๏ กระหม่อมขอยอพระเดชมเหศร |
สมเด็จพระจอมโมเฬศเกษนิกร |
ละนครคืนสถิตย์ดุสิดา |
พฤหัศบดิ์บัณรสีที่เสด็จ |
เดือนสิบเบ็ดอุโบสถหมดวษา |
ยามหนึ่งยกหกมินิตดวงลิดา |
ยังดาราพฤหัศบดิ์สวัสดี |
เข้าเคียงช่วงดวงเดือนริมเรือนรถ |
เห็นปรากฎเกิดลางทางดิถี |
พระจันทร์หมองท้องฟ้าเมื่อราตรี |
ก็เศร้าศรีแสงสงบในนภา |
หนึ่งคำฦๅอื้อฉาวว่าดาวหาง |
ขึ้นมาทางเบื้องบูรพ์ทิศา |
แลสว่างหางยาวราวสักวา |
ดาวพระราหูสถิตย์ข้างทิศมิน |
ดูเด่นดวงช่วงโชติปราโมทย์เมฆ |
เรืองดิเรกรัศมีศรีกสิณ |
เท่าอาทิตย์พิศพร่างเหมือนอย่างนิล |
วันจะสิ้นซึ่งพระชนม์จึงบนฟ้า |
แสดงลางอย่างสมเด็จสรรเพ็ชญ์พุทธ |
สั่งมนุษย์นรชาติ์สาสนา |
โดยพระพงศ์โพธิสัตว์ฉัตรสุธา |
ตั้งเมตตาต่ออำมาตย์ราษฎร |
จะหายห่างร้างบุรินไปสิ้นชื่น |
พระยศยืนอยู่ในลักษณ์อักษร |
บางพวกเห็นเช่นกันกับจันทร |
ขึ้นซับซ้อนแสงศรีฉวีวรรณ |
เหมือนดอกไม้ไฟพะเนียงมาเรียงตั้ง |
ตรงที่นั่งทัศนัยสุทไธสวรรย์ |
ตรงแถวถัดวัดนิเวศเชตุวัน |
เขาโจทกันเห็นพระราชปราสาททอง |
ผุดขึ้นในนภาเพลาบ่าย |
เมฆเปนสายแสงเลือดเผือดผยอง |
มหาธนูภูกันเปนคันคลอง |
ขึ้นจับท้องฟ้าชิดทิศอุดร |
ด้วยเทพไทในโลกเธอโศกศัลย์ |
ทั้งเบื้องบรรพ์บุญฤทธิ์อดิศร |
อุกาบาตหยาดฟ้านภาพร |
ตกจันทรโอภาศพระราชวัง |
ประธุมเกตุเกิดครันควันตระหลบ |
เมื่อจวนพลบโพล้เพล้คเนหวัง |
ทรงประชวรจวนจะค่ำย่ำระฆัง |
มีรับสั่งกระษัตราสมาพระ |
เปนมคธพจนาดถ์สาสนา |
ทางอนุสาสนีวิสาสะ |
ครั้งทรงเพศเนษขำสำมนะ |
ได้ทรงพระสัตยาบัญชาการ |
ว่าถ้าทรงอาสัญวันพฤหัศ |
โดยพิบัติเดือนสิบเบ็ดเสร็จวสาน |
มิให้ขาดอุโบสถทศญาณ |
ได้ทรงตรัสอัธิฐานนานฉนี้ |
เสร็จสิกขาลาพรตยศกระษัตริย์ |
ผ่านสมบัติบำรุงการกรุงศรี |
มีโรคันรันทำมาย่ำยี |
ให้อินทรีย์เวทนาเปนอารัมณ์ |
ในอายัตนะฉันขันธ์ทั้งห้า |
เห็นวิญญาธาตุทนไม่พ้นค่ำ |
ล้วนเปนพระอนัตตาสังขารธรรม |
หนึ่งเล่าลำบากสัตว์ไม่อัศจรรย์ |
ย่อมมีทั่วตัวตนทุกคนผู้ |
บรรดาผู้ที่รักษาสังขารขันธ์ |
มีการตายรายตัวไปทั่วกัน |
ชั้นผมฟันเล็บขนไม่พ้นตาย |
ซึ่งรับสั่งหวังทรงอุโบสถ |
ขอประณตน้อมจิตรอุทิศถวาย |
วาจาใจไว้ต่างพระร่างกาย |
มีจิตรหมายเหมือนหวังว่าดังนั้น |
ขอชินบุตรธรรมยุติอนุญาต |
ให้พระราชโทษาบัญชาฉัน |
พระศรีสุนทรจดพจน์รำพรรณ |
เป็นอนันต์อานิสงส์ทรงดำเนิน |
ทางสัมมาปณิธิสติยุด |
หน่วงเอาพุทธสรณังสั่งรเสริญ |
ทำวิปัสนาธรรมให้จำเริญ |
วาโยเชิญชวนพระหฤไทย |
ทรงรักษาหาที่วิถีมุต |
ภวังคจุติจิตรดุสิตไสมย |
เปนธรรมเนียมของมนุษย์สมุทไทย |
ธาตุลมไฟน้ำนิราศเคลื่อนคลาศกัน |
แต่พระจอมธรณินปิ่นมงกุฏ |
เปนที่สุดยังต้องวายทำลายขันธ์ |
ละพระราชนัคเรศขอบเขตรคัน |
ที่ในวันคุรุวาร์นิคาไลย |
พระสงฆ์สวดอุโบสถหมดทุกวัด |
เหมือนจะนัดนำจิตรพิศมัย |
ให้เหาะเหินเพลินพระหฤไทย |
เสด็จไปดุสิดาเมื่อราตรี |
ทิวาสัญวันสรงพระศพเสร็จ |
ทรงโกษฐ์เพ็ชรผ่านพระราชปราสาทศรี |
สมเด็จพระจอมโมเฬศธเรศตรี |
ละบุรีกรุงเทพทวารา |
ทิ้งสนมพระบรมโอรส |
ให้กำสรดโศกสร้อยละห้อยหา |
สละหมดทวยทศโยธา |
ละฎีกาหมายประกาศราษฎร |
หนีขุนนางร้างนิราศพระสาสนา |
