ระบบศักดินาในประเทศไทย
ก. ลักษณะทางเศรษฐกิจ
1. การถือกรรมสิทธิในปัจจัยแห่งการผลิต
ปัจจัยแห่งการผลิตของสังคมศักดินาไทย ก็เป็นเช่นเดียวกับปัจจัยแห่งการผลิตของสังคมศักดินาในประเทศอื่นๆ นั่นคือ ที่ดิน อันเป็นปัจจัยแห่งการผลิตสำคัญตกอยู่ในมือของชนกลุ่มน้อยที่เรียกว่า ชนชั้นศักดินา อันประกอบด้วย เจ้าที่ดิน และ เจ้าขุนมูลนาย
การไหวตัวของชนชั้นศักดินาไทยครั้งใหญ่ เพื่อรวบอำนาจที่ดินไว้เป็นกรรมสิทธิ์ของชนชั้นตนโดยสิ้นเชิง ก็คือการเคลื่อนไหวที่มีพระบรมไตรโลกนาถเป็นผู้นำเมื่อ พ.ศ. 1998
พวกชนชั้นศักดินาในทางอยุธยานี้ ภายหลังจากที่ได้ขับเคี่ยวต่อสู้กับพวกเจ้าขุนมูลนายต่างๆ ทางแคว้นสุโขทัย, สุวรรณภูมิ, นครสวรรค์, ฉะเชิงเทรา (คือเมืองแสงเชราในพงศาวดาร) ฯลฯ จนอานแล้ว ก็ได้ชัยชนะขั้นเด็ดขาด กล่าวคือประกาศโอนเอาที่ดินทั่วทั้งอาณาจักรเข้าไว้เป็นของกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว เมื่อยึดอำนาจที่ดินไว้ได้ทั้งมวลแล้ว ศักดินาใหญ่แห่งอยุธยาก็จัดการแบ่งสรรปันส่วนที่ดินอย่างขนาดใหญ่
การที่ศักดินาใหญ่แห่งกรุงศรีอยุธยาจัดการแบ่งสรรปันส่วนที่ดินอย่างยกใหญ่ กล่าวคือพระราชทานที่ดินให้แก่ใครต่อใครอย่างทั่วถึงนั้น เป็นเพราะศักดินาใหญ่ทรงมีน้ำพระทัยเต็มเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาหรือไฉน? คำถามนี้ต้องขอโทษอย่างมาก ที่ต้องตอบว่าเปล่า!
สาเหตุที่บังคับให้ศักดินาใหญ่ต้องแจกจ่ายที่ดินก็คือ
(1) ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ ของชนชั้นศักดินา พวกเจ้าขุนมูลนาย ซึ่งแต่ละคนได้เข้าร่วมมือกับกษัตริย์ในการแผ่ขยายแผ่นดิน และรวบอำนาจเหนือที่ดินมากจากเจ้าขุนมูลนายอื่นๆ นั้นต่างคนก็หวังที่จะได้ผลประโยชน์ในที่ดินด้วยกันทุกคน ทุกคนต้องการครอบครองที่ดินอันเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต พวกเจ้าขุนมูลนายที่เป็นเจ้าของสุภาษิต “อาสาเจ้าจนตัวตาย รับใช้นายจนพอแรง” นั้น ไม่มีใครยินยอมกระทำตามภาษิตนี้ โดยมิได้รับผลประโยชน์ ถ้ากษัตริย์ไม่แบ่งปันให้พวกเจ้าขุนมูลนายได้มีผลประโยชน์จากที่ดินบ้างก็ต้องเกิดจลาจล กบฏ รัฐประหาร เปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ไม่หยุดหย่อน ข้อผูกพันที่ดีที่สุดที่กษัตริย์จะผูกมัดพวกเจ้าขุนมูลนายทั้งปวงไว้ได้ ก็คือ การแบ่งที่ดินให้แสวงหาผลประโยชน์ ทั้งนี้เป็นการแบ่งโดยมีเงื่อนไข กล่าวคือเมื่อแบ่งที่ดินให้ไปแล้ว ผู้ที่ได้รับส่วนแบ่ง จะต้องส่งส่วยสาอากรถวายเป็นการตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณ ที่ปกเกล้าปกกระหม่อมตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน
(2) ความขัดแย้งทางการเมือง ของชนชั้นศักดินา ความจริงปรากฏเป็นกฏตายตัวแล้วว่า อำนาจทางการเมืองของพวกเจ้าขุนมูลนายย่อมมีมากหรือน้อยตามขนาดของอำนาจทางเศรษฐกิจ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตมาก ย่อมมีอำนาจทางการเมืองมาก การปล่อยให้พวกเจ้าขุนมูลนายครอบครองผืนดินโดยไม่มีขอบเขตจำกัด เป็นการเสริมสร้างอำนาจทางการเมืองของพวกนั้น ขยายออกไปอย่างไม่มีวงจำกัดเป็นเงาตามตัว ซึ่งกรณีนี้ย่อมเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของศักดินาใหญ่ การออกกฎหมายจำกัดขนาดของปัจจัยการผลิต คือ ที่ดิน เป็นทางเดียวที่จะจำกัดอำนาจทางการเมืองขั้นพื้นฐานของพวกเจ้าขุนมูลนายไว้ได้อย่างมีผลชงัดแน่นอน ฉะนั้นกฎหมายพระราชทานที่ดินจึงต้องเดินควบคู่ไปกับการกำหนดอัตราสูงสุดของปริมาณที่ดินที่เจ้าขุนมูลนายแต่ละคนจะพึงมีได้ อนึ่งการประทานที่ดินให้แก่ข้าราชบริพาร และส่งออกไปเป็นเจ้าขุนมูลนายแทนเจ้าขุนมูลนายชุดเดิมนี้ เป็นการประกันได้อย่างหนึ่งว่า กษัตริย์จะได้เจ้าขุนมูลนายชุดใหม่ที่ภักดีแน่นอนกว่า การปฏิบัติเช่นนี้เป็นไปตามแผนการเพื่อรวบอำนาจให้เข้าสู่ศูนย์กลางได้อย่างมีผล
(3) กฎทางภววิสัยของความพัฒนาแห่งระบบผลิต ระบบผลิตยุคทาสได้ทลายลงแล้วโดยสิ้นเชิง ทาสที่อยู่ในกรรมสิทธิ์ของศักดินาใหญ่กลับกลายเป็น ไท ศักดินาใหญ่ไม่มีทาสเหลืออยู่เป็นเครื่องมือทำมาหากินอีกแล้ว สิ่งที่ศักดินาใหญ่มีอยู่ ก็คือที่ดินอย่างเดียว ทางเดียวที่จะแสวงหาผลประโยชน์ได้ก็คือ แจกจ่ายที่ดินให้ไปแก่เสรีชนและเจ้าขุนมูลนาย ให้ทุกคนผลิตผลประโยชน์ออกมาจากที่ดินทั้งมวล แล้วจึงแบ่งปันมาให้ตนในรูปส่วยสาอากร นั่นคือระบบการขูดรีดของชนชั้นผู้ขูดรีด ต้องเปลี่ยนไปตามความผันแปรของสภาพความเป็นจริงของการผลิตในสังคม การแจกจ่ายที่ดินจึงเป็นสิ่งจำเป็น และทางออกทางเดียวของชนชั้นผู้ขูดรีดของสังคมศักดินาไม่ว่าประเทศใด
ด้วยเหตุผลขั้นพื้นฐานสามข้อ (อย่างน้อย) ดังกล่าวนี้เอง ศักดินาใหญ่แห่งกรุงศรีอยุธยาจึงต้องดำเนินการจัดสรรที่ดินครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ. 1998
ผู้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการดำเนินงานจัดสรรปันส่วนและจำกัดขนาดที่นาในครั้งนั้นก็คือ ‘ขุนวัง’ ผู้เป็นหัวหน้างานฝ่ายรักษาความมั่นคงของพระราชวัง (ที่อยู่ของตระกูลกษัตริย์) และผู้ชำระตัดสินคดีความส่วนกลาง ในที่นี้ต้องเข้าใจด้วยว่า ตามการปกครองของไทยในสมัยโบราณนั้น ‘ขุนวัง’ เป็นผู้มีอำนาจในการบังคับบัญชาข้าราชการกว้างขวางที่สุด มีอำนาจที่จะตั้งศาลชำระความที่เกี่ยวเนื่องด้วยผู้คนในสังกัดของพระราชวัง และกรมกองต่างๆ ที่ขึ้นตรงต่อพระราชวังได้ทุกกระทรวง และมีกรมต่างๆ อยู่ในบังคับบัญชามากที่สุด ผู้ที่รับราชการในตำแหน่งนี้ ต้องมีความสามารถพิเศษมากกว่าข้าราชการในกรมและกระทรวงอื่น
ผลของการจัดสรรที่ดิน และจำกัดขนาดที่ดินในครั้งนั้น ในที่สุดก็ได้ปรากฏออกมาเป็น ‘พระอัยการตำแหน่งนาทหารและพลเรือน’ ซึ่งพระบรมไตรโลกนาถประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 1998
ตามพระอัยการนี้ กษัตริย์-คือพระบรมไตรโลกนาถ-ได้ประกาศอย่างเต็มภาคภูมิว่า เป็นผู้ครอบครองที่ดินทั้งมวลทั่วทั้งพระราชอาณาจักร พระอัยการฉบับนั้นเรียกขานกษัตริย์ว่า “พระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนายก ดิลกผู้เป็นเจ้าเกล้าภูวมณฑลสกลอาณาจักร ฯลฯ” เมื่อเช่นนี้แล้ว กษัตริย์จึงได้ทรงพระกรุณาประทานที่ดินให้แก่พวกวงศ์วานว่านเครือของตนและข้าราชบริพารไปทำมาหากินอีกทอดหนึ่ง
ส่วนแบ่งของที่ดินและอัตราจำกัดขนาดของที่ดินตามที่ปรากฏในพระอัยการนั้นมีดังนี้ คือ,
(1) อัตราของพระบรมวงศานุวงศ์หรือวงศ์วานว่านเครือกษัตริย์รวมทั้งข้าราชการฝ่ายใน
สมเด็จพระอนุชาธิราชหรือสมเด็จพระเจ้าลูกเธอที่ได้เฉลิมพระราชมณเฑียรดำรงตำแหน่งมหาอุปราช ศักดินา ๑๐๐,๐๐๐ ไร่
- สมเด็จพระอนุชา (เจ้าฟ้า) ที่ทรงกรมแล้ว ศักดินา ๕๐,๐๐๐ ไร่
- สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ (เจ้าฟ้า) ที่ทรงกรมแล้ว ศักดินา ๔๐,๐๐๐ ไร่
- สมเด็จพระอนุชา (เจ้าฟ้า) ที่ยังมิได้ทรงกรม ศักดินา ๒๐,๐๐๐ ไร่
- สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ (เจ้าฟ้า) ที่ยังมิได้ทรงกรม ศักดินา ๑๕,๐๐๐ ไร่
- พระอนุชา (พระองค์เจ้า) ที่ทรงกรมแล้ว ศักดินา ๑๕,๐๐๐ ไร่
- พระเจ้าลูกเธอ (พระองค์เจ้า) ที่ทรงกรมแล้ว ศักดินา ๑๕,๐๐๐ ไร่
- สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ ที่ทรงกรมแล้ว ศักดินา ๑๕,๐๐๐ ไร่
- พระเจ้าหลานเธอ ที่ทรงกรมแล้ว ศักดินา ๑๑,๐๐๐ ไร่
- พระอนุชา (พระองค์เจ้า) ที่ยังมิได้ทรงกรม ศักดินา ๗,๐๐๐ ไร่
- พระเจ้าลูกเธอ (พระองค์เจ้า) ที่ยังมิได้ทรงกรม ศักดินา ๖,๐๐๐ ไร่
- สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ ที่ยังมิได้ทรงกรม ศักดินา ๖,๐๐๐ ไร่
- พระเจ้าหลานเธอ ที่ยังมิได้ทรงกรม ศักดินา ๔,๐๐๐ ไร่
- หม่อมเจ้า ศักดินา ๑,๕๐๐ ไร่
- หม่อมราชวงศ์ ศักดินา ๕๐๐ ไร่
ที่ว่า ‘ทรงกรม’ นั้น หมายถึงพวกเจ้าต่างกรม กล่าวคือเจ้านายที่โตพอแล้ว พอที่จะบังคับบัญชาไพร่พลได้ ก็ได้รับอนุญาตให้ตั้ง กรม ขึ้นในบังคับบัญชา กรมที่ตั้งนี้มี เจ้ากรม ปลัดกรม และ สมุห์บัญชี เป็นผู้ปฏิบัติงาน งานของกรมก็คือ เที่ยวตระเวนออกสำรวจผู้คนภายในผืนที่ดินของเจ้านายพระองค์นั้นแล้วลงทะเบียนชายฉกรรจ์ทุกคนในอาณาบริเวณนั้นเข้าบัญชีไว้ใช้สอย การลงทะเบียนก็คือจดชื่อลงบัญชีหางว่าว แล้วเอาน้ำหมึกสักเลขหมายหมู่กรมกอง ลงบนข้อมือบ้าง ท้องแขนบ้าง ของชายฉกรรจ์ผู้นั้นทั้งนี้เพื่อใช้ต่างบัตรประจำตัวและกันการหลบหนี พวกคนที่ลงทะเบียนสักเลขแล้วนี้ เรียกว่า ‘เลข’ หรือ ‘เลก’ ซึ่งจะต้องเข้าเวรทำงานให้แก่เจ้าขุนมูลนายของตนดังจะกล่าวต่อไปข้างหน้า
อัตราศักดินาเท่าที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นเพียงอัตราของพวกเจ้าสำคัญๆ เท่านั้น ยังมีพวกเจ้านายอีกมากมายที่ได้รับบรรดาศักดิ์ (เรียกว่าเจ้ามีชื่อ) และรับราชการในตำแหน่งต่างๆ สำหรับขี่ช้างขี่ม้า ประดับยศบารมี และเป็นกองกำลังรักษาโขลงกระบือ ส่วนพระองค์ เป็นต้นว่า เจ้าพิเทหราช, เจ้าเทวาธิราช, เจ้าทศเทพ ฯลฯ พวกนี้มีศักดินา 1,000 ไร่ 800 ไร่ และ 500 ไร่ ตามลำดับ เจ้าพวกนี้มีอยู่ทั้งสิ้น 20 ตำแหน่ง
คราวนี้ก็มาถึงพวกเมียเล็กเมียน้อยของกษัตริย์ คือพวกสาวสวรรค์กำนัลในที่รับใช้ทั้งการบ้านการครัว อัตราของพวกนี้ มีดังนี้ :
- สมเด็จพระพี่เลี้ยง (ตำแหน่งท้าว วรจันทร์) ศักดินา ๑,๐๐๐ ไร่
- นางท้าวพระสนมเอกทั้ง ๔ (คือ ท้าวอินทรสุเรนทร์, ท้าวศรีสุดาจันทร์,
- แม่เจ้า แม่นาง ศักดินา ๑,๐๐๐ ไร่
- นักพฤฒิธรรมฉลองพระโอษฐทั้ง ๔ (คือ ท้าวสมศักดิ์, ท้าวโสภา, ท้าวศรีสัจจา และท้าวอินทรสุริยา) ศักดินา ๑,๐๐๐ ไร่
- นางสนม นางกำนัล ศักดินา ๘๐๐ ไร่
- นางกำนัลแต่งเครื่องวิเสท (คือทำเครื่องเสวย) ศักดินา ๖๐๐ ไร่
- พระสนมและพระพี่เลี้ยงของพระอนุชา, พระราชกุมาร, พระราชบุตรี ศักดินา ๔๐๐ ไร่
- นางสนมและพระพี่เลี้ยงของราชบุตร, ราชนัดดา ศักดินา ๒๐๐ ไร่
- สาวใช้ต่างกรม ศักดินา ๑๐๐ ไร่
นอกจากที่นำมาแสดงไว้ ณ ที่นี้แล้ว ยังมีอีกมากมายหลายชั้นหลายตำแหน่ง สรุปว่า พวกผู้หญิงที่รับราชการทั้งที่เป็นเมียก็ดีไม่ได้เป็นเมียก็ดี ลงอยู่ในวังแล้ว เป็นได้รับอัตราที่ดินทั้งสิ้น
(2) อัตราของข้าราชการทั่วไปทั้งในกรุงและหัวเมือง
ส่วนแบ่งและอัตราขั้นสูงสุดของพวกข้าราชการมีเพียงหมื่นไร่ ซึ่งก็นับว่าเป็นอัตราสูงทีเดียว เพราะพวกเจ้าเองบางพวกก็ได้รับต่ำกว่าหมื่น พวกที่ได้รับส่วนแบ่งและอัตราที่ดินหมื่นไร่นี้ ทุกคนมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา จึงเรียกกันว่า “พระยานาหมื่น”
ตำแหน่งข้าราชการศักดินาหมื่นไร่
ก. ตำแหน่งพิเศษ
เจ้าพระยามหาอุปราช ที่ปรึกษาราชการ
ข. ตำแหน่งพลเรือน
เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ อัครมหาเสนาบดีว่าที่สมุหนายก (ศูนย์รวมฝ่ายพลเรือน)
พระยายมราช เสนาบดีกรมพระนครบาล (จตุสดมภ์เมือง)
พระยาธรรมาธิบดี เสนาบดีกรมพระธรรมาธิกรณ์ (จตุสดมภ์วัง)
พระยาศรีธรรมาธิราช เสนาบดีกรมพระโกษาธิบดี (จตุสดมภ์คลัง)
พระยาพลเทพ เสนาบดีกรมพระเกษตราธิบดี (จตุสดมภ์นา)
พระมหาราชครู พระครูมหิธร ว่าการฝ่ายพระราชพิธี (พระหมณ์โหรดา)
พระมหาราชครู พระราชครู ปุโรหิตาจารย์ ว่าการฝ่ายที่ปรึกษากฎหมาย (พราหมณ์ปุโรหิต) ทั้งคู่ว่าการศาลด้วย
พระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ว่าการศาสนา (กรมธรรมการ)
ค. ตำแหน่งทหาร :
เจ้าพระยามหาเสนาบดี อัครมหาเสนาบดี ว่าที่สมุหพระกลาโหม (ศูนย์รวมฝ่ายทหาร)
พระยาสีหราชเดโชชัย ประจำกรุง
พระยาท้ายน้ำ ประจำกรุง
เจ้าพระยาสุรสีห์ กินเมืองพิษณุโลก เมืองเอก
เจ้าพระยาศรีธรรมราช กินเมืองนครศรีธรรมราช เมืองเอก
พระยาเกษตรสงคราม กินเมืองสวรรคโลก เมืองโท
พระยารามรณรงค์ กินเมืองกำแพงเพชร เมืองโท
พระยาศรีธรรมาโศกราช กินเมืองสุโขทัย เมืองโท
พระยาเพชรรัตนสงคราม กินเมืองเพชรบูรณ์ เมืองโท
พระยากำแหงสงคราม กินเมืองนครราชสีมา เมืองโท
พระยาไชยาธิบดี กินเมืองตะนาวศรี เมืองโท
นอกจากพระยานาหมื่นที่ส่งออกไปกินเมืองทั้ง 8 ดังกล่าวแล้ว ยังมีพระยาพระหลวงอีกมากมายที่ส่งออกไปกินเมืองตรี เมืองจัตวา พวกนี้มีศักดินาตั้งแต่ 5,000 ลงไป ถ้าจะคัดมาแสดงไว้ก็จะเกินจำเป็น
ส่วนพวกเมียของพระยาพระหลวงทั้งหลาย ต่างได้รับส่วนแบ่งและศักดินาดังนี้;
เมียพระราชทาน และเมียหลวง ศักดินา ครึ่งศักดินาผัว
เมียน้อยทั้งปวง ศักดินา ครึ่งศักดินาเมียหลวง
เมียทาส ถ้ามีลูก ศักดินา เท่าศักดินาเมียน้อย
(3) อัตราสำหรับภิกษุสงฆ์ และนักบวช
ผู้ที่ได้รับส่วนแบ่งที่นา และมีอัตรากำหนดที่ดิน มิใช่มีแต่พวกวงศ์วานว่านเครือ ท้าวพระยาและข้าราชการอันเป็นผู้ที่ยังมิได้ตัดกิเลสเท่านั้น หากพวกพระภิกษุสงฆ์และนักบวชทั้งปวงก็ได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์จากที่ดินด้วย อัตรามีดังนี้ :
พระครูรู้ธรรม เสมอนา 2,400 ไร่
พระครูไม่รู้ธรรม เสมอนา 1,000 ไร่
พระภิกษุรู้ธรรม เสมอนา 600 ไร่
พระภิกษุไม่รู้ธรรม เสมอนา 400 ไร่
สามเณรรู้ธรรม เสมอนา 300 ไร่
สามเณรไม่รู้ธรรม เสมอนา 200 ไร่
พราหมณ์รู้ศิลปศาสตร์ เสมอนา 400 ไร่
พราหมณ์มัธยม เสมอนา 200 ไร่
ตาปะขาวรู้ธรรม เสมอนา 200 ไร่
ตาปะขาวมิได้รู้ธรรม เสมอนา 100 ไร่
(4) อัตราสำหรับไพร่หรือประชาชน
ในพระอัยการเบ็ดเสร็จ (เพิ่มเติม) ซึ่งตราไว้ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดีที่ 1 (พ.ศ. 1903) ก็ได้มีข้อความประกาศไว้ชัดแจ้งว่า : “ที่ในแว่นแคว้นกรุงเทพพระมหานครศรีอยุธยามหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรัมย์ เป็นที่แห่งพระเจ้าอยู่หัว หากให้ราษฎรทั้งหลายผู้เป็นข้าแผ่นดินอยู่ จะได้เป็นที่ราษฎรหามิได้” ฉะนั้นพวกราษฎรผู้เป็นข้าแผ่นดินที่อาศัยแผ่นดินท่านอยู่ จึงไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร นอกจากยอมรับเอาอัตรานี้เข้าไว้ด้วยความขมขื่น
ไพร่หัวงาน มีศักดินา 25 ไร่
ไพร่มีครัว มีศักดินา 20 ไร่
ไพร่ราบ มีศักดินา 15 ไร่
ไพร่เลว มีศักดินา 10 ไร่
ยาจก (คนจน) มีศักดินา 5 ไร่
วณิพพก (ขอทาน) มีศักดินา 5 ไร่
ทาสและลูกทาส มีศักดินา 5 ไร่
ไพร่หัวงาน คือ พวกไพร่ที่เป็นหัวหน้างานในการรับใช้ราชการ และงานของพวกเจ้าขุนมูลนาย
ไพร่มีครัว คือ พวกไพร่ที่มีครัวอพยพในความควบคุม
ไพร่ราบ คือ พวกไพร่ธรรมดารวมทั้งพลเมืองทั่วไปที่เป็นคนงานธรรมดา
ไพร่เลว คือ พวกไพร่ชั้นต่ำ เป็นคนรับใช้ของคนอื่น มีฐานะดีกว่าทาสตรงที่มีอิสรภาพ, ดีกว่ายาจก (คนจน) ที่อดมื้อกินมื้อตรงที่มีนายเลี้ยง และดีกว่าวนิพพก (ขอทาน) ตรงที่ไม่ต้องขอทานเขากิน
นี่คือฐานะที่แท้จริงของไพร่ทั้งปวง พวกนักพงศาวดารมักจะอ้างอย่างบิดเบือนเสมอว่า สามัญชนมีนาได้ 25 ไร่ เป็นต้นว่าในหนังสือ ‘สยามรัฐปฏิวัติ’ ภาคหนึ่งของ ม.ร.ว. ทรงสุจริต นวรัตน์ และในหนังสือ ‘ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ’ ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ แต่หลักฐานตามที่ปรากฏในพระอัยการตำแหน่งนาทหารและพลเรือนที่ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 1998 กลับปรากฏความจริงว่า สามัญชนมีนาได้อย่างสูงสุดก็เพียง 15 ไร่ คือในอัตราของไพร่ราบ ถ้าหากเป็นคนยากจนอันเป็นคนส่วนข้างมากแล้ว ก็มีได้เพียง 5 ไร่เสมอกับทาส อย่างดีถ้าไปสมัครเป็น เลว (คนรับใช้) ของเจ้าขุนมูลนายเข้าก็มีนาได้เพียง 10 ไร่เท่านั้น!
อีกข้อหนึ่งที่พวกนักพงศาวดารศักดินาทั้งปวงพยายามบิดเบือนอธิบายก็คือ ศักดินานั้นดั้งเดิมหาได้หมายถึงจำนวนไร่ที่ข้าราชการได้รับพระราชทาน ตามบรรดาศักดิ์ไม่ แต่หมายความถึงจำนวนไร่ของที่นาที่อนุญาตให้ซื้อได้
ถ้าเราจะมองย้อนไปดูในประวัติศาสตร์ของต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในยุโรปหรือเอเซียจะเห็นชัดว่าระบบการแบ่งปันที่ดินในยุคศักดินานี้ มิใช่ระบบที่ตั้งขึ้นเล่นโก้ๆ เฉยๆ หากได้กระทำกันอย่างจริงจังและจำเป็นต้องกระทำด้วย เหตุผลของความจำเป็นก็คือ 1) ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจของชนชั้นศักดินา. 2) ความขัดแย้งทางการเมืองของชนชั้นศักดินา และ 3) กฏทางภววิสัยของความพัฒนาแห่งระบบการผลิต ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นของบทนี้ แต่อย่างไรก็ดีจะขอย้ำว่า ระบบการแบ่งปันที่ดินนี้ พระบรมไตรโลกนาถจำเป็นต้องปฏิบัติอย่างจริงจัง เพื่อใช้ผลประโยชน์บนที่ดินเข้าผูกใจบรรดาข้าราชบริพารที่ร่วมงานกันมา ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการกบฏ, จลาจล, เปลี่ยนราชวงศ์, เพื่อจัดตั้งเจ้าขุนมูลนายชุดใหม่ขึ้น ซึ่งชุดใหม่นี้ย่อมจัดตั้งขึ้นจากข้าราชบริพารที่เห็นว่าซื่อสัตย์และจงรักภักดี ทั้งนี้เพื่อขจัดอำนาจเจ้าขุนมูลนายชุดเดิมที่ต่างก็วางโตถือว่าตนเป็นเจ้าที่ดินใหญ่ และพร้อมกันนั้นก็ได้จำกัดขนาดที่ดินของเจ้าขุนมูลนายชุดใหม่ไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นการจำกัดอำนาจทางการเมืองของเจ้าขุนมูลนายชุดใหม่นี้ไว้จากขั้นพื้นฐานกล่าวคือ จำกัดอำนาจทางการเมืองโดยการควบคุมอำนาจทางเศรษฐกิจ เหตุผลสำคัญขึ้นหัวใจอีกข้อหนึ่งก็คือ พระบรมไตรโลกนาถไม่มีทาสจำนวนมหึมามหาศาลเป็นเครื่องมือในการผลิตเหมือนกษัตริย์ในยุคทาส ทางเดียวที่จะแสวงหาผลประโยชน์จากที่ดินได้ก็คือแจกจ่ายที่ดินให้กับเสรีชนและข้าราชบริพารไปทำการผลิตแล้วส่งส่วนแบ่งคืนมาเป็นส่วยสาอากร พ้นจากวิธีนี้แล้วกษัตริย์ของสังคมศักดินาก็ไม่สามารถแสวงหาผลประโยชน์จากที่ดินได้เลยแม้แต่น้อย... ทั้งนี้เพราะกษัตริย์มิได้ทำนาเอง!
ถ้าหากพวกศักดินายังจะยืนยันว่า กฎหมายศักดินาเป็นกฎหมายลม มิได้มีการแบ่งสรรปันส่วนที่ดินกันจริงๆ เราก็ต้องปรับเอาว่า พระบรมไตรโลกนาถมีเงินใช้มีข้าวกินก็โดยการใช้ทาสจำนวนมโหฬารทำงานในที่ดิน นั่นคือเป็นกษัตริย์ในยุคทาส แล้วตั้งกฎหมายศักดินาขึ้นเล่นโก้ๆ เพื่อปลอบใจพวกทาส เมื่อปรับเอาเช่นนี้ พวกศักดินาก็คงจะร้องค้านโวยวายขึ้นอีก เพราะมันเป็นข้อน่ารังเกียจหนักขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เมื่อระบุว่าพระบรมไตรโลกนาถเป็นศักดินาใหญ่แจกจ่ายที่ดินเพื่อเก็บผลประโยชน์ ก็ไม่ยอมรับ ครั้นขยับให้ย้อนหลังไปเป็นนายทาสใหญ่ ก็ปฏิเสธเช่นนี้ ทางเดียวที่พวกศักดินาจะพอใจก็คือการกล่าวว่า พระบรมไตรโลกนาถเป็นกษัตริย์ ประชาธิปไตย กระนั้นหรือ?
