เสภาเรื่องนิทราชาคริช

ตอนที่ ๑

หลวงพิศณุเสนีแต่ง

๏ ถวายบังคมสมเด็จบดินทร์สูรย์

พระยศอย่างปางนารายน์วายุกูล มาเพิ่มภูลภิญโญในโลกา
ทุกประเทศเขตรขอบมานอบน้อม สพรั่งพร้อมเปนศุขทุกภาษา
ขอพระเดชพระคุณกรุณา ฝ่าลอองปกเกษกันเหตุไภย
ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องคนแขก เปนเรื่องแปลกครั้งนี้มีขึ้นใหม่
เปนลิลิตติดกับโคลงโยงกันไป จึงได้ทราบสิ้นทุกสิ่งอัน
เรียกว่าเรื่องนิทราชาคริช โปรดให้คิดเกลากลอนอักษรสรร
ทูลถวายบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ เรื่องอาบูหะซันเปนเสภา ๚
๏ ปางนั้นพระองค์ผู้ทรงเดช เจ้าประเทศเขตรอาหรับภาษา
ครองนิเวศน์เขตรขัณฑเสมา ภาราแบคดัดเปนสำคัญ
พระองค์ทรงนามปกาสิต ฮารูนอาลราษจิตรอันเฉิดฉัน
สถิตย์แท่นแม้นมหาเวชายันต์ เสมอชั้นบัณฑุกัมพล์อัมรินทร์
สาวสุรางค์นางบำเรอเสนอบาท บำรุงราชรู้เชิงบรรเทิงถวิล
บ้างร้องรับขับขานประสานพิณ บำเรอปิ่นปัถพีให้ปรีดา
พระองค์ทรงบริสุทธิยุติธรรม์ ผ่อนผันราชกิจทั่วทิศา
ไม่พลิกเพลี่ยงเที่ยงธรรมกรุณา ตรึกตราทรงดัดเปนสัตย์ธรรม์
ใครผิดคิดความไปตามโทษ ทำชอบแล้วโปรดทุกสิ่งสรรพ์
คอยระงับดับไภยที่ใหญ่ครัน ตัดรอนผ่อนสั้นมิให้ยาว
แม้นจะเกิดความใดในธานินทร์ คอยปราบปรามห้ามสิ้นมิให้ฉาว
จึงราบเรียบเงียบอยู่ไม่กรูกราว ทั่วด้าวแดนชนคนทั้งปวง
ดำริห์เริ่มเติมทรัพย์ขึ้นมากหลาย ได้สืบสายสนองเปนของหลวง
บำรุงเมืองเรืองงามตามกระทรวง มิให้ร่วงโรยราให้ถาวร
ทั้งวัดวาอาวาศสาสนา ฝูงประชาภิญโญสโมสร
ระวังไภยทั้งในนอกนคร พระภูธรป้องกันอันตราย
คิดอ่านการศึกฝึกทหาร ให้ชำนาญเหลือหลากขึ้นมากหลาย
แม้นจะเกิดไพรีอันตราย ค่อยอุบายผ่อนผันด้วยปัญญา
ก็เปนศุขทุกข์ไภยนั้นไม่มี ชาวบุรีเปนบรมศุขา
ไม่มีเหตุเภทไภยสิ่งไรมา ฝูงประชารักท้าวเจ้าธานี ๚
๏ มาจะกล่าวถึงนายวานิชนั้น คนสำคัญสังเกตเปนเศรษฐี
บ้านเรือนเพื่อนอยู่ในบุรี มั่งมีค้าขายหลายกระบวน
ภรรยาชื่อว่านางจอบแก้ว เปนเชื้อแถวเศรษฐีมีเรือกสวน
ได้ระเบียบเรียบร้อยไม่เรรวน ควรเปนภรรยาท่านพานิช
มีบุตรชายสายสวาดิฉลาดแสน ทั้งพ่อแม่รักแม้นกับดวงจิตร
ชัณษาสิบห้าปีมีความคิด สมนึกวานิชที่คิดมา
ให้ชื่ออาบูหะซันสุดสวาดิ ต้องนิยมสมมาดปราถนา
อยู่เย็นเปนศุขทุกเวลา บิดามอบสมบัติเปลี่ยนผลัดตัว
ให้อาบูหะซันนั้นเสร็จสิ้น ทั้งฐานถิ่นมั่งคั่งดังเจ๊สัว
ก็ค้าขายจ่ายกันอยู่พันพัว เที่ยวทั่วทุกประเทศเขตรอาหรับ
เลื่องชื่อฦๅดังสิ้นทั้งนั้น อาบูหะซันเศรษฐีมั่งมีทรัพย์
เจรจาสิ่งใดไม่สับปลับ คนนับถือทั่วทุกตัวคน ๚
๏ ครานั้นท่านวานิชผู้บิดา ชัณษาแปดสิบไม่ขัดสน
อยู่มาโรคาเข้าเบียนตน บุตรบนหมอมาพยาบาล
หมอรักษาพาซุดลงทุกวัน ไข้นั้นถึงที่อติสาร
แต่พิทักษ์รักษาอยู่ช้านาน ก็ถึงกาลอาสวมรณัง ๚
๏ ครานั้นอาบูผู้เปนบุตร ครั้นบิดาม้วยมุดเอาศพฝัง
พอเสร็จการบิดาไม่รารั้ง ก็กลับยั้งอยู่บ้านสำราญกาย
อยู่ไปไม่นานประมาณเดือน ทรัพย์เรานี้มีในเรือนก็มากหลาย
คิดจะเล่นเปนศุขสนุกสบาย แล้วซื้อจ่ายโรงร้านที่บ้านเรือน
ตึกใหญ่ให้เช่าเหล่าตลาด สามห้องสามบาทตลอดเหมือน
ค่าเช่าเก็บเอาได้ทุกเดือน ไม่ต้องเตือนได้ทั่วทุกตัวคน
แล้วซื้อห้างสร้างสวนถ้วนทุกสิ่ง ช่วยผู้หญิงคนเล่นได้เปนผล
ซื้อหาค้าขายหลายตำบล สบายตนความศุขทุกข์ไม่มี
คิดจำหน่ายจ่ายทรัพย์เปนสามส่วน ควรภาคหนึ่งลัภทรัพย์เศษนี่
ส่วนสองรองได้กำไรดี สามที่บนศุขสนุกสบาย
แล้วคิดจัดหัดพิณพาทย์มโหรี เลือกดูครูดีบอกเครื่องสาย
จัดผู้หญิงรุ่นสิบห้าล่อตาชาย บอกก็ง่ายเนื้อลำจำได้จริง
คนเล็กเด็กน้อยนี้ร้อยยาก แสนลำบากแล้วครูบอกผู้หญิง
ต้องสามชั้นปันจังหวะให้จะพริ้ง ทั้งโทนทับกรับฉิ่งให้พร้อมกัน
ให้หาครูผู้บอกต้นบทร้อง เอาทำนองเพลงถนัดคิดจัดสรร
อันครูบาหายากลำบากครัน อาบูหะซันสั่งบ่าวให้หามา ๚
๏ ครานั้นบ่าวชายนายอาบู ไม่หยุดอยู่รีบเร่งไปเที่ยวหา
พบครูเข้าพลันไม่ทันช้า เชิญมานั่งบ้านท่านอาบู
พร้อมจัดหัดกันได้สันทัด เจนจัดแล้วเล่าฟังเข้าหู
แต่หัดมาห้าเดือนได้คิดดู ไหว้ครูประสิทธิ์ประดิษฐเพลง
ทั้งดีดสีตีเป่าก็เพราพริ้ง พวกผู้หญิงทำเพราะฟังเหมาะเหมง
ระนาดฆ้องก้องดังอยู่วังเวง ล่อนักเลงฟังเล่นได้เย็นใจ
ทั้งคนรำคำร้องก็พร้องเพราะ แสนเสนาะน่าฟังกำลังไหว
เสียงซอเสียงคนปนกันไป ใครฟังชอบทั่วทุกตัวคน ๚
๏ ครานั้นอาบูผู้เจ้าของ ฟังต้องหูชัดไม่ขัดสน
ชอบจิตรคิดเล่นเปนทังวล สบายตนผู้เดียวเปลี่ยววิญญา
ไม่มีเพื่อนเตือนใจให้สนุก เรามาศุขคนเดียวเปลี่ยวนักหนา
จะชักชวนเพื่อนฝูงจูงกันมา ว่าแล้วเขียนก๊าศเกลื่อนกลาดไป
จึงสั่งบ่าวบอกรายเปนหลายแห่ง ในก๊าศมีแจ้งไม่สงไสย
คํ่าวันนี้มีศุขสนุกใจ เชิญมาให้พร้อมเพรียงได้เลี้ยงกัน ๚
๏ ครานั้นคนใช้ที่นายสั่ง ไม่รอรั้งรีบรี่ขมีขมัน
ก็แยกรายหลายแห่งแบ่งปัน ครบครันกลับมาไม่ช้าที
พอโพล้เพล้พลบคํ่ายํ่าสนธยา พวกที่บอกก็มาอยู่อึงมี่
แต่ล้วนเพื่อนเกลื่อนมาในราตรี พร้อมที่เรือนบ้านท่านอาบู ๚
๏ ครานั้นอาบูผู้เจ้าบ้าน แสนสำราญเพื่อนพร้อมมาล้อมอยู่
ก็ทายทักไม่ทันถึงประตู แลดูยินดีนี่กะไร
แล้วเชิญขึ้นนั่งยังเก้าอี้ พร้อมที่ถ้วนหน้าแล้วปราไส
เราเชิญท่านมาเล่นได้เย็นใจ มิได้คิดแค้นต่อแผ่นดิน
เราเล่นเปนตามประสาซื่อ ถ้าอึงอื้อคนรักมักติฉิน
มิให้ใครปนเปนมลทิน สิ้นสนุกแล้วนอนพักผ่อนกาย
แล้วสั่งมโหรีให้ตีพร้อม ขับกล่อมตามเรื่องครบเครื่องสาย
แล้วสั่งพวกเหล่าบ่าวผู้ชาย ให้ยืนรายยกของมาเลี้ยงกัน
แล้วชวนเพื่อนเกลื่อนพร้อมเข้าล้อมโต๊ะ เอาซาโบะให้ก่อนคิดผ่อนผัน
หอมแยะทั้งกระแจะน้ำมันจันทน์ อาบูหะซันเบิกบานสำราญเริง
แล้วชวนกันรินกินสุรา ทั้งแป๊ะซะกบพล่าโคเถลิง
ของทั้งหลายรายกินกันสิ้นเชิง เมาละเลิงแล้วลุกขึ้นฟ้อนรำ
ต่างสนุกศุขเกษมต่างเปรมปรีดิ์ เห็นนารีพูดถากถลากถลำ
แล้วเลยเล่นเต้นหรับจับระบำ บ้างพูดพรํ่าพรูเลี้ยวเปนเกี้ยวพาน
อาบูหะซันครั้นเมาให้เพราพริ้ง เรียกผู้หญิงมารำร้องคำหวาน
ต่างโลเลเฮฮาเปนช้านาน ประมาณเลยสองยามด้วยตามใจ
บ้างพูดเล่นเต้นรำเปนทำนอง แล้วเอาของแถมพกยกมาให้
บ้างพูดพรํ่าลํ่าลาพากันไป พอรุ่งแจ้งแสงใสสว่างพลัน ๚
๏ ครานั้นอาบูเจ้าของบ้าน แสนสำราญปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
คบเพื่อนเชือนสนุกทุกคืนวัน ไม่เปนอันทำมาจะหากิน
แต่เริศร้างห่างมาก็กว่าปี เต็มทียุบยับทั้งทรัพย์สิน
หามีใครไปมาเปนอาจิณ ต่างผินหน้าหนีเต็มทีลง
เห็นว่าเรายุบยับอัประภาค ยามยากแล้วใครไม่ประสงค์
ยิ่งคิดดังชีวิตรจะปลดปลง ตรงไปหามารดาด้วยทันที ๚
๏ ครานั้นจอบแก้วผู้มารดา เห็นลูกมามัวหมองไม่ผ่องศรี
ยิ่งเศร้าสร้อยโศกศัลย์พันทวี ลูกข้านี้ไม่ศุขทุกข์อย่างไร ๚
๏ ครานั้นอาบูผู้เปนบุตร บอกสุดให้สิ้นที่สงไสย
ด้วยลูกนี้เล่ามัวเมาไป ใครจะเหมือนลูกนี้ไม่มีเลย
มิวายเว้นเล่นสนุกทุกคืนวัน ที่ค้าขายจ่ายนั้นก็เพิกเฉย
คบเพื่อนฝูงมากอยากเสบย เพื่อนก็เลยยอเล่นไม่เปนการ
จนยุบยับรับยอพวกออเพื่อน มากล่นเกลื่อนกราวไม่ร้าวฉาน
จนหมดเรือนพวกเพื่อนไม่แผ้วพาน เห็นแต่การสนุกจึงทุกข์ลง ๚
๏ ครานั้นมารดาว่ากับลูก ทำไม่ถูกแม่เห็นเปนคนหลง
จำหน่ายทรัพย์ยับไปไม่คืนคง เพราะใจจงรักเพื่อนไม่เคลื่อนคลาย
จงรฦกนึกเห็นไว้เปนตรา ภายน่าอย่าเหิมจะฉิบหาย
ซึ่งสมัครักเพื่อนจงเคลื่อนคลาย พ่ออย่าหมายเลยว่าเพื่อนเตือนให้ดี
จงคิดกลับยับยั้งฟังคำแม่ ถ้าบุญแท้กลับเพศเปนเศรษฐี
จงผ่อนผันปันทรัพย์ให้ลับลี้ เหมือนที่บิดรแต่ก่อนมา
อาบูฟังคำแม่ร่ำสอน จะผันผ่อนเที่ยวเสาะแสวงหา
ได้ยืมทรัพย์จับจ่ายขายสินค้า เห็นว่าจะฟื้นมาคืนคง ๚
๏ จอบแก้วฟังแล้วคำลูกว่า ไม่เห็นท่าน่าที่หวังดังประสงค์
แต่เขาใหญ่ไฟรํ่าเอาตํ่าลง พ่ออย่าหลงเลยว่ามิตรจะคิดเจือ
อันเพื่อนกินฝิ่นสุรานั้นหาง่าย อันเพื่อนตายหายากลำบากเหลือ
นี่มาเกณฑ์เอาพิมเสนมาแทรกเกลือ ถ้าพ่อเบื่อเสียมั่งยังจะดี ๚
๏ อาบูได้ฟังคำมารดา ว่ามานี่ถูกเปนถ้วนถี่
แต่นึกปองว่าจะลองดูสักที ตามมีพวกพ้องไปลองดู
แล้วเดินตัดลัดด้นไปคนเดียว เที่ยวหาพวกเพื่อนก็พบอยู่
แจ้งคดีให้ฟังยังประตู ว่าเราผู้ขัดสนจนเต็มที
จะยืมทรัพย์ท่านไปพอเปนทุน จงเกื้อหนุนเราหน่อยอย่าถอยหนี
จะยืมไปไม่นานประมาณปี ทรัพย์ที่เราว่าจะมาคืน ๚
๏ ฝ่ายเพื่อนเบือนบิดคิดไม่ให้ ที่ได้มาว่าไม่ฝ่าฝืน
บัดนี้ทรัพย์รับของรองซื้อปืน คราวอื่นคงจะได้ไม่เปนไร ๚
๏ อาบูเห็นเพื่อนเขาเบือนแล้ว ก็คลาศแคล้วรีบมาไม่ปราไส
หาบ้านอื่นพลันด้วยทันใด เพื่อนว่าป่วยไข้หลายประการ
ลางแห่งแกล้งว่าข้าก็จน ลางคนหลบหน้าไม่ว่าขาน
ลางพวกก็ว่าด่าประจาน ลางบ้านไม่ทักแต่สักคำ
ขาดหมดไมตรีไม่มีเพื่อน เหมือนคำมารดาที่ว่ารํ่า
ทุกข์ไม่สิ้นเหมือนยังกินกองระกำ ครวญครํ่าแล้วก็กลับมาบ้านพลัน
ขึ้นบนบันไดเข้าในห้อง เศร้าหมองแสนสุดจะโศกศัลย์
คิดถึงตัวช่างมาชั่วลงครามครัน โอ้อกไม่เปนอันแล้วอาบู
ยิ่งคิดขุ่นค่นจนทุกอย่าง ให้หม่นหมางทรัพย์หมดแสนอดสู
ช่างมาคิดผิดชั่วแล้วตัวกู ไม่มีผู้ใดพึ่งให้พึงใจ
โอ้โอ๋ครั้งนี้มิเปนคน เพราะความจนเจียนจิตรจะเปนไข้
อันเพื่อนเราเผาเรือนจึงเชือนไป จะโทษใครไยเล่าเราเปนเอง
ตั้งแต่นี้ไปนั้นจนวันน่า ไม่คบหามากลุ้มให้คุมเหง
คนนครแบคแดดแผดผิดเพลง ต้องกลัวเกรงไม่คบแล้วจบกัน
ถ้าจะคบอย่าให้ชิดสนิทนัก จงทายทักแต่อย่าเพ่อละเมอฝัน
ดูให้งามอย่าให้ข้ามถึงคืนวัน จะผ่อนผันเจือไว้ทำใจดี
จะคบค้าหาอย่างต่างประเทศ จงยับยั้งสังเกตอย่าเกินที่
ผูกสมัครักไว้เปนไมตรี ตามมีคืนหนึ่งอย่าพึงนาน
แล้วอาบูอยู่มาคิดค้าขาย ค่อยสบายแบ่งทุกข์สนุกสนาน
รวมทรัพย์นับหมื่นค่อยชื่นบาน สำราญเปนศุขทุกราตรี
อยากจะพบคบค้าคนมาแขก จะให้แปลกเปลี่ยนปนคนกรุงศรี
จะได้แจ้งแพร่งพรายที่ร้ายดี ยังที่คนหนึ่งจึงจะควร
ได้ตั้งสัตย์ปัฏิญาณสาบาลตน เปนสองคนอย่าสนิทให้ผิดผวน
ที่คิดไว้ให้งามตามกระบวน จะได้ชวนคนหนึ่งจึงจะดี
คนไกลไปมาเที่ยวหาเพื่อน เชิญขึ้นเรือนยับยั้งให้นั่งที่
เลี้ยงเหล้าเข้าปลาแล้วพาที ไม่ทันข้ามราตรีแล้วลาไป
แต่ทำเช่นนั้นมาเปนช้านาน ค่อยเบิกบานวัฒนาอัชฌาไศรย
ที่ทุกข์ถอยค่อยคลายสบายใจ จนได้ปีกว่ามาช้านาน ๚
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ดำรงราษฎร์ กาหลิบนารถนาถามหาสถาน
พระองค์ตรึกนึกตรองราชการ ประมาณหลายปีทุกทิวา
ครั้นบ่ายเคยเสด็จไปเปนไปรเวต สดับเหตุหลายอย่างต่างภาษา
ตามประเทศเขตรไกลที่ไปมา จะพูดจาแพร่งพรายร้ายแลดี
พิเคราะห์พลางไปทางถนนหลวง ตามกระทรวงทั่วเขตรบ้านเศรษฐี
เมื่อวันหนึ่งบ่ายพลันลงทันที พระภูมีสระสรงคงคาไลย
แต่งพระกายกลายเพศเปนเศรษฐี ตามที่อัธยาอัชฌาไศรย
เหน็บกฤชอิศลามงามลไม สั่งให้คนสนิทติดตามมา
ฝ่ายตนคนใช้ได้รับสั่ง เพื่อนนี้มีกำลังดังยักษา
รูปร่างกำยำกายา มังษาดำหมึกพิฦกตน
หนวดเครายุ่งเหยิงเหมือนเซิงฟัก คึกคักทั้งตัวหัวเปนขน
มีกำลังวังชามากกว่าคน เคยผจญข้าศึกไม่นึกกลัว
รับสั่งแล้วน้อมกายถวายคำนับ คอยขยับตามติดทุกทิศทั่ว
เปนทหารบานใจดังใบบัว พันพัวตามติดประชิดมา
แล้วเสด็จตามท้องถนนหลวง ชนทั้งปวงไม่รู้จักไม่ทักหา
เดินพลางทางฟังคนพูดจา ไม่ช้าถึงบ้านอาบูหะซัน ๚
๏ ครานั้นอาบูอยู่ที่บ้าน คิดอ่านจับจ่ายขายของนั่น
ถึงเวลาล่วงเย็นเปนสำคัญ จรจรัลออกมาน่าประตู
เห็นพ่อค้าวานิชผิดสังเกต ภักตร์เพศบริสุทธิ์ก็หยุดอยู่
ไม่เคยเห็นเปนไฉนจะใคร่รู้ แลดูแล้วสลามด้วยความรัก
ขอเชิญท่านเข้าบ้านขึ้นบนเรือน เหมือนคนเศรษฐีย่อมมีศักดิ์
อย่าให้เสียความที่ถามทัก หยุดพักสักหน่อยจึงค่อยไป
เรานี้มีจิตรคิดที่ตรง จะประสงค์ความซื่อไม่สาไถย
จะคบเช่นเปนมิตรไม่บิดไป จำเภาะได้คืนหนึ่งจึงจะควร ๚
๏ ครานั้นภูบาลได้ฟังเชิญ ยิ่งเพลิดเพลินตริกริ่มแล้วยิ้มสรวล
แสนเสนาะเพราะลํ้าเปนสำนวน ได้เชิญชวนแล้วก็ชอบว่าขอบใจ
เห็นจะเหตุสิ่งใดไฉนแน่ มีแท้มั่นคงไม่สงไสย
แล้วเดินตามเจ้าเรือนเพื่อนพาไป เข้าในเรือนเย่าเจ้าของเรือน ๚
๏ ครานั้นอาบูผู้เจ้าบ้าน ยิ่งเบิกบานยินดีไม่มีเหมือน
พร้อมหน้าหาของไม่ต้องเตือน กล่นเกลื่อนยกมาไม่ช้าที
ช่างจัดแจงแต่งงามไว้สามสิ่ง ไก่ปิ้งมัศม่านห่านฉู่ฉี่
เรียงขึ้นโต๊ะเลี่ยมเตรียมไว้ดี ช้อนมีมีดซ่อมก็พร้อมกัน
อาบูพิศดูท่านพานิช เห็นผิดพ่อค้าเคยมานั่น
น่าประวิงดูจริงเปนอัศจรรย์ รูปพรรณผิดพลคนทั้งปวง
ดูดีท่วงทีดังเทวา กายาพอดีไม่พีพ่วง
สวมใส่เสื้อสีมีดวง โสร่งดอกไม้ร่วงม่วงมันมน
อาบูดูเพลินเชิญกินเลี้ยง พร้อมบ๋อยคอยเคียงอยู่สับสน
ยืนหลังข้างน่าห้าหกคน สำหรับขนของกลับให้ลับลี้ ๚
๏ ครานั้นขัติเยศสังเกตรศ กับเข้าสดสามอย่างวางยังที่
อร่อยล้ำช่างทำฝีมือดี เข้าบุหรี่มีรศอร่อยมัน
พอโพล้เพล้พลบคํ่ายํ่าสนธยา ของหวานยกมาขมีขมัน
ของคาวยกกลับไปฉับพลัน หวานนั้นเรียบเคียงเรียงกันมา
แต่ละสิ่งยิ่งรศอร่อยเหลือ ลูกไม้เจือขนมจีบช่างจัดหา
เปนหลายสิ่งยิ่งรศโอชา ดังของทิพย์เทวดาลงมาดิน
จะหยิบไหนก็วิไลยไปทั้งนั้น หวานมันเหมาะจริงทุกสิ่งสิ้น
แต่ล้วนรศโอชาไม่ราคิน ชอบลิ้นฅอลื่นกลืนสบาย
ครั้นเลี้ยงกันนั้นเสร็จสำเร็จแล้ว ทั้งสองผ่องแผ้วเหมือนมั่นหมาย
ต่างสมัครักสนิทไม่คิดร้าย จะระคายสิ่งใดก็ไม่มี
ธรรมเนียมปราชญ์สาสนามะหะหมัด ไท้บัญญัติให้ยั้งอยู่ยังที่
ถ้ากลางวันน้ำจัณฑ์เปนไม่ดี แม้นราตรีจึงได้เสพย์สุราบาน
สาสนาว่าดังอยู่ยังนั้น เหมือนกันทั้งสิ้นทั่วถิ่นฐาน
จึงได้จำคำสอนแต่ก่อนกาล สำราญไม่สาละวนกัน ๚
๏ อาบูดูล่วงเข้ายามแล้ว ทั้งสองผ่องแผ้วเกษมสันต์
จึงยกเรื่องเครื่องสุราออกมาพลัน ตั้งบนโต๊ะนั้นด้วยทันใด
เครื่องแกล้มแนมเนื้อโคชำแหละ เนื้อแกะสดพล่าแกงปลาไหล
ทั้งเปรี้ยวทั้งเผ็ดเสร็จกันไป สำหรับได้เปนเรื่องเครื่องสุรา
อาบูผู้เจ้าของก็ต้องริน เชิญท่านแขกแปลกถิ่นกินเถิดหนา
ทั้งกับแกล้มแนมแกงที่แต่งมา ว่าแล้วก็ชวนกันชิมพลัน
ต่างคนต่างทำเปนคำนับ ต่างรับสุรามาดื่มนั่น
ต่างคนต่างสนทนากัน ต่างสรวลสันต์สำราญบานอารมณ์ ๚
๏ ครานั้นพ่อค้าท่านกาหลิบ พลางหยิบสุรามาประสม
ปนเปนถ้วยเดียวให้เกลียวกลม ดังนิยมยื่นไปให้อาบู
แล้วถามที่ทำมาจะค้าขาย ค่อยสบายเปนศุขฤๅทุกข์อยู่
เรามีจิตรคิดรักจักใคร่รู้ พิเคราะห์ดูท่าทางอย่างนักเลง ๚
๏ อาบูนั่งฟังมิตรสนิทถาม ท่านเห็นความจำเภาะที่เหมาะเหมง
แต่ก่อนจิตรคิดชั่วไม่กลัวเกรง จึงเสียเพลงเพราะเพื่อนเชือนแชไป
รักสนุกทุกข์สนัดวิบัติหลง ทรัพย์สินเสียลงไม่ปราไส
ครั้นรู้ตัวแท้แล้วแน่ใจ จึงคิดได้กลับกลายเมื่อปลายมือ
แล้วผ่อนผันหันหน้ามาค้าขาย ค่อยสบายมีทรัพย์คนนับถือ
เปนคนโตมาแต่เก่าย่อมเล่าฦๅ จะมาดื้อด้วยเล่นไม่เปนการ ๚
๏ ครานั้นจึงท่านกาหลิบจ้าว ฟังอาบูกล่าวก็อ่อนหวาน
ว่าท่านนี้ดีพ้นใช่คนพาล คิดอ่านตลอดได้รอดตัว
ผ่อนทรัพย์ยับยั้งดังเศรษฐี อุส่าห์มีพยายามทิ้งความชั่ว
เพราะความดีมีมาไม่เมามัว จะฦๅข่าวเล่าทั่วกัลปา
เราขอบใจที่ได้มาร่วมรัก ผูกสนิทจิตรสมัคกันนักหนา
ท่านก็ดีเราก็ดีมีปัญญา กล่าวมานี้ชอบรอบคอบควร
เราพูดเพลินเนิ่นนักจะชักช้า ท่านกับข้าไม่ได้ดื่มลืมปันส่วน
คนละถ้วยข้างละทีไม่รีรวน ชวนกันค่อยคลายสบายบาน
จนลุล่วงถ่วงมาเวลาดึก กาหลิบรฦกให้ชอบเข้าตอบต้าน
ว่าเหนื่อยนักชักช้ากันมานาน ท่านไปนอนเราจะนอนผ่อนสบาย
เพราะเรามาจึงได้งดอดหลับนอน พรุ่งนี้เราจะจรมิให้สาย
ขอบคุณการุญเราเดียวดาย คุ้มวันตายจะต้องสนองคุณ
แม้นธุระประสงค์ที่จงใจ คงจะได้แผ่เผื่อคิดเกื้อหนุน
แม้นขัดสนจนต้องรองเปนทุน ถึงสิ้นบุญแล้วไม่ลืมดื่มความดี
ถ้าธุระประสงค์ที่จงจิตร อย่าได้คิดรังเกียจว่าเบียดสี
เราใช่คนเหลวไหลใจกระลี อันควรที่สงเคราะห์ให้เหมาะใจ ๚
๏ ครานั้นอาบูได้ฟังว่า ท่านกล่าวมานี้สิ้นที่สงไสย
ถ้าเหมือนหวังดังคิดไม่ผิดไป แม้นไม่รังเกียจคงสมปอง
แต่จำนงจงยิ่งสิ่งสำคัญ ยังเกียจกันความศุขให้ทุกข์หมอง
ให้เกลียดชังยังนึกที่ตรึกตรอง ถ้าท่านลองคิดดูจะรู้ความ
อันเมืองนี้มีแผนแดนตำบล หนหนึ่งเปนวัดจัดสนาม
อิแมนเปนครูบาสง่างาม สั่งสอนกันตามอำเภอมัน
แล้วชวนฝูงประชามาประชุม เกลื่อนกลุ้มยิ่งยวดกวดขัน
แต่ส่วนเราไม่เข้าเปนสำคัญ อิแมนมันเคืองขัดอยู่ชัดจริง
ใครจะทัดเทียบทันกับมันได้ อีหน้าไหว้หลังหลอกบอกผู้หญิง
ทำหน้าเปรี้ยวเหมือนหนึ่งเคี้ยวตลิงปริง เย่อหยิ่งยกตัวเปนขรัวครู
สั่งสอนสารพัดน่าบัดสี คนกี่คนหมดไม่อดสู
สัปรุษทั้งหลายให้ไหว้กู คนคู่คิดผิดเปนชอบไป
ยังมีศิษย์สี่ตนเปนคนเขลา โง่เง่าไม่รู้อัชฌาไศรย
เที่ยวนัดเพื่อนเกลื่อนกลุ้มประชุมไว้ ทารกยังมิได้รู้จักการ
ใช่ความตามชั่วตัวดูอื่น คนนับหมื่นทั่วหน้าไม่ว่าขาน
เอาเปนบ่าวบังคับเข้ารับงาน ในถิ่นฐานธรรมเนียมใหม่จะให้เปน
ฝ่ายเราเหลือทนก็จนจิตร มาทำผิดเปนชอบประกอบเห็น
ไม่ถือคำโบราณที่นานเปน เคี่ยวเข็นคำรามล่วงลามไป
อันผู้คนในแขวงตำแหน่งนี้ มันจู้จี้ไม่มีความศุขได้
มันแสร้งว่าเราชั่วมึนมัวใจ จึงจะให้เราถามได้ลามมา ๚
๏ ครานั้นจึงท่านกาหลิบจ้าว ฟังอาบูกล่าวเห็นหนักหนา
ท่านจะคิดผ่อนผันฉันใดนา ข้าจะประกอบให้ชอบควร ๚
๏ ครานั้นอาบูผู้สนิท ว่าได้คิดไว้นี้เปนถี่ถ้วน
ท่านสงเคราะห์ให้งามตามกระบวน ไม่ลามลวนเลยเล่นไม่เห็นกัน
ขอเปนที่พระองค์ผู้ทรงเดช ครองพระนิเวศน์ขอบเขตรขัณฑ์
เหมือนดังหนึ่งพระองค์ผู้ทรงธรรม์ วันเดียวจะสมอารมณ์นึก
เอาคนทั้งสี่นี้เข้ามา เฆี่ยนร้อยศักหน้าทาน้ำหมึก
แต่ครูนั้นทัณฑกรรมให้ลํ้าฦก ทึกเอาสี่ร้อยอย่าถอยเลย
แล้วสั่งสอนผ่อนการเรียกทานบน อ้ายสี่คนจำทิ้งไว้นิ่งเฉย
ที่เพื่อนบ้านร้านช่องต้องเสบย ทำให้เคยตัวดุจเดิมมา ๚
๏ ครานั้นภูวไนยครั้นได้ฟัง ท่านคิดดังนี้ทีดีนักหนา
เหมือนคิดจิตรเราเจตนา แม้นอย่างท่านว่าคงสมปอง
พระผู้ทรงศักดากาหลิบราช ทราบบาทคงจะโปรดไม่ขุ่นหมอง
เราไม่ขัดอัชฌาฝ่าลออง คงได้ครองเมืองแท้เปนแน่ใจ
ด้วยท่านคิดปลิดคนเปนมลทิน เหมือนดังเสี้ยนแผ่นดินก็ว่าได้
ด้วยสัตย์ซื่อถือจริงทุกสิ่งไป ท่านไม่ป่วยการที่พูดจา
แต่เรานี้อยู่ที่นอกประเทศ ยังเห็นเหตุชอบใจไม่มุสา
เปนความจริงสัจจังดังวาจา ท่านกล่าวมานี้ชอบได้ช่วยกัน ๚
๏ ครานั้นอาบูผู้สนิท ว่าเราคิดเหลวจริงทุกสิ่งสรรพ์
มานึกมุ่งฟุ้งซ่านรำคาญครัน น่าหัวร่ององันให้พอแรง
ท่านมาพลอยเห็นเข้ากับเราด้วย ยังจะช่วยจุนซํ้าให้กำแหง
แม้นคนอื่นได้ฟังยังจะแคลง ทั้งจะแสร้งเย้ยหยันจำนรรจา
แม้นพระองค์ผู้ทรงธรณี ทราบคดีจะสรวลสำรวลร่า
ในความคิดเรื่องราวเรากล่าวมา ชอบผิดคงจะว่าตามกระบวน
ทั้งจะทรงรฦกตรึกตรองไป ไม่เห็นแล้วไซ้คงไต่สวน
ถ้าผิดแน่แท้มีที่ประมวญ ควรลงโทษทัณฑ์อันตราย ๚
๏ ครานั้นภูมินทร์ได้ยินกล่าว ในเรื่องราวอาบูคู่สหาย
ว่าพระเจ้ากาหลิบจะแย้มพราย ท่านอย่าหมายคงจะโปรดเปนมั่นคง
ในความคิดของมิตรที่คิดไว้ ก็จะได้โดยความตามประสงค์
เราพูดจาเวลาก็ดึกลง จงนอนพรุ่งนี้เราจะลา ๚
๏ ครานั้นอาบูจึงตอบไป ว่าเรายังอาไลยอยู่นักหนา
จะได้ชวนสรวลสันต์จำนรรจา เชิญท่านดื่มสุราอิกสักที
ว่าพลางทางยกสุราริน ต่างคนต่างกินเกษมศรี
แล้วว่าถ้าจะไปในราตรี ปิดประตูให้ดีจึงค่อยไป ๚
๏ ครานั้นพระองค์ทรงศักดา รับคำสัญญาอัชฌาไศรย
รินสุรามาคำนับด้วยฉับไว ว่าท่านไซ้มีคุณการุญจริง
ท่านจะคิดอันใดให้ได้สม ในอารมณ์นึกไว้ได้ทุกสิ่ง
พรของเราเล่าหนาอย่าประวิง เจริญยิ่งเปนศุขอย่าทุกข์เลย
พูดพลางทางดูอาบูเผลอ เธอเอายาโรยซ้ำแล้วทำเฉย
ต่างทำคำนับกันตามเคย แล้วเลยส่งให้อาบูพลัน ๚
๏ อาบูผู้มีอัชฌา รับมาจากมือถือมั่น
ดื่มอึกนึกได้ไม่ทัน วางถ้วยด้วยพลันตันใจ
พิศม์ยาพาซาบอาบทั่ว ทั้งตัวมัวมึนเสียวไส้
สิ้นสติพลันทันใด เอนพับหลับไม่สมประดี ๚
๏ ครานั้นพระองค์ทรงเดช สมหวังสังเกตเศรษฐี
หลับแท้แน่ใจในที ภูมีสรวลสันต์หันมา
สั่งตนคนใช้ไปรเวต จงยั้งสังเกตเคหา
อุ้มอาบูไปอย่าได้ช้า ตามข้าเข้าสู่วังใน ๚
๏ ครานั้นคนชิดสนิทอยู่ โอบอุ้มอาบูหาช้าไม่
ผลีผลามตามเสด็จมาทันใด เข้ายังวังในด้วยพลัน
ครั้นถึงเข้าท้องพระโรงรัตน์ ตรัสให้วางบนแท่นอันเฉิดฉัน
เสมอยังดังองค์พระทรงธรรม์ บรรธมแท่นสุวรรณพรรณราย ๚