เคยเปรมปราด้วยพระเดชมเหศร |
ทิ้งคุณจอมหม่อมเถ้าแก่แม่ลคร |
ให้อาวรณ์ถึงพระเดชเทวศทวี |
เคยร่มเกล้าเช้าค่ำประจำเกษ |
ดังสุริเยศส่องสัตว์จำรัสศรี |
มาหายห่างร้างฟ้าสุธาตรี |
ทำพระปรีดาขันธ์วันนิพพาน ฯ |
๏ ที่พากเพียรเขียนข้อยอพระยศ |
ให้ปรากฎกฤษฎาภินิหาร |
จงยืนอยู่คู่ฟ้าสุธาธาร |
เปรียบประมาณเหมือนพระยศทษฐคา |
มณีนารถบาทบงสุ์ชีวงคต |
นั่นเทวราชเรืองยศเอารถา |
มารับองค์แล้วพระทรงเสี่ยงมาลา |
ให้วงศาเห็นทั่วทุกตัวกัน |
นี่ก็ไม่ปรากฎรถดุสิต |
แต่นิมิตรลางหลากมากมหันต์ |
ที่ปฐมเจดีย์คิรีอรัญ |
มีเทวัญจากรุกขราวไพร |
มาสิงสาวชาวดอนมอญผู้หญิง |
แล้วหวีดวิ่งวงมาหาช้าไม่ |
ถึงพระสุธรรมไมตรีพลางดีใจ |
จึงแจ้งไขว่าข้าสุรารักษ์ |
สถิตย์สถานพระปฐมบรมธาตุ |
ได้รับราชการบุญจุลจักร |
เห็นประชวรจวนหนักหนาเทพารักษ์ |
มาพร้อมภักตร์พลางพากันคลาไคล |
ไปเยี่ยมพระจอมเกล้าเจ้านิเวศน์ |
ในยามเศษกรุงกระษัตริย์ทรงตัดไษย |
เทวดามาแน่นแห่แหนไป |
ท่านนั่งในแท่นลออพระวอทอง |
สุกอร่ามงามครันกุดั่นเด่น |
แล้วก็เปนวิมานใหญ่ไม้สิบสอง |
ประดับแก้วแพรวพรายลายลำยอง |
ไปสู่ห้องเวหาเมื่อราตรี |
แลละลิ่วปลิวเมฆดูเอกเอี่ยม |
ผยองเยี่ยมหยาดฟ้าในราษี |
ท่านแห่แหนแน่นนันไปฉันนี้ |
เราก็หมีได้เฝ้าเจ้าสุธา |
เทพนำคำข่าวเล่าแถลง |
อย่าคลางแคลงเทวบุตรไม่มุสา |
พระสุธรรมนำสุนทรอมรมา |
ถวายฝ่าบทรัชกระษัตริย์ชี |
คือพระองค์ทรงศีลชินเพศ |
วัดนิเวศน์กรมบวรรังษี |
ชินบุตรพุทธรัตน์สวัสดี |
ทำพระปรีดาประดิษฐ์คิดแสดง |
จอมหาในได้อ่านมาวานฉัน |
สมกตัญญูหวังดังแสวง |
เดิมก็นึกจะประนตจดจัดแจง |
แต่ระแวงวาศนาไม่กล้าทำ |
เหมือนมีผู้ชูชี้มณีชัด |
วิเชียรรัตน์วัชราเลขาขำ |
ก็แต่งต่อยอพระเดชแทนเทศน์ธรรม |
ด้วยถ้อยคำคัดคิดกิจคุณ ฯ |
๏ พระปรเมนทร์โมฬิศอดิศร |
ผ่านนครขัติเยศวิเศษสุนทร์ |
เสวยสวรรยาธิบัติทัศคุณ |
เมื่อปีกุนตรีนิศกดิลกลบ |
ทรงสถิตย์กฤษฎาภินิหาร |
จนชนมานม้วยหมดจดประจบ |
มะโรงสัมฤทธิสำหรับนับพอครบ |
ผ่านพิภพเป็นศุขสิบแปดปี |
มีพระหน่อสุริวงศ์พงศ์กระษัตริย์ |
ในเอกฉัตรอยู่ยกหกสิบสี่ |
ทั้งประสูตรองค์สุดพระบุตรี |
เดือนห้าปีมะเสงสันต์วันอังคาร |
พระนงนุชสุดพระหน่อลออโฉม |
อยู่ในกระโจมเจียมพระองค์น่าสงสาร |
ไม่ทันกราบบงกชบทมาลย์ |
สมเด็จพระผ่านจุลาเกล้าเอาธุระ |
เปนพระคุณจุนเจิมเฉลิมหล้า |
พระวงศาสร่างเศร้าเบาอุระ |
ที่โศกสร้อยค่อยเปลื้องประเทืองประทะ |
ก็เพราะพระเดชาบารมี |
ควรจะจดหมายเหตุเทวศหวัง |
องค์ทีหลังลงในกลอนอักษรศรี |
จงเจริญชนมายุบารมี |
ในพระศรีสุดสุดาสถาวร ฯ |
๏ ข้าพเจ้าเล่าเปนข้าฝ่าพระบาท |
ธรรมิกราชบพิตรอดิศร |
คือพระนั่งเกล้ากระษัตริย์ฉัตรนคร |
โปรดบิดรฦๅดังทั้งแผ่นดิน |
ทรงเลี้ยงเราเข้าระยะที่พระแสง |
ต้องจัดแจงจดพระเดชเทวศถวิล |
เอากตัญญูปัญญาทาแผ่นดิน |
ช่วยเพิ่มภิญโญพระบารมี |
สมุดแทนแผ่นเพ็ชรเจ็ดกะหรัด |
ประจงจัดจดกลอนอักษรศรี |
สมเด็จพระนั่งเกล้ากระษัตริย์ปัถพี |
ไว้เปนที่โสมนัศมัสการ |
ด้วยพระองค์ทรงเลี้ยงไว้เพียงบุตร |
เป็นศุขสุดสมบัติพัศฐาน |
ถึงพลั้งผิดปลิดโปรดโทษประทาน |
เหตุด้วยการสุจริตของบิดา |