การที่พวกศักดินาโต้เถียงว่ากฎหมายศักดินาเป็นกฎหมายลม มิได้มีการแจกจ่ายที่ดินอย่างจริงจัง ก็เพราะในชั้นหลังๆ ลงมาเมื่อเกิดการสืบทอดมรดกที่ดินกันขึ้น ผู้ที่ได้รับพระราชทานที่ดินไปแล้ว เมื่อออกจากราชการหรือตายลงไม่ต้องเวนคืนที่ดินมาให้กษัตริย์แจกจ่ายให้ผู้อื่นใหม่ ที่ดินในกรรมสิทธิ์เอกชนเพิ่มมากขึ้นและขยายวงออกไป ที่ดินใหม่ที่หักร้างถางพงแล้วจึงลดน้อยลง และถ้ามีขึ้น กษัตริย์ก็มักจะยึดไว้ครอบครองเสียเอง หรือแบ่งให้ลูกหลานของตนเองเสียหมด พวกข้าราชการจึงได้รับแต่บรรดาศักดิ์และเครื่องยศและอัตราที่ดินซึ่งต้องไปหาที่ดินเอาเอง เมื่อต้องขวนขวายหาที่ดินเอาเอง พวกนี้ก็มักใช้อำนาจเข้าเบียดเบียนกดขี่ไพร่พวกไพร่หลวงไพร่ราบไพร่เลวจนกรอบลงทุกที เพราะการขูดรีดของเจ้าที่ดินและของรัฐ การกู้หนี้จำนองก็เกิดขึ้น ลงท้ายที่ดินก็หลุดมือไปเป็นของพวกเจ้าขุนมูลนายผู้มีเงินและอำนาจ ในยุโรปและประเทศอื่นๆ ทางเอเชียก็มีลักษณะการสืบทอดมรดกที่ดิน และการแสวงหาสวาปามที่ดินลงรอยเดียวกันนี้ทั้งนั้น ฉะนั้นถึงในชั้นหลังกฎหมายศักดินาจะมิได้แจกจ่ายที่ดินให้แก่ผู้ได้รับยศถาบรรดาศักดิ์จริงๆ แต่มันก็ได้ควบคุมปริมาณที่ดินของพวกไพร่ไว้ และเปิดช่องทางให้พวกเจ้าขุนมูลนายขูดรีดครอบครองที่ดินได้ตามอำเภอใจ
อนึ่ง แม้ว่าพวกขุนนางในชั้นหลังจะไม่มีที่ดินพระราชทาน แต่พวกนี้ส่วนมากก็มักมีที่ดินเป็นทุนเดิมสืบสกุลอยู่แล้วทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพราะพวกขุนนางวางน้ำส่วนมาก ก็มักจะมีชาติกำเนิดในชนชั้นศักดินาทั้งนั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมีแต่พวกนี้เท่านั้นที่ได้มีโอกาสศึกษาและถวายตัวเข้าทำราชการ พวกไพร่จะได้ศึกษาอย่างมากก็โรงเรียนวัด หรือบวชเป็นพระภิกษุเพื่อการศึกษา แต่พวกบวชแล้วสึกออกมานี้ ราชการก็ไม่พึงประสงค์เสมอไป แน่นอน สังคมของศักดินาก็ย่อมต้องดำเนินไปเพื่อดูแลผลประโยชน์ของชนชั้นศักดินาและโดยศักดินาอย่างไม่มีข้อสงสัย ตำแหน่งราชการต่างๆ ล้วนได้ผูกขาดไว้สำหรับลูกหลานในชาติตระกูลของพวกศักดินาทั้งนั้น พวกไพร่ และพวกชาววัดที่จะขยับเขยื้อนขึ้นมาได้นั้นมีน้อยตัวเต็มที นับตัวได้ พวกนี้แม้จะ “ชำนิชำนาญกระบวนการในกระทรวงยิ่งกว่าพวกผู้ดีที่เป็นขุนนางโดยสกุล แต่พวกนี้น้อยตัวที่จะได้รับสัญญาบัตรเป็นขุนนาง”
“ครั้นบัดเดี๋ยวนี้ พระราชาคณะ พระครู ถานานุกรม เปรียญบางองค์ที่เป็นโลภัชฌาศรัย (คือโลภเป็นสันดาน-ผู้เรียบเรียง) ใจมักมากแสวงหาแต่ลาภสักการะแลยศแต่ถ่ายเดียว เที่ยวประจบฝากตัวในเจ้าขุนนาง ไว้ตัวเป็นคนกว้างขวางในกรมหาดไทย กรมพระกระลาโหม กรมท่า ด้วยคิดเห็นว่าท่านเหล่านี้มีบุญวาสนาจะช่วยกราบทูลให้สึกออกมาเป็นขุนนางในตำแหน่งกรมมหาดไทยกรมพระกลาโหม กรมท่า แห่งใดแห่งหนึ่งได้ ก็ซึ่งพระราชาคณะถานานุกรมเปรียญรูปใดคิดดังนี้นั้นคงไม่สมประสงค์แล้ว อย่าคิดเลย เหนื่อยเปล่า เพราะว่าจะต้องพระราชประสงค์ แต่คนที่มีชาติตระกูลเป็นบุตรขุนนางในตำแหน่งกรมมหาดไทย กรมพระกระลาโหม กรมท่า ไม่ต้องพระประสงค์คนชาววัดเป็นพระยา พระหลวง ขุน หมื่น ในกรมมหาดไทย ฯลฯ”
ความจริงข้อนี้ ทำให้พวกชนชั้นศักดินาสามารถขูดรีดได้อย่างทนทานมั่นคงมีที่ดินเป็นทุนเดิมโดยไม่ต้องเดือดร้อนต่อการมิได้รับที่ดินจริงตามตำแหน่งพระอัยการ อีกประการหนึ่งศักดินาแม้จะไม่มีที่ดินจริงในชั้นหลัง แต่ก็ยังมีอภิสิทธิ์ในการอื่นๆ ได้อีกมากอย่าง เช่นในการคำนวณอัตราเบี้ยหวัดเงินปี อัตราปรับไหมและการว่าทนายแก้ต่างในโรงศาล (ศักดินา 400 ขึ้นไปจึงว่าจ้างทนายแก้ต่างได้)
แต่อย่างไรก็ดี กษัตริย์ทุกรัชกาลก็ยังคงถืออำนาจเป็นเจ้าของที่ดินทั้งมวล มีสิทธิที่จะจับจอง ที่จะยกผืนดินให้ใครๆ ได้ตามความพอใจ ทั้งนี้ดังจะเห็นได้จาก ‘ประกาศร่างพระราชหัตถเลขาพระราชทานพระเจ้าลูกเธอ’ ของรัชกาลที่ 4 เมี่อ พ.ศ. 2404 ดังต่อไปนี้ :
“สมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยามซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ 4 ในพระบรมวงศ์ปัจจุบันนี้ ขอประกาศแก่ชนที่ควรจะรู้คำประกาศนี้ว่า ที่ท้องทุ่งริมคลองขุดใหม่ตั้งแต่บางขวางออกไปบ้านงิ้วรายนั้น เป็นแขวงเมืองนนทบุรี นครไชยศรี เดิมรกร้างว่างเปล่าหาผู้เป็นเจ้าของไม่ ครั้นขุดคลองไปตลอดแล้ว ข้าพเจ้าได้สั่งเจ้าพระยารวิวงศ์มหาโกษาธิบดีว่าที่พระคลัง ผู้เป็นแม่กองขุดคลองให้จับที่ว่างเปล่านั้นเป็นที่นา อยู่แขวงเมืองนนทบุรีฝั่งเหนือ 1,620 ไร่ อยู่ในแขวงเมืองนครไชยศรีฝั่งเหนือ 9,396 ไร่ ฝั่งใต้ 5,184 ไร่ รวมเป็นที่นา 16,200 ไร่ แบ่ง 50 ส่วน ได้ส่วนละ 324 ไร่ เป็นที่นายาว 60 เส้น กว้าง 5 เส้น 8 วา ที่นาทั้งปวงนี้ เพราะไม่มีเจ้าของมาแต่เดิม เป็นที่จับจองของข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าขอยกส่วนที่ว่านั้นให้เป็นของบุตรชายข้าพเจ้าคนละส่วนบ้าง สองส่วนบ้าง ให้เป็นที่บ่าวไพร่ไปตั้งทำนา ฤๅจะให้ผู้อื่นเช่าทำก็ตาม
ส่วนหนึ่งซึ่งจะมีสำคัญด้วยหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ข้าพเจ้ายอมยกให้...(ชื่อลูก)...ให้... จงเอาหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ไปเป็นสำคัญ และขอให้พระยารวิวงศ์มหาโกษาธิบดีนำข้าหลวงไปรังวัด แล้วทำตราแดงให้เป็นสำคัญตามอย่างธรรมเนียมแผ่นดินเมืองเถิด”
หลักฐานนี้เป็นหลักฐานที่พวกศักดินา จะเถียงไม่ได้เลยว่า ชนชั้นศักดินามิได้จับจอง และแบ่งปันที่นากันและกันในหมู่ชนชั้นตนตามใจชอบ การแบ่งปันครั้งนี้ชนชั้นศักดินาทำอย่างแนบเนียนว่าตนได้ขุดคลองพบที่ดินว่างเปล่าจึงจับจอง แท้ที่จริงก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นที่ร้างทิ้งอยู่ จึงสั่งแม่กองออกไปขุดคลอง ซึ่งจุดประสงค์ในการขุดก็หาใช่เพื่อระบายน้ำให้ประชาชนผู้ทำนาอื่นๆ ทั่วไปไม่ หากเพื่อระบายน้ำเข้าที่นาอันรกร้างนั้น สำหรับจะได้ทำให้มีค่าและทำนาได้ พอขุดเสร็จ พวกไพร่ยังไม่ทันจะได้จับจอง ชนชั้นศักดินาก็รีบประกาศจับจอง แบ่งสรรปันส่วนกันเสียแล้ว! การทุกอย่างทำไปเพื่อรับใช้ชนชั้นศักดินาโดยเฉพาะวงศ์วานว่านเครือเนื้อหน่อของกษัตริย์ทั้งสิ้น
ตกลงที่ดินดีมีคลองระบายน้ำ ก็ตกเป็นของชนชั้นศักดินาเสียทั้งสิ้นไม่มีเหลือไว้สำหรับทวยราษฎร
มิหนำซ้ำในประกาศฉบับเดียวกันนั้นยังบอกไว้อีกว่า นาที่ยกให้ลูกๆ นี้ เป็นนาจับจองใหม่ อยู่นอกข่ายการเก็บค่านา ถ้านารายนี้ยังเป็นของลูกยังไม่ขายอยู่ตราบใดก็ “ขอยกค่านาให้แก่.....(ชื่อลูก)..... ผู้เป็นเจ้าของนา” จะเก็บค่านาตรงนั้นได้ก็ต่อเมื่อเปลี่ยนมือซื้อขายทำตราแดง (โฉนด) ใหม่!!
การแบ่งสัดส่วนที่ดินยกให้แก่ข้าราชบริพารครอบครองเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ครั้งใหญ่ยิ่งครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย ก็คือ การยกเขตแดนเมืองพระตะบองและเสียมราฐให้แก่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ในสมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2337
“ครั้นนั้นทรงพระราชดำริว่า เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ได้รั้งราชการกรุงกัมพูชาอยู่ช้านาน มีบำเหน็จความชอบ แต่มิใช่พวกนักองค์เองซึ่งเป็นเจ้ากรุงกัมพูชาขึ้นใหม่ จึงมีพระราชดำรัสขอเขตแดนเมืองพระตะบอง เสียมราฐ ให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) เป็นผู้สำเร็จราชการขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ นักองค์เองก็ยินดี (??) ถวายตามพระราชประสงค์ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) จึงได้เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง และเป็นต้นตระกูลวงศ์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม) ซึ่งได้สำเร็จราชการเมืองพระตะบองสืบมา”
นี่เป็นหลักฐานเพียงบางส่วนเท่าที่หาได้จากเอกสารอันกระท่อนกระแท่นของเรา และก็เพราะเรามีเอกสารเหลืออยู่น้อยนี้เอง จึงทำให้เรามองไม่ค่อยเห็นกระจ่างชัดนักว่าเราได้เคยมีการมอบที่ดินให้แก่กันจริงจังในครั้งใดเท่าใด และบางทีก็มองไม่เห็นว่า จะมอบให้แก่กันอย่างไร แต่อย่างไรก็ดี ถ้าหากเราจะหันไปมองดูในประวัติศาสตร์ต่างประเทศที่มีการเก็บรักษาเอกสารไว้อย่างครบถ้วน เราก็จะมองเห็นได้ชัดถึงระบบการแจกจ่ายที่ดิน เช่นการแจกจ่ายที่ดินในประเทศต่างๆ แถบอเมริกาใต้ ในสมัยที่ลัทธิอาณานิคมของสเปญกำลังขยายอิทธิพลออกไป (คริสต์ศตวรรษที่ 16)
ในสมัยนั้น เมื่อสเปญรุกรานพวกอินเดียนแดง และครอบครองดินแดนกว้างใหญ่ทางอเมริกาใต้แล้ว กษัตริย์สเปญผู้เป็นเจ้าที่ดินใหญ่ (Suzerain) ก็ประทานที่ดินให้แก่ขุนศึกทั้งหลายที่มีความดีความชอบเพื่อปกครอง แสวงหาผลประโยชน์ส่งไปเป็นส่วนแบ่งถวาย กอร์เตส (Cortes) ได้รับพระราชทานเมือง 22 เมือง เนื้อที่ประมาณ 2,500 ตารางไมล์ มีชาวอินเดียนแดงติดที่ดินเป็นเลกในสังกัด 115,000 คน นี่เป็นสามนตราช (Vassal) หนึ่ง, ปิสซาโร (Pizarro) ได้ที่ดินขนาดเดียวกัน ซ้ำยังได้รับบรรดาศักดิ์เป็น Marques de la Conquista อีกด้วย จำนวนชาวอินเดียนแดงติดที่ดินเป็นเลกของปิสซาโรมีจำนวน 100,000 คน พวก Conquistadors (ผู้พิชิต) อื่น
ในประเทศไทยสมัยอยุธยาตอนต้น ก็มีสภาพเช่นเดียวกับสเปญสมัยนั้น กล่าวคือกำลังทำการขยายอาณาเขตแย่งชิงที่ดินจากพวกเขมรที่ครอบครองอยู่แต่เดิม พวกเมืองของเขมรที่มีมากมายแถวภาคอีสาน เช่น พิมาย, พนมรุ้ง, เมืองต่ำ, เมืองอีจาน (ในดงอีจานทางใต้ของสุรินทร์และโคราช) เมืองเพชรบูรณ์ ฯลฯ ต้องร้างไปก็เพราะการช่วงชิงของเจ้าขุนมูลนายไทยอย่างไม่มีปัญหา การปูนบำเหน็จความชอบของเจ้าขุนมูลนายเหล่านี้ ก็คือที่ดินอย่างไม่ต้องสงสัย และแน่นอน พวกชนพื้นเมืองเดิมก็ต้องตกเป็นพวกทาสสำหรับทำงานโยธางานบ่าวของเจ้าขุนมูลนายแต่ละคน เจ้าขุนมูลนายพวกนี้เดิมทีอาจมีที่ดินได้อย่างไพศาลตามแต่ความสามารถในการเข่นฆ่าชนพื้นเมืองเดิมของแต่ละคน จนมาถึงในสมัยพระบรมไตรโลกนาถเกิดมองเห็นภัยของการมีอำนาจเหนือที่ดินอันไม่จำกัดเข้า จึงได้ออกกฎหมายพระราชทานที่ดินเสียเอง เพื่อเป็นบุญเป็นคุณ และขณะเดียวกันก็ได้เป็นเครื่องมือจำกัดอำนาจของพวกเจ้าขุนมูลนายไปอีกแง่หนึ่งด้วย
อาจจะมีการสงสัยเกิดขึ้นก็ได้ว่า ตามที่ปรากฏในทำเนียบ ดูพระราชทานที่ดินมากมายเหลือเกิน กษัตริย์จะเอาที่ดินที่ไหนมาพระราชทานหวาดไหว
ต่อข้อสงสัยนี้ เราจะต้องย้อนกลับไปดูสภาพความเป็นจริงของปริมาณของผู้คนและผืนที่ดิน จำนวนของประชาชน ในครั้งพระบรมไตรโลกนาถมีอยู่เท่าใดไม่มีสถิติ แต่เราลองเทียบดูก็แล้วกันว่า เพียงแต่ย้อนหลังขึ้นไปถึงปี พ.ศ. 2393 คือเมื่อร้อยปีที่แล้วมานี้ ประเทศไทยขณะนั้นซึ่งโตกว่าสมัยพระบรมไตรโลกนาถตั้งมากมาย มีพลเมืองอยู่เพียงไม่กี่ล้านคน ตามการอนุมานที่น่าเชื่อถือได้ของ เซอร์จอห์น เบาริง ปรากฏว่ามีเพียงสี่ล้านครึ่งถึงห้าล้านเท่านั้น หรือถ้าจะขยับไปเชื่อการอนุมานของสังฆราช ปัลเลอกัวซ์ ก็มีอย่างมากเพียงหกล้านคน และในจำนวนนี้ล้านครึ่งเป็นคนจีน ถึงแม้เมื่อ พ.ศ. 2454 ปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ก็มีอยู่เพียงแปดล้านเศษ (8.3 ล้าน)
“อนึ่ง ป่าดงทุ่งว่างร้างเซหาผู้อยู่ทำมาหากินมิได้ แลผู้ใดชักชวนราษฎรให้เข้ามาทำมาหากินเอาส่วยสาอากรขึ้นพระคลังบำนาญเป็นลหุ (คือให้บำนาญอย่างเบาะๆ)”
จะเห็นได้ว่า ได้พยายามป่าวประกาศทั่วไปให้คนเข้ามาทำนา ถึงกับตั้งบำนาญให้แก่ผู้ที่ชักชวนคนเข้าทำมาหากิน ถ้าย้อนไปดูกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จสมัยพระเจ้าอู่ทอง ก็จะพบว่ามีที่ว่างร้างอยู่มากมาย กฎหมายบังคับให้นายบ้านคอยจัดหาคนเข้าอยู่ทำประโยชน์ นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่ามีที่ทางพร้อมเสมอที่จะแจกจ่ายให้แก่ทุกๆ คน ในการสงครามสมัยศักดินา การรบแต่ละครั้งจะลงเอยด้วยการกวาดต้อนครัวข้าศึกเข้ามา ที่เอาเข้ามานั้นมิได้ประสงค์จะกดลงเป็นทาสทั้งหมดเหมือนสมัยทาส หากกวาดเข้ามาสำหรับใช้เป็นกำลังผลิต ฉะนั้นพอกวาดเข้ามาได้แล้ว ก็มักประทานที่ให้อยู่เป็นแห่งๆ ไป ที่นครสวรรค์ ปราจีนบุรี สระบุรี นครนายก หัวเมืองปักษ์ใต้ ล้วนเป็นที่รองรับครัวที่กวาดต้อนอพยพมาทั้งนั้น ในพงศาวดารมักจะปรากฏเสมอว่า ไม่เขมรก็พม่าแอบเข้ามากวาดต้อนครัวไทยไปดื้อๆ นั่นก็คือลักษณะของการแสวงหาและช่วงชิงกำลังผลิตนั่นเอง พวกครัวต่างๆ นี้ เมื่อผลิตผลออกมาจากที่ดิน ส่วนหนึ่งก็ต้องเข้าพระคลัง กษัตริย์จึงโปรดปรานครัวพวกนี้นักหนา
ด้วยเหตุผลและหลักฐานเท่าที่แสดงมานี้ คงจะพอลบล้างคำอธิบายบิดเบือนของพวกนักพงศาวดารศักดินาได้ว่า กฎหมายศักดินาที่ตราออกในครั้งนั้น พระบรมไตรโลกนาถมิได้ตราออกเล่นสนุกๆ หากได้ปฏิบัติและพระราชทานที่ดินจริงจัง พวกขุนนางนอกจากจะได้ที่ดินแล้ว ยังได้ผู้คนในบริเวณที่ดินของตนอีกด้วย ที่ตรงไหนมีคนทำอยู่แล้วก็ต้องส่งผลประโยชน์แบ่งปันมาให้ตน ที่ตรงไหนยังว่างเปล่าอยู่ก็ไปเที่ยวตระเวณเกณฑ์ผู้คนเข้ามาทำ ซึ่งตามกฎหมายการตระเวณหาผู้คนมาทำนั้นเป็นสิ่งที่มีความดีความชอบเสียอีกด้วย!
แม้มาในชั้นหลังที่มิได้มีการพระราชทานที่ดินกันจริงจัง ศักดินาก็ยังเป็นเครื่องมืออันหนึ่งของชนชั้นศักดินาที่จะจำกัดขนาดและปริมาณที่ดินของพวกไพร่ไว้ และเป็นช่องทางที่พวกตนจะได้รวบกรรมสิทธิ์ที่ดินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เป็นเจ้าที่ดินใหญ่ “มีข้าไทใช้สอยค่อยสบาย” ถึงอย่างไรเสียกฎหมายนี้ ก็มิใช่กฎหมายลมอยู่ดี
ด้วยเหตุผลที่กฎหมายศักดินามิใช่กฎหมายลมๆ ในสมัยรัตนโกสินทร์ กล่าวคือ รัชกาลที่ 5 จึงได้มีการจัดระเบียบศักดินาใหม่ครั้งใหญ่โดยตราออกเป็นกฎหมายเมื่อปี พ.ศ. 2423 อันเรียกว่าพระราชกำหนด ตำแหน่งศักดินาบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งในครั้งนี้ได้รวบเอาอำนาจที่ดินเข้าไว้เป็นอภิสิทธิ์ของพระญาติพระวงค์ของกษัตริย์มากขึ้นกว่าในสมัยอยุธยาหลายเท่า การกำหนดศักดินาใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้ :
“สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชดำรงศักดินา 100,000 สมเด็จพระเจ้าไปยกาเธอ สมเด็จพระไอยกาเธอ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามีกรมแล้ว ทรงศักดินา 50,000 ยังไม่มีกรม 30,000 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอมีกรมแล้ว 40,000 ยังไม่มีกรม 20,000 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระเจ้าน้องยาเธอ และพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามีกรมแล้ว 30,000 ยังไม่มีกรม 15,000 พระเจ้าไปยกาเธอ พระเจ้าไอยกาเธอ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระเจ้าราชวงศ์เธอ พระเจ้าน้องยาเธอ พระไอยิกาเธอ พระราชวีรวงศ์เธอ และพระเจ้าน้องนางเธอมีกรมแล้ว 15,000 ยังไม่มีกรม 7,000 พระเจ้าลูกเธอมีกรมแล้ว 15,000 ยังไม่มีกรม 6,000 พระอัครชายาเธอ มีกรมแล้ว 20,000 ไม่มีกรม 15,000 สมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้ามีกรมแล้ว 15,000 ไม่มีกรม 6,000 พระเจ้าหลานเธอ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ และพระวรวงศ์เธอมีกรมแล้ว 11,000 ยังไม่มีกรม 4,000 พระสัมพันธวงศ์เธอ พระประพันธวงศ์เธอ และพระวรวงศ์เธอ มีกรมแล้ว 11,000 ยังไม่มีกรม 3,000 พระวรวงศ์เธอ 2,000 ส่วนข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ยังคงมีศักดินาอย่างต่ำ 25 ไร่ จนถึง 5,000 ไร่”
หลักฐานและความเป็นจริงของการแจกจ่าย และถืออภิสิทธิ์รวบที่ดินไว้แต่ในชนชั้นศักดินานี้ ทำให้นักคิดของฝ่ายศักดินาบางคนตระหนักว่า การปกปิดความจริงเช่นนั้นเป็นการไร้ประโยชน์ จึงยอมรับการแจกจ่ายที่ดินและผูกขาดที่ดินเสียอย่างหน้าชื่นตาบาน แต่แล้วจึงไปอธิบายบิดเบือนถึงลักษณะของศักดินาเสียอย่างน่าชื่นชม เพื่อแก้หน้าและชักชวนให้คนเลื่อมใสในพระมหากรุณาธิคุณของพวกศักดินา ต่อไปนี้คือ คำอธิบายหลักเกณ์ฑ ของระบบศักดินา โดยนักคิดฝ่ายศักดินาสมัยใหม่
“ที่ดินทั้งหมดเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน
ประชาชนทุกคนที่เจริญวัยแล้ว แต่ละคนจะต้องมีที่ดินไว้สำหรับทำมาหาเลี้ยงชีพ
ประชาชนได้รับพระบรมราชานุญาตให้ครอบครองที่ดิน และได้อยู่ภายใต้การป้องกันของพระเจ้าแผ่นดิน ในขณะเดียวกัน เพื่อตอบแทนแก่อภิสิทธิ์นี้ แต่ละคนที่ครอบครองที่ดิน จะต้องส่งเงินหรือสินค้าถวายต่อพระเจ้าแผ่นดินเป็นภาษีหรือส่วย หรือต้องใช้แรงรับใช้รัฐ ซึ่งมีกษัตริย์เป็นประมุข
ปริมาณของที่ดินที่แต่ละคนครอบครองกำหนดโดยความรับผิดชอบที่เขามีต่อรัฐ”
คำอธิบายของนักคิดศักดินาสมัยใหม่ อ่านแล้วทำให้น่าขอบพระเดชพระคุณที่กษัตริย์กลัวประชาชนจะอดตาย ฉะนั้นจึงพยายามแจกจ่ายที่ดินให้ทุกคนเมื่อเติบโตแล้ว แต่น่าสงสัยอยู่นิดเดียวแหละว่า ถ้าเห็นว่าทุกคนควรมีที่ดินทำกินแล้ว ทำไมจึงให้แต่คนยากจน เพียงคนละ 5 ไร่ ซึ่งไม่พอกิน (ทั้งนี้โดยเทียบจากสถิติของ ดร. คัสเซเบาวน์ (พ.ศ. 2495) ซึ่งปรากฏว่ากสิกรที่ทำนาต่ำกว่าหกไร่ต้องหารายได้ทางอื่นมาชดเชยรายจ่าย
วัดและมิสซัง...เจ้าที่ดินใหญ่
การแบ่งสรรปันส่วนปัจจัยการผลิตของชนชั้นศักดินานั้น นอกจากจะแบ่งปันในหมู่วงศ์วานว่านเครือกษัตริย์และขุนนางแล้ว วงการที่ได้รับส่วนแบ่งที่ดินมากที่สุดอีกวงการหนึ่งก็คือ วงการศาสนา วัดวาอารามที่มีอยู่ทั่วประเทศส่วนหนึ่งได้รับพระราชทานที่ดินเป็นวิสุงคามสีมา และที่ดินโดยรอบวัดเป็นที่สำหรับเก็บผลประโยชน์บำรุงเลี้ยงวัดและพระสงฆ์ จากพระอัยการตำแหน่งนา สังเกตได้ว่าพระสงฆ์และนักบวชไม่ได้รับที่ดินมาครอบครองเป็นรายตัว เป็นแต่ได้รับผลประโยชน์เท่ากับที่พวกขุนนางได้รับจากจำนวนที่ดินเท่านั้นๆ ฉะนั้นจึงใช้คำว่า ‘เสมอนา’ เช่นพระครูรู้ธรรมเสมอนา 2,400 ไร่ ผลประโยชน์นี้เรียกกันว่า ‘นิจภัตร’ คือข้าวปลาอาหารที่ถวายสม่ำเสมอ ข้าวปลานี้ได้มาจากไหน คำตอบก็คือได้มาจากผลประโยชน์บนที่ดินที่ประทานให้แก่วัด พระสงฆ์และนักบวชทั้งหลายในวัดจึงถือผลประโยชน์บนพื้นดินนั้นร่วมกัน และได้รับส่วนแบ่งมากน้อย ตามขนาดของศักดินาที่ทางราชสำนักเทียบเสมอให้
การยกที่ดินให้เป็นสมบัติของวัด หรืออยู่ในความดูแลของวัดนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทั่วไปทุกประเทศในโลก ที่ขึ้นชื่อลือชามากที่สุดก็คือในประเทศฝรั่งเศสยุคโบราณ ในยุคนั้นพวกพระหรือวัดครอบครองที่ดินผืนมหึมา เก็บค่าเช่าและผลประโยชน์จากประชาชนที่อาศัยเช่าธรณีสงฆ์ ค่าเช่านี้เรียกกันว่า Tithe (เป็นอากรร้อยละ 10) ในประเทศอังกฤษก็มีที่ดินธรณีสงฆ์เช่นนี้จำนวนมหึมามหาศาล พวกกษัตริย์ฝรั่งเศส และอังกฤษต้องทะเลาะเบาะแว้งกับวัดและสังฆราชไม่ได้หยุดหย่อน ก็เพราะขัดแย้งทางผลประโยชน์เกี่ยวกับที่ดินนี้เอง เช่นพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ของอังกฤษ ทะเลาะกับสันตะปาปาแห่งวาติกันผู้เป็นกษัตริย์พระแห่งนิกายโรมันคาทอลิค การทะเลาะกันครั้งนั้นเป็นที่เลื่องลือในประวัติศาสตร์สมัยต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 เจ้าประกาศปลดพระ พระประกาศปลดเจ้า ว่ากันให้วุ่น ในประวัติศาสตร์จดไว้ว่าเขาทะเลาะกันด้วยเรื่องเพียงโป๊ปไม่ยอมให้เฮนรี่ที่ 8 หย่าเมียเก่าไปแต่งเมียใหม่ แต่สาเหตุอันแท้จริงมันอยู่ตรงที่ความขัดแย้งทางผลประโยชน์เหนือที่ดิน เฮนรี่ที่ 8 หาเรื่องเพื่อจะยึดที่ดินของวัดอันมีจำนวนมหาศาลพร้อมด้วยทรัพย์สินบนที่ดินนั้นๆ ให้กลับคืนมาเป็นของชนชั้นศักดินาอังกฤษเท่านั้นเอง แล้วที่อีตาโป๊ปถึงกับประกาศอัปเปหิหรือบันพาชนียกรรมพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ก็เหตุตรงที่ตาแกสูญเสียผลประโยชน์มหาศาลไปนั้นต่างหาก!
ธรรมเนียมการถวายที่ดินและเลกให้แก่วัดนี้ เป็นธรรมเนียมที่สืบเนื่องจากสมัยทาส ในสมัยนั้นพระราชะทั้งหลายจะถวายทั้งที่ดินและทั้งทาสไว้แก่วัดเป็นจำนวนมากมายแทบทุกองค์ ในเมืองเขมรพระราชาแทบทุกองค์ก็ได้ถวายทาสหรือ ‘ข้าพระ’ ไว้สำหรับทำไร่ไถนาเอาข้าวปลามาถวายวัด คอยดูแลปัดกวาดและร้องรำทำเพลงประโคมกันตลอดวันตลอดคืน ส่วนมากก็ให้เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย ช้าง ม้า สำหรับฆ่าแล้วปรุงเป็นอาหารถวายพระ หรือเพื่อใช้เป็นพาหนะและลากล้อเลื่อนด้วย พวกกษัตริย์เขมรสมัยตั้งมั่นอยู่ที่นครธม (ซึ่งเรียกว่าสมัยพระนครหลวง พ.ศ. 1445-1975) เที่ยวตระเวนไปยกที่ดินยกทาสให้วัดต่างๆ จนทั่วอาณาจักร ที่ศาลพระกาฬลพบุรีก็เคยเป็นวัดที่มีที่ดินมีทาสรับใช้มาก่อน
ทีนี้เราหันมาดูการทำพิธี ‘พระกัลปนา’ หรือถวาย ‘พระกัลปนา’ ในเมืองไทย การทำพิธีนี้เราได้รับมาทำกันตั้งแต่สมัยทาส เดิมทีเดียวเป็นการยกทาสถวายวัด จึงได้เรียกพวกนั้นว่า ‘ข้าพระ’ นั่นคือ ‘ทาสรับใช้พระ’ มาภายหลังตกถึงสมัยศักดินา เปลี่ยนจากทาสมาเป็น ‘เลก’ จึงได้เรียกว่า ‘เลกวัด’ แต่ก็ยังมีที่เรียกข้าพระกันอยู่ตามเดิมทั่วไป
ตัวอย่างของการยกที่ดินและผลประโยชน์ให้แก่วัดก็คือ การยกที่ดินให้แก่วัดในเขตเมืองพัทลุง และเมืองขึ้นของพัทลุงในสมัยพระเพทราชาเมื่อปี พ.ศ. 2242 ที่ดินทั้งหมดที่ยกให้แก่วัดในครั้งนั้นไม่ทราบจำนวนเนื้อที่แต่ทราบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 290 วัด นอกจากที่ดินที่ยกอุทิศให้แก่วัดแล้ว บรรดาไพร่ทั้งปวง ที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ดี พวกชาวเหนือที่อพยพกวาดต้อนลงไปไว้ทางปักษ์ใต้ก็ดี ยกให้เป็นคนของวัดทั้งสิ้น ผลประโยชน์ทั้งปวงที่ทำได้ตกเป็นของวัดสำหรับบำรุงพระสงฆ์ที่อาศัยและซ่อมแซมวัดนั้นๆ พวกคนที่ตกเป็นของวัดนี้เรียกกันว่า ‘เลกวัด’ เพราะมีสภาพเดียวกับเลกของเจ้าขุนมูลนาย บางทีก็เรียกว่า ‘ข้าพระ’ หรือไม่ก็ ‘โยมสงฆ์’ หรือเรียกควบว่า ‘ข้าพระโยมสงฆ์’ คนพวกนี้ ทั้งหมดได้รับการผ่อนปรนไม่ต้องเสียภาษีอากรใดๆ ทั้งสิ้น เพราะผลประโยชน์ที่ได้ใช้บำรุงวัดโดยสิ้นเชิงอยู่แล้ว
การยกที่ดิน, เลก และผลประโยชน์ให้แก่วัดที่ขึ้นชื่อลือชามากอีกแห่งหนึ่งในเมืองไทย ก็คือที่พระพุทธบาทสระบุรี เมื่อสมัยพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. 2163-2171) ครั้งนั้นเป็นครั้งที่ตาพรานบุญผู้มีบุญได้พบรอยพระพุทธบาท พระเจ้าทรงธรรมได้สร้างวัดสร้างมณฑปครอบพระพุทธบาทแล้วจึง;
“ทรงพระราชอุทิศที่ดิน 1 โยชน์ (คือ 16 กิโลเมตร-ผู้เรียบเรียง) รอบพระพุทธบาทถวายเป็นพุทธบูชา ทั้งกัลปนาผลซึ่งเก็บได้เป็นส่วนของหลวงในที่นั้น ก็ถวายไว้สำหรับใช้จ่ายในการรักษามหาเจดีย์สถานที่พระพุทธบาท และโปรดให้ชายฉกรรจ์อันมีภูมิลำเนาในเขตที่ทรงอุทิศนั้น พ้นจากราชการอื่น จัดเป็นพวกขุนโขลนเข้าปฏิบัติรักษาพระพุทธบาทแต่อย่างเดียว ที่บริเวณที่ทรงพระราชอุทิศนั้น ให้นามของเมืองปรันตปะ แต่เรียกโดยสามัญว่าเมืองพระพุทธบาท”
พวก ‘ขุนโขลน’ นี้ ก็คือพวก “ข้าพระ” หรือ ‘เลกของพระพุทธบาท’ พวกนี้มีหัวหน้าควบคุมอีกสี่คน คือ หมื่นพรหม พันทต พันทอง และพันคำ หน้าที่ของทั้งสี่คนนี้ก็คือ “สำหรับได้ว่ากล่าวข้าพระโยมสงฆ์ให้สีซ้อมจังหันนิตยภัตรถวายพระสงฆ์ ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ เขาจังหวัดพระพุทธบาทองค์ละ 30 ทะนาน
พวกข้าพระที่อยู่ในบริเวณพระพุทธบาทนั้น นอกจากจะเป็น ‘ข้าพระไถนาหลวง เอาขึ้นถวายพระสงฆ์’ แล้ว ยังต้องเสียภาษีอากรให้แก่วัดอีกด้วย (รูปเดียวกับ Tithe ของยุโรป) อัตราของอากรวัดพระพุทธบาทมีดังนี้ :
อากรค่านาเก็บโดยนับจำนวนวัวที่ใช้ไถ วัวคู่หนึ่งเก็บอากร 10 สลึง ที่อ้อยไร่ 1 บาท อากรยางปีละ 2 สลึง ตัดไม้เล็กๆ ขนาดแบกได้ด้วยพร้า อากรปีละ 1 เฟื้อง อากรตัดเสาไม้ใหญ่ ปีละ 2 สลึง พวกตัดหวาย ‘ฉีกตอกลอกเชือกสารพัดการทั้งปวง’ ถ้าผู้ชายเสียอากรปีละ 1 สลึง ผู้หญิงเสียอากรปีละเฟื้อง อากรตลาดร้านละ 2 สลึง อากรหาบเร่หาบละเฟื้อง (คำให้การขุนโขลนเรื่องพระพุทธบาท ในประชุมพงศาวดารภาคที่ 7 น.64)
การอุทิศที่ดิน และคนให้เป็นสมบัติและผลประโยชน์ของวัด คือ กัลปนา นี้ ได้ทำกันเป็นครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในสมัยพระเอกาทศรถ (อยุธยาตอนกลาง) แต่จะมีรายละเอียดอย่างไ รหาหลักฐานไม่ได้ เชื่อว่าการกัลปนาวัดที่กษัตริย์ทำแล้วพงศาวดารมิได้จดลงไว้เป็นล่ำเป็นสันก็คงจะมีอีกมาก บางทีอาจจะมีแทบทุกสมัยรัชกาลก็ได้ ทั้งนี้สังเกตได้จากกฎหมายที่ชนชั้นศักดินาประกาศใช้ รู้สึกว่าเอาธุระเรื่องกัลปนามาตั้งแต่สมัยแรกตั้งกรุงศรีอยุธยา ในกฎหมายลักษณะอาญาหลวงซึ่งตราออกใช้ในสมัยพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดีที่ 1 กษัตริย์องค์แรกของอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 19 ต่อ 20) ก็มีอยู่มาตราหนึ่งที่ห้ามซื้อขายที่ดินและผู้คนในกัลปนาดังนี้.
