เพลงยาวคุณสุวรรณ
เรื่องกรมหมื่นอับศรสุดาเทพประชวร
๏ ขอบังคมพระบรมนาถา | |
ทั้งพระมิ่งมงกุฎอยุทธยา | อิกมารดาสุริยันต์พระจันทร |
ทั้งครูผู้ได้สอนกลอนประดิษฐ | มาต่อติดศุภลักษณ์เรื่องอักษร |
จะกล่าวคำร่ำคิดประดิษฐกลอน | ขอพระพรคุ้มสาระพัดไภย |
นิราศร่ำทำอักษรเปนกลอนสด | ให้ปรากฎด้วยปัญญาอัชฌาไศรย |
เมื่อเดือนสี่ปีเถาะ[๑]เคราะห์เหลือใจ | ละห้อยไห้แสนคนึงถึงประชวร |
เที่ยวบวงสรวงเทวาสุรารักษ์ | ทุกสำนักพฤกษไพรไศลหลวง |
ให้เคลื่อนคลายหายพระโรคที่โศกทรวง | เฝ้าบำบวงสรวงสังเวยเช่นเคยมา |
ทุกเช้าเย็นเปนไปมิได้ขาด | สนองบาททูลกระหม่อมจอมเกษา |
ผู้คนแลแออัดตามรัถยา | ทั้งโขลนจ่าหลวงแม่เจ้าพวกท้าวนาง |
กรมหมอขอเฝ้าเจ้าตำแหน่ง | ต้องตกแต่งให้สำนักตำหนักขวาง |
ข้างชั้นบนกรมหมอกับขุนนาง | พานหมากวางเรียงงามตามทำนอง |
ท่านพระยาพิพัฒ[๒]ต้นรับสั่ง | เข้าในวังกับหลวงนาย[๓]ได้เปนสอง |
ทั้งเย็นเช้าเข้าประจำตามทำนอง | คอยสนองโอษฐรับพระโองการ |
ถ้าเพลาพระระวีสี่โมงเศษ | ต่างน้อมเกษทูลพระโรคโศกสงสาร |
จะเบาพระองค์ทรงอะไรในอาการ | พระอาหารมากน้อยถอยทวี |
ไม่ขัดข้องสองเพลามาไม่ขาด | เคารพบาทบงกชบทศรี |
ข้างในนั้นเจ้าคุณ[๔]มาทุกราตรี | อิกทั้งสี่พวกงานอาการเชิญ |
สำหรับทูลเมื่อเพลาห้าโมงเช้า | เปนของเจ้าคุณคอยไม่ห่างเหิน |
เพลาสองยามจอมสำหรับเชิญ | ไม่ละเมินต่างฉลองสองเวลา |
หม่อมหม่อมพวกพระอาการพานคอยเหตุ | แสนสมเพชนั่งมองริมช่องฝา |
มีอิกทั้งพวกขวางต่างตำรา | ทั้งพวกจ่าหม่อมเจ้าเฝ้าทวาร |
ประชวรจับนับแน่นนั่งจนล้น | พอคลายคนหายแน่นไม่แก่นสาร |
เห็นยังคงอยู่แต่หม่อมเชิญอาการ | ประจำบานประตูอยู่ไม่รู้วาย |
กับคุณบัวพระสมุดนั้นสุจริต | คอยประดิษฐประดับเรื่องนิยายถวาย |
อิกคุณสุดหม่อมกิ่งผู้พริ้งพราย | เล่านิยายต่างต่างอ้างอวดกัน |
กับเจ๊กเหลียน[๕]เพียรไม่ขัดสันทัดคล่อง | ปัญญาว่องแก้ไวได้ขันขัน |
ยกเอาเรื่องคุณขำขึ้นรำพรรณ | เปนเป็ดสุวรรณปีกหางเหมืองอย่างยนต์ |
มีต่างต่างช่างแสดงไม่แกล้งว่า | ถ้าสนธยาแล้วก็เห็นเปนสับสน |
แต่หัวค่ำแน่นหนักหนาล้วนหน้าคน | แต่พอพ้นสองยามความก็คลาย |
อิกเพลาหมอเข้าไปเป่าปัด | ก็แออัดเหลือล้นคนทั้งหลาย |
เที่ยวจุกช่องมองแฝงตะแคงกาย | เจ้าขรัวนายเจ้าคุณนั่งบังประตู |
จำเภาะมีช่องตาน่าหัวเราะ | มองเฉภาะลูกตาน่าอดสู |
มีต่างต่างทางทำดูพร่ำพรู | เหมือนแมวหนูจ้องขยับจะจับไป |
เวลาเสวยเกยหาดออกกลาดเกลื่อน | ดังไส้เดือนถูกแสงพระสุริใส |
พอสี่ทุ่มเจ้าจอมกลับต่างหลับไป | เหลืออาไลยพวกประจบหลบไม่ทัน |
จนล่วงเข้าหลายเดือนค่อยเคลื่อนคลาศ | ฝ่าพระบาทนั้นคลายวายโศกศัลย์ |
แต่ยังไม่ฟื้นพระองค์เช่นก่อนนั้น | ทรงพระกรรษะอยู่ไม่รู้วาย ฯ |
๏ พอพระมิ่งทูลกระหม่อมจอมมงกุฎ | ผู้ครองอยุทธยาสิ้นถิ่นทั้งหลาย |
ทรงขุ่นข้องหมองพระไทยไม่สบาย | ไม่ผันผายออกพระโรงรัตนา |
ก็ร้อนใจไม่มีใครเกษมสันต์ | มาพร้อมกันน้อมประนมก้มเกษา |
จอมเจ้าคุณกรมขุนกัลยา[๖] | ใครมาเชิญเสร็จเสด็จ[๗]จร |
หลวงนายศักดิเข้ามาพร้อมน้อมคำนับ | เคารพรับบพิตรอดิศร |
ตัวของเราเล่าก็ตามเสด็จจร | ไม่นิ่งนอนระวังอรรถที่ตรัสการ |
จึงได้เฝ้าเจ้าแผ่นดินพิภพราช | ได้ตามพระบาทติดเข้าไปด้วยใจหาญ |
แต่พี่น้องใครไม่กล้าดูอาการ | ใครไม่หาญเข้าไปได้สักคน |
แต่พระองค์วงเดือนนั้นไวว่อง | อุส่าห์ย่องเข้าไปได้ไม่ขัดสน |
ครั้งนั้นได้เปนที่สามไม่ขามคน | จนเจ้านายรายร่นกันเข้ามา |
นึกก็น่าใคร่ครวญส่วนข้างทุกข์ | พระองค์ปุกกราบย้ายได้หลายท่า |
ยังมีพระองค์ยี่สุ่นหนุนเข้ามา | นั่งซ้อนหน้าพวกเราเฝ้าบังคม |
ท่านกรมขุนต้นรับสั่งคอยฟังเหตุ | พวกน้องน้องน้อมเกษคอยประสม |
ดังฟังธรรมเทศนาปลงอารมณ์ | ต่างน้อมก้มคอยสดับรับโองการ |
ข้างพวกเจ้าพี่น้องหมอบซ้องน่า | เหลือตำราแลไปให้สงสาร |
บ้างนั่งบังลับแลหมอบยอบกราบกราน | น่ารำคาญองค์มาลีนี่กระไร |
เฝ้าหมอบร่นจนเข้าใต้กระไดสูง | จะลากจูงสักเท่าไรมิไปได้ |
จนเจ้านายรายถอยเลื่อนออกไป | ยังแต่ไทธิราชบาทมูล[๘] |
กับตัวข้าฝ่าลอองคอยรองบาท | พอประภาษถึงพระโรคที่โศกสูญ |
เอาเทียบพิศชิดพระองค์ทรงนุกูล | เห็นซูบสูญผิดฉวีพระศรีมัว |
สุรเสียงเครือขัดตรัสผิดหมด | พระภักตร์สลดท่านจ้องมองจนทั่ว |
ท่านร่ำสอนสั่งว่ารักษาตัว | จนขนหัวลุกซ่านสงสารครัน |
จนท่านเรากราบกรานมาจนลับ | เจ้าจอมกลับตามออกมากำชับมั่น |
มาตามส่งถึงที่อัฒจันท์ | เจ้าคุณนั้นตามมานำน่าพลัน |
ตั้งแต่วันนั้นมานราราช | จอมปราสาทอยุทธยามหาสวรรค์ |
ทรงรัญจวนป่วนในพระไทยครัน | จึงให้ทั่นพระยาศรี[๙]มาดูแล |
ให้พระยาสุรเสนา[๑๐]เข้ามาเฝ้า | กำชัยเหล่าพวกหมอตามกระแส |
หลวงนายศักดิพระยาศรีคอยดูแล | เปลี่ยนหมอแก้หมายให้คลายประทัง |
กลับทวีขึ้นกว่าหลังดังก่อนเก่า | พระรูปเศร้าผอมกว่ามาแต่หลัง |
เลยขัดพระชงฆ์ทรงกรรษะไม่ประทัง | อิกทั้งพระอาเจียนประชวรลม |
โอ้พระคุณบุญบารมีช่วย | ทรงระทวยทับทวีเข้าประสม |
เฝ้าทวนทบทับไปให้ระทม | แต่ตรอมตรมมิได้ชื่นสักคืนวัน |