คือถือมั่นกตัญญูชูพระเดช |
รักษาเขตรคลังสมบัติมนัศา |
ไม่ฉ้อหลวงล่วงพระราชอาญา |
ทำเงินตราขึ้นไว้ในแผ่นดิน |
สมพักศรบ่อนเบี้ยคิดเกลี้ยกล่อม |
รู้เก็บหอมรอมรับซึ่งทรัพย์สิน |
เดิมกรุงเก่าเล่าวิบัติปัถพิน |
เปนราคินครั้งพม่ามักมากวน |
สมบัติกรุงยุ่งยับนับอเนก |
อภิเศกกระษัตรารักษาสงวน |
ประชาชนจนเซยังเรรวน |
การเรือกสวนสมพักศรต้องผ่อนปรน |
สืบสยามสามทั้งพระนั่งเกล้า |
เปนจอมเจ้าจักรพรรดิบำเพ็ญผล |
ประชาชีมีทั่วทุกตัวคน |
ได้ลาภผลพฤกษาเนื้อนาปรัง |
ถึงสุธาหากินถิ่นประเทศ |
คุ้มไภยเภทโจรคโมยได้โดยหวัง |
ท่านบิดาราชมนตรีว่าที่คลัง |
จึงแต่งตั้งเจียสัวตัวอากร |
ให้เงินหลวงตวงเติมเฉลิมฉลาด |
ฉลองบาทบพิตรอดิศร |
คลังสมบัติวัฒนาสถาวร |
พระนครบริบูรณ์จำรูญรักษ์ |
เปนบุรุษสุจริตสนิทนารถ |
เฉลิมบาทคู่บุญจุลจักร |
รู้ถ่ายเทเสนหาสาพิภักดิ์ |
บำรุรักษาสมบัติขัติยา |
กตัญญูตูต่อมรดก |
แบ่งฉบกให้กับบุตรที่สุดสา |
พิภักดิ์ต่อยอพระเดชกระเษตรา |
พระนั่งเกล้าเจ้าสุธาประเทศไทย |
ที่ทรงพระกฤษฎาบารเมศ |
บุญเขตขัติยาสุธาไหว |
สร้างพระราชกุศลขนครรไล |
โปรดสิ่งไรไม่ทัดเท่าศรัทธา |
จนดินน้ำกัมปนาทธาตุกระสิณ |
พื้นแผ่นดินดังจะร้องแซ่ซ้องสา |
ธุการดั่งสั่งรเสริญกระษัตรา |
แต่ปราบดาเบ็ดเสร็จไหวเจ็ดครั้ง |
ทรงสถาปนาการวิหารหลวง |
ทุกกระทรวงเสร็จสมอารมณ์หวัง |
ที่ชำรุดซุดสลักหายหักพัง |
ถึงกระทั่งหกสิบห้าพระอาราม |
ทรงศรัทธากล้าหาญตัดการเล่น |
ของรำเต้นต่างต่างอย่างสยาม |
ไม่กำหนัดครัดเคร่งเบงญกาม |
ประพฤติตามทศธรรม์ทิ้งฉันทา |
พระธรณินยินน้ำษิโณทก |
ที่ต้องตกตามคลองแซ่ซ้องสา |
ไหวกระทั่งฝั่งสมุทอยุธยา |
เสร็จนิคาไลยลับลำดับวงศ์ |
ขึ้นค่ำจันทร์วันสุดตรุษเดือนห้า |
ทรงษมาชินบุตรสมมุติสงฆ์ |
โดยบาญชีสี่พันสิบเจ็ดองค์ |
ล้วนแต่ทรงศีลขันธ์ในสันดาน |
ถวายสงฆ์องค์ละยี่สิบบาท |
ทุกอาวาศวัดหลวงกระทรวงสถาน |
ทรงเลื่อมใสไขคลังสังฆทาน |
เงินประมาณแปดหมื่นชื่นหไทย |
กับเศษสามร้อยมีสี่สิบบาท |
ทรงพระราชอุทิศพิศไมย |
โสมนัศในพระรัตนไตรย |
สืบวิไสยสัปรุษพุทธพงศ์ |
แผ่นดินเย็นเช่นน้ำอัมฤตย์ |
บาทบพิตรโพธิสัตว์สลัดหลง |
ทรงอนุญาตราชสมบัติจังหวัดวง |
สั่งเจาะจงในพระจอมกระหม่อมวัด |
เสร็จสวรรค์ครรไลไว้พระยศ |
ยิ่งด้วยทศทางธรรมล้ำกระษัตริย์ |
ทรงบำรุงกรุงสยามอารามรัตน์ |
งามนิเวศน์เขตรวัดปัฏิมา |
พระเจ้าหลวงล่วงเลยเสวยสวรรค์ |
สามยามจันทร์ขึ้นค่ำในเดือนห้า |
สมเด็จพระจอมจักรพาฬผ่านสุธา |
บรมราชาภิเศกเสวกวงศ์ |
ขุนนางนำธรณินแผ่นดินถวาย |
กิจกฎหมายพรหมศักดิ์โดยประสงค์ |
สืบเยี่ยงอย่างปางกิจบพิตรพงศ์ |
ซึ่งดำรงนัคเรศเขตรสุธา |
การมงคลบนแผ่นดินทั้งพิณพาทย์ |
ประดับดาษดอกดวงพวงบุบผา |
ตามประทีปทุกสถานบ้านพระยา |
เปนโกหาหลล้นบนแผ่นดิน |
สมเด็จพระจอมจัดการผ่านสมบัติ |
บำรุงสัตว์สมหวังดังถวิล |
โกลาหลบนสุธาฟ้าแลดิน |
นิเวศน์อินทร์อัปศรอมรแมน |
เทพบุตรจุติจากดุสิตสวรรค์ |
ลงสู่ครรภ์อัคเรศวิเศษแสน |
จอมสัตรีมีสมบัติไม่ขัดแคลน |
เกินปึกแผ่นภูมิ์ฐานบ้านเมืองดี |
เป็นโกลาหะลังในครั้งสาม |
กับเมื่อความสวรรคตจดเปนสี่ |
