มหาชาติคำเฉียง กัณฑ์มหาพน

ได้มาจากเมืองนครเชียงใหม่

ต้นฉบับจานเมื่อปีขาล จุลศักราช ๑๐๔๘

ตรงในแผ่นดินสมเด็จพระนารายน์

----------------------------

คจฺฉนฺโต โส ภารทฺวาโช อทฺทส อจฺจุตํ อิสึ
ทิสฺวาน ตํ ภารทฺวาโช สมฺโมทิ อิสินา สห

แลต้น

ลำดับธรรมเทศนามา ส่วนว่าชูชกพราหมณ์ก็ไปตามหนทาง อันพรานเจตบุตรหากบอกซู่ประการแล้ว ก็หันเจ้าฤๅษีตนชื่อว่าอัจจุตฤๅษีแล้ว ก็มีใจชมชื่นยินดี จักกระทำปฏิสัณฐารซึ่งเจ้าฤๅษีดังอั้น ก็กล่าวคาถาว่า

กจฺจิ โภโต กุสลํ กจฺจิ โภโต อนามยํ
กจฺจิ อุฺเฉน ยาเปถ กจฺจิ มูลผลา พหู

ข้าแต่เจ้าฤๅษี สภาวหาพยาธิบได้ยังมีอันซะฤๅ เจ้ากูก็ยังค่อยเลี้ยงชีวิตด้วยอันให้เปนไป ด้วยอันแสวงหาลูกไม้หัวมันบยากอันซะฤๅ หัวมันแลหัวเผือกยังได้มากพอฉันอันซะฤๅ ประการหนึ่งสัตว์ตัวน้อย ๆ คือว่าเหลือบแลยุงยังมีสักหน่อยอันซะฤๅ สัตว์มีชาติอันยาวอันเสือกแล้วแต่ไปมีงูเปนต้น ยังมีสักหน่อยซะฤๅ เจ้ากูมาอยู่ในป่าที่นี้ อันอาเกียรณ์เต็มไปด้วยเนื้อกล้าคนอง คือราชสีห์แลเสือโคร่งทั้งหลาย เขาก็บมาราวีแก่เจ้ากูอันซะฤๅ

เจ้าฤๅษีจึงกล่าวว่าฉันนี้

กุสลฺเจว เม พฺรเหม อโถ พฺรเหฺม อนามยํ
อโถ อุฺเฉน ยาเปมิ อโถ มูลผลา พหู

ดังนี้

ดูราท่านพราหมณ์ สภาวอันหาพยาธิบได้ยังมีแก่เราแล สภาวหาทุกข์บได้ยังมีแก่เราแล เราก็ยังค่อยเลี้ยงชีวิตด้วยแสวงหาหัวมันแลลูกไม้บยากยังได้มากพอฉัน สัตว์ทั้งหลายคือว่าเหลือบแลยุงงูใหญ่งูน้อยก็ยังมีสักหน่อยแล เรามาอยู่ป่าที่นี้อันเต็มไปด้วยหมู่เนื้อทั้งหลาย คือราชสีห์แลแรดช้าง เขาก็บมาอ้างราวีหิงษาเราแล พหูนิ วสฺสปูคานิ ดูราพราหมณ์ แต่เรามาอยู่อาศรมบทที่นี้นานนัก เสี้ยงปีแลเดือนทั้งหลายมากนัก เราก็บรู้ถูกต้องพยาธิแลโรคา มีต้นว่าเจ็บตาแลปวดท้อง แลกิริยาอันมาแห่งท่านเปนอันบเปล่าจากประโยชน์ แลเชิญท่านพราหมณ์เข้าไปในศาลาโรงน้ำแล้ว ชำระบาททั้งสองแห่งท่านแล้วจุ่งเข้ามาจากันเทือะ ติณฺฑุกานิ ปิยาลานิ ดูราท่านพราหมณ์ ลูกไม้ทั้งหลาย คือว่า หมากคับทองแลหมากหาดหมากซางหมากม่วงกาสอทั้งหลายก็ดี ท่านพราหมณ์จุ่งเลือกกิน ลูกสุกลูกดีมีรสอันหวาน ประดุจดังเจือจานด้วยน้ำผึ้งน้ำมิ้มแล้วจุ่งกินเทือะ อิทํปิ ปาณียํ สีตํ ดูราพราหมณ์ น้ำกินอันนี้ใสก็ใสเย็นก็เย็น อันเราหากไปตักมาแต่ท้องดอยแล ผิท่านพราหมณ์อยากดังอั้น จุ่งดูดกินแต่โรงที่นั้นเทือะ