จนพร้อมพวกแพทยาเข้ามากลุ้ม | ท่านผู้คุมพระยาศรีอยู่ที่นั่น |
กรมหมอถวายยาปฤกษากัน | พระโรคันนั้นค่อยคลายวายอาวรณ์ |
ต่างค่อยชื่นรื่นรวนที่ครวญใคร่ | เด็กผู้ใหญ่ปรีดิ์เปรมเกษมสร |
น้อมเกษีดุษฎีถวายพร | ตามนิวรณ์วาศนาประสาใจ |
ข้าหลวงเหล่าเจ้าจอมหม่อมทั้งหลาย | ต่างยิ้มพรายเศร้าหมองค่อยผ่องใส |
อิกหม่อมหม่อมจอมเจ้าเคยมาไป | นั่งไสวน้อมประนมบังคมคัล |
ลางทีว่ามาได้ตามหมายมาด | ฝ่าพระบาทค่อยสว่างทางโศกศัลย์ |
ก็มีขึ้นต่างต่างอย่างทุกวัน | จะรำพรรณทุกข์ศุขคลุกกันไป ฯ |
๏ บังเกิดบ่อบึงบอนเกสรราก | เปนอันมากกาบโคนต้นไสว |
ทั้งน้ำค้างใบตั้งแลแกนใน | มีเป็ดไซห้วยหนองเจ้าของบึง |
กรมหมอ[๑๑]เปนไข้บ่นทนน้ำค้าง | เจ๊กเหลียนวางเข้าเปนเนื้อนั้นเหลือขึง |
คุณเครื่อง[๑๒]เปนกาบใหญ่ชักใบตึง | อันบ่อบึงพระยาศรีผู้ปรีชา |
หลวงนายศักดิเป็นแกนในไส้เกสร | รากแก่อ่อนแต้มเติมเสริมสอดน่า |
คุณหลวงนกยางจ้องเที่ยวมองปลา | คุณแม่ข้าเล่าก็พลอยเปนหอยไป |
คุณขำเป็ดเตร็จเตร่เร่ลงสระ | คุณบัวประน้ำค้างปรอยย้อยย้อยไหล |
กระทบกระทั่งใบบังจนแกนใน | พายุใหญ่พัดขเยื่อนแทบเลื่อนลอย |
ทูลกระหม่อม[๑๓]จอมเกล้าคือเจ้าของ | ตามทำนองสงวนไว้ได้ใช้สอย |
ทั้งกาบใหญ่ไส้เกสรบอนเล็กน้อย | เป็ดลงลอยหอยเต็มเที่ยวเล็มไคล |
ประทับเทียบเปรียบแกล้งแต่งกันเล่น | บังเกิดเปนสาระพัดจัดขึ้นได้ |
คราวพระโรคเคลื่อนคลายสบายใจ | เปนวิไสยทุกข์ศุขแทบทุกคน |
เมื่อคราวดีมีใจก็ได้เล่น | เมื่อยามเข็ญแล้วก็หมองดังต้องฝน |
โอ้ทุกข์ศุขเหมือนกันทั่วทุกตัวตน | เข้าระคนเปนวิบัติอนัตตา |
พระโรคคลายวายทุกข์ศุขเกษม | ต่างปรีดิ์เปรมโสมนัศสหัสสา |
คุณเจ้าจอมหม่อมที่ได้เวียนไปมา | ต่างปรีดาชักลำนำเปนทำนอง |
ประสานเสียงจังหวะดูสอาด | เปนพิณพาทย์มโหรีมีฉลอง |
คุณพึ่งขับลำลำตามทำนอง | ประดิษฐร้องดอกสร้อยคอยดัดแปลง |
คุณยวงท่านสันทัดขัดต้นบท | รับซอกดนิ้วไว้ใส่กระแสง |
ลงปากรับทับโทนช่างดัดแปลง | เสียงหน่องแหน่งอูดอาดพาดกันไป |
คุณบัวเศกส้มป่อยนั่งลอยหน้า | ปากบ่นว่าตัวกระเพื่อมกระเทื้อมไหว |
คุณนกคุณน้อยลอยเสียงเรียงรับไป | คุณพึ่งไว้น่าร้องประคองครวญ |
ข้างพวกฟังนั่งสรวลสำรวลร่า | ประสันตาพากย์หนังฟังโหยหวน |
คุณแย้มนครไม่ชัดดัดสำนวน | เสียงห้วนห้วนครวญรัวหัวร่อเลย |
ข้างคุณเหมหยิบหมากมือลากกล่อง | หัวเราะจนร้องไห้แล้วแม่คุณเอ๋ย |
กล่องหมากหกตกจากมือหยิบพลูเลย | เหมือนไม่เคยฟังเพลงบรรเลงลาน |
ข้างคุณแม่เล่าก็เก่งนักเลงเก่า | นั่งเท้าแขนวอนสอนคุณหลาน |
ให้ร้องบทกากีเมื่อให้การ | คอยต่อก้านต่อดอกบอกให้ครวญ |
ข้างคนฟังหลายอย่างต่างภาษา | เจ๊กชวาไทยมอญนครถ้วน |
หม่อมแย้มหม่อมโหมดหม่อมขำอยู่ทั้งมวญ | ต่างสำรวลบ้างก็เล่าก่อนเก่ามา |
มีหลายอย่างทางทำทั้งคำกล่าว | ประชวรคราวนี้ประเสริฐเลิศนักหนา |
เปนท่ากวางท่านางท้าวพระยา | มีทั้งมยุราฝูงกินรี |
ทั้งพระยาเหมราชชาติเชื้อหงษ์ | กระบี่ดงแดนนครคิรีศรี |
บาทบงสุ์เปรียบองค์พระศุลี | สถิตย์ที่เหลี่ยมผาพนาวัน |
คนพิทักษ์รักษาฝ่าพระบาท | มีหลายชาติจนถึงยักษ์มักสัน |
ถ้าแปลกภาษาข้างเราไม่เข้ากัน | ทำเชิงชั้นหลายอย่างต่างกันไป ฯ |
๏ เชิญพระขวัญฝ่าลอองนั้นสองหน | ท้าวสี่คนเจ้าคุณมาจัดแจงให้ |
ท้าววรจันทร์[๑๔]ฟาดเข้าแล้วอวยไชย | ถวายด้ายทั้งคุณคลัง[๑๕]ท้าวสุริยา |
ข้างพวกนอกออกอัดยัดกันแน่น | บ้างท้าวแขนนั่งผลอออกสอหน้า |
ถวายด้ายแล้วก็ให้กันต่อมา | ได้ทั่วหน้าเด็กผู้ใหญ่ไพร่ผู้ดี |
พอเคลื่อนคลายหายพระโรคที่โศกเศร้า | พวกข้าเฝ้าปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ต่างตัดผมห่มผ้าขาวม้าดี | ยั่นตะหนี่ใบกลอยหนาทั้งผ้าบาง |
คุณเครื่องผลัดตัดไผลดังไก่แจ้ | ปีกออกแปล้ไว้ให้ยาวแล้วสะสาง |
ข้างหม่อมขำตัดฉลวยสวยสำอาง | เจ็กเหลียนสางหางหนูไหมไว้หน้าตา |
ทั้งคุณพี่หนูพยอมตัดพร้อมพรั่ง | อนิจจังแต่คุณแม่แลดังบ้า |
พิศอิกทีหนึ่งก็ดีเหมือนตุ๊กตา | ผมประบ่าตั้งไว้เล่นพอเปนที |
มีต่างต่างทางทำดูสำเร็จ | จะใส่ให้เสร็จก็จะว่าฉันใส่สี |
อไภยทานเสียทุกคนจนผู้ดี | ด้วยเรื่องมีจะมิว่าก็น่าอาย |
ทั้งพวกเหล่าประจำยามสามโมงถ้วน | จะสอบสวนใส่ให้หมดเช่นจดหมาย |
ได้เห็นดีเห็นชั่วทุกตัวนาย | ตามได้หมายไว้ทั่วทุกตัวคน |
ไม่วิมุติสุจริตประดิษฐประดับ | พระโรคกลับครั้งนั้นดูสับสน |
บ้างโศกเศร้าเฝ้าหมองนองสุชล | บ้างนั่งบ่นถึงพระคุณมุลิกา |
ทั้งตัวเราเศร้าสลดกำสรดโศก | ถึงพระโรคทูลกระหม่อมจอมเกษา |
นั่งไหนเฝ้าเศร้าสอื้นกลืนน้ำตา | แสนระอาพวกยามถามเถียงกัน |
ต่างอวดว่าฉันมิยักถูกกริ้ว | บ้างหน้านิ่วนั่งครวญไม่สรวลสันต์ |
แต่หม่อมเขียวเหลือจ้านพานดึงดัน | เห็นดีครันเหลือตำราระอาใจ |
กับหนูพลับถูกกันพรรณพวกเด็ก | ออกแซ่เซ็กสองยามตามวิไสย |
ตะโกนก้องร้องเรียกกันเพรียกไป | สนั่นไหวแซ่เซ็งเก่งด้วยกัน |
คิดถึงตัวครั้งนั้นเหงานั่งเศร้าอยู่ | ที่ประตูซุ้มพิงลงนิ่งอั้น |