ควรจะชมพระบรมบารมี |
ไว้เปนที่โสมนัศทัศนะ ฯ |
๏ เราอาไศรยในแผ่นดินนรินทร์ฤทธิ์ |
ประกอบกิจการรักอักขระ |
ฉลาดเฉลิมเสริมพระยศจดระยะ |
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าแผ่นดิน |
เปนยอดอย่างปางกระษัตริย์ฉัตรเฉลิม |
บำเพ็ญเพิ่มบารมีทวีถวิล |
บำรุงใจไพร่ฟ้าไม่ราคิน |
คือตัดสินความเมืองไม่เยื้องยัก |
พระเปนครูผู้สอนสรรพสัตว์ |
จึงได้จัดจดไว้ให้ประจักษ์ |
ทรงชวนชนสู่สถลกุศลมรรค |
คือให้รักษาศีลมุนินทร |
เมื่อพระองค์ทรงบรรพชาเพศ |
ประเทืองเทศน์ธรรมทานเปนการสอน |
กับศิษย์สงฆ์ที่ในวงศ์วัดบวร |
โดยสุนทรธรรมะพระวิไนย |
ทรงซึ่งพระปรกติอุโบสถ |
เอากำหนดเป็นแน่ในแขไข |
ตามประติทินทำสารัมภ์ไทย |
เปนสมัยปักขณนาว่าวันพระ |
สัปรุษในพระพุทธสาสนา |
รู้มคธพจนาวิสาสะ |
สัตว์เลื่อมใสได้สำนักมัคคธะ |
ก็เพราะพระจอมเกษเทศน์ประทาน |
อนึ่งอุบาสิกาศรัทธาเที่ยง |
รู้หลีกเลี่ยงโลภลาภทราบสังขาร |
แต่หลังหลังฟังเรื่องเบื้องโบราณ |
ประกอบการสาสนาก็ถาวร |
แต่ไม่สู้โด่งดังเหมือนครั้งนี้ |
พระบารมีเมตตาศึกษาสอน |
สงฆ์สมมุติ์มีวิสุทธิสังวร |
ได้นามกรธรรมยุติสุดปรีชา |
ห่มแหวกคลุมอุ้มบาตรราตคต |
ชิโนรสงดงามรามภาษา |
หนึ่งโปร่งปรุแม่อุบาสีกา |
รู้พูดจามคธบทบาฬี |
สวดกงเต๊กเจ๊กแตทำแซยิด |
พระทรงคิดคัดค้นกุศลวิถี |
บรรดาเห็นเปนประโยชน์โทษไม่มี |
ทรงเปรมปรีดิ์โปรดปราให้ถาวร |
พระผู้ริรศทางสร้างกุศล |
เปนมงคลขัติเยศวิเศษสอน |
ครั้นลาพรตทรงทศสุธาธร |
เปนจอมเกล้าเจ้านิกรเกษจุฬา |
ก็ทรงธรรม์กรุณาประชานาฏ |
ตรัสประภาษไปทุกตัวถ้วนทั่วหน้า |
เสร็จประทับรับรายถวายฎีกา |
ออกสุทธาไอสวรรย์ทุกวันพระ |
ด้วยกุศลผลบุญการุญราษฎร์ |
ทรงสามารถให้เห็นเปนทิษฐะ |
เทวดามาแสดงแจ้งธุระ |
ก็เพราะพระกรุณังจึงบังเอิญ |
ให้อารักษ์รุกขมูลอาดูลยเดช |
แสดงเหตุโดยดังสั่งรเสริฐ |
ว่าเทวัญหรรษาบูชาเชิญ |
ระเห็จเหินเวหานภาไลย |
ไปชมชั้นสวรรยางค์สุรางค์รื่น |
กว่าแสนหมื่นโกฏิ์ล้านคลานไสว |
ตั้งเครื่องทิพสุธาพวงมาไลย |
เพลินพระไทยในสถานพิมานทอง |
ทุกกระทรวงห่วงใยอาไลยบาท |
มิได้ขาดชลเนตรเทวศหมอง |
ควรที่จักหักอารมณ์อย่าตรมตรอง |
ท่านไปครองเขตรคันสวรรยา |
เชยสุรางค์นางวัชิราราช |
ที่ปรางค์มาศเมืองสวรรค์แสนหรรษา |
ทีจะปลื้มลืมมนุษย์อยุธยา |
ด้วยนางฟ้างามงดหมดทุกคน |
๏ ฉันแจ้งความตามเทวรันทด |
อย่ากำสรดอุตส่าห์สร้างทางกุศล |
ปลงสังเวชเขตขัณฑ์หมั่นสวดมนต์ |
บำเพ็ญผลภาวนาเมตตาทาน |
ถวายหวังสั่งความตามอุทิศ |
ประจงจิตรแจงจัดอัธิฐาน |
พระธรณีที่อ้างอย่างพยาน |
ให้นำการบุญก้มบังคมทูล |
จึงจะเห็นเปนผู้รู้พระเดช |
ของพระมิ่งโมเฬศมเหศร์สูร |
ให้ศุขทรวงตวงเติมช่วยเพิ่มภูล |
ทรงสมบูรณ์เกินสมบัติสุทัศน์ไท |
อย่าหวนห่วงทรวงตรมระทมระทด |
วิไสยยศย่อมไม่เที่ยงสำเนียงไหน |
จนแล้วมีดีแล้วชั่วทั่วกันไป |
แต่น้ำไหลเต็มฝั่งแล้วยังลด |
สุริยันต์จันทราดารากาศ |
ก็ลีลาศคล้อยเคลื่อนเขยื้อนขยด |
ลับพระเมรุเวรุวรรณบรรพต |
อยู่บนรถทองเที่ยวหลีกเลี้ยวลัด |
ย่อมผัดผันหันเหียนวนเวียนวุ่น |
บุญต่อบุญผลัดใบเหมือนไม้ดัด |
คุณก็มีปัญญาสารพัด |
อย่าโทมนัศหนักนักจงหักราน |