“มาตราหนึ่ง ไพร่หลวงงานท่านก็ดี ไพร่อุทิศกัลปนาให้เป็นข้าพระก็ดี เรือกสวนไร่นาสำหรับสัด (ส่วน) พระสัดสงฆ์ก็ดี ท่านมิให้ผู้ใดซื้อขาย ถ้าแลไพร่หลวง ไพร่อุทิศต้องสุขทุกข์ประการใด แลเรือกสวนไร่นาสัดพระสัดสงฆ์เกี่ยวข้องอยู่ก็ดี ท่านให้บังคมทูลให้ทราบแล้วแต่พระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ถ้าแลผู้ใดเอาไพร่หลวงไพร่อุทิศแลเรือกสวนไร่นาอันเป็นสัดพระสัดสงฆ์ไปซื้อขายแก่ผู้ใด ผู้ใดใครสมคบไถ่ซื้อไว้ท่านว่าผู้นั้นมิชอบ ให้เอาไพร่หลวงไพร่อุทิศกัลปนา และเรือกสวนไร่นา สัดพระสัดสงฆ์คงไว้ในราชการ ส่วนทรัพย์อันไถ่อันซื้อนั้นให้เรียกคืนไว้เป็นหลวง” (อาญาหลวง 138)
ขอให้สังเกตด้วยว่า การพระราชทานที่เป็นกัลปนาแก่วัดนั้นมี 2 วิธี วิธีหนึ่งเป็นการพระราชทานที่เด็ดขาด ไม่เหมือนกับที่พระราชทานแก่เอกชน ซึ่งอาจเรียกคืนได้ ในสมัยพระนารายณ์มหาราชเคยยกที่ดินในวังลพบุรีให้เป็นกัลปนาวัด ทั้งนี้เพื่อบวชพวกข้าราชการที่จะต้องถูกพระเพทราชาและพระเจ้าเสือดักจับฆ่าตอนพระองค์สวรรคต รัชกาลที่ 4 อยากได้วังคืนมาเป็นของเจ้า สำหรับอยู่ให้สบายอารมณ์ ก็ต้องหาที่ดินผืนใหม่มาแลกเปลี่ยนดังปรากฏใน ‘ประกาศพระราชทานแลกเปลี่ยนที่วิสุงคามสีมาเมืองลพบุรี’ ลงวันพุธ เดือน 12 แรม 13 ค่ำ ปีจอ จัตวาศก จุลศักราช 1224 (พ.ศ. 2405) ดังนี้
“จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสให้เจ้าพนักงาน กรมพระเกษตราธิบดีจัดซื้อที่นาตำบลหนึ่งใหญ่กว่าที่พระราชวังนั้น แลใหญ่กว่าที่บ้านเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ด้วย เพราะได้เห็นว่าที่บ้านเจ้าพระยาวิชาเยนทร์นั้น พระสงฆ์ได้เข้าไปอยู่ครอบครองเอาเป็นวัดในคราวหนึ่ง... ที่นาที่จัดซื้อนั้นจึงทรงพระราชอุทิศถวายในพระพุทธจักรเป็นของจตุทิศสงฆ์ แลกเปลี่ยนที่พระราชวังแลที่บ้านเจ้าพระยาวิชาเยนทร์คืนมาเป็นของในพระราชอาณาจักร...” (ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 ภาค 6 น.58) ที่นาซึ่งรัชกาลที่ 4 ซื้อถวายกัลปนาแลกเปลี่ยนเอาวังคืนมานั้น พระสงฆ์ผู้ครอบครองก็ให้ประชาชนเช่าทำนาเก็บผลประโยชน์เป็นรายปี ประกาศฉบับเดียวกันกล่าวต่อไปว่า
“ได้ยินว่าค่าเช่าได้ปีละ 10 ตำลึง สองบาท สองสลึง (42 บาท 50 สต.) พระสงฆ์ในเมืองลพบุรีได้เก็บเป็นตัตรุปบาตบริโภคอยู่ทุกปี... ค่านาก็ไม่ได้เก็บเป็นหลวง...”
ที่ว่าค่านาก็ไม่ได้เก็บเป็นของหลวงนั้นหมายความว่า กษัตริย์ยกให้วัดเด็ดขาด ไม่เก็บภาษีที่ดินจากวัดอีกเลย ที่ดินของวัดเป็นอิสระจากอำนาจของกษัตริย์โดยสิ้นเชิงเป็นเสมือนที่ลอยๆ นั่นคือ “ทรงพระราชอุทิศกำหนด ถวายเป็นวิสุงคามสีมาแขวงหนึ่ง ต่างหากจากพระราชอาณาเขต” (ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 ภาค 6 น. 55) โดยนัยนี้ ผลประโยชน์ที่วัดเก็บได้วัดได้เป็นกรรมสิทธิ์เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ต้องแบ่งเป็นภาษีที่ดินให้รัฐต่อเหมือนที่เคยทำกันในยุโรป ประกาศนั้นได้อธิบายว่า
“ทรงพระราชอุทิศยกไปเป็นที่สงฆ์ ให้สงฆ์เป็นเจ้าของด้วย ให้บริโภคค่านาเป็นกัลปนาด้วย เหมือนหนึ่งราษฎรเช่านาท่านผู้อื่นทำ ต้องเสียค่าเช่าให้เจ้าของนาด้วย ต้องเสียค่านาแทนเจ้าของด้วย ฉันใด ผู้ที่เข้าไปทำนาในที่ของสงฆ์อันนั้น ต้องเสียค่าเช่าส่วนหนึ่ง ค่านาส่วนหนึ่ง เป็นของสงฆ์ทั้งสองส่วน”
ที่กล่าวมานี้ เป็นการอุทิศถวายที่กัลปนาอย่างพิเศษซึ่งที่ตกเป็นของสงฆ์เด็ดขาด รัฐไม่เก็บภาษีที่ดินจากสงฆ์เลย นี่เป็นอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเป็นการถวายที่แบบธรรมดา วิธีนี้วัดเก็บค่าเช่าแต่อย่างเดียว ฝ่ายกษัตริย์เก็บค่านา ผู้เช่าจึงเสียค่าเช่าให้วัดและเสียค่านาให้หลวง แต่รวมความแล้ว ผู้เช่าก็เสียทั้งสองชั้นทั้งนั้น ผิดกันก็ที่จะเสียให้แก่ใครเท่านั้น
ส่วนพระภิกษุสงฆ์ในวัด เมื่อเก็บได้ผลประโยชน์เท่าใดจากที่ดิน ก็จะแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งใช้บำรุงพระพุทธ นั่นคือใช้เพื่อซื้อดอกไม้ธูปเทียน น้ำมันสำหรับบูชาพระบ้าง ซ่อมแซมพระบ้างอุโบสถบ้าง แต่ส่วนนี้ไม่ค่อยได้ใช้เท่าใดนัก เช่นน้ำมันตามตะเกียงบูชาพระ ถ้าเป็นวัดหลวงกษัตริย์ก็พระราชทานให้ (ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4) ส่วนที่สองใช้บำรุงพระธรรมนั้นก็คือสร้างคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถาฎีกาทำตู้พระธรรม ฯลฯ ส่วนที่สามใช้บำรุงพระสงฆ์ไปตามลำดับยศศักดิ์
ในพระอัยการตำแหน่งนาพลเรือน กำหนดตำแหน่งศักดินานักบวชไว้เป็นลำดับตั้งแต่ศักดินา 2400 ลงมาจนนา 100 อัตราศักดินาของนักบวชนี้พระอัยการใช้คำว่า “เสมอนา” เช่น พระครูมิได้รู้ธรรมเสมอนา 1000 ซึ่งหมายความว่า พระครูมิได้รู้ธรรมให้มีผลประโยชน์ และบรรดาศักดิ์เสมอกับขุนนางที่มีศักดินา 1,000 ที่ต้องใช้เช่นนี้ก็เพราะกษัตริย์มิได้แจกจ่ายที่ดินให้แก่พระสงฆ์หรือนักบวชเป็นรายตัว หากแจกจ่ายให้แก่วัด วัดเป็นผู้แสวงหาผลประโยชน์แล้วแบ่งปันกันในหมู่พระสงฆ์ตามลำดับศักดิ์อีกทอดหนึ่ง
โดยลักษณาการเช่นนี้ วัดในพระพุทธศาสนา จึงกลายสภาพเป็น ‘เจ้าที่ดินใหญ่’ ไปโดยมาก ทางฝ่ายชนชั้นปกครองของศักดินา ต้องเอาธุระเกื้อกูลดูแลพวกเลกวัดหรือข้าพระโดยยกไปเป็นหน้าที่ของกรมพระอาลักษณ์ ซึ่งมีตำแหน่งศักดินาเป็นกรมใหญ่ แต่ในภายหลังได้ย้ายไปเป็นหน้าที่ของ ‘กรมวัง’ เท่าที่ปรากฏก็มีจำนวนมากมายอยู่ คือมีข้าพระสิบสองพระอารามเป็นเบื้องแรก และต่อมาก็ได้พวกข้าพระในวัดต่างๆ ทั่วไปมาขึ้นต่อกรมวังอีกด้วย
ประเพณีการยกที่ดินกัลปนาวัดนี้ มิได้มีเฉพาะในพิธีของกษัตริย์แต่ผู้เดียว แม้พวกเจ้าพระยามหานครที่มั่งคั่งใหญ่โตก็ได้ปฏิบัติเหมือนกันทั้งสิ้น เช่นที่นครศรีธรรมราชในสมัยก่อนก็มี “กรมข้าพระ” อยู่ในระเบียบการปกครองเมืองด้วย
ประเพณีกัลปนาวัดอย่างโบราณนี้ แม้เดี๋ยวนี้จะยกเลิกไป แต่ทางปฏิบัติแล้วก็ยังคงมีการปฏิบัติที่คล้ายคลึง นั่นคือยังคงมีการพระราชทานที่เป็นวิสุงคามสีมาให้แก่วัดต่างๆ ซึ่งวัดเหล่านั้นได้ใช้เพื่อสร้างโบสถ์วิหารการเปรียญ และแบ่งให้ประชาชนเช่าเพื่อเก็บผลประโยชน์บำรุงวัด ส่วนพระสงฆ์ที่มียศศักดิ์และความรู้ในธรรมะ ก็ได้รับเงินเดือนเป็นค่านิตยภัตi (ค่าอาหาร) แทนข้าวปลาอาหารที่เคยได้รับจากพวกเลกวัดในครั้งก่อน
ตามสถิติของกรมประชาสัมพันธ์เมื่อ ปี 2497 ปรากฏว่ามีวัดในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้นถึง 20,944 วัดทั่วประเทศ ในจำนวนทั้งหมดนี้จะมีสักกี่วัดที่ได้รับพระราชทานที่เป็นวิสุงคามสีมา ไม่สามารถจะหาสถิติได้ (เฉพาะเวลาที่เขียนเรื่องนี้) เท่าที่หาได้เมื่อ พ.ศ. 2489 ได้มีการพระราชทานวิสุงคามสีมาครั้งหนึ่ง จำนวนวัดที่ได้รับพระราชทานทั้งสิ้นในครั้งนั้น 195 วัด เนื้อที่ของวิสุงคามสีมาที่พระราชทานทั้งสิ้นประมาณ 108,218,640 ตารางเมตร (ประมาณ 67,637 ไร่เศษ)
นอกจากวัดในพระพุทธศาสนาแล้ว วัดในคริสตศาสนาของพวกบาทหลวงฝรั่งเศสก็ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ซื้อหาที่ดินได้ เพื่อทำการเพาะปลูกแสวงหาผลประโยชน์เป็นทุนในการเผยแพร่ศาสนา ทั้งนี้ตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลศักดินาไทยกับรัฐบาลจักรพรรดินิยมฝรั่งเศสในหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีทางการค้าขายและการเดินเรือ ลงวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 9 ปี มะโรง พ.ศ. 2399 (ในรัชกาลที่ 4) ซึ่งตรงกับวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1856
ที่ดินที่อนุญาตให้พวกวัดฝรั่งหรือมิสซังแสวงหาผลประโยชน์นี้กำหนดให้ไม่เกินอัตราเมืองละสามพันไร่ ทั้งนี้โดยไม่คิดเนื้อที่ที่ใช้ตั้งวัดรวมด้วย แต่อัตรานี้ ก็มีข้อยกเว้นเป็นแห่งเป็นที่เหมือนกัน เช่น เมืองชลบุรีให้เพิ่มเนื้อที่ดินขึ้นเป็น 14,000 ไร่ เมืองราชบุรีเป็น 13,000 ไร่ เมืองฉะเชิงเทรา 9,000 ไร่
รายชื่อเมืองและที่ดินของวัดบาทหลวงฝรั่งเศสในวันที่ออกพระราชบัญญัติมิสซัง มีดังนี้
1. มณฑลกรุงเทพฯ | กรุงเทพ |
402 ไร่ |
นครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง) |
35 ไร่ |
|
สมุทรปราการ |
40 ไร่ |
|
ธัญบุรี |
100 ไร่ |
|
มีนบุรี |
500 ไร่ |
|
รวมทั้งมณฑล |
1,077 ไร่ |
|
2. มณฑลปราจีนบุรี | ฉะเชิงเทรา |
1,775 ไร่ (ภายหลังเพิ่มเป็น 9,000 ไร่) |
ปราจีนบุรี |
1,325 ไร่ |
|
นครนายก |
295 ไร่ |
|
ชลบุรี |
12,377 ไร่ (ภายหลังเพิ่มเป็น 14,000 ไร่) |
|
รวมทั้งมณฑล |
22,772 ไร่ |
|
3. มณฑลนครไชยศรี | นครไชยศรี |
1,970 ไร่ |
สุพรรณบุรี |
350 ไร่ |
|
สมุทรสาคร |
150 ไร่ |
|
รวมทั้งมณฑล |
2,470 ไร่ |
|
4. มณฑลอยุธยา | อยุธยา |
1,299 ไร่ |
สระบุรี |
160 ไร่ |
|
สิงห์บุรี |
164 ไร่ |
|
รวมทั้งมณฑล |
1,623 ไร่ |
|
5. มณฑลราชบุรี | ราชบุรี |
11,617 ไร่ (ภายหลังเพิ่มเป็น 13,000 ไร่) |
กาญจนบุรี |
50 ไร่ |
|
สมุทรสงคราม |
834 ไร่ |
|
รวมทั้งมณฑล |
12,501 ไร่ |
|
6. มณฑลนครสวรรค์ | นครสวรรค์ |
12 ไร่ |
7. มณฑลจันทบุรี | จันทบุรี |
215 ไร่ |
รวมทั้งสิ้น |
40,670 ไร่ |
สรุปความในตอนนี้ทั้งตอนได้ว่า ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิต (ที่ดิน) ในระบบศักดินาของไทยก็คือ
1. กษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์รวมทั้งลูกเมีย
2. ขุนนางข้าราชบริพารและชนชั้นเจ้าที่ดินทั่วไป
3. วัดในพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น
นั่นก็คือ ทั้งสามพวกนี้ คือเจ้าที่ดินใหญ่ในสังคมไทยในสมัยศักดินา
ไพร่–กับการถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน
คราวนี้ก็มาถึงพวกไพร่พวกไพร่ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินอย่างไร
ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อได้มีการแจกจ่ายที่ดินกันครั้งใหญ่นั้น พวกไพร่ต่างก็ได้รับส่วนแบ่งที่ดินโดยทั่วกัน โดยปกติพวกนี้จะได้รับที่นาเพียงคนละ 5 ไร่เท่านั้น ทั้งนี้เพราะพวกนี้ส่วนมากเป็นทาสที่เพิ่งได้หลุดพ้นมาเป็นไทยังตั้งตัวกันไม่ติด มักจะเป็นพวกที่ยากจนข้นแค้นเสียส่วนมาก ซึ่งเข้าอยู่ในเกณฑ์ยาจก วนิพก ทาส และลูกทาส
ส่วนพวกไพร่ที่รับใช้งานเจ้านายเป็นไพร่เลว ถ้ามีคนฝากฝังให้เป็น “เลว” ของเจ้าขุนมูลนายได้ พวกนี้ก็นับว่ามีวาสนาได้เป็นข้าเจ้านาย ได้รับส่วนแบ่งนาคนละ 10 ไร่
ถัดมาอีกขั้นหนึ่งเป็นพวก ไพร่ราบ พวกนี้คือไพร่ชั้นสูง มีฐานะดีกว่าพวกไพร่เลว เป็นอิสระแก่ตัว ไม่ต้องขอใครกินหรือพึ่งพาใครอยู่ พวกนี้ได้คนละ 15 ไร่
นี่คืออัตราสูงสุดที่แต่ละคนจะได้รับในฐานะที่เป็นประชาชนของพระราชอาณาจักรสยาม หรือในฐานะที่เป็นข้าแผ่นดินของท่าน
อัตราเหนือขึ้นไปนี้ยังมีอีกสองอัตรา นั่นคือ
อัตรา 20 ไร่ สำหรับไพร่มีครัว ไพร่มีครัวนี้ มิได้หมายถึงไพร่ที่มีครอบครัว หากหมายถึงไพร่ที่คุมครัวมาจากที่อื่น เช่น ทิดโต คุมครัวลาวมาจากเวียงจันทน์ มีพวกลาวอยู่ในการนำหมู่หนึ่งอาจจะเป็น 20-30 หรือ 50 ดังนี้ ทิดโตก็เป็นไพร่มีครัว ได้รับส่วนแบ่ง 20 ไร่ เป็นความดีความชอบฐานที่มันชักชวนผู้คนมาทำนาให้ในหลวงท่าน
อัตรา 25 ไร่ สำหรับไพร่หัวงาน นั่นคือสำหรับผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้างานของแต่ละย่าน ทิดโตที่คุมครัวลงมานั้น ถ้าเกิดได้เป็นหัวหน้างานโยธาทำถนนในพระราชวังหรือรอบพระราชวัง ทิดโตต้องคอยดูแลเร่งรัดงานคอยควบคุมคนมิให้หลบหนี ฯลฯ แกก็ได้รับส่วนแบ่ง 25 ไร่ เป็นรางวัลพิเศษ
อย่างดีที่สุด ถ้าทิดโตได้รับแต่งตั้งเป็น ‘หัวสิบ’ คือหัวหน้าของประชาชนในสิบหลังคาเรือน แกก็ได้ส่วนแบ่งเขยิบสูงขึ้นอีก 5 ไร่ เป็น 30 ไร่ ซึ่งในกรณีนี้ แกก็กลายเป็นข้าราชการไปเสียแล้ว หาใช่สามัญชนธรรมดาไม่
ในต้นสมัยของระบบศักดินา เป็นยุคสมัยของการปลดปล่อยทาสครั้งใหญ่ พวกทาสจึงได้รับส่วนแบ่ง หรือ ‘รับพระราชทาน’ ที่ดินด้วยทุกตัวคน คนหนึ่งได้ 5 ไร่ เสมอกันกับพวกยาจก (คนจน) และวนิพพก (ขอทาน) พวกทาสและพวกยาจกวนิพพกที่ได้รับพระราชทานที่ดินนี้ มิได้รับที่ดินไปเป็นกรรมสิทธิ์เด็ดขาด หากได้เพียงกรรมสิทธิ์ในการครอบครองทำผลประโยชน์ดังกล่าวแล้วแต่ต้น ขอให้เราสมมุติว่าบัดนี้มีทาส, ลูกทาส, ขอทานคนยากจนจำนวน 300 คนได้ครอบครองที่ดินในตำบลสำโรงเป็นเนื้อที่ทั้งสิ้น 1,500 ไร่ (5×300) พวกนี้ได้กลายเป็นเสรีชนไปแล้วโดยสิ้นเชิงหรือไฉน?
ยังก่อน!
ในคราวเดียวกันนั้นพระยายมราชฯ เสนาบดีกรมเมืองได้รับพระราชทานส่วนแบ่งที่ดินหมื่นไร่ ในจำนวนที่ดินหมื่นไร่นั้นได้ครอบเอาที่ดิน 1500 ไร่ของพวกเสรีชนใหม่นั้นเข้าไว้ด้วย ฉะนั้นคนทั้ง 300 ผู้ทำการผลิตบนที่ดินคนละ 5 ไร่นั้นจึงต้องกลายเป็นคนภายในสังกัดของพระยายมราช พระยายมราชจึงออกกฏบังคับภายในอาณาเขตของตนให้พวกผู้คนเหล่านั้นมาช่วยทำนาให้ตนด้วย ให้ส่งส่วยเสียให้แก่ตนด้วย อัตราที่จะต้องเสียมีต่างๆกันแล้วแต่จะตกลงกันได้ ถึงปีพระยายมราชก็ออกสำรวจจำนวนคนลงบัญชีไว้ เอาน้ำหมึกสักหมายเลขลงบนข้อมือบ้างบนท้องแขนบ้าง พวกที่ถูกสักแล้วต้องไปทำงานรับใช้นายจนตลอดชีวิตทุกคน จะหนีก็ไม่มีทางหนีเพราะน้ำหมึกดำติดอยู่ลบไม่ออก ตกลงก็เป็นขี้ข้าเจ้าขุนมูลนายไปจนกว่าจะตายหาเวลาทำนาตัวเองยากเต็มที
คราวนี้พวกไพร่ทั้งปวงที่มีนาเพียง 5 ไร่ หรือจะพูดให้ถูกมีสิทธิ์ทำนาเลี้ยงตนเองบนที่ดิน 5 ไร่เท่านั้น ทำเลี้ยงตนเองอยู่ไปมาพักเดียวก็ตระหนักว่าทำนาบนพื้นที่ 5 ไร่ไม่พอกิน ครั้นจะซื้อที่ดินเพิ่มก็ไม่มีสตังค์ และถึงมีสตังค์กฎหมายก็ห้ามซื้อขายที่ดินภายนอกเมืองหลวง หรือถึงมีกฎหมายอนุญาตให้ซื้อได้ เขาก็ไม่อาจซื้อได้ เพราะกฎหมายของชนชั้นศักดินาอนุญาตให้เขามีที่ดินในครอบครองเพื่อทำผลประโยชน์ได้เพียง 5 ไร่เท่านั้น เมื่อประสพปัญหาไม่พอกินเขาก็ต้องกู้เงินดอกเบี้ยร้อยละ 37.50 ต่อเดือน (= 1 เฟื้องต่อ 1 ตำลึง ในเวลา 1 เดือน) ไม่ก็ขายฝาก (ซึ่งกฎหมายอนุญาต) พอหมดหนทางชำระหนี้เข้า เจ้าหนี้ก็ยึดที่ดินเสีย ซึ่งกฎหมายให้ยึดได้ ที่ดินก็หลุดมือไป ที่บางคนที่ดินหลุดมือไปแล้วก็ยังไม่รอดหนี้ ก็ต้องตีค่าตัวขายเป็นทาสต่อไป ตอนนี้ก็เลยถูกพวกนายเงินใช้ให้ไถนาสบายใจเฉิบไปเลย
ทีนี้ในฝ่ายพวกทาสของเจ้าขุนมูลนาย อันที่จริงแล้วเมื่อพระบรมไตรโลกนาถแบ่งที่ดินให้คนละ 5 ไร่นั้น มิใช่ว่าจะโลดแล่นออกไปทำนาของตัวได้ก็เปล่า พวกนี้ยังติดค่าตัวอยู่กับเจ้าขุนมูลนาย ตัวมีนาก็มีไป ส่วนที่เป็นทาสก็เป็นไป (นี่เป็นลักษณะทาสของระบบศักดินา ซึ่งทาสมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเอกชนได้) เมื่อมีสตางค์มาไถ่ตัวหลุดเป็นไทเมื่อใดจึงจะไปทำนาของตัวเองได้ และพอย่างเท้าเข้าไปสู่ที่นาของตนก็กลับต้องตกเป็นเลกของผู้ครอบครองเหนือผืนดินบริเวณนั้นอีกชั้นหนึ่ง แต่ส่วนมากแล้วพวกทาสที่พยายามดิ้นรนจนหลุดเป็นไทไปนั้น ลงท้ายก็เดินหลีกบ่วงของชนชั้นศักดินาไปไม่พ้น ต้องฉิบหายขายตัวกลับเป็นทาส หรือไม่ก็เอาลูกเมียขายเป็นทาสกันแทบทั้งนั้น
นี่คือลักษณะการถือกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตของไพร่ ซึ่งเป็นชนส่วนข้างมากในสังคม
2. การขูดรีดของชนชั้นศักดินา หรือการแสวงหาผลประโยชน์จากปัจจัยแห่งการผลิต
การขูดรีดของชนชั้นศักดินาที่ต่อไพร่ทั้งมวลนั้น มีอยู่ด้วยกันหลายแบบหลายวิธีเป็นต้นว่า ภาษีอากรจากที่ดิน, ค่าเช่า, ดอกเบี้ย, และการผูกขาดภาษี จะขออธิบายโดยย่อพอมองเห็นลักษณะคร่าวๆ ดังต่อไปนี้
ค่าเช่าและดอกเบี้ย
1) ค่าเช่า หลักฐานการขูดรีดค่าเช่าของเจ้าที่ดินในสมัยศักดินา แต่โบราณไม่มีตกทอดมาถึงปัจจุบันเป็นล่ำเป็นสันนัก เราจึงรู้ได้ยากว่าได้มีการวางกำหนดอัตราค่าเช่าที่ดินกันอย่างไรก็ตาม แต่ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา ระเบียบการเช่าที่นามักเก็บค่าเช่าประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ของผลที่ได้ แม้จนในสมัยหลังๆ และแม้ในปัจจุบันก็ปฏิบัติกันอยู่ดาดดื่น ที่นาไร่หนึ่ง นาอย่างดีที่สุดจะได้ผลระหว่าง 30-40 ถัง ผลได้นี้ต้องส่งเป็นค่าเช่าเสียประมาณ 10 ถัง อย่างกรุณาก็ 6 ถัง แม้ในพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่านา พ.ศ. 2493 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2493 ก็ยังได้กำหนดอัตราค่าเช่าไว้ดังนี้ :
(1) นาที่ได้ข้าวเปลือกปีหนึ่งไร่ละ 40 ถังขึ้นไป เก็บไม่เกินไร่ละ 10 ถัง
(2) นาที่ได้ข้าวเปลือกปีหนึ่งไร่ละ 30 ถังขึ้นไป เก็บไม่เกินไร่ละ 6 ถัง
(3) นาที่ได้ข้าวเปลือกปีหนึ่งไร่ละ 20 ถังขึ้นไป เก็บไม่เกินไร่ละ 3 ถัง
(4) นาที่ได้ข้าวเปลือกปีหนึ่งไร่ละไม่ถึง 20 ถัง เก็บไม่เกินไร่ละ 1 ถัง
ซึ่งอัตรานี้เป็นอัตราค่าเช่านาในยุคทุนนิยมที่ชนชั้นศักดินาอ่อนกำลังลงไปแล้วด้วยซ้ำ
แต่อัตราการเช่าที่แพร่หลายที่สุดที่ใช้กันอยู่ทั่วไปก็คืออัตราค่าเช่า 50 เปอร์เซ็นต์ของผลที่ได้ นั่นคือ “การทำนาแบ่งครึ่ง” ซึ่งเป็นระบบการเช่าที่แพร่หลายใช้กันทั่วไปในประเทศศักดินาอื่นๆอีกหลายประเทศ เช่นประเทศจีนก่อนสมัยการปลดแอก เป็นต้น
การเช่าที่นาของประชาชนในยุคศักดินา เป็นรายได้สำคัญอย่างหนึ่งของชนชั้นศักดินา ทั้งนี้เพราะชนชั้นศักดินาได้เข้ายึดครองที่นาดีทั้งมวลไว้ในมือของตนเสียแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะในภาคกลางบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อชนชั้นศักดินาได้ขุดคลองระบายน้ำแล้ว ก็มักกว้านซื้อจับจองที่ดินไว้ในมือแทบทั้งหมด
“ในท้องทุ่งรังสิตอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น ที่นาส่วนมากมิใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของกสิกร กสิกรต้องเช่าเขาทำ และกสิกรได้เช่านาทำเป็นจำนวนเนื้อที่พอเหมาะแก่กำลังที่จะทำได้ เพราะถ้าขืนเช่ามามากเกินกำลังที่จะทำได้หมด ก็จำต้องเสียค่าเช่าทุกไร่ จะทำหรือไม่ทำก็ต้องเสียค่าเช่าให้แก่เจ้าของนาทั้งนั้น มิได้มีการยกเว้น ทั้งนี้ก็เพราะเหตุว่านาในทุ่งรังสิตส่วนมากนั้นเป็นของบุคคลที่มิใช่กสิกรในทุ่งรังสิต บางจังหวัด เช่น จังหวัดปทุมธานี กสิกรไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินเฉลี่ยร้อยละ 72.51 กสิกรเหล่านี้ส่วนมากไม่มีที่ดินของตนเองเลยสักไร่เดียว ต้องเช่าเขาทำทุกตารางนิ้ว”
ในสมัยศักดินากฎหมายไดูช่วยรักษาผลประโยชน์ชนชั้นเจ้าที่ดินเป็นอย่างดี เพราะถ้าผู้เช่าไม่มีค่าเช่าให้ตามกำหนดสัญญา กฎหมายให้เกาะกุมตัวมาปรับให้เสียค่าเช่า 2 เท่า ค่าเช่าที่เรียกเก็บ 2 เท่านั้น ให้ยกค่าเช่าแท้ๆ ให้เจ้าของที่ดินไป ส่วนที่เหลือรัฐบาลยึดไว้ครึ่งหนึ่งเป็นค่าธรรมเนียม (เงินพินัย) อีกครึ่งหนึ่งเป็นค่าปรับ (สินไหม) ยกให้แก่เจ้าของที่ดิน (เบ็ดเสร็จเพิ่มเติมบทที่ 7)
โดยปกติในสมัยศักดินา การชำระค่าเช่านา จะยกไปชำระกันปลายปี คราวนี้ถ้าหากเจ้าของที่นาเห็นว่าผู้เช่าคนเดิมทำท่าจะทำนาไม่ได้ผล มีกำลังไถไม่พอ ตกปลายปีนั้นจะไม่มีค่าเช่าให้ตน ในกรณีนั้น เจ้าของที่นาก็มีสิทธิ์ที่จะยกที่ดินผืนนั้นให้คนอื่นเช่าซ้อนทับลงไปได้ทันที เจ้าของนาจะทำเช่นนั้นไม่ได้ ก็ต่อเมื่อผู้เช่าได้ชำระเงินล่วงหน้าแล้วเท่านั้น (เบ็ดเสร็จเพิ่มเติม บทที่ 6)
อย่างไรก็ดี ฐานะของชาวนาเช่าที่ในสมัยศักดินา เป็นฐานะที่เสี่ยงต่อการหมดตัว ล้มละลายขายตัวเป็นทาสอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกันกับในสมัยปัจจุบัน ที่สังคมยังมีลักษณะกึ่งศักดินา คือชาวนาต้องเสี่ยงต่อการล้มละลายกลายเป็นทาสกรรมกรวิ่งเข้ามาขายแรงงานในกรุงอยู่ร่ำไป
2) ดอกเบี้ย การที่ชาวนาต้องประสบกับการขูดรีดอย่างหนักหน่วงทำให้แทบทุกครัวเรือนต้องกู้หนี้ยืมสิน แม้ในปัจจุบันชาวบ้านก็ยังคงอยู่ในสภาพเช่นนั้น ในตอนปลายระบบศักดินา หรือนัยหนึ่งตอนปลายของยุคที่ศักดินามีอำนาจทางการเมือง ได้มีผู้สำรวจหนี้สินของชาวนาไทย เมื่อ พ.ศ. 2473-75 ปรากฏว่าชาวนามีหนี้สินเฉลี่ยแล้วดังนี้
ภาคกลาง | มีหนี้สินครอบครัวละ 190 บาท |
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | มีหนี้สินครอบครัวละ 14 บาท |
ภาคเหนือ | มีหนี้สินครอบครัวละ 30 บาท |
ภาคใต้ | มีหนี้สินครอบครัวละ 10 บาท |
อัตราดอกเบี้ยที่กสิกรไทยในยุคศักดินาต้องเสียให้แก่นายเงินในระยะ พ.ศ. 2473-75 มีดังนี้
ภาคกลาง | ต้องเสียดอกเบี้ยอย่างต่ำ 4% อย่างสูง 120% |
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | ต้องเสียดอกเบี้ยอย่างต่ำ 13% อย่างสูง 50% |
ภาคเหนือ | ต้องเสียดอกเบี้ยอย่างต่ำ 2% อย่างสูง 38% |
ภาคใต้ | ต้องเสียดอกเบี้ยอย่างต่ำ 12% อย่างสูง 240% |
จำนวนของกสิกรที่ต้องเป็นหนี้คิดเฉลี่ยแล้วดังนี้
ภาคกลาง | กสิกร 100 คน ต้องเป็นหนี้ 49.17 คน |
ภาคอีสาน | กสิกร 100 คน ต้องเป็นหนี้ 10.75 คน |
ภาคเหนือ | กสิกร 100 คน ต้องเป็นหนี้ 17.83 คน |
ภาคใต้ | กสิกร 100 คน ต้องเป็นหนี้ 18.25 คน |
(สถิติจากบทความของ ดร.แสวง กุลทองคำ ในเศรษฐสาร เล่มที่ 23 ปี ที่ 2 ฉบับที่ 9 ปักษ์แรก 1 พฤษภาคม 2497)
อัตราดอกเบี้ยในสมัยศักดินาที่ใช้มาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 ตามที่ปรากฏในกฎหมายลักษณะกู้หนี้บทที่ 9 มีอัตราดังนี้ คือ
1 เฟื้อง ต่อ 1 ตำลึงในระยะเวลา 1 เดือน
นั่นคือกู้เงิน 4 บาทต้องเสียดอกเบี้ย 12 สตางค์ต่อเดือน คิดเป็นร้อยละได้ร้อยละ 37.50!