แหงนดูดวงดาราแลพระจันทร์ | ทั้งคอยทั่นคุณขำเธอกำชับ |
ให้กลับมาถ้ามิมาก็ท่าโกรธ | ต้องนั่งโอดอยู่ที่นั่นไม่อาจกลับ |
จึงได้ฟังหม่อมเขียวกับหนูพลับ | เปนลำดับเรื่องความไว้ตามมี |
โอ้คอยคุณหม่อมขำเธอนั่งเพื่อน | ได้แย้มเยื้อนยิ้มย่องวายหมองศรี |
กลับเมื่อไรจึงไปห้องทุกที | มิได้ลี้ลับเลยไม่เฉยเชือน |
ท่านคุณเครื่องหนูพยอมพร้อมเห็นหน้า | แต่เพลาเย็นย่ำหัวค่ำเพื่อน |
ได้พร้อมพร้อมถึงตรอมก็แย้มเยื้อน | พอดึกก็เฝื่อนฝาดหน้าแกล้งลาเลย |
ยามวิโยคโศกทรวงแลดวงจิตร | มิได้คิดถึงใครหักใจเฉย |
พลบแล้วไปดึกมาเวลาเคย | มิได้เฉยเชือนคลาศราชการ ฯ |
๏ เมื่อวันหนึ่งถึงกรรมจะนำให้ | สลดใจพิศวงให้สงสาร |
เปนวันไรเดือนไรไม่ประมาณ | พระอาการยังมากก็หากแคลง |
เปนยามค่ำกรรมกองของหนูแฝด | ทำเปลี่ยนแปลดหลบไปเสียหลายแห่ง |
พอเครื่องตั้งยายกาบ[๑๖]กราบหยิบแกง | คอยจัดแจงยอบกายถวายองค์ |
ท่านตรัสบ่นอ้นอั้นแกสั่นหัว | ยายเป็ด[๑๗]กลัวถวายน้ำทำจนหลง |
เจือน้ำร้อนผ่อนน้ำเย็นออกเปนวง | แต่พอส่งท่านก็ขว้างทางสำทับ |
ทั้งสามคนร่นออกมานั่งหน้าม่อย | ตัวเราพลอยแถมท้ายได้หันกลับ |
เหื่อชะโลมโซมหน้าเอาผ้าซับ | แต่พอลับน่าที่นั่งก็หวังคิด |
ด้วยอายคนที่เขานั่งอยู่ข้างนอก | ยิ้มไม่ออกถลากไถลอยู่ในจิตร |
ต่อเปนครู่จึงหายอายค่อยวายคิด | ด้วยสิ่งผิดเราไม่มีที่สำคัญ |
เป็นแต่พลอยถูกฝนทนน้ำค้าง | เปนเยี่ยงอย่างมาแต่ก่อนคิดผ่อนผัน |
ที่กำสรวญหวนหายสบายครัน | เหมือนน้ำสวรรค์มาชโลมซาบโซมกาย |
สงสารคุณเครื่องหม่อมขำหน้าดำยิ่ง | ต้องนั่งนิ่งพิงประตูดูใจหาย |
สักครู่หนึ่งเจ้าคุณแจ้งก็แพร่งพราย | ตะเกียกตะกายขึ้นไปนั่งยังทวาร |
พอครอกตลับกับหม่อมน้อยนั่งคอยเหตุ | ได้ทราบเจตนาสิ้นระบิลสาร |
พอเจ้าจอมหม่อมพวกเชิญอาการ | มาริมบานประตูแฝงตะแคงตา |
เจ้าคุณแพร่งแจ้งเรื่องที่เคืองขัด | ได้ทราบอรรถทั่วทุกคนจนหนักหนา |
ต่างกลับหลังไปเสียสิ้นตามจินดา | เราก็มาที่สถานสำราญกาย |
พอรุ่งแจ้งแสงพระสุริยามาศ | เจ้าคุณปราสาทเล่าทั่วสิ้นทั้งหลาย |
แล้วนบน้อมจอมพิภพพรรณราย | เรียงถวายสุดถวิลดังจินดา |
ตามเรื่องกริ้วนิ้วประนอมจอมมงกุฎ | จนสิ้นสุดเรื่องหลังไม่กังขา |
เรียงชื่อถวายรายทูลมูลิกา | เขาฟังมาเขามาเล่าให้เข้าใจ |
ที่เรื่องรักหักได้ยินก็สมเพช | มาถามเหตุทั่วหน้าต่างปราไส |
ที่เคยชอบเคยรู้จักหักอยู่ไกล | อุส่าห์ให้คนมาเยือนเหมือนอย่างเคย |
โอ้น่าสรวลควรฤๅอึงอื้อได้ | น่าอายใจอายหน้าเจ้าข้าเอ๋ย |
ที่เข้าตัวสิไม่ดังทั้งวังเลย | เราเปนแต่เปรยควรฤๅแพร่งทุกแห่งไป |
๏ ประชวรพักนี้มิเสียแรงไม่แกล้งว่า | คนเอาหน้ามากเหลือกว่าเนื้อไข |
โอ้พระคุณทูลกระหม่อมเสมอใจ | พระคุณใหญ่ยิ่งล้นคณนา |
จะเหลียวซ้ายแลขวาก็ข้าบาท | คอยรับราชพิทักษ์รับรักษา |
พระญาติวงษ์องค์ไรไม่ไปมา | มีแต่ข้าขอเฝ้าทุกเช้าเย็น |
เมื่อยามสรงรับพระองค์ธารพระหัดถ์ | สารพัดแหล่งหล้าหาไม่เห็น |
โอ้แลแลแล้วก็น่าน้ำตากระเด็น | ทุกเช้าเย็นแลหายสุดสายตา |
โอ้มีบุญทูลจอมกะหม่อมแก้ว | ทั้งผ่องแผ้วปรากฎพระยศถา |
แต่มีกรรมทำไว้แต่ไรมา | พระโรคาจึงลำบากยากกระไร |
เห็นแต่คนอื่นนั่งขนานหน้า | เมื่อหมอมาแล้วไม่มีที่อาไศรย |
ชั้นพวกโมงเล่าก็เลี่ยงหลีกออกไกล | ออกรับใช้แต่หม่อมกิ่งด้วยพริ้งเพรา |
ข้างในก็มีแต่หม่อมขำหม่อมป้ำเป้อ | กับหม่อมเธอนั่งพิงพระแท่นเหงา |
หนูพยอมอยู่ในห้องต้องลำเนา | ถ้าว่าเราด้วยเปนสามตามทำนอง |
ได้เปนสี่มีเพียรเจ๊กเหลียนด้วย | คอยหยิบฉวยอยู่งานพัดไม่ขัดข้อง |
เปนนิจงามตามอย่างตามทำนอง | คอยลอองบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ |
แต่เจ้าจอมหม่อมของเราเฝ้านอกอย่าง | ไว้ปีกหางพูดอะไรชักใบสั้น |
ดูไหลเลื่อนเฟือนไปเสียทุกอัน | จะเตือนก็หันโกรธขึ้งอึงทุกที |
เอาแต่ความนอนไว้เปนเนื้อ | วันนั้นเบื่อจริงไม่แกล้งแสร้งใส่สี |
คุณกาบใหญ่นอนขวางทางเท้ารี | เห็นยังดีแจ่มใสดวงในตา |
ข้างพยอมอยู่ในห้องก็ผ่องแผ้ว | เสียงยังแจ้วสท้านร้องขานจ๋า |
คุณขำเล่าก็ยังใสดวงในตา | ก็แต่ว่านอนเล่นเหมือนเช่นเคย |
สงสารกายอยู่ไหนใช้แต่ศอก | หมอบจนออกเจ็บหลังนิจจังเอ๋ย |
เสียงในห้องร้องกรนก็บ่นเบย | จึงคลานเลยมาข้างหม่อมด้วยตรอมใจ |
ถามพระโรคโศกศัลย์รำพรรณกล่าว | ฟังเธอเล่าเรื่องราวนึกสงไสย |
เข้ามองดูรู้ว่าหลับก็กลับไป | คุณเป็ดก็ไซ้อยู่บนม้าหลับตากรน |
คุณกาบใหญ่เล่าก็เสยขึ้นเกยหาด | ศีศะพาดกล่องหลับอยู่สับสน |
โอ้โอ๋อกยกนี้ถึงที่จน | เฝ้านั่งบ่นอยู่คนเดียวเที่ยวเหลียวแล |
ได้เห็นแต่พวกยามนั่งสามเส้า | ให้ง่วงเหงาตรองความตามกระแส |
จะกลับก็ใช่อยู่ก็เปลี่ยวสุดเหลียวแล | นั่งนึกแต่ในใจไม่ไคลคลา |
พอหม่อมขำค่อยตื่นฟื้นสติ | เธอทำปริปากแกล้งแสดงว่า |
ใจไม่หลับระงับนิ่งแต่ในตา | ครั้นจะว่าก็จะโกรธเปนโทษทัณฑ์ |
ก้มหน้านิ่งเสียทุกคำทำหัวร่อ | ก็แต่พอล่วงเพลาลาผายผัน |
มาหลับนอนผ่อนกายเช่นทุกวัน | แต่ยังนั้นมากนานประมาณใจ |
ได้ชมคำน้ำเสียงเรียงทุกหน้า | แต่บรรดาหมอหม่อมเจ้าจอมไพร่ |