อันพระจอมฉัตรไชยเจ้าไตรภพ |
ดิลกลบล้ำหล้าสุธาสถาน |
เมื่อถึงที่แล้วต้องหนีราชการ |
ไปวิมานเมืองฟ้าสุราไลย |
เหมือนวิโยคโศกเศร้าเล่าไม่เที่ยง |
ในรูปเสียงกลิ่นรศที่สดใส |
บางทีทุกข์ศุขสบายแล้วหายไป |
เป็นวิไสยสัตวทั่วทุกตัวคน ฯ |
๏ ฉันจัดแจงแต่งกลอนสุนทรทด |
ยอพระยศอยู่สิ้นฟ้าดินฝน |
ด้วยพระเดชเกษทศมณฑล |
มีเหลือล้นอยู่กับข้าฝ่าลออง |
ครั้งถวายสักรวาฎีกาแก้ |
ตรงน่าแพเพิ่มภูลทูลฉลอง |
ทรงพระการุญรับประคับประคอง |
ได้ฉลองบาทบงสุ์พระโองการ |
ได้ทรงรศพจนาดถ์ประภาษทัก |
เหมือนยศศักดิ์ใหญ่โตระโหฐาน |
เสร็จล่วงลับดับพระชนมาน |
จึงคิดการกราบก้มบังคมคัล |
เมื่อพระองค์ทรงพิภพจากครรภะ |
ก็วันพฤหัศบดิ์สิบห้าน่าวสันต์ |
เสร็จนิราศธาตุลมปฐมกัลป์ |
ประฉิมวันสวรรคตหมดราคิน |
พฤหัศบดิ์เหมือนเดือนเสด็จเสร็จวษา |
รุ่งขึ้นวันถวายผ้าน่ากฐิน |
สมเด็จพระจอมโมเฬศเกษแผ่นดิน |
มีอภิญญาณยศปรากฎเกิน |
ทำพระกฤษฎาการผ่านสมบัติ |
ทุกจังหวัดเวียงวังสังรเสริญ |
พระเปนผู้รู้รอบชักชอบเชิญ |
ทรงดำเนินโดยมนุษย์บุรุษธรรม์ |
ทรงรู้จักอักขรฝ่ายฝรั่ง |
เปนพระคลังไตรเพททุกเขตรขัณฑ์ |
ทราบภาษาอักษรมอญรามัญ |
เสวยสวรรยาเพ่งบำเพ็งทาน |
ทุกเขตรแดนแสนสวาดิ์บาทบพิตร |
จนอังกฤษพระรุชาสุธาสถาน |
คือทวีปเซ็นตอรอบริวาร |
พรมแดนด้านโดยนครอุดรกา |
โรที่เคียงเวียงวังฝรั่งเศส |
พุทธเกตอเมริกันคั่นมหา |
รณพน้ำตำบลชลชลา |
ข้ามสุธากรุงไทยไปไกลครัน |
โดยปัญญาบารมินนรินทรฤทธิ์ |
บาทบพิตรภูวเรศครองเขตรขัณฑ์ |
แผ่ไมตรีมีพระทัยรักใคร่กัน |
จนกำปั่นกลไฟได้ไปมา |
คือแผ่นดินปิ่นสมมุติอยุธเยศ |
อดุลยเดชดวงกระษัตริย์มนัศา |
เปนเมืองมิตรกับพระวิศตอริยา |
ไทยสุธาชื่นแช่มแจ่มจำเริญ |
ธรรมเนียมในไตรจักรเป็นหลักไหล |
สืบวิไสยฝรั่งสังรเสริญ |
พระเวียงไชยไพศาลการเจริญ |
ประชาเชิญชวนกันชมปัญญา |
เหมือนทรงศักดิ์นัครังครั้งพระร่วง |
ที่ลุล่วงล้ำกระษัตริย์มนัศา |
ลบพระพุทธศักราชศาสดา |
นั่นเดชาฦๅเลื่องเพียงเมืองจีน |
เพราะถวายซึ่งสายกระสินธุ์สรง |
กับพระพงศ์สยมพุทธวิสุทธิศีล |
ก็ทรงตรัสลัทธยาว่าวาริน |
ไหลลงถิ่นที่สถิตย์ทิศผู้ใด |
จะเกรงพระเดชาวาจาสาป |
จึงปรามปราบลบศักราชได้ |
นี่จอมเกล้าเจ้าหล้าสุธาไทย |
พระยศใหญ่อย่างมหาชลาธร |
ที่หลั่งไหลในทเลบุเรทิศ |
เปนเมืองมิตรอมเรศมเหศร |
เบื้องอากาศขาดดูหมู่อมร |
ที่ถาวรอยู่ในไม้พิมาน |
จึงร้อนรุกขอารมณ์ประถมที่ |
พระเจดีย์เทวดาบัญชาหาญ |
มาแถลงแจ้งจริงอย่างกริ่งการ |
พบพระผ่านเกล้าเข้าเขาแห่ไป |
คนึงน้ำคำคะเนเทวฤทธิ์ |
ถ้าจะคิดใคร่ครวญส่วนสงไสย |
ที่ปฐมสถานการก็ไกล |
ถ้าจะไปโดยชื่นคืนกับวัน |
นี่เร็วนักจักว่าเขามาสืบ |
มิใช่คืบศอกวาปัญญาฉัน |
ทางสุธาคลาไคลไกลครันครัน |
แม่น้ำคั่นคลองขุดสุดประมาณ |
หนึ่งถ้อยคำสำคัญสวรรคต |
คนต่ำยศย่อมอัชฌาไม่กล้าหาญ |
นี่ในสิบโมงเศษสังเกตการ |
ไม่สืบสารได้ทุกสิ่งนางหญิงมอญ |
พิเคราะห์ความตามจริงทุกสิ่งสิ้น |
เทวรินทร์รักพระเดชอดิศร |
จนพระองค์สงฆ์ศีลสังวร |
ทำเปนกลอนเกณฑ์วัดไว้ทัศนะ |
ท่านก็ยอดขัติเยศวิเศษสงฆ์ |
วิสุทธิทรงศีลธรรมสำมถะ |
รู้ไตรเพทเลศสันคันถธุระ |