ชูชกพราหมณ์กล่าวว่าฉันนี้ ปฏิคฺคหิตํ ยํ ทินฺนํ ว่าข้าแต่เจ้าฤๅษี เครื่องบูชาแขกอันใดเจ้ากูให้แก่ข้าทั้งมวญดังอั้น ข้าก็รับเอาด้วยเครื่องบูชาแขกอันนั้นแล เท่าว่าด้วยมีแท้ผู้ข้าก็มาเพื่อใคร่หันหน้าเจ้าพระยาเวสสันดร อันเปนลูกท้าวบรมศรีสญชัย อันชาวเมืองว่าร้ายบดี ขับหนีจากเมืองมาอยู่ในป่า ผิว่าเจ้ากูยังรู้ที่อยู่เจ้าพระยาเวสสันดรดังอั้น ขอเจ้ากูจงบอกแก่ข้าแด่เทือะ

เจ้าดาบสฤๅษีจึงกล่าวฉันนี้ น ภวํ เอติ ปุฺญตฺถํ ดูราท่านพราหมณ์ ท่านมาใคร่หันหน้าเจ้าพระยาเวสสันดร เพื่อเปนบุญเปนคุณบมีแล ดังเราจักรำพึงดูนี้ ท่านฮอยปราถนาเท่ามักใคร่ได้ราชมัทรีเทวี ผิบมิดังอั้นก็ใคร่ได้ยังราชกุมารทั้งสองพึงมีชะแล เข้าของบริโภคคือเข้าเปลือกเข้าสารเงินคำอันใดก็บมีในสำนักแห่งเจ้าพระยาเวสสันดรตนนั้นแล

ชูชกพราหมณ์กล่าวว่า อกุทฺธรูปาหํ โภโต ข้าแต่เจ้ากู เจ้ากูกล่าวคำอันใดซึ่งข้าดังอั้น ข้าก็บมีสภาวเคียดแก่เจ้ากูแล ข้ามามักเพื่อขอเอาท้าวทั้งสามแม่ลูกก็บมีแล ด้วยมีแท้กิริยาอันได้หันอริยสัปปุรุสเจ้าทั้งหลายนี้เปนอันดี กิริยาอันได้อยู่ได้กินกับด้วยนักปราชญ์เจ้าทั้งหลายนี้ก็มีสุขทุกเมื่อแล พระยาเวสสันดรเจ้าตนนั้น อันชาวเมืองว่าร้ายบดี ขับหนีมาอยู่ในป่าที่นี้ ข้าบห่อนได้หันเมื่อก่อนสักเทือะแล ข้ามาเพื่อจักหันหน้าเจ้าพระยาตนนั้นแล ขอเจ้ากูจุ่งบอกที่อยู่เจ้าพระยาเวสสันดรตนนั้นแก่ข้าแด่เทือะ

โส ตสฺส วัจนํ สุตฺวา ส่วนว่าเจ้าดาบสฤๅษีได้ยินคำพราหมณ์กล่าวดังอั้น ใส่ใจว่าความอันนั้นมีแท้ซะแล ว่าอั้นก็เชื่อคำพราหมณ์แล้วจึงกล่าวว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านจุ่งอยู่ในที่นี่คืนหนึ่งก่อนเทือะ เราก็หากจักบอกหนทางแก่ท่านในวันพรุ่งซะแล ว่าอั้นแล้วยังชูชกพราหมณ์ก็ให้กินลูกไม้อันใหญ่อันน้อยแล้ว อันจักบอกหนทางแก่ชูชกพราหมณ์ในวันลุนนั้น จึงเหยียดต้นแขนขึ้นชี้ไปภายน่า อันจะกล่าวพรรณายกยอยังป่าไม้ทั้งหลายภายน่าเพื่อบให้พราหมณ์หลงป่า จึงกล่าวคาถาทั้งหลายว่าดังนี้