ทั้งข้าหลวงทั้งปวงเปนได้เห็นใคร | จะร่ำใส่ลงไว้เล่นเหมือนเห็นมา |
ได้หยุดพักสำนักนั่งเก๋งเสวย | เปนนิจเคยแรกไปได้ศุขา |
ท่านคุณพี่อยู่ที่นั่นทุกวันมา | ทำมาลามาไลยใส่สำอาง |
กับบุหงาสาโรชปราโมทย์จิตร | อยู่เปนนิจคอยตรองไม่หมองหมาง |
ให้หลานน้อยเข้าไปตั้งข้างที่ทาง | จำปาวางสองดอกแล้วออกมา |
แล้วปอกกระจับสำหรับเคยเสวยค่ำ | หม่อมหม่อมทำลูกบัวทั่วทุกหน้า |
แล้วสำเร็จใส่จานลงส่งเข้ามา | คอยเทียบท่าเครื่องคาวตั้งราวเรียง |
คุณเอาของจัดใส่ลงในถาด | มิได้ขาดเป็นนิไสยในอย่างเยี่ยง |
ท่านคุณเครื่องหม่อมขำพยอมเรียง | ตั้งเครื่องเคียงน้ำท่าสารพัน |
คุณยายกิ่งพริ้งเพราเจ้าจริต | เฝ้าเปนนิจเมื่อเสวยแกเคยหมั่น |
หมายได้กินเปนนิจคิดทุกวัน | ทั้งแกงมันแกงสายบัวไม่กลัวใคร |
เที่ยวอวดก้อไม่ยักง้อใครกินเข้า | เพลาเฝ้าแล้วได้กินเปนไหนไหน |
พูดข้างบนก้นขย่อนสท้อนใน | ลมก็ไล่ออกไม่สิ้นลมกลิ่นเลย |
เจ้าครอกน้อยสำหรับนับกลิ่นกล้า | เอามาลามาตั้งแล้วนั่งเฉย |
เสียงริกริกงิกงอไม่รอเลย | เธอนั้นเคยไปเมื่อย่ำค่ำเพลา |
ประดิษฐ์ประดับสำหรับใส่ดอกไม้ตั้ง | กระเช้าทั้งมาไลยใส่บุหงา |
ได้รับประทานปี้ท่านทุกเวลา | ไม่ได้ก็หน้าติดจะตึงอึงทุกที |
เปนวิไสยใจของคนทุกตนหมด | ด้วยรักยศรักหน้าเป็นราษี |
ต้องพูดล่อแต่พอให้เปนที | ยกธุลีลอององค์ส่งขึ้นไป |
๏ โอ้ทุกข์ศุขคลุกระคนปนประทับ | เหลือจะนับวันว่าอัชฌาไศรย |
ที่สิ่งศุขทุกข์ทับก็คับใจ | จึงไม่ได้เดือนวันมาพรรณนา |
พระบาทบงสุ์ทรงสวัสดิ์พิพัฒน์ผล | พระคุณล้นลบเจิมเฉลิมหล้า |
สังเวยไหว้ไทเทพเทวา | ให้รับยาถูกพระโรคโรคาคลาย |
นอนรำพึงคนึงคิดเปนนิจอยู่ | ตามได้รู้บวงบนกุศลถวาย |
ตามวิไสยใจตรงต่อพงษ์นารายน์ | ไม่เว้นวายคลายคลาศไม่ขาดวัน |
พอได้ข่าวเล่าบอกกันออกวุ่น | ว่าเจ้าคุณทำเปนก็เห็นขัน |
ส่งกลิ่นกล้าออกมาฉาวเขาเล่ากัน | ต่อน่าทั่นหลวงนายศักดิ์นึกหนักใจ |
เลยนึกถึงพระผะอบกระทบเข้า | ได้ยินเขากล่าวก็เลยอั้นไม่กลั้นได้ |
ท่านเปิดกลิ่นออกสนามไม่ขามใคร | นึกก็ใคร่จะหัวร่อให้พอการ |
น่าใคร่สรวลควรฤๅเปนใครเห็นมั่ง | ไม่หยุดยั้งชั่งมาโอ่ออกกลางย่าน |
ยาของท่านจางวางหมอ[๑๘]ดีพอการ | ถวายไม่นานแล่นลมให้ชมฟัง |
ท่านหลวงนายก็มาดทายาดอยู่ | เอากระทู้ใส่เจ้าคุณน่าเปนหลัง |
ท่านก็อั้นดันลมออกให้ฟัง | สาใจชั่งนิ่งเสียได้ไม่เอาความ |
น่ากำสรวญหวนคนึงถึงคุณเครื่อง | แกขัดเคืองหลานจนขนเปนหนาม |
คำรามร่นบ่นว่าในตาวาม | เลยยิ้มประณามประนอมลงยอมกาย |
ว่าตอบคำทำวุ่นเจ้าคุณถาม | มันเหลือความเหลือคำทำให้หาย |
เจ๊กเหลียนเปนเนื้ออ่อนต้นบอนกลาย | นิ่งจะอายจึงต้องเปนต่ายเต้นไป |
ถ้าพร้อมหมอกรมพงษ์วงษาศรี | นั่งลาวีโบกลมสมวิไสย |
ไม่อยู่ศุขหลุกหลิกระริกไป | คุณกาบใหญ่นั่งอยู่แล้วดูดี |
เป็นนิไสยใจจริงไม่นิ่งได้ | แต่ว่าไวปัญญาว่องไม่หมองศรี |
ถึงเป็นเจ๊กเล่าก็หมายฝ่ายที่ดี | ทนถูกตีถูกเฆี่ยนมันเพียรครัน |
สู้ถวายวาละชนีนั่งวีพัด | ไม่ขาดขัดทุกเวลารักษามั่น |
กับหนูไข่ได้เป็นคู่สู้ขบฟัน | จนทำขันหอมฟุ้งผ้านุ่งลง |
เปนทั้งคู่ดูก็น่านิจาเคราะห์ | มันเต็มเหมาะเจียวเจ้าสัวอย่ามัวหลง |
เห็นกินยาถามก็ว่าทำให้งง | ไม่บอกตรงทำไถลไม่ไขจริง |
ชาติไอ้เจ๊กเสี้ยงไฮ้แล้วไม่โง่ | มันเฉโกพูดเปนไทยไปทุกสิ่ง |
รักภาษาข้างไทยใจประวิง | กับยายกิ่งเคยแปลแก้นิยาย |
เปนจริงจิตรคิดความตามได้เห็น | นั่งไหนเปนจำจดในใจหมาย |
บาทบงสุ์ทรงโศกพระโรคคลาย | จึงจดจ่ายไว้ให้เห็นเปนตำรา |
ทั้งจอมเจ้าท้าวนางต่างตระหนัก | ที่จงรักมาประนอมน้อมเกษา |
ทั้งพระองค์ทรงแผ่นดินปิ่นอยุธยา | สี่เวลาคอยเฝ้าเอาอาการ |
๏ โปรดให้แก้ปัณหาตำราเล่า | เรื่องใหม่เก่าขัดไปไม่แก่นสาร |
ยกเอาเรื่องมหาวงษ์ทรงนิทาน | คุณบัวชำนาญเล่าตามเนื้อความมี |
ทั้งเครื่องอานประทานถอยบ่อยยังค่ำ | คนประจำยกมาเปนที่ที่ |
ทั้งโอสถมดหมอบรรดามี | เอามาชุลีน้อมประนมบังคมคัล |
ด้วยไม่สร่างวางพระไทยในพระโรค | จึงทรงโศกแหนงหน่ายไม่หมายมั่น |
พระไทยพระองค์ทรงเจตนาครัน | ถึงทุกวันนี้ก็ยังเหมืองหลังมา |
ขอเดชะเทเวศร์วิเศษสุด | มิ่งมงกุฎสหัสไนยไตรตรึงษา |
ให้เคลื่อนคล้อยถอยเขยื้อนทุกเดือนมา | พระโรคาถูกรศโอสถทรง |
ข้าพระบาทราชตระกูลได้ภูลสวัสดิ์ | ทั้งพวกสัตว์จะได้พึ่งเหมือนหนึ่งประสงค์ |
เวลาค่ำไปเปนนิจจิตรจำนง | พระโรคคงคลายเคลื่อนทุกเดือนวัน |
ได้เป็นศุขทุกหน้าพวกข้าบาท | บังเกิดธาตุทายแท้เลยแปรผัน |
คุณยายกิ่งกลับสนิทเข้าติดพัน | กับยายจันศุขจริงยิ่งกว่าคน |
ความได้ทราบกราบทูลมูลเหตุ | จึงได้เจตนาแจ้งทุกแห่งหน |
สำออยอ้อนวอนปลอบกันชอบกล | เปรียบไก่ชนติดแข้งวัดแว้งกัน |
เปนนิไสยในฉบับตำหรับแก้ | ไม่ปรวนแปรปลิ้นปล้อนคอยผ่อนผัน |
มีหลายอย่างต่างต่างขึ้นทุกวัน | ตัวเราทั่นทั้งหลายก็ไม่พ้น |
โอ้โอ๋อกตกแน่นแสนล้ำฦก | มาเกิดศึกขึ้นในจิตรคิดขัดสน |
เห็นเหลือเกินปัญญาเข้าตาจน | พระคุณล้นเกล้ากระหม่อมย่อมประทาน |
