๒๑๏ สักรวาอิเหนาเศร้าเสียใจ | ด้วยจะไกลบุษบามารศรี |
ตามมาส่งศาลาน่าคิรี | บังคมมะเดหวีชลีลา |
ในอุราอาวรณ์ถอนสอื้น | ตลึงยืนเหลียวแลชะแง้หา |
จนนงลักษณ์เลี้ยวกลับไปลับตา | พระก็เสด็จมาพลับพลา เอย ฯ |
๑๒๒๏ สักรวาท้าวดาหาคิดอาวรณ์ | แต่แรมร้อนอยู่ในป่าพนาสี |
ก็ได้หลายเวลาราตรี | เกลือกพระพี่กุเรปันจะยกมา |
เสด็จออกพลับพลาบัญชาสั่ง | ตำมะหงงดะหมังยาสา |
จงรีบรัดจัดพลโยธา | เราจะคืนดาหาธานี เอย ฯ |
๑๒๓๏ สักรวาเสนาดะหมัง | รับสั่งแล้วออกมาบอกหมาย |
ทั่วทุกหมื่นขุนมุลนาย | เพลาบ่ายจะเสด็จเข้าธานี |
กรมช้างผูกช้างชนะงา | กรมม้าผูกม้าต่างสี |
รถที่นั่งทั้งรถนารี | มาเตรียมไว้ยังที่เกย เอย ฯ |
๑๒๔๏ สักรวาอิเหนาเร่าร้อนทรวง | ด้วยจะไกลใจห่วงถึงดวงสมร |
จึงตรัสกับสองระตูภูธร | เรานำพลนิกรกองน่ามา |
ยกกลับข้าจะรับเปนทัพหลัง | ระตูทั้งสององค์จงเดินน่า |
ตรัสพลางทางสั่งประสันตา | บอกบรรดานายไพร่ให้พร้อม เอย ฯ |
๑๒๕๏ สักรวาท้าวดาหาเพลาบ่าย | พอลมชายแต่งองค์ทรงเครื่อง |
ชวนบุตรีมเหษีย่างเยื้อง | ขึ้นทรงรถทองเรืองประเทืองตา |
รถประเทียบเปนระเบียบเรียบเรียง | ทหารเคียงคู่แห่ซ้ายขวา |
เสียงฆ้องกลองก้องสนั่นอรัญวา | พอสนธยาเดือนสว่างกระจ่าง เอย ฯ |
๑๒๖๏ สักรวาบุษบานารี | สถิตย์ที่รถทองผ่องใส |
ครั้นแสงจันทร์จรัสฟ้านภาไลย | รูดม่านทองสองไขออกชมจันทร์ |
มิ่งไม้รายเรียงริมราชรถ | ดอกสดเคียงแข่งรับแสงบุหลัน |
ลำดวนดงดอกระดะมลิวัน | หอมระคนปนกันขยัน เอย ฯ |
๑๒๗๏ สักรวาระเด่นเห็นว่าค่ำ | ชักม้าย่ำเหยาะย่างมาข้างถนน |
ครั้นถึงรถพระบุตรีนีฤมล | ชักม้าวนวงเวียนป้วนเปี้ยนไป |
เพ่งพินิจพิศโฉมประโลมขวัญ | แสงจันทร์จับภักตร์น้องผ่องใส |
งามทุกสิ่งพริ้งพร้อมละม่อมละไม | นึกจะใคร่ถามทักสักคำ เอย ฯ |
๑๒๘๏ สักรวาระเด่นบุษบา | ชมมิ่งไม้มากับบาหยัน |
ทั้งพุดจีบปีบจำปาสารพัน | พลางชี้บอกบาหยันกัลยา |
พอเหลือบเห็นคนประหลาดอาจอง | ขี่ม้าตรงเข้าเรียงเคียงรัถา |
นางนึกเคืองขัดหัทยา | รูดผ้าม่านปิดมิดหมด เอย ฯ |
๑๒๙๏ สักรวาบาหยันอยู่ข้างท้าย | เห็นผู้ชายขี่ม้าเข้ามาใกล้ |
จึงร้องทักซักว่าม้าของใคร | ละลุมเล้าเข้ามาในกระบวนรถ |
พวกสนมกรมวังช่างไม่ว่า | โขลนจ่าไม่ไหวติงนิ่งเสียหมด |
น้อยฤาเห็นแก่หน้าม้าพยศ | จึงละลดให้เลยล่วงเข้ามา เอย ฯ |
๑๓๐๏ สักรวาอิเหนาเจ้าสำนวน | พลางเสสรวลตอบโต้ด้วยโวหาร |
ม้าตัวนี้เคยขี่มาช้านาน | วันนี้พานจะเปนม้าบ้าใจ |
ขืนจะแข่งแซงสวนกระบวนหลัง | จะเย่อยุดฉุดรั้งหาฟังไม่ |
แต่หน่วงเหนี่ยวเรี่ยวแรงแห้งหายไป | พึ่งจะยั้งตั้งตัวได้เดี๋ยวนี้ เอย ฯ |