ลาลูแบร์ได้เล่าไว้ว่า ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ไม่มีกฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา และพวกนายเงินก็พากันเรียกดอกเบี้ยยกันอย่างสูงหามีจำกัดไม่
“แต่ในข้อนี้ลักษณะกู้หนี้บทที่ 68 บัญญัติว่า หากอัตราดอกเบี้ยได้ตกลงกันกำหนดสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตามปกติ อัตรานี้จะใช้บังคับได้แต่เพียงเดือนหนึ่งเท่านั้น ภายหลังระยะเวลานี้ จะต้องลดลงให้เท่ากับอัตราหนึ่งเฟื้องต่อหนึ่งตำลึง ซึ่งผิดกับข้อความที่ลาลูแบร์กล่าวไว้ หนังสือของลาลูแบร์โดยมากมีน้ำหนักน่าเชื่อเป็นหลักฐานในทางประวัติศาสตร์ได้ จึงสันนิษฐานว่า ข้อบัญญัติบทที่ 68 ซึ่งห้ามมิให้เรียกดอกเบี้ยเกินอัตรานี้ ได้ตราขึ้นภายหลังแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ หรืออีกนัยหนึ่ง ข้อบัญญัตินี้เลิกใช้ และมิได้ถือตามในทางปฏิบัติ และที่จริงจะเห็นได้ภายหลังว่า ตลอดมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คือในสมัยที่ข้อบัญญัติบทที่ 68 นี้ยังคงเป็นกฎหมายอยู่ เจ้าหนี้ก็ยังมิได้ปฏิบัติตาม และเรียกเอาอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราซึ่งกำหนดไว้ตามกฎหมายเนืองๆ......เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงนี้เอง ลูกหนี้ซึ่งไม่ชำระดอกเบี้ยตามระยะเวลา จึงตกอยู่ในภาวะอันหนักของดอกเบี้ยที่ทบทวีขึ้นโดยรวดเร็ว จำนวนเงินค้างชำระเพิ่มขึ้นจนลูกหนี้ไม่สามารถชำระได้ และหมดหนทางที่จะรอดตัวได้ นอกจากยอมตัวลงเป็นทาส”
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ปีแรกที่ได้ขึ้นเสวยราชย์ ได้ออกกฎหมายเพื่อแสดงความปรารถนาจะช่วยลูกหนี้ทาสขึ้นฉบับหนึ่ง (ประกาศเมื่อวันพุธ เดือน 3 แรม 7 ค่ำ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2411) แต่ก็เป็นกฎหมายประหลาด กล่าวคือทีแรกก็ช่วยลูกหนี้ทาสโดยให้ชำระเพียงเงินต้นเท่านั้น ดอกเบี้ยไม่ต้องชำระต่อไป แต่ดอกเบี้ยค้างชำระไว้กี่ปี ๆ ต้องชำระด้วย และยังระบุว่าถ้าหากลูกหนี้ทาสไม่มีเงินชำระดอกเบี้ยที่ค้างนั้น ให้นายเงินเฆี่ยนลูกหนี้ได้แทนดอกเบี้ยในอัตรา 3 ทีต่อ 2 ตำลึง! นั่นเป็นลักษณะของโทษทางอาญาโดยตรง!
“ดอกเบี้ยร้อยละ 37.50 ต่อเดือนนั้น จะได้ใช้กันตามกฎหมายมานานเพียงใดไม่ปรากฏ แต่เท่าที่พบหลักฐาน การกู้เงินอย่างเปิดเผยได้ลดดอกเบี้ยลงมามาก ในรัชกาลที่ 4 ลดลงมาเหลือร้อยละ 15 ต่อปี
อย่างไรก็ดี ดอกเบี้ยและค่าเช่าจะมีอัตราสูงหรือต่ำเพียงใดก็ตาม โดยลักษณะของมันแล้ว มันก็คือระบบการขูดรีดหลักของชนชั้นศักดินาทั้งมวลที่กระทำต่อไพร่ในยุคนั้นนั่นเอง โดยเฉพาะดอกเบี้ยนั้นเป็นเครื่องมือสำคัญของชนชั้นเจ้าที่ดิน ที่จะอ้างเพื่อยึดทรัพย์และที่ดินรวมทั้งลูกเมียของไพร่ไปเป็นของตน “สืบสาวเอาลูกเต้าข้าคนช้างม้าวัวควายเหย้าเรือนเรือกสวนไร่นาที่ดินให้แก่เจ้าสินโดยควรแก่สินท่าน......” (กู้หนี้ 50) นี่ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง ดอกเบี้ยได้ใช้เป็นเครื่องมือที่จะเอาคนลงเป็นทาส นั่นคือนำออกตีค่าขายตัวเอาเงินใช้หนี้ “กู้หนี้ท่านเมื่อเป็นไท และจำเนียร (นาน) ไปแลผู้กู้ยาก (ตกยาก) เป็นทาสท่านและให้เอาตัวผู้ถือหนี้นั้นออกมาตีค่าขายแจกแก่เจ้าหนี้ทั้งปวง” (กู้หนี้ 51)
นี่คือพิษสงของดอกเบี้ยในสมัยศักดินา ซึ่งแม้ในยุคกึ่งศักดินาปัจจุบันนี้ ก็ยังมีพิษสงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าใดนัก
ภาษีอากร
ผลประโยชน์ของชนชั้นศักดินา โดยเฉพาะพวกชนชั้นปกครองศักดินา ในด้านภาษีอากรนี้ มีอยู่ด้วยกัน 4 ประเภท กล่าวคือ :
1) ส่วย
2) ฤชา
3) จังกอบ
4) อากร
จะขออธิบายคร่าวๆ พอให้เห็นลักษณะการขูดรีดของชนชั้นศักดินา และจะเลือกเน้นกล่าวแต่เฉพาะที่จำเป็นและที่สำคัญตามลำดับ
1) ส่วย
ส่วย หมายถึงเงินหรือสิ่งของที่รัฐบาลศักดินาบังคับเก็บกินเปล่าเอาจากประชาชนและคนในบังคับของตน การเก็บส่วยมิใช่เป็นการเก็บส่วนลดจากผลประโยชน์หรือรายได้ใดๆ ทั้งสิ้น หากเป็นการเก็บเอาดื้อๆ ใครอยู่บนผืนดินของฉัน อาศัยอากาศฉันหายใจ อาศัยน้ำในลำคลองฉันดื่มก็ต้องเสียเงินหรือสิ่งของที่ฉันต้องการให้แก่ฉันเป็นสิ่งตอบแทน ถ้าจะพูดให้กระจ่างแจ้ง ส่วยก็คือเงินค่าเช่าดินฟ้าอากาศหรือเช่าดินน้ำลมไฟจากกษัตริย์ หรือไม่เช่นนั้นก็คือเงินแป๊ะเจี๊ยะเราดีๆ นี้เอง
ประเภทของส่วยมีอยู่ด้วยกัน 4 ประเภทคือ
ก. เครื่องราชบรรณาการ คือส่วยที่พวกเจ้าประเทศราชหรือสามนตราช (Vassals) ต้องส่งมาถวายเป็นประจำ ปีละครั้งบ้าง สามปีต่อครั้งบ้าง ของที่จะส่งมาเป็นส่วยหรือบรรณาการก็มักมีสิ่งของพื้นเมืองที่หาได้ยากในราชสำนักของศักดินาเมืองไทย เช่น ประเทศญวนก็จะมีแพรอย่างดี ประเทศลาวก็จะมีของป่าที่หายาก ดังนี้เป็นต้น แต่สิ่งที่จะขาดไม่ได้ก็คือ ต้นไม้เงินต้นไม้ทองอย่างละต้น ส่งควบเข้ามาสำหรับบูชาพระบรมโพธิสมภารของพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ในกรุงเทพฯ การกะเกณฑ์ส่วยสาบรรณาการนี้ เป็นการขูดรีดระหว่างชนชั้นศักดินาด้วยกัน ซึ่งแน่นอนย่อมตั้งอยู่บนพื้นฐานของการขูดรีดประชาชนอีกทอดหนึ่งด้วย
ข. พัธยา คือการริบเอาสมบัติทรัพย์สินของเอกชนเข้าเป็นของกษัตริย์ ในสมัยพระนารายณ์ ลาลูแบร์เล่าไว้ว่า ริบเอาส่วนแบ่งจากทรัพย์สินมรดกของผู้ตาย ซึ่งรัฐบาลศักดินาเห็นว่ามีอยู่เกินศักดิ์ของทายาท ทรัพย์สินของพวกนี้เรียกว่าต้อง ‘พัธยา’ พัธยา นั้นตามตัวแปลว่า การฆ่า การประหาร ทรัพย์สินพัทธยา จึงมิได้หมายถึงแต่เพียงทรัพย์สินมรดกที่มีมากเกินศักดิ์ของผู้รับทายาทเท่านั้น หากหมายถึงทรัพย์สินทั้งปวงที่รัฐบาลศักดินาริบมาจากผู้ที่ต้องโทษประหาร ถ้าเราเปิดดูกฎหมายเก่าๆ สมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ขึ้นไป จะพบโทษ ฟันคอ, ริบเรือน, ริบราชบาตร มีอยู่แทบทุกมาตรา พวกที่ถูกฟันคอริบเรือนนี้ คือ ผู้ต้อง ‘พัธยา’ เมื่อตัวเองคอหลุดจากบ่านี้แล้ว บ้านช่องเรือกสวนไร่นาก็ต้องถูกริบเข้าเป็นของ พัธยา โอนเข้าเป็นของหลวงทั้งสิ้น ถ้าหากริบราชบาตร ก็หมายถึงริบหมดทั้งลูกเมีย บ่าวไพร่ผู้คน เอาเข้าบัญชีเป็นคนของกษัตริย์ทั้งสิ้น ลักษณะนี้เป็นลักษณะของโจรปล้นทรัพย์โดยตรง แต่ทว่าเป็นโจรปล้นทรัพย์ที่ใช้กฎหมายของตนเองเป็นเครื่องมือรักษาความเที่ยงธรรมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ โทษฟันคอริบเรือนหรือริบราชบาตรจึงเป็นโทษที่นิยมใช้อยู่ทั่วไป เฉพาะในกฎหมายอาญาหลวงแล้วดูเหมือนเกือบจะทุกมาตรา และในบางมาตราก็วางโทษเอาไว้น่าขำ เช่น
“มาตราหนึ่ง ผู้ใดใจโลภนักมักทำใจโหญ่ใฝ่สูงให้เกินศักดิ์ กระทำให้ล้นพ้นล้ำเหลือบันดาศักดิ์อันท่านให้แก่ตน แลมิจำพระราชนิยมพระเจ้าอยู่หัว (คือไม่ระวังว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงชอบอย่างไหน) และถ้อยคำมิควรเจรจา เอามาเจรจาเข้าในระหว่างราชาศัพท์ (คือใช้คำราชาศัพท์ผิด เอาคำไพร่มาใช้ปน) แลสิ่งของมิควรประดับเอามาทำเป็นเครื่องประดับตน (ตีเสมอเจ้า!) ท่านว่าผู้นั้นทนงองอาจ ท่านให้ลงโทษ 8 สถาน สถานหนึ่งให้ฟันคอริบเรือน 1 สถานหนึ่งให้เอามะพร้าวห้าวยัดปาก 1 สถานหนึ่งให้ริบราชบาตรแล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง 1 สถานหนึ่งให้ไหม (ปรับ) จตุรคูณแล้วเอาตัวออกจากราชการ 1 สถานหนึ่งให้ไหมทวีคูณ 1 สถานหนึ่งให้ทวนด้วยลวดหนัง 50 ที 25 ทีใส่ตรุไว้ 1 สถานหนึ่งให้จำไว้แล้วถอดเสียเป็นไพร่ 1 สถานหนึ่งให้ภาคทัณฑ์ไว้ 1 รวม 8 ฯ” (อาญาหลวง พ.ศ. 1895 รัชกาลที่ 1 ชำระมาตรา 1)
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว การยกทัพไปตีปล้นสะดมภ์แย่งชิงทรัพย์สินของศัตรูมาก็ดี กวาดต้อนผู้คนทรัพย์สมบัติประชาชนมาก็ดี เหล่านี้อยู่ในเกณฑ์ ‘พัธยา’ คือ ของได้เปล่าจากการฆ่าฟันประหารชีวิต ทั้งสิ้น
ตัวอย่างของผู้ต้องพัธยา คือ โทษฟันคอริบเรือนและลูกเมียข้าคน ก็คือ ‘ขุนไกรพลพ่าย’ พ่อของขุนแผนในวรรณคดีอิงเรื่องจริงของเรา ครั้งนั้นขุนไกรฯ ต้องออกไปเป็นแม่กองต้อนควายเข้าโขลงหลวง ควายตื่นไล่ขวิดผู้คน ขุนไกรเห็นว่าชีวิตคนสำคัญกว่าควาย จึงเข้าสกัดใช้หอกแทงควายตายลงหลายตัว ควายเลยตื่นหนีเข้าป่าไปสิ้น ข้างสมเด็จพระพันวสาทรงกริ้ว เสียดายควายกว่าคน เลยพาลพาโลสั่งพวกข้าหลวงว่า :
“เหวยเหวยเร่งเร็วเพ็ชฌฆาต | ฟันหัวให้ขาดไม่เลี้ยงได้ |
เสียบใส่ขาหยั่งขึ้นถ่างไว้ | ริบสมบัติข้าไทอย่าได้ช้า” |
เมื่อโดนเข้าไม้นี้ ขุนไกรก็คอหลุดจากบ่า ลูกเมียเดือดร้อนกระจองอแง นางทองประศรีเมียขุนไกรนั้น นอกจากจะเสียผัวรักแล้ว ‘ยังจะถูกเขาริบเอาฉิบหาย’ อีกทอดหนึ่ง
นี่คือ ธรรมะ ของศักดินา และนี่ก็คือ พัธยาของศักดินา!
ค. เกณฑ์เฉลี่ย คือ การเกณฑ์เงิน เกณฑ์แรงช่วยกิจการของกษัตริย์เป็นครั้งคราว เช่น กษัตริย์ชอบถวายน้ำมันมะพร้าวให้แก่วัดวาอารามสำหรับตามประทีปบูชาพระ ก็จะออกหมายเกณฑ์เฉลี่ยเอามะพร้าว หรือน้ำมันมะพร้าวจากเจ้าของสวน หรือถ้าจะเลี้ยงแขกเมือง ก็เกณฑ์เฉลี่ยให้ประชาชนช่วยเงินทองเข้าของตามแต่จะกำหนด บางทีก็เกณฑ์แรงเพื่อสร้างป้อมปราการกำแพงวังหรือเกณฑ์ไพร่ไปล้อมช้าง เป็นต้น การเกณฑ์เช่นนี้ไม่มีกำหนดตายตัว ขึ้นอยู่กับความต้องการของกษัตริย์เป็นครั้งคราว เรียกว่า ถ้ากษัตริย์จะต้องเสียอะไร จะทำอะไร ก็ต้องหันขวับมาเกณฑ์ให้ประชาชนช่วยออกเงินและออกแรงเฉลี่ยเอาเสมอไป
ง. ส่วยแทนแรง ส่วยแทนแรงนี้ คือเงินหรือสิ่งของที่กษัตริย์เรียกเก็บเอาจากประชาชนทั่วไปที่ไม่ไปใช้แรงช่วยงานเกณฑ์ของรัฐบาลศักดินา พึงเข้าใจเสียก่อนว่า ในยุคศักดินานั้น ผู้ชายที่ร่างกายครบอาการ 32 ทุกคนถือว่าเป็นชายฉกรรจ์ จะต้องถูกเกณฑ์ให้เข้ารับราชการ ที่ว่ารับราชการนี้ก็คือออกแรงทำงานรับใช้ชนชั้นศักดินา จะเป็นงานไถนา ดำนา โยธา ฯลฯ ก็แล้วแต่ มีกำหนดปีละ 6 เดือน เรียกว่า เข้าเวร (เวรจริงๆ!) และต้องเข้าไปตั้งแต่อายุ 18 จนถึง 60 ปีบริบูรณ์ เมื่อเกณฑ์คนนั้นได้คัดเอามาแต่ที่ล่ำสัน หรือไม่ล่ำสันก็ได้ แต่ต้องให้พอจำนวนต้องการ (เหมือนเกณฑ์ทหาร) พวกที่เหลือไม่ต้องการใช้แรง ก็ได้รับอนุญาตให้ไปทำมาหากิน แต่ต้องส่งเงินมาให้หลวงใช้ หรือคนที่ถูกเกณฑ์ แต่ไม่ชอบรับใช้เจ้านาย ก็อาจจะส่งเงินให้หลวงเพื่อหาจ้างคนอื่นคนอื่นไปเข้าเกณฑ์แทนตนก็ได้ซึ่งต้องส่งไปจนถึงอายุ 60 ปีเช่นกัน เงินนี้เรียกว่า ส่วนแทนแรง อัตราที่จะเสียนั้นกำหนดไว้ว่าปีละ 12 บาท (อัตราสมัยพระนารายณ์) ที่เก็บสิบสองบาทนั้นหลวงอธิบายว่าเพื่อจ้างคนมาทำงานแทนโดยให้ค่าแรงเดือนละบาท 6 เดือน 6 บาท และให้เบี้ยเลี้ยงอีกเดือนละบาท รวมทั้งสิ้น 12 บาท ซึ่งว่ากันที่จริงแล้วก็ไม่ได้จ้างใคร หลวงเก็บเงินเข้าพระคลังมหาสมบัติเงียบไปเลยเท่านั้นเอง
เรื่องอัตราจ้างคนรับราชการแทน หรือเสียเงินเป็นส่วยแทนแรงนี้ ตามที่ปรากฏในพระราชกำหนดเก่าบทที่ 48 พ.ศ. 2291 (ปลายอยุธยา) ปรากฏว่าอัตราไม่คงที่ คืออัตราบางทีก็คิด 3 บาทต่อเดือน บางทีก็ 4 บาทต่อเดือน (ปีละ 18-24 บาท) ถ้าหากถูกเกณฑ์ไปล้อมช้าง, จับสลัด, จับผู้ร้าย คนที่ไม่ไปต้องเสียเงินในอัตรา 5-6-7 บาทต่อเดือน หรือบางทีก็ 8 บาทต่อเดือน “ถ้าจะคิด ไพร่ท้องหมู่ต้องเสียเงินค่าจ้างแต่ละปีเป็นเงิน 4 ตำลึง 2 บาท (18 บาท) บ้าง หกเจ็ดตำลึง (24-28 บาท) บ้าง”
“มีความข้อหนึ่งต่อเนื่องต่อการที่ชายฉกรรจ์ต้องมาเข้าเวรดังกล่าวมา ซึ่งคนทั้งหลายยังไม่รู้หรือเข้าใจผิดอยู่โดยมาก ควรจะกล่าวอธิบายแทรกลงตรงนี้ คือเมื่อตอนกลางสมัยกรุงศรีอยุธยา รัฐบาลต้องการตัวเงินใช้จ่ายยิ่งกว่าได้ตัวคนมาเข้าเวร จึงยอมอนุญาตให้ไพร่ซึ่งไม่ปรารถนาจะเข้าเวรเสียเงิน ‘ค่าราชการ’ เหมือนอย่างจ้างคนแทนตัวได้ เมื่อมาถึงรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์ค่าราชการต้องเสียปีละ 18 บาท มีผู้สมัครเสียเงินค่าราชการแทนเข้าเวรเป็นพื้น”
เงินค่าราชการ นี้ เก็บเรื่อยมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อออกพระราชบัญญัติการเกณฑ์ทหารขึ้นแล้ว ได้ปรับปรุงการเก็บเงิน ‘ค่าราชการ’ เสียใหม่โดยออก ‘พระราชบัญญัติเก็บเงินค่าราชการ ร.ศ. 120’ (พ.ศ. 2444) การเก็บเงินคราวนี้ ได้พยายามเปลี่ยนชื่อเรียกเดิมที่ว่า ‘ค่าแรงแทนเกณฑ์’ มาเป็น ‘ค่าราชการ’ และวางอัตราใหม่ คือเก็บปีละ 6 บาท จากทุกคนที่มิได้ถูกเกณฑ์ทหาร เก็บตั้งแต่อายุ 18 ปี ไปจนถึง 60 ปี
“ครั้นต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2462 (รัชกาลที่ 6) ทรงพระราชดำริว่า การเก็บเงินตามพระราชบัญญัติเก็บเงินค่าราชการ ร.ศ. 120 นั้น ได้ปฏิบัติตามหลักแห่งการเก็บเงินส่วยแต่เดิมมา จึงมีบุคคลซึ่งได้รับความยกเว้นจากการเสียเงินเป็นจำนวนมากมายหลายประเภท ‘สมควรจะแก้ไขให้ชายฉกรรจ์ทั้งปวงต้องเสียเงินโดยความเสมอภาคยิ่งขึ้น’ กับกำหนดระเบียบการสำรวจให้รัดกุม จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศ ‘พระราชบัญญัติลักษณะการเก็บเงินรัชชูปการ พุทธศักราช 2462’...”
ด้วยเกรงว่าประชาชนจะไม่ได้เสียเงินหรือพูดให้ถูก ‘ถวายเงินค่าราชการ’ ได้ทั่วถึงเสมอภาคกันนี้เอง พระราชบัญญัติเก็บเงินใหม่จึงออกมาเมื่อ พ.ศ. 2462 คราวนี้เปลี่ยนเรียกชื่อเงินเป็น ‘รัชชูปการ’ คือ ‘บำรุงแผ่นดิน’ หรือ ‘บำรุงกษัตริย์’ ในพ.ร.บ. นั้นให้คำนิยามไว้ว่า
“คำว่า ‘เงินรัชชูปการ’ ให้พึงเข้าใจว่า บรรดาเงินซึ่งบุคคลต้องถวายหลวงตามที่ได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้”
อัตราที่เก็บคราวนี้ก็คงเท่าเดิม คือเก็บ 6 บาทต่อปี จากอายุ 18 จนถึง 60 ผิดกันก็คือตัดบุคคลที่ได้รับยกเว้นออกไปเสียบ้าง คงไว้แต่เพียง 1. นักบวช (เฉพาะบางนิกายและมีเงื่อนไขต่างหาก), 2. ทหาร ตำรวจ ที่ต่ำกว่าชั้นสัญญาบัตรและกองหนุนประเภทที่ 1, 3. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สารวัตร แพทย์ประจำตำบล, 4. คนพิการทุพพลภาพ, 5. คนบางพวกที่ยกให้เฉพาะแห่ง
การแก้ไขการเสียเงินค่ารัชชูปการให้ได้เสียอย่างเสมอภาค นี้ เป็นสิ่งที่ศักดินาผเอิดผเสินกันหนักหนา ถึงกับมีผู้เขียนสรรเสริญรัชกาลที่ 6 ไว้ว่า :
“แม้ที่สุดจนพระองค์เองก็ทรงยอมเสียค่ารัชชูปการปีละ 6 บาท เหมือนกับคนอื่นๆ”
ไม่ทราบว่าจะให้เข้าใจว่าอย่างไร เพราะถึงแม้จะทรงควักพระกระเป๋าเสียเงินสักล้านบาทก็คงเป็นเงินรัชชูปการ (บำรุงพระราชา) อยู่นั่นเอง!
เงินรัชชูปการนี้ มาถึง พ.ศ. 2468 (รัชกาลที่ 7) ได้เลื่อนเกณฑ์อายุจาก 18 ขึ้นเป็น 20 อัตรายังคงเดิม และยังคงต้องเสียไปจนถึงอายุ 60 ปี เช่นเคยไม่เปลี่ยนแปลง จนท้ายที่สุดมายกเลิกเมื่อ พ.ศ. 2475 หลังจากการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นกลาง
คราวนี้เรื่องก็มีต่อไปว่า ถ้าคนไม่มีเงินรัชชูปการเสียจะว่าอย่างไร? ตามอัตรา 10 ของ พ.ร.บ. เงินรัชชูปการ พ.ศ. 2468 กล่าวว่าให้มีหมายเกาะกุมเอาตัวมาสอบสวนแล้ว ให้ทำประกันด้วยหลักทรัพย์เท่ากับจำนวนเงินรัชชูปการที่ค้างชำระ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องนำมาชำระภายใน 15 วัน ถ้ามิฉะนั้นก็จะปฏิบัติตามข้อ 3 แห่งมาตรา 10 กล่าวคือ
“ยึดทรัพย์สินของผู้ค้างเงินรัชชูปการออกขายทอดตลาด เพื่อใช้เงินรัชชูปการกับค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่าย โดยอนุโลมตามพระราชบัญญัติลักษณะวิธีพิจารณาความแพ่งฯ ร.ศ. 127”
ถ้าปฏิบัติตามนั้นไม่ได้ ก็ต้องปฏิบัติขั้นต่อไป คือตามข้อ 4 (อนุมาตราแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2473) กล่าวคือ
“ให้มีนายอำเภอมีอำนาจที่จะสั่งให้เอาตัวผู้นั้นใช้งานโยธาของหลวงมีกำหนดตามจำนวนปีที่เงินรัชชูปการค้างปีละ 15 วัน แต่ไม่เกิน 30 วัน ในระหว่างทำงานโยธานั้น ผู้ไม่เสียเงินรัชชูปการจะต้องอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานและกักตัวไว้ให้อยู่ในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ซี่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยจะได้กำหนด และให้จ่ายอาหารของหลวงเลี้ยงชีพ”
ข้อที่จะลืมกล่าวเสียไม่ได้ก็คือ เจ้าพนักงานผู้ทำการสำรวจเก็บเงินจะได้ส่วนลดเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่เกินอัตราร้อยละ 5 ของเงินที่เก็บได้! (ม. 13 พ.ร.บ. ลักษณะการเก็บเงินรัชชูปการ พ.ศ. 2462)
ฝ่ายชาวต่างประเทศที่อยู่ในเมืองไทย ซึ่งส่วนมากเป็นชาวจีน ก็ต้องใช้แรงหรือเสียส่วยเช่นกันโดยกำหนดให้ 3 ปี เรียกส่วยครั้ง 1 ส่วนมากชาวจีนมักยอมเสียส่วย เมื่อเสียแล้วก็มีปี้ผูกข้อมือไว้ให้เป็นสำคัญ จึงเรียกกันว่าเงินผูกปี้ วิธีเก็บมีดังนี้
“บรรดาจีนทั้งปวงที่ไม่ได้สัก ไม่มีจำนวนในทะเบียนหางเลขว่าวกรมพระสัสดีนั้น เกณฑ์ให้ทำการพระนครคนละเดือน ถ้าจะไม่ทำ ให้เสียเงินคนละตำลึง กับค่าฎีกาสลึงหนึ่งทุกคน ถ้าจีนคนใดจะไม่ให้ผูกปี้ที่ข้อมือ จะขอแต่ฎีกาเปล่าให้เสียเงินค่าจ่ายราชการตำลึงกึ่ง ค่าฎีกาสองสลึง”
เป็นอันว่าชาวจีนคนหนึ่งๆ จะต้องเสียเงินส่วย 4.25 บาททุกสามปีเป็นปกติ ถ้าหากไม่อยากให้ผูกปี้ที่ข้อมือให้รุงรัง ก็ต้องเสียเงินเพิ่มเป็น 6.50 บาท อัตรานี้เป็นอัตราที่สูงกว่าสมัยรัชกาลที่ 2 ตามที่จอห์น ครอเฟิดจดไว้ ปรากฏว่าในสมัยรัชกาลที่ 2 บังคับเรียกจากชาวจีนปีละ 50 สตางค์ เท่ากับพวกทาสกรรมกร 3 ปีเก็บครั้งหนึ่งเป็นเงิน 1.50 บาท
ในภายหลังเมื่อได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติรัชชูปการแล้ว พวกชาวต่างประเทศทุกคนในไทย ต้องเสียค่ารัชชูปการเท่ากับคนไทยไม่มีการลดราวาศอกอีกต่อไป
สถิติของเงินรัชชูปการเท่าที่หาได้ในขณะที่เขียนนี้ ในรัชกาลที่ 6 เก็บได้ถึง 7,749,233 บาท (พ.ศ. 2464)
ส่วยประเภทที่กล่าวมานี้เป็นส่วยประเภทตัวเงิน
ส่วยอีกอย่างหนึ่ง เป็นส่วยสิ่งของที่รัฐบาลกษัตริย์ต้องการใช้ ยอมให้ไพร่ส่งสิ่งของเหล่านั้นเข้ามาถวายเป็นส่วยแทนการเข้ามารับราชการใช้แรงได้ ส่วยประเภทนี้มักมาจากหัวเมืองไกล เช่นเมืองพระยามหานคร ซึ่งในเมืองเหล่านั้น “ในเวลาปกติ ไม่ต้องการตัวไพร่เข้ามาประจำราชการมากเหมือนในราชธานี รัฐบาลจึงคิดให้มีวิธีส่งส่วยแทนเข้าเวร เพราะหัวเมืองเหล่านั้นมีป่าดงและภูเขาอันเป็นที่มีหรือที่เกิดสิ่งของต้องการใช้สำหรับราชการบ้านเมือง”
พวกส่วยสิ่งของที่นำมาส่งหลวงตามอัตราทุกปีนี้ ถ้าหากพวกไพร่เกิดหาไม่ได้ก็ต้องจ่ายเงินชดใช้ให้หลวง ตามจำนวนของที่ขาดไป หรือถ้าหาไม่ได้เลยก็ต้องใช้เงินทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่นส่วยทองคำเมืองปักธงชัย (คืออำเภอปักธงชัยในจังหวัดนครราชสีมาปัจจุบัน) ในสมัยรัชกาลที่ 3 พวกเลกหรือไพร่ที่ถูกเกณฑ์เป็นพวกเลกส่วยทองคำ ต้องร่อนทองให้ได้คนละ 2 สลึงทุกคน
ถึงส่วยดีบุก เมืองถลาง (ภูเก็ต) ถ้าไม่เอาดีบุกมาส่งต้องเสียเงินแทนคนละ 10 บาท ไพร่เลว (เลวทาส) คนละ 5 บาท ส่วยยาง ถ้าไม่มียางส่งต้องเสียเงินแทนคนละ 7.50 บาท ไพร่เลว (เลวทาส) 3.75 บาท ส่วยหญ้าช้าง (ไพร่หมู่ตะพุ่น) ถ้าไม่เกี่ยวหญ้าส่งให้ช้างหลวงกินต้องเสียคนละ 9 บาท (พระราชกำหนดเก่าบทที่ 48)
สิ่งที่น่าจะทำความเข้าใจกันเสียในที่นี้ด้วยก็คือ นักพงศาวดารฝ่ายศักดินา มักพยายามอ้างอธิบายว่า ส่วยนั้นคือการเรียกสิ่งของที่จำเป็นใช้ในราชการแทนแรง เช่น เรียกดินประสิวทำดินปืน เรียกดีบุกทำลูกปืน
รายได้ของรัฐบาลศักดินาจากส่วยนี้ เป็นรายได้จำนวนมหึมามหาศาลทีเดียว ตามที่สังฆราชปัลเลอกัวซ์จดไว้ ปรากฏว่าในสมัยรัชกาลที่ 4 รายได้ของกษัตริย์ที่ได้จากเงินส่วยมีดังนี้ :
ค่าแรงแทนรับราชการ (ทุกปี) | 12,000,000 บาท |
เงินผูกปี้ข้อมือจีน (3 ปีครั้ง) | 2,000,000 บาท |
ค่าภาคหลวงบ่อทองบางตะพาน | 10,000 บาท |
ผลประโยชน์ส่งจากหัวเมืองฝ่ายเหนือ | 50,000 บาท |
ผลประโยชน์ส่งจากหัวเมืองฝ่ายใต้ | 40,000 บาท |
รวม | 14,100,000 บาท |
ทั้งนี้ไม่รวมส่วยสิ่งของที่ขนลงสำเภาอีกเป็นจำนวนมากมายในแต่ละปี
โดยปกติ หัวเมืองต่างๆ มักส่งส่วยไม่ทันกำหนดพอกษัตริย์เร่งเกรี้ยวลงไปพวกพนักงานก็เร่งลงอาญากับไพร่หรือเลกอีกทอดหนึ่ง “ก็ธรรมดาของการเร่งเงินนั้นย่อมต้องเอาตัวพวกลูกหนี้มาบังคับเรียกเอาเงิน บางทีก็ถึงต้องกักขังควบคุม คงต้องทำให้คนเดือดร้อนมากบ้างน้อยบ้าง”
เงินแทนแรงหรือที่ยักกระสายเรียกกันว่า ค่าราชการหรือรัชชูปการนี้ ในรัชกาลหลังๆ ของกรุงรัตนโกสินทร์จำนวนลดลง เพราะลดราคาลงเหลือเพียง 6 บาท แต่ก็ยังนับว่าเป็นรายได้รองลงมาจากอากรค่านา ใน พ.ศ. 2464 รัฐบาลศักดินาเก็บอากรค่านาได้กว่า 7 ล้านบาท ขณะเดียวกันเงินรัชชูปการก็เก็บได้ถึง 7,749,233 บาท ถ้าเราจะเทียบกับรายได้ทั้งสิ้นของรัฐบาลศักดินาใน พ.ศ. 2464 ซึ่งมีจำนวน 85,595,842 บาท จะเห็นได้ว่าเงินรัชชูปการเป็นรายได้ที่มากเกือบ 9% ของรายได้ทั้งหมดของคณะกรรมการจัดการดูแลผลประโยชน์ของชนชั้นศักดินา ยิ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 ด้วยแล้ว รายได้ทั้งหมดของรัชกาลที่ 4 ตามที่สังฆราชปัลเลอกัวซ์จดไว้ว่ามีปีหนึ่งเฉลี่ยราว 26,964,100 บาท ในจำนวนนี้เป็นเงินค่าแรงแทนเกณฑ์และค่าผูกปี้เสียถึง 14 ล้านบาท (โดยไม่นับส่วยอื่นๆ) คิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วรายได้จากการเก็บเงินกินเปล่าตกราว 56% ของรายได้ทั้งหมด!