ตามนิไสยได้สดับคำรับสั่ง | จึงต้องตั้งเรื่องนิราไว้ว่าขาน |
จึงกล่าวคำร่ำไว้พอเปนพยาน | ถึงเนิ่นนานจะได้จำเปนตำรา |
ถ้าแม้นการนานเปนไม่เห็นมั่ง | พอได้ฟังความคิดเปนปฤษณา |
อกเอ๋ยโอ้จะวิบัติอนัตตา | ไม่ทันชราก็จะแก่แน่แล้วกาย |
บังเกิดก่อเพราะคุณกาบพยอมหลาน | มาก่อการทำประมูลทูลถวาย |
จึงต้องเปนเช่นพระโอษฐโปรดภิปราย | อย่าอับอายเลยฉันขออะไภยกลอน ฯ |
๏ โอ้อาไลยใจหายไม่วายถวิล | มาถึงถิ่นแล้วก็ทอดฤไทยถอน |
คิดวันเจ็บไข้อาไลยวอน | คุณกาบบอนใหญ่พาให้คลาไคล |
หันได้ไปเยือนเยี่ยมถึงห้องหับ | อาการกับบอกเปนไม่เห็นได้ |
นึกน้อยจิตคิดว่าแสร้งแกล้งให้ไป | ก็หักใจลาหลีกลินลามา |
คืนตำหนักพรักพร้อมพยอมนั่ง | มีอิกทั้งพวกยามความหรรษา |
ทั้งคุณเครื่องอยู่ด้วยกันจำนรรจา | หาหมากมาใส่พานเอากล่องนอน |
ประเดี๋ยวลุกว่าจะให้คนไปหา | หม่อมขำมาถวายท่านแก้ผันผ่อน |
ข้างพยอมนั้นก็วางผ้าห่มนอน | ลงต่างหมอนแล้วก็เลยหลับเฉยไป |
น่าใคร่สรวลล้วนแต่ว่าจะอยู่เพื่อน | กลับแชเชือนไปเสียหมดปดฤๅไม่ |
พอหม่อมขำขึ้นมาก็ดีใจ | ถ้าหาไม่ก็จะอยู่แต่ผู้เดียว |
คิดพระคุณมิได้วายไม่หายคิด | ตามจริตไม่ประมาทขาดจนเที่ยว |
ได้พึ่งพาอาไศรยเหมือนใจเจียว | ไม่หลับประเดี๋ยวตื่นประดืดชักยืดยาว |
ไม่เหมือนเจ้าจอมพยอมหม่อมหลับยาก | ลงอ้าปากตาแดงตะแคงหาว |
แป้งทั้งหน้าอุส่าห์หลับได้ยืดยาว | จนไหลพราวลงที่หมอนถอนหายใจ |
ไม่แกล้งว่าถ้าจะหลับดังดับจิตร | จะสกิดปลุกสั่นไม่หวั่นไหว |
เห็นเหลือตัวนึกกลัวระแวงใจ | พอเช้าใส่ฉาวฉานปานยางบอน |
ประเทียบความนามบอนเกสรเปลือก | ยังขาดเทือกยางใสทั้งใบอ่อน |
พยอมก็ดีเทียบที่เปนยางบอน | ได้ฝึกสอนจากคุณกาบไม่หยาบคาย |
๏ โอ้มนุษย์สุดแสนทั้งแดนพิภพ | ช่างมีครบหลายหลากดูมากหลาย |
แต่ประชวรมาถ้วนหกเดือนปลาย | คนทั้งหลายตามนิไสยยังไปมา |
ก็หลายหลากมากมายทั้งชายหญิง | ไม่สุดสิ่งเรื่องทุกข์เรื่องศุขา |
ทั้งเครื่องเล่นเปนบ้างต่างนานา | ทั้งหมอยาหมอท่านอยู่งานองค์ |
ทั้งกรมหมอบพิตรอดิศร | ค่อยวายร้อนเล่นบ้างอย่างประสงค์ |
หลวงนายศักดิพระยาศรีมีจำนง | ยังรับส่งมิได้คลาศขาดเพลา |
ขุนนางนายหลายแห่งตำแหน่งเฝ้า | อุส่าห์เข้ามาประนมก้มเกษา |
มาเยือนเยี่ยมเฟี้ยมเฝ้าพระบาทา | พระเดชาปรากฎทั้งงดงาม[๑๙] |
ศิโรราบกราบก้มชมพระยศ | ให้ปรากฎทั่วไปในสนาม |
อย่ารู้คล้อยถอยพระยศให้งดงาม | อยู่ชั่วสามชั่วโลกพระโรคคลาย |
ให้หายวันหายเดือนเหมือนพระยศ | ดังคำพจมานกลอนอวยพรถวาย |
ใครคิดชั่วขอให้ตัวคนนั้นตาย | ตามภิปรายปราถนาประสาใจ |
ที่เศกแสร้งแกล้งพลอยตะบอยว่า | เปรียบดังกาฝูงหนอนเข้าบ่อนไส้ |
อย่าแผ่ภักตร์หักปราบให้ราบไป | ประสิทธิไชยชาเชษฐเปนเกษวัง |
ข้าพเจ้าเหล่าอาณาประชาราษฎร์ | อิกข้าบาทบรรดามาแต่หลัง |
ได้พึ่งพระยศงดงามตามกำลัง | จนกระทั่งชีวาวายไม่อายใคร ฯ |
๏ เฉลิมหล่อวรนาถนิราศเรื่อง | ไม่ปราดเปรื่องคำคล้องสนองไข |
จะนิราศมาดมิตรสนิทใน | จะสั่งใครก็กลัวโกรธเปนโทษกร |
จะออกปากกระดากลิ้นดังกินแขม | ต้องกล้อมแล้มกระดากกระด่ำคำอักษร |
จะยืมชื่อท่านคุณขำลงทำกลอน | ก็กลัวจะรอนรานโกรธโทษจะมี |
ที่จริงจิตรคิดเฉลิมเพิ่มพระยศ | ให้ปรากฎล้ำฟ้าเป็นราษี |
พระโรคคลายสบายบานสำราญดี | จึงเทียบที่ทำไว้ดังใจจง |
แต่เวียนวนกลกลอนอักษรพาด | ด้วยพลั้งพลาดมิได้จดให้หมดหลง |
จะร่ำว่าไปเหมือนเห็นเช่นใจจง | เห็นคนคงจะรู้ทั่วทุกตัวกัน |
ตั้งแต่คลายวายโศกพระโรคคลาศ | พวกข้าบาทปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ทั่วทุกหน้าบรรดามีที่เห็นกัน | เกษมสันต์ถ้วนทั่วทุกตัวคน |
ที่รักก็หักให้ได้ไปหา | ถึงยามมาอยู่งานพัดไม่ขัดสน |
บ้างเตร็จเตร่เร่เที่ยวไปตามจน | บ้างปะปนกันอยู่เปนคู่ครอง |
บ้างลงคล้อยลอยชายเที่ยวกรายกราด | น่าปราสาทตามนิไสยบ้าในห้อง |
ยายกิ่งยายจันนั้นก็เข้ามุ้งปอง | ตามทำนองซื่อเข้าไปนิไสยรัก |
ต่างผันผ่อนไม่ร้อนรนไม่ขวนขวาย | เห็นสบาย...... |
ไม่ฝืดเคืองเรื่องในอาไลย..... | ได้ประจักษ์อยู่กับหูได้ดูฟัง |
บ้างเกิดเปนเล่นในชักใบคู่ | จึงฟุ้งฟูเปนวิบัติหัดใจขลัง |
จึงประสมคู่รักหักไม่ฟัง | เพราะใจคลั่งคู่ไภยใจจึงเปน |
แสนวิตกอกเอ๋ยไม่เคยชัก | ประดากประดักประดิษฐร่ำจะทำเข็ญ |
ไม่ออกหมดปดให้หลงพะวงเปน | ทำรักเร้นซ่อนปลายเสียดายครัน |
อาไลยแสนแม้นเหมือนคำเขาร่ำว่า | จะตั้งหน้าภูลเพิ่มเฉลิมขวัญ |
จนตัวตายก็ไม่วายสวาดิครัน | อะไภยทั่นเสียเถิดที่มีในกลอน |
นิราศร่ำพร่ำคิดประดิษฐประดับ | มีสำหรับเรื่องรักใช้อักษร |
ฉันไม่มีที่รักหากนิวรณ์ | แต่รักกลอนกล่าวเล่นตามเห็นมา ฯ |
๏ โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างกลางอากาศ | พระพายผาดพัดพรรณบุบผา |
กุหลาบแย้มแกมบานตระการตา | นั่งทัศนาหวนคำนึงถึงประชวร |
โอ้พระคุณทูลกระหม่อมผู้จอมเกล้า | ไม่สร่างเศร้าวายพระโรคที่โศกหวน |
จะประมาณการเริ่มเดิมประชวร | ..... |
ไม่เหือดห่างทางประชวรเฝ้าทวนทับ | ประเดี๋ยวกลับประเดี๋ยว..... |
..... | .....เบิกบานสำราญองค์ |