• • • • • •

ท่อนที่ ๒

พระยามหาอำมาตย์แต่ง

๏ ข้าพระพุทธเจ้าพระ ยามหา อำมาตย์เอย
ค้นคิดกลอนเสภา ท่อนนี้
ตามเรื่องนิทราชา คริชราช นิพนธ์แฮ
โดยพระราชประสงค์กี้ กอบถ้อยทูลถวาย ๚

• • • • • •

๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงธรรม์ สั่งกำนัลพนักงานสิ้นทั้งหลาย
ให้ช่วยกันจัดแจงแต่งกาย เปลี่ยนถ่ายผ้าเก่าเจ้าหะซัน
แล้วสวมเสื้อทรงผธมบรมกระษัตริย์ งามจำรัสลายเลิศเฉิดฉัน
ยกอาบูขึ้นราชอาศน์สุวรรณ มิให้ทันรู้สึกสำนึกกาย
เชิญมหามาลานพรัตน์ ของบรมกระษัตริย์เฉิดฉาย
ขึ้นวางไว้เบื้องสูงริมกาย ที่นายหะซันชั้นบน
แล้วตรัสว่าถ้าหะซันนั้นส่างเหล้า เวลาเช้าอย่าให้แคลงแหนงฉงน
พนักงานใครมีอยู่กี่คน มาอยู่ปรนิบัติตามอัตรา
แม้นอาบูบังคับการสิ่งใด ให้ทำไปตามสั่งอย่ากังขา
จงเกรงขามเหมือนเราเจ้าภารา ถ้าพูดจาจงทูลมูลคดี
ว่าพระองค์ทรงธรรมทุกคำปาก อย่ากระดากกระเดียมใจให้บัดสี
แม้นถ้าว่าพบเราเข้าก็ดี อย่าให้มีหวาดหวั่นประพรั่นใจ
จงทำเฉยเลยไปใช่เจ้าข้า อย่าให้อาบูหะซันนั้นสงไสย
ถ้าอาบูทำขันขึ้นฉันใด จงอดไว้อย่าควรสรวลคนอง
การสิ่งใดเราสั่งแลบังคับ จงกำชับเชื่อฟังสิ้นทั้งผอง
จะทำการให้ระมัดประหยัดปอง อย่าลำพองให้หะซันนั้นสงกา
แล้วตรัสสั่งพวกยุนุกว่าชาวเจ้า จงอยู่เฝ้ารับใช้ให้ทั่วหน้า
สั่งข้างในแล้วเสร็จเสด็จคลา รีบออกมายังท้องพระโรงคัล
แล้วจึงมีพระราชบัญชา เรียกมหาเสนาคนขยัน
เข้ามาสู่ที่เฝ้าด้วยฉับพลัน พระทรงธรรม์โองการมิทันช้า
ว่าดูก่อนท่านมหาเสนี อันเรานี้มีความปราถนา
เพื่อจะเล่นให้สนุกสักเวลา ข้าได้มานพหนึ่งมาแต่งกาย
มาทำเทียบแทนเราเจ้าธานี ประดับประดาอินทรีย์ให้เฉิดฉาย
จะมาออกท้องพระโรงพรรณราย เกริ่นกรายว่ากิจราชการ
เวลารุ่งพรุ่งนี้เขาออกมา อย่าให้หมู่มาตยาร้าวฉาน
จงคำนับน้อมประนตบทมาลย์ กราบกรานก้มเกล้าดุษฎี
จะพิดทูลสิ่งใดอย่ากระด้าง ให้เหมือนอย่างตัวเราเจ้ากรุงศรี
จะเรียกใช้เงินทองของที่มี อย่าตระหนี่ขึ้งเคียดคิดเกียจกัน
จงจับจ่ายให้เขาตามประสงค์ จะหมดคงสักเท่าไรอย่าได้พรั่น
ถึงจะใช้ของสั่งสิ้นทั้งนั้น จงผ่อนผันอย่าให้ขัดอัธยา
แล้วจงไปประกาศพวกขุนนาง อย่าขัดขวางจงมาน้อมให้พร้อมหน้า
อย่าได้ถืออหังมะมังการ์ จงเฝ้าฝ่ายซ้ายขวาตามธรรมเนียม
พอได้เปนการสนุกแก่ใจเรา อย่าให้เขารู้ระคายอายเหนียม
ท่านจงช่วยสำรวจตรวจเตรียม อย่าลามเลียมให้เขารู้เท่าทัน
ครั้นสั่งเสร็จเสด็จขึ้นมณเฑียรสถาน แสนสำราญปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
แล้วสั่งพวกกรมวังด้วยฉับพลัน ให้ปลุกผธมก่อนหะซันตื่นนิทรา
กูจะไปด้อมดูอาบูหะซัน จงบอกกันตามกระบวนทุกถ้วนหน้า
อย่าให้ผิดในกิจกูบัญชา จงตรวจตรากันให้ทั่วทุกตัวคน
แล้วเสด็จเข้าสู่บัลลังก์แก้ว อันเพริศแพร้วเพ็ชรพลอยสร้อยสน
เข้าประธมที่ประทับระงับสกนธ์ ภูวดลไสยานิทราไป
พอเวลาสางศรีรวีวร ทิพากรจวนแจ้งส่องแสงไข
กรมวังปลุกผธมทันใด ภูวไนยโสรจสรงพระภักตรา
ทรงสุคนธ์ปนปรุงจรุงกลิ่น แล้วภูมินทร์อ่าองค์ทรงภูษา
ด่วนเสด็จยุรยาตรคลาศคลา มาถึงน่าห้องหะซันทันที
จึ่งเสด็จเข้าไปที่ในห้อง พระคอยมองแลดูในมู่ลี่
ได้เห็นการแจ้งประจักษ์พร้อมภักดี พระภูมีคอยดูอาบูหะซัน ๚
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงศรีรวีวร ทิพากรพรรณรายฉายฉัน
พนักงานทั้งหลายอยู่เรียงรัน หยิบสปันช์ชุบน้ำส้มผสมยา
มารอเข้าที่นาสิกนายหะซัน พอกลิ่นนั้นถูกช่องคลองนาสา
นายอาบูจามพลันมิทันช้า ก็รู้สึกกายาในทันใด
ลืมเนตรขึ้นก็เห็นราชอาศน์ งามประหลาดแก้วพวงดูผ่องใส
สพรั่งพร้อมสาวสุรางค์นางใน งามวิไลยกล้องแกล้งแน่งน้อย
พวกยุนุกเรียงกันเปนหลั่นลด น้อมประนตระวังระไวให้ใช้สอย
ทั้งยี่ภู่ตรูเตร็จล้วนเพ็ชรพลอย กำมะหยี่สุกย้อยสีฉาดแดง
ทั้งเสื้อทรงหมวกทรงองค์กระษัตริย์ เพ็ชรรัตน์แวมวามอร่ามแสง
ยิ่งตรองตรึกก็ยิ่งนึกระแวงแคลง ไม่จะแจ้งนี่เราฝันฤๅฉันใด
นายอาบูให้วิตกหัวอกเต้น ตรองไม่เห็นแน่ลงที่ตรงไหน
ฤๅเราคือกาหลิบธิปไตย เปนไฉนจะรู้แน่นะอกกู
ครั้นตรองตรึกนึกดูก็รู้แน่ เออที่แท้วานนี้พูดกับเพื่อนสู
ช่างเก็บมาฝันซ้ำพรํ่าพรู แต่ก่อนอยู่ดี ๆ ไยมิเปน
เมื่อดำริห์ตริตรึกนึกตระหนัก แจ้งประจักษ์ว่านิมิตรให้คิดเห็น
จึ่งหลับตานอนนิ่งอิงเอน เหมือนหนึ่งเช่นจะระงับหลับกายา ๚
๏ ฝ่ายนางพนักงานสิ้นทั้งนั้น เห็นหะซันเกิดวิมุติกังขา
จึงค่อยเยื้องยุรยาตรคลาศคลา แล้วกล่าวรศพจนาอัญเชิญพลัน
ว่าข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเดช เปนปิ่นเกษกรุงไกรมไหสวรรย์
เวลานี้รุ่งแจ้งแสงหิรัญ พระทรงธรรม์นิทราไปว่าไร
เชิญเสด็จอ่าองค์สรงพระภักตร์ บริรักษ์ราชกิจตามนิไสย
ถ้าพระหน่วงนิทราจะช้าไป อโณไทยพวยพุ่งขึ้นรุ่งราง ๚
๏ ฝ่ายอาบูได้สดับทูลเสนอ กระดากเก้อในจิตรคิดอางขนาง
ให้สงไสยนึกระแวงแคลงคลาง ไม่วายวางความฉงนสนเท่ห์ใจ
เราตื่นอยู่ฤๅว่าเพ้อมะเมอฝัน อัศจรรย์เปนมาน่าสงไสย
นึกแล้วกลับไสยานิทราไป มิได้ออกเอื้อนโอษฐพจนา ๚
๏ ฝ่ายนางพนักงานสิ้นทั้งผอง คอยสนองนอบน้อมอยู่พร้อมหน้า
เห็นอาบูไม่ตื่นฟื้นกายา ค่อยลีลาเข้าไปเคียงริมเตียงทอง
แล้วชอ้อนอ่อนองค์ลงเคียงอาศน์ อภิวาทบาทมูลทูลสนอง
พระองค์ไม่เคยขาดประโยชน์ปอง ในธรรมคลองกุศลผลบุญ
เคยไหว้ไทเทวาพระอาทิตย์ สำรวมจิตรตัดวิตกไม่หมกมุ่น
นมาศดวงอุไทยไขอรุณ เปนการสุนทรสวัสดิกำจัดไภย ๚
๏ ครานั้นอาบูผู้พานิช ยังแคลงจิตรมิได้สิ้นความสงไสย
จะว่าฝันฤๅเราก็เข้าใจ การสิ่งใดก็รู้อยู่ทุกอัน
ครั้นลืมเนตรก็สังเกตแน่ตระหนัก แจ้งประจักษ์เห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์
ถ้าหลับใหลแล้วคงไม่รู้สำคัญ แม้นความฝันคงไม่สึกสำนึกกาย
ตริพลางทางดำรงทรงตัวนั่ง บนบัลลังก์ลายเลิศเฉิดฉาย
ภักตร์ผ่องเพียงจันทร์พรรณราย แสนสบายยินดีด้วยปรีดา ๚
๏ บัดนั้นสาวสุรางค์นางกำนัล พร้อมกันน้อมประนมก้มเกษา
ศิโรราบกราบเบื้องมุลิกา หัดถ์ซ้ายขวาจับดนตรีดีดสีพลัน
ประโคมขานบรรสานสุรเสียง ปานสำเนียงบรรเลงเพลงสวรรค์
ฟังกระแสแสนเพราะเสนาะกรรณ นายหะซันตรีตรึกนึกคะนึง
ว่าเราตื่นจริงฤๅไฉนเหนอ ฤๅเราเผลอเคลิ้มจิตรนิมิตรถึง
แล้วยกหัดถ์ปิดตาก้มหน้าคนึง นึกตลึงลานอยู่ไม่รู้แล้ว
ครั้นเปิดเนตรเห็นหมู่นารี ล้วนประโคมดนตรีเปนถ่องแถว
ทั้งนิเวศน์แจ่มกระจ่างสว่างแวว ด้วยแสงแก้วเนาวรัตน์จำรัสเรือง
ดูอะไรเห็นจริงทุกสิ่งหมด ก็ปรากฎแวววาวเขียวขาวเหลือง
อาบูไม่สงไสยระคายเคือง พอเรือง ๆ แสงศรีรวีวรรณ ๚
๏ ครานั้นจึงนายเมศเรอ ขุนนางใหญ่ในเธอคนขยัน
เห็นเวลารุ่งแจ้งแสงตวัน เข้าไปปลุกนายหะซันตามโองการ
ในแท่นทองที่อยู่อาบูหะซัน อภิวันท์บาทมูลแล้วทูลสาร
ขอพระองค์อดโทษได้โปรดปราน จงประทานโทษาข้าลออง
วันนี้เห็นพระองค์จะทรงสบาย ผธมสายจนตวันผันผยอง
หมดเวลาที่พระองค์จำนงปอง ขาดคลองทางผลกุศลไป
เวลานี้มาตยามาคอยเฝ้า พระเปนเจ้าธานีบุรีใหญ่
เชิญเสด็จยุรยาตรคลาศไคล ออกท้องพระโรงไชยว่าราชการ ๚
๏ บัดนั้นจึงนายอาบูหะซัน แจ้งสำคัญเมศเรอเสนอสาร
ยิ่งอํ้าอึ้งตลึงไปช้านาน ไม่แจ้งการเท็จจริงยังกริ่งใจ
นี่ตัวเราก็ตื่นอยู่แน่แท้ ที่จะแปรเปนฝันนั้นหาไม่
จึ่งเอื้อนอรรถไปพลันทันใด นี่คือใครมาขนานนามกร
จึงเรียกเราว่าพระเจ้าผู้ทรงธรรม อันถ้อยคำอย่างนี้มีใครสอน
เรามิใช่ทรงธรรม์อันบวร แต่ปางก่อนไม่รู้จักเจ้าสักคราว
แล้วพิศภักตร์ผู้ทูลมูลเหตุ แลสังเกตสูงต่ำที่ดำขาว
ไฉนหนอเรียกนามความยืดยาว จะสืบสาวอนุสนธิ์ก็จนใจ ๚
๏ บัดนั้นขุนนางในองค์เธอ เมศเรอเสนาบดีใหญ่
จึงกราบทูลไปพลันทันใด เปนไฉนพระองค์มาสงกา
อันตัวข้าพระบาทผู้ภักดี เปนข้าพระภูมีนาถา
ได้รับกิจราชการพระผ่านฟ้า ฉลองบาทมุลิกาฝ่าธุลี
จนท้าวเธอปองปูนเพิ่มภูลยศ ปรากฎชื่อเมศเรอตำแหน่งที่
ขอให้ข้ามีศุขสวัสดี ด้วยเดชะบารมีสืบต่อไป
หนึ่งพระองค์ทรงตรัสสัพยอก โองการบอกว่าพระองค์ยังสงไสย
ไม่แจ้งว่าพระองค์เปนพงษ์ใด ขอพระองค์ทราบใต้บทมาลย์
อันพระองค์คือพงษ์จักรพรรดิ ครองสมบัติเปนใหญ่ในราชฐาน
เปนธงไชยฉัตรโลกอันโอฬาร พระเดชดุจสุริยฉานแผ่พ่านไป
ได้บำรุงสาสนาให้ถาวร พระเกียรติยศฦๅขจรจบทิศใต้
อันพระองค์ทรงระแวงแคลงพระไทย ข้าพระบาทสงไสยเปนพ้นคิด
ชรอยจะเปนด้วยพระองค์ไสยา มีความผาศุกกายสบายจิตร
ให้เคลิ้มองค์ทรงสุบินนิมิตร วิปริตปรวนแปรเปนแน่นอน ๚
๏ ฝ่ายอาบูได้สดับซึ่งถ้อยคำ อันหลากล้ำชื่นชมสโมสร
หัวเราะพลางทางล้มตัวลงนอน เหนือบรรจฐรณ์นึกขยิ่มด้วยยินดี
แล้วหัวเราะอิกครั้งดังสนั่น เสียงเฮาะ ๆ ฮอลั่นบนแท่นที่
แสนสำราญศุขเกษมเปรมปรีดิ์ ด้วยว่ามีกระมลเบิกบาน ๚
๏ จะกล่าวถึงกาหลิบภูวเรศ ทอดพระเนตรดูหะซันดังบรรหาร
ทำท่วงทีพิกลดูลนลาน พระภูบาลทรงสำรวลสรวลคึกคึก
ครั้นว่าจะสำรวลให้จงหนัก เกรงหะซันนั้นจักได้รู้สึก
ในอุระทรงธรรม์สั่นทึกทึก พระนึกอยากจะใคร่สรวลให้พอแรง ๚
๏ ครานั้นอาบูต่างภูมินทร์ ยังตรีตรึกนึกไม่สิ้นความกินแหนง
ในดวงจิตรยังคิดระแวงแคลง จึงแสร้งเรียกพวกยุนุกนั้นเข้ามา
จึงถามว่าตัวกูนี้คือใคร สูจงเร่งบอกไปไว ๆ หวา
ให้ตัวกูทราบแจ้งแห่งกิจจา ให้สิ้นความกังขาบัดเดี๋ยวนี้ ๚
๏ จะกล่าวถึงพวกยุนุกสิ้นทั้งหลาย น้อมกายลงประนตบทศรี
จึงกราบทูลไปพลันในทันที พระภูมีคือองค์พระทรงธรรม์
ผู้อุปถัมภ์บำรุงสาสนา เปนเจ้าโลกาส่องสรรพ์
ข้าพระบาทมิได้แสร้งแกล้งรำพรรณ ขอพระองค์ทรงธรรม์อย่าแคลงใจ ๚
๏ อาบูได้สดับซึ่งคำทูล โดยมูลยังไม่สิ้นความสงไสย
จึงตอบคำไปพลันในทันใด คนหน้าดำทำได้มาปดกู
โกหกพกลมมาเจรจา เองแกล้งกล่าวมุสาให้เคืองหู
ลวงหลอกปั้นลํ่าพรํ่าพรู พวกสูอย่าได้มาเจรจา
ว่าแล้วจึงเรียกนางกำนัล อันมีโฉมโนมพรรณเพียงเลขา
เชิญเจ้าเข้ามานี่หน่อยรา ตัวพี่ยาจะให้เจ้าทดลอง
แล้วยื่นหัดถ์ให้กัดซึ่งนิ้วก้อย นางสาวน้อยทำระคางเมินหมางหมอง
ชม้อยชม้ายชายเนตรสังเกตมอง ให้สบคลองไนยนานายหะซัน
อาบูเห็นแย้มยิ้มพริ้มพราย ทำแยบคายท่วงทีดูคมสัน
เจรจาลดเลี้ยวพูดเกี้ยวพัน เมียงมันดูนางไม่วางตา
แล้วแย้มเยื้อนเอื้อนอรรถตรัสปราไส เจ้าสายใจผู้ยอดเสนหา
พี่วานเจ้าดวงใจไนยนา ช่วยขบนิ้วขนิษฐาให้พี่ชาย
จะรู้สึกกายาฤๅหาไม่ จงทำให้สมจิตรพี่คิดหมาย
ว่าพี่ตื่นฤๅว่าหลับระงับกาย ให้เรียมหายความแหนงแคลงฤไทย ๚
๏ บัดนั้นจึงนวลนางกำนัล แจ้งสำคัญกิริยาอัชฌาไศรย
ว่าองค์ท้าวกาหลิบธิปไตย มาอยู่ในมุลี่กำบังองค์
ค่อยแอบด้อมมองดูอาบูหะซัน โดยสำคัญดังจิตรคิดประสงค์
ด้วยแจ้งอยู่กับใจนางโฉมยง นวลอนงค์อยากจะใคร่ให้โปรดปราน
จึงแกล้งทำท่วงทีให้แช่มช้อย จับนิ้วน้อยนายหะซันดังบรรหาร
ยํ้าด้วยทนต์เบา ๆ พอประมาณ ไม่ทันนานอาบูก็รู้กาย
ร้องอุ่ยอึงดึงมือมาด้วยพลัน แจ้งสำคัญในเหตุสังเกตหมาย
กูตื่นอยู่แม่นเหมือนไม่เคลื่อนคลาย มากลับกลายเปนองค์พระทรงธรรม์
อันกาหลิบนี้ฤๅคือตัวกู แต่คิดดูไปก็เหมือนกับความฝัน
พิเคราะห์ไปเปนน่าอัศจรรย์ นายอาบูหะซันไม่วางใจ
แล้วเหลียวหน้ามาถามนางกำนัล ว่าดูก่อนจอมขวัญผู้พิศมัย
ตัวเราคือทรงธรรม์ฤๅฉันใด จงบอกความจริงใจอย่าอำพราง
นางกำนัลก้มเกล้าลงกราบทูล นเรนทร์สูรอย่าคิดอางขนาง
พระองค์คือทรงธรรมไม่อำพราง แน่เหมือนอย่างคำข้าพาที
พระองค์ได้ดำรงอาณาจักร บริรักษ์ข้าบาทบทศรี
ได้มีความศุขเกษมเปรมปรีดิ์ ด้วยเดชะบารมีพระทรงธรรม์ ๚
๏ ฝ่ายอาบูได้สดับพจนาดถ์ เห็นประหลาดผิดกระบวนจึงสรวลสันต์
แล้วเอื้อนอรรถตามระบอบตอบพลัน มาปดกันเปล่า ๆ ไม่เข้ายา
เราจะใคร่ไต่ถามซึ่งความจริง ควรฤๅมิ่งยุพยอดเสนหา
พูดกลับกลอกหลอกเล่นเจรจา ไม่เมตตากลับปดไปตามกัน