2) ฤชา
ฤชาคือเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เรียกเก็บเอาจากราษฎรในการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐ เช่น ค่าธรรมเนียมในโรงศาลเมื่อเกิดคดีความกันขึ้น ผู้ที่แพ้ความจะต้องเสียค่าปรับไหมให้แก่ฝ่ายชนะเท่าใด รัฐก็แบ่งเอาเป็นพินัยหลวงเสียครึ่งหนึ่งเป็นค่าธรรมเนียม ถ้าหากคดีนั้นเป็นคดีที่มีพระราชโองการให้จัดตุลาการชำระความจริง โจทก์จะต้องเสียค่าธรรมเนียมยุบยิบหลายอย่าง เช่น ค่ารับสั่ง, ค่าเชิงประกัน, ค่าสืบพยาน, ค่าชันสูตร, ค่าเบี้ยเลี้ยง, ค่าคัดทูล ฯลฯ รวมแล้ว 23 บาท ฝ่ายจำเลยต้องเสีย 19 บาท (คือลดค่ารับสั่งให้ 4 บาท) คราวนี้ถ้าหากจำเลยต้องโทษจองจำ ก็ต้องฟาดเคราะห์เสียค่าธรรมเนียมอีกหลายอย่าง “นายพระธำมรงค์ผู้คุม เรียกเอาค่าธรรมเนียมจดชื่อ 1 บาท น้ำมัน 2 สลึง ร้อยโซ่ 2 สลึง ถอด 1 บาท 2 สลึง ตรวจ 2 สลึง รวม 1 ตำลึง” (ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 ภาค 1)
ค่าธรรมเนียมในสมัยศักดินานั้นมียุบยิบมากมาย เรียกว่าขยับตัวก็เป็นกระทบค่าธรรมเนียมทุกครั้งทีเดียว เช่นพวกที่ถูกเกณฑ์เข้าเวรรับราชการใช้แรงกษัตริย์ เมื่อเข้าเวรจนครบแล้ว ก็จะได้รับหนังสือสำหรับตัวสำหรับแสดงว่าเข้าเวรแล้ว ไม่ต้องเสียเงินส่วยแทนแรงและภาษีอากรบางอย่างเหมือนคนอื่น หนังสือนี้เรียกว่า ‘ตราภูมิคุ้มห้าม’
ค่ากระดาษ | 25 สตางค์ |
ค่าพิมพ์ | 12 สตางค์ |
ค่าอาลักษณ์ | 6 สตางค์ |
ค่าตราพระคชสีห์ | 6 สตางค์ |
ค่าตราพระราชสีห์ | 6 สตางค์ |
ค่าตราพระคลังมหาสมบัติ | 6 สตางค์ |
ค่าตรวจแม่กอง | 6 สตางค์ |
เสียให้มหาดไทย | 6 สตางค์ |
เสียให้กลาโหม | 6 สตางค์ |
เสียให้มหาดเล็ก (ไม่รู้เสียทำไม) | 6 สตางค์ |
ค่าหางว่าวแม่กอง | 25 สตางค์ |
อาลักษณ์ (สองหนแล้ว) | 25 สตางค์ |
กลาโหมเสมียนตรา | 25 สตางค์ |
มหาดไทยพระราชเสนา | 25 สตางค์ |
คลังมหาสมบัติเสมียนตรา | 25 สตางค์ |
มหาดเล็กเจ้าหมื่นศรีสรลักษณ์ | 25 สตางค์ |
รวมทั้งสิ้นกว่าจะได้ตราภูมิใบหนึ่งตกเข้าไป ‘เก้าสลึงเฟื้อง’ (2.37 บาท) รวมความว่าไพร่เกณฑ์แรง ต้องทำงานให้เจ้าขุนมูลนายฟรีๆ เงินเดือนก็ไม่ได้ข้าวปลาก็ต้องหากินเอง มาทำงานให้นายเดือนหนึ่ง กลับไปไถนาตัวเองเดือนหนึ่ง ตลอดปีและตลอดจนอายุ 60 ซ้ำยังต้องเสียเงินให้หลวงอีกเก้าสลึงเฟื้องเพื่อให้เขาเชื่อว่าตัวกูนี้ได้ทำงานรับใช้เจ้าแผ่นดินแล้ว มันก็ประหลาดดี! และที่เล่ามานี้เป็นเพียงค่าธรรมเนียมที่หลวงกำหนดกำชับลงมาแล้วด้วยซ้ำ โดยปกติแล้ว ‘เจ้าพนักงานแลเจ้าขุนมูลนายจะเรียกค่าธรรมเนียมเหลือเกินไป” (ประกาศฉบับเดียวกัน)
ค่าธรรมเนียมหรือฤชาของรัฐบาลศักดินานั้นมีมากมายและพิสดารจนเหลือที่จะกล่าวให้ทั่วถึงได้เพราะมียุบยิบไปหมดทุกแห่ง จนแม้พวกชนชั้นศักดินาด้วยกันเองก็ถูกค่าธรรมเนียมทับถมเอาย่ำแย่ไปเช่นกัน เช่นผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองก็ต้องเสียค่าตราตั้ง 96 บาท และยังค่าตราตั้งปลัด, ตั้งพล, ตั้งกรมการเมือง, วัง, คลัง, นา, มหาดไทย และสัสดีของเมือง รวมทั้งสิ้นตั้งเจ้าเมืองใหม่กรมการเมืองทีหนึ่ง กษัตริย์เรียกค่าตราตั้ง 15 ชั่ง (1,200 บาท)!
ค่าธรรมเนียมที่มีพิสดารและมากมายเช่นนี้ เนื่องมาจากชนชั้นปกครองของศักดินาทั้งมวลในสมัยก่อนรัชกาลที่ 5 ขึ้นไป มิได้มีเงินเดือน กษัตริย์เก็บภาษีอากรทั้งปวงเข้าพระคลังมหาสมบัติและแบ่งปันไปยังคลังของวังหน้าบ้าง ไปยังเจ้านายที่มีอิทธิพลมากๆ บ้างแล้วก็เก็บเงียบ พวกข้าราชการทั้งหลายต้องหากินโดยเรียกค่าธรรมเนียมเอาจากประชาชน ไม่มีเงินเดือน ใครมีเล่ห์เหลี่ยมดี ล่อหลอกหรือใช้อำนาจบังคับเรียกค่าธรรมเนียมได้มากก็ได้ผลประโยชน์ใช้มาก ได้กินข้าวร้อนนอนสาย มีเมียสาวหลายๆ คน ซึ่งลักษณะการปล่อยให้ขุนนางเที่ยวเก็บค่าธรรมเนียมกินนี้ ได้กลายมาเป็นการทุจริตในหน้าที่ขึ้นอย่างมหาศาล แต่เป็นการทุจริตที่ประชาชนรู้ไม่เท่าทัน และที่ทุกคนก็ทำเหมือนกันหมดจนกลายเป็นของถูกกฎหมายไปในที่สุด และยิ่งไปกว่านั้น พวกขุนนางที่เข้ารับตำแหน่งต่างๆ ก็มักจะทำงานเร็วหรือช้า ดีหรือเลว โดยขึ้นอยู่กับช่องทางที่จะเรียกค่าธรรมเนียม ถ้าจะเรียกอย่างปัจจุบันก็คือค่าน้ำร้อนน้ำชา เช่นขุนนางในแผนกตุลาการคือพวกลูกขุน ก็มักจะใช้อุบายถ่วงความไว้ร้อยสีร้อยอย่าง ถ้าไม่มีค่าธรรมเนียมเรื่องก็ไม่เดิน “อธิบดีผู้ซึ่งบังคับการในกระทรวงนั้นๆเล่า ก็ไม่ใคร่มีใครเป็นธุระใส่ใจที่จะให้ถ้อยความในกรมเบาบางไป ด้วยไม่เป็นประโยชน์อันใดคุ้มค่าเหนื่อย สู้นั่งว่าภาษีอากรไม่ได้”
ฝ่ายพวกที่บังเอิญได้ว่าการกรมท่า อันเกี่ยวกับการค้าขายเข้าออก พวกนี้เหมือนหนูตกถังข้าวสาร นั่งเสวยทั้งค่าธรรมเนียม ทั้งของกำนัลทั้งฉ้อโกงเบียดบัง พวกที่ว่าการคลังก็เช่นเดียวกัน ได้รับค่าธรรมเนียมประมูล ได้รับของกำนัลอย่างฟุ่มเฟือย ดูเป็นของธรรมดาๆ เสียเต็มที (หน้า 40-41)
ทางฝ่ายกรมนาก็นอนเสวยค่าธรรมเนียมออกใบโฉนดนาโฉนดสวน ออกใบจองเท่านั้นยังไม่พอ ยังคงต้องเป็นธุระอยู่อีก 2 อย่างที่เต็มใจทำ คือ จัดซื้อข้าวขึ้นฉาง จ่ายข้าวในราชการทั้งปวงอันเป็นช่องทางที่จะหาเศษหาเลยได้ และตั้งข้าหลวงเสนาออกไปเก็บเงินค่านา การที่จะเก็บเงินค่านา จะได้ถ้วนฤๅไม่ได้ถ้วนถี่ประการใด ไม่ได้ตรวจตรา สอบสวนอันใด เป็นแต่ผู้รับส่งเงินคลังอย่างเดียว ง่ายกว่าเป็นเจ้าจำนวนภาษีอากร เพราะไม่ต้องรับผิดชอบในเงิน ที่จะได้มามากฤๅน้อยเท่าใด เป็นกำหนดแน่นอน ด้วยข้าหลวงเสนาก็ไม่ได้มาว่าประมูลเหมือนเจ้าภาษี นายอากรอื่นๆ กรมนาเกือบจะว่าไม่ต้องรับผิดชอบอันใด ในกรมของตัว แลไม่ต้องทำการหนักอันใด เป็นแต่ผู้ที่จะได้ผลประโยชน์ดีกว่ากรมอื่นๆ ทั้งสิ้น” (หน้า 12)
คราวนี้กรมเมืองผู้อาภัพ มีค่าธรรมเนียมน้อย แต่ก็ต้อง “ตะเกียกตะกายหาผลประโยชน์แข่งกรมอื่นๆ” นี่เป็นของธรรมดา แต่ “ครั้นจะหาโดยตรงๆ ก็ไม่ได้ทันอกทันใจ จึงต้องหาไปตามแต่จะได้ ต้องตกไปในทางทุจริต” (หน้า 9-10)
พวกศักดินามักจะอวดอ้างเสมอว่า ในสมัยศักดินาไม่มีการคอร์รัปชั่น ความจริงได้มีอยู่อย่างเละเทะทีเดียว หากแต่มักจะเป็นการคอร์รัปชั่นที่ถูกกฎหมายเสียเท่านั้น
สรุปว่า ในระบบศักดินานั้น ค่าฤชาหรือธรรมเนียมเป็นการขูดรีดที่พวกศักดินากระทำต่อพวกไพร่อีกชั้นหนึ่ง ต่อจากภาษีอากรต่างๆ ตลอดจนเงินกินเปล่า นับเป็นการขูดรีดชั้นที่ 2-3
การขูดรีดในขั้นค่าฤชานี้ กษัตริย์และขุนนางมีผลประโยชน์ร่วมกันกล่าวคือ ในการเรียกค่าธรรมเนียมนั้น ส่วนหนึ่งเรียกเข้าคลังหลวง เช่น ค่ากระดาษ ค่าพิมพ์ แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเงินที่เรียก เข้ากระเป๋าของขุนนาง ประชาชนในสมัยศักดินา จึงได้จนกันอานแทบทุกคน ยกเว้นชนชั้นศักดินาไม่กี่คน!
จากสถิติเท่าที่หาได้ รายได้ของรัฐบาลศักดินาในด้านค่าฤชา เฉพาะเงินค่าธรรมเนียมความอย่างเดียว 15,000 บาทต่อปี ในรัชกาลที่ 4 ส่วนค่าธรรมเนียมอื่นๆ อีกมากมายหลายอย่าง ไม่ทราบว่ามีจำนวนเท่าใดที่เข้าคลังหลวง และกี่เท่าที่เข้ากระเป๋าของขุนนางศักดินา
3) จังกอบ
คือการเก็บชักส่วนสินค้า เมื่อจะขนส่งเข้าออก หรือเมื่อทำการขาย พูดง่ายๆ ก็คือภาษีสินค้า ผิดกับอากรตรงที่อากรเป็นภาษี เก็บจากผลิตผลที่ทำได้ จังกอบเก็บทั้งทางบกและทางน้ำ ไม่ว่าจะต้อนฝูงควายไปขายหรือค้าสำเภา ลักษณะของการเก็บจังกอบก็คือ ‘สิบหยิบหนึ่ง’ นั่นคือสิบชักหนึ่งหรือร้อยละสิบ ในกฎหมายลักษณะอาญาหลวงมีอธิบายไว้ว่า “แลจะเก็บจังกอบในสำเภานาวาเรือใหญ่เรือน้อยก็ดี หนบก หนเกวียน หนทางอันจะเข้าถึงขนอนใน ท่านให้นับสิ่งของจนถึงสิบ ถ้าถึงสิบไซร้ ท่านจึงให้เอาจังกอบนั้นหนึ่ง ถ้ามิถึงสิบไซร้ท่านมิให้เอาจังกอบนั้นเลย”
การเก็บจังกอบอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งเก็บควบไปกับการเก็บจังกอบสินค้า ก็คือ เก็บเงินเป็นอัตรา ตามขนาดของยานพาหนะที่ขนสินค้ามา เช่นในสมัยพระนารายณ์ เก็บจังกอบตามขนาดเรือ คือ วัดความยาววาละหนึ่งบาท และได้เพิ่มขึ้นอีกด้วยว่า ถ้าเรือลำใด ปากกว้างกว่า 6 ศอก ถึงแม้จะยาวไม่ถึง 6 วา ก็ให้เก็บจังกอบ 6 บาท เป็นอันว่า ผู้ค้าขายต้องเสียสองต่อ คือ เสียภาษีสินค้าภายในเรือด้วย เสียภาษีปากเรือด้วย
จังกอบสินค้าเก็บทั้งสินค้าเข้าและสินค้าออก และเก็บทั้งเป็นภาษีสินค้าภายในด้วย อัตราที่เก็บขาเข้าไม่เท่ากับขาออก และมีอัตราไม่เท่ากันเสมอไป เช่นในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า (หน้า 261) เล่าว่า “ถ้าเป็นเมืองที่มีทางพระราชไมตรี และไปมาค้าขายกันไม่ขาดแล้ว เก็บภาษีตามราคาสินค้าเข้าร้อยชักสาม ค่าปากเรือกว้าง 4 วาขึ้นไป เก็บวาละ 12 บาท ถ้าเป็นสินค้าเมืองอื่น เก็บภาษีร้อยละห้า ค่าปากเรือ วาละ 20 บาท ไม่ลดราวาศอก ถ้าสินค้าที่เข้ามาเป็นสินค้าที่กษัตริย์มีความประสงค์ ก็ไม่เก็บภาษีสินค้าเข้า เก็บแต่ค่าปากเรืออย่างเดียว”
“เมื่อรัฐบาลตั้งพระคลังสินค้า ทำการค้าขายเสียเอง สินค้าขาเข้าในส่วนที่รัฐบาลเลือกซื้อไว้ก็ไม่ต้องเสียภาษีขาเข้า (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 40 น. 33) ในส่วนสินค้าออก ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ขายก็น่าจะไม่ต้องเสียภาษีในทำนองเดียวกัน” (ตำนานศุลกากร, พระยาอนุมานราชธน น.51)
ในสมัยรัชกาลที่ 3 จอห์น ครอเฟิด จดไว้ว่า ภาษีสินค้าขาเข้า เก็บร้อยละแปดจากราคาสินค้าที่นำเข้ามา ส่วนภาษีปากเรือเก็บอัตราต่างๆ กัน แล้วแต่เป็นของชาติใด และจะไปเมืองใด เบาว์ริงจดไว้ว่า เรือเดินทะเลเก็บวาละ 8-40 บาท เรือสำเภาใหญ่เก็บวาละ 80-200 บาท
ครั้นเมื่อได้ทำสัญญาค้าขายกับอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2399 แล้ว มีกำหนดตามสัญญาว่า เรือกำปั่นใบ 3 เสา ต้องเสียตามขนาดกว้างของเรือวาละ 80 บาท ถ้าสองเสาเสียกึ่งอัตรา ภาษีสินค้าขาเข้า คิดร้อยละ 8 ส่วนภาษีสินค้าขาออกมีอัตราเก็บตายตัวตามชนิดของสินค้า เช่น น้ำตาล ภาษีหาบละ 2 สลึง เป็นต้น
ต่อมาในรัชกาลที่ 3 ได้แก้ไขวิธีเก็บมาเป็นเก็บแต่จากขนาดเรืออย่างเดียว คือ ถ้าเรือมีสินค้าเข้ามาเก็บวาละ 1700 บาท ถ้าเรือเปล่าเข้ามาซื้อของเรียกวาละ 1500 บาท แล้วไม่เรียกจังกอบภาษีอย่างอื่นอีก ไม่เรียกค่าธรรมเนียมต่างๆ จากผู้ที่มาซื้อขายกับอังกฤษตั้งแต่ก่อนด้วย
รายได้ของรัฐบาลศักดินาเกี่ยวกับ จังกอบ (หรือภาษีศุลกากร) นี้ เป็นเรื่องยืดยาวและพัวพันอยู่กับระบบการค้าผูกขาดของศักดินาอย่างใกล้ชิด จึงจะขอยกไว้กล่าวในตอนที่ว่าด้วยระบบการค้าผูกขาดของศักดินา ในที่นี้ขอสรุปแต่พอเข้าใจว่า จังกอบคือภาษีศุลกากรเก็บทั้งภายในจากพ่อค้าแม่ค้าเล็กน้อยประจำวันไปจนถึงสินค้าเข้าออก
คราวนี้ประชาชนจะต้องถูกขูดรีดอย่างไรบ้าง การขูดรีดที่ได้รับจากรัฐบาลศักดินาก็คือ เมื่อปีนต้นมะพร้าวอยู่ที่บ้าน ก็ถูกเรียกอากรมะพร้าวไปเป็นภาษีที่ดิน คืออากรส่วนเสียก่อนครั้งหนึ่ง ครั้นจะเคี่ยวน้ำมันมะพร้าวก็ต้องไปแจ้งความกับเจ้าภาษีน้ำมันมะพร้าวว่าเดี๋ยวนี้ฉันจะเคี่ยวน้ำมันแล้วออกใบอนุญาตให้หน่อยซิจ๊ะ เจ้าภาษีก็จะออกใบอนุญาตให้เรียกค่าธรรมเนียม (ฤชา) เสียด้วยตามธรรมเนียมมากน้อยขึ้นอยู่กับหน้าตาของผู้มาขออนุญาต ถ้าเซ่อมากก็แพงมาก พอได้ใบอนุญาตแล้วก็มาเคี่ยวน้ำมัน พอเคี่ยวเสร็จก็เอาลงเรือ แจวเรือออดๆ มาจอดด่าน ที่ด่านเจ้าพนักงานจะเรียกเก็บจังกอบ 10 ชัก 1 ฝ่ายเจ้าภาษีน้ำมันที่ออกใบอนุญาตก็รออยู่ข้างๆ ด่านนั้นด้วย พอเรือผ่านมาก็เก็บภาษีตามพิกัดของสินค้าเสียอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงจะขายได้ ถ้าเจ้าภาษีไปตั้งอยู่ห่าง ก็ต้องไปแวะท่าโรงภาษีเสียก่อน ไม่งั้นถูกหาว่าหนีภาษี ปรับเจ็บยับเยินทีเดียว สถานที่เก็บจังกอบนั้น เรียกกันว่า ขนอน หรือ ด่าน มีทั้งขนอนบกขนอนน้ำ ตั้งดักไว้ตามหนทางเข้าออกต่างๆ รอบเมือง ส่วนที่เก็บภาษีของเจ้าภาษีเรียกว่า โรงภาษี โดยมากเจ้าภาษีมักทำหน้าที่เป็นนายทุนนายหน้าผูกขาดด้วย คือบังคับซื้อสินค้าประเภทที่ตนเก็บภาษีนั้นไว้ทั้งหมดเสียแต่ผู้เดียว ใครๆ ก็ต้องขายให้เจ้าภาษี แล้วเจ้าภาษีจึงนำออกขายต่อเอากำไรตามความพอใจ ข้อนี้จะกล่าวต่อไปข้างหน้าในข้อที่ว่าด้วยอากรและการผูกขาดภาษี
4) อากร
หมายถึงการเก็บชักส่วนผลประโยชน์ที่ราษฎรทำมาหาได้จากการทำงานด้านต่างๆ เช่น ทำนา, ทำไร่, ทำสวน นี่อย่างหนึ่ง หรืออีกอย่างหนึ่งมอบสิทธิ์สัมปทานให้แก่ประชาชนไปทำการบางอย่างโดยเรียกเงินเป็นค่าอากรผูกขาด เช่น การเก็บของป่า, จับปลาในน้ำ (อากรค่าน้ำ), ต้มกลั่นสุรา, ตั้งบ่อนเบี้ย (การพนัน), ตั้งโรงโสเภณี ฯลฯ ลักษณะการเก็บอากรมีดังนี้ :
อากรค่านา อากรค่านานี้ คือการเก็บจากชาวนาโดยตรง ชาวนาที่เช่านาเจ้าที่ดินจึงต้องเสียผลประโยชน์สองต่อ ต่อแรกเสียเป็นค่าเช่าให้แก่เจ้าของที่นา ต่อที่สองต้องเสียค่าอากรเช่านาให้แก่หลวง (คือกษัตริย์) การเสียอากรค่านาให้แก่หลวงนี้ ถือเป็นการเสียค่านาแทนเจ้าของนา นั่นคือเจ้าของที่นาไม่ต้องเสียภาษีที่ดินให้แก่กษัตริย์ ชาวนาหรือไพร่เสียภาษีแทนให้เสร็จทีเดียว รัชกาลที่ 4 ได้กล่าวถึงความจริงข้อนี้ ไว้ว่า “ราษฎรเช่านาท่านผู้อื่นทำ ต้องเสียค่าเช่าให้เจ้าของนาด้วย ต้องเสียค่านาแทนเจ้าของนาด้วย”
การเก็บอากรค่านานั้น เดิมทีเดียวเรียกเก็บเป็นข้าวเปลือก ประชาชนจะต้องส่งข้าวเปลือกให้แก่ฉางหลวงทุกปี ข้าวที่เก็บนี้เรียกว่า ‘หางข้าว’ หางข้าวที่จะเก็บขึ้นฉางหลวงนี้ ประชาชนจะต้องส่งด้วยเครื่องมือและกำลังของตนเองไปจนถึงฉางหลวง เจ้าพนักงานประจำฉางมีหน้าที่นั่งกระดิกตีนจดบัญชีรับหางข้าว อยู่กับที่เท่านั้นเอง มิหนำซ้ำยังใช้อำนาจบาตรใหญ่เอาแก่ประชาชนเสียอีกชั้นหนึ่งตามธรรมเนียมเหยียดหยามประชาชนของวัฒนธรรมศักดินาอีกด้วย ฉางหลวงที่ประชาชนจะต้องลำเลียงขนหางข้าวมาส่งนั้น มีทั้งฉางหลวงในกรุงฯ และฉางหลวงหัวเมือง ใครจะเอาไปส่งที่ฉางไหนนั้น ไม่มีกฏเกณฑ์แน่นอน ขึ้นอยู่กับความพอใจของพวกข้าหลวงที่จะบังคับเอา เรื่องที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนนี้ เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นตามหลักฐานโดยมีปรากฏในประกาศรัชกาลที่ 4... “ราษฎรต้องขนมาส่งถึงฉางในกรุงฯ และฉางหัวเมืองตามแต่เจ้าพนักงานจะบังคับ ราษฎรได้รับความยากบ้างง่ายบ้างไม่เสมอกัน ที่ได้ความยากก็ร้องทุกข์กล่าวโทษข้าหลวง เสนา และเจ้าพนักงานไปต่างๆ ต้องมีผู้ตัดสินเป็นถ้อยความอยู่เนืองๆ” (ประกาศปีชวด พ.ศ. 2407)
อากรหางข้าวที่เก็บมาแต่เดิมทีเดียวนั้น จะเป็นจำนวนไร่ละกี่ถังยังค้นไม่พบ แต่มาภายหลังได้เปลี่ยนมาเก็บเงินแทนข้าว ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์เรียกเก็บไร่ละ 25 สตางค์ตลอดไม่มีข้อแม้
เดิมทีเดียวนั้น การเก็บอากรค่านาหรือหางข้าวนี้ เรียกเก็บเฉพาะที่นาที่ได้ทำนามีผลประโยชน์ ที่ใดที่มิได้ทำนาก็ยกเว้นไม่เก็บ การยกเว้นไม่เก็บอากรในที่นาที่มิได้ทำประโยชน์นี้ หาได้มีประโยชน์แก่ไพร่หรือประชาชนไม่ ทั้งนี้เพราะประชาชนหรือไพร่ทั่วไปที่มีที่ดินจำนวนจำกัดเพียง 5 ไร่ 10 ไร่ หรือ 15 ไร่ ต่างทำนาของตนด้วยมือของตนทุกคน เขาไม่อาจไปจับจองนา สวาปามไว้เป็นกรรมสิทธิ์เกินอัตราศักดินาได้ มีแต่พวกเจ้าที่ดินที่มีศักดินามากมายไพศาลเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากวิธีการเก็บภาษีโดยเรียกเก็บแต่เฉพาะที่ได้ทำนา พวกเจ้าขุนมูลนายทั้งปวงสวาปามที่ดินเอาไว้มาก มีกำลังทาสของตนเองน้อย กำลังไพร่ที่เที่ยวบังคับเที่ยวเกณฑ์มาก็ไม่พอเพียงที่จะทำนาให้ทั่วถึงได้ทุกปี บางปีก็ทำได้ตลอด บางปีก็ทำได้ไม่ตลอดแต่ต้องเสียภาษีอากรรวดทุกไร่ ตามจำนวนที่ดินที่ปรากฏในโฉนด พวกนี้ก็รู้สึกว่าตนเดือดร้อน การลดหย่อนอากรค่านาที่กษัตริย์ยอมลดให้ จึงมีพื้นฐานมาจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างชนชั้นศักดินาด้วยกันเอง ถ้าไพร่หรือประชาชนได้รับผลประโยชน์บ้างจากการลดหย่อนนี้ ก็เป็นการพลอยฟ้าพลอยฝนที่น้อยเต็มที
โดยการลดหย่อนอากรให้แก่เจ้าที่ดินเช่นนี้ กษัตริย์จึงต้องแต่งตั้งข้าหลวงเสนาออกไป ‘เดินนา’ นั่นคือออกสำรวจเพื่อจะได้ลงบัญชีแน่นอนว่าเจ้าขุนมูลนายไหน ได้ทำไปจำนวนกี่ไร่ เนื้อที่ที่ปลูกข้าวจริงๆ มีเท่าใด การเดินนานี้เรียกหลายอย่าง บ้างก็เรียกว่า รังวัดนา บ้างก็เรียกว่า ประเมินนา เจ้าพนักงานในกรมนาจะออกสำรวจหรือเดินนาทุกปีก่อนจะเก็บอากรค่านา แต่มาในสมัยหลังๆ มีการขัดแย้งกันมากๆ ขึ้น ก็มักเดินนากันเพียงรัชกาลละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น พวกเจ้าขุนมูลนายจึงได้ผลประโยชน์ช่ำใจขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้เพราะนาที่บุกเบิกใหม่ยึดได้ใหม่ในระหว่างที่ไม่มีการสำรวจ ไม่ต้องเสียอากรให้กษัตริย์เลย ได้กินผลประโยชน์เต็มกอบเต็มกำอย่างสบายใจ
ครั้นในสมัยพระนารายณ์ กษัตริย์องค์นี้ลอกเลียนชีวิตในราชสำนักมาจากราชสำนักอันฟุ่มเฟือยหรูหราของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นพระปิยสหาย ถึงกับไปสร้างเมืองลพบุรีขึ้นเป็นเมืองพักร้อน เลียนแบบพระราชวังแวร์ซายส์ของหลุยส์ที่ 14 เงินทองในราชสำนักจึงฝืดเคือง การเก็บอากรหางข้าวจึงได้ถูกเปลี่ยนมาเก็บเป็นเงินโดยเก็บไร่ละสลึงรวด เก็บทั้งนาที่ทำและนาที่ไม่ได้ทำ โดยถือเนื้อที่นาในครอบครองเป็นเกณฑ์ อัตราที่เก็บไร่ละสลึงนี้ ถ้าคิดเทียบว่าราคาข้าวในสมัยนั้น โดยประมาณเกวียนละ 10-12 บาท ราคาข้าวก็ตกถังละ 10-12 สตางค์ อากรที่เก็บไร่ละ 25 สตางค์ของพระนารายณ์จึงตกเป็นข้าวเปลือกราว 2 ถังต่อไร่ ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับที่ใช้มาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ (1 ไร่ทำนาได้ผลราว 20-30-40 ถังเป็นอย่างสูง)
อัตราการเก็บไร่ละสลึงของพระนารายณ์สมัยนั้น มิได้ขูดรีดแพงขึ้นกว่าเดิม หากมีวิธีเก็บที่เข้มงวด คือเก็บทั้งนาที่ทำและไม่ทำ ใครมีนามากก็เสียมาก เหตุผลที่ให้ไว้ก็คือเพื่อที่จะให้เจ้าของนามีมานะบากบั่นทำนาให้เต็มเนื้อที่ แต่พวกเจ้าที่ดินส่วนมากไม่เห็นด้วยและไม่พอใจ การเก็บจึงเก็บได้เฉพาะบางส่วนของประเทศคือเฉพาะในเมืองที่พระนารายณ์มีอำนาจบังคับบัญชาสมบูรณ์เท่านั้น (Du Royaume de Siam ของลาลูแบร์)
ความขัดแย้งครั้งใหญ่ของชนชั้นศักดินา ซึ่งมีประชาชนพวกไพร่ส่วนหนึ่งรวมอยู่ในฝ่ายที่ต้องเสียผลประโยชน์ด้วย ทำให้กษัตริย์ต้องปรับปรุงวิธีเก็บอากรค่านาใหม่ จึงทำให้เกิดการเก็บอากรค่านาอย่างใหม่ขึ้น โดยมีการเก็บอากรเป็นสองประเภท เรียกว่า นาคู่โค อย่างหนึ่งและ นาฟางลอย หรือ นาน้ำฝนฟางลอย อีกอย่างหนึ่ง
นาคู่โค คือนาที่กษัตริย์เรียกเก็บอากรตามขนาดเนื้อที่ๆมีในกรรมสิทธิ์ แต่การจะเก็บโดยปริมาณเนื้อที่ตามจำนวนไร่ที่มีอยู่ในครอบครอง พวกเจ้าขุนมูลนายที่ครอบครองนาจำนวนมหาศาลก็ไม่พอใจ จึงต้องยักย้ายวิธีให้เป็นที่ตกลงกันได้ทั้งสองฝ่าย กล่าวคือนับจำนวนวัวหรือควายที่ใช้ไถนา แล้วประเมินว่าวัวหรือควายคู่หนึ่งจะทำนาในที่นั้นได้ปีละเท่าไร แล้วคิดอากรโดยถือวัวควายเป็นเกณฑ์ วิธีนี้พวกเจ้าที่ดินพอรับเงื่อนไขได้ เพราะเวลาทำนาจริงตัวยังเกณฑ์เอาวัวควายของพวกเลกพวกไพร่มาช่วยทำได้อีก ผลที่ได้เป็นผลส่วนเกินก็ไม่ต้องเสียอากร ได้กินอย่างเหนาะๆ ปีละไม่น้อย นาประเภทนี้ เมื่อข้าหลวงเสนาออกมาสำรวจเดินนาแล้ว ก็จะออกโฉนดตีตราด้วยชาดสีแดงให้เป็นสำคัญในการเสียอากรเรียกว่า ‘ตราแดง’ หรือ ‘โฉนดตราแดง’
เมื่อกล่าวถึง ‘โฉนด’ ณ ที่นี้แล้ว ก็จะขออธิบายเพิ่มเติมเสียด้วยว่า ที่เรียกว่าโฉนดๆ ในสมัยก่อนนั้น มิได้หมายถึงหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน หากหมายถึงหนังสือสำคัญที่ระบุปริมาณของที่ดินและระบุจำนวนอากรที่จะต้องเสียตามขนาดของที่ดิน พวกข้าหลวงเสนาของกรมนาเอาหนังสือนี้ ไว้ให้แก่ผู้ทำนา เวลามาเก็บอากรก็เรียกโฉนดออกมาดู แล้วเก็บตามนั้น ส่วนที่ใดไม่มีโฉนดบอกที่ดินบอกจำนวนอากร ผู้ครอบครองก็ถูกข้อหาบุกเบิกที่โดยพลการไม่แจ้งในหลวง มีเจตนาหนีภาษีอากรทำให้ผลประโยชน์หลวงเสียไปต้องมีโทษ พวกชาวนาที่จะบุกเบิกใหม่จะต้องขวนขวายไปแจ้งแก่เจ้าพนักงานเสียแต่แรกว่าผมจะทำนาตรงนี้ ขอให้ออกโฉนดบอกปริมาณที่ดินและอากรที่จะต้องเสียให้ด้วย เวลาข้าหลวงเสนามาสำรวจเดินนา ผมจะได้มีหนังสือสำคัญแสดงแก่เขาว่าผมพร้อมที่จะเสียภาษี ไม่ตั้งใจหลบหนีเลย ตรงนี้ควรทราบเสียด้วยว่า เดิมทีเดียวการทำนาของประชาชนนั้นไม่มีหนังสือสำคัญอะไร ชาวนาทำนาไป เจ้าขุนมูลนายก็ขูดรีดไป ต่อมาประชาชนทนการขูดรีดไม่ไหว ก็หาทางเลี่ยงภาษีอากร โดยอ้างว่าที่ตรงนี้ตนเพิ่งเริ่มก่อสร้างได้ปีหนึ่งสองปี กฎหมายว่ายกอากรให้แก่ผู้เริ่มก่อสร้าง (‘เบ็ดเสร็จ’ ครั้งเริ่มสร้างสมัยกรุงศรีอยุธยา) ข้าหลวงไปเก็บอากรค่านาที่ใดก็ต้องพบแต่ข้ออ้างเช่นนี้ ต้องถกเถียงกันเก็บอากรไม่ได้ กษัตริย์ต่อมาคือพระบรมราชาธิราชที่ 2 จึงออกพระราชกำหนดเมื่อปี พ.ศ. 1976 บังคับให้ผู้หักร้างนาใหม่มาแจ้งข้าหลวง เอาโฉนดบอกจำนวนที่ดินและอากรไปถือไว้ ใครไม่มีโฉนดจะต้องถูกข้อหาหลบหนีบดบังอากร มีโทษหนักกล่าวคือ :
“ท่านให้ลงโทษ 6 สถาน ถ้าทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ บ่ให้ฆ่าตีเสีย ให้เอาอากรซึ่งบังไว้แขวนคอประจานสามวันแล้วไหมจตุรคูณ (ปรับสี่เท่าเงินอากร)” (อาญาหลวงบท 47)
ที่ว่าให้ลงโทษ 6 สถานนั้นมีต่างๆ กันคือ : ฟันคอ ริบเรือน, จำใส่ตรุไว้ริบราชบาทว์แล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง (คือให้ตัดหญ้าให้ช้างหลวงกิน ซึ่งเป็นงานชั้นต่ำสุดเพราะถูกหญ้าบาด งูกัด เหม็นขี้เยี่ยวช้าง ฯลฯ), ทวนด้วยลวดหนัง 50 ที, จำไว้เดือนหนึ่งแล้วเอาตัวถอดลงเป็นไพร่ ไหมจตุรคูณ (ปรับสี่เท่า), และไหมทวีคูณ (ปรับสองเท่า) ใน 6 สถานนี้ ในหลวงจะเลือกลงโทษสถานใดก็ได้ (อาญาหลวง 27)
การลงโทษอย่างหนักราวกับโจรปล้นทรัพย์ (ริบเรือน, ริบราชบาทว์) หรือราวกับกบฏ (ฟันคอ) เช่นนี้ ทำให้ประชาชนต้องขวนขวายมาขอโฉนด “จึงเห็นได้ประจักษ์ว่าการที่ปฏิบัติให้มีโฉนดนั้นเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีอากร ไม่มีประสงค์อย่างใดที่จะให้เจ้าของมีหลักฐานแสดงสิทธิ์ของตน การออกโฉนดจึงได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพระคลัง หาใช่เพื่อประโยชน์แห่งเจ้าของที่ไม่”
การออกโฉนดแบบนี้ ได้มาเร่งรัดให้รัดกุมทั่วถึงกันอีกครั้งหนึ่งในสมัยอยุธยาตอนปลายในสมัยพระเจ้าบรมโกษฐ์
การออกโฉนดอย่างใหม่ที่เริ่มทำในครั้งนั้น ได้เริ่มงานเป็น 3 ขั้นคือ
1. ตั้งข้าหลวงเกษตรออกสำรวจไต่สวนหลักฐานของบรรดาเจ้าของที่ในแต่ละเขต
2. ตั้งหอทะเบียนสำหรับเก็บโฉนดใหม่
3. ยกเลิกหนังสือสำคัญเก่าแก่ทั้งปวง และออกใบใหม่แทน
ครั้นถึง พ.ศ. 2451 จึงได้ออก ‘พระราชบัญญัติการออกโฉนดที่ดิน ร.ศ. 127’ (วันที่ 6 มีนาคม 2451) ประชาชนจึงได้เริ่มมีกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินมาแต่นั้น
นาฟางลอย นาพวกนี้เป็นนาในที่ดอน น้ำท่วมไม่ถึง ต้องพึ่งน้ำฝนอย่างเดียว ถ้าฝนไม่ตกนาก็แล้งทำนาไม่ได้ ผิดกับนาคู่โคอันเป็นนาดี ซึ่งอาจทดน้ำทำระหัดวิดน้ำเข้านา ทำนาได้โดยไม่ต้องรอฝน พวกนาดอนนี้จึงเรียกว่านาน้ำฝน เวลาข้าหลวงมาประเมินนา ก็จะมาดูว่าที่นานั้นๆ ทำนาได้จริงเท่าใด โดยสังเกตดูตอฟางเป็นเกณฑ์แล้วทำรังวัดเนื้อที่เก็บอากรตามนั้น นาพวกนี้ส่วนมากเป็นนาของพวกไพร่ ทำได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง ทางกรมนาของกษัตริย์จะออกเพียง ‘ใบจอง’ ให้ชั่วคราว ถ้าหากทำไม่ได้สามปีติดๆ กัน กรมนาก็หาว่าเกียจคร้านรับนาคืนเข้าเป็นของหลวง ชีวิตของพวกไพร่เจ้าของนาน้ำฝนฟางลอย จึงลอยตุบป่องตามน้ำฝน
เมื่อชีวิตขึ้นอยู่กับน้ำฝน ก็ทำให้เกิดมีประเพณีการแห่นางแมวขอฟ้าขอฝนขึ้นในหมู่พวกไพร่ที่ทำนาทั่วไป ทางฝ่ายกษัตริย์นั้นมีหน้าที่เพียงมาตรวจดูว่าไพร่ทำนาได้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ก็เหมาเอาว่าขี้เกียจริบนาคืนไป การช่วยเหลือชาวนาของพวกศักดินาอย่างมากก็เพียงชักชวนให้ทำพิธีขอฝน กษัตริย์จะแสดงพระมหากรุณาธิคุณโดยส่งพระพุทธรูปปางขอฝนเรียกว่าพระคันธารราฐออกไปตามหัวเมืองต่างๆ สำหรับนำออกมาทำพิธีขอฝน เรียกว่าพิธีพรุณศาสตร์ ถ้าปีฝนแล้งทำนาไม่ได้ ก็มักจะโทษเอาว่าเป็นเพราะประชาชนไม่ทำพิธีพรุณศาสตร์กันอย่างทั่วถึงพระเจ้าเลยไม่โปรด ไม่ใช่ความผิดของกษัตริย์ที่ไม่เอาใจใส่ทำการทดน้ำ ขุดคลองทำชลประทาน ประชาชนเลยหลงไปฝากชีวิตไว้กับเทวดาฟ้าดิน เมื่อฝนไม่ตกก็เท่ากับฟ้าดินไม่โปรดเป็นเพราะวาสนาตัวไม่ดีเอง โทษใครไม่ได้!