มาประชวรหวนพระโรคนั้นโศกแสน | ประมาณแม้นขาดผลาอานิสงษ์ |
โอ้เบี่ยงบ่ายชายแสงพระสุริยงค์ | เคยเสด็จลงทรงธรรมประจำวัน |
ข้าพระบาทราชตระกูลภูลสวัสดิ์ | ไม่ขาดขัดศุขเสริมเฉลิมขวัญ |
มาพร้อมหน้ามิได้คลาศไม่ขาดวัน | สารพันศุขสวัสดิอยู่อัตรา |
ทุกวันนี้ไปมิได้เปรมเกษมสร | สอื้นอ้อนเปล่าใจอาไลยหา |
คิดพระคุณบุญฤทธิอิศรา | เคยไปมาคอยเสร็จเสด็จลง |
จึงให้สรงคงคาผลัดผ้าพร้อม | มาประนอมนอบตามความประสงค์ |
ได้ฟังธรรมเทศนาปัญญาปลง | เคยพบองค์ฝ่าธุลีได้ปรีดา |
ทุกวันไม่เห็นเปนแต่เงาลำเนาคาด | คนก็กลาดเหลือเกลื่อนออกเฝื่อนหน้า |
ที่ข้าหลวงทั้งปวงครั้งแต่หลังมา | เปนข้าใช้ขานขาออกดาไป |
เคยหอมกลิ่นธูปอำพันสุคันธรศ | ทั้งแป้งสดพระภูษา..... |
..... | มิได้มีผู้ใดใช้ไปแทน |
โอ้ถึงอาสาฬหมาศใส่บาตรหลวง | เฝ้าเติมตวงคิดพระคุณท่านเหลือแสน |
ถ้าเสด็จมาได้ไม่ยากแค้น | เธอทำแทนที่ปากบาตรราชการ |
ตัวก็ลอยคอยแต่ตามเสด็จ | เดี๋ยวนี้เสร็จสิ้นศุขสนุกสนาน |
ไม่เคยทำก็ต้องทำประจำการ | สิ่งสำราญเหมือนแต่ก่อนบ่ห่อนมี |
เพลาขึ้นหอพระเคยปะเสด็จ | ได้พร้อมเสร็จพี่น้องไม่หมองศรี |
เล่นไพ่ซัดสะกาบรรดามี | ทูลโน่นนี่ตามประสาได้ถาวร |
ทุกวันไปมิได้เล่นเปนแต่หวัง | ไม่พร้อมพรั่งวงษามาเหมือนก่อน |
บ้างก็ไปบ้างก็ไม่ใคร่จะจร | เหลืออาวรณ์คิดถึงท่านทุกวันเวลา |
ให้ง่วงเหงาเศร้าสลดกำสรดโศก | ถึงพระโรคทูลกระหม่อมจอมเกษา |
เพลาค่ำไปเปนนิจจิตรจินดา | ได้เห็นฝ่าบงกชบทมาลย์ |
สำราญใจไนยนาในฝ่าพระบาท | มิได้ขาดทุกเพลา..... |
เปลี่ยนแปลกแรกประชวรควรประมาณ | พระอาการเห็นประทังกว่าหลังมา |
๏ เกษมศุขสว่างทุกข์โสมนัศสหัสสา | |
ทุกเช้าเย็นเล่นสำราญเช่นก่อนมา | เหมือนเทวาชูเชิดประเสริฐครัน |
เพราะพระยศบทมาลย์สำราญรื่น | จึงชูชื่นภักตร์เปรมเกษมสันต์ |
ไม่มีคนเหยียบขยี้ยินดีครัน | ดังฉัตรกั้นร่มเกล้าข่าวขจร |
เฝ้าแต่คิดจิตรำพึงคะนึงอนาถ | ถึงพระบาทบพิตรอดิศร |
น้อมประนมก้มเกษีชลีกร | ถวายพรให้ท่านยืนสักหมื่นปี |
ให้แคล้วคลาศราชปักษ์เปนหลักโลก | หายพระโรคปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
เจริญฤทธิอิศราบารมี | ชนะแก่สี่มารปักษ์ทรงศักดา |
เฝ้าอวยพรอ่อนอำทุกค่ำเช้า | เหลือจะเล่าเหลือจะร่ำคำเลขา |
นิไสยทุกข์ศุขในโลกโศกโศกา | ผู้ดีข้าเหมือนทั่วทุกตัวคน |
ไปเป็นนิจไม่คิดคลาศราชกิจ | ด้วยตั้งจิตรสามิภักดิเปนมรรคผล |
อะไภยความท่านเสียทั่วทุกตัวตน | ทั้งยุคลอิศโรจอมโมฬี |
จะผิดพลั้งยังไรที่ในศัพท์ | .....เกษี |
ทั้งเด็กใหญ่ไพร่จอมหม่อมผู้ดี | อย่าถือที่ถ้อยคำในน้ำกลอน ฯ |
๏ .....รักดีมีหน้าบันดาศักดิ์ | ที่พึ่งพักบพิตรอดิศร |
ไม่เมินหมางต่างมาชลีกร | ต่างนั่งนอนเกลื่อนกลาดดาษดา |
แต่เดือนเก้าคราวคลาศคนขาดเงียบ | เลือกวันเพียบหมอบกรานขนานหน้า |
บางทีก็เห็นแต่หม่อมนั่งอยู่ข้างม้า | ใส่แว่นตาชิดไฟต่อใบลาน |
นอกประตูหม่อมผู้รับสั่งแฝง | กับจันแดงเมียงหมอบต่างตอบสาร |
กับพวกยามตามนิไสยคอยใช้การ | ในทวารคุณขำอยู่กับหนูยาง |
แต่กลางวันเปนอย่างไรนั้นไม่แจ้ง | จะรำพรรณนั้นเหมือนแกล้งว่าถากถาง |
เอาแต่เห็นเปนลำดับเหมือนปรับวาง | เมื่อวันกลางเดือนเก้าเราลีลา |
เปนสบช่องลอององค์ทรงประคบ | ไปประสบพร้อมกันประชันหน้า |
ต่างนบนอบหมอบกลาดดาษดา | หมอเข้ามาดุษฎีทั้งสี่คน |
ท่านกรมหมอหลวงศักดิพรักพร้อม | ต่างนบน้อมอยู่งานรับอยู่สับสน |
ถวายประคบนบน้อมจอมยุคล | เรานี้จนเต็มกระเดื่องด้วยเรื่องมี |
ท่านหลวงศักดินั่งมองแล้วร้องทัก | เหลือจะหักใจกระดากแล้วบากหนี |
สู้ฝืนแสร้งแกล้งสู้แก้ดูที | เนื้อความมีเหลือจะร่ำเปนคำกลอน |
ให้กระดากปากกระเดื่องกลัวเคืองข้อง | จะหม่นหมองศุภลักษณ์ในอักษร |
ยกเสียบ้างยั้งเสียเห็นไม่เปนกลอน | คนจะค่อนว่าพิไรไม่ได้การ |
โอ้เย็นเช้าเปล่าจิตรคิดไม่ขาด | ถึงพระบาทมิได้ศุขสนุกสนาน |
คอยสำเหนียกนึกพินิจผิดอาการ | จะประมาณทุกเวลาด้วยอาวรณ์ |
ค่อยประทังตั้งพระองค์ก็ทรงเครื่อง | ก็ปลดเปลื้องปรีดิ์เปรมเกษมสร |
น้อมประนมก้มเกษชลีกร | หมู่อมรเมืองฟ้าสุราไลย |
มาชูช่วยอวยพรพิพัฒน์ผล | ให้พระชนม์ยืนยงอสงไขย |
ทั้งพระโรคก็ให้คลายเสื่อมหายไป | ให้พ้นไภยอริรอบขอบนคร |
ที่ใครแกล้งอุตริติต่างต่าง | ให้หมองหมางบาทบพิตรอดิศร |
ขอเดชะองค์นรินทร์ปิ่นอมร | ประสิทธิพรให้พระองค์ทรงสำราญ ฯ |
๏ โอ้เย็นย่ำค่ำเข้าแท่นสถิตย์ | ไม่ลืมคิดถึงพระโรคโศกสงสาร |
เฝ้าบนบวงสรวงสังเวยเหมือนเคยประมาณ | พระอาการค่อยขเยื่อนได้เดือนตรา |
สงสารจิตรคิดไปก็ใจหาย | พระโรคคลายแต่ว่าใจไม่ศุขา |
เพราะริรักร่วมห้องต้องตำรา | อุประมาเหมือนจะสาวเอาดาวเดือน |
คอยแหงนหงอยม่อยมองเที่ยวจ้องเจ่า | เหมือนคิดเปล่าร่ำไว้ก็ไม่เหมือน |
จะอิดอ้อนวอนวิงก็ยิ่งเชือน | มิใคร่จะเยื้อนเอื้อนอำทำให้งง |
โอ้วิตกอกร้อนเพราะศรรัก | ไม่ประจักษ์น้ำใจจนใหลหลง |
เมื่อเดือนสิบขึ้นค่ำทำให้งง | พิศวงแลตลึงเหมือนหนึ่งตาย |
คุณนกคุณน้อยคุณโมงนั่งอยู่ข้างนอก | ได้ยินออกว่าสุวรรณ[๒๐]ก็ขวัญหาย |