ว่าพลางทางลุกขึ้นจากอาศน์ จะลีลาศเยื้องกรายผายผัน
พวกยุนุกที่ยืนอยู่เรียงรัน เข้าประคองหะซันด้วยทันใด
ให้ลีลาเลื่อนลดลงจากอาศน์ ยุรยาตรหยุดยืนยังพื้นใต้
พิศรูปทรงอาบูดูวิไลย งามดังองค์ท้าวไทพระทรงธรรม์
แล้วประกาศพร้อมกันสรรเสริญ ขอพระองค์จงเจริญในไอสวรรย์
อย่าได้มีโรคไข้ไภยันต์ เหมือนหนึ่งข้าพร้อมกันถวายพร
อาบูตรีตรึกนึกในใจ ยังมีความสงไสยไม่เชื่อก่อน
ดูน่าขันจริงแท้ไม่แน่นอน เมื่อตอนคํ่าตัวอาบูหะซัน
เปนพวกชาวพ่อค้าวานิช คิด ๆ ขึ้นมาก็น่าขัน
ได้กลับมาเปนองค์พระทรงธรรม์ รวดเร็วฉับพลันทันท่วงที
ตริพลางทางสะเทินนึกเขินขวย ให้งงงวยเปนอย่างไรไฉนนี่
ประหลาดหลากเหลือใจใช่พอดี ไยมาเปนเช่นนี้ก็สุดคิด ๚
๏ นางกำนัลช่วยกันเปลี่ยนภูษา แต่งกายาให้อาบูทรงภูษิต
สวมเสื้อพื้นกำมะหยี่สีสำริด ลายสุวรรณวิจิตรเปนดอกลอย
ทรงมหามาลาเนาวรัตน์ ตรูตรัจมลังเมลืองเฟื่องห้อย
พิศแสงช่วงร่วงรุ้งพุ่งพร้อย สุกย้อยยับ ๆ จับในตา
ถวายพระแสงกั้นหยั่นกัลเม็ด ประดับเพ็ชรเหน็บแนบพระภูษา
พระแสงปืนทองคำถมยา กระบี่คำควรค่าคู่นคร
งามดังองค์ธิบดินทร์ปิ่นพิภพ เครื่องราชูประโภคครบไม่ลดหย่อน
เสร็จแล้วยุรยาตรนาดกร บทจรออกพระโรงพรรณราย
พวกยุนุกแลสุรางค์นางกำนัล ต่างเดินตามหะซันผันผาย
แซงสองข้างมรรคาทั้งขวาซ้าย เมศเรอตัวนายนำน่ามา
พวกชาวที่เปิดบานทวารรับ น้อมคำนับบังคมก้มเกษา
อาบูยูรยาตรคลาศคลา รีบออกมาถึงท้องพระโรงคัล
เมศเรอเชิญขึ้นบนแท่นรัตน์ ที่บรมกระษัตริย์รังสรรค์
เข้าประคองเคียงกายนายหะซัน ขึ้นบนบัลลังก์รัตน์ชัชวาลย์
ต่างประนมก้มเกษลงคำนับ วิเซนรับเสียงแตรแซ่บรรสาน
มโหรทึกกึกก้องเปนกังวาน โอฬารพรรฦกเสียงครึกโครม
ทหารราชวัลลภยืนสล้าง ดูท่าทางเหมือนจะปะทะโถม
ทั้งท่วงทีเข้มขันประจันโจม จะรอนโรมข้าศึกไม่นึกกลัว
ยืนประจำริมผนังพระโรงใน แต่ละตนว่องไวมิใช่ชั่ว
ถือสาตราอาวุธประจำตัว รายอยู่ทั่วที่ผนังพระโรงคัล
เมื่ออาบูขึ้นนั่งบัลลังก์ราช ดูท่วงทีองอาจเห็นคมสัน
พวกข้าเฝ้านบน้อมลงพร้อมกัน อภิวันท์อวยไชยถวายพร ๚
๏ ครานั้นกาหลิบธิบดี พระภูมีชื่นชมสโมสร
มาแอบบังหลังทวารอันบวร ภูธรทอดพระเนตรดูหะซัน
ได้เห็นเสนาหมู่ข้าเฝ้า อ่อนเกล้าไม่รังเกียจเดียดฉัน
ดูเกรงยำทำถ่อมพร้อมกัน ยิ่งโปรดปรานหะซันเพิ่มภูล ๚
๏ จะกล่าวถึงอรรคมหาเสนา นามไกฟาข้าบาทนเรนทร์สูร
ปรากฎสมยศบริบูรณ์ สืบตระกูลมาตยามาช้านาน
เปนที่แครนด์วิเซียราชสฤษดิ์ ราชกิจฝ่ายน่าได้ว่าขาน
เปนผู้สำเร็จเด็ดขาดราชการ ในผู้ผ่านแบคแดดธานี
บทจรเข้ามายังที่เฝ้า แล้วน้อมเกล้าลงประนตบทศรี
จึงทูลถวายพรพลันทันที ตามประเพณีผู้ผ่านซึ่งเวียงไชย
ขอพระองค์ผู้ทรงธรรมเที่ยงธรรม์ ปราศจากไภยันต์สบไสมย
จงเจริญศุขสำราญราชฤไทย การสิ่งไรพระประสงค์จำนงปอง
ให้สำเร็จเสร็จดังพระไทยมาด อย่าเคลื่อนคลาศสมถวิลสิ้นทั้งผอง
ในโลกน่าพระองค์จงสมพอง[๑] ได้สู่ห้องพิมานสวรรค์ชั้นฟ้า ๚
๏ ฝ่ายอาบูได้ฟังบังคมทูล เปนเค้ามูลก็สิ้นความกังขา
ด้วยสมจิตรที่คิดเจตนา ไม่ไตรตราถ่องแท้ให้แน่ใจ
จึงสำแดงอำนาจราชฤทธิ ปกาสิตเรียกวิเซียขุนนางใหญ่
ท่านวิเซียมีธุระสิ่งอะไร จงบอกไปบัดนี้อย่าได้ช้า
แครนด์วิเซียได้สดับพจนาดถ์ อภิวาทน้อมประนมก้มเกษา
ทูลว่าหมู่ข้าบาทมุลิกา พร้อมกันมาคอยเฝ้าเจ้าธานี
นายอาบูได้ฟังจึงสั่งตอบ โดยระบอบแบบกระษัตริย์เรืองศรี
ให้ขุนนางเข้ามาบัดเดี๋ยวนี้ การใครมีจะได้ว่าเปนน่าไป
ไกฟาเสนาได้สดับ น้อมคำนับเกษก้มบังคมไหว้
แล้วออกมาเบิกทวารชั้นใน เรียกขุนนางเข้าไปพร้อมกัน
พวกขุนนางต่างจัดกันตามยศ พร้อมหมดทีละคู่ดูคมสัน
เข้ามาน้อมเกษก้มบังคมคัล แทบสุวรรณแท่นรัตน์กระษัตรา
ยืนเรียงกันโดยลำดับเปนตับไป ตามผู้น้อยผู้ใหญ่ทั้งซ้ายขวา
ไม่ก้าวก่ายทลึ่งทลั่งอหังกา ถอยถดลดลงมาตามหมวดกรม ๚
๏ อาบูแลดูหน้าหมู่ข้าเฝ้า เห็นแต่งกายไม่เศร้าสวยสม
หมดจดตามยศอย่างอุดม ก็ชื่นชมโสมนัศปรีดา
จึงไกฟาเสนาผู้ภักดี ยืนน่าหมู่เสนีในฝ่ายน่า
แล้วอ่านบอกถวายมิได้ช้า ด้วยราชการภาราสารพัน
นายอาบูกาหลิบได้สดับ ก็บังคับการกิจไม่ผิดผัน
ตามประเพณีองค์พระทรงธรรม์ ด้วยหะซันนั้นไซ้ไวปัญญา
แล้วดำรัสตรัสเรียกพนักงาน นครบาลเร็วไวอยู่ไหนหวา
ไปจับชายอาจารย์ตัวการมา กับศิษย์หาสี่คนเปนต้นคิด
มันสั่งสอนสาสนามะหะหมัด มาตู่ผลัดแปลงเปลี่ยนจนเพี้ยนผิด
ยกตัวขึ้นเปนครูผู้สัมฤทธิ์ สั่งสอนศิษย์อุตริลัทธิพาล
มันอยู่วัดชื่อโพ้นข้างโน้นแน่ เหมือนกระแสเราสั่งดังบรรหาร
มาเฆี่ยนเสียที่กลางสถลมารค์ ทำประจานอย่าให้มีปรานีมัน
อ้ายตัวครูผู้ใหญ่เฆี่ยนให้หนัก ตีสะบักอย่าให้ปลอดตลอดสัน
เต็มสี่ร้อยนับบรรจบให้ครบครัน ลูกศิษย์นั้นคนละร้อยอย่าถอยทด
แล้วให้ขึ้นขี่อูฐทั้งห้าคน อ้ายสัปดนกลับหน้ามาหลังหมด
ตระเวนรอบพระนครอย่าหย่อนลด ประกาศกฎร้องป่าวชาวบุรี
อย่าให้ใครดูอย่างอ้ายชาติชั่ว แล้วขับไล่ใสหัวจากกรุงศรี
อย่าให้มันเหยียบพื้นปัถพี ในธานีของกูสูจงไป
นครบาลรับโองการนรินทร์ราช รีบลีลาศเร็วจริงวิ่งออกไขว่
ฉวยได้เครื่องพันธนาพากันไป โดยฉับไวรีบรัดถึงวัดวา
พบอิแมนตัวครูเปนผู้เถ้า ต่างกรูเข้าไล่ขยิกจิกเกษา
ฉวยโซ่ใส่ฅอซ้ำแล้วจำคา พันธนาผูกรัดมัดไป
ตะคอกขู่ร้องด่าว่าอ้ายนี่ บ้างทุบตีฉุดคร่าไม่ปราไส
แล้วช่วยกันค้นคว้าหาข้างใน จับศิษย์สี่คนได้ตัวมา
ธำมรงล่ามโซ่สายเหล็กใหญ่ แล้วผลักไสลากก้มล้มถลา
ไปบัดเดี๋ยวเลี้ยวลัดพ้นวัดวา ถึงศาลาซักถามได้ความจริง
ตัวอิแมนสารภาพรับเปนสัตย์ ได้ความชัดแม่นแท้แน่ทุกสิ่ง
ไม่ต้องสืบคำพยานมีค้านติง ครั้นได้จริงแล้วก็ยึดนักโทษลง
เฆี่ยนอิแมนตัวดีไม่มีน้อย ครบสี่ร้อยดังหะซันนั้นประสงค์
ลูกศิษย์ตีร้อยถ้วนจำนวนคง แล้วธำมรงพาตัวตระเวนไป
ให้ขี่อูฐกลับหน้ามาข้างหลัง ตามรับสั่งเสร็จสรรพแล้วขับไล่
มิให้อยู่ในประเทศเขตรเวียงไชย แล้วกลับไปกราบทูลมูลคดี ๚
๏ อาบูได้สดับสารสำราญจิตร ด้วยสมคิดปรีดิ์เปรมเกษมศรี
แต่ตรึกตรองปองหมายมาหลายปี จนคราวนี้จึงได้เสร็จสำเร็จการ
แล้วแย้มเยื้อนเอื้อนโอษฐโปรดประภาษ พจนาดถ์สุนทรอันอ่อนหวาน
เออเราใช้ให้ไปก็ได้การ นครบาลทำชอบข้าขอบใจ ๚
๏ ส่วนกาหลิบลอบดูอยู่ในห้อง เห็นหะซันทำต้องอัชฌาไศรย
พระองค์แสนสำราญพระหฤไทย ภูวไนยแย้มยิ้มด้วยยินดี ๚
๏ จะกล่าวกลับจับเรื่องหะซันใหม่ ยังเนาในท้องพระโรงเรืองศรี
สถิตย์เหนือแท่นรัตน์รูจี จึงสั่งมหาเสนีไกฟา
ท่านจงไปเบิกทองคำนํ้าเก้า มาให้เราพันลิ่มเร็ว ๆ หนา
แล้วจึงนับสำรวจตรวจตรา ไปมอบให้มารดานายอาบู
บ้านเขาอยู่ในตำบลถนนโพ้น คนที่ในบ้านโน้นรู้จักอยู่
ชื่อว่านางจอบแก้วผู้โฉมตรู เปนมารดานายอาบูจงสำคัญ
ไกฟาเสนาคำนับไหว้ รีบออกไปที่คลังขมีขมัน
เบิกทองคำน้ำเก้ามาด้วยพลัน นับได้พันลิ่มครบตามบัญชา
จึงขนไปบ้านนางจอบแก้ว ครั้นถึงแล้วส่งให้มิได้ช้า
แครนด์วิเซียจึงแถลงแจ้งกิจจา ให้มารดานายหะซันนั้นเข้าใจ
ว่าพระองค์ผู้ดำรงอาณาจักร พระทรงศักดิโปรดปรานเปนการใหญ่
ทรงพระราชเมตตากว่าใครใคร รับสั่งให้นำทองมาประทาน
ท่านจงรับทองคำพันลิ่มไว้ สุดแต่ใจของท่านจะบรรหาร
จะจำหน่ายขายซื้อรับประทาน ตามแต่การจะประกอบที่ชอบใจ
ครั้นเสร็จสรรพจึงกลับเข้ามาเฝ้า แถลงเล่าทูลตามเนื้อความไข
ว่าข้าแต่พระองค์ผู้ทรงไชย รับสั่งให้ข้าบาทมุลิกา
นำทองคำพันลิ่มไปประทาน ให้นงคราญจอบแก้วที่เคหา
ข้าได้ทำตามพระราชบัญชา ขอทราบใต้บาทาพระทรงธรรม์ ๚
๏ จะกล่าวถึงมารดานายอาบู เมื่อคิดดูแล้วก็เห็นเปนความขัน
อยู่ดี ๆ ไยองค์พระทรงธรรม์ ส่งทองพันลิ่มมาพระราชทาน
นี่เหตุผลต้นปลายไฉนหนอ ไม่แจ้งข้อกังขาที่ว่าขาน
อันผู้ที่นำทองของประทาน ไม่แจ้งการเรื่องราวให้เข้าใจ
เปนแต่ว่าโปรดปรานเรานักหนา คำที่ว่านั้นเปนข้อที่สงไสย
เรากับองค์กาหลิบธิปไตย ก็ยังไม่รู้จักกันสักครา
นึกดีใจขนทองเข้าห้องหับ เปนหลายกลับเหน็ดเหนื่อยเมื่อยนักหนา
ทีนี้รวยเหลือล้นคณนา ไม่ต้องพักหนักบ่าระบมกาย ๚
๏ จะกล่าวถึงเสนาที่มาเฝ้า ตั้งแต่เช้าต้องทนอยู่จนสาย
ไม่เผลอเพลินคอยระมัดประหยัดกาย หยิบขยายนาฬิกาออกมาดู
เห็นเวลานั้นจวนจะควรออก กระซิบบอกกันเบา ๆ พอเข้าหู
พวกขุนนางคับคั่งอยู่พรั่งพรู ต่างลุกกรูขึ้นคำนับอัภิวันท์
บังคมลาออกมาจากที่เฝ้า รีบคลาศเต้าแยกย้ายกันผายผัน
ตรงไปสู่เคหาไม่ช้าพลัน แล้วชวนกันเสพย์รศโภชนา
ยังอยู่แต่พวกขุนนางกรมวัง ไม่คืนหลังกลับไปสู่เคหา
อยู่ประจำกิจการพระผ่านฟ้า คอยระวังรักษานายหะซัน
ครั้นอาบูเลื่อนองค์ลงจากอาศน์ ยุรยาตรเยื้องกรายผายผัน
เมศเรอเข้าไปรับด้วยฉับพลัน ลำดับนั้นนายสนองประคองเคียง
ทั้งสองนายเข้าประคองทั้งสองข้าง ไม่หันห่างอยู่ซ้ายฝ่ายเฉวียง
พนักงานทั้งหลายอยู่รายเรียง ไม่หลีกเลี่ยงหลบหน้ามาระวัง
ไกฟานำหะซันนั้นคลาคลาศ เข้าสู่อาศน์พระโรงในเหมือนใจหวัง
เชิญอาบูขึ้นสถิตย์บนบัลลังก์ เปิดทวารบานบังสว่างตา
ชาวดนตรีเป่าแตรสรรเสริญ เยิรพระยศไพเราะเพราะหนักหนา
สำหรับยศกรุงกระษัตริย์ขัติยา ในภาราแบคแดดพระนคร ๚
๏ ครั้นอาบูได้นั่งบัลลังก์แล้ว ค่อยผ่องแผ้วภิญโญสโมสร
ให้เพลินจิตรมิได้คิดอนาทร ที่ทุกข์ร้อนลืมสิ้นไม่กินใจ
จึ่งหลงปลื้มลืมตนที่ต่ำศักดิ ทำฮึกฮักแล้วจิตรคิดสงไสย
จะว่าจริงฤๅฝันเปนฉันใด การสิ่งไรเล่าก็รู้อยู่ทุกอัน
จะพูดจาสารพัดก็ชัดเจน ตาก็เห็นแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์
เขาพูดฟังก็ชัดสนัดกรรณ ไม่ผิดผันเลยหนอสักข้อเดียว
ที่เราออกปากสั่งแลบังคับ ก็สำเร็จเสร็จสรรพไปฉับเฉียว
อันแข้งขายุรยาตรก็ปราดเปรียว เดินหลายเที่ยวตัวก็รู้อยู่แก่ใจ
นี่ตัวเราเปนพระเจ้าทรงธรรม์แน่ จะแม่นแท้จริงหือฤๅไฉน
ทั้งผู้คนกล่นกลาดเฝ้าดาดไป ใครที่ไหนเล่าเอ๋ยได้เคยมี
อันกาหลิบธิบดินทร์ปิ่นกระษัตริย์ ครองสมบัติแบคแดดบุรีศรี
แผ่นดินเดียวเจ้าสองครองบุรี แต่ก่อนกี้นั้นไซ้มิได้เปน
ทั้งเสนามาตยาที่มาเฝ้า ก็อ่อนเกล้ากราบไหว้เราได้เห็น
เขาเตรียมมาคอยเฝ้าทั้งเช้าเย็น ตัวเราเปนกาหลิบเปนแน่นอน
ตริพลางทางลงจากราชอาศน์ ยุรยาตรดังพระยาไกรสร
เที่ยวชมราชศฤงฆารอันบวร บทจรชมพระราชมณเฑียร
ดำเนินพลางทางมองทุกช่องฉาก ล้วนแลหลากลวดลายระบายเขียน
กนกแนมแกมมาศดาษเดียร ผนังเนียนทาสีมีลายทอง
ติดกระจกเงางามอยู่ตามที่ มีมุลี่บังไว้มิให้หมอง
ไขวิสูตรสองบานพุดตาลกรอง มีภู่ทองห้อยประจำล้วนคำพราย
เพดานพราวดาวมาศประหลาดแพร้ว ระย้าแก้วเรือนสุวรรณอันเฉิดฉาย
ฉลุฉลักทรงทรวดเปนลวดลาย ทั้งเจ็ดโคมแขวนรายอยู่พรายตา
มีโต๊ะกลมตั้งหว่างกลางประจำ พานทองคำลายจำหลักปักบุบผา
ทั้งเจ็ดโต๊ะเรียงกันเปนหลั่นมา ยกพานใส่มาลาขึ้นตั้งกลาง
จัดนารีมาบำเรอเจ็ดสำรับ ทั้งร้องขับเจนจัดไม่ขัดขวาง
มีดนตรีสำหรับกับมือนาง แล้วไว้วางวงหนึ่งเจ็ดนารี
ล้วนสำหรับขับประโคมประโลมบาท บรมนารถเจ้าพิภพบุรีศรี
เมื่อเสด็จมาประทับแท่นมณี ได้ดีดสีถวายองค์พระทรงธรรม์
ยังมีนางเจ็ดอนงค์ล้วนทรงศักดิ นรลักษณ์เพียงเทพรังสรรค์
อรชรอ้อนแอ้นเอววรรณ ผิวพรรณผุดผ่องลอองนวล
ประดับสร้อยเกยูรสุวรรณรัตน์ ภูษาพัตรรํ่าประทิ่นกลิ่นหอมหวล
ดูงามงอนอ่อนจริตกระบิดกระบวน เย้ายวนยั่วใจน่าใคร่ชม
ถือพัดวาลวิชนีทั้งเจ็ดนาง ทรงสำอางรื่นรวยดูสวยสม
เคยอยู่งานยามเสวยรำเพยลม เมื่อบรมกระษัตริย์เธอยาตรา
หะซันแสนเปรมปรีดิ์เปนที่สุด ยิ่งบุรุษทั้งหลายในใต้หล้า
เดินลีลาศนาดกรายส่ายตา สอดหาลดเลี้ยวเที่ยวเมิลมอง
แต่ดวงจิตรยังคิดระแวงฉงน ให้มัวหม่นอยู่ในจิตรคิดขัดข้อง
ไม่ถ่องแท้แน่ใจในทำนอง ยิ่งตรึกตรองกังขาพะว้าพะวัง ๚