“ประเพณีในประเทศนี้ ถ้าเวลาใดฝนฟ้าบกพร่องขาดแคลน ย่อมเชิญพระพุทธปฏิมาคันธารราฐออกประดิษฐานในที่มณฑลทำโรงพิธีสวดคาถาพระบาลีอธิษฐานขอฝน การพิธีอันนี้ยังหาสามารถทำได้ทั่วทุกจังหวัดในพระราชอาณาเขตไม่ เพราะเหตุตามจังหวัดหัวเมืองยังไม่มีพระพุทธรูปปฏิมาคันธารราฐสำหรับการพิธีขอฝนอยู่โดยมาก ในปีนี้ (พ.ศ. 2468–ผู้เรียบเรียง) ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้หล่อสร้างพระพุทธปฏิมาคันธารราฐขนาดสูง 33 เซนต์ขึ้น 80 องค์ สำหรับส่งไปไว้ตามจังหวัดหัวเมืองทั่วไป เพื่อมีเหตุฝนแล้งเมื่อใด จะได้ทํำพิธีพรุณศาสตร์ ณ ที่นั้นทันที”
นี่คือการช่วยเหลือเพียงประการเดียวที่ฝ่ายศักดินายื่นโยนมาให้ประชาชนอยู่เสมอเป็นประจำ
การทำพิธีขอฝนหรือพิธีพรุณศาสตร์นี้ ทำกันมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย พิธีในสมัยสุโขทัยนั้น รัชกาลที่ 5 เคยกล่าวถึงไว้ว่า “อยู่ข้างจะเร่อร่าหยาบคาย”
และทั้งๆ ที่เห็นว่าเป็นเรื่องเร่อร่าหยาบคาย และเป็นเรื่องเศกๆ เป่าๆ ยับเยิน พวกศักดินาก็ยังคงสงวนพิธีนี้ไว้ ทั้งนี้เพราะเป็นทางเดียวที่จะมอมเมาประชาชน และปัดความผิดไปจากตนได้อย่างแนบเนียน
การยื่นมือมาช่วยเหลือประชาชนของกษัตริย์นั้น เท่าที่พบหลักฐานก็มีอยู่บ้างนานครั้งนานคราว แต่ถ้าได้ช่วยสักหนึ่ง ก็ต้องทวงบุญทวงคุณกันไปนานทีเดียว จะขอยกตัวอย่างในรัชกาลที่ 4 เมื่อคราวน้ำน้อย พ.ศ. 2407
“อนึ่ง ในปีนี้เมื่อเดือน 11 เสด็จขึ้นไปทอดพระเนตรน้ำกรุงเก่า ทรงเห็นว่าน้อย ได้มีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้กะเกณฑ์ข้าราชการไปปิดน้ำ (คือปิดทำนบไว้มิให้น้ำลด–ผู้เรียบเรียง) แล้วจำหน่ายพระราชทรัพย์แจกเป็นเงินค่ากับข้าวผู้ทำการคนละบาท แลจ่ายข้าวสารสะเบียงคนละ 10 ทะนาน และจ่ายจัดซื้อไม้เพิ่มเติมไม้เกณฑ์ตัดให้ทันการณ์ สิ้นพระราชทรัพย์ 50 ชั่งเศษโดยทรงพระมหากรุณาช่วยนาของราษฎร ทั้งแขวงกรุงเก่าแลลพบุรี แลอ่างทองตามกำลังจะทำได้ เป็นพระเดชพระคุณแก่ราษฎรอยู่ ควรราษฎรจะคิดถึงพระเดชพระคุณอย่าต้องให้ลำบากนัก”
นี่คือประกาศที่รัชกาลที่ 4 ทรงเขียนเองด้วยพระหัตถ์ ที่ว่าขอให้คิดถึงพระเดชพระคุณบ้างอย่าให้ต้องลำบากมากนักนั้น หมายถึงความลำบากของกษัตริย์ในการเก็บอากรหางข้าว เนื่องมาจากน้ำแล้ง ทำนาไม่ได้ผล ประชาชนร้องทุกข์กันมากว่าเก็บอากรค่านาแรงจนเกินควร
ที่คุยว่าอุตส่าห์ลงทุนทำคันปิดน้ำเสีย ‘พระราชทรัพย์’ ไปถึง 50 ชั่งเศษ (4,000 บาทเศษ) นั้นดูเป็นเงินจำนวนใหญ่โตที่จะต้องทวงบุญทวงคุณกันเสียจริงๆ แต่ถ้าจะเทียบดูผลประโยชน์บ้างก็จะเห็นได้ว่า ในแขวงกรุงเก่า ลพบุรี และอ่างทองที่ได้ช่วยกั้นน้ำไว้ให้นั้น “คิดจำนวนนาถึง 320,000 ไร่เศษ... ค่านา 320,000 ไร่นั้น เมื่อเรียกได้ไร่ละสลึงเฟื้องได้เงินปีละ 1,500 ชั่ง เมื่อเรียกไร่ละสลึงได้เงินปี ละ 1,000 ชั่ง (จากประกาศฉบับเดียวกัน) รายได้ปีละ 1,000 ชั่ง ถึง 1,500 ชั่ง (80,000-120,000 บาท) ได้มาตลอดนับสิบๆ ปี เมื่อมาเสียค่าปิดกั้นน้ำเข้าทีหนึ่งก็ดูบ่นอุบอิบทวงบุญทวงคุณเอาเสียจริงจัง ทั้งๆ ที่การไปปิดน้ำคราวนั้น ก็เป็นผลประโยชน์ของชนชั้นศักดินาโดยตรง คือ ถ้าทำข้าวได้ตนก็ได้หางข้าว และเงินที่ลงทุนไปปิดน้ำเพียง 4000 บาทนั้น ก็เป็นเงินจากอากรค่านาที่เก็บจากประชาชนไร่ละสลึงหรือสลึงเฟื้องนั่นเอง
ข้อที่ว่าเงินนั้นมาจากภาษีอากรนี้ ศักดินาใหญ่ก็รู้เจนอยู่ในใจ เวลาพวกเจ้านายฉ้อโกงเงินภาษีที่ควรเก็บส่งหลวงหรือใช้อิทธิพลออกบัตรแข็งให้ลูกน้องสำหรับเบ่งไม่ต้องเสียภาษี รัชกาลที่ 4 ก็จะบ่นว่าได้เงินมาไม่พอแจกเป็นเงินปีให้พวกเจ้านาย จะต้องลดส่วนเงินปีลง ซ้ำยังอธิบายเสียด้วยว่า
“เงินซึ่งพระราชทานแจกเบี้ยหวัดแก่ข้าราชการทุกๆ ปี นั้น มิใช่เงินได้มาแต่บ้านเมืองอื่นนอกประเทศ คือ เงินในจำนวนภาษีอากรนั่นเอง”
แต่พอมาพูดกับพวกไพร่พวกชาวนา ก็กลับมาอ้างเองว่าเป็นเงิน “พระราชทรัพย์บ้าง ต้องสิ้นพระราชทรัพย์ 20 ชั่งเศษ โดยทรงพระมหากรุณาช่วยนาของราษฎร ตามกำลังจะทำได้ เป็นพระเดชพระคุณแก่ราษฎรอยู่ ควรราษฎรจะคิดถึงพระเดชพระคุณ อย่าต้องให้ลำบาก (ในการเก็บภาษีอากร) นัก!”
นี่แหละคือธรรมเนียมทวงบุญทวงคุณข้าวแดงแกงร้อนของพวกศักดินา มันก็น่าคิดว่าใครมีบุญคุณแก่ใครกันแน่
เพราะการที่กษัตริย์ ไม่ค่อยเอาใจใส่ช่วยเหลือประชาชน และเพราะการที่มัวแต่เสียดายราชทรัพย์อยู่นี้เอง จึงทำให้ไร่นาแล้งบ้าง ล่มจมบ้างตลอดมา ในสมัยศักดินา ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ข้าวยากหมากแพง” จึงเกิดขึ้นเสมอ ถ้าตรวจดูในจดหมายเหตุเก่าๆ จะพบเรื่อง ข้าวแพงๆๆ อยู่เสมอเช่น
ปีขาล จ.ศ. 1120 (พ.ศ. 2301) ปีนี้ข้าวแพงเกวียนละ 12 ตำลึง (ราคาข้าวปกติเกวียนละ 3-5-6 ตำลึง)
ปีมะเส็ง จ.ศ. 1147 (พ.ศ. 2328) น้ำมากข้าวแพงเกวียนละชั่ง
ปีมะเส็ง จ.ศ. 1183 (พ.ศ. 2364) ข้าวเกวียนละ 7 ตำลึง ข้าวสารถังละ 3 สลึงเฟื้อง ปีนี้งูน้ำกัดคนตายมาก
ปีมะเมีย จ.ศ. 1184 (พ.ศ. 2365) ข้าวเกวียนละ 11 ตำลึง
ปีเถาะ จ.ศ. 1193 (พ.ศ. 2374) ปีนี้น้ำท่วม ข้าวแพงเกวียนละ 8 ตำลึง
ปีมะเส็ง จ.ศ. 1195 (พ.ศ. 2376) เดือน 8 ฝนแล้ง ข้าวแพงเกวียนละ 7 ตำลึง 2 บาท
ปีเถาะ จ.ศ. 1205 (พ.ศ. 2386) ปีนี้ข้าวแพงตั้งแต่เดือน 12 จนถึงเดือน 4 ข้าวสารถังละบาท เป็นไข้ตายกันมาก น้ำก็น้อยทำนาไม่ได้ (คัดจากประชุมพงศาวดารภาคที่ 8)
เราย้อนมาเข้าเรื่องอากรค่านาของเราต่อไป
การขูดรีดของศักดินานอกจากจะเก็บค่าหางข้าวกินเปล่าไร่ละ 2 ถัง โดยที่มิได้ช่วยเหลือตอบแทนอะไรเลยแล้ว ยังบังคับซื้อเป็นราคาหลวงอีกไร่ละ 2 ถัง โดยให้ราคาถังละ 6- สตางค์ การบังคับซื้อนี้ พวกไพร่ต้องเสียผลประโยชน์มากกว่าใคร เพราะราคาขายทั่วไปถังละ 10-12 สตางค์ ราคาหลวงที่บังคับซื้อตัดลงตั้งครึ่ง พวกไพร่ที่เช่นนาทำจึงต้องเสียสามต่อ คือ 1. อากรค่านาให้หลวง (กษัตริย์) 2. ค่าเช่าให้เจ้าที่ดิน 3. เสียเปรียบในการบังคับซื้อ! ส่วนพวกเจ้าที่ดินที่มีที่ให้เช่าไม่เดือดร้อนเลย คงได้ตามปกติ ส่วนพวกที่ได้บ่าวไพร่ทำนาหรือเกณฑ์เลกมาทำนารับใช้ฟรีๆ ก็ไม่เดือดร้อนอะไรที่จะต้องเสียหางข้าวเล็กๆ น้อยๆ นับว่าพวกเจ้าที่ดินและเจ้าขุนมูลนายมีแต่ทางได้เพียงประตูเดียวตลอดปี
การเก็บอากรหางข้าวขึ้นฉางหลวงไร่ละสองถัง บังคับซื้อสองถัง โดยให้ราคาถังละ 6 สตางค์นี้ ได้ใช้มาจนถึงรัชกาลที่ 3 แต่ผลประโยชน์ที่เก็บได้นั้นไม่พอจ่าย ราชการ ซึ่งแปลว่าการของพระเจ้าแผ่นดิน
ครั้นมาถึงรัชกาลที่ 4 การเก็บอากรไร่ละสลึงเฟื้องรวดนั้น ทำให้พวกนาคู่โคทั้งปวงร้องทุกข์กันอีกว่าเสียเปรียบนาฟางลอย เพราะตัวต้องเสียอากรทั้งนาที่ทิ้งเปล่าๆ ไม่ได้ทำ นาฟางลอยเสียแต่เฉพาะที่ได้ทำในแต่ละปี เสียงร้องของพวกนาคู่โคนี้ที่ดังอื้ออึงก็ด้วยการหนุนการให้ท้ายของพวกเจ้าที่ดิน ซึ่งตนต้องกระทบกระเทือนผลประโยชน์ นับว่าการเคลื่อนไหวของประชาชนเจ้าของนาคู่โคที่มีอยู่บ้างก็ถูกเจ้าที่ดินฉกฉวยไปใช้เสียสบายอารมณ์ รัชกาลที่ 4 เห็นจะสู้กำลังประชาชนและเจ้าที่ดินไม่ไหว ก็เลยยอมลดค่านาให้แก่พวกนาคู่โค คือลดลงเป็นไร่ละสลึง เมื่อพ.ศ. 2398
ครั้นล่วงมาถึง พ.ศ. 2407 คือถัดมา 10 ปี เกิดฝนแล้งน้ำน้อยอีกครั้งหนึ่ง พวกเจ้าของนาคู่โคก็ร้องทุกข์ว่าสู้อากรไม่ไหว รัชกาลที่ 4 จึงประกาศโต้ว่า ได้อุตส่าห์ลดลงให้ไร่ละสลึงแล้ว นาในเขตกรุงเก่า อ่างทอง ลพบุรี สุพรรณบุรีนั้น คิดเป็นจำนวนนาถึง 320,000 ไร่เศษคิดลดให้ไร่ละเฟื้องก็ตกเข้าไปปีละ 500 ชั่ง (สี่หมื่นบาท) คิดดูเถอะอุตส่าห์ลดลงมาให้ตั้ง 10 ปีแล้ว ในหลวงต้องขาดเงินไปถึง 5,000 ชั่ง (สี่แสนบาท) “ราษฎรได้เปรียบในหลวงกว่าแต่ก่อนมาถึง 9 ปี 10 ปีแล้ว” ฉะนั้น “ก็ในปีนี้ฝนแล้งน้ำน้อยจะคงเรียกอยู่ไร่ละสลึงตามธรรมเนียมไม่ได้หรือ” และยังมีข้อคิดให้ไว้ด้วยว่า “ถ้าใครยังเห็นอยู่ว่าจะทนเสียค่านาไปไม่ได้ ก็ให้เวนนาคืนแก่กรมนาผูกเป็นของหลวงเสียทีเดียว” พวกเจ้าที่ดินโดนไม้นี้เข้าก็สงบปากสงบคำ พวกไพร่โดนไม้นี้เข้าก็หน้าหงายหวานอมขมกลืนต่อไป
แต่ยังก่อน ลวดลายการเก็บอากรค่านายังไม่หมดเรื่องยังมีต่อไปอีกว่าถ้าหากในปีน้ำน้อย (พ.ศ. 2407) นี้ ประชาชนผู้ยากจนคนใดจะขอผ่อนปรนชำระอากรค่านาเฉพาะแต่ที่ได้ทำได้เก็บได้เกี่ยว ก็ยินยอมให้ แต่มิได้หมายความว่าจะยกอากรค่านาที่มิได้ทำให้ หากให้เป็นหนี้ค้างไว้ชำระปีหน้า ถึงปีหน้าต้องชำระเงินต้นไร่ละสลึงบวกด้วยดอกเบี้ยอีก 1 เฟื้อง (12 สตางค์) รวมเป็นไร่ละสลึงเฟื้อง เป็นอันว่าผู้ที่ต้องค้างค่านาหลวงต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ 48 หรือ 50 ต่อปี!! (ดอกเบี้ยหนึ่งเฟื้องต่อเงินต้น 1 สลึง)
อนึ่งขอให้สังเกตว่า นาน้ำฝนฟางลอยอันอยู่ในที่ดอนนั้น ดูสงบเงียบไม่มีการร้องทุกข์เอะอะเหมือนนาคู่โคอันอยู่ในที่ลุ่มเป็นนาดี ทั้งนี้ก็เพราะพวกชาวนายากจนที่ทำไร่ทำนาคนละ 5 ไร่ 10 ไร่ บนนาดอนนั้น แม้จะร้องขึ้น เสียงก็เงียบหายไปเหมือนสีซอให้ควายฟัง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพวกเจ้าขุนมูลนายเจ้าที่ดินใหญ่ไม่มีที่นาอยู่ในแดนกันดารเช่นนั้น เสียงของชาวนาถึงถูกกดลงและลืมเสีย ส่วนในพื้นที่นาลุ่ม (นาคู่โค) พวกเจ้าของที่ดินใหญ่ต่างได้ครอบครองที่ดินไว้มากมายแทบทุกคน พอชาวนายากจนร้องทุกข์ขึ้นพวกนี้ก็สวมรอยเข้าใช้ความไหวตัวของชาวนาให้เป็นประโยชน์ ทางฝ่ายชาวนายากจนก็ติดข้องอยู่กับการพึ่งบารมีตัวบุคคล ต่างก็ถือว่ามีเจ้าขุนมูลนายหนุนหลัง มีบารมีคุมกบาลหัวอยู่ จึงไม่ค่อยหวาดกลัว ได้เรียกร้องเคลื่อนไหวกันยกใหญ่ รูปของการเคลื่อนไหวจึงเป็นไปโดยที่ชาวนามองข้ามกำลังของตนเอง คิดอยู่แต่ว่าที่กษัตริย์ต้องอ่อนข้อก็เพราะพวกตัวมีเส้นใน มีเจ้าขุนมูลนายหนุนหลัง แล้วก็เลยปล่อยให้พวกเจ้าที่ดิน และเจ้าขุนมูลนายฉกฉวยเอากำลังมหึมาของพวกตนไปใช้เสียอย่างลอยชาย!
อากรค่านาเป็นอากรสำคัญขั้นเส้นเลือดใหญ่ของชีวิตชนชั้นศักดินา ฉะนั้นจึงได้รับการเอาใจใส่ คอยดูแล เพิ่มอัตราและปรับปรุงวิธีเก็บอยู่เสมอ จนในที่สุดถึงรัชกาลที่ 6 มีอัตราอากรค่านาดังนี้
นาคู่โค | นาฟางลอย |
นาเอก ไร่ละ 1.00 บาท | นาเอก ไร่ละ 1.00 บาท |
นาโท ไร่ละ .80 บาท | นาโท ไร่ละ .80 บาท |
นาตรี ไร่ละ .60 บาท | นาตรี ไร่ละ .60 บาท |
นาจัตวา ไร่ละ .40 บาท | นาจัตวา ไร่ละ .60 บาท |
นาเบญจ ไร่ละ .30 บาท | นาเบญจ ไร่ละ .40 บาท |
สถิติรายได้ของรัฐบาลศักดินาจากอากรค่านาในรัชกาลที่ 4 ได้ถึงสองล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็นเจ็ดล้านบาทในสมัยรัชกาลที่ 6 เฉพาะในรัชกาลที่ 6 นั้นภาษีที่ดินทั้งมวลได้เป็นจำนวนถึง 9,700,000 เศษ (สถิติ 2464)
อากรสวน อากรสวนนี้ มักเรียกว่า อากรสวนใหญ่ อันหมายถึงสวนผลไม้เป็นอากรที่ดินอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นอากรคู่กับ อากรค่านาหางข้าว
การเก็บอากรสวนนั้น มีวิธีเก็บเช่นเดียวกับวิธีเก็บอากรค่านา กล่าวคือกษัตริย์ส่งเจ้าพนักงานข้าหลวงออกไปสำรวจสวนต่างๆ เรียกว่า ‘เดินสวน’ คู่กับ ‘เดินนา’ หน้าที่นี้ตกอยู่กับ กรมพระคลังสวน การจะออกเดินสวนนั้น ทำกันเป็นพิธีรีตองไสยศาสตร์อย่างศักดิ์สิทธิ์มีการบวงสรวงเทวดา คือ พระราม และเจ้าแม่กาลีเป็นต้น พวกข้าหลวงจะออกสำรวจรังวัดที่ดิน และออกโฉนด (ใบสำคัญเก็บอากร) เช่นเดียวกับการเดินนา และพร้อมกันนั้นก็ลงบัญชีต้นไม้นานาชนิดที่จะต้องเสียภาษีลงไว้เป็นหลักฐาน ถ้าหากขณะเดินสวนนั้นเจ้าของสวนไม่ปรากฏตัวต่อเจ้าพนักงาน มัวไปงานศพพ่อตาเสียที่อื่น ก็ถือว่าเป็นสวนร้าง เวนคืนเป็นสวนของหลวง ซึ่งเจ้าพนักงานจะจัดการขายหรือให้แก่ใครก็ได้เป็นสิทธิ์ขาด การเดินสวนนั้นทำกันตอนต้นรัชกาลหนเดียว แล้วใช้ไปตลอดรัชกาล ต้นไม้จะตายจะปลูกใหม่ในระหว่างนั้นอยู่นอกประเด็น แต่ในบางรัชกาลก็เดินสวนถึง 2-3 ครั้ง เช่นในสมัยรัชกาลที่ 5 การเก็บอากรสวนนั้นเรียกเก็บเอาจากต้นไม้ ในสมัยพระนารายณ์ ลาลูแบร์จดไว้ว่า อากรทุเรียนต้นละ 2 สลึง พลูค้างละ 1 บาท หมากต้นละ 3 บาท มะพร้าวต้นละ 2 สลึง, ส้ม, มะม่วง, มังคุด, พริก ต้นละ 1 บาท
หลักฐานของการเดินสวนเก็บอากรต้นผลไม้นั้นค่อนข้างจะหายากเต็มที เท่าที่มีหลักฐานในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เดินสวนเมื่อปี พ.ศ. 2372 ครั้งหนึ่ง และเมื่อ พ.ศ. 2375 อีกครั้งหนึ่ง ถึงรัชกาลที่ 4 ได้ออกทำการเดินสวนเมื่อ พ.ศ. 2396 ตั้งแม่กองออกสำรวจกองละ 8 คน กองหนึ่งๆ มีขุนนางวังหลวง 6 คน ขุนนางวังหน้า 2 คน ควบกันไป ทั้งนี้ เพราะอากรนั้นจะต้องแบ่งปันกันในระหว่างวังทั้งสอง ในครั้งนั้นได้แต่งตั้งกองสำรวจเดินสวนขึ้น 3 กอง กองหนึ่งออกเดินสวนทางฝั่งเหนือ กองหนึ่งออกเดินสวนทางฝั่งใต้ กองที่สามออกเดินสวนในเขตจังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม นครไชยศรี สาครบุรี (สมุทรสาคร)
อัตราการเก็บอากรมีดังนี้
หมาก
หมากเอก สูง 3-4 วา ต้นละ 50 เบี้ย ร้อยต้น 3 สลึง 200 เบี้ย
หมากโท สูง 5-6 วา ต้นละ 40 เบี้ย ร้อยต้น 2 สลึงเฟื้อง
หมากตรี สูง 7-8 วา ต้นละ 30 เบี้ย ร้อยต้น 1 สลึงเฟื้อง 600 เบี้ย
หมากผการาย (ออกดอกประปราย)
หมากกระรอก ต้นละ 11 ผล
มะพร้าว
มะพร้าวเล็กตั้งปล้องสูงศอกหนึ่งขึ้นไป ต้นละ 50 เบี้ย
มะพร้าวใหญ่สูง 8 ศอกขึ้นไป ต้นละ 100 เบี้ย 8 ต้นเฟื้อง ถ้ามีน้ำมันต้องแบ่งถวาย
มะพร้าวมูลสี, นาฬิเก, หกสิบบาท เป็นของสำหรับทูลเกล้าถวาย จึงไม่เสียอากร!
พลู
พลูค้างทองหลาง (ค้างพลูทำด้วยไม้ทองหลาง) สูง 7-8 ศอกขึ้นไป 4 ค้าง 1 เฟื้อง ร้อยค้าง 3 บาท 1 เฟื้อง
ทุเรียน, มะม่วง
วัดแต่โคนต้นขึ้นไปสูง 3 ศอก ยืนขึ้นไปเพียงตาแล้วโอบรอบได้ 1 รอบกับ 3 กำ นับเป็นใหญ่ ทุเรียนต้นละ 1 บาท มะม่วงต้นละเฟื้อง
มังคุด, ลางสาด
วัดแต่โคนต้นขึ้นไปสูงศอกคืบ นั่งยองๆ เพียงตาโอบรอบได้ 1 รอบกับ 2 กำ เรียกต้นละเฟื้อง
มะปราง
วัดแต่โคนต้นขึ้นไปสูง 3 ศอก ยืนเพียงตาโอบรอบได้ 1 รอบ 3 กำ เรียกต้นละ 2 เฟื้อง ส่วนไม้ที่ต่ำกว่าขนาดยกอากรให้ปีหนึ่ง จะเก็บในปีต่อไป
นอกจากจะต้องเสียอากรค่าต้นไม้แล้ว เจ้าของสวนยังต้องเสียเงินจุกจิงยุบยับอีกไม่รู้จักแล้วจักรอด เช่นจะต้องตั้งพิธีทำบายศรีบวงสรวงพระภูมิเจ้าที่สำรับหนึ่ง กรุงพาลีสำรับหนึ่ง อันเป็นข้อบังคับให้ต้องทำ ค่าใช้จ่าย ดังนี้
หัวหมู 1 คู่ | 1.25 บาท |
เสื่ออ่อน 1 ผืน | 0.12 บาท |
ผ้าขาว 1 ผืน | 0.37 บาท |
ขันรองเชือกรังวัดและทำน้ำมนต์ประพรมสวน | 0.12 บาท |
ค่าเสกน้ำมนต์พรมสวน | 0.12 บาท |
ค่ารังวัดหัวเชือก | 0.25 บาท |
หางเชือก | 0.12 บาท |
รวมทั้งสิ้น | 2.35 บาท |
ทางฝ่ายเจ้าของสวนเมื่อมาเห็นการตั้งพิธีพะรุงพะรังเข้าก็เลยเข้าใจไปเลยว่าในหลวงท่านกรุณาส่งคนมาทำน้ำมนต์พรมสวนให้ได้ผลดี เลยดีอกดีใจลืมนึกไปว่าเขามาเก็บภาษีอากร พวกข้าหลวงที่เป็นตัวแทนที่เก็บภาษีอากรไปด้วยลำเลิกบุญคุณกษัตริย์ไปด้วย
สิ่งที่เจ้าของสวนจะต้องเสียอีกก็คือ ถ้าสวนใดได้ทำการเดินสวนมาแล้วครบ 5 ครั้ง จะต้องจ่ายเงินให้แก่ข้าหลวงอีกสวนละสลึงเฟื้อง และต้องจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้อีกสวนละสองสลึง เป็นอันว่าโดนเข้าอีกสวนละสามสลึงเฟื้อง
อีกสิ่งหนึ่งที่ประชาชนเจ้าของสวนจะต้องเสียก็คือ เมื่อข้าหลวงออกมาเดินสวน จะต้องนำเอาโฉนดเก่าออกมาสอบทานยืนยัน แล้วรับเอาโฉนดใหม่ไป ในการนี้จะต้องเสียเงินค่าโฉนดอีกใบละ 1 บาท 2 สลึง
ท้ายที่สุดก็คือการผูกขาดซื้อแก่นไม้ 3 จำพวก กล่าวคือ ไม้มะเกลือซึ่งเป็นไม้ดำ, ไม้ละมุดสีดาอันเป็นไม้แดงเนื้อละเอียด และไม้จันทน์ซึ่งเป็นไม้เนื้อขาวเนื้อละเอียด เจ้าของจะโค่นจะฟันต้องมาแจ้งให้ข้าหลวงรับรู้แล้วขนไม้มาทูลเกล้าฯ เมื่อโค่นแล้วก็ต้องปลูกซ่อมแซมขึ้นใหม่ตามข้อบังคับ
อากรสวนนั้นยังมีวิธีเก็บอีกอย่างหนึ่งคือ เก็บโดยวัดพื้นที่เป็นไร่ เช่นสวนจากเสียอากรไร่ละเฟื้อง สวนแบบนี้มีเจ้าพนักงานออกเดินสำรวจที่ดินเป็นครั้งคราวเช่นกัน สรุปว่าอากรสวนในสมัย ร.4 ได้ปีละ 5,545,000 บาท
อากรค่าน้ำ อากรค่าน้ำ ก็คืออากรที่เก็บจากการจับปลาในแม่น้ำลำคลอง หนองบึง และทะเล มีทั้งอากรน้ำจืด และนํ้ำเค็ม วิธีเก็บอากรค่าน้ำนี้ มักใช้วิธีให้คนผูกขาดเก็บภาษีรับไปทำ กษัตริย์ออกกฎหมายตั้งอัตราเก็บภาษีอากรไว้เป็นมาตรฐาน ตามชนิดของเครื่องมือทำมาหากิน เช่น โพงพางน้ำจืด โพงพางละ 12 บาท เรือแหพานลำละ 10 บาท เรือแหโปงลำละ 6 บาท เรือแหทอดลำละ 1 บาท เก็บดะไปทุกชนิดมีรายการยืดยาว จนถึงสวิงกุ้งสวิงปลาคนละ 12 สตางค์ ฉมวกคนละ 12 สตางค์ เบ็ดราวคนละ 50 สตางค์ เบ็ดธรรมดา 100 คัน 50 สตางค์ พวกที่มารับทำการผูกขาดเก็บภาษีก็จะยื่นจำนวนเงินประมูลกัน ใครให้เงินมากก็ได้สัมปทานไปทำ เช่นในรัชกาลที่ 4 พระศรีชัยบานขอผูกขาดเก็บภาษีในกรุงเทพฯ และหัวเมือง 37 เมือง กับ 8 ตำบล โดยให้เงินประมูล 370 ชั่ง (29,600 บาท) ต่อปี พระศรีชัยบานยื่นเงินประมูล 29,600 บาท โดยสัญญาว่าจะส่งเงินไปถวายพวกเจ้าขุนมูลนายต่างๆ ดังนี้ :
(1) ถวายพระคลังมหาสมบัติ | 314 ชั่ง |
(2) ถวายพระคลังเดิม (ส่วนตัว) | 20 ชั่ง |
(3) ถวายวังหน้า | 30 ชั่ง |
(4) ถวายกรมสมเด็จพระเดชาดิศร | 1 ชั่ง 10 ตำลึง |
(5) ถวายกรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ 1 ชั่ง | |
(6) ถวายกรมพระพิทักษ์เทเวศร์ 1 ชั่ง | |
(7) ถวายกรมหลวงภูวเนตรรินทรฤทธิ์ 10 ตำลึง | |
(8) ถวายกรมหลวงวงศาธิราชสนิท 1 ชั่ง | |
(9) ถวายกรมขุนสรรพศิลป์ปรีชา 10 ตำลึง | |
(10) ถวายพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้านพวงศ์ 10 ตำลึง | |
รวม | 370 ตำลึง |
(ภายหลังอากรค่าน้ำขยับสูงขึ้นจนถึง 70,000 บาท)
เมื่อได้ยื่นเงินประมูลและเงื่อนไขที่จะถวายเงินอย่างทั่วถึงในหมู่ชนชั้นศักดินาที่สำคัญๆ ขึ้นมาแล้ว ผู้ที่มีส่วนผลประโยชน์เกี่ยวข้อง และที่มีอำนาจในแผ่นดิน ก็ปรึกษาหารือกัน ในที่สุดก็ :
“ปรึกษาพร้อมกันว่า.........ซึ่งราษฎรทำการปาณาติบาตหาผลประโยชน์เลี้ยงชีวิตโดยมิจฉาชีพจะไม่ต้องเสียอากรค่าน้ำนั้น เห็นว่าเหมือนหนึ่งยินดีด้วยคนทำปาณาติบาตหาควรไม่ ซึ่งพระศรีชัยบาน ทํำเรื่องราวมาว่าจะขอรับพระราชทานทำอากรค่าน้ำนั้นก็ชอบอยู่แล้ว”
เป็นอันว่าการที่ประชาชนตกเบ็ดตกปลากินนั้นเป็นการผิดศีลข้อ 1 ว่าด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ถ้าไม่เก็บภาษีอากรก็จะกลายเป็นเข้าด้วยพวกทำบาปมิจฉาชีพ จึงต้องเก็บภาษีอากรเสียให้เข็ด!!! นี่คือเหตุผลในการที่จะอ้างอิงเอาศาสนาเข้ามาเป็นเครื่องมือในการขูดรีดของชนชั้นศักดินา!