ค่อยฝืนฝ่ามานั่งสู้ซังกาย | เห็นวุ่นวายใจสั่นพรั่นพรั่นตัว |
คุณโมงขู่คุณขำทำสิงหนาท | ดูเกรี้ยวกราดขนพองสยองหัว |
พิศดูหน้าคุณขำก็เห็นกลัว | คุณโมงตัวปากสั่นรำพรรณความ |
ต้องถูกตีถูกว่าน่าที่นั่ง | ฉันแสนสังเวชไหวจิตรใจหวาม |
ทั้งอ้ายเนื้อบอนเข้าแกมเข้าแถมความ | คุณโมงยิ่งลามลุกรื้อดังถือไฟ |
โอ้สงสารคุณสุวรรณมิ่งขวัญหาย | เที่ยวเหลียวซ้ายแลขวาอัชฌาไศรย |
แม้ช่วยได้ก็จะช่วยให้เห็นใจ | ถ้าขอได้ก็จะขอพอประทัง |
นี่จนจิตรคิดก็น่าน้ำตาตก | สท้อนอกอยู่เหมือนว่าเช่นบ้าหลัง |
เปนเหลือจนพ้นจะนับแล้วกลับยั้ง | จนกระทั่งสุดเสียงที่โกรธา |
เมื่อยามเปนเห็นฟังก็ยังแจ้ง | จึงกลั่นแกล้งกลับคำมาร่ำว่า |
จะใส่ให้สิ้นเหมือนได้ยินจะโกรธา | ขอษมาเสียเถิดคุณอย่าวุ่นวาย |
โอ้เริ่มร้างทางจำเภาะเปนเคราะห์ต้อง | จึงให้หมองจิตรตรมอารมณ์หมาย |
วิบากกรรมจำเภาะเปนเคราะห์ร้าย | จึงวุ่นวายเปนวิบัติอัศจรรย์ ฯ |
๏ พระโรคคลายวายเศร้ากำสรดโศก | ประสิทธิโชคชูเจิมเฉลิมขวัญ |
การเล่นเปนมามากทุกวัน | ได้หม่อมพันโหงเหินมาเดินกลอน |
เปนนักปราชญ์ราชครูรู้สำเร็จ | เบ็ดเตล็ดเทศน์ทำคำอักษร |
เสภาพนดนตรีดีลคร | นิยายมอญนิยายไทยก็ได้ครบ |
เมื่อวันเทศน์เกษอนงค์พระทรงตรัส | หม่อมส้มจัดสังฆ์การีมีขนบ |
ถวายน้ำหมากพลางทางเคารพ | พระสงฆ์สบทีก็ร่ำทำทำนอง |
เทศน์มัทรีเสียงรี่สำเนียงโหย | เสียงโอดโอยขอหนทางแล้วย่างย่อง |
แล้วว่ามหาพนใส่ไว้ทำนอง | เจ๊กเหลียนร้องถวายป้าเหลืออาลัย |
พระพันยิ้มพริ้มเพรานั่งท้าวแขน | ส่งเสียงแปร้นแปรดเปรื่องกระเดื่องไหว |
ยายกิ่งยายจันนั้นนั่งเรียงกันไป | ชมว่าใสเสียงเพราะเสนาะคุณ |
พยอมคอสองต้องนั่งอยู่ข้างม้า | กับบรรดาพวกยามถามกันวุ่น |
บ้างว่าเพราะบ้างหลับตาลงหมอบซุน | พอพระคุณท่านให้ว่าทานกัณฑ์ |
พระก็ผันหันเสียงเรียงขึ้นใหม่ | เจ๊กเหลียนไวร้องช้าว่าขันขัน |
ท่านคุณเครื่องเคืองหลานแกดาลครัน | ลุกถลันจากมุ้งมุ่งเข้ามา |
ทำตาแดงดังหนึ่งแสงพระอาทิตย์ | มานั่งชิดเข่านั่งอยู่ข้างฝา |
เจ๊กเหลียนกลัวนั่งม่อยชม้อยตา | ข้างคุณป้าเคืองค้อนคอยดูที |
พอหม่อมขำเรียกขอรอได้ช่อง | เจ๊กเหลียนร้องขานขามาในที่ |
ลุกลับป้าร่าเริงขึ้นเสียงดี | พอสังฆ์การีสอนพระให้ประคำ |
ว่าหญิงหม้ายไพล่ไปใส่เอาคุณเป็ด | ฟังจนเข็ดหูเบื่อมันเหลือขำ |
ไว้กระแสงแต่งบทให้ชดคำ | เราบ่นว่ากรรมแล้วจะเปนเช่นท่านชัด |
ชื่อขุนทอง[๒๑]นี่ก็ทองต้องกันหนัก | ผู้หญิงรักเพราะวิเศษด้วยเทศน์จัด |
ดูท่าทางคุณหงก็สันทัด | เสียงจรัสพวกยามตามเธอจร |
ถ้าท่านขืนเอามาเทศน์อยู่เปนนิจ | เห็นจะติดตามไปให้ฝึกสอน |
ด้วยท่าทางสวยระหงทรงอรชร | เสียงชอ้อนอ่อยอิ่งเสียจริงจัง |
ข้างคุณโมงเทศน์โต้ก็โวหาร | เธอชำนาญแต่นิยมนิยายขลัง |
วันหนึ่งว่าเสภาก็น่าฟัง | ขยับกรับกรับดังฟังจนงง |
โต้กับหลวงชีหงของพระพัน | ท่านยายจันเปนกลองตะโพนส่ง |
กับเจ๊กเหลียนเปลี่ยนประจังหวะวง | ฉันนี้งงนั่งงันอัศจรรย์แล |
หม่อมพันว่าเมื่อพาวันทองหนี | ส่งเสียงรี่จับใจใสกระแส |
แล้วส่งปี่พาทย์เพราะเสนาะแตร | เสียแหน่แหน่หน่องหน่องต้องตำรา |
วันหนึ่งว่าสอนพิมส่งเข้าหอ | ให้โต้ต่อกับคุณโมงรับสั่งว่า |
คุณโมงขับนอกอย่างต่างตำรา | เอาคุณขำเธอขึ้นว่าสารพัน |
เธอยกย่องตัวของเธอเปนขุนช้าง | ขับต่างต่างนิ่งฟังดูขันขัน |
คุณขำเปนวันทองยกย่องครัน | ว่าขันขันคุณขำโกรธทำที |
ยังวิตกก็แต่ตัวกลัวเหลือแสน | ว่าเปนที่ขุนแผนก็หมองศรี |
ทั้งม้าลาเวทมนต์ดลเขาดี | เราไม่มีไหนจะรักหนักกลัวชัง |
จะร่ำว่าก็กลัวเคืองในเรื่องกล่าว | ให้ร้อนผ่าวกายกรอาวรณ์หวัง |
วิไสยเล่นเปนทั่วทั้งรั้ววัง | แต่คุณเหมเจียวยังตั้งเปนยายชี ฯ |
๏ พระจอมจิตรอิศราพวกข้าบาท | ทรงฟังไม่ขาดปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ประมาณแต่เดือนสี่มาจนป่านนี้ | เจริญศรีสวนาสถาวร |
ออกพรรษามาจนกฐินบก | ยังเรื้อรกด้วยพระโรคโศกสยอน |
ข้าพระบาทราษฎร์อาณาประชากร | ยังรนร้อนทั่วหน้าทุกนารี |
เคยพึ่งพงษ์องค์อิศราเพศ | ได้ปกเกษศุขเสริมเฉลิมศรี |
ไม่มีใครข่มเหงเกรงบารมี | เกษมศรีถ้วนทั่วทุกตัวคน |
ขอบพระคุณทูลกระหม่อมถนอมเกล้า | พระคุณเท่าดินฟ้าเวหาหน |
ถนอมเลี้ยงมาแต่ย่อมเยาว์สกนธ์ | พระคุณล้นเหลือแสนไม่แค้นเคือง |
แต่ได้กินน้ำตามาหลายหน | ก็เพราะคนส่งเสริมเฉลิมเรื่อง |
จึงเศร้าศรีมีอยู่นั้นเนืองเนือง | ได้ขุ่นเคืองบทรัชอยู่อัตรา |
ข้าพเจ้าเอาจิตรอุทิศทอด | จนม้วยมอดชีวังดับสังขาร์ |
ไม่ถือผีถือพระคุณมุลิกา | จะรองฝ่าบาทยุคลอยู่จนตาย |
ถึงใครแกล้งทูลทำให้ช้ำจิตร | ก็ไม่คิดพยาบาทจะมาดหมาย |
เอาจิตรตั้งกตัญญูอยู่ไม่วาย | ใครคิดร้ายขอให้เห็นเปนทันตา |
ข้าพเจ้าเอาสัจจัดเคารพ | ไม่ลืมลบความแต่หลังเหมือนดังว่า |
เอาจิตรตั้งกตัญญูขึ้นบูชา | ถือท่านว่าไว้แต่ก่อนมาสอนใจ |
ว่าจะเลี้ยงเคียงบาทไม่คลาดเคลื่อน | ถึงต่างเรือนก็จะรักไม่ผลักไส |
ก็น้อมนอบขอบพระคุณด้วยอุ่นใจ | เหมือนดังได้เมืองสวรรค์ชั้นวิมาน |