เอส เสโล มฺหาพฺรเหฺม ปพฺพโต คนฺธมาทโน
ยตฺถ เวสฺสนฺตโร ราชา สห ปุตฺเตหิ สมฺมติ

ดังนี้เปนต้น

แลเขา

ดูราท่านพราหมณ์ พระยาเวสสันดรราชฤๅษี ทรงผนวชบวชเปนฤๅษี มีมือถือขอเกี่ยวลูกไม้ ขอดเกล้าไว้เปนชฎา ท่านก็นุ่งหนังเสือนอนเหนือเฟือยไม้ ไหว้ชาตเปลวไฟทุกค่ำเช้า อยู่กับด้วยลูกเต้าแลเมียตน ในห้องท้องถิ่นดอยที่ใด ส่วนว่าดอยอันนั้นแล้วด้วยหินทั้งแท่ง อันตลบไปด้วยกลิ่นคันธอันหอม ได้ชื่อว่าคันธมาทน์แล เอเต นีลา ปทิสฺสนฺติ ดูราพราหมณ์ ไม้ทั้งหลายฝูงนั้นมีใบอันเขียวงาม ทรงดอกแลลูกต่าง ๆ มีลำอันซื่อสูงนัก ประดุจดังจักเพียงจอมผาจอมเมฆ อันเขียวงามเปนดังเขาแก้วชื่ออัญชันนั้นแล ไม้ทั้งหลายฝูงนั้นฝูงใดซา คือว่าไม้ตระแบก แลไม้หูกวาง ไม้ตะเคียนแลไม้รัง ไม้สะคร้อแลไม้ยางทั้งหลาย อันลมหากพัดไปมา มีกิ่งอันค้อมน้อมลง ประดุจดังชายหนุ่มก้มดูดกินเหล้าพร้อมกันทีหนึ่งทีเดียวนั้นแล อุปริ ทุมปริยาเยสุ ดูราพราหมณ์ ส่วนว่านกทั้งหลาย คือว่านักโพรดก แลนกกระเหว่านกกลางทั้งหลายก็ดี บินไปจากไม้ต้นหนึ่งจับไม้ต้นหนึ่งแล้ว ร้องถ่องขานซึ่งนกตัวเปนเมียด้วยเสียงอันหม่วนเพราะนัก เหมือนดังเสียงขับทิพย์แห่งเทพดา ก็ปรากฎได้ยินมาแล ส่วนว่ากิ่งไม้แลใบไม้ทั้งหลาย อันลมหากพัดไปมาตามพิสัยแห่งลม เหมือนดังรู้กวักรู้เรียกเอายังคนอันเที่ยวทาง ยังคนอันอยู่แล้วก็ให้ชมชื่นยินดีแล ยตฺถ เวสฺสนฺตโร ราชา พระยาเวสสันดรราชเจ้าตนนั้นท่านก็ทรงเพศเปนฤๅษี มีมือถือขอเกี่ยวลูกไม้ขอดเกล้าไว้เปนชฎา ท่านก็นุ่งหนังเสือนอนเหนือเฟือยไม้ ไหว้ยังชาตเปลวไฟ อยู่กับด้วยลูกแลเมียแห่งตนในที่ใด ท่านจุ่งเบนหน้าเฉภาะซึ่งทิศหนเหนือแล้วไปในที่นั้นเทือะ กเรริมาลา วิคตา ดูราท่านพราหมณ์ ประเทศป่าที่นั้นควรระเมาเอาใจ แลดาษเต็มไปด้วยดอกไม้กุ่มทั้งหลาย อันเรี่ยรายผายตกเหนือแผ่นดินอันประกอบด้วยหญ้าแพรกทั้งหลายยายอยู่ฮอดซู่ก้ำ ฝุ่นผงธุลีก็บฟุ้งขึ้นได้ในที่นั้นแล หญ้าแพรกทั้งหลายฝูงอันเขียวงามเปนดังแววคอนกยูงนั้นแลอ่อนนวนนักเปนดังสำลีฝ้าย อันท่านยิงได้ร้อยคาบ มีขนาดสูงบล่วงล้ำสี่นิ้วมือขวางแปรฮอดซู่ก้ำ ก็ตั้งอยู่ในที่นั้นแล อมฺพา ชมฺพู กปิตฺถา จ ดูราพราหมณ์ ส่วนว่าป่าใหญ่ที่นั้น ให้เจริญความสนุกยินดีด้วยดอกไม้ทั้งหลาย อันมีหน่วยควรบริโภคมากนักมีขนาด คือว่าไม้ม่วงไม้ชมพูแลไม้หมากขวิดไม้เดื่อ อันเปนดอกแลลูกก็มีมากนักแล