เสด็จพระเห็นจริงไม่กริ่งใจ |
เหมือนจอมจักรหลักโลกอโศกราช |
เบื้องอากาศไตรจักรก็รักใคร่ |
นี่พระองค์ทรงสยามงามพระไทย |
ที่มิได้อาฆาฏราษฎร |
พระวงศาอาไลยใจจะเด็ด |
ดังฉัตรเพ็ชรกั้นพิภพกระทบถอน |
ความวิโยคโศกศัลย์หวั่นอาวรณ์ |
ทั่วนครเขตรไทยอาไลยครัน |
ทั้งภิกขุสีกาอุบาสก |
ถึงเดือนหกวิสาข์น่าวสันต์ |
ถ้วนดิถีสี่วัดเขานัดกัน |
ขวดน้ำมันผ้าพับสดับปกรณ์ |
แล้ววันทาว่าบทมคธคัด |
นบกระษัตริย์ศาสดาศึกษาสอน |
ทำภูสิตล้วนวิจิตรจัมมาภรณ์ |
ประนมกรเรียบร้อยชม้อยเมียง |
กล่าวประกาศราธนาฝ่าพระบาท |
อนุสาสน์พร้อมสรรพสำเนียงเสียง |
จุดประทีปทองถวายรอบรายเรียง |
ตั้งบนเตียงต่างมาบูชาเชิญ |
ควรที่จะอัศจรรย์สำคัญข้อ |
ที่ชลอคำขลังสังรเสริญ |
ในพระจอมจักรพรรดิจำรัสเจริญ |
น่าเพลิดเพลินพรักพร้อมน้อมประนม |
ทุกทุกปีมิได้ขาดประกาศกล่าว |
ถึงเรื่องราวบพิตรอิศยม |
เริ่มแต่วันทั่นประเวศภิเนษกรม |
จนได้สมบัติกระษัตริย์ชัชวาลย์ |
ทรงสอนสัตว์ตัดสินแผ่นดินเที่ยง |
ทรงเรียบเรียงสาสนาศึกษาสาร |
จนถึงวันสวรรคตกำหนดการ |
ไปวิมานเมืองฟ้าให้อาดูร |
นิเวศน์วัดโสมนัศวิหาร |
ประกอบการเลื่อมใสมิได้สูญ |
วัดบรมนิวาศราชจำรูญ |
วัดบูรณะศิริคติดี |
เดี๋ยวนี้ลัดมาถึงวัดราชบพิธ |
ราชประดิษฐ์เจ้าคุณสาสนะศรี |
ถ้าถึงวันบรรณรัศอัฐมี |
ก็พาทีถึงพระเดชเทศนา |
ทั้งนี้เพราะพระองค์ได้ทรงสอน |
สถาวรอยู่จนขาดพระสาสนา |
แสนสาธุแม่อุบาสิกา |
เปนมหามหัศอัศจรรย์ |
๏ ข้าพเจ้าเล่าที่แต่งจัดแจงจด |
ยอพระยศอย่างยิ่งทุกสิ่งสรรพ์ |
ด้วยเข้าใจได้สังเกตฟังเทศน์ธรรม์ |
เห็นเบื้องบรรพ์บารเมศเจษฎา |
ที่พระองค์ทรงจำพระธรรมเที่ยง |
ไม่ทุ่มเถียงทุกขังแลสังขาร์ |
เปนจีตะปัตติวิปัสนา |
ถึงทิพปากระสิณอภิญญาณ |
จึงเขียนคำรำพรรณอัญขยม |
เปนประฐมมตติยะอธิฐาน |
ให้ดำรงแทนพงศาวดาร |
แม้นใครอ่านอักขราจงถาวร |
ด้วยฝรั่งอังกฤษชนิดนอก |
เขามักออกหนังสือถืออักษร |
ถ้าการดีผู้ใดในนคร |
ที่ถาวรเกียรติยศเขาจดไว้ |
ข้าพเจ้าเล่าเปนผู้รู้ดำริห์ |
มีคติแต่งกลอนอักษรได้ |
เกณฑ์หนังสือฦๅเลื่องทั้งเมืองไทย |
อาไศรยในธรณินนรินทร |
เห็นมหัศอัศจรรย์สวรรคต |
จึงได้จดให้ประจักษ์เปนอักษร |
ด้วยคิดถึงซึ่งพระเดชเกษนิกร |
เคยฝึกสอนเปนข้ามาแต่ครั้ง |
เสด็จอยู่วัดจัดจ่ายถวายของ |
ได้ฉลองพระคุณเกณฑ์บุญมั่ง |
แรกครองทศมณฑลพระชนม์ยัง |
ก็ทรงสั่งกรมวิศอิศรวงศ์ |
ให้เข้าไปอยู่ฉลองลอองบาท |
เราขี้ขลาดขัดธุระพระประสงค์ |
ไม่ประจบหลบหน้าว่าตรงตรง |
จนเสร็จทรงอาสัญสวรรคต |
วิไสยโลกโศกเศร้าเขาเอาหน้า |
เว้นแต่ฉันปัญญาไม่ปรากฎ |
ถึงโศกเศร้าเล่าก็ซ่อนนอนระทด |
นี่ลักจดโดยจิตรสนิทใน |
ไว้ถวายอภิวาทเหมือนมาดหมาย |
พร้อมด้วยกายวาจาอัชฌาไศรย |
ทำราชการพระผู้ผ่านภพไตร |
เมื่อเสร็จไปปรโลกโศกสท้อน |
หนึ่งพระหน่อบพิตรสนิทเสน่ห์ |
กรมมเหศวรสิทธิ์อดิศร |
พระขนิษฐ์กรมพระวิศสถาวร |
นิภาธรเทวเรศกระเกษตรา |
เคยโปรดปรานการลับดับพระเดช |
พเอิญเพศอาพาธตัดวาศนา |
เหนือนกไร้รังนอนเที่ยวร่อนรา |
เคยพึ่งพาภูวนารถสวาดิ์ทวี |
พระชนม์ยังคลั่งไคล้ก็ไม่ถือ |
รู้ว่าดื้อโดยเอนดูไม่จู้จี้ |
แต่กรมวิศณุนารถราชฤดี |