ได้ชื่นชมสมพระโอษฐ์ที่โปรดเกล้า | ประจวบเข้าสามปีก็หักหาญ |
สารพัดขัดคิดเปนนิจกาล | สิ่งสำราญหายวับไปกับตา |
แต่ปีฉลูเดือนเก้าเปนคราวยาก | น้ำท่วมปากโอ้อนาถหนอวาศนา |
ศิโรราบกราบพระคุณมุลิกา | ชมพระบารมีอยู่ไม่รู้วาย |
ถึงไม่เลี้ยงเคียงพระบาทกริ้วกราดโกรธ | จะออกโอษฐเกษีชลีถวาย |
จะถือมั่นกตัญญูอยู่จนวาย | ถึงใครหมายเลือดเนื้อจะเถือทำ |
ก็จะนิ่งยอมเนื้อให้เถือแล่ | ไม่ปรวนแปรเหมือนเช่นว่าสาราร่ำ |
อันคำต้นกับคำปลายไม่หลายคำ | ไม่อิดอำเอื้อนอ้างว้างจนวางวาย |
โอ้พระคุณมุลิกานราราช | ไม่คิดคาดเชื่อคำเขาร่ำถวาย |
ถ้าข้าบาทขาดถึงชีวาวาย | ก็เห็นจะตายไหนจะถามเนื้อความมี |
โอ้ยามทุกข์ศุขแต่หน้าวิญญาเศร้า | จะตายเปล่าเหลือลำบากหนอซากผี |
เพราะสิ่งชั่วมามัวราคีมี | ถึงจะดีก็เปนชั่วนั้นทั่วไป |
โอ้คิดขัดสัจขาดหนอวาศนา | เปนตะกร้าตะแกรงวัดแวงไหว |
โอ้สัจปังกระทั่งเปนถังไป | จึงเจ็บใจทุกเวลาด้วยอาวรณ์ |
สาบานจิตรคิดพระคุณบุญฤทธิ์ | เอาบาทปิดเหมือนแต่หลังช่วยสั่งสอน |
ขอให้ชนะแก่พาลพวกมารจร | ถึงใครชะอ้อนทูลเสนออำเภอใจ |
ให้พระคุณทูลเกล้าของเราขัด | บทรัชปกป้องให้ผ่องใส |
อย่าให้ถึงอับจนให้พ้นไภย | ให้สมในรับสั่งแต่หลังมา |
โอ้คิดอายได้แต่ลมไว้ชมชื่น | กลายเปนอื่นไม่เหมือนคำที่ร่ำว่า |
น่าอายเพื่อนเหมือนจะแหวกแทรกสุธา | กินน้ำตาอยู่ไม่วายด้วยอายคน |
แสนวิตกอกของใครในแหล่งหล้า | จะเหมือนข้าวิบัติได้ขัดสน |
ให้น้อยจิตรคิดหมองนองสุชล | ประจวบจนทุกวันเป็นสันดาน |
ตั้งแต่ทราบบาปบุญคุณแลโทษ | ก็มาโนชปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
เพราะประชวรป่วนพระโรคโศกบันดาล | ทราบอาการตรองความดูตามเดา |
เหมือนกันสิ้นอินทร์พรหมบรมนารถ | คงเฝื่อนฝาดฝั้นเฝือเบื่อเหมือนเหล้า |
รับประทานพานจะมากก็หากเมา | ด้วยว่าเขาซึมเฟือนไม่เหมือนเดิม |
โอ้พระคุณทูลจอมกระหม่อมแก้ว | จงผ่องแผ้วนพรัตน์ฉัตรเฉลิม |
พระบารมีงามพร้อมเปนจอมเจิม | เปนฉัตรเฉลิมรอบจังหวัดเช่นฉัตรไชย |
กระหม่อมฉันพันธุ์พงษ์พวกวงษา | ได้พึ่งพาตามจิตทิศเหนือใต้ |
ที่สิ่งชั่วมัวมลจงดลพระไทย | ให้หายไปให้เปนดังเหมือนหลังมา |
ขอพระคุณทูลกระหม่อมจอมนเรศร์ | จงปกเกษกระหม่อมฉันให้หรรษา |
เปนฉัตรสุวรรณกั้นแสงพระสุริยา | ให้ศุขตาศุขจิตรเปนนิจนิรันตร์ |
ทุกวันนี้ศุขแต่ตาจิตรพาทุกข์ | เพราะเกิดยุคขึ้นในใจให้ใฝ่ฝัน |
จะก้มหน้าไปกว่าวายชีวัน | ที่ทรงธรรม์คงเปนข้าไม่อาวรณ์ ฯ |
[๑] ปีเถาะ จุลศักราช ๑๒๐๕
[๒] พระยาพิพัฒโกษา บุญศรี เปนเจ้าพระยาธรรมาในรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ เป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี
[๓] หลวงนายศักดิ์ ชื่อครุฑ เปนเจ้าพระยายมราชในรัชกาลที่ ๔
[๔] เจ้าคุณหญิงต่าย พระสัมพันธวงษ์ เรียกกันว่าเจ้าคุณปราสาท เปนผู้ใหญ่ในวัง
[๕] เจ๊กเหลียนเปนจีนนอก เข้ามาแต่เด็กๆ กรมหมื่นอับศรทรงเลี้ยงไว้ในวัง ต่อมาบวชอยู่วัดโมลีโลก ได้เปนเปรียญแล้วสึกมารับราชการได้เปนขุนสุวรรณอักษรอาลักษณในรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ ได้เปนพระราชธนพิทักษ์ในกระทรวงพระคลัง.
[๖] เจ้านายที่ออกพระนามตอนนี้ กรมขุนกัลยาสุนทร พระองค์เจ้าปุก พระองค์เจ้ายี่สุ่น ๓ พระองค์นี้เปนพระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าวงเดือน พระองค์เจ้ามาลี เปนพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ ๓
[๗] ความตรงนี้ว่า มาเชิญกรมหมื่นอับศรฯ เสด็จขึ้นไปเฝ้า.
[๘] คำว่า ไทธิราชบาทมูล แลต่อลงมาว่า “ท่านเรา” ตรงนี้หมายความว่า กรมหมื่นอับศรสุดาเทพ.
[๙] พระยาศรีสหเทพ เพ็ง
[๑๐] พระยาสุรเสนา เข้าใจว่าชื่อศุข ที่เปนเจ้าพระยายมราชเมื่อในรัชกาลที่ ๔
[๑๑] คำว่า “กรมหมอ” แลคำคล้ายๆ กัน ใช้เรียกเปนตัวบุคคล มีต่อไปหลายแห่ง คือ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท เวลานั้นเปนกรมหมื่นวงษาสนิท ทรงกำกับกรมหมอ.
[๑๒] คุณเครื่อง นี้ว่า ชื่อคล้าย เป็นนายห้องเครื่องของกรมหมื่นอับศร ฯ
[๑๓] ทูลกระหม่อมตรงนี้หมายความว่า กรมหมื่นอับศร ฯ
[๑๔] ท้าววรจันทน์นี้เข้าใจว่าชื่ออิ่ม
[๑๕] ท้าวคลัง คือ ท้าวทรงกันดาล ชื่อจุ้ย เปนเจ้าจอมมารดา สมเด็จกรมพระปรมานุชิต ฯ
[๑๖] เรียกว่า “ยายกาบ” “คุณกาบ” มีหลายแห่ง คือคนเดียวกับคุณเครื่องนั้นเอง เพราะเคยเปรียบว่าคุณเครื่องเหมือนกาบบอนไว้แห่ง ๑
[๑๗] ยายเป็ด ก็คนเดียวกับคุณขำเป็ดนั้นเอง
[๑๘] ท่านจางวางหมอ คือ กรมหลวงวงษา ฯ
[๑๙] ความตอนนี้ ว่าตลอดเวลาประชวรอยู่ ๖ เดือน กรมหลวงวงษา ฯ แลข้าราชการที่กำกับหมอเข้าไปเสมอ ข้าราชการที่เข้าไปเยี่ยมประชวรก็มีมาก.
[๒๐] ได้ความตรงนี้ ว่าคุณสุวรรณเปนผู้แต่ง ทั้งแกล้งเกลื่อนในที่ต่อมา เพราะคุณสุวรรณนี้ ชื่อปรากฏมาว่าเปนผู้ชำนาญกลอน.
[๒๑] พระธรรมไตรโลก ทอง วันอรุณ ชื่อทอง เทศน์ทานกัณฑ์ดีนัก เวลานั้นเป็นเปรียญอยู่วัดกัลยาณมิตร ที่ว่าขุนทองตรงนี้ จะหมายว่ามหาทองนั้นกระมัง