ยังมีแม่น้ำอันหนึ่งใสบริสุทธิ์งามนัก อันมีหมู่ปลาทั้งหลายหากเสพอยู่ทุกเมื่อ ก็ไหลไปในป่าที่นั้นแล ตสฺสาวิทูเร โบกขรณีอันนั้นก็มีในที่ไกลแต่อาศรมบทแห่งเจ้าพระยาเวสสันดรตนนั้นแล ตีณิ อุปลชาตานิ อันว่าดอกอุบลทั้งหลายมีสามจำพวก จำพวกหนึ่งเขียว จำพวกหนึ่งขาว จำพวกหนึ่งแดงประจิตรดูงาม ตั้งอยู่เหมือนดังแสร้งประดับไว้ ในสระโบกขรณีที่นั้นแล

เอวํ จตุรสฺสโปกฺขรณึ วณฺเณตวา เจ้าอัจจุตฤๅษีพรรณายอยังสระอันมีสี่แจ่งเสมอกันแล้ว ทีนี้จะพรรณายอยังมุจจลินท์สระเล่า จึงกล่าวคาถาว่า

โขมาว ตตฺถ ปทุมา เสตโสคนฺธิเยหิ
กลมฺพเกหิ สฺฉนฺโน มุจฺจลินฺโท นาม โส สโร

ดังนี้

แลสระ

ดูกรพราหมณ์ ยังมีสระหนึ่งชื่อว่ามุจจลินท์สระ อันดาษเต็มไปด้วยดอกบัวแดงทั้งหลายยายอยู่ เปนดังหมู่ผ้าโขมอันท่านหากปูไว้ดูงามนักแล สระอันนั้นเต็มไปด้วยดอกบัวดอกอุบลอันขาวแลเขียว ดอกก้านจงกลแลผักบุ้งทั้งหลายอันควรเด็ดกิน ทั้งผักรินก็มากนักแล ประการหนึ่งดอกบัวทั้งหลายอันบานงาม ยามเมื่อฤดูร้อนแลฤดูหนาว ขาวงามเปนประดุจดังหาที่สุดมิได้ แปรไปเหนือน้ำอันลึกเพียงหัวเข่าคนยืนแล ส่วนสระทั้งหลายในป่าหิมพานต์ อันเจือจานด้วยดอกไม้อันมีคันธ์ต่าง ๆ ตลบไปมา ภมรา แมลงผึ้งแลแมลงภู่ทั้งหลายอันมัวเมาด้วยกลิ่นคันธดอกไม้แล้วร้องร่อนไปมาฮอดซู่ก้ำแล อเถตฺถ อุทกนฺตสฺมึ พฺราหฺมณ ดูราพราหมณ์ ส่วนว่าไม้ทั้งหลาย คือว่าไม้ก่อมเกาะแลไม้แคฝอยไม้ทองหลาง แลไม้ผูแลไม้ประจิกไม้ลมแล้งไม้นาวกานไม้กากทิงทั้งหลาย ยายอยู่เปนดอกบานงามในสองตราบข้างมุจจลินท์สระแวดล้อมฮอดซู่ก้ำ ในที่สุดแห่งน้ำก็ดงามนักแล สิริสเสตปาริสา ประการหนึ่ง