๑๓๑๏ สักรวาบาหยันยิ้มละไม | แล้วทูลตามความในดังใจหวัง |
ม้าป่วนหวนหันดันทุลัง | ถึงจะรั้งก็ไม่หยุดสุดปัญญา |
ชอบแต่จะควบขับกลับไป | ยังโรงในอุปถัมภ์ทั้งน้ำหญ้า |
กล้วยอ้อยเอมโอชโภชนา | เห็นจะหายคลายเปนบ้าดอก เอย ฯ |
๑๓๒๏ สักรวาอิเหนากุเรปัน | ฟังบาหยันทูลเปนแยบแอบแฝง |
ชะช่างรู้เชิงชัดสกัดสแกง | ถ้าม้าระแวงคิดถึงโรงดังว่ามา |
คงจะควบคืนหลังรั้งไม่กลับ | ไหนจะอยู่สู้ขับได้อายหน้า |
ทั้งนี้เพราะพี่มิเมตตา | วาศนาน้อยแล้วแคล้วไป เอย ฯ |
๑๓๓๏ สักรวาบาหยันพระพี่เลี้ยง | จึงกล่าวเกลี้ยงเสแสร้งแถลงไข |
ที่จริงจิตรคิดรักภูวไนย | จะเปรียบเทียบสิ่งใดก็ยากเย็น |
รักเสมอเหมือนหนึ่งเช่นเส้นเกษา | พระภูมีมิเมตตาจึงไม่เห็น |
รักอยู่แลแต่ทว่าเปนรักเร้น | ยากที่จะชี้เช่นให้เห็น เอย ฯ |
๑๓๔๏ สักรวาอิเหนาฟังเขากล่าว | ชักเรื่องราวเรื่องรักหนักหนาหนอ |
ใช่แกล้งกลั่นสรรเสริญเยิรยอ | ฉันรักพี่ที่เปนต่อกว่ากฤชน้อง |
ยากที่จะชี้แจงแถลงเล่า | รักร้อนเร่าทรวงระทมดังกรมหนอง |
ถ้าแหวะอกยกได้จะใคร่ลอง | ให้ตรึกตรองเรื่องรักประจักษ์ เอย ฯ |
๑๓๕๏ สักรวาบาหยันชั้นเชิงฉลาด | องอาจแก้ไขไม่ขัดขวาง |
พระก็เปนกษัตริย์ประเสริฐเลิศปาง | ทรงอาวุธต่างต่างอย่างดี |
เห็นจะชอบพระไทยไปแทบทั่ว | จะเกลือกกลั้วมัวแต่กฤชก็ใช่ที่ |
อันเกษาของข้าน้อยนี้ | ไม่เห็นมีสิ่งจะเปรียบเทียบ เอย ฯ |
๑๓๖๏ สักรวาอิเหนานิ่งไม่ได้ | อาวุธไหนที่ว่ารักก็รักสั้น |
รักสนิทก็แต่กฤชเทวัญ | จึงแกล้งกลั่นมาเทียบเปรียบรักนาง |
พอรถกะทั่งถึงประตูพระบุรี | ดาลฤดีดิ้นโดยจะโหยห่าง |
ฝากไมตรีมิตรจิตรอย่าคิดร้าง | จงนึกบ้างที่สัญญาว่าไว้ เอย ฯ |
๑๓๗๏ สักรวาบาหยันอัญชลี | จึงทูลว่าข้านี้ไม่ลืมหลง |
ทั้งข้าสามิภักดิรักพระองค์ | มั่นคงมิได้คิดจะบิดพลิ้ว |
ฝ่ายพระองค์อิกจะทรงลืมข้า | ไม่กรุณาแล้วสิอ่อนลงนอนนิ่ว |
พอรถล่วงเข้าประตูดูเปนทิว | ประนมนิ้วบังคมลาคลาคลาศ เอย ฯ |
๑๓๘๏ สักรวาท้าวดาหามาถึงเมือง | เสด็จเยื้องย่างขึ้นเกยมณีศรี |
พร้อมพรักอัคเรศแลบุตรี | นักสนมนารีกำนัลใน |
ต่างนาดกรจรจรัลผันผาย | โขลนจ่ารายจุกช่องทั้งส่องไต้ |
ขึ้นปราสาทสุวรรณอันอำไพ | เข้าที่ศรีไสยา เอย ฯ |
๑๓๙๏ สักรวาระเด่นมนตรีตรึก | คนึงนึกนอนนิ่งอิงเขนย |
คิดอิ่มใจจะใคร่สมชมเชย | ไฉนเลยจะได้พบประสบน้อง |
แล้วตรึกไตรไปถึงคำทำสัญญา | จึงตรัสเรียกประสันตามาในห้อง |
จงไปตามถามบาหยันนั้นดูลอง | ชอบช่องทูลได้ฤาไร เอย ฯ |
๑๔๐๏ สักรวาประสันตามาจัดแจง | ทาแป้งแต่งตัวไม่มัวหมอง |
ห่มสีน้ำดอกไม้นุ่งไหมตอง | เรียกนายรองถือล่วมหมากออกจากวัง |
ถึงที่ทิมริมประตูหูช้าง | เที่ยวหานางสาวใช้จะได้สั่ง |