เรื่องของอากรค่าน้ำนี้เป็นเรื่องสนุก ในสมัยรัชกาลที่ 3 เคยเก็บอากรค่าน้ำในการผูกขาด มีรายได้ปีละกว่า 700 ชั่ง (56,000 บาท) ต่อมาได้เพิ่มภาษีขึ้นอีกมากมายหลายอย่าง จึงลดอากรค่าน้ำลงเหลือ 400 ชั่ง (32,000 บาท) และต่อมาเลิกหมดเลยไม่เก็บ สาเหตุที่เลิกนั้น มิใช่อยากจะช่วยเหลือแบ่งเบาแอกภาษีจากบ่าของราษฎร์ หากเป็นเพราะรัชกาลที่ 3 ธรรมะธรรมโมจัดหน่อย เห็นว่าการจับปลาเป็นมิจฉาชีพทำปาณาติบาทจึงไม่เก็บ ครั้นมาถึงรัชกาลที่ 4 ต้องลดอากรค่านาลงดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงต้องขวนขวายหาทางเก็บภาษีอากรใหม่ ในที่สุดก็มาลงเอยที่จะเก็บอากรค่าน้ำ กะว่าจะเก็บปีละกว่า 400 ชั่ง รายได้จริงตามที่สังฆราชปัลเลอกัวซ์สำรวจ ปรากฏว่าในรัชกาลที่ 4 ได้อากรค่าน้ำถึง 70,000 บาท ครั้นจะประกาศเก็บเอาดื้อๆ ก็เกรงจะไม่แนบเนียน ผู้คนจะนินทาว่า เก็บแต่ภาษีไม่เห็นทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนสักนิด รัชกาลที่ 4 จึงออกประกาศอ้างว่า การที่รัชกาลที่ 3 เลิกเก็บภาษีอากรค่าน้ำนั้น ถึงเลิกแล้ว ก็ไม่เป็นคุณอันใดแก่สัตว์เดรัจฉาน สมดังพระราชประสงค์ และไม่ได้มาเป็นคุณเกื้อกูลหนุนแก่พระพุทธศาสนาด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ได้เป็นคุณแก่ราชการแผ่นดินเลย” (ประชุมประกาศ ร.4 ภาค 3 ประกาศ พ.ศ. 2399) และยังว่าต่อไปอีกว่า “และพวกที่หาปลาได้รับผลประโยชน์ยกภาษีอากรที่ตัวควรจะต้องเสียปีละเจ็ดร้อยชั่งเศษทุกปีนั้น... ก็ไม่ได้มีกตัญญูรู้พระเดชพระคุณมาทำราชการฉลองพระเดชพระคุณในหลวงให้ปรากฏเห็นประจักษ์ เฉพาะแต่เหตุนั้นสักอย่างหนึ่งเลย” ฉะนั้นจึง “ปรึกษาพร้อมกันเห็นว่าอากรค่าน้ำ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเลิกเสีย ไม่เป็นคุณประโยชน์อันใดแก่สัตว์เดรัจฉาน ไม่เป็นคุณความเจริญแก่พระพุทธศาสนา” ถ้าแม้ไม่เก็บ ซ้ำจะตกที่นั่งเป็นคนมีบาปที่เป็นใจให้พวกมิจฉาทิษฐิทำปาณาติบาตจึงต้องเก็บค่าน้ำใหม่ในแผ่นดินนี้ และเหตุนี้จึงได้ตั้งพระศรีชัยบานเป็นเจ้าภาษี!
คราวนี้ผู้ที่ทำการผูกขาดการเก็บภาษีซึ่งเรียกว่า ‘เจ้าภาษี’ ก็มีสิทธิแต่งตั้งคนของตนเป็น ‘นายอากร’ คอยเก็บอากรแก่ชาวประมงในเขตต่างๆ แบ่งเป็นหลายๆ เขต พวกนายอากรก็คอยเร่งรัดเก็บภาษีด้วยอำนาจบ้าง เรียกภาษีเกินพิกัดอัตราบ้าง พวกประชาชนที่ทำการจับปลาก็ต้องเดือดร้อนไปตามเพลง ชนชั้นศักดินาก็คอยแต่จะนั่งเสวยบุญกินอากรของมิจฉาชีพไปตามสบาย
อากรสุรา นอกจากภาษีอากรหลักๆ คืออากรค่านาหางข้าว อากรสวนใหญ่ อากรค่าน้ำ สามประเภทนี้แล้วยังมีภาษีอากรอีกมากมายหลายอย่าง เช่นอากรสุรา รายได้จากอากรประเภทนี้สูงมาแต่โบราณ ในสมัยพระนารายณ์เก็บเทละ 1 บาท ถ้าเมืองใดไม่มีเตาต้มกลั่นเหล้าผูกขาดภาษี ประชาชนก็ต้องต้มกันเองตามอำเภอใจ ในหลวงเรียกเก็บอากรสุราเรียงตัวคน (ชายฉกรรจ์) คนละ 1 บาทรวด รายได้จากอากรสุราสูงมากมาแต่ไหนแต่ไร ในสมัยรัชกาลที่ 4 ตามการสำรวจของสังฆราชปัลเลอกัวซ์ ภาษีสุราสูงถึง 500,000 บาท ต่อมาในสมัยศักดินาของการปฏิวัติของชนชั้นกลาง พ.ศ. 2475 อากรประเภทนี้สูงนับจำนวนสิบๆล้านบาท (พ.ศ. 2467 ได้ 11,929,551 บาท 62 สตางค์)
อากรโสเภณี อากรที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งที่ลาลูแบร์จดไว้ว่าเพิ่งเริ่มตั้งขึ้นเมื่อครั้งพระนารายณ์ก็คือ อากรโสเภณี โดยอนุญาตให้ออกญาแบนตั้งโรงหญิงนครโสเภณีขึ้น โสเภณีที่กล่าวถึงนี้เดิมก็คงจะมีอยู่แล้วนมนาน แต่กษัตริย์เห็นว่ามีรายได้ดี ลูกค้ามาก จึงคิดเก็บตั้งโรงโสเภณีผูกขาดขึ้นอีกประเภทหนึ่ง ในหนังสือจดหมายเหตุเก่าว่าด้วยภูมิสถานเมืองนครศรีอยุธยามีจดไว้ว่า พวกผู้หญิงโสเภณีอยู่ในย่านที่เรียกว่า ‘สำเพ็ง’
อาชีพโสเภณีในยุคศักดินาก็มีลักษณะเดียวกับในยุคทุนนิยม กล่าวคือมีสตรีที่ทนต่อสภาพความอดอยากยากแค้นไม่ได้ ต้องขายตัวกันมากมาย ยิ่งในสมัยที่พวกชาวยุโรปเข้ามาค้าขายในกรุงเทพฯ พวกนี้จ่ายเงินไม่อั้น จึงเป็นการยั่วยุให้ผู้หญิงที่หาทางออกของชีวิตไม่ได้ หันมายึดอาชีพนี้กันมากขึ้น ในปลายสมัยอยุธยาผู้หญิงที่เคราะห์ร้ายต้องกัดฟันหลับหูหลับตาขายตัวกับพวกชาวต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากจนเลื่องลือ ฝ่ายศักดินาก็มิได้หาทางแก้ไขเพราะเห็นว่าเป็น ‘สันดาน’ อันร่านของผู้หญิงเอง คงคอยเก็บแต่ภาษี พวกที่ทนภาษีไม่ไหวก็ลักลอบขายตัวกันลับๆ เป็นครั้งคราว รัฐบาลศักดินาเห็นว่าทำให้ตนเสียผลประโยชน์ จึงออกพระราชกำหนดเมื่อ พ.ศ. 2306 มีความว่า “แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า ห้ามอย่าให้ไทย มอญ ลาว ลักลอบไปซ่องเสพเมถุนธรรมด้วย แขก ฝรั่ง อังกฤษ คุลา มลายู ซึ่งถือฝ่ายมิจฉาทิฏฐิ (พวกนอกศาสนาพุทธ) เพื่อจะมิให้ฝูงทวยราษฎร์ไปสู่อบายทุกข์............ถ้าผู้ใดมิฟังลักลอบไปซ่องเสพเมถุนธรรมด้วยผู้ถือมิจฉาทิฏฐิ พิจารณาสืบสาวจับได้...เป็นโทษถึงสิ้นชีวิต ฝ่ายพ่อแม่ญาติพี่น้องซึ่งมิได้กำชับห้ามปรามเป็นโทษด้วยตามใกล้แลไกล” (พระราชกำหนดเก่า 55)
เป็นอันว่าถ้าเป็นโสเภณีส้องเสพกับไทยด้วยกันเป็นของถูกต้องดีอยู่แล้วไม่ถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิผิดหลักศาสนา เพราะเป็นพุทธด้วยกัน
รัฐบาลศักดินาได้ผลประโยชน์จากภาษีโสเภณี ปีหนึ่งๆ เป็นจำนวนเงินมิใช่น้อยตามที่สังฆราชปัลเลอกัวซ์จดไว้ ปรากฎว่าในสมัยรัชกาลที่ 4 เก็บภาษีโสเภณีได้ถึงปีละ 50,000 บาท
อากรฝิ่น อากรฝิ่นนี้เป็นอากรใหม่ที่เพิ่งตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2394 จำนวนอากรที่ได้รับจากการผูกขาดของเจ้าภาษีนั้นปีหนึ่งๆ เป็นจำนวนเงินถึง 2,000 ชั่ง (160,000 บาท) ถ้าเป็นปีอธิกมาส (มี 13 เดือน คือมีเดือน 8 สองหน) ให้เพิ่มภาษีขึ้นอีก 166 ชั่ง 13 ตำลึง 1 บาท ตามการสำรวจของสังฆราชปัลเลอกัวซ์ ภาษีฝิ่นในสมัยรัชกาลที่ 4 ขึ้นสูงไปถึง 400,000 บาทต่อปี นับว่าเป็นภาษีอากรจำนวนมหึมาทีเดียว (ตำนานภาษีอากรบางอย่างในลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ 16)
เรื่องของภาษีฝิ่นนี้น่าขำ เดิมทีเดียวในเมืองไทยห้ามสูบฝิ่นเด็ดขาด เมื่อรัชกาลที่ 2 เคยออกประกาศห้ามสูบฝิ่นมาครั้งหนึ่ง ลงวันเสาร์ เดือน 9 ขึ้น 14 ค่ำ จุลศักราช 1173 ปีมะแม ตรีศก (พ.ศ. 2354) ใครสูบฝิ่นจับได้ “พิจารณาเป็นสัจ จะให้ลงพระอาญา เฆี่ยน 3 ยก ตระเวณบก 3 วัน ตระเวณเรือ 3 วัน ริบราชบาตรบุตรภรรยาและทรัพย์สิ่งของให้สิ้นเชิง ให้ส่งตัวไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง ผู้รู้เห็นเป็นใจมิได้เอาความมาว่ากล่าวจะให้ลงพระอาญาเฆี่ยน 60 ที” มิหนำซ้ำยังได้ตั้งนรกขุมใหม่คือนรกฝิ่นขึ้นอ้างขู่ประชาชนอีกด้วยว่า “ครั้นตายไปตกมหาดาบนรก นายนิริยบาล (คือยมพะบาล) ลงทัณฑกรรมกระทำโทษต้องทนทุกข์เวทนาโดยสาหัสที่สุดมิได้ ครั้นพ้นจากดาบนรกแล้ว ก็ต้องไปเป็นเปรตวิสัย มีควันไฟพุ่งออกมาจากปากจมูกเป็นนิจ”
แต่มาถึงสมัยรัชกาลที่ 4 กำลังต้องการเงิน เพราะมีสนมกรมในและลูกเธอมากต้องปลูกสร้างวัดสร้างสวนที่นาไว้ให้ เงินทองไม่พอใช้ จึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องนรกจกเปรตอะไรที่อ้างไว้นั้นเสีย แล้วอนุญาตให้ตั้งภาษีฝิ่นมีเจ้าภาษีผูกขาดกันขึ้น จนในที่สุดได้มาตั้งเป็นกรมดำเนินการโดยรัฐบาลศักดินาเองในสมัยรัชกาลที่ 6
อากรบ่อนเบี้ย อากรนี้มีมาโบรมโบราณเต็มที ลักษณะของมันก็คือให้มีการประมูลตั้งบ่อนการพนันขึ้นตามหัวเมืองและตำบลต่างๆ เปิดให้ประชาชนเข้าเล่นการพนันได้อย่างเสรี (แบบเดียวกับบ่อนคาสิโน ของรัฐบาลชุดนายควง อภัยวงศ์ สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ผู้ผูกขาดทำภาษีเปิดบ่อนเบี้ยได้รับตำแหน่งเป็นขุนพัฒนสมบัติทุกคน ซ้ำมีศักดินา 400 ไร่อีกด้วย การพนันที่เล่นกันข้างในบ่อนมีอยู่สามอย่าง คือ ถั่ว 1 กำตัด 1 และไพ่งา 1 ต่อมาในชั้นหลังเปลี่ยนเป็นถั่ว, โปกำ และโปปั่น
การทำอากรบ่อนเบี้ย เป็นรายได้ชั้นหัวใจ อย่างหนึ่งของรัฐบาลศักดินา ทั้งนี้ เพราะการละเลยไม่ช่วยพัฒนาการผลิตทางการเกษตร ปล่อยให้การเกษตรล้าหลัง ทำให้รายได้ของประชาชนทางเกษตรต่ำลง จนไม่พอเลี้ยงชีวิต ต้องขายตัวเป็นทาสกันชุกชุม และผลสะท้อนก็คือรายได้ของรัฐต่ำลงฮวบฮาบเสมอ ทางเดียวที่รัฐบาลศักดินาจะใช้แก้ไขเพื่อหาเงินก็คือเปิดบ่อนการพนัน เพื่อขูดรีดประชาชนผู้หมดหนทางออกกระเซอะกระเซิงเข้ามาเล่นเบี้ย การเล่นเบี้ยทำให้รัฐบาลแก้ไขการไม่มีงบประมาณเพียงพอไปได้ชั่วระยะหนึ่งๆ แต่ปัญหาขั้นพื้นฐานทางเศรษฐกิจหาได้ดีขึ้นไม่ แต่รัฐบาลศักดินาก็พอใจในการแก้ปัญหาแบบปัดสวะให้พ้นท่าเช่นนั้น ได้เปิดบ่อนเบี้ยขึ้นทั่วประเทศ การขูดรีดจึงเป็นไปอย่างหนักหน่วงและทั่วถึง ตามสถิติใน พ.ศ. 2431 ปรากฏว่ามีบ่อยเบี้ยในกรุงเทพฯ ถึง 403 บ่อน บ่อนใหญ่ 126 บ่อนเล็ก 277 ตั้งอยู่อย่างทั่วถึงทุกตำบล
สถิติ จำนวนบ่อนเบี้ยใน พ.ศ. 2441 ปรากฏว่าในหัวเมืองต่างๆ มีจำนวนบ่อนเบี้ยดังนี้ :
มณฑลกรุงเก่า (อยุธยา) | 71 ตำบล |
มณฑลนครไชยศรี | 18 ตำบล |
มณฑลนครสวรรค์ | 26 ตำบล |
มณฑลพิษณุโลก | 15 ตำบล |
มณฑลปราจีน | 33 ตำบล |
มณฑลนครราชสีมา | 11 ตำบล |
มณฑลจันทบุรี | 26 ตำบล |
มณฑลนครศรีธรรมราช, มณฑลชุมพร, มณฑลราชบุรี, มณฑลภูเก็ต, มณฑลบูรพา (เขมรใน) และมณฑลอุดรหาสถิติไม่ได้
รายได้จากอากรบ่อนเบี้ยตั้งแต่สมัยอยุธยาเห็นจะเป็นจำนวนหลายแสนบาท เพราะเพียงอากรที่มีผู้ขอทำในเมืองราชบุรี, สมุทรสงคราม และสมุทรปราการเพียง 3 เมือง เมื่อ พ.ศ. 2299 ก็ตกเข้าไปถึง 29,680 บาท ต่อปีแล้ว
รายได้จากอากรบ่อนเบี้ยในสมัยรัตนโกสินทร์ตามที่จอห์น ครอเฟิด ทูตอังกฤษจดไว้เมื่อปี พ.ศ. 2365 ว่ามีจำนวน 260,000 บาท.
ในสมัยรัชกาลที่ 3 อากรบ่อนเบี้ยขยับสูงขึ้นเป็น 400,000 บาท พอถึงรัชกาลที่ 4 เพิ่มขึ้นเป็นราว 500,000 บาท ตกถึงรัชกาลที่ 5 อากรบ่อนเบี้ยเพิ่มขึ้นจนเป็นอากรประเภทเงินมากอย่างหนึ่ง แต่ในระยะนั้นรัชกาลที่ 5 ได้ปรับปรุงวิธีการเก็บภาษีอากรให้มีระเบียบได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยขึ้น โดยตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ (2418) จึงคิดหาทางเลิกอากรบ่อนเบี้ย เพราะตระหนักว่าการหมกมุ่นเล่นเบี้ยทำให้ผลประโยชน์ของประเทศทางด้านอื่นเสียหายไปมากมาย ในสมัยนั้นจึงยุบบ่อนเบี้ยลงเรื่อยเป็นระยะๆ จนในที่สุดเหลือเพียง 5 ตำบลในกรุงเทพฯ บ่อนเบี้ยเพียง 5 แห่ง นี้ยังทำเงินให้ถึงปีละ 6,755,276 บาท (พ.ศ. 2459) จนในที่สุดมาเลิกลงเด็ดขาดใน พ.ศ. 2460
อากรหวย ก.ข. อากรหวยเริ่มเมื่อรัชกาลที่ 3 เมื่อ พ.ศ. 2378 สาเหตุที่จะตั้งการเล่นหวย ก.ข. นั้น เนื่องมาจากเกิดเหตุทุพพิกขภัยสองปีซ้อนกันคือ พ.ศ. 2374 น้ำมากข้าวล่ม พ.ศ. 2375 น้ำน้อยข้าวไม่งาม พวกศักดินาพยายามทำพิธีไล่น้ำ (ให้ลด) ก็แล้ว ได้ตั้งพิธีพิรุณศาสตร์ (ขอฝน) ก็แล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล หงายหลังไปทั้งพิธีพุทธ พิธีพราหมณ์ ผลจึงปรากฏว่า “ข้าวแพงต้องซื้อข้าวต่างประเทศเข้ามาจ่ายขาย คนก็ไม่มีเงินจะซื้อข้าวกิน ต้องมารับจ้างทำงานคิดเอาข้าวเป็นค่าจ้าง เจ้าภาษีอากรก็ไม่มีเงินจะส่ง ต้องเอาสินค้าใช้ค่าเงินหลวง ที่สุดจนจีนผูกปี้ก็ไม่มีเงินจะให้ ต้องเข้ามารับทำงานในกรุง” (พระนิพนธ์รัชกาลที่ 4) เมื่อเป็นเช่นนี้รัฐบาลศักดินาก็เดือดร้อน คิดไปคิดมาก็คิดไม่ตกว่า ทำไมเงินไม่มี ทำไมไม่มีเงินเข้าคลัง ชักสงสัยว่า “เงินตราบัว เงินตราครุฑ เงินตราปราสาทได้ทำใช้ออกไปก็มากหายไปเสียหมด” รัฐบาลศักดินาลืมนึกไปว่า ปรกติชาวนาปลูกข้าว เอาข้าวมาขายได้เงินไปใช้ชั่วปีหนึ่งๆ บางทีหรือส่วนมากมักไม่พอใช้ เมื่อตัวเองทำข้าวไม่ได้ จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อข้าวกิน มีทางเดียวก็คือทิ้งที่นามารับจ้างทำงานในกรุง ทุกคนเข้ามาแต่มือ หิ้วท้องมาด้วยท้องหนึ่ง เวลารับจ้างก็ขอค่าจ้างเป็นข้าว ไม่รับค่าจ้างเป็นเงิน ทั้งนี้เพราะข้าวหายาก แพง ซื้อยาก พอดีพอร้ายได้เงินไปแล้ว เงินก็ไม่มีค่าหาซื้อข้าวไม่ได้ หรือได้ก็แพงเสียจนซื้อได้ไม่พอกิน เงินที่หายไปก็อยู่ที่พวกพ่อค้าข้าว ที่ซื้อข้าวเข้ามาขายกักตุนไว้อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็ไหลออกไปนอกประเทศเพราะซื้อข้าวเขากิน แล้วจะให้ประชาชนเอาเงินมาจากไหน?
รัฐบาลศักดินาเดือดร้อนเรื่องเงินไม่เข้าคลังมาก แต่แทนที่จะช่วยเหลือให้ชาวนาผลิต สิ่งที่มีคุณค่า (คือข้าว) ออกมา จะได้มีเงินใช้ทั่วกันทั้งชาวนาและตัวเอง รัฐบาลศักดินากลับมองหาทางหมุนเงิน คือคิดสะระตะว่าทำยังไงจึงจะดึงเอาเงินในมือพวกพ่อค้ามั่งคั่งมาใช้ได้หนอ ที่จริงรัฐบาลศักดินาคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าเงินตกอยู่ในมือของพ่อค้าหมุนเงินสองสามคน ไพล่ไปคิดว่า “เงินนั้นตกไปอยู่ที่ราษฎรเก็บฝังดินไว้มากไม่เอาออกใช้” คือกลับเห็นไปว่าราษฎรยักเงินเอาเงินฝังดินไม่ยอมขุดขึ้นมาซื้อข้าวกิน ยอมตายเพราะเสียดายเงิน
เมื่อคิดเห็นไปเช่นนี้ก็ตั้งหวย ก.ข. ขึ้น ในปีแรกได้อากร 20,000 บาท พวกประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยากก็หันเหเข้าหาอาจารย์บอกใบ้ให้หวยหวังรวยกันยกใหญ่ แทงหวยกันทุกวันคนละเฟื้องคนละสลึง แทงทุกวัน ยิ่งเล่นประชาชนก็ยิ่งจนลงทุกวัน ผู้ผูกขาดภาษีกับรัฐบาลก็รวยขึ้นเท่าๆ กับที่ประชาชนจนลง อลัชชีฉวยโอกาสก็มอมเมาเป่าเศกบอกหวยเสียจนประชาชนงอมพระรามไปตามๆ กัน การเล่นหวยระบาดไปจนเสียกระทั่ง พอถึงเดือน 11 ขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ มีคนเข้ามากรุงเทพฯ มากมายหลายร้อยหลายพัน มาทั้งทางรถไฟและทางเรือ ถึงเพลาค่ำลงคนแน่นท้องถนน ตั้งแต่หน้าโรงหวยสามยอดไปจนในถนนเจริญกรุงทุกปี”
รัฐบาลศักดินาได้รายได้จากการเก็บอากรหวย ก.ข. นี้เป็นจำนวนมากมายทุกปี ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ปีละราว 200,000 บาท ในรัชกาลที่ 5 เงินอากรหวยและอากรบ่อนเบี้ยรวมกันได้ถึงปี ละ 9,170,635 บาท ภายหลังแม้จะเลิกบ่อนเบี้ยไปมากแล้ว อากรทั้ง 2 อย่างก็ยังรวมกันเป็นจำนวนถึง 6,600,000 บาท (พ.ศ. 2458) เฉพาะอากรหวยอย่างเดียวในปีท้ายสุดก่อนเลิกยังได้ถึง 3,420,000 บาท (หวย ก.ข. เลิก พ.ศ. 2459)
นอกจากภาษีอากรที่กล่าวมาแล้ว ยังมีอากรใหญ่น้อยอีกหลายสิบอย่าง มีรายการยืดยาว เป็นต้นว่า ภาษีกะทะ, ภาษีไต้ชัน, ภาษีพริกไทย, ภาษีเขาควาย ฯลฯ ขอสรุปว่าในรัชกาลที่ 3 มีภาษีตั้งใหม่ทั้งสิ้น 38 อย่าง ถึงรัชกาลที่ 4 มีเพิ่มขึ้นอีกเป็น 52 อย่าง (ผู้สนใจเชิญดูรายละเอียดใน ‘ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ 16 ตำนานภาษีอากรบางอย่าง’ ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ)
การผูกขาดภาษี
การเก็บอากรต่างๆ ก็ดี การเก็บจังกอบจากสินค้าก็ดี ในสมัยหลังๆ นี้ ได้เริ่มมีการผูกขาดกันขึ้น ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างชนชั้นศักดินา ผู้ทำการผูกขาดการค้าภายนอก กับ ชนชั้นกลาง (ซึ่งกำลังเติบโต) ผู้ทำการผูกขาดการค้าภายใน การขูดรีดจึงได้งอกเงยจากการขูดรีดภาษีเพียงชั้นเดียวจากชนชั้นศักดินา กลายมาเป็นการขูดรีดสองชั้น โดยการร่วมมือของชนชั้นกลาง
การผูกขาดภาษีนี้ ทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากเพราะมิได้จำกัดวงอยู่แต่เพียงอย่างสองอย่าง หลังจากรัชกาลที่ 3 ลงมาเกิดการผูกขาดภาษีขึ้นมากมายหลายประเภท รัชกาลที่ 3 กำลังตั้งหน้าตั้งตาสร้างวัดวาอารามอย่างขนานใหญ่ เงินทองกำลังเป็นสิ่งที่ต้องการ จึงได้ยอมรับข้อเสนอและเงื่อนไขในการผูกขาดภาษีของพวกชนชั้นกลางอย่างดีอกดีใจเสมอมา พวกชนชั้นกลางหรือนักผูกขาดก็คอยจ้อง พอเห็นของชนิดใดเกิดมีขึ้นพอจะเป็นสินค้าซื้อขายกันได้ พวกนักผูกขาดพวกนี้ก็จะพากันเดินเรื่องราวเข้าเส้นนอกออกเส้นใน ขอผูกขาดเก็บภาษีส่งหลวงโดยตั้งราคาให้ปีละเท่านั้นเท่านี้ ยิ่งกว่านั้นพวกเดินเรื่องขอผูกขาดนี้จะต้องจับเส้นถูกว่าใครบ้างกำลังมีอำนาจ ใครบ้างที่กำลังเป็นเสือนอนกิน เมื่อสืบรู้ได้แล้วก็จะเสนอเงื่อนไขที่แบ่งผลประโยชน์ให้แก่ผู้ยิ่งใหญ่ เสือนอนกินทุกคนอย่างทั่วถึงมากบ้างน้อยบ้างตามขนาดของอิทธิพล (ดังที่ได้เล่ามาแล้วในตอนที่ว่าด้วยอากรค่าน้ำ) เมื่อทางฝ่ายศักดินาอนุญาตยอมรับเงื่อนไขผลประโยชน์ เจ้าภาษีก็แต่งตั้งนายอากรขึ้นทำการเก็บภาษี ส่วนที่จัดเก็บอยู่แล้วเมื่อต้องแย่งกันประมูลส่งเงินหลวงเป็นจำนวนมาก ก็หาทางเก็บนอกเหนือพิกัดอัตราที่กำหนดไว้ และบังคับปรับไหมลงเอาแก่ราษฎร เกิดเป็นถ้อยความวิวาทชกตีและทุ่มเถียงกันเป็นคดีขึ้นโรงศาลอยู่บ่อยๆ เช่น ผูกอากรค่าน้ำ ก็ส่งคนไปเก็บตามครัวเรือนเมื่อมีเครื่องดักสัตว์จับปลา ก็เรียกเก็บภาษีเอาจากเครื่องเหล่านั้น เพียงเท่านี้ก็พอทำเนา เพราะเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในตราตั้ง แต่ที่เรียกเก็บเอาจากครัวเรือน ซึ่งไม่มีเครื่องดักจับสัตว์น้ำนี้เต็มที โดยออกอุบายว่า ถึงไม่ได้จับสัตว์น้ำ แต่ก็กินน้ำด้วยหรือเปล่า ถ้าตอบว่ากินก็ว่าแม่น้ำลำคลองเป็นของหลวง เมื่อกินน้ำก็ต้องเสียค่าน้ำ บอกอยู่ในตัวแล้วว่าเป็น “ค่าน้ำ” ราษฎรที่ไม่รู้อะไรก็ยอมเสียให้ไป
เล่ห์เหลี่ยมการขูดรีดของพวกนายหน้าผูกขาดนี้ยังมีอีกมากมายหลายวิธี เช่น รับผูกขาดภาษีกล้วย ว่าจะเก็บอากรเป็นกอแต่เวลาไปเก็บจริง เก็บดะทั้งที่เป็นต้นเดี่ยวยังไม่แตกหน่อออกกอ พอเจ้าของไร่กล้วยร้องค้าน ก็อ่านข้อความตราตั้งให้ฟังว่าเก็บเป็นรายต้น เมื่อพบคนอ่านหนังสือออกเข้าก็มีเรื่องกันเสียที เมื่อถึงคราวเคราะห์เจ้าภาษีก็ยกอากรให้เป็นค่าปิดปากจะได้เงียบไปเสีย
การผูกขาดภาษีนี้ ต่อมากลายเป็นการเซ็งลี้สิทธิ์ตราตั้งกันเป็นล่ำเป็นสัน กล่าวคือ “เจ้าภาษีรับทำภาษีแล้วขายช่วงให้ผู้อื่นเป็นตอนๆ ไป ตามระยะแขวงหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือ และผู้ที่ซื้อช่วงไปนั้นหาเรียกภาษีตามพิกัดท้องตราไม่ ไปยักย้ายเรียกให้เหลือๆ เกินๆ เอารัดเอาเปรียบแก่ราษฎร ราษฎรที่ไม่ได้รู้พิกัดในท้องตราก็ยอมเสียให้ตามใจผู้เก็บที่รับช่วงไปจากเจ้าภาษีใหญ่” (ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 ภาค 7 น.92) ว่าดังนั้นแล้วรัฐบาลศักดินาก็พิมพ์พิกัดอัตราภาษีแจกเป็นการใหญ่ เพื่อกันมิให้เจ้าภาษีนายอากรเก็บภาษีเกินพิกัด ทั้งนี้คงจะลืมนึกไปว่าต้นเหตุใหญ่นั้นมันอยู่ที่ระบบผูกขาดภาษีนั่นต่างหาก แต่อย่างไรก็ดีการพิมพ์พิกัดแจกนั้นศักดินาถือว่าเป็นการแสดงให้เห็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นอย่างหนึ่ง แต่ใครจะเชื่อได้สักกี่คน เพราะมีความจริงอีกอันหนึ่งปรากฏอยู่ คือ :
ในการเก็บภาษีนั้น เจ้าภาษีต่างก็หวังจะให้ได้กำไรมาก จึงใช้อำนาจเกาะกุมเอาตามอำเภอใจ มักเป็นถ้อยเป็นความกับประชาชนผู้ฉลาดรู้เท่าทันหรือผู้ไม่มีเงินจะเสียเนืองๆ พอเป็นความเข้า เจ้าภาษีนายอากรก็ต้องไปศาล ว่าความของตน ทั้งนี้ เพราะในสมัยก่อนนั้น ประชาชนธรรมดาจะแต่งทนายว่าความแทนตัวไม่ได้ ต้องเป็นขุนนางมียศชั้นขุนถือศักดินา 400 ไร่ขึ้นไป จึงจะให้ทนายว่าความแทนตัวได้ พวกศักดินาหากินอยู่กับนายหน้าผูกขาดเหล่านี้ จึงต้องเอาใจใส่ช่วยเหลือดูแลผลประโยชน์ให้ เพราะทั้งคู่มีผลประโยชน์ร่วมกันนั่นก็คือใครที่ผูกขาดภาษี จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนถือศักดินา 400 ไร่
เจ้าภาษีกลายเป็น “นายทุนนายหน้าผูกขาด” (monopoly comprador capitalist) ที่อาศัยอำนาจของชนชั้นศักดินาหากินขูดรีดประชาชน ขอยกตัวอย่างด้วยภาษีน้ำมันมะพร้าว
โดยปกติราคามะพร้าวตกอยู่ในราว 100 ละ 50 สตางค์ (สองสลึง) หรือถูกหน่อยก็ 37 สตางค์ (สลึงเฟื้อง) เจ้าภาษีขอผูกขาดรับซื้อมะพร้าวแต่ผู้เดียวโดยเข้าถึงสวน ให้ราคา 100 ละ 62 สตางค์ (สองสลึงเฟื้อง) ฟังดูแค่นี้ก็ทำท่าจะดีมีประโยชน์แก่เจ้าของสวนมะพร้าว เพราะขายได้ราคา แต่เรื่องมันไม่เป็นเช่นนั้น พวกเจ้าภาษีพอไปซื้อมะพร้าวในสวนเข้าจริงๆ ก็ซื้อถูกๆ ให้ราคาไม่ถึงอัตราที่สัญญาไว้กับกษัตริย์ ซ้ำยังเกณฑ์เอามะพร้าวแถมอีกร้อยละ 20-30 ผล ครั้นประชาชนขัดขืนไม่ขาย ก็มีผิดฐานขัดขืนเจ้าภาษี เจ้าภาษีก็ “เที่ยวจับปรับไหมลงเอาเงินกับราษฎร โดยเอาความเท็จบ้างจริงบ้าง ราษฎรได้รับความเดือดร้อนต่างๆ” (ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 ภาค 3)
บทบาทที่เจ้าภาษีจะเป็นนายหน้าผูกขาดใหญ่ก็คือ เมื่ออาละวาดซื้อมะพร้าวมาได้ในอัตราร้อยละ 62 สตางค์แล้ว (ซึ่งที่จริงไม่ถึงดังที่กล่าวมา) ก็เอามาขายส่งให้ผู้ที่จะทำน้ำมันมะพร้าว โดยขายเอากำไรเท่าตัว คือขายให้ร้อยละ 1.25 บาท (ห้าสลึง) พวกพ่อค้าน้ำมันมะพร้าวก็ยอมรับซื้อโดยดี เพราะถ้าไม่ซื้อจากเจ้าภาษีผู้ผูกขาดก็ไม่รู้จะไปซื้อที่ใคร ที่ยอมซื้อแพงหูฉี่ก็เนื่อง “ด้วยน้ำมันมะพร้าวเป็นสินค้าใหญ่บรรทุกไปขายต่างประเทศมีกำไรมาก” (ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 ภาค 3 ฉบับเดียวกับข้างต้น) คราวนี้ในฝ่ายพวกประชาชนที่ต้องซื้อน้ำมันมะพร้าวใช้ก็ต้องซื้อแพงหูฉี่ เพราะเจ้าภาษีทำเอามะพร้าวแพงขึ้นไปตั้งเท่าตัวมาเสียตั้งแต่ในสวน พวกนี้บ่นไปก็มีแต่คนสมน้ำหน้าที่มันขี้เกียจไม่รู้จักปลูกมะพร้าวทำน้ำมันใช้เอง แต่ขืนไปเคี่ยวน้ำมันมะพร้าวเองก็ถูกเจ้าภาษีปรับถึง 500 บาท! ส่วนในหลวงท่านก็ขออภิสิทธิ์ให้สงวนน้ำมันไว้เป็นส่วยส่งขึ้นไปใช้ในราชการคือ ตามไฟวัดพระแก้วและแจกไปให้วัดต่างๆ ฯลฯ ท่านไม่เดือดร้อน ผู้เดือดร้อนก็คือมหาชนตามเคย, ทำน้ำมันเองไม่ได้ ต้องซื้อเขาใช้แพงลิบตลอดชาติ