คือว่าคระแมดแลไม้แคขาว แลไม้ขัดมอกคือว่าไม้แคเหลือง ไม้ยางพายขาว แลไม้ยางพายดำ แลไม้ดู่ทั้งหลาย เปนดอกบานงามมีกลิ่นอันหอมตลบทั่วไปในป่าที่นั้นแล ปงฺกุรฺา พกุลา เสลา ดูราพราหมณ์ ไม้ทั้งหลาย คือว่าไม้สกมแลไม้ยมหินไม้แก้วไม้อีรุมกอกาเกษ แลไม่สบาเทศกรรณิกาทั้งหลายยายอยู่ดูงามนักแล อชฺชุนา อชฺชุกณฺณา จ ประการหนึ่งไม้ทั้งหลายฝูงนั้น คือว่าไม้ลอไม้หูกวาง ไม้หมากต้องไม้กาวทั้งหลาย มีปลายเปนดอกบานงามอันแดงประดุจดังจักลุกเปนเปลวที่ปรากฎหันมาแล เสตปณฺณิ สตฺตปณฺณา ดูราพราหมณ์ ไม้ทั้งหลาย คือว่าไม้ม่วงไม้ตีนเป็ดก็ดี ป่าอันนั้นอันประดับไปด้วยป่ากล้วยแลป่าดอกคำ แลหมู่ไม้คนทาทั้งหลาย กระจายยายอยู่ มีทั้งไม้ดู่แลนอดดินทั้งหลายมีมากนักแล อจฺฉิปา สิมฺพลีรุกฺขา ไม้ทั้งหลายฝูงอื่น คือว่าไม้หมากไฟ แลไม้งิ้วไม้อ้อยช้างไม้กฤษณาขาว แลกฤษณาแดง แลไม้ตักคัน แลไม้โกฏสอขาวโกฏสอดทั้งหลาย หยาดยายอยู่ดูงามมากนักในป่าที่นั้นแล ทหรา รุกฺขา วุฑฺฒา จ ประการหนึ่ง ดูราพราหมณ์ เอเต ทุมา ส่วนว่าไม้ทั้งหลายฝูงนั้น ต้นหนุ่มแลต้นแก่ก็ดี มีลำบคดก็เปนดอกบานงาม ตั้งอยู่สองตราบข้างอาศรมบท แวดโรงไฟมหาสัตว์เจ้าฮอดซู่ก้ำซู่พายยายอยู่แล อเถตฺถ อุทกนฺตสฺมึ ดูราพราหมณ์ ประการหนึ่งผักแคบทั้งหลายก็ดี ถั่วคว้างถั่วแปบถั่วตาเสือทั้งหลายก็ดี ก็มีมากนักในที่ใกล้ฝั่งมุจจลินท์สระที่นั่นแล อุทฺทาปวตฺตํ อุลฺลุลิตํ ส่วนว่าน้ำอันมีในสระที่นั้น อันลมหากพัดไปมาไหลถึงฝั่งแล้วคืนมาบล้นฝั่งไปได้ แม่ผึ้งแลแมลงภู่ทั้งหลายก็บินร้องร่อนเยียหึ่งหึ่งเหนือใบบัว เมามัวอยู่ที่นั้นแล ดูราพราหมณ์ ดอกไม้ทั้งหลายก็ห้อยย้อยอยู่ในสองตราบข้างมุจจลินท์สระที่นั้น