ท่อนที่ ๓

ขุนวิสูตรเสนีแต่ง

๏ ครานั้นอาบูผู้ภักดี เห็นนารีสวยสมอารมณ์หวัง
มานั่งเหนือปัญจอาศน์ราชบัลลังก์ เจ็ดนางนั่งน้อมกายถวายกร
ต่างหมอบเรียงเคียงขนานอยู่งานพัด รอบแท่นรัตน์เจ็ดเจ้าสาวสมร
ดูเรียบเรียงเมียงม้วนสงวนงอน อรชรชูใจประไพพริ้ง
เมื่อหะซันผันพบเลี่ยงหลบเขิน ทีสเทินเมินประหม่ามารยาหญิง
หะซันคิดจิตรกำหนัดประวัติประวิง ยิ่งดูยิ่งเสียวกระสันร้อนรัญจวน
กระหยิ่มจิตรคิดกำหนัดประวัติสวาดิ ใจมุ่งมาดหมายมั่นปั่นป่วน
แย้มยิ้มพลางกล่าวคำแกมสำรวล ขอบใจนวลขนิษฐาเจ็ดนารี
อุส่าห์พัดให้พี่เย็นไม่เย็นจิตร นั่งชิด ๆ แลจะชื่นอุราพี่
มิควรเหนื่อยเมื่อยหัดถ์ด้วยพัดวี มานั่งนี่มาแม่มาอย่าสเทิน
พลางยิ้มพรายชายตาพาที มิพอที่มัวหมางระคางเขิน
ผินพยักภักตร์พบนางหลบเมิน เบือนหน้าหนีทีสเทินอยู่ในที ๚
๏ อาบูเยื้อนเตือนไปมิให้หมอง เชิญหกน้องสายใจนั่งใกล้พี่
คนหนึ่งพัดผลัดกันก็พอดี มะมานี่หน่อยแม่คุณขออุ่นใจ
ได้ร่วมภาชนะทองกับน้องแก้ว ถึงอิ่มแล้วก็จะซดหางดไม่
จะชื่นฉํ่าสำราญสักปานไร ดังพี่ได้รศทิพย์สักสิบรศ ๚
๏ ทั้งหกนางฟังปลอบเห็นชอบที ทุกนารีแย้มเยื้อนขะเยื่อนขยด
ขึ้นร่วมเตียงเมียงหมอบนอบประนต โดยกำหนดขวาซ้ายเรียงรายกัน
ข้างละสามงามระเบียบดูเรียบร้อย ช่างชดช้อยแลเลิศโฉมเฉิดฉัน
ที่ขวยเขินเมินม่ายเมียงมัน เนตรหะซันผันพบเลี่ยงหลบเมิน ๚
๏ ครานั้นอาบูเจ้าชู้นึก กำลังคึกตอบว่าเจ้าอย่าเขิน
เสพย์ด้วยกันวันนี้พี่ขอเชิญ อย่าสเทินจะช่วยป้อนสมรมิตร
เจ้าทั้งเจ็ดโฉมงามนามไฉน ช่วยแจ้งใจให้ประจักษ์แต่สักหนิด
เมื่อห่างห้องปองชมไม่สมคิด ได้ชื่อชิดแทนโฉมประโลมใจ ๚
๏ นางหนึ่งจึงพร้องสนองพลัน หม่อมฉันชื่อโฉมจันทร์จำรัสไข
สุริเยศที่สองรองลงไป นั่นพึงเนตรน้ำใจสวาดิวอน
โน่นชื่นจิตรคิดหมายไม่วายหวัง คนนั้นชื่อปะการังดวงสมร
นี่หยกขาวสาวเอี่ยมอรชร โน่นอ้อยอ่อนโฉมตรูที่อยู่งาน ๚
๏ ครานั้นหะซันมุ่งมันเขี้ยว จึงกล่าวเกี้ยวเสริมซํ้าข้อคำหวาน
ช่างสมรูปสมนามงามตระการ เปรียบประมาณโฉมทิพย์ที่ลิบลอย
แม้นดังดวงพวงผกาสารพี สักร้อยปีพี่จะมานะสอย
หญิงทั้งสามภพไตรเมืองใหญ่น้อย จะเปรียบกลอยจิตรพี่ไม่มีเลย
พูดพลางสอดส่ายไนยนา ประสบตาทีไรไม่ใช่เฉย
คิ้วก็ไหวใจก็กล้าตาก็เคย ด้วยหวังเชยชมขวัญร้อนรัญจวน
เหมือนไก่แก้วแววไวที่ไร้รัก กำลังคักขันอิ๋กตีปีกป่วน
ทั้งอิ่มโอษฐ์อิ่มหนำที่น้ำนวล ใจก็ยวนยั่วกระหยิ่มด้วยอิ่มใจ
เสพย์พลางพูดพลางช่างฉอเลาะ ทีออเซาะสิ้นที่จะมีไหน
คเนนึกตรึกกริ่มยิ้มลไม หวังมาไลยลอยฟ้าสุมามาลย์ ๚
๏ ครานั้นเจ็ดเจ้าสาวสวรรค์ เห็นหะซันเสร็จเสพย์กระยาหาร
ต่างเลื่อนเครื่องเยื้องย่องประคองพาน ส่งนางพนักงานไปทันที
จัดอ่างแก้วเต็มชลสุคนธรศ น้อมประนตสระหัดถ์ขัดสี
ผ้าสำหรับเช็ดหัดถ์จัดที่ดี เปนของที่ชั้นสองเครื่องรองทรง ๚
๏ ครานั้นเมศเรอผู้แยบคาย ขุนนางฝ่ายกรมวังดังประสงค์
กาหลิบใช้ไว้วางต่างพระองค์ ก็คลานตรงเข้าไปเชิญดำเนินจร
นำมายังเรือนจันทน์ชั้นที่สอง ดูงามเรี่ยมเอี่ยมอ่องกว่าห้องก่อน
พนักงานข้างในไขบัญชร แล้วถอดกลอนเบิกบานทวารรับ ๚
๏ ครานั้นอาบูผู้เปนใหญ่ ยังมิได้แจ้งจิตรกิติศัพท์
เห็นฉากชั้นกั้นห้องทองระยับ พลอยประดับดูเพลินเจริญตา
ผนังเขียนเขาไม้ในไพรสณฑ์ มีรูปคนแยบคายหลายภาษา
จัตุบาททวิบาทสอาดตา สกุณามากมายมีหลายพรรณ
ม่านโหมดเทศภู่ทองรองพื้นเขียว มีขอเกี่ยวที่พระแกลแลเปนหลั่น
พื้นล่างปูศิลาลายพรายพรรณ เขียวขาบคั่นนากสวาดิสอาดตา
แม้นคิมหันตระดูอยู่ข้างร้อน มาพักผ่อนที่นั้นให้หรรษา
เย็นพระไทยในมนัศกระษัตรา เมื่อเวลาเที่ยงวันเธอบรรธม
ที่ห้องในไว้เครื่องราชูประโภค มีโต๊ะโตกตั้งรองล้วนทองถม
สีสลับระยับตาน่าชม ตั้งโต๊ะกลมพระเก้าอี้ที่ประทับ
ที่หว่างโต๊ะตั้งถาดสอาดดา ผลผลาหลายอย่างวางประดับ
ใส่ขวดตั้งฝังพลอยย้อยระยับ แลสลับแซมสีมณีนิล
นางสำหรับขับกล่อมซ้อมสันทัด ทรามกำดัดแลเลิศโฉมเฉิดฉิน
บำเรอราชหัทยาเจ้าธานินทร์ พร้อมพวกพิณพาทย์เสร็จเจ็ดสำรับ
รวมบรรดานารีสี่สิบเก้า ล้วนเยาว์ ๆ ขาวผ่องน่าต้องจับ
นางประโคมดนตรีที่ประทับ กำหนดนับเจ็ดนางสำอางตา
แต่งเครื่องสรรพาภรณ์ไม่หย่อนยศ มรกฎเพ็ชรดีมีค่า
ติดเรือนทองชมพูนุทสุดราคา ส้อยโสภาผิวเนื้อล้วนเจือจันทน์
แม้นชายใดได้ยลวิมลภักตร์ กำเริบรักรุ่มร้อนถึงนอนฝัน
ทั้งงามทรงงามศรีฉวีวรรณ ถือพัดนั้นครบทั่วทุกตัวนาง
แม้นองค์เจ้านัครามาประทับ คอยคำนับงานพัดไม่ขัดขวาง
หอมประทิ่นกลิ่นส่งทรงสำอาง ทั้งรูปร่างน่ารักภักตร์เปนนวล
เห็นหะซันเข้ามาพากันหมอบ เหมือนนบนอบรับเสด็จทั้งเจ็ดถ้วน
เนตรคำนับรับแต่ไกลไว้กระบวน ชะม้อยม้วนนบน้อมอยู่พร้อมกัน ๚
๏ อาบูเล็งเพ่งพินิจพิศวง ดังลอยลงจากห้องสรวงสวรรค์
จะแลไหนไพรพริ้งทุกสิ่งอัน ยืนงงงันชมชิมไม่อิ่มใจ
ย่างช้า ๆ มานั่งยังเก้าอี้ แล้วจึงมีวาจาปราไส
เชิญแก้วตามานี่ทีเปนไร อย่าตั้งใจพัดวีให้พี่เลย ๚
๏ ครานั้นเจ็ดนางเจ้าสาวสวรรค์ ฟังหะซันซ้ำเตือนไม่เชือนเฉย
ทำเนตรอ่อนงอนจริตด้วยจิตรเคย แล้วคลานเลยเข้าไปใกล้หะซัน ๚
๏ ครานั้นอาบูเจ้าชู้ชัด หวังกระหวัดหวุดหวิดจิตรกระสัน
เช่นคชางาแหลมเมื่อแย้มมัน เฝ้ามุ่งมั่นหมายนึกสอึกชน
นิ่งพินิจพิศนางไม่วางเนตร นึกสังเกตวุ่นวายหลาย ๆ หน
เคยเที่ยวเล่นเห็นแต่สาวพวกชาวพล มาได้ยลนางในใจประวิง
จะแลไหนก็วิไลยไปทุกแห่ง ดูน้อยแน่งน่าชมสมเปนหญิง
เนตรขนงวงวิไลยประไพพริ้ง ยิ่งดูยิ่งพาเพลินเจริญตา
จึงกล่าวความว่าทรามสวาดิพี่ อย่าราคีเคืองข้องนะน้องหนา
เจ้างามทรงวงภักตร์ลักษณา กัลยาโฉมงามนี้นามใด
ขอชมงามยามเศร้าเมื่อเร่าร้อน ดังกอดก้อนน้ำแขงแท่งใหญ่ใหญ่
พอเย็นโสตรเย็นทรวงเย็นดวงใจ เพราะรักใคร่พี่จึงถามนามอนงค์ ๚
๏ ครานั้นนารีศรีสวัสดิ ประสานหัดถ์ตอบตามความประสงค์
จะประมูลทูลนามตามจำนง แต่รูปทรงไม่สู้งามมีความอาย
ไม่เหมือนน้องห้องโน้นที่โอนอ่อน อรชรชื่อเพราะฉอเลาะหลาย
หม่อมฉันนี้ทีเสงี่ยมจิตรเจียมกาย รูปก็ร้ายชื่อช่อยไม่ช้อยชด
จะประมูลทูลถวายยังอายจิตร สุดจะคิดยากพร้อมต้องออมอด
จะนิ่งอยู่ดูดังขัดมัธุรศ พอสบเนตรก็ประนตประนมกร ๚
๏ โอ้พุ่มพวงหวงกันจนชั้นชื่อ ฝ่ายพี่ฤๅสุดรักสมัคสมร
อกจะพังเสียเพราะหวังสวาดิวอน เจ็ดบังอรเมื่อไม่เห็นก็เปนดี
พี่รักเจ้าไม่มีที่จะเทียบ โดยจะเปรียบเกินกว่าดวงตาพี่
เจ้าดวงแก้วแววตาจงปรานี พอเปนที่ส่างสบายเถิดสายใจ
นางหนึ่งจึงเตือนเพื่อนสกิด อย่าเบี่ยงบิดท่านจะขัดอัชฌาไศรย
หล่อนทูลความตามซื่อดื้อทำไม ฉันจะได้ทูลตามเปนความดี
ดูเอาเถอะหล่อนจ๋าว่าไม่ขัน มาเกี่ยงกันก็ได้ไฉนนี่
ใครอยู่น่าต้องประมูลทูลคดี ก่อนผู้ที่อยู่หลังจึงบังควร ๚
๏ ครานั้นอาบูรู้น้ำจิตร จึงกล่าวกิจว่าเจ้างามทรามสงวน
จะเกี่ยงกันฉันใดไฉนนวล จงบอกไปให้ถ้วนทุกอนงค์ ๚
๏ ครานั้นนารีศรีสวัสดิ ประสานหัดถ์แจ้งนามตามประสงค์
หะซันฟังนั่งชมว่าสมทรง มีจิตรจงเจ็ดนางไม่วางใจ
จึงกล่าวว่ารูปก็งามนามเสนาะ เชิงฉอเลาะล่อตาหาที่ไหน
แล้วหยิบผลมะเดื่อว่าเหลือใจ แสร้งส่งให้สร้อยจิตรวนิดา
แล้วกล่าวคำรํ่าวอนสมรมิ่ง เปนความจริงมิได้แกล้งแสร้งมุสา
นามน้องน้อยสร้อยจิตรโฉมติดตา รึงอุราร้อนจิตรด้วยฤทธิรัก
ตั้งแต่พบประสบเจ้าสาวน้อย รักเปนสร้อยสอดจิตรติดทรวงหนัก
เต็มวิตกอกร้อนไม่ผ่อนพัก สุดที่จักปลดสร้อยที่ร้อยทรวง
เจ้าจงรับไมตรีของพี่บ้าง อย่าระคางเคืองแค้นเฝ้าแหนหวง
ได้ดับโรคโศกเสิมที่เติมตวง เพราะเจ้าดวงใจพี่มีน้ำใจ
แล้วหยิบพวงองุ่นงอมตระการ มาจากพานถมยาแล้วปราไส
ว่าเศร้าจิตรนามเจ้าเหมือนเศร้าใจ หมายมาไลยพวงน้อยยังลอยลิบ
อยากชมคำสำเนียงเสียงสักแว่ว ปลาดแล้วหลากจริงช่างนิ่งกริบ
ดังหมายดวงพวงพุ่มประทุมทิพย์ คิดจะหยิบยื่นให้ก็ไกลมือ
ไม่สมหวังดังคิดในจิตรพี่ ทรวงเท่านี้มิหักเพราะรักฤๅ
ยามวิโยคโศกเศร้าจะเล่าฦๅ สมดังชื่อโฉมเศร้าที่เปล่าดาย
ขอจงรับไมตรีของพี่ไว้ แต่พอให้เศร้าส่างเหือดห่างหาย
คงชีวันยังจะรอดไม่วอดวาย เพราะสาวสายสุดใจรับไมตรี
แย้มพยักทักถามทุกอนงค์ ลูกไม้ส่งยื่นให้แจ่มใสศรี
หลงปลาบปลื้มลืมวิญญาด้วยนารี เริงฤดียิ้มแย้มกระแอมไอ ๚
๏ สุริยฉายบ่ายบังกำลังดี ท่านเมศเรอเสนีผู้ใหญ่
ทูลสมมุติกระษัตริย์ขึ้นบัดใจ ว่าห้องในต่อนี้ยังดีครัน
ขอพระองค์จงเสด็จไปประพาศ อนงค์นาฏนักสนมที่คมสัน
เครื่องต่างต่างแยบคายมีหลายพรรณ แล้วนำน่าพาจรัลรีบไป ๚
๏ ครั้นถึงห้องที่สามงามสอาด ปลาดกว่าสองห้องผ่องใส
ทั่วทุกสิ่งยิ่งประเสริฐเลิศวิไลย จะดูใดให้เพลินเจริญตา
ผนังกั้นชั้นในใสสอาด ดูโอภาษแพรวพรายด้วยลายฝา
พื้นระยับประดับด้วยโมรา ลายก็น่าชมเหลือเปนเครือวัลย์
ลดเลี้ยวเกี่ยวกันพันรอบเสา ลายเฉลาฉลุเลิศแลเฉิดฉัน
มีช่ออ่อนซ้อนแซมผลแกมกัน ที่ในนั้นสอดสีมณีนิล
สีม่วงแซมแกมขาวราวกับเขียน ดูแนบเนียนดังระบายด้วยลายหิน
ถ้วนทุกสิ่งใสสดหมดมลทิน หะซันผินภักตราตั้งตาชม
ถึงลดหลั่นชั้นในใสสอาด ศิลาลาดล้วนแดงสดแสงสม
สุริยฉายบ่ายแสงแฝงพนม ดูในร่มสุกสว่างดังกลางวัน
ด้วยศิลาเงาดีสีสอาด แลปลาดล้วนแดงดังแสร้งสรร
วะวาบวับจับสีสุริยันต์ ควรเปนขวัญไนยนาเวลาชม
มีเครื่องตั้งต่าง ๆ วางเรียงเรียบ ห้องประเทียบที่พักนักสนม
พนักงานดนตรีที่นิยม ล้วนน่าชมพร้อมเสร็จมีเจ็ดวง
วงละเจ็ดคนถ้วนจำนวนนับ คนเสียงขับแจ่มสำเนียงดังเสียงหงษ์
มีโต๊ะตั้งเครื่องสุวรรณบรรจง ล้วนลายลงย้อมยาราชาวดี
ใส่กระยาหารที่หวานมัน ดวงกุดั่นประดับเพ็ชรพลอยเจ็ดสี
รศขนมโอชาบรรดามี ล้วนอย่างดีหลายอย่างต่าง ๆ กัน
พร้อมเสร็จเจ็ดที่มีระยะ เปนจังหวะแลหลากในฉากกั้น
มีสาวเสร็จสุรางค์นางกำนัล เครื่องสุวรรณระยับประดับกาย
ประกอบแก้วปัทมราชแลอร่าม ดูสุกพลามอาจสู้สุริยฉาย
หะซันงงหลงปลื้มแทบลืมกาย เฝ้าสอดส่ายจ้องหน้าดูนารี
ยิ่งดูไปใจป่วนไม่ชวนเดิน สติเพลินหยุดประทับกับเก้าอี้
ชวนอนงค์ทรงสำอางหญิงอย่างดี มานั่งที่รอบเรียงเคียง ๆ ไป
นางบำเรอก็จำเรียงมะโหรี เสียงแซ่ซ้องดนตรีปี่ไฉน
เมื่อหะซันนั้นประทับลงฉับไว สังคีตในก็สงบสงัดลง ๚
๏ ครานั้นหะซันผินผันภักตร์ ยิ้มพยักยวนจิตรพิศวง
พูดปราไสไต่ถามนามอนงค์ ยุพยงชี้แจงแสดงนาม
เมื่อได้ฟังหวังจิตรพิศวาศ พินิจนาฎนึกกำหนัดประวัติหวาม
หยิบขนมต่าง ๆ แน่นางงาม จะมีความขวยเขินสะเทินไย
ขอเขิญชิมลิ้มลองหน่อยน้องรัก พี่จักเห็นจิตรพิศมัย
แม้นประจักษ์สักสิ่งที่จริงใจ จิตรพี่เพียงช่อไม้ที่แบ่งบาน
พลางชื่นแช่มแย้มยิ้มพริ้มไพร เพราะหวังใจจงรักสมัคสมาน
ทั้งชื่นตาชื่นใจใดจะปาน นึกสำราญแย้มยิ้มด้วยอิ่มใจ ๚
๏ ครานั้นพระยากาหลิบ ค่อยย่องกริบแฝงดูอยู่ใกล้ ๆ
เห็นถ้วนถี่ทีทำนองต้องพระไทย ภูวไนยนึกเมตตาแก่อาซัน ๚
๏ ครานั้นนาทีตีห้าเวลาบ่าย เมศเรอรู้อุบายก็ผายผัน
คลานไปแจ้งกิจจาไม่ช้าพลัน จวนสายัณห์เชิญพักตำหนักใน
ว่าพลางนำน่าพาจรลี หะซันมีจิตรกำหนัดประวัติไหว
จำเปนจำลาจำคลาไคล ชำเลืองไนยนาสั่งด้วยหวังรัก
เมศเรอนำมาไม่ช้าที ถึงห้องสี่พิฦกตึกตำหนัก