ความเดือดร้อนในเรื่องมะพร้าวนี้ระอุไปทั่วเมือง จนในที่สุด รัชกาลที่ 4 จึงต้องเลิกการผูกขาดภาษีมะพร้าว เมื่อ พ.ศ. 2399 ใช้วิธีเก็บใหม่คือ เรียกอากรสามต้นสลึง มะพร้าวต้นหนึ่งได้ผลประมาณ 30 ผล (ไม่ดก) ไปจนถึง 80 ผล (คราวดก) เป็นอย่างสูง คำนวณแล้วโดยเฉลี่ยเจ้าของสวนมะพร้าวต้องเสียภาษีร้อยละ 25
ในตอนท้าย เมื่อรัชกาลที่ 4 ได้ตั้งภาษีอากรขึ้นใหม่ถึง 14 อย่างแล้ว จึงได้เลิกภาษีมะพร้าวโดยเด็ดขาด เพื่อล้างมลทินที่ได้ทำให้ประชาชนอึดอัดมาแต่ก่อน
การผูกขาดภาษีแบบเป็นนายทุนผูกขาดสินค้านี้ ได้ทำกันอย่างทั่วถึง แม้กระทั่งภาษีผักบุ้งซึ่งเป็นเรื่องขำน่ารู้ ดังจะขอเล่าแทรกไว้ในที่นี้ด้วย
ภาษีผักบุ้ง เป็นภาษีที่เกิดขึ้นในสมัยปลายอยุธยารัชกาลพระเจ้าเอกทัศ ในรัชกาลนี้บ้านเมืองกำลังเหลวแหลกเต็มที พวกชนชั้นศักดินามัวแต่ ‘ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา’ ตัวพระเจ้าเอกทัศเองก็ดื่มเหล้าพระเศียรราน้ำ ซ้ำยังเที่ยวส้องเสพผู้หญิงซุกซนจนเกิดโรคบุรุษ พระเนตรบอดไปข้างหนึ่ง เมื่อใช้เงินทองกันอย่างฟุ่มเฟือย ก็ต้องเร่งภาษีเป็นธรรมดา ในที่สุดก็หันมาลงเอยเอาที่ผักบุ้ง ทั้งนี้เพราะประชาชนยากจนกินแต่ผักบุ้งเป็นแดน ภาษีนี้นายสังมหาดเล็กชาวบ้านคูจามเป็นผู้ผูกขาด นายสังผู้นี้เป็นน้องชายของเจ้าจอมทัพพระสนมเอก ซ้ำน้องสาวของหมออีกคนชื่อปานก็ได้เป็นพระสนมด้วย เมื่อมีพี่สาวน้องสาวเป็นพระสนมปิดหัวปิดท้ายเช่นนี้ นายสังก็ผูกขาดรับซื้อผักบุ้งแต่ผู้เดียว ใครมีผักบุ้งจะต้องนำมาขายให้นายสังเจ้าภาษี ถ้าลักลอบไปขายผู้อื่นต้องปรับ 20 บาท นายสังกดราคาซื้อไว้เสียต่ำสุด แล้วนำไปขายราคาแพงลิ่วในท้องตลาด เมื่อประชาชนโดนฝีมือนายทุนนายหน้าผูกขาดเข้าเช่นนี้ ก็พากันเดือดร้อน เพราะเดิมทีก็เดือดร้อนมากอยู่แล้วจนถึงกับต้องหนีมากินผักบุ้ง ครั้นจะหนีไปกินหญ้าเหมือนวัวควายก็กินไม่ได้ พากันร้องทุกข์ขุนนางผู้ใหญ่ พวกขุนนางผู้ใหญ่ต่างคนก็กลัวคอจะหลุดจากบ่า ต่างคนต่างก็อุบเอาเรื่องไว้
จนวันหนึ่ง พระเจ้าเอกทัศนอนไม่หลับไม่สบายมาหลายวัน จึงให้หาละครมาเล่นแก้รำคาญ ในคณะละครนั้นมีศิลปินของประชาชนได้พยายามแทรกปะปนเข้าไปด้วย 2 คน คือ นายมี กับ “นายแทน” จำอวด ทั้งสองคนเล่นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งผู้ชายคนหนึ่ง เล่นจับมัดกันเร่งจะเอาเงินค่าราชการ (เงินเก็บกินเปล่ารายปี ๆ ละ 18 บาท) นายมีตัวจำอวดหญิงจึงแกล้งร้องว่า “จะเอาเงินมาแต่ไหน จนจะตาย แต่เก็บผักบุ้งขายยังมีภาษี” แกล้งร้องอยู่ถึงสามหนพระเจ้าเอกทัศได้ทรงฟังเข้าก็เกิดละอายพระทัยเพราะอยู่ต่อหน้าธารกำนัล เลยพาลพะโลจะประหารนายสัง แต่เมื่อนึกถึงพี่สาวน้องสาวนายสังที่เป็นสนมเอกทั้งคู่ ก็ค่อยคลายพิโรธ สั่งเลิกภาษี และชำระเงินที่นายสังกดขี่ปรับเอามานั้นคืนแก่เจ้าของไป
การผูกขาดภาษี ทั้งในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ส่วนมากชาวจีนเป็นผู้ผูกขาดแทบทั้งสิ้น เมื่อผูกขาดแล้วก็ได้รับแต่งตั้งเป็นหมื่นเป็นขุนให้มีศักดินา 400 สำหรับจะได้มีอภิสิทธิแต่งทนายว่าความกับไพร่ที่ไม่มีปัญญาเสียภาษีแทนตัวเองได้ การเรียกขานเจ้าภาษี จึงมักมีคำว่าจีนนำหน้า เช่น จีนขุนพัฒนสมบัติ ผูกขาดอากรบ่อนเบี้ย, จีนพระศรีชัยบาน ผูกขาดภาษีค่าน้ำ, จีนหมื่นมธุรสวาณิช ผูกขาดภาษีน้ำตาลกรวด, จีนขุนศรีสมบัติ ผูกขาดภาษีเบ็ดเสร็จ (เก็บจากของลงสำเภา-นี่เป็นก้าวใหม่ คือ ผูกขาดจังกอบ)
โดยธาตุแท้แล้ว จีนผู้ผูกขาดภาษีเหล่านี้ ก็คือ นายหน้า ของศักดินาที่ออกทำการเสาะแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ศักดินา และทำการขูดรีดแทนศักดินา และในขณะเดียวกันนั้นก็ได้ ผูกขาด เพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกตนเองอีกด้วย สภาพของจีนพวกนี้จึงเป็น นายทุนนายหน้าผูกขาด ของ ศักดินาหรือนายทุนขุนนางผูกขาด หน้าที่ของเขาก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับพวก นายทุนนายหน้า (Comprador Capitalist) หรือ นายทุนขุนนางกึ่งนายหน้า (Bureaucrat comprador Capitalist) ที่เป็นตัวแทน หรือสมุนของ นายทุนจักรพรรดินิยม ในปัจจุบัน
การขูดรีดอย่างหนักหน่วงของชนชั้นศักดินา ทำให้พวกศักดินาเองเริ่มหวั่นหวาดว่า สักวันหนึ่งประชาชนจะมองเห็นความจริงว่า ผู้ขูดรีดที่แท้จริง หรือต้นตอของการขูดรีดก็คือพวกตน ความหวาดหวั่นนี้ ทำให้พวกศักดินาเริ่มหาทางบิดเบนสายตาของประชาชน นั่นก็คือ คอยออกประกาศเป็นห่วงประชาชน คอยเตือนประชาชนเรื่อยไปว่าระวังนะอย่าเสียภาษีเกินพิกัด ไอ้พวกเจ๊กเจ้าภาษีน่ะมันขี้โกงเอาเปรียบราษฎรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอให้ราษฎรคอยระวัง นี่คราวนี้ได้พิมพ์พิกัดภาษีอันถูกต้องตามต้นฉบับหลวงมาแจกให้แล้ว พวกเจ้าจงดูจงจำกันเสีย จะได้ไม่เสียเปรียบไอ้พวกเจ๊กหางเปียมัน หรือไม่เช่นนั้นก็จะออกประกาศนานๆ ครั้ง นานๆ คราวว่า แน่ะเดี๋ยวนี้ไอ้เจ๊กคนนี้มันมาขอทำภาษีพลูอีกอย่างหนึ่งแล้ว ในหลวงเห็นว่าราษฎรจะเดือดร้อนจึงไม่อนุญาต ไอ้พวกนี้มันดีแต่จะขูดรีดเอาเปรียบจะเก็บแต่ภาษี ขอห้ามขาดว่าทีหลังอย่าได้มาร้องขออนุญาตทำภาษีพลูทีเดียวนะ (ประกาศห้ามมิให้ขอทำภาษีพลู รัชกาลที่ 4)
ประชาชนถูกรีดทั้งภาษีอากร จังกอบ ส่วน ฤชา จนอานอยู่แล้ว นึกเจ็บใจแต่วาสนาตัวเองมาก็นานเต็มที มาในคราวนี้มีผู้อื่นเอาตัวที่เขาจะได้สาปแช่งได้มาให้เห็นเป็นตัวเป็นตน พวกเขาก็รับเอาไว้ทันที แล้วมันก็สมจริงเสียด้วย ไอ้เจ๊กนี่เทียวที่มันขูดรีด ดูซิวานนี้บอกว่าไม่มีเงินเสียภาษี วันนี้มันเอาหมายมาเกาะตัวแล้ว ไอ้หมอนี่ทารุณนัก ใครๆ ก็คิดกันเช่นนี้จนเกิดคติขึ้นทั่วไปว่า พวกเจ๊กทั้งพวกขูดรีดคนไทย ทุกคนต้องเกลียดมัน เจ็บใจมัน ประชาชนในสมัยศักดินา ถูกศักดินามอมเมาเสียจนมองไม่เห็นว่าอันที่จริงแล้ว พวกเจ๊ก ที่เขาด่าแม่นั้นเป็นเพียง นายหน้า ของศักดินาเท่านั้น ไอ้ตัวหัวเหม่งสำคัญนั้นคือศักดินาต่างหาก
พวกศักดินามอมเมาให้คนไทยเกลียด “เจ๊ก” มาแต่โบรมโบราณเต็มที พวกกวีก็พลอยเกลียดชังจีนไปด้วยถึงกับเขียนไว้ว่า :
“ถึงโรงเจ้าภาษีตีฆ้องดัง | ตัวโผนั่งแจ่มแจ้งด้วยแสงเทียน |
ไว้หางเปียเมียสาวขาวสล้าง | เป็นจีนต่างเมืองมาแต่พาเหียร |
ที่ความรู้สิ่งไรมิได้เรียน | ยังพากเพียรมาได้ถึงใหญ่โต |
เห็นดีแต่วิชาขาหมูใหญ่ | เราเป็นไทยนึกมาน่าโมโห |
มิได้ทำอากรบ่อนโป | มาอดโซสู้กรรมทำกะไร” |
(นิราศพระปฐม ของมหาฤกษ์)
นั่นคือเลือดรักชาติไทยชักจะเดือดปุดๆ นี่คือเลือดรักชาติแบบศักดินา และในสมัยต่อมาได้กลายมาเป็น “ชาตินิยมกฎุมพี” (Bourgeois nationalism)
พวกศักดินาได้โฆษณาให้เกลียดชังจีนนี้อย่างหนักหน่วงขึ้นทุกวัน ทั้งนี้เพื่อบิดเบนสายตาของประชาชนไปเสียจากตน พวกนี้ไม่ทำอะไรมากไปกว่าชักชวนประชาชนไทยให้เจ็บใจคนจีน ดูซิมันกำเอาการค้าไว้หมดแล้ว พวกเรานับวันจะอดตาย แต่แล้วก็ไม่เห็นทำอะไรนอกจากหลอกลวงให้ประชาชนด่า “เจ๊ก” ไปชั่ววันๆ
รัชกาลที่ 5 เคยแสดงความแค้นใจเช่นนี้ไว้ว่า :
“พิเคราะห์ดูคนไทยตามเสียงเล่าฤๅ มันเหมือนพวกลาวเมืองหลวงพระบางเจ๊กนี้คือข่า ถ้าไม่ได้อาศัยข่าก็ไม่มีอะไรกิน ข่าขัดขึ้นมาครั้งไรก็ตกใจเหลือเกินไปหวั่นหวาดย่อท้อให้พวกเจ๊กได้ใจ...น่าน้อยใจจริงๆ”
ถึงสมัย ร.6 เมื่อกลิ่นอายของประชาธิปไตย กรุ่นขึ้นทั่วไป ร.6 ก็พยายามระดมให้ประชาชนหันไปเกลียดคนจีนมากขึ้น ชี้ให้ประชาชนเห็นว่าที่ต้องลำบากยากแค้นทุกวันนี้ เป็นเพราะคนจีนในเมืองไทยไม่ใช่เพราะระบบศักดินา การแก้ไขมิใช่อยู่ที่เปลี่ยนจากศักดินาเป็นประชาธิปไตยดอก หากอยู่ที่ช่วยกันบ้อมพวกจีน แล้วต่างคนก็ต่างนอนกระดิกตีนเกลียดจีนอยู่บนเตียง! บทบาทของ ร.6 ในการรณรงค์เพื่อบิดเบนสายตาและมอมเมาประชาชนก็คือบทความเรื่อง “ยิวแห่งบูรพทิศ” และ “เมืองไทยจงตื่นเถิด” ที่เขียนออกมาในนามปากกา “อัศวพาหุ”
แต่อย่างไรก็ดี เราต้องขอคารวะต่อความคิดอันแยบคายของศักดินา เล่ห์กลมนต์คาถา ที่เขาใช้ศักดิ์สิทธิ์ได้ผลจริงน่าพึงใจ ประชาชนหันมาเกลียด “เจ๊ก” กันพักใหญ่ ทรากเดนแห่งความคิดที่ศักดินาสอดใส่ไว้ในนี้ ยังได้มาปรากฏอีกครั้งหนึ่ง โดยการรณรงค์ของพวกขุนศึกฟัสซิสต์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีประชาชนจำนวนมากจำนวนหนึ่ง ยังมีใจมั่นคง และมีทรรศนะอันยาวไกลและถูกต้อง เขายังมองฝ่าเมฆหมอกของการมอมเมาออกไปได้ เขามองเห็นว่าเจ้าภาษีคือนายหน้าตัวแทนของศักดินาผู้เป็นตัวการใหญ่ ความเดือดร้อนในเมืองไทยมิได้มาจากพวกชาวจีน หากมันมาจากความร่วมมือระหว่างศักดินากับนายทุนนายหน้าผูกขาด!
ถึงแม้ประชาชนจะขับไล่ชาวจีนผู้ผูกขาดภาษีออกไปได้หมดสิ้นไม่หลงเหลือในเมืองไทย ก็ใช่ว่าชาวไทยทุกคนจะพ้นจากการขูดรีดภาษีโดยวิธีผูกขาด ตราบใดที่ระบบผูกขาดภาษีของศักดินายังคงอยู่ การขูดรีดแบบนี้ก็ยังคงมีต่อไปตราบนั้น แม้จะไม่มีชาวจีนผูกขาด ชาวไทยก็ผูกขาดได้ แม้พวกชนชั้นศักดินาเองก็ผูกขาดทำได้ เช่นเมืองสงขลา อากรรังนก กุ้งแห้ง พระยาสงขลารับผูกขาดเอง เมืองนครศรีธรรมราช พระยานครรับผูกขาด บางเมืองเก็บเป็นของหลวงโดยตรง เช่น ฝ้ายเม็ด ฝ้ายขด เมืองปราณบุรี กรมการเมือง เป็นผู้เก็บให้หลวงโดยได้รับค่าส่วนลด ลองได้ทำการผูกขาดภาษีเช่นนี้แล้ว ถึงจะเป็นไทย เป็นลาว เป็นมอญ เป็นเขมร เป็นฝรั่งตาน้ำข้าวจัดทำผูกขาด มันก็เดือดร้อนเหมือนกันทั้งนั้น ความเดือดร้อนมิได้มาจาก ชาวจีน ชาวจีนก็คงมีสภาพเป็นคนธรรมดาไม่มีพิษอยู่ในตัวเหมือนงูเห่า ที่มันมีพิษนั้นคือระบบผูกขาดภาษีของชนชั้นศักดินาต่างหาก! ซึ่งความจริงข้อนี้ไม่ใช่หรือที่ศักดินาพยายามปิดบังไว้!
นี่คือเล่ห์กลของศักดินาที่จะบิดเบนสายตาของประชาชนจากการเกลียดชังระบบผลิตของตน ไปเป็นการเกลียดชังเชื้อชาติ
การขูดรีด หรือนัยหนึ่งการแสวงหาผลประโยชน์ของศักดินาโดยการยึดถือกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตไว้แต่ผู้เดียวตามที่กล่าวมาแล้ว คือในด้านภาษีอากรทั้งมวลนี้ อาจมีความฉงนฉงายกันอยู่บ้างว่าในทุกรัฐ แม้ในรัฐสังคมนิยมก็ย่อมมีภาษีอากรด้วยกันทั้งสิ้น ทำไมจึงจะมาระบุเอาว่าภาษีอากรของศักดินาเป็นการขูดรีด ความสงสัยข้อนี้อาจจะขจัดให้หายไปได้ โดยคำนึงถึงปัญหาขั้นพื้นฐานว่าใครเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในปัจจัยแห่งการผลิต ในระบบศักดินานี้ชนชั้นศักดินาเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในปัจจัยแห่งการผลิต กล่าวคือที่ดิน เมื่อได้ถือกรรมสิทธิ์ไว้แล้ว ก็มีอิทธิพลพอที่จะเสวยอำนาจทางการเมือง เรียกเก็บภาษีที่ดินเอาตามความพอใจ ภาษีที่ดิน เป็นหมวดภาษีใหญ่ที่รวมเอาภาษีค่านา, ภาษีสวน, ภาษีสมพัตสร, ภาษีนาเกลือ, ภาษีเรือนโรงร้าน (อากรตลาด) และภาษีเบ็ดเตล็ดอื่นๆ เข้าไว้ด้วยอีกมาก, ถัดจากภาษีที่ดินก็ได้แก่ ส่วย หรือ รัชชูปการ ซึ่งเป็นการเรียกเก็บกินเปล่าโดยชนชั้นศักดินา นอกจากนั้นก็จัดเป็นพวกภาษีเบ็ดเตล็ด เป็นต้นว่า ภาษีสุรา, อากรค่าน้ำ ฯลฯ เมื่อชนชั้นศักดินาเป็นผู้เก็บภาษีทั้งมวลเช่นนี้ เงินที่ได้ก็ย่อมตกไปเป็นสิ่งบำรุงบำเรอชนชั้นศักดินา ปล่อยให้ประชาชนเสวยเคราะห์กรรมไปตามเพลง เมื่อเป็นเช่นนี้การเก็บภาษีอากรของศักดินา จึงเป็นการขูดรีดอันมโหฬารอย่างสำคัญ (โดยเฉพาะที่ดิน) ภาษีในสังคมทุนนิยมก็เป็นการขูดรีดของชนชั้นนายทุนเช่นกัน มีเพียงภาษีในสังคมระบบสังคมนิยมที่ประชาชนผู้ถือกรรมสิทธิ์ในปัจจัยแห่งการผลิตร่วมกันเท่านั้นที่มิได้เป็นการขูดรีด ทั้งนี้เมื่อประชาชนถือกรรมสิทธิ์ในปัจจัยแห่งการผลิตร่วมกัน เขาย่อมถืออำนาจทางการเมืองร่วมกันด้วย และแน่นอนภาษีอากรต่างๆ ย่อมเป็นสิ่งที่บำรุงความสุขสบาย และสภาพชีวิตอันสมบูรณ์ของพวกเขาทั้งมวล ๏
-
๑. “พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแถลงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดิน” ฉบับรัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าให้พิมพ์, โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร พ.ศ. 2470 หน้า 10-11 ↩
-
๒. คือตำแหน่งเดียวกับเจ้าแม่ศรีสุดาจันทร์ที่เป็นชู้กับขุนวรวงศาธิราช ↩
-
๓. คือตำแหน่งเดียวกับที่ศรีปราชญ์ไปหลงรักจนถูกเนรเทศ ↩
-
๔. ดู พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2, กรมดำรงฯ หน้า 270 ↩
-
๕. “คำอธิบายเรื่องพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา”, สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ, หน้า 463 ↩
-
๖. “ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ", สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ, หน้า 33 ↩
-
๗. “เทศาภิบาล” สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ, สำนักพิมพ์คลังวิทยา, 2495 หน้า 25 ↩
-
๘. ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 ภาค 2 ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ, โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2465 หน้า 2-3 ↩
-
๙. “ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ”, ของกรมพระยาดำรงฯ, หน้า 42 และ “เทศาภิบาล” ของผู้เขียนคนเดียวกัน หน้า 51-52 ↩
-
๑๐. ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 ภาค 5 โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2466 หน้า 135-136 ↩
-
๑๑. “พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2” สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ฉบับกรมศิลปากรพิมพ์ พ.ศ. 2498 หน้า 119-120 ↩
-
๑๒. Conquistador เป็นภาษาสเปนแปลว่าผู้พิชิต เป็นคำเรียกผู้พิชิตชาวสเปญที่ปล้นสดมภ์แย่งชิงที่ดินจากชาวอินเดียนแดงในเม็กซิโก, เปรู ในสมัยคริสตศตวรรษที่ 16 ↩
-
๑๓. William Z. Foster, Outline Political History of the America, p.16 ↩
-
๑๔. Economic Change in Thailand Since 1850, James C. Ingram, Stanford University Press, California, 1954, P.7 ↩
-
๑๕. “เค้าโครงเศรษฐกิจ” โดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรม, สำนักพิมพ์ ศ. ศิลปานนท์, 2491 หน้า 18 ↩
-
๑๖. คัดจากพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 5 ↩
-
๑๗. ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช The Social Order of Ancient Thailand (ระเบียบสังคมของไทยในสมัยโบราณ), Thought and Word, Vol. 1 No. 2, Feb 1955, pp 12-13 ↩
-
๑๘. รายงานการประชุมผู้ว่าราชการจังหวัด พ.ศ. 2497 เล่ม 3 หน้า 113 ↩
-
๑๙. ดูประชุมจารึกสยามภาค 2 ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ อ่านและแปล ↩
-
๒๐. ตัวเลข คัดจากศิลาจารึกในเทวสถานพระขัน เหนือเมืองนครธมในประเทศเขมร ดูรายละเอียดได้จาก ‘La stèle du Prah Khan d’ Angkor’ ของ G. Cœdès ในวารสารของสมาคมฝรั่งเศสแห่งตะวันออกไกล (BEFEO) เล่ม 41 ค.ศ. 1941 หน้า 255-301 หรือเรื่อง “พระเจ้าชัยวรรมันที่ 7 และต้นเหตุของนามว่า “นครชัยศรี” โดยพระองค์เจ้าธานีนิวัติ ในวารสารแห่งสมาคมค้นคว้าวิชาแห่งประเทศไทย ฉบับภาษาไทย เล่ม 2 พฤษภาคม 2485 น. 109 ↩
-
๒๑. ดูรายละเอียดในวารสารศิลปากร ปี ที่ 7 เล่ม 5-6 และปีที่ 8 เล่ม 2, 3, 4, 5 : “เอกสารประวัติศาสตร์ เรื่องกัลปนาวัด จังหวัดพัทลุง พ.ศ. 2242” นายฉ่ำ ทองคำวรรณ ผู้อ่านจากอักษรโบราณ ↩
-
๒๒. คัดจากเรื่อง “พระนาคท่าทราย” โดยกระแสสินธ์ุ ในนิตยสารรายปักษ์ปาริชาติ ปีที่ 2 เล่ม 1 ปักษ์แรก มกราคม 2493 หน้า 9 ↩
-
๒๓. “คำให้การขุนโขลน เรื่องพระพุทธบาท” ในประชุมพงศาวดารภาคที่ 7 หน้า 58 ↩
-
๒๔. จากเล่มเดียวกัน หน้า 66 ↩
-
๒๕. พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแถลงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดิน โปรดเกล้าให้พิมพ์, โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร 2470 หน้า 24, 36 ↩
-
๒๖. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 2, สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ หน้า 270 ↩
-
๒๗. คำนวณจาก ประกาศพระราชทานวิสุงคามสีมา 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2489, ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 59 หน้า 63 ↩
-
๒๘. ผลของการสำรวจฐานะเศรษฐกิจของกสิกรไทย, ดร. แสวง กุลทองคำ, เศรษฐสาร เล่มที่ 20 ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 ปักษ์หลัง 16 มีนาคม 2497 ↩
-
๒๙. ร. แลงกาต์ : ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย, สัญญา ฉบับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พิมพ์ หน้า 25-26 ↩
-
๓๐. พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมครั้งที่ 2 ร.พ. ไทย 2464 หน้า 90 ↩
-
๓๑. เมื่อครั้งรัชกาลที่ 5 นี้ ก็ยังมีพระยอดเมืองขวางวีรบุรุษของประชาชนผู้ต่อสู้กับฝรั่งเศสที่เมืองคำมวนถูกทนายแผ่นดินฟ้องกล่าวโทษให้ฟันคอริบเรือน ↩
-
๓๒. สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ หน้า 30 ↩
-
๓๓. คัดจากหนังสือ “กรมพระจันทบุรี (เมื่อดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลัง)” หน้า 236 ↩
-
๓๔. สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ, ลักษณะการปกครองประเทศสยามฯ หน้า 31 ↩
-
๓๕. ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 ภาค 4 หน้า 6 ↩
-
๓๖. สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ, ลักษณะการปกครองประเทศสยามฯ หน้า 32 ↩
-
๓๗. สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ, ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ 16 หน้า 2 ↩
-
๓๘. ใบบอกเมืองนครราชสีมา, จดหมายเหตุเมืองนครราชสีมา พิมพ์ พ.ศ. 2497 หน้า 86 ↩
-
๓๙. ใบบอกเมืองนครราชสีมา เรื่องส่งทองคำส่วย, จดหมายเหตุเมืองนครราชสีมา พิมพ์ พ.ศ. 2497 หน้า 34 ↩
-
๔๐. ดูลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ 16, สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ หน้า 2 ↩
-
๔๑. พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เล่มเดียวกับที่เคยอ้าง หน้า 38-39 ↩
-
๔๒. สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ, เทศาภิบาล หน้า 86 ↩
-
๔๓. ประชุมประกาศ ร. 4 ภาค 4, หน้า 24 ↩
-
๔๔. พระราชกำหนดเก่าบทที่ 33 ↩
-
๔๕. พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ทรงแถลงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดิน หน้า 33 ↩
-
๔๖. ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 ภาค 6 หน้า 49 ↩
-
๔๗. ร. แลงกาต์, ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย, กฎหมายที่ดิน, หน้า 36 ↩
-
๔๘. ดูพระราชกำหนดเก่า บทที่ 44 ลงวันศุกร์ เดือน 7 แรม 11 ค่ำ จ.ศ. 1110 ปีมะโรง สัมฤทธิศก ตรงกับวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2291 ↩
-
๔๙. ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย-กฎหมายที่ดิน โดย ร. แลงกาต์ หน้า 45 ↩
-
๕๐. คำนำของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ใน “ประกาศพระราชพิธีพืชมงคลแลจรดพระนังคัล” โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร 2468 ↩
-
๕๑. พระราชพิธี 12 เดือน, พระราชนิพนธ์ ร. 5, หน้า 543 และหน้า 547 ↩
-
๕๒. พระราชพิธี 12 เดือน, พระราชนิพนธ์ ร. 5, หน้า 543 และหน้า 547 ↩
-
๕๓. ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 ภาค 6, ประกาศลงวันพุธ เดือนยี่ ขึ้นค่ำ 1 ปีชวด ฉอศก จ.ศ. 1226 ตรงกับวันที่ 28 ธันวาคม 2407 (หน้า 201-208) ↩
-
๕๔. คำของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ในลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ หน้า 28 ↩
-
๕๕. ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ 16, ตำนานภาษีอากรบางอย่าง, สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ หน้า 11 ↩
-
๕๖. หมากผการาย-ผการายเป็นภาษาเขมร แปลว่าดอกประปราย ↩
-
๕๗. ประกาศลงวันเสาร์ เดือน 11 แรม 11 ค่ำ ปีชวด จัตวาศก จ.ศ. 1214 (พ.ศ. 2395) ในลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ 16 ตำนานภาษีอากรบางอย่าง ของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ หน้า 12 ↩
-
๕๘. สำเพ็งเป็นคำภาษาเขมร แปลว่าหญิงโสเภณี ↩
-
๕๙. พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2, สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ หน้า 83 ↩
-
๖๐. สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ, ประชุมพงศาวดารภาคที่ 17 ตำนานการเลิกบ่อนเบี้ยแลเลิกหวย, หน้า 76 ↩
-
๖๑. ตำนานศุลกากร, พระยาอนุมานราชธน หน้า 42-43 ↩
-
๖๒. เทศาภิบาล, กรมพระยาดำรงฯ น. 51-52 ↩
-
๖๓. เล่าโดยวิเคราะห์ใหม่ จากคำเล่าของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ, ในตำนานเรื่องละครอิเหนา โรงพิมพ์ไทย 2464 หน้า 96-97 ↩
-
๖๔. จดหมายถึงเจ้าพระยายมราช ฉบับลงวันที่ 1 มิถุนายน ร.ศ. 129 ↩