คันธดอกไม้ทั้งหลายฝูงนั้น อันคนทัดทรงนานประมาณเจ็ดวันกับเหยหายแล ตํ วนํ อันว่าป่าอันนั้นดาษเต็มไปด้วยดอกผักตบมีกลิ่นคันธอันหอม แม้นว่าคนทัดทรงนานประมาณครึ่งเดือน คันธดอกผักตบก็ยังตลบไปแล ประการหนึ่งป่าอันนั้นประกอบไปด้วยอัญชันเขียวแลอัญชันขาวแลอัญชันแดง แลไม้ส่อแมวไม้แล้งลักทั้งหลายก็มีมากนักแล ป่าอันนั้นเหมือนดั่งยังคนอันเข้าไปก็ให้ชมชื่นยินดีด้วยดอกไม้แลกิ่งไม้อันลมพัดไปมา แม่ผึ้งแลแมลงภู่ทั้งหลายก็มัวเมาอยู่ด้วยคันธดอกไม้ร้องแล้วบินไปแล ตีณิ กกฺการุชาตานิ ดูราท่านพราหมณ์ ชาติหมากฟักทั้งหลายมีสามจำพวก จำพวกหนึ่งใหญ่เท่าไหตาล สองประการใหญ่เท่าแม่พาทย์ ก็มีในป่าที่นั้นแล ประการหนึ่งผักกาดแลหอมเทียมแลหอมบั่วทั้งหลายก็มีในป่าที่นั้นแล อปฺโผตา สุริยวลฺลี จ ดูราพราหมณ์ เครือเขาปูนแลหญ้าหมานใกล้ แลหนามดินเครือชะเอมแลอโศก ต้นเทียนใกล้เครือดอกสลิด กอดอกเข็มทั้งหลายก็มีมากนักแล โกรณฺฑกา ดอกหญ้าหางช้าง แลดอกอโนชาคือว่าดอกสลิดเทศ แลดอกกากทิง แลกอดอกมลิทั้งหลาย กวาวเครืออันเกี่ยวขึ้นต้นเปนดอกบานงามประดุจดังจักลุกเปนเปลว ก็ปรากฏหันมาแล กเตรุหา ไม้ฝางแลไม้ชุมแสง แลกอคัดเค้า แลกอดอกแซวแลครามป่า ดอกชาติบุษหญ้าหมานใกล้ แลกอดอกบัวบกทั้งหลาย ก็มีมากนักในป่าที่นั้นแล ดูราพราหมณ์ ส่วนว่าไม้แคฝอยแลต้นฝ้ายป่า แลไม้กรรณิกาเครือทั้งหลาย เปนดอกบานงามประดุจดังกองไฟอันใหญ่ลุกเปนเปลวนั้นก็มีแล ดอกไม้ทั้งหลายฝูงใด เกิดในน้ำในบกก็ดี ดอกไม้ทั้งหลายฝูงนั้นก็มีมากนักในป่าที่นั้นแล สระโบกขรณีอันนั้นประกอบไปด้วยดอกต่าง ๆ ควรรำเมาเอาใจมากนักแล