เชิงชาลาน่าทวารที่ชานพัก พวกพนักงานเฝ้าเข้าคำนับ
บ้างเปิดบานทวาราให้คลาไคล มีสาวใช้อยู่ทุกชั้นโดยอันดับ
มโหรีก็จำเรียงเสียงโทนทับ ประสานศัพท์แซ่ซ้องกลองประโคม
ล้วนแต่เหล่าสาวสุรางค์สำอางเอี่ยม พึ่งรุ่นเรี่ยมดุจหล่อลออโฉม
ดังดวงเดือนเคลื่อนคล้อยลอยโพยม หลงประโลมแลเพลินเจริญตา
หะซันแสนพิศวงพะวงสวาดิ เดินนวยนาดเหลียวซ้ายแล้วปรายขวา
นางสเทินเมินหมอบไม่ตอบตา ล้วนทำพาทีกระบวนยั่วยวนใจ
วงละเจ็ดนารีมีกำหนด ล้วนหมดจดภักตร์แอร่มแจ่มใส
ทั้งเจ็ดวงตั้งเคียงเรียงกันไป ดังนางในฟากฟ้าไม่ราคี
เปรียบอับศรกัลยาวราทรง บำรุงองค์เทวราชอันเรืองศรี
เจียนจะปลื้มลืมตนด้วยดนตรี แล้วจรลีเลยจรัลถึงชั้นใน
ผนังพื้นทองบุฉลุลาย ดูเกี่ยวก่ายก้านขดแสนสดใส
ประดับเม็ดเพ็ชรัตน์เรือนอุไร เปนช่อไม้รายริมทับทิมแกม
มรกฎประดับใช้ใบพฤกษา สอาดดาดูดิเรกม่วงเมฆแถม
บุเปนดอกออกอ่อนซอกซ้อนแซม เพทายแนมสอดสีมณีนิล
ไพฑูรย์ดีมีสังวาลประสานแซก ดูงามแปลกหลงชมอารมณ์ถวิล
เปรียบดังทิพสถานพิมานอินทร์ ประเสริฐสิ้นสารพัดไม่ขัดตา
ดูเพดานที่ประดิษฐผิดกับก่อน ดังจันทรที่สำหรับกับเวหา
ที่รอบรายฉายช่วงดวงดารา ทัศนารุ่งระยับประดับพลอย
เม็ดใหญ่ ๆ ใสสว่างกระจ่างแจ่ม วะวาบแวมวามจริงเหมือนหิ่งห้อย
ไม่มัวหมองทองปลั่งดังจะย้อย ดวงเพ็ชรพลอยพร้อยพรายประกายวับ
พื้นปูพรมทองของสำคัญ กรองด้วยไหมเบญจพรรณเปนมันขลับ
แลปลาดลาดปูยี่ภู่พับ ลายสลับเพราพริ้งแก้วชิงดวง
เทียมเทพเทวัญมาสรรค์สร้าง ถวายอย่างทิพสถานพิมานสรวง
แม้นผู้ใดได้เห็นก็เย็นทรวง จนเลยล่วงลืมกินยามยินดี
ที่พระแกลแลสว่างกระจ่างใจ ม่านสองไขโขมพัตรจรัสศรี
มีภู่แก้วแกมทองของอย่างดี ประจำที่พระสูตรสอาดตา
มีเชิงเทียนระย้าแก้วแกมสุวรรณ ตั้งเปนหลั่นเมลืองแจ้งแสงกล้า
ขับพื้นขาววาวสดรจนา ดูจัดจ้าจับสีมณีแนม
มีโต๊ะตั้งหว่างกลางสำอางสอาด ผ้าปูลาดลายกรองพื้นทองแถม
พานทองปลั่งตั้งประทับประกับแกม ดูแซกแซมเปนจังหวะระยะกัน
แลเปนหลั่นชั้นล่างวางพานใหญ่ ชั้นบนไว้ย่อมสมดูคมสัน
มีนาคินทร์ค่อมคล้องประคองยัน สี่เศียรผันสี่ทิศวิจิตรลาย
เมื่อผันแปรแลเห็นเปนระเบียบ ของหวานเทียบตั้งประดับสลับหลาย
ผลไม้ต่าง ๆ จัดวางราย ดูแยบคายเครื่องตระการแลลานตา
ทั้งเจ็ดเครื่องเรืองรองของประเสริฐ ประกอบเกิดปรากฎสมยศถา
ริมผนังตั้งเรียงเคียง ๆ มา มีสุราแลองุ่นไว้จุนใจ
หะซันเล็งเพ่งพินิจจิตรนิวรณ์ ว่าห้องก่อนสิ่งนี้หามีไม่
ว่าต้องห้ามยามอาทิตย์พึ่งอุไทย ท่านมิให้เสพย์ซดรศสุรา
แม้นเลยเที่ยงเบี่ยงบ่ายฝ่ายสายัณห์ ไม่หวงกันตามจะปราถนา
เวลานี้สุริยนต์สนธยา จึ่งไม่ขัดจัดหามาสำรอง
น้อยฤๅขวดมีฝาดูน่ารัก ลายสลักเหลือดีไม่มีหมอง
ถ้วยโมราลายเหลืองดูเรืองรอง มีเชิงทองรองรับประดับพราย
ของนา ๆ ปรากฎรศต่าง ๆ แก้วกระจ่างเงาสอาดปลาดหลาย
ล้วนดี ๆ มีค่าโมราลาย อย่างแยบคายของกระษัตริย์ช่างจัดทำ
แล้วเดินเลยแลมาเห็นนารี ดรุณีน่าชมล้วนคมขำ
ทั้งเจ็ดสาวขาวปลั่งนั่งประจำ วิไลยล้ำดุจหล่อลออตา
สองปรางเทียบเปรียบอย่างมะปรางเปล่ง ภักตร์ดั่งเพ็งจันทร์กระจ่างกลางเวหา
เมื่อแย้มเยื้อนเตือนมนัศทัศนา สุดโสภาผิวผ่องดังทองคำ
เมื่อพิศเนตร ๆ กลมคู่คมศร เมื่อคมค้อนเขินขามก็งามขำ
เหลือบแลพบหลบหนีท่วงทีทำ เปนที่สำราญมนัศเมื่อทัศนา
งามด้วยเครื่องประดับกายสายสมร พัตรากรณ์หลากเล่ห์ลายเลขา
เปนริ้วทองกรองกระหวัดเครือลัดา คลุมกายาเว้นว่างไว้หว่างทรวง
ช่างเฉิดฉายลายเลือดไม่เผือดสี ดังจะชี้ชมประทุมที่หุ้มหวง
เสียดายแท้แต่ไม่เห็นให้เด่นดวง กระเพื่อมพวงอยู่ในห่อก็พอชม
งามฉวีสีสันสุวรรณมาศ เอี่ยมสอาดนาดนวยดูสวยสม
เสงี่ยมงามยามพิศชิดชม ปลื้มอารมณ์อิ่มอุราของอาซัน
งามเครื่องประดับเกษวิเศษสวย ดูพุ่งพวยเพ็ชรพรายเฉิดฉายฉัน
ตุ้มหูเพ็ชรเม็ดระยับประดับกรรณ กุณฑลสั้นเสียดปักสลักมวย
สวมสร้อยสอิ้งเพริศพริ้งแพรว ประกอบแก้วแกมสุวรรณคมสันสวย
ทองกรแก้วแวววามงามสำรวย ดูนาดนวยน่ารักลักขณา
สวมประวิชติดเพ็ชรเจ็ดกะหรัด ทุกนิ้วหัดถ์กรีดกรายทั้งซ้ายขวา
แต่ล้วนเม็ดเพ็ชรนิลดวงจินดา ทั่วกายาแลระยับจับแสงไฟ
พร้อมจริตกิริยามารยาตร สำเนียงนาฎเพราะพร้องสนองไข
สมเปนศรีสาวสุรางค์แน่งนางใน บำเรอไทธิบดินทร์ยั่วยินดี
ช่างงามทรงวงวาดวิลาศลักษณ์ งามผิวภักตร์ผ่องไม่มีไฝฝี
งามจริตกิริยาเมื่อพาที สุดอินทรีย์สวยสมล้วนคมคาย
ความจริง ๆ หญิงงามทั้งสามห้อง ออกแซ่ซ้องสาว ๆ ทุกเหล่าหลาย
ล้วนนางในได้แบบอย่างแยบคาย จะเฉิดฉายเช่นนี้มีเมื่อไร
แม้นประสงค์ดวงวิเชียรพากเพียรหา ไม่เนิ่นช้าคงจะกลั่นสรรมาได้
หากจะหานารีดังนี้ไซ้ เปนยากใจสุดจะเสาะไม่เหมาะตา
เว้นแต่นางอย่างวิไลยในสวรรค์ ถึงกระนั้นถือว่านี่ยังดีกว่า
โน่นมนุษย์สุดหมายสุดสายตา นี่พบหน้าเช้าเย็นเห็นว่าดี
นิ่งพินิจพิศวงทรงสอาด ใจจะขาดเสียเพราะนางสำอางศรี
ให้ปลื้มปลาบซาบสิ้นทั้งอินทรีย์ ร้อนฤดีดาลจิตรให้ติดตา
พลางหยุดพักกวักเรียกอนงค์นาฎ มาเคียงอาศน์สองฝ่ายทั้งซ้ายขวา
หัดถ์ขยับจับกรกัลยา ชวนให้มานั่งใกล้ด้วยใจรัก ๚
๏ ครานั้นนารีศรีสมร ประสานกรก้มยิ้มอยู่ริมตัก
หะซันกริ่มยิ้มลไมปราไสซัก ว่านงลักษณ์เหลืองามนี่นามใด
จงเอ่ยออกบอกบ้างอย่าหมางจิตร พี่ได้พิศผิวภักตร์นึกรักใคร่
จะอดสูดูอายพี่ชายไย พอชื่นใจที่ประจักษ์ตระหนักนาม ๚
๏ นางนึกอายชม้ายชม้อยช้อยเนตร จึงแจ้งเหตุเขินปนระคนขาม
ว่าหม่อมฉันชั้นนี้ไม่ดีงาม เปนทราม ๆ สาวใช้ชื่อไข่มุก
เปนข้าบาทบงกชบทเรศ พึ่งพระเดชเช้าเย็นพอเปนศุข
ภูวไนยใช้อยู่เช่นยุนุก ไม่อาจอุกเอื้อมประเมินให้เกินภักตร์ ๚
๏ หะซันชมสมงามนามเจ้า ไฉนเฝ้าออมอดถ่อมยศศักดิ์
จะแกล้งกลั่นสรรทรงเช่นนงลักษณ์ ทั่วทั้งจักรวาฬไม่พานทรง
ผู้ขนานนามเจ้าเยาวลักษณ์ ควรเปนศักดิ์อภิชาติราชหงษ์
คือเชื้อปราชญ์ปรีชาปัญญายง จึ่งขนานนามอนงค์เสนาะนาม
ว่าพลางทางกล่าววาที แก้วพี่อย่าสเทินเขินขาม
รินองุ่นให้พี่บ้างเถิดนางงาม ได้มีความมิตใจเปนไมตรี
จงชื่นช่วยถ้วยถือในมือน้อง จะดื่มคล่องคอหอยอร่อยพี่
แล้วเชิญน้องลององุ่นที่ฉุนดี พอเปนที่เบิกบานสำราญใจ ๚
๏ นางฟังถ้อยถอยจากสุพรรณอาศน์ มาหยิบภาชน์ทองรองถ้วยผ่องใส
รินองุ่นให้พลันด้วยทันใด แล้วช้อยใช้หางตาให้อาซัน ๚
๏ หะซันรับจับถ้วยมาถือไว้ แล้วปราไสเชิงชวนให้สรวลสันต์
แม้นพี่ดื่มหมดถ้วยลงด้วยพลัน ขอให้ขวัญตาพี่มีมงคล
ให้ได้ชมสมมาดสวาดิหวัง เปนสัจจังสารพัดอย่าขัดสน
กินองุ่นเสร็จสรรพขยับตน แล้วกล่าวว่านฤมลจงปรานี
นํ้าองุ่นฉุนดีไม่มีสอง เชิญนวลน้องแม่จงรินกินกับพี่
โฉมยุพินรินมาไม่ช้าที ตั้งลงที่ตรงหน้าของอาซัน
แล้วประดิษฐคิดกลอนอักษรสาม จำเรียงความไพเราะเหมาะขยัน
ว่าดวงแก้วโกมุทบุษบัน พึ่งชูชันตูมตั้งขึ้นบังใบ
ภุมรินบินตอมเพราะหอมหวล เรณูนวลยวนจิตรพิศมัย
ก็เปรียบอย่างนางรุ่นเจริญไวย ย่อมพึงใจแก่บุรุษสุดนิยม
อันประทุมตูมตั้งกำลังแย้ม ย่อมเกื้อแกมภุมรินบินมาสม
แต่นางงามยามชายหมายภิรมย์ ย่อมชวดชมอกช้ำระกำใจ
เว้นแต่องค์พงษ์พรหมบรมนารถ จะสมหวังดังพระราชอัชฌาไศรย
อันชายอื่นหมื่นแสนในแดนไตร เห็นไม่เสร็จสมอารมณ์ปอง ๚
๏ หะซันว่าฉากลอนงอนจริต ช่างประดิษฐเหลือดีไม่มีสอง
แจ้วสำเนียงเสียงเสนาะเพราะทำนอง ช่างติดต้องดวงจิตรดังติดตัง
อันตัวเจ้าเยาวยอดยุพเรศ พระภูเบศร์โปรดพี่มีรับสั่ง
ประทานพี่นี้ชัดเปนสัจจัง ฤๅน้องยังจะขัดพระหัทยา
ยิ้มพลางทางกล่าววาที หล่อนคนนั้นมาข้างนี้ทีเถิดจ๋า
พลางกุมกรสาวสรรค์กัลยา มีวาจาปลอบถามนามอนงค์
นางยิ้มเยื้อนเอื้อนอำจำแถลง ชี้แจงแจ้งนามตามประสงค์
ดาวพระศุกรสุกกํ่าที่จำนง นั้นแลตรงกันกับนามไม่งามงอน ๚
๏ นิจาเจ้าเฝ้าถ่อมถนอมสวย เจ้ารูปรวยเรือนจำรัสประภัศร
ดาวพระศุกรซึ่งประจำในอัมพร เนตรสมรงามกว่าดาราพราย
เมื่อเหลือบเนตรสบเนตรขนิษฐ์นาฎ ดังจะบาดตาพี่มิได้หาย
พูดพลางยิ้มพลางทางภิปราย เชิญโฉมฉายอย่าว่าใช้ขอไปที
รินสุรามาให้พี่นี้สักถ้วย ได้ดื่มด้วยมือนางสำอางศรี
ชัณษาน่าจะยืนได้หมื่นปี เพราะแก้วพี่มีจิตรมิตใจ
นางน้อมรับวาทีมิได้ช้า รินสุรามาประจงส่งให้
อาบูหะซันผันรับดื่มฉับไว เอียงถ้วยให้นางดูให้รู้ที
นางเห็นสิ้นรินเพิ่มเติมมาตั้ง หะซันยังนึกอร่อยไม่ถอยหนี
กำลังปลื้มดื่มสุราอวดนารี เปรมปรีดิ์ประดิพัทธกำหนัดใน
นางเห็นสิ้นรินเพิ่มเติมไม่ยั้ง หะซันนั่งกินหมดหางดไม่
ออกมึนมัวทั่วกายวุ่นวายไป อยากแต่ใคร่เย้ายวนทุกนวลนาง
ทั้งเมาเหล้าเมารักเมานักหนา จนภักตราแดงกํ่าดังนํ้าฝาง
พูดพิไรใจปลื้มดื่มไปพลาง จนท่าทางวิปริตด้วยฤทธิ์เมา
จนถึงพวงไข่มุกอันสุกศรี หะซันมีวาจาว่าโฉมเฉลา
ขอเชิญยอดยุพยงนงเยาว์ แม่รินเหล้ามาจะรับคำนับนาง ๚
๏ ครานั้นนวลลอองเจ้าฟองมุก ก็เดินลุกออกมาลัดไม่ขัดขวาง
รินสุรายารำพัดที่จัดวาง ค่อยแก้พลางโรยใส่ในสุรา
รีบดำเนินเดินตรงมาส่งให้ แล้วนั่งใกล้หะซันด้วยหรรษา
หะซันกริ่มยิ้มขยับรับสุรา แล้วพูดจายั่วเย้าเยาวมาลย์ ๚
๏ ครานั้นสายใจไข่มุกน้อย ทำชดช้อยกล่าวซํ้าล้วนคำหวาน
เชิญพระองค์ทรงเสวยไชยบาน ให้ชื่นฉํ่าสำราญหฤไทย
ข้าจะช่วยอวยพรกลอนสุภาพ ทำนองกาพยสารเคยขานไข
ทรงอักษรกลอนสวัสดิสัมผัสใน พระจะได้ดื่มสิ้นด้วยยินดี
ได้ฟังคำซํ้าตอบว่าขอบจิตร เชิญมิ่งมิตรกล่าวกลอนอักษรศรี
นางกล่าวบทมธุรศวาที อันเปนที่สรรเสริญเจริญยศ ๚
๏ พระเอยพระบารมี พ้นที่พรรณาปรากฎ
ควรโอนเกล้าบังคมประนมประนต ด้วยทรงทศพิธไม่ผิดธรรม์
เปรียบดังพระศศิธรจรกระจ่าง ส่องสว่างโลกแจ้งด้วยแสงฉัน
ชาวธานีมีจิตรคิดสำคัญ ล้วนหมายมั่นทรงฤทธิ์เปนบิตุรงค์
สมณะพราหมณาข้าพระบาท อิกพระราชตระกูลประยูรหงษ์
พระสนมกรมในนํ้าใจจง สติปลงจงรักเพิ่มภักดี
ขอพระชนม์ยืนนานผ่านสมบัติ ได้ดังอัฐพรเลิศประเสริฐศรี
พระเคราะห์โศกโรคไภยอย่าได้มี ได้เปนที่พึ่งพระเดชปกเกษเอย ๚
๏ หะซันฟังตั้งชมคารมสมร เจ้ากล่าวกลอนเพราะพร้องนักน้องเอ๋ย
จนซาบซ่านหวานใจกะไรเลย แต่พอเอ่ยก็พเอิญเจริญรศ
ว่าพลางหยิบฉวยถ้วยสุรา เงยหน้าดื่มกักพักเดียวหมด
เต็มชะงักภักตร์หงายกายระทด พิศม์โอสถซ่านซบสลบไป
ถ้วยสุราคามือยังถืออยู่ กายอาบูแน่นิ่งไม่ติงไหว
บรรดาเหล่าสาวสุรางค์นางใน ต่างเข้าไปรับรองประคองกาย ๚
๏ ครานั้นเจ้านิเวศน์เขตรขัณฑ์ เห็นหะซันเมาสมอารมณ์หมาย
เสด็จจากฉากกั้นพรรณราย แล้วผันผายออกไปใกล้หะซัน
เห็นสมหวังดังตริดำริห์ไว้ ชอบพระไทยเธอสำรวลทรงสรวลสันต์
จึงดำรัสตรัสสั่งคนทั้งนั้น ให้ช่วยกันเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกาย
เสื้อกังเกงของเขาเข้าสวมใส่ ชอบพระไทยนึกนิยมด้วยสมหมาย
จึงให้เรียกนายประตูคนผู้ชาย มาธิบายบอกเล่าให้เข้าใจ
จงอุ้มพาหะซันรีบผันผาย อย่าวุ่นวายให้แซ่แพร่ไปได้
จงเร่งเร็วอย่าช้าพาเอาไป วางไว้ในเคหาเวลานี้
อย่าอื้ออึงเอิกเกริกเบิกทวาร ทั้งสองบานออกไว้เร่งไพร่หนี
คนใช้รับอัภิวันท์ด้วยทันที ไม่รอรีอำลารีบคลาไคล
ถึงเคหาเวลาสักกึ่งยาม เร่งทำตามรับสั่งไม่ยั้งได้
แล้วเร่งรีบคืนหลังเข้าวังใน กราบทูลไทธิบดินทร์ด้วยยินดี ๚