ให้เงินปีแทนทัดเบี้ยหวัดเดิม |
ถึงแสนจนทนทุกข์พอสุขุม |
เพราะแอบพุ่มกัลปพฤกษ์จึงฮึกเหิม |
เดี๋ยวนี้อกตกที่นั่งเข้าตั้งเติม |
เพราะจนเจิมเจือจับอับอุรา |
เดชะฉันกตัญญูต่อภูวนารถ |
สองพระราชเรืองยศโอรสา |
ที่ล่วงลับดับพระชนมายุ์ |
ทรงสถาพรสถิตย์ดุสิตภพ |
ขอให้หายรายจนทนถวิล |
ดังวารินปรุงร่ำด้วยน้ำอบ |
มาโสรจสงตรงกระหม่อมที่น้อมนบ |
ถ้าจะพบมิตรอำมาตย์ญาติวงศ์ |
ให้ปันสรรพสิ่งที่ยิ่งอย่าง |
เงินที่ค้างใครมายืมอย่าลืมหลง |
หนึ่งพระหน่อวรนารถบาทบงสุ์ |
ซึ่งเสร็จทรงอาไศรยอยู่ในวัง |
คือกระษัตริย์องค์รัตนานารถ |
มีพระราชประสงค์จำนงหวัง |
โปรดอักษรกลอนไทยพอใจฟัง |
ฉันขอรังวัลเขียนเหรียญประทาน |
อันรายเรื่องเบื้องบาทนิราศร้าง |
พวกขุนนางน้อยใหญ่พอใจอ่าน |
ถึงเจ้านายฝ่ายพระโกษฐ์ก็โปรดปราน |
ซื้อไว้อ่านหลายตำหนักอักขรา |
ด้วยคิดถึงซึ่งพระคุณการุญเกล้า |
เคยนั่งเพลากราบกรานคลานไปหา |
เคยทรงทักพรักพร้อมทุกจอมมารดา |
เคยโปรดปรานีถนอมพร้อมพร้อมเพรียง |
สิ้นพระชนม์ล้นกระหม่อมจอมสนม |
เปรียบเหมือนลมพัดพิภพสงบเสียง |
ทั้งบุญบ้อยพลอยกรอบลงหมอบเมียง |
ของไม่เที่ยงไม่แท้รู้แปรเปน |
สมพระพุทธบัญญัติว่ายัสโส |
อลาโภโลภาว่าที่เห็น |
ชั่วแล้วดีมีมากแล้วยากเย็น |
คิดก็เปนอนิจจังเสียทั้งนั้น |
ซึ่งเขียนคำร่ำไรไว้ฉนี้ |
พอเปนที่สะสร่างในร่างขันธ์ |
ด้วยใจเราเมามายไม่วายวัน |
เกิดบรั่นโดยฤทธิ์อวิชชา |
เข้าครอบงำนำจิตรคือทิษฐิ |
เตือนสติตามการโวหารหา |
หนึ่งที่ข้อยอพระเดชกระเษตรา |
ก็เกินหน้าใช่ตำแหน่งจะแต่งกลอน |
แต่ปัญญาสาพิภักดิ์ก็หักเห็น |
ว่าของเปนที่รักเพียงอักษร |
เครื่องประดับกับพระเดชเกษนคร |
ให้ถาวรเจริญอยู่เนิ่นนาน |
ครั้งแผ่นดินปิ่นอยุธพระพุทธเลิศ |
ช้างเผือกเกิดกับสยามถึงสามสาร |
เปนพาหนะพระที่นั่งอลังการ |
เกิดอาจารย์ท่านครูภู่สุนทร |
แกก็แต่งพระอภัยขึ้นไว้ขาย |
เรื่องนิยายขี้ปดสยดสยอน |
แผ่นดินทุ่งกรุงเก่าเจ้านิกร |
อดิศรสุริวงศ์ที่ทรงปลา |
นามพระศรีสุริเยนทร์นเรนทร์ราช |
เกิดศรีปราชญ์ปรากฎไว้ยศถา |
ครั้งบุรินพระนารายน์สู้สายฟ้า |
เปนบิดาขุนหลวงเดื่อเชื้อกระวี |
เกิดมหาราชครูชูฉลาด |
ได้รองบาทบงกชบทศรี |
แต่งพระลอดิลกทรงหลงสัตรี |
กับพระศรีสมุทโฆษก็โปรดปราน |
แต่พุ่มพวงทรวงทิพประทิ่น |
โดยแผ่นดินปิ่นเกษประเทศสถาน |
พระนั่งเกล้าเจ้าจังหวัดชัชวาลย์ |
ทรงโปรดปรานเปนพระแสงตำแหน่งใน |
ก็ล่วงละพระชนม์กมลหมาย |
ช่างไม่ตายตามเขตรพระเดชได้ |
ยังเหลืออยู่คู่คี่ไม่มีใคร |
ท่านผู้ใหญ่ต่างกรมก็ล้มตาย |
ล่วงแผ่นดินปิ่นเกษจอมมงกุฎ |
กลับจนรุดเกินริบที่ฉิบหาย |
เหลือแต่กลอนกับชีวิตรอยู่ติดกาย |
จึงพากเพียรเขียนถวายขายปัญญา |
คนที่ผู้รู้พระเดชเกษกระหม่อม |
เขาก็ย่อมนับถือมักซื้อหา |
เอาอ่านเอิ้นเชิญชูขึ้นบูชา |
เดี๋ยวนี้ก็มาขอลอกฉันออกเต็ม |
แต่ปัญญาหาไม่ง่ายเหมือนขายของ |
ใช่เข้าพองร้องแรกเที่ยวแลกเข็ม |
เรียนต่อครูรู้หลักตวงตักเต็ม |
ต้องเก็บเลมเลือกคัดอัธิบาย |
ดังประดับสรรพลักษณ์จักรพรรดิ์ |
ด้วยเนาวรัตน์เรียงเม็ดเพ็ชร์ถวาย |
หวังเฉลิมเจิมใจพอให้คลาย |
ถวิลวายวันวิโยคเศร้าโศกทรวง |