อถสฺสา โปกฺขรณิยา ประการหนึ่งสัตว์ทั้งหลายอันจรเดินในน้ำ คือว่าปลาตะเพียนแลปลาปกปลาดุก จรเข้มังกรแลปลาขาทั้งหลาย ก็มีมากนักในโบกขรณีที่นั้นแล รวงผึ้งอันหาตัวแม่หวงแหนบได้ ควรปลิดเอาด้วยง่ายนักก็มีแล ประการหนึ่งไม้เกือแลไม้ประเหียน แลกระวานหญ้าแห้วหมู สัตบุษแลเครือชะเอมเครื่อกล่ำก็ดี ก็มีมากนักในป่าที่นั้นแล ดูกรพราหมณ์ ไม้สุรภีแลไม้ทำยานแลพิศพิวแดง ซุงชาลีแลไม้ขัดมอก เทพทาลิง โกฏสอแลหนาดคำ นอดน้ำทั้งหลายก็มีมากนักแล ประการหนึ่งขมิ้นป่าดินพันถันหอระดานคำ แลกล่ำคูณสำปูลแว้งหมากแหนว่านเผาะก้านปูนทั้งหลาย ก็มีมากนักในป่าที่นั้นแล

แลราชสีห์

อเถตฺถ สีหา พยคฺฆา จ ประการหนึ่งเล่า ราชสีห์แลแรดช้าง เสือโคร่งเสือเหลืองแลเหนชมด แลลมั่งฟานคำ ก็เกิดมีในป่าที่นั้นมากนักแล ดูกรพราหมณ์ ราวป่าที่นั้นเทียรย่อมประกอบด้วยสุนัขทั้งหลายมีลายต่าง ๆ ก็มีมากนักแล บ่างแลฮอทรายจามรีก็ดี ไก่แลชนีวอกค่างลิงจุ่นก็ดี ก็มีมากนักในป่าที่นั้นแล กกฺกฏา กตมายา จ ดูกรพราหมณ์ ส่วนว่ากวางแลเยียงผาหมีแลวัวกะทิง แรดสุกรพังพรอ้นช้างอ้นแดงทั้งหลายก็มีในป่าที่นั้นแล ประการหนึ่งควายเถื่อนแลหมาใน หมาจิ้งจอกปอมขางทั้งหลายก็ยายอยู่ในต้นไม้ในที่ใกล้อาศรมบทฮอดซู่ก้ำซู่พายแล อากุจฉา แลนแลเหี้ยก็ดี ทรายคำแลเสือเหลืองก็มีในป่าที่นั้นมากนักแล เจลกา จ วิฆาสาทา ส่วนว่ากระต่ายแลไกรสรราชสีห์เสือแผ้ว แลนกสีทูด แลนกยูงหงส์ขาวหงส์เข้าใหม่ แลไก่เถื่อนนกอิงโฆก็ดี ก็ร้องถ่องขานขันซึ่งกันไปมามากนักแล ประการหนึ่งนกยางขอกแลนกยางเฟือย นกโพรดกนกแตแวดนกขเถียน แลนกกลุมแลเหยี่ยวคอดนกรางนางนกค้อนหอย แลนกคับแคนกประหิดแลนกกระทา นกกดรอยแผนกชีแวนตาเหลือง แลนกกวักแลนกทุงทุง นกคุ่มแลนกจอกลานแลรุ้งคาวนกออกนกก่างเขียนทั้งหลาย ก็มีในป่าที่นั่นมากนักแล กรวิกา จ สคฺคา จ ส่วนว่านกการวิกนกกระไนนกเค้าแมวก็ดี ก็มีในป่าที่นั้นมากนักแล ป่าที่นั้นก็เต็มไปด้วยนกทั้งหลายต่าง ๆ ก็ร้องขานกันทุกเมื่อแล ประการหนึ่งดูราพราหมณ์ ส่วนว่านกแขกเต้าทั้งหลายก็ดี ก็มีเสียงอันหม่วนเพราะนัก ก็ร้องถ่องขานขันกับด้วยนกตัวเปนเมียในป่าที่นั้นแล นกทั้งหลายฝูงนั้นเกิดมาสองคาบอันประกอบไปด้วยหัวตาหางตาขาว มีปีกแลหางอันประจิตรงามด้วยลายต่าง ๆ มีหงอนอันแดงมีแววคออันขาวงามนัก นกทั้งหลายฝูงนั้นคือว่านกเดียบน้ำ นกไก่ยองนกปองปี่ แลนกชังแซวเหยี่ยวแดงเหยี่ยวขาว แลนกแสรกนกกลิงน้อยทั้งหลายก็มีมากนักแล ประการหนึ่งนกขมิ้นแลนกไฟแดงไฟขาว นกจางเจียงนกหัศดีลิงค์ แลนกชุมโผดนกกลิงหลวงนกแขกเต้า ก็จรเดินไปในป่าที่นั้นแล