จบท่อนที่ ๓

ท่อนที่ ๔

ขุนพินิจจัยแต่ง

๏ ครานั้นพระองค์วงษ์อาหรับ ได้สดับโดยกระบวนถ้วนถี่
พระแย้มยิ้มอิ่มเอมทรงเปรมปรีดิ์ โปรดปรานีอาบูอยู่มากนัก
ด้วยใจเขาใคร่เปนปิ่นประเทศ นฤเบศร์เรืองฤทธิ์สิทธิศักดิ์
เพื่อประหารพาลพวกทรลักษณ์ หวังประจักษ์แก่เหล่าชาวประชา
ยี่สิบสี่ชั่วโมงเมื่อวันวาน ลงทัณฑ์พวกสาธารณ์อันหาญกล้า
ที่เกลียดชังรังรุมกลุ้มอุรา เจตนาสมเสร็จสำเร็จการ
พอราตรีล่วงหลายนาฬิกา เสด็จมาปรางมาศราชฐาน
ประทับแท่นแน่นพธูน้อมอยู่งาน บริบาลบาทาฝ่าลออง
นวลอนงค์บรรจงดนตรีรับ ประโคมขับประสานขานสนอง
นางระบำทำท่าทีทำนอง จำเรียงร้องบำเรอบาทนารถผธม
ล่วงรัติกาลเวลาดาราดับ ไถงถับถึงทิศอุไทยปฐม
ประชาชนตื่นทั่วไม่มัวระงม รื่นอารมณ์บรรเทิงเริงสกล
บ้างซื้อขายรายเที่ยวจรจรัล เหตุหะซันไม่แพร่งทุกแห่งหน
เพราะทรงฤทธิ์ปิดเงื่อนงำยุบล ใครทราบสนสื่อแส้เที่ยวแพร่พราย
ได้ตัวจะลงทัณฑ์มันตรึงตราก ให้ลำบากบอบอยู่ไม่รู้หาย
กิติศัพท์ก็ห่อนขจรจาย สมมาดหมายจอมจักรหลักชวา ๚
๏ ครานั้นอาบูนอนอยู่เย่า พิศม์ยาเพลาเสื่อมส่างสว่างหน้า
พอบ่ายควายชายลับบรรพตา ตื่นนิทราหลับเนตรสังเกตใจ
นึกว่าตนอยู่บนพิมานมาศ เรียกนางนาฎโดยจิตรพิศมัย
แม่ไข่มุกแม่พระศุกรดาราอุไร มาไว ๆ ให้เรียมชื่นรื่นรำจวน
แม่แสงจันทร์แจ่มฟ้าแม่อารุณ จงเจือจุนเชษฐามาโดยด่วน
พี่ร้อนจัดช่วยพัดกระพือนวล ทรามสงวนแม่อย่าร้างหมางไมตรี
เสียงอาบูถึงหูแห่งมารดา ฟังกิจจาใคร่ครวญสิ้นถ้วนถี่
พลันรีบรุดสู่บุตรแล้วพาที โอลูกแก้วแม่นี้เปนไรไป
สิ่งอันใดเล่านะมาพะพาน จึงเรียกขานอึงมี่นี่ไฉน
อาบูเงยภักตร์ดูอดสูใจ พลางตอบไขโดยการโกรธมารดา
ผู้ใดเล่าเจ้าเรียกว่าลูกชาย เร็ว ๆ ยายรีบแจ้งอย่าแสร้งว่า
มารดาเอื้อนมธุรศพจนา เจ้าลูกข้านามฤๅคือหะซัน
เดี๋ยวนี้เล่าเจ้าหมายไม่ใช่บุตร คำผรุศหลากแท้มาแปรผัน
ไภยมล้างเพื่อลืมเร็วสกรรจ์ โดยสำคัญพิปริตจิตรพรํ่าพรู
อีหญิงเลวล่วงว่าข้าลูกเต้า วาจาเจ้าเล่ห์ลดน่าอดสู
เรานี้มิใช่ไอ้อาบู คือองค์ภูมิบาลผ่านนคร
มารดาสดับห้ามปรามหะซัน จงนิ่งพลันฟังราวแม่กล่าวก่อน
อย่าอาจเอื้อมยกตูเปนภูธร จะขจรติฉินข้อนินทา
เพราะเจ้ากล่าวเกินตัวไม่กลัวผิด เสียจิตรคลั่งเพ้อละเมอบ้า
หะซันย้อนตอบไปมิได้ช้า ว่าข้าบ้า ๆ เองไม่เกรงใจ
จักบอกอิกครั้งหนึ่งจงพึงจำ เราพระเจ้าทรงธรรมเลิศล้ำใหญ่
นางว่ากรรมใดปิดมิดดวงใจ พ่อจึงได้ไขว่กิจพูดผิดนัก
กิริยาเจ้านั้นก็ฟั่นเฟือน ใหลเลื่อนเปื้อนปานบ้าเห็นปราจักษ์
ดวงจิตรแม่กลัดกลุ้มด้วยรุมรัก อกจะหักเพราะเจ้าคลั่งเพียงพังแด
ลูกเอ๋ยจงหยุดยั้งฟังแม่ก่อน คิดผันผ่อนคนึงดูให้รู้แน่
แรกพ่อเกิดมานั้นใช่ผันแปร ตัวของแม่บำรุงผดุงไว้
แต่ยังเด็กเล็กอ่อนหย่อนพรรษา จนวันน่ากายหนุ่มมาคุ้มใหญ่
ครั้นบิดรล่วงลับดับชีพไป แม่ตามใจสารพัดไม่ขัดเลย
ศุขทุกข์จะได้ช่วยกันผันแปร เห็นหน้าแต่แม่ลูกนะเจ้าเอ๋ย
เจ้าคบเพื่อนกินเล่นใช่เช่นเคย แม่เพิกเฉยทรัพย์หย่อนผ่อนใจออม
เปนแต่เตือนสติพ่อพอให้รู้ เพื่อนมาสู่เจ้ายังหวังถนอม
ด้วยรักลูกห่อนให้หฤไทยตรอม แม่ประนอมตามเจ้าทุกเพรางาย
เดี๋ยวนี้เจ้าคลั่งไคล้จิตรใหลหลง ทรวงแม่คงครากแยกแตกสลาย
ทุกเช้าคํ่าจะตรมระทมกาย เพราะพ่อสายสวาดิพูดอาจอง
จงมองดูเรือนเย่าเนาแต่น้อย ไม่เคยคล้อยเคหาอย่างมหลง
ผิดกันมากกับวังดังจำนง ขอพ่อจงใคร่ครวญให้ควรการ
หะซันสดับไขไหวจิตรนึก นิ่งรฦกโดยชอบระบอบสาร
เรื่องนี้เล่าเรารู้มาช้านาน ตั้งศอกกรานคางนึกพลางตรึกตรา
คลายคลั่งไคล้กลับได้สมประดี อาการมีเสื่อมส่างสว่างหน้า
จึงแถลงแจ้งการกับมารดา ตัวลูกยาอยู่กับแม่มาแต่เยาว์
นั่นแม่นี่ลูกแท้คือหะซัน ซึ่งเฟือนฟั่นแปรไปไฉนเล่า
แม่สดับแสนศุขทุกข์บันเทา ดังหยิบเอาจันทรามาให้พลัน
ด้วยลูกเต้าเขาคงหลับหลงใหล พเอิญให้เล็งเห็นดังเช่นฝัน
เบือนหน้ามาจะถามความหะซัน โดยนิมิตรผิดผันเหียนหันไป
ถ้าทราบเรื่องระแวงแจ้งแจ่มข้อ จะหัวร่อที่มัวลืมตัวใหล
ยังมิทันจะถามตามนึกไว้ ในทันใดอาบูขู่สำทับ
อุเหม่มึงชั่วช้าช่างสามาญ กลั่นกล่าวสารเสริมกิจประดิษฐประดับ
จะโลมใจให้กูนี้นอบนับ อีสับปลับเบื่อนักอย่าชักแช
เรานี้ฤๅใช่ชื่ออ้ายหะซัน มึงมุ่งมั่นหมายจิตรคิดเปนแม่
กูก็รู้ว่ากูกาหลิบแท้ เองผันแปรมุสาแกล้งพาที
ขณะนั้นมารดาแห่งอาบู ใคร่ครวญดูผิดกระบวนถ้วนถี่
สลามมหะหมัดขึ้นทันที พระปรานีโปรดด้วยช่วยลูกรา
พลางห้ามปรามปลอบบุตรให้หยุดยั้ง เจ้าจงฟังสุนทรมารดรว่า
เราเปนไพร่อย่าได้อาจเจรจา การหยาบช้าต่อไทไภยจักรณ
แม่จะเล่าก่อนหนาเวลาวาน นครบาลยาตรยั้งยังถนน
นำอิแมนศิษย์ทั่วทุกตัวคน มาเฆี่ยนป่นย่อยยับแล้วขับไป
เพราะพูดพละการพาลคิดคด ทรยศทุจริตผิดนิไสย
จึ่งจวบโทษคับขันมหันตไภย ตัวอย่างให้ตรึกตรองของจึงเปน
แม้นยกตนว่าท้าวเจ้านิเวศน์ จักเกิดเหตุใหญ่ยุคแรงขุกเข็ญ
ด้วยพูดผิด ๆ นำให้ลำเค็ญ จงพึงเห็นโทษร้ายจะป่ายปน
ซึ่งมารดรวอนรํ่าคำฉนี้ หวังจักชี้ไภยแจ้งแห่งนุสนธิ์
ให้หะซันครั่นคร้ามหวามกระมล เหือดสกลคลั่งไคล้ใหลหลงงม
ความกลับแชแปรปรวนสวนเข้าตัว ยิ่งมืดมัวหมกเม้นไม่เห็นสม
ชักภิปรายหมายคืนลูกฝืนลม นางตรอมตรมรำพึงคนึงนาน
อาบูรู้เรื่องต้นโดยหนหลัง ตริถึงวังจริงจังเราสั่งสาร
พลันประกอบตอบรศพจมาน เองอย่าขานกูใช่ไอ้อาบู
ยายอย่าหมายว่าข้าเปนลูกเต้า หยุดนิ่งเนาจักแจ้งแห่งหูสู
พระเจ้าทรงธรรมฤๅคือตัวกู มั่นคงอยู่เที่ยงแท้แน่นอนนัก
เองอย่าเอาอันใดมาไขแก้ เรานี้แลคิดชอบระบอบหนัก
ที่ลงโทษพาลก่อทรลักษณ์ จงประจักษ์สั่งเขาให้เอามา
คำเองกล่าวชี้แจงแสดงสาร เปนพยานขานจังสมขั้งข้า
ป่วยการเปล่าเราไม่เชื่อเบื่อวาจา มึงมุสาโดยเดาพูดเปล่าดาย
จะแจ้งให้ประจักษ์อิกสักครั้ง นามเราตั้งเอกอรรคเปนหลักหลาย
คือพระเจ้าทรงธรรม์มั่นคงยาย บทธิบายแบบกิจไม่ผิดพรรค์
เปนสัจจังดังข้าว่าฉนี้ เที่ยงมูลมีแท้เค้าใช่เราฝัน
มิได้หลับนิทราตื่นตาชัน ระเบียบบรรพ์บงชอบระบอบใน
กูสดับข้อความตามเองขาน นครบาลโบยผู้ผิดกิจใหญ่
ทำดังคำข้าสั่งบังคับไว้ เกริกเกรียงไกรอำนาจสิทธิ์ขาดการ
เราบรรเทิงหฤไทยได้ลงโทษ แก่คนโฉดชั่วช้าอันกล้าหาญ
พวกหลังหลอกหน้าไหว้ใจสาธารณ์ เหล่าคนพาลเสร็จสิ้นสมจินดา
ใครนำเราเนาสถานในบ้านนี้ จงช่วยชี้ช่องแน่เที่ยงแท้ว่า
อย่าเชือนแชแปรผันจำนรรจา เร็ว ๆ หวาแสดงให้แจ้งใจ
อนึ่งเล่าเราเชื่อกายเราชัด แก่นกระษัตริย์ลํ้าเลิศประเสริฐใหญ่
เถลิงภพสวรรยาราไชย จอมสุไธยปกหล้าประชากร ๚
๏ ครานั้นมารดาแห่งอาบู มิได้รู้เรื่องปรุอนุสร
เปนแต่คเนใจไม่แน่นอน ฟังสุนทรบุตรกล่าวผิดราวความ
เห็นจริตติดขวางไปข้างบ้า พูดหยาบช้าโฉงเฉงไม่เกรงขาม
ว่าเพลา ๆ เจ้าฟังแม่ห้ามปราม พูดพลุ่มพล่ามพูดจะนำโทษจำตรึง
พ่อสงบสติลงให้จงหนัก จงเงยภักตร์ชลีพระที่พี่ง
โปรดบันดาลคลั่งหายวายคนึง เพื่อรำพึงผิดอย่างให้ห่างไป
ผู้อื่นเล่าเขาไม่อาจเจรจา เหมือนลูกยากล่าวกิจผิดนิไสย
ถ้าการทราบถึงพระภูวไนย จะเกิดไภยใหญ่ทั่วเข้าตัวตน
เจ้าหมายจิตรคิดหวังได้ดังนั้น แม่หวั่น ๆ ดูเห็นไม่เปนผล
กำแพงย่อมมีบังฟังยุบล ดีชั่วชนใช่อั้นคงพรรณา
ปลอบลูกชายหมายจะให้สงบ กลับทวนทบภิปรายร้ายนักหนา
จึงอาจอหังการต่อมารดา อีชราครวญครํ่าน่ารำคาญ
กูยิ่งว่าเท่าไรก็ไม่ลื้น ยังฝ่าฝืนก้าวร้าวมากล่าวสาร
จงหยุดยั้งฟังข้าอย่าจัณฑาล ขืนพูดจาสามาญคงม้วยมรณ์
พระปิ่นเกษชวาอาหรับนั้น คือเรามั่นคงสิทธิ์มหิศร
เลิศดิลกหล้าประชากร โดยสุนทรจริงมึงจงพึงฟัง
แม้นมิเชื่อกูจะทำให้หนำจิตร ล้างชีพิตรม้วยสิ้นจนดินฝัง
มารดาเห็นว่าบุตรไม่หยุดยั้ง ยิ่งเพ้อคลั่งฟั่นเฟือนแชเชือนไป
สำคัญตนวิกลวิปริต เห็นการผิดประกอบหาชอบไม่
ห่อนกลับคืนเข้าเดิมหลงเคลิ้มใจ นางโหยไห้ครวญครํ่าน้ำเนตรนอง
รํ่าพลางยอกรข้อนอุระ ชกศีศะรํ่าไรให้หม่นหมอง
ยิ่งทุกข์ยิ่งโศกรํ่าระกำกอง ยิ่งตรมตรองกระสันพรรณา
อนิจาอาบูผู้ลูกรัก อกแม่จักหักเศร้าเพื่อเจ้าบ้า
แดอาดูรภูลเทวศอาทวา ไยพ่อมาฝันเห็นการเช่นนี้
นับวันทรวงแม่จะทำลาย ไม่อยากอยู่สู้ตายไปเมืองผี
ขอลับหน้าลาลูกจรลี ใช่ถึงที่แต่เปนกรรมจึงจำไกล
บิดามรณาชีวาแล้ว เห็นลูกแก้วยาจิตรพิศมัย
ค่อยผาศุกมานานสำราญใจ เจ้าคลั่งไคล้ใหลหลงแม่คงวาย
สิ่งไรลูกหากจักอยากได้ แม่หาให้เสร็จสมอารมณ์หมาย
จะถูกแพงเท่าไรไม่เสียดาย สิบชั่งขายให้ฤๅก็ซื้อเอา
แม่เสาะหาอาหารคาวหวานสรรพ อิกสำรับเสพแกมแกล้มกับเหล้า
ลูกอยากกินสิ่งไรใจแม่เร้า ผดุงเจ้าไม่ให้ขัดโดยอัชฌา
หนึ่งจัดผ้านุ่งห่มสะสมไว้ แม่ตามใจลูกรักนั้นนักหนา
เจ้าเจ็บไข้ใจแม่อาทวา ในอุราชอกช้ำระกำกอง
รักลูกสุจริตดังจิตรแม่ หมั่นดูแลไม่มีราคีหมอง
สู้อดนอนอดกินถวิลปอง แม่ประคองเลี้ยงเจ้าทุกเช้าเย็น
มิได้คิดเหนื่อยยากลำบากใจ ถึงพูดไปไหนลูกจะเล็งเห็น
ขอแต่พ่อเสื่อมหายพอวายเว้น ให้แม่เปนศุขชื่นรื่นสำราญ
หมายจะฝากศพเจ้าให้เจ้าฝัง เมื่อภายหลังก่อกุฎสุทธิ์สถาน
ไม่สมหวังดังจิตรแม่คิดการ จักประจานว้าเหว่เอกากาย
ด้วยศพไม่ได้ฝังเหมือนดังเขา ผีเปื่อยเน่าทิ้งไว้น่าใจหาย
การแพร่ไปถึงไหนก็ได้อาย โอ้ตนตายปะชั่วติดตัวไป
แต่เพรงแม่อุ้มท้องประคองมา จนลูกยารุ่นหนุ่มมาคุ้มใหญ่
ไม่ได้จากมารดรสัญจรไกล เปนไฉนจึงหลงแม่สงกา
ฤๅผีดงผีป่ามาประจำ ผีส่อทำแสร้งผูกจิตรลูกข้า
จึงนิมิตรคิดฝันผิดสัญญา เพื่อผลาญพล่าเลือดเนื้อด้วยเหลือเกิน
ขออะหล่าอาจองผู้ทรงฤทธิ์ ขับผีพิศม์ให้สะทกระหกเหิน
ออกจากทรวงหะซันพลันเจริญ ข้าขอเชิญพระดับระงับไภย ๚
๏ ครานั้นหะซันเห็นมารดา มาโศกาครํ่าครวญหวนโหยไห้
น่าที่จะระทดสลดใจ กลับกลายไม่คิดคุณของมารดร
สำคัญตนวิกลวิปริต ฟั่นเฟือนจิตรหลงรุดไม่หยุดหย่อน
ยิ่งเฉียวฉุนขุ่นใจดังไฟฟอน ให้รุมร้อนอุราแห่งอาบู
พิโรธเรี่ยวเกรี้ยวยิ่งสิงหนาท แผดตวาดกร้าวขับสำทับขู่
หญิงกาลีอุบาทว์ประมาทกู ทั้งลบหลู่พาทีพิรี้พิไร
อันถ้อยคำของมึงซึ่งเอิบอ้าง ฟังกระจ่างแสบกรรณกูมันไส้
ฉวยไม้ลุกขึ้นง่าทำท่าไว้ เหวยบอกไปตามสัตย์ในบัดนี้
อันตัวกูผู้ใดให้เร่งว่า เร็วอย่าช้าแจ้งไปให้ถ้วนถี่
มารดาเห็นบุตรเลอะเทอะเต็มที ง่าจะตีโดยง่านขนานเบา
นางไม่หวาดหวั่นไหวมิได้คร้าม เพราะเห็นความตามถูกว่าลูกเต้า
พลางตอบอรรถทัดห้ามไปตามเลา ไฉนเจ้าจึงแหนงแคลงมารดา
ไม่ทราบฤๅข้าแท้เปนแม่เจ้า บังเกิดเกล้าลูกรักประจักษ์หล้า
อุปถัมภ์เลี้ยงดูอาบูมา จนใหญ่กล้าไม่คลาศมาตุรงค์
แม่คาดว่าเจ้าหาลืมแม่ไม่ เดี๋ยวนี้ไคล้คลั่งเพ้อละเมอหลง
กลับไม่รู้คุณเล่าเท่าใยยง แม่เห็นคงป่นไปด้วยไภยพาล
ลูกเอ๋ยเกรงภูวไนยจอมไตรจักร อันเอกอรรคปกหล้ามหาศาล
เราเปนแต่ไพร่ฟ้าคนสาธารณ์ อย่าออกขานพระนามเอิบลามลวน
เจ้าฤๅคืออาบูบุตรชายแม่ บอกจริง ๆ โดยแท้ไม่แปรผวน
เร่งรฦกตรึกไตรพึงใคร่ครวญ ดามกระบวนแบบบทกฎชวา
พ่ออย่าพูดอาจองเทียมทรงฤทธิ อย่าคาดคิดเกินภักตร์ร้ายนักหนา
ด้วยพระเดชปกเกล้าแห่งเรามา จงตรึกตราตรองใจให้จงดี
เพรงเผ่าพระการุญพระคุณครัน ประจุบันบุญพระปกเกษี
อนาคตพระยิ่งบารมี ทรงปรานีชุบเลี้ยงโดยเที่ยงธรรม์
นางภิปรายหมายให้อาบูรู้ พระคุณภูมิบาลผ่านสวรรค์
หวังจะให้ขาดคิดจิตรหะซัน ที่มุ่งมั่นเปนท้าวเจ้านคร
นี่แน่แม่จักเล่าให้เจ้าทราบ ควรกรานกราบบาทไทมะไหศร
จึงออกอ้างทรงเดชเกษนิกร ถวายพรโดยพระอนุกูล
พระโปรดให้ไกฟาหาแม่พบ สมปรารภภูมินทร์นรินทร์สูร
พระราชทานทองแด่แม่เพียบภูล นับตามมูลพันแท่งแจ้งจำนวน
เพื่อใจเราสัตย์ซื่อถือสุจริต มิได้คิดเหียนหันแปรผันผวน
ท้าวทรงทราบให้ลาภเรามากมวญ นอบคำนวณคิดพระคุณการุญนัก
แม่น้อมเกล้าคำนับอาราธนา วอนอะหล่าพรเพิ่มเฉลิมศักดิ
ทวยเทพธิบดีช่วยพิทักษ์ บริรักษ์นฤเบศร์เกษชวา
จักชี้แจงแจ้งการให้เห็นชัด ทรัพย์สมบัติมั่งคั่งถั่งเคหา
บริบูรณ์มูลมากอเนกา แม่ชราจะอยู่เย่าสักเท่าไร
ไม่ช้านักจักไปปรโลก เครื่องอุปโภคสารพันอันน้อยใหญ่
คงตกพ่อผู้บุตรสุดสายใจ จงครวญใคร่ตรองความให้งามดี
พระคุณของภูเบนทร์นเรนทร์สูร ทรงนุกูลจุนเจือเจ้าเหลือที่
หนักยิ่งกว่าพระเมรุคิรี ยิ่งทวีคุณกว่ามารดานัก
หากว่าแม่ชีวันบรรไลยลับ สินทรัพย์ภูลเย่าตกเจ้าหนัก
เร่งรฦกพระคุณการุญรัก ควรพิทักษ์ภักดีภูมิบาล
หะซันฟังคั่งแค้นแสนพิโรธ ดังเพลิงโชติพลุ่งแรงรุ่งแสงฉาน
ห่อนเหือดดังคำดับกลับเริงราน เฟื่องฟุ้งซ่านสมซ้ำใจจำนง