ควรจะเอาไว้อ่านทุกบ้านช่อง |
ด้วยเปนของคู่พระเดชเท่าเขตรสรวง |
นี่ว่าตามความรักไม่ตักตวง |
แล้วอย่าล่วงติฉินนึกนินทา |
ด้วยเล่มนี้มีนามสยามเมศร์ |
มงกุฏเกษไตรจักรนั้นหนักหนา |
ควรที่จักสักการบูชา |
เปนมหายศยิ่งมิ่งมงคล |
เหมือนสวดพระบาฬีอิสีคิลิต |
ปัจเจกพิธพุทธรัตน์พิพัฒน์ผล |
เอาบาตรตั้งนั่งแท่นแทนน้ำมนต์ |
อ่านนิพนธ์แขงคอเหมือนภอวนา |
คิดถึงคุณทูลกระหม่อมจอมจังหวัด |
ที่ฉันจัดจดเจียนเขียนเลขา |
โดยเฉินฉุกทุกข์ไภยสิ่งไรมา |
อาจจะสามารถหมายให้หายไป |
คุณพระขัติยวงศ์ดำรงยศ |
สุดจะจดจัดแจงแถลงไข |
ที่เขตรแดนแผ่นดินอาจินต์ใจ |
กว้างเท่าใดโดยกล่าวว่าเท่ากัน |
อันหนังสือถือมั่นแม้นหมั่นอ่าน |
อธิฐานทุกข์ร้อนคงผ่อนผัน |
แม้นไม่มีกระษัตริย์ก็ขาดกัน |
ที่ไหนนั่นเราจะได้ทำไร่นา |
อันเรื่องราวกล่าวข้อยอพระเดช |
วิรัติเจตนาจิตรดำฤษณา |
ให้ครึกครื้นยืนอยู่คู่สุธา |
โดยสำคัญปัญญาของนารี |
แต่ผู้ฟังยังจะติว่าริเรื่อง |
ไม่เรียงเบื้องบงกชบทศรี |
พระนั่งเกล้าเจ้าจังหวัดปัถพี |
ไยจึงหมีกล่าวก่อนไว้ตอนกลาง |
ก็ไม่เปนเช่นนั้นท่านอย่านึก |
จะจารึกบทรัชก็ขัดขวาง |
เติมพระหน่อวรนารถทั้งน้องนาง |
กับสุรางค์รุ่นรุ่นพวกคุณจอม |
ให้เงินตราค่าจ้างร่างบำราศ |
สิบสองบาทเขียนบทประนตถนอม |
ทั้งแพรผ้าสารพัดจัดให้พร้อม |
เธอไม่ยอมแก่งแย่งต้องแต่งตาม |
ใจผู้อยู่อู่ผ่อนผู้นอนนิ่ง |
นี่จัดจริงจดเจือไว้เผื่อถาม |
ที่คัดข้อยอพระยศประนตพระนาม |
จึงเปนความละลอกฉลองอยู่สองตอน |
คิดพระคุณมุลลิกานราราช |
บรมบาทบพิตรอดิศร |
ยอพระยศบทนรินทร์เพียงดินดอน |
ไหวสท้อนถึงกระทั่งหลังอานนต์ |
ยังความดีหลายพระอิริยาบถ |
ที่ทรงทศธรรม์เพ่งบำเพ็งผล |
ตั้งโรงทานการนิเวศเชตุพน |
ทรงซึ่งกลบทจดบูชา |
อุทิศแทนสังคีตเครื่องดีดสี |
มโหรีบำเรอบาทสาสนา |
เขียนลิลิตผนิดแน่นแผ่นศิลา |
ตำรายาจดหมายถวายพระ |
ทรงสร้างสมบรมโพธิ์จะโปรดสัตว์ |
หมายได้ตรัสปรมาสัทธาธิกะ |
หกสิบอสงไขยทะไวยะ |
ขอพบพระสาสนาฝ่าธุลี |
ศีลอะพรหมสมหวังฉันทั้งชาติ์ |
ยังไม่ขาดเปนวิสุทธิราษี |
บทอาบัติอัสธรรมกรรมไม่มี |
ในชาติ์นี้เป็นผู้หญิงนึกชิงชัง |
ชาติ์น่านั้นฉันหมายเปนชายโฉม |
ให้เสร็จโสมนัศสมอารมณ์หวัง |
ถึงสพัญบรรพชาปัญญาพลัง |
พบพระนั่งเกล้ากระษัตริย์ลัทยา |
ในชาติ์นี้มิได้อยู่ชูฉลอง |
เพราะคนองหนีบุญมุ่นโมหา |
ดูกงจักรหักเห็นเปนผกา |
ต้องออกมาใช้ชาติ์ญาติเวร |
ได้อภิวาทเพียงพระราชโอรสรัก |
ค่อยห้ามหักโศกหายคล้ายพิมเสน |
คือกรมหมื่นสุชำอัมเรนทร์ |
นฤเบนทร์บดินทร์นรินทร |
ด้วยพระหน่อวรนารถฉลาดเลิศ |
คิดกลอนเพริศเพราะโสตรโอษฐอักษร |
ไม่เฝ้าแหนแม้นเห็นชวนเล่นกลอน |
ทูลสุนทรถูกพระไทยได้ประทาน |
ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงสังเวช |
พระนมเกษที่ตายเปนยายหลาน |
ฝ่ายมารดาข้าเก่าบ่าวโบราณ |
ทรงประทานค่าเขียนห้าเหรียญไทย |
โปรดที่ข้อยอพระยศบทรัช |
หลายกระษัตริย์จัดทำจดจำได้ |
หนังสือฉันนั้นขายถวายไว้ |
รับสั่งให้วางบนแท่นทองแว่นฟ้า |
ด้วยพระเจ้าชีวิตรสถิตย์เกษ |
องค์อมเรศเปนพระราชโอรสา |
ท่านทรงอ่านสารสอื้นชื่นอัชฌา |
ตีราคาหนังสือถึงชั่งหนึ่งเอย ฯ |