อเถตฺถ สกุณา สนฺติ ดูราพราหมณ์ ส่วนว่านกทั้งหลายมีวรรณต่าง ๆ พร่องก็ต่างดำขาวก็เกิดมีในราวป่าที่นั้น ก็ชมชื่นยินดีร้องถ่องขานขันซึ่งนกตัวเปนเมีย ในสองตราบข้างมุจจลินท์สระที่นั้นแล ประการหนึ่งส่วนว่านกหมู่หนึ่งชื่อว่านกการวิก ก็ร้องถ่องขานขันซึ่งกันไปมาด้วยเสียงอันหม่วนเพราะนัก เอากันมาจับอยู่ในข้างสระโบกขรณีที่นั้นแล ดูราพราหมณ์ ส่วนว่าหิมพานต์ป่ากว้าง เปนที่อ้างอาศรัยแห่งเนื้อคนองทั้งหลาย เปนต้นว่าทรายคำแลเหนชมดเหนอัมทั้งหลายก็มีในป่าที่นั้นแล อเถตฺถ สามา พหุโก ประการหนึ่งเข้าฟ่างเข้าเดือยเข้านกแลเข้าสาลี หากเกิดมีด้วยตนหาผู้จักปลูกแปงบได้ ก็มีในป่าที่ใกล้หนทางแล ส่วนว่าอ้อยทั้งหลายมีลำใหญ่เท่าลำหมาก ก็หากเกิดมีมากนักแล หนทางอันนี้เท่าพอผู้เดียวเที่ยวไต่ได้ แม้นว่าจักไต่ไปสู่อาศรมบทเจ้าพระยาเวสสันดรแล้ว จักไต่มาก็ดีก็เปนอันซื่อนักแล บุคคลผู้ใดไปฮอดไปถึงป่าที่นั้น อันจักอยากเข้าอยากน้ำก็บมี เท่ายินดีด้วยลูกไม้ต่าง ๆ ยูถ่างกินบริโภคตามใจแลเจ้าพระยาเวสสันดรตนนั้นท่านก็ทรงผนวชบวชเปนฤๅษี มีมือถือขอยอเมือบนเกี่ยวเอาลูกไม้ขอดเกล้าไว้เปนชฎา นุ่งหนังเสือนอนเหนือเฟือยไม้ ไหว้ชาตเปลวไฟอันเหลืองเรืองงามบเศร้า อยู่กับลูกเต้าแลเมียตนในทิศหนใด ท่านจุ่งเบนหน้าเฉภาะซึ่งทิศหนเหนือแล้วจุ่งไปในที่นั้นเทือะ หากจักหันที่อยู่เจ้าพระยาเวสสันดรในที่นั้นบอย่าซะแล

อิทํ สุตฺวา พฺราหฺมณพนฺธุ อิสึ กตฺวา ปทกฺขิณํ
อุทคฺคจิตฺโต ปกฺกามิ ยตฺถ เวสฺสนฺตโร อหูติ

แลส่ง

ส่วนว่าชูชกพรามหณ์อันเปนพี่น้องเผ่าพันธุ์พงศาแห่งพราหมณ์ทั้งหลาย ครั้นว่าได้ยินคำเจ้าฤๅษีกล่าวเท่านั้นแล้ว ก็มีใจชมชื่นยินดีแล้ว เจ้าพระยาเวสสันดรฤๅษีอยู่กระทำสมณธรรมในประเทศท้องห้องป่าหิมพานต์ที่ใด พราหมณ์มีใจยินดีแล้ว ก็กล่าวคำวุฒิจำเริญซึ่งเจ้าฤๅษีแล้ว ก็หนีไปในที่นั้นวันนั้นแล

มหาวนวณฺณนา นิฏฺฐิตา กิริยาอันกล่าวห้องมหาวนวรรณนาบริเฉท อันประดับด้วยคาถาได้ ๘๐ คาถา ก็สำเร็จเสด็จจบแล้วโดยประการดังกล่าวมานี้ก่อนแล

 

  1. ๑. การพิมพ์มหาพนคำเฉียง ได้แก่คำบางคำซึ่งผิดกันแต่สำเนียง คือ ร กับ ฮ เช่น เฮา แก้เปน เรา เปนต้น กับคำว่า หือ เปน ให้อิกคำ ๑

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