ซึ่งวิเซียสิรับคำสั่งเรา ตรงโดยเลาเข้าความตามประสงค์
เปนหลักฐานอยู่อิกชั้นมั่นคง เชิดยรรยงชัดแก่นกระษัตรา
เหิมฮึกห้าวกล่าวสำทับถม อีคารมแก่แรดแพศยา
กูบอกมึงโดยสัตย์ขัติยา ยังเจรจาถ้อยถ่อยดูถูกกู
ชิชะมึงช่างเคียดคิดเดียดฉัน สารพันแกล้วกล่าวฟังร้าวหู
แสนเจ็บช้ำใช่น้อยมึงคอยดู ที่ลบหลู่กูจะทำให้หนำใจ
ไกฟาอำมาตย์ใหญ่กูใช้เขา เบิกคลังเอาทองคำนำมาให้
แกมึงพันแท่งมึงรับไว้ มึงมิได้คิดคุณกรุณา
กูกาหลิบเที่ยงแท้ไม่แปรผัน เห็นสำคัญสมจริงทุกสิ่งสา
แต่มึงแสร้งเศกสรรจำนรรจา กลับปรับว่ากูบ้าเสียอารมณ์
เพราะอยากเปนแม่จึงดูถูก นับแม่ลูกผูกจิตรสนิทสนม
ชะถ้อยคำสำนวนล้วนเล่ห์ลม กูจักทำให้สมที่ดูแคลน
พลางเงื้อไม้ไล่พาลตีมารดา โดยโกรธาฟั่นเฝือจนเหลือแสน
เสียงขวับ ๆ ไม่ยั้งกำลังแค้น มารดาแล่นพัวพันหะซันตี
แล้วถามว่าตัวกูคือผู้ใด เร่งว่าไปโดยความจริงตามที่
อย่าปิดบังอำปลังดังคดี อันกูนี้คือองค์พระทรงธรรม์
มึงรู้จักฤๅไม่อย่างไรหวา คำกูว่าใช่แกล้งแสร้งเศกสรร
มารดาฟังไม่ชอบจึงตอบพลัน ตัวเจ้านั้นใช่ท้าวเจ้านคร
เปนลูกชายของแม่แม่นแท้เที่ยง ไม่พลาดเพลี่ยงจริงจังดังนุสร
จงตรึกความตามกระแสให้แน่นอน แต่ปางก่อนลํ้าฦกดึกดำบรรพ์
อาบูฟังคั่งแค้นแสนโกรธเกรี้ยว ยิ่งฉุนเฉียวเชี่ยวโบยโดยมหันต์
จักให้คืนคำกลับไวฉับพลัน ขืนดึงดันดื้อคงปลงชีวา
หวด ๆ รวดเร็วมิได้หยุด อุดตลุดขู่ขับสำทับว่า
เห็นแลฤๅกูคือจอมโลกา ไม่บอกมาตีเร้าเข้าทุกที
มารดาคิดคลาศเคลื่อนไม่เหมือนหมาย ว่าลูกชายคงเปนอย่างเช่นกี้
ห่อนอาจหาญพาลโพยทำโบยตี เจ็บอินทรีย์ปิ้มนางแทบวางวาย
จึงเรียกขานชาวบ้านให้ช่วยด้วย เกือบจะม้วยชีพดับลับสูญหาย
ลูกเขาเฆี่ยนตีซ้ำชอกชํ้ากาย ทั้งหญิงชายเชิญช่วยฉันด้วยรา ๚
๏ จะกล่าวถึงเพื่อนบ้านที่ใกล้เคียง สดับเสียงกึงกังดังนักหนา
ก็ชวนกันพรั่งพรูเกรียวกรูมา ถึงเคหาเข้าขวางกั้นกางไว้
บางคนห้ามปรามให้อาบูหยุด อุดตลุดแย่งชักบ้างผลักใส
บ้างฉวยชิงไม้มาแล้วว่าไป เหตุไฉนฉนี้นะหะซัน
ทำไมจึงเฆี่ยนพาลตีมารดา ผู้เกิดเกล้าเกษาเจ้ามานั่น
มีคุณอุปการะยิ่งอนันต์ ไม่กลัวพระบนสวรรค์บ้างฤๅรา
เจ้ามละการุญเค้าคุณเดิม กลับฮึกเหิมอหังการหาญกล้า
ทำโพยโบยประจานเฆี่ยนมารดา เห็นเปนบ้าไม่แคล้วแล้วดู ๆ
หะซันสดับสารชาวบ้านกล่าว ให้ร้อนร้าวแรงร้ายระคายหู
ถามเขาทั้งหลายว่าใครอาบู ชาวบ้านรู้ระบอบย้อนตอบไป
ที่เฆี่ยนตีมิใช่มารดาฤๅ เจ้ายังถือเคลือบแฝงแคลงไฉน
อาบูว่าไม่ควรอย่ากวนใจ การมิใช่กิจเจ้าอย่าเข้ามา
อีเถ้านี้ชั่วช้าช่างสามาญ มันคิดการอยากแก่เปนแม่ข้า
ใช่หะซันที่มันเรียกว่าลูกยา อีชราไม่รู้จักมักจี่มัน
จอมภารากาหลิบแลตัวกู มึงคอยดูโดยจริงทุกสิ่งสรรพ์
จักทำให้เองแจ้งแห่งสำคัญ จงชวนกันอภิวาทเบื้องบาทเรา
ชาวบ้านดูรู้แจ้งไม่แคลงจิตร เห็นจริตหะซันเฟือนฟั่นเขลา
สำคัญตนวิกลบ้าบอเบา เบื้องน่าเล่าจะเคี่ยวเที่ยวรังควาน
จะตีผู้มาไปในถนน อิกรื้อร้นระร้าวเหล่าชาวบ้าน
เช่นกับทำมารดาอ้ายสาธารณ์ เขาคิดการเสร็จจับสับปอมัด
รวบศอกเท้าผูกพันมั่นแน่นหนา คนรักษาดูแลอยู่แออัด
หะซันนอนเหยียดขึงต้องรึงรัด ยิ่งฮึดฮัดในใจไม่สบาย
พวกชาวบ้านสู่หมอขอเชิญมา กับศิษย์หาพร้อมพรั่งเขาทั้งหลาย
จัดเครื่องจำหลายหลากมามากมาย เชือกหนังควายตามอย่างต่างหวายดี
อิกโซ่ตรวนขื่อจองสองข้อหัดถ์ สารพัดครบจำนวนถ้วนถี่
หมอกับศิษย์จรจรัลไปทันที ดลยังที่เคหะฐานบ้านหะซัน
เขาเข้าไปแก้มัดจัดจำจอง อาบูสองแขนสลัดไววัดผัน
เหวี่ยงอึดอัดวายโวยเขาโบยรัน ด้วยเชือกหนังดังสนั่นตึก ๆ ชา
สองสามหนหะซันพลันสงบ เขาจำครบตามกิจฤทธิบ้า
นำอาบูไปสู่รัถยา ชาวบ้านพากันดูออกกรูเกรียว
อื้ออึงวิ่งปึง ๆ มาสอสอ บ้างชกบอเข้าซ้ำฟกชํ้าเขียว
บ้างโถมเข้าตบหะซันหลบไม่ทันเทียว บ้างโกรธเกรี้ยวด่าว่าสารพัน
ล้วนถ้อยคำซ้ำแถมทั้งแนมเหน็บ อาบูเจ็บบอบกายระคายครั่น
ปรับเปนบ้าขบถองค์พระทรงธรรม์ ส่วนหะซันย่างคลอตามหมอไป
พอถึงโรงพักสำนักบ้า เข้าคร่าตัวขังยังกรงใหญ่
ซี่เหล็กลงสลักมั่นบังกั้นไว้ หวังมิให้เห็นใครที่ไปมา
เขาเฆี่ยนห้าสิบถ้วนจำนวนนับ ขู่สำทับโบยซ้ำชํ้านักหนา
หลังไหล่ลายแลทุเรศเวทนา ถึงเวลาเขาถามตามลำเนา
ว่ายามนี้เจ้าเห็นเปนไฉน ค่อยคลายใจฤๅคลั่งเช่นดังเก่า
ฤๅว่าจิตรยังคงดำรงเค้า เปนพระเจ้าทรงธรรม์ฤๅฝันไป ๚
๏ ครานั้นอาบูได้สดับ เขาบังคับข่มถามหยาบหยามใหญ่
สบัดหน้าสนองพลันไปทันใด ข้าไม่ไยดีคำอย่านำมา
เรามิใช่บ้าหลังยังปรกติ ส่วนท่านสิว่าเรานี้เบาบ้า
ไม่อยากโต้ตอบความตามอาญา เพื่อเวราแรงนำทำเราเอง
บันดาลดลจนท่านได้เฆี่ยนขับ หลังไหล่ยับเหลือล้นทนข่มเหง
เพราะเวรหลังเราสร้างแต่ปางเพรง จึงห่อนเกรงตรึงข้าไม่ปรานี
เรารับสิ้นทุกสิ่งนิ่งทุกเมื่อ ตามเหตุเพื่อได้เห็นเปนถ้วนถี่
ถึงจักแจ้งจริงใจในคดี ก็สุดที่จะเห็นอย่างเช่นเรา
หะซันก้มหน้านึกตรึกฉงน เล็งสกนธ์เขียวคล้ำชํ้าจิตรเศร้า
ลางแห่งดังหมึกหมายไม่บันเทา อุระเผาเผือดผอมด้วยตรอมใจ
ทั่วสรรพางค์เจ็บยวดเมื่อยปวดร้าว จะยกก้าวขัดข้องไม่ย่องได้
โคลงศีศะสุดปลํ้าชอกชํ้าใน เจียนบรรไลยระกำตรากจำจอง
พลางโศกาครวญครํ่ารํ่าทวี คนดี ๆ ว่าบ้าว่าคล่อง ๆ
ภูลเทวศชลเนตรลงเนืองนอง ยิ่งหม่นหมองคับแคบแทบม้วยมรณ์
มิได้คิดรักกายเท่าปลายเผ้า ตามพระเจ้ากรุณาอานุสร
ปลงชีพถวายพระละอาวรณ์ สิ้นทุกข์ร้อนสิ้นถวิลจินตนา
ความจริงทุกสิ่งเล่าเช่นเขาทำ ไม่กลับคำชีวังจักสังขาร์
ด้วยอำนาจบาตรใหญ่ในอาญา พันธนาตรากตรำชอกชํ้ากาย
แสนสงสารมารดาแห่งอาบู อุส่าห์สู้ลีลาศไม่ขาดสาย
หมั่นเวียนมาหาสู่ดูลูกชาย นางฟูมฟายชลนาเฝ้าจาบัลย์
เห็นลูกนั่งเขาขังกรงเหล็กไว้ ลห้อยไห้โหยห่วงทรวงกระสัน
เพ่งพิศบุตรสุดผอมลงครามครัน เจียนจักบรรไลยแล้วแก้วแม่รา
สอึกสอื้นอ้อยอิ่งวิงวอนสนอง โอ้ลูกต้องลำบากตรากนักหนา
แดอาดูรภูลเทวศอาทวา ไยพ่อมาคิดเห็นการเช่นนี้
ละเลิงตัวมัวเพ้อมะเมอหลง ต้องธำรงทุกข์ทนจนป่นปี้
ไม่มิใครเมตตาคิดปรานี แรมทวีโศกระทมตรมสกนธ์
เปนไฉนไยพ่อถือทิษฐิ มิได้ปริปากแจ้งแห่งนุสนธิ์
อกจะหักก็เพราะเจ้าเศร้ากระมล สำคัญตนวิปริตผิดเพศไป
นางเวียนสู่ลูกแก้วแล้วสั่งสอน จงผันผ่อนลืมพะวงที่หลงใหล
อย่ายกตนว่าพระภูวไนย พ่อจะได้พ้นโทษทรมาน
เฝ้าวิงวอนสอนอาบูอยู่ทุกวัน ลูกผินผันภักตร์พร้องสนองสาร
แกอย่าว่าเลยหนาข้ารำคาญ คำประมาณพูดมากไม่อยากฟัง
จักขอตรึกตรองดูให้รู้กิจ จะถูกผิดข้างไหนใครทราบมั่ง
เดี๋ยวนี้ยังบอบชํ้าโหยกำลัง พอประทังจะตริดำริห์เค้า
แม่สดับกลับคืนมาเคหา รุ่งทิวาจรสู่ดูลูกเล่า
ปลอบพลางทางกระสันใช่บันเทา ยิ่งโศกเศร้าอาดูรภูลทวี
เฝ้าสั่งสอนบุตราสารพัด ลูกสลัดขัดคำควํ่าหน้าหนี
แม่ร่ำไห้ไม่ได้สมประดี ผอยอินทรีย์ลมจับพับหลายคราว
หญิงชายช่วยแก้ฟื้นคืนสติ นางดำริห์เหลือละอกผะผ่าว
แสนสงสารลูกยาน้ำตาพราว ผินภักตร์ก้าวจรจรัลผายผันมา ๚
๏ ครานั้นอาบูต้องโทษทัณฑ์ ลำบากครันทรมานนานนักหนา
คเนการยังไม่แจ้งแห่งกิจจา กอดอุราตรึกไตรไปหลายชนิด
ฝ่ายข้างเปนจริงควรอิงอ้าง แจ่มกระจ่างปางเปนราชสิทธิ์
ไสยาศน์เหนืออาศน์ชวลิต ตื่นสถิตย์สถานพิมานรัตน์
นึกสงไสยไต่ถามยุบลนาง น้อมทูลอย่างเยี่ยงเห็นเช่นกระษัตริย์
ถูกถ้อยคำสมหมดบทบันทัด ปรากฎชัดอำนาจประกาศการ
สั่งสิ่งไรเขาทำตามคำเรา ทั้งน้อมเกล้านบนอบระบอบสาร
แบบกาหลิบหยิบเห็นเปนพยาน จักพิจารณ์ข้างฝันขันชอบกล
เหล่าเสนางค์หลายนายก็หายหมด ไม่ปรากฎตำแหน่งทุกแห่งหน
ไกฟาเคยเคียงอาศน์บาทยุคล อิกเหล่ามนตรีสรรพนับร้อยพัน
หนึ่งวัลลภยุนุกแต่งสุกใส สนมในแลเลิศงามเฉิดฉัน
ติดตามพร้อมน้อมนบอภิวันท์ อัศจรรย์ใจเห็นการเปนมา
มาทแม้นเราเปนใหญ่ได้บังคับ ไยจึงจับทำโพยโบยนักหนา
เข้ากรงขังจำขึงแน่นตรึงตรา กิริยาผิดเจ้าบ่าวกับนาย
ทบเทาทอดธุระกะว่าฝัน การลงทัณฑ์อิแมนสมแม่นหมาย
พวกพาลรานรุกร้อนขจรจาย เราภิปรายสั่งให้เขาไปทำ
ใช้ไกฟานำทองมาให้แม่ ได้จริงแน่เรื่องราวก็ขาวขำ
จะว่าฝันฟั่นเฟือนใช่เงื่อนงำ อัดอั้นอำปลังกิจคิดปรวนเปร
สาวต้นหายปลายหลุดสุดค้นคว้า ลืมหลังน่านึกได้ไถลเถล
ใคร่ครวญเค้าเล่าเหตุเลศเลเพ คาดคะเนคลาศเคลื่อนเลื่อนเปื้อนไป
เรื่องนี้ใครจักช่วยชักแถลง เชิดชี้แจงให้กระจ่างสว่างไสว
จะว่าฝันฤๅใช่ฝันเปนฉันใด ตรึกตรองไม่ตกลงจำนงคิด
เวียนวนอนุสนธิ์เห็นฦกซึ้ง ยิ่งอ้ำอึ้งอัดทรวงอันดวงจิตร
ใครจะไขความขำแนะนำนิด ถ้าทราบกิจไม่แพร่เซ่งแซ่นา
เมื่ออาบูตรองตริดำริห์อยู่ พอแม่สู่บุตรสุดเสนหา
เล็งลูกรักภักตร์เผือดเลือดโรยรา กิริยาอ่อนหิวหวิวฤไทย
นางครวญครํ่ากำสรวญหวนลห้อย น้ำเนตรย้อยถั่นถั่งหลั่งลามไหล
อกจักครากเพราะลูกพันผูกใจ แสนโศกไหม้หม่นคล้ำระกำกาย
พลางยกกรข้อนทรวงเข้าฮัก ๆ ด้วยความรักอาบูไม่รู้หาย
เจ้าเจ็บนักแม่จักชีวาวาย โอ้พ่อสายสุดที่รักแม่จักลา
เจ้าจงจำภักตร์เพ่งเล็งแม่ไว้ นางรํ่าไห้น้ำเนตรน่านนองหน้า
อาบูเห็นวาบวับจับวิญญา เวทนาแม่นักจักประไลย
พลางสลามมารดรโอนอ่อนเกษ ชลเนตรเผาะผอยลห้อยไห้
เสียวทรวงยอกชอกชํ้าระกำใจ คิดแต่ไปลำบากตรึงตรากนาน
ยี่สิบเอ็ดวันถ้วนจำนวนนับ หะซันกลับคืนเรียบระเบียบสาร
มารดาเห็นเย็นล้นพ้นประมาณ แสนสำราญภักตราแผ้วพาที
บุญมาช่วยตัวเจ้าบงเบาบาง โรคเหือดห่างหายแล้วแผ้วผ่องศรี
การผิดลูกลืมสิ้นแม่ยินดี ตั้งแต่นี้วายทุกข์ค่อยศุขใจ
อาบูตอบมารดรอ่อนหวานถ้อย ทั้งเรียบร้อยกิริยาอัชฌาไศรย
แม่เอ๋ยจิตรลูกเล่าเคลิ้มเขลาไป อันโทษไภยกรรมกรณ์ผ่อนให้รา
ซึ่งลูกผิดคิดเห็นว่าเปนชอบ ซํ้าประกอบระรานชาวบ้านกล้า
เพราะนิมิตรวอนวิงหมายจริงมา จึงได้พามารดรร้อนระคาย
อันเรื่องฝันฉันนี้อัศจรรย์ เหมือนใช่ฝันเห็นจริงทุกสิ่งหมาย
เปนสัจจังดุจดังลูกตื่นกาย ใครทั้งหลายจะถูกยังลูกมี
ก็จักร้ายเริงแรงกล้าแขงไป ลูกสงไสยดังเห็นเปนถ้วนถี่
เฉกคนตื่นในทิวาราตรี การเรื่องนี้แม่นแท้แน่เหมือนกัน
ลูกไม่คิดค้นคว้าหาความใด คะเนใจโดยว่าลูกยาฝัน
มิได้คิดอาวรณ์เหมือนก่อนนั้น แม่ ๆ ฉันอาบูผู้บุตรา
ความแผกแรกลูกทำพลํ่าเผลอไผล กำเริบใจโหมหักอาจนักหนา
แต่นี้ไปไม่หาญขัดมารดา โดยมรรคาเที่ยงตรงไม่หลงแนว
จักนบนอบมารดรดังก่อนแน่ เที่ยงแท้แม่ถ่องถูกนี่ลูกแก้ว
จะผดุงปฏิบัติไม่ขัดแล้ว ตามเทือกแถวอาหรับนับว่าดี
นางสดับตามราวลูกกล่าวสาร เย็นโสตรหวานเพราะพร้องถูกต้องที่
เสื่อมทุกข์กลับศุขเพิ่มเสริมทวี โปร่งเปรมปรีดิ์เปรียบใดไม่เทียมทัน
พลางปราไสลูกรักประจักษ์แม่ ได้ยินแท้สมจริงทุกสิ่งสรรพ์
แม่สิ้นโศกโศกาสิ้นจาบัลย์ สิ้นรำพรรณวอนวุ่นสิ้นขุ่นเคือง
เดชะมะหะหมัดป้องปัดเข็ญ การลูกเปนสูญหมดไภยปลดเปลื้อง
ตั้งแต่นี้จักชื่นรุ่งรื่นเรือง จะบอกเบื้องบูรพ์เหตุเลศที่เปน
ล้วนความจริงโดยเที่ยงใช่เพลี่ยงเค้า แต่ว่าเจ้าไม่เห็นแม่แลเห็น
วันเจ้าเลี้ยงพ่อค้าเวลาเย็น แม่รู้เช่นดังกิจซึ่งผิดนา
เขาไม่ทำตามคำของลูกแก้ว เมื่อไปแล้วประตูเปิดอยู่ร่า
ฝูงปิศาจจึงลอดดอดพาธา สิงลูกยาเคลิ้มงงลืมหลงกาย
ควรน้อมจอมมหิศร์ฤทธิไกร ช่วยดับไภยโรคร้างเหือดห่างหาย
พระทรงโปรดรักษาลูกยาคลาย รอดบาปบ้ายบงเบาเพลาสกนธ์
อาบูฟังสุนทรมารดรแถลง จึงแจ่มแจ้งจังใจในนุสนธิ์
พลางตอบความตามเหตุเลศยุบล การเบื้องต้นพ่อค้ามาวันนั้น
ลูกมิได้รำพึงจึงสงกา สั่งกิจจาแก่เขาแม่นเค้ามั่น
ถ้าจะไปให้หับทวารพลัน คราวเมื่อวันตื่นได้ดูใบบาน
เปิดอยู่หมู่ปิศาจจึงสิงลูก มันพันผูกจิตรมะเมอไพล่เผลอขาน
แม่คิดใช่ผิดถูกทุกประการ ไม่กล่าวสารคงกล้ำอํ้าใจตาย
นางสดับกิจแจ้งแห่งหะซัน เกษมสันต์แสนสุดด้วยบุตรหาย
รีบสู่หมอดลพลันบรรยาย ว่าลูกคลายคลั่งแล้วแผ้วอินทรีย์
ฉันขอรับกลับคืนยังสถาน ด้วยอาการไม่เปนดังเช่นกี้
หายสนิทจิตรปรกติดี เขาพาทีถูกเรียบระเบียบบรรพ์
ไม่งวยงงหลงคลั่งดังแต่ก่อน ค่อยโอนอ่อนนอบนบเคารพฉัน
หมอติดใจจึงไวจรจรัล ถึงหะซันพลันตรวจกิริยา
เห็นทุกอย่างส่างสมอารมณ์รู้ หมอเอนดูอาบูอยู่นักหนา
จึงปลดเปลื้องเครื่องจำพันธนา มอบมารดารับบุตรเข้ายุดกร
พลางพยุงลูกยาจูงคลาคลาศ ด่วนลีลาศรีบรุดไม่หยุดหย่อน
โดยรักใคร่ห่อนให้อนาทร ดลสถานมารดรประกอบยา
ปฏิบัติพันผูกที่ลูกชาย จนเสื่อมคลายบันเทาเบานักหนา
พอล่วงการนานนับหลายทิวา อันโรคาหะซันนั้นถอยไป
ค่อยสบายเบิกบานสำราญภักตร์ เปนที่รักมารดาอัชฌาไศรย
เกษมศุขสวัสดิบำบัดไภย วราไวยวัฒนาแห่งอาบู ๚