สบแต่หม่อมเกณฑ์ระตะตัง | ก็หยุดยั้งตั้งตาคอยท่า เอย ฯ |
๑๔๑๏ สักรวาบาหยันตวันบ่าย | ไปอาบน้ำชำระกายที่ท้ายฉนวน |
นุ่งผ้าลายชายสบัดซัดสีนวล | เวลาจวนด่วนเดินดำเนินมา |
ออกประตูดูเขม้นเห็นแต่ไกล | ก็จำได้ประสันตาแล้วสิหว่า |
ทำไฉนจะมิให้มารำพา | นางแกล้งเดินเมินหน้าไปเสีย เอย ฯ |
๑๔๒๏ สักรวาประสันตานั่งหน้าจ๋อย | แต่คอยคอยก็จนเย็นเห็นบาหยัน |
ไม่ครั่นคร้ามตามไปใกล้จะทัน | ดีใจครันยิ้มพยักแล้วกวักมือ |
นี่แน่นางชาววังข้านั่งคอย | ช้านานนั้นน้อยไปแล้วฤๅ |
เชิญเจ้าเข้ามาจะหารือ | ข้าเปนคนซื่ออย่าถือ เอย ฯ |
๑๔๓๏ สักรวาบาหยันหยุดผันผาย | ยิ้มพรายชายชำเลืองเคืองค้อนให้ |
ร้องเรียกข้าจะว่าขานประการใด | จงว่าไปให้งามอย่าลามลวน |
ข้าก็ยังสาวแส้ไม่แก่เถ้า | จะให้เข้าไปที่ทิมริมฉนวน |
เจ้าก็หนุ่มเนื้อหนังยังน้ำนวล | ใครเห็นเข้าเขาจะสรวลดอกเจ้า เอย ฯ |
๑๔๔๏ สักรวาประสันตาว่าจริงเจ้า | กระนั้นเราจะเล่าตามประสงค์ |
รับสั่งใช้ให้มาฟังดังจำนง | เจาะจงมาถึงหม่อมก็ย่อมรู้ |
ได้สัญญาว่ากันไว้เมื่อใช้บน | อย่าทำกลแสนงอนนั่งค้อนขู่ |
เชิญกลับไปทูลถามเนื้อความดู | ฉันจะคอยฟังอยู่ที่นี่ เอย ฯ |
๑๔๕๏ สักรวาบาหยันยิ้มเยื้อน | ไม่บิดเบือนจรลีขมีขมัน |
ตรงไปปราสาทแก้วแพรวพรัน | บังคมคัลมะเดหวีชลีกร |
แล้วทูลว่าประสันตามาไต่ถาม | ด้วยข้อความได้สัญญามาแต่ก่อน |
ได้ทูลแล้วฤาไรในเรื่องร้อน | พระนัดดาอาวรณ์ไม่เว้น เอย ฯ |
๑๔๖๏ สักรวามะเดหวีศรีสมร | รู้เรื่องร้อนพระนัดดาว่าผ่อนผัน |
ถ้าได้ช่องจะลองทูลพระทรงธรรม์ | เห็นแม่นมั่นทีจะได้ข้างฝ่ายเรา |
เจ้าจงออกไปบอกประสันตา | พระนัดดาอย่าวิโยคโศกเศร้า |
จงทำทุกข์เสียให้ส่างบางเบา | อุส่าห์เฝ้าเช้าเย็นเห็นได้ เอย ฯ |
๑๔๗๏ สักรวาบาหยันลาผันผาย | กรีดกรายออกมาทางข้างฉนวน |
แล้วกวักเรียกประสันตาเวลาจวน | เร็วเร็วเข้าเขาจะด่วนกลับไป |
มีรับสั่งมะเดหวีมียศ | จงเงือดงดขุ่นข้องที่หมองไหม้ |
ถ้าชอบช่องคล่องแคล่วแล้วเมื่อใด | จะทูลให้สมจิตรที่คิด เอย ฯ |
๑๔๘๏ สักรวาประสันตาหน้าเสีย | เดินเพลียกลับมาติกาหรัง |
ตะลีตะลานคลานเข้าไปไม่รอรั้ง | ถวายบังคมคัลทันใด |
แล้วทูลว่ามะเดหวีมีศักดิ | ไม่เยื้องยักจักทูลให้จงได้ |
อย่าให้พระอาวรณ์ร้อนพระไทย | ที่สัญญาว่าไว้ไม่ลืม เอย ฯ |
๑๔๙๏ สักรวาพระองค์วงษ์เทเวศร์ | แจ้งเหตุตรอมตรมไม่สมหมาย |
นึกคลางแคลงแหนงจิตรกลัวกลับกลาย | ฤาอุบายให้มาบอกหลอกลวง |
ครั้นนึกสมจินดาค่อยพาชื่น | ครั้นคิดคืนความหลังนั่งนิ่งง่วง |
ความรักร้อนแรงเข้าแทงทรวง | ให้เปนห่วงบ่วงใยไม่หลับ เอย ฯ |
จบบทสักรวาตอนใช้บน
----------------------------