จบท่อนที่ ๔

ท่อนที่ ๕

หลวงบรรหารอรรถคดีแต่ง

๏ ครานั้นหะซันรู้สำนึก ไม่เหิมฮึกดังก่อนด้วยอ่อนหู
เจียมตนไม่ออกนอกประตู อุส่าห์อยู่เคหารักษากาย
ถึงคราวจะได้ดีมั่งมีใหญ่ พเอิญให้หวลคิดหามิตรสหาย
ร้างเพื่อนร่วมโภชน์สันโดษดาย ไม่สบายตรมตรอมผ่ายผอมลง
คิดจะใคร่ได้เพื่อนสู่เรือนบ้าน รับประทานเล่นตามความประสงค์
เช่นแต่เดิมเหิมฮึกนึกทนง เห็นมั่นคงเปนศุขสนุกครัน
จึงจัดแจงแต่งเรือนเสร็จเหมือนหมาย แล้วซื้อจ่ายจำกัดเลือกคัดสรร
หวานคาวเหล้ายาสาระพัน พอสู่กันกินต้องเพียงสองคน
จัดสำเร็จเสร็จสมอารมณ์นึก ออกจากตึกเดินกริ่มถึงริมถนน
นั่งพักที่ตะพานบานกระมล คอยดูคนชอบอัชฌาพามากิน ๚
๏ จะกล่าวถึงอิศรากาหลิบราช สถิตย์อาศน์ทองทรงดำรงศิล
จวบเดือนจวนเวลาตรวจธานินทร์ เปนอาจิณมิได้เคลื่อนทุกเดือนมา
พอรำไพลับไคลสนธเยศ ทรงผันเพศพานิชผิดภาษา
ลงจากแท่นทิพมาศลินลาศคลา กับข้าคนสนิทเคยติดตาม
บรรลุถึงท้ายตะพานบ้านหะซัน พอเห็นกันถือจิตรไม่คิดขาม
ทำเดินเฉยเมยมาสง่างาม ประกอบความกรุณามาแต่เดิม ๚
๏ ฝ่ายอาบูดูคนต่างประเทศ คอยสังเกตนั่งนึกจิตรฮึกเหิม
แลเห็นชนมาไกลใจเจริญ คอยจะเชิญชวนไปผูกไมตรี
พอเกือบใกล้จำได้ถนัดแน่ คนนี้แลชั่วนักเช่นยักษ์ผี
กรรม ๆ ทำไฉนฉันใดดี จะวิ่งหนีก็ไม่พ้นจนปัญญา
ตัวสั่นเทิ้ม ๆ สิ้นเหิมฮึก ใจเต้นตึก ๆ นึกประหม่า
ลงคุ้ยดินสิ้นคิดหมดวิชชา ร้องอาหล่าโปรดด้วยช่วยชีวิตร ๚
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงสวัสดิขัติเยศ ทอดพระเนตรเห็นหะซันสำคัญผิด
ระคายเคืองเรื่องเก่าที่เราคิด จะมิดชิดสมหวังฤๅอย่างใด
ด้วยโปรดปรานการสนุกเล่นซุกซิก ไม่ถึงวิกคิดทรงเล่นจงได้
ต่าง ๆ อย่างยิ่งทุกสิ่งไป ภูวไนยเห็นหะซันกลั้นสำรวล
ดำริห์จะทดลองซึ่งของขำ ที่เงื่อนงำท่วงทีให้ถี่ถ้วน
ยังมั่นคงตรงกระแสฤๅแปรปรวน จะไปยวนเย้าอาบูให้รู้กล
กรายกรตรงไปไถลทัก เออรู้จักแต่ตรึกนึกฉงน
อ้อ ๆ อาบูน้องไยหมองมน พี่เปนคนอยู่ไกลนานไปมา
เออจำพี่ได้ฤๅไม่เจ้า แต่เดิมเราผูกรักกันหนักหนา
สลามพลางทางถามความสงกา ทุกทิวามีศุขฤๅทุกข์ไภย ๚
๏ ฝ่ายอาบูหน้าบึ้งให้อึ้งอั้น ขยาดขยั้นหน่ายแหนงแถลงไข
ไม่รู้จักภักตรามาแต่ใด เราก็ไม่รับสลามอย่าถามเลย ๚
๏ อพุทโธโอ้พ่ออาบูนี่ ช่างลืมพี่ไปได้กะไรเหวย
เมื่อเดือนก่อนพ่อคุณได้คุ้นเคย สนุกเสบยลืมได้ยังไม่นาน ๚
๏ ไม่รู้จักรู้จี่พูดขี้ปด ไม่ได้จดไม่ได้จำที่คำขาน
เราไม่มีพี่น้องพวกพ้องพาล เบื่อรำคาญหลีกไปเสียให้พ้น ๚
๏ จอมกระษัตริย์ตรัสปลอบตอบสนิท เจ้ายอดมิตรกะไรฟังยังฉงน
เชิญรำฦกตรึกตรองอย่าหมองมน เมื่อแรกต้นตั้งรักผูกภักดี
เจ้าเลี้ยงดูพูวายสบายนัก ไม่ควรจักเคลือบแคลงหน่ายแหนงหนี
ฤๅเจ้าต้องซาตานการกระลี จึงเห็นพี่ชิงชังไปดังนั้น
ไม่ทราบเหตุเพศไภยในใจเจ้า ขอเชิญเล่าแจ้งจิตรอย่าบิดผัน
พี่สัญญาว่าไว้ในวันนั้น สารพันมิได้ขัดอัธยา
ควรจะค้นต้นเหตุสังเกตบ้าง ตามข้ออ้างจริงจังอย่ากังขา
พี่คนซื่อถือสัตย์วัจนา ซึ่งสัญญารับไว้แล้วไม่ทิ้ง ๚
๏ ชิๆไม่อดสูเบื่อหูเหือง อย่ายักเยื้องอ้อยสร้อยพูดอ้อยอิ่ง
ไม่ขอฟังไม่ขอตรองของไม่จริง ท่านดียิ่งอย่างใดไม่รู้ละ
คบเข้าก็ฉิบหายแทบตายโหง จนตะโพงบ้าบอไม่ขอปะ
เชิญเถิดรีบไปไว ๆ นะ ไม่ธุระพูดด้วยให้ป่วยการ ๚
๏ ทรงสำรวลสรวลแสร้งทำแกล้งกอด โอ้พ่อยอดเพื่อนชายหมายสมาน
ไยสลัดตัดรักพูดหักราน เคยพ้องพานปราโมทย์ร่วมโภชนา
คราวจำเภาะเคราะห์ดีพี่พบเจ้า ยินดีเท่าได้ยลหนเวหา
ด้วยตั้งจิตรคิดตรงจำนงมา หวังว่าพักเย่าเจ้าสักคืน
รับประทานหวานคาวเหมือนคราวนั้น เกษมสันต์ศุขาไม่ฝ่าฝืน
แสนอร่อยน้อยฤๅไม่ครือกลืน ที่อื่น ๆ ไม่ถูกฅอเหมือนพ่อน้อง ๚
๏ อย่ามายอไม่ขอฟังเสียทั้งสิ้น ไม่ขอกินร่วมปนคนทั้งผอง
เราถือตนกินทำแต่ลำลอง เราไม่ต้องเกรงใครผู้ใดเลย
คบร้ายภายหลังจนพลั้งพลาด เข็ดขยาดรักษากายสบายเฉย
บุราณท่านบรรยายภิปรายเปรย ชะเง้อเงยยกกล้องที่ของตน
มาเปรียบเทียบกับกายไม่คลายเคลื่อน คงเห็นเงื่อนเงาชัดตัดฉงน
ย่อมจะแจ่มแจ้งแห่งยุบล ไม่ต้องคนอื่นมีมาชี้แจง
เราบอกแล้วหลายครั้งไม่หวังคบ อย่าประจบประแจงกินไม่สิ้นแหนง
ไม่คบท่านนั้นหมายคนร้ายแรง จนสูญแสงสุริยันต์พระจันทร ๚
๏ ทรงฟังคารมเรี่ยวเห็นเปรี้ยวจัด ทรงกอดรัดลูบหลังแล้วสั่งสอน
การควรโกรธโทษทัณฑ์คิดบั่นรอน ค่อยผ่อน ๆ พูดจาวิสาสะ ๚

(ต้นฉบับขาด)

  การจึงจะคลายเคลื่อนที่เงื่อนยุ่ง
ถ้าหุนหันพันแล่นมักแน่นนุง คิดบำรุงอารมณ์ให้สมควร
มีทุกข์โศกโรคไภยสิ่งใดแน่ จงผันแปรเล่าคดีให้ถี่ถ้วน
จะได้ช่วยแก้ไขในกระบวน การทั้งมวญจะได้สิ้นมลทินพาล
นํ้าจิตรพี่นี้ตั้งยังไม่เคลื่อน อยากให้เพื่อนภูลศุขสนุกสนาน
สิ่งเจริญเพลินจิตรพิศดาร จะบรรหารโหมฮึกนี่นึกจริง
แต่การนั้นผันผายกลายเปนโทษ ก็ควรโกรธควรตรึกจะนึกกริ่ง
เหลือนิไสยจะประมาณคัดค้านติง จะอ้างอิงอาไศรยได้ใจต่อใจ ๚
๏ หะซันฟังคำขานหวานโสตร ค่อยคลายโกรธผินหน้ามาปราไส
เหตุชิงชังดังนี้เพราะมีไภย เกิดการใหญ่เหลือล้นพ้นปัญญา
ถึงท่านจักรักจริงต้องกริ่งจิตร เพราะสุดคิดแทบชีวังจะสังขาร์
ถ้าท่านเปน ๆ เช่นฉันเปนมา ถึงดินฟ้าก็ต้องทิ้งจริง ๆ ชัด
อัศจรรย์ฝันเห็นเปนประหลาด นอนเหนือราชบัลลังก์ดังกระษัตริย์
พอตื่นพลันนั้นมีนารีรัตน์ ปรนิบัติพร้อมพริ้งทุกสิ่งอัน
นึกสงไสยไต่ถามยุนุกเขา บอกว่าเราจอมวังนรังสรรค์
สวมเครื่องทองของกระษัตริย์อัศจรรย์ ออกยังบัลลังก์รัตน์ชัชวาลย์
มีเสนาข้าเฝ้าเข้ามาพร้อม ห้อมล้อมปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
เราได้สั่งดั่งจรพูดก่อนกาล เอาอิแมนไปประจานทำโทษทัณฑ์
เก็บเอามานิมิตรด้วยจิตรมุ่ง อารมณ์ฟุ้งหลงใหลจนใฝ่ฝัน
กับให้ไกฟาเสนานั้น เอาสุวรรณรีบไปให้มารดา
แม่ก็ได้รับทองต้องกับฝัน อิแมนนั้นก็ได้รับซึ่งโทษา
การสมจริงดังฝันที่พรรณา นี่แลข้าสงไสยในใจจริง
ฤๅจะเปนอาหล่าต้าหล้าไซ้ ดลพระไทยจอมพงษ์เข้าทรงสิง
ให้สมกับนิมิตรจิตรประวิง จะค้านติงก็ต้องขัดข้องใจ
ใช่นิมิตรแน่แต่เท่านี้ การยังมีฝันต่ออิกข้อใหญ่
กลับจากข้างน่ามาข้างใน เขาพาไปสู่ห้องเที่ยวมองเพลิน
นับห้อง ๆ มีถึงสี่แห่ง ดูเครื่องแต่งเกินกำลังจะสรรเสริญ
นางกำนัลสันทัดจัดสเทิน งามเจริญยิ่งอย่างเหมือนนางฟ้า
บอกชื่อเสียงเรียงนามได้ถามซัก ว่ารู้จักจริงจังสิ้นกังขา
สดุ้งตื่นแล้วยังชื่นในวิญญา ทัศนานึกเห็นว่าเปนจริง
จนคลั่งเพ้อเวอวาเปนบ้าบอ ในใจคอป่นปี้ดังผีสิง
มารดรสอนสั่งเฝ้าชังชิง ไม่หยุดนิ่งออมอดละลดใคร
ถือตนเปนกาหลิบธิบดี หลงทุบตีมารดาไม่ปราไส
เขาพากันจับกุมคุมตัวไป เฆี่ยนหลังไหล่ตรากตรำขังจำจอง
เดชะพระอาหล่าเมตตาโปรด จึงพ้นโทษไภยพิบัติที่ขัดข้อง
ถ้าไม่แปรจิตรคิดลำลอง ก็จะต้องเปนบ้ากว่าจะตาย
เหตุทั้งนี้พิเคราะห์ก็เพราะทั่น แม่นมั่นเราสั่งช่างมักง่าย
ไม่หับประตูวู่วามไปตามสบาย ปิศาจร้ายนั้นจึงเข้าสิงใจ ๚
๏ พอหะซันบรรยายภิปรายจบ พระทรงภพกลั้นพระสรวลมิใคร่ได้
ของเดิมทรง ๆ ซ้ำขำพระไทย ภูวไนยทรงพระสรวลสำรวลแรง ๚
๏ อาบูนึกว่าท่านนั้นไม่เชื่อ ขัดใจเหลือโก่งฅอเถียงขึ้นเสียงแขง
ไม่เห็นจริงสิ่งใดจงได้แจง อย่าทำแสร้งหัวเราะเยาะประจาน
แน่ไม่เชื่อเนื้อเราเปนรอยอยู่ จะให้ดูเห็นประจักษ์มีหลักฐาน
พลางถอดเสื้อให้ดูคู่พยาน เหลือประมาณมีรอยกว่าร้อยพัน ๚
๏ จอมกระษัตริย์ทัศนาแผลอาบู พิเคราะห์ดูประจักษ์จริงทุกสิ่งสรรพ์
แสนสมเพชเวทนากลั้นจาบัลย์ พระทรงธรรม์ปราไสให้รู้
ชิ ๆ เวรใดไฉนนี่ ประหนึ่งพี่ทรยศน่าอดสู
เลินเล่อเผลอไผลมิได้ดู ลืมหับประตูเสียก่อนรีบร้อนไป
เหมือนกับแสร้งแกล้งก่อจิตรจ่อจ้อง ให้เจ้าต้องซาตานเกิดการใหญ่
ต้องถูกโพยโบยรันแทบบรรไลย ควรถือใจขึ้งโกรธปรับโทษเรา
รำพึงพลางทางสอื้นกลืนเทวศ ชลเนตรย้อยหยดกำสรดเศร้า
อัดอั้นตันอุระกอดพระเพลา เสียงกระเส่ากระสันพรรณา ๚
๏ อาบูฟัง ๆ ไปก็ใจอ่อน ที่แง่งอนแต่หลังสิ้นกังขา
เพราะพระโอษฐโจทจัดวัฒนา ผิดกับสามัญสัตว์มัธุรศ
ถึงมีทุกข์ขุกแค้นฤๅแสนโกรธ ยินพระโอษฐอิศราเห็นปรากฎ
ถึงจะแขงแรงมั่นดังบรรพต ก็คงลดทำลายกระจายพัง
จึงหันหน้ามาพูดไม่บูดบึ้ง เราสิ้นขึ้งสิ้นค้านการหลังหลัง
เห็นจิตรท่านมั่นจริงไม่ชิงชัง ฟ้าดินสังหรณ์ให้เปนไปเอง
อย่าลห้อยน้อยจิตรที่ผิดนั้น เราผ่อนผันพิเคราะห์เห็นเหมาะเหมง
แท้บุญกรรมนำสร้างแต่ปางเพรง จะข่มเหงจิตรใจไปไยมี ฯ
๏ ทรงนั่งฟังคารมเห็นลมตก จึงกล่าวยกยอส่งขึ้นตรงที่
ขอบคุณมิตรจิตรเหมือนเพื่อนชีวี ตัดคดีถูกต้องทำนองการ
พี่ขอเพิ่มเติมสติดำริห์ต้น เปนพักผลภูลศุขสนุกสนาน
ยังผูกพันมั่นแม่นแสนสำราญ รับประทานเหมือนดังเลี้ยงครั้งนั้น ๚
๏ อาบูฟังไม่กริ่งเห็นจริงหมด ที่สบถแต่ก่อนแบ่งผ่อนผัน
ขอความสัตย์ปัฏิญาณสาบาลพลัน ถ้าแม้นทั่นจักไปอย่าได้ละ
จงช่วยหับทวารสถานข้า ปิศาจกล้าไม่ด้นเข้าปนปะ
ให้ผ่องพ้นมลทินสิ้นธุระ เราจึงจะเชิญไปดังใจปอง ๚
๏ ฝ่ายกาหลิบธิบดีไม่หนีถ้อย ชำนาญอ้อยอิ่งอรรถไม่ขัดข้อง
พี่ถือสัตย์ปัฏิญาณมานานน้อง กล่าวลำลองเล่ห์ว่าคำสาบาล
เจ้าสดับรับคำจงจำจด ไม่โป้ปดปองรักสมัคสมาน
สิ่งเจริญเพลินจิตรพิศดาร ไม่เนิ่นนานจะให้เห็นใจจริง ๚
๏ ไม่รับประทานการเพลินเจริญแล้ว เปนหนึ่งแน่วหนีตัวกลัวผีสิง
ต้องถูกรันพันธนาจนตาวิง หน้าเปนลิงจุ่นไปอยู่ในกรง
เข็ดขยาดท่านอย่าเอามากล่าว ให้ยืดยาวไม่ธุระจะประสงค์
สิ่งสนุกศุขใหญ่ไม่จำนง เปนมั่นคงไม่ขอพบต่อไป ๚
๏ กาหลิบธิบดีฟังถี่ถ้วน ทรงพระสรวลสันต์ตรองสนองไข
ความจริง ๆ จักห้ามก็ตามใจ เราก็ไม่รำพรรณเลิกกันที ๚
๏ เออถ้าห้ามปรามฟังกันบ้างแล้ว ค่อยผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมศรี
สารพัดทั้งสิ้นไม่ยินดี ขอแต่ที่สั่งไว้อย่าได้พลั้ง
เราจะไขไส้พุงที่ยุ่งยิ่ง ตามสัตย์จริงแท้ ๆ เหตุแต่หลัง
ต้องรออิกสักหน่อยจึงค่อยฟัง ความสัจจังอัศจรรย์ขันจริงจริง
ต่างจับกรกันจูงบำรุงจิตร เสน่ห์สนิทร่วมใจมิได้กริ่ง
เดินพลางพูดพลางต่างอ้างอิง ไม่เย่อหยิ่งสรวลสันต์จำนรรจา
พอสุริยันต์ลับไม้ไพรพฤกษ์ มาถึงตึกหะซันแสนหรรษา
เชิญนั่งเหนืออาศน์ลออตา สนทนาถูกต้องทำนองกัน
เครื่องอาหารการเลี้ยงวางเรียงเรียบ พอเต็มเทียบโต๊ะย่อม ๆ มีพร้อมสรรพ์
เชิญให้รับประทานสำราญครัน สารพันกลืนคล่องจนพร่องชาม
ของคาวเลิกเลื่อนลองของหวาน สุราบานดื่มใหญ่มิได้ขาม
สำรวลสนทนาเลยกว่ายาม หลายเรื่องความต่าง ๆ วางกันเพลิน
จอมกระษัตริย์ทัศนาเนตรอาบู พิเคราะห์ดูเมาจัดไม่ขัดเขิน
เห็นสุรารินวางอยู่ค้างเกิน พระชวนเชิญส่งซ้ำกระหนํ่าไป
แล้วจับกรหะซันสั่นสั่นซัก เจ้านึกรักนารีอยู่ที่ไหน
ที่ต้องจิตรคิดประสงค์จำนงใจ ชนิดไหนบอกบ้างอย่าพรางกัน ๚
๏ ฝ่ายหะซันนั้นซื่อถือว่าเพื่อน ไม่เฉเชือนแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์
การอย่างนี้จริงจิตรไม่ติดพัน เพราะถือมั่นเชยชิดไม่พิศดาร
จะขอสู่คู่ชมสมสู่ห้อง ก็จะต้องวุ่นวายหลายสถาน
เหมือนกับบ่าวเขาใช้ไม่ได้การ น่ารำคาญแท้ ๆ มีแต่ไภย
เฉย ๆ อยู่เช่นนี้คงดีชัด เปนความสัตย์ไม่ปดสบถได้
ชอบแต่คบเพื่อนชายสบายใจ เลี้ยงกันให้ครึกครื้นทุกคืนวัน
สุราอย่างดี ๆ มีสำหรับ ถูกสำรับร่วมจิตรไม่บิดผัน
พอสนุกสบายเรานึกเท่านั้น จึงห้ามหันจิตรยั้งสิ้นกังวล
ตรงหญิงอื่นดื่นไปที่ได้พบ ไม่ขอคบร่วมรักสืบพักผล
ถ้าแม้นได้ดังฝันนั้นชอบกล ถึงจะทนทุกข์ยากต้องฝากรัก
ช่างงามขำสำอางเหมือนนางฟ้า ลักขณาล้ำเลิศประเสริฐศักดิ์
ไม่ราคินลิ้นลมพอสมภักตร์ แหลมหลักเย้ายวนน่าชวนชิด
รู้เพลงดีดสีตีเป่าพร้อง ขับร้องเต้นรำทำสนิท
มือเท้ายาวเพรียวเรียว ๆ นิด สมจิตรกิริยาพาที
แม้นประสบพบเห็นคนเช่นนั้น เหมือนดังฝันนึกหมายไม่หน่ายหนี
จะรับแรงแต่งงานการไมตรี คู่ชีวีกว่าชีวันจะบรรไลย
ซึ่งสัตรีที่ฝันนั้นอย่านึก เห็นเต็มฦกเหลือล้นพ้นวิไสย
ตายแล้วเกิดเล่าสักเท่าใด ก็ไม่ได้ชมชิดสนิทนั้น
เกิดสำหรับรับรองฉลองบาท บรมนารถจอมวังนรังสรรค์
ถึงเสนาบดีมั่งมีครัน อย่านึกฝันตายเปล่าเขาไม่แล
เชิญดื่มเหล้าดีกว่านึกบ้ากาม ซึ่งตัดความข้อนี้ดีเปนแน่
คิดทำไมไม่ควรจิตรปรวนแปร ควรคิดแต่การสนุกเปนศุขใจ ๚
๏ กาหลิบล้อยอว่าช่างสามารถ มาตัดขาดคู่ชิดพิศมัย
สันโดษอยู่ดูเจริญเพลิดเพลินใจ เพลินก็ไม่เพลินเท่าเพลินเคล้าคลึง ๚
๏ หะซันซื่อดื้อแพ้พูดแก้เกี้ยว ไม่อยากเหลียวแลนึกรำฦกถึง
รุ่นราวสาวสวยสำรวยอึง ไม่ฦกซึ้งยาวยืดหน่อยจืดไป
ถูกหญิงร้ายหลายหลากลำบากนัก ถ้าไม่รักทำรักไม่ยักได้
เหมือนหนามยอกชอกชํ้าระกำใจ ถอนออกได้จึงจะค่อยสบาย
บุราณว่าพาเสียมีเมียผิด จะต้องคิดละเหี่ยจนเมียหาย
ปลูกเรือนผิดคิดเชือนจนเรือนทลาย เรามั่นหมายจดจำคำบุราณ
ต่างตอบโต้โอ้เอ้หลายเล่ห์ถ้อย ออกอร่อยเปนศุขสนุกสนาน
จนถึงสองยามถ้วนเห็นควรการ พระภูบาลถวิลหวังถึงวังใน
คเนดูได้ท่าหยิบยาผง รีบโรยลงถ้วยพลันไม่หวั่นไหว
รินสุรายาร้ายละลายไว จึงส่งให้หะซันดื่มทันที
แล้วตรัสซ้ำคำไขให้สินพร จงถาวรปรีดิ์เปรมเกษมศรี
เราจะสืบเสาะหาเลือกนารี เหมือนอย่างที่นึกนิยมให้สมปอง ๚
๏ ฝ่ายอาบูบรรเทิงรื่นเริงรับ ประจงจับถ้วยพลางทางสนอง
ซึ่งการุญคุณลํ้าเหลือพรํ่าพร้อง เหมือนพี่น้องร่วมครรภ์ตามกันมา
ท่านจงจิตรคิดสรรกลั่นมาให้ จะตั้งใจรับเล่ห์เสนหา
ขอคำนับส่งไปมิได้ช้า กัลยาอยู่ใดท่านไปพบ
ให้ต้องดังวิญญาข้าประสงค์ ขอจงหญิงนั้นพลันประสบ
ศุขเกษมเปรมใจจงได้ครบ อย่ารู้จบเจริญยิ่งทุกสิ่งเทอญ
เสร็จสารการพร้องสนองพจน์ ยกถ้วยซดดื่มถนัดไม่ขัดเขิน
ลงถึงทรวงง่วงงันไม่ทันเมิน ยาเมาเดินซ่านสิ้นทั้งอินทรีย์
วิงเวียนเศียรพับลงกับอาศน์ น่าอนาถนอนสลบเหมือนศพผี
ไม่หายใจไม่ตายวายชีวี วิสัญญีคล้าย ๆ เช่นวายปราณ
พระทรงธรรม์บัญชาสั่งข้าทั่น แบกหะซันขึ้นบ่าด้วยกล้าหาญ
รีบออกจากห้องผ่องสำราญ ปิดทวารตามสัตย์วัจนัง
สรรพเสร็จเสด็จยุรยาตร มาถึงราชฐานทวารหลัง
ทางลับลี้ที่ทำมีกำบัง เสด็จยังห้องมณีศรีจรูญ
กำนัลนางต่างคำนับอัภิวาท บรมนารถธรณินทร์บดินทร์สูรย์
คอยสดับรับสั่งฟังเค้ามูล บ้างคอยทูลฉลองสนองการ ๚


[๑] พิมพ์ตามต้นฉบับ (น่าจะเป็น สมปอง)

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