เพลงยาวความเก่า
๏ แสนคิดสุดคิดคำนึงถนอม | |
แสนถวิลมิได้สิ้นในอกออม | มีแต่ตรอมทุกข์เทวษถวิลวรรณ |
แสนรักสุดหนักในทรวงเสน่ห์ | แต่ทอดเทอดออมถนอมขวัญ |
เสียวสวาทเหมือนศัสตราตรัน | เป็นนิรันดรแทบทำลายใจ |
พึ่งรู้รสเจ็บรักนี้หนักเหลือ | ดั่งหนามเหน็บเนตรเนื้อจะทำไฉน |
สุดแสวงหทยาระอาใจ | แสนแค้นประหนึ่งไข้สักปีปลาย |
สุดสนองที่จำลองเปนลายลักษณ์ | เพราะสุดหนักที่จะใช้ให้ใครขยาย |
ทั้งสุดเพียรที่จะเวียนมาแวดชาย | แต่สายใจและจะยืดยาวมา |
อันสุจริตมิตรภาพจิรังรัก | หากลับนักอยู่ไม่แน่เสนหา |
จะเห็นใจก็แต่ในพระอมรา | จะแจ้งอารมณ์จริงที่จริงใจ |
เมื่อจริตงอนงาไอราพต | จะเหี้ยนหดนั้นมีอยู่ที่ไหน |
ได้เอื้อนออกแต่จะงอกงามไป | ด้วยมิใช่เช่นงาที่สามาน |
ถ้าจะเยื้อนเล่าก็เหมือนหนึ่งโกมุท | ที่พึ่งผุดล่อลัดนัทีสนาน |
ยังห่อหุ้มตูมกลัดอยู่ชัชวาล | ไม่เบิกบานแย้มสร้อยเสาวคนธ์ |
ฝ่ายพระสุริยงที่ทรงกลด | ก็หยุดรถเยี่ยมยั้งยืนฉงน |
แต่เคร่าคอยอยู่ในสร้อยเสาวคนธ์ | เมื่ออุบลไม่บานแบ่งรับแสงพลัน |
นิจจาเปนสุริยายังอาภัพ | หรือว่าบัวจะไม่รับภิรมย์ขวัญ |
จึงหุ้มกลีบหนีบสร้อยสัตบัน | เมื่อแสงจันทร์จึงจะเบิกระบายบาน |
ก็ผิดเภทนิสัยในโกมุท | หรือปลาผุดชอกช้ำกระฉ่อนก้าน |
หรือว่าเกรงแมลงภู่แลหมู่พาล | ว่าร่านหนอนนั้นจะบ่อนเบียนกิน |
พี่รักเช่นอยู่ว่าเชื้อประทุมชาติ์ | อย่าประมาทมุ่งคิดให้ผิดถวิล |
อย่าสงสัยที่จะล้มลงจมดิน | แต่มลทินมิให้แปดระคนปน |
เสียแรงที่เปนที่ภิรมย์รัก | เสียดายศักดิที่อุส่าห์มาปฏิสนธิ์ |
สงวนกลิ่นอย่าให้รินระคนปน | จึงจะเห็นว่าอุบลภักดีดี |
ทั้งจำเริญเรื่องในเกียรติยศ | จะปรากฎแก่จันทร์จำรัสศรี |
ให้สมสวาทที่เปนชาติมาลี | จึงจะมีสรรเสริญเจริญงาม |
เมื่อจะล่อเรียมเล่นเช่นนี้ | ก็เต็มทีพี่จะผัดเพี้ยนถาม |
แต่ทอดท่าก็ระอาอายความ | จะต่อตามก็เปนง่วงฉงนใจ |
จะล่อเล่นเช่นมณีเมขลา | อสุรารามสูรนั้นหรือไฉน |
แต่ล่อแลบแวบชายแล้วหายไป | จนรามสูรแล่นไล่ประคองเคียง |
ครั้นนางโยนมณีสีสว่าง | ก่นแต่ขว้างขวานลั่นสนั่นเสียง |
เพราะใจยักษ์มักโกรธพิโรธเพียง | จะให้เอียงอ่อนพิภพจักรวาฬ |
ที่หวังใจใจจนพ้นพิศวาส | ก็กลายกลับมุ่งมาดจะสังหาร |
อย่าหวนเห็นมิใช่เช่นอสุรมาร | ถึงจะรานก็มิโกรธพิโรธนาง |
จะตั้งหน้าตามประสาที่สุจริต | อย่าควรคิดว่าจะเมินหมางขนาง |
จะกอดสัตย์ไปจนกำจัดชีวาวาง | ต่อนานนางจึงจะเห็นภักดีชาย |
อันเรียมรักนี่อย่าคิดให้ผิดเพศ | ว่าจะเจตนาเจื่อนไม่เหมือนหมาย |
สรรพสิ่งนอกเนื้อแลในกาย | ขอปลงสายสุดสวาทไว้วานตรอง |
เอนดูด้วยอย่าให้ม้วยไมตรีมิตร | ที่ปล้ำคิดความจริงสิ่งสนอง |
จะนับเดือนก็เลื่อนถึงปีปอง | แต่เคร่าครองทุกข์เทวษด้วยอาทวา |
เสน่ห์เจ้าเท่าฤทัยนัยเนตร | แม้นมีเดชเหมือนอสัญแดหวา |
จะหายเหาะไปจำเพาะวนิดา | ถนอมหน้าแนบน้องประคองนอน |
จะทำแท่นด้วยกุดั่นสุวรรณมาศ | ที่ปูอาสน์นั้นจะรองด้วยทองร่อน |
จะแล่งมรกฎวางในนางนอน | จะเฝ้าอ้อนอยู่ไม่คลาดสวาทเมิน |
ทั้งจะเมียงองค์ประไหมสุหรีราช | จะแนบสนิทพิศวาสไม่ห่างเหิร |
สำลีอ่อนนั้นจะช้อนให้นางเดิร | ไม่ไกลเกินกึ่งก้อยจะกันสกนธ์ |
แม้นเจ้าตริตรองบ้างเหมือนอย่างนี้ | จงแจ้งที่สุจริตไม่คิดฉงน |
ถ้าแคลงคำอยู่ว่าอำยุบลกล | ก็จำจนด้วยไม่รักจึงไม่รู้ความ |
ถ้าจะน้อมกรุณาการุญภาพ | เจ้าว่ามิทราบเสาวนาแล้วอย่าขาม |
จงสักหลังมาให้ฟังสำคัญความ | จึงจะงามทั้งสองฝ่ายเอย ฯ ๕๐ คำ ฯ |
๏ สงวนรักหรือมาหักอารมณ์หวน | |
ไม่รักหน้าเลยว่าหน้าจะหมองนวล | มาทำลวนล่อลิ้นให้สมชาย |
ไม่รักเนื้อเชื้อเช่นว่าเปนหญิง | ชั่งทิ้งสัตย์เสียกะไรน่าใจหาย |
พี่นี้หลงเชื่อลมแต่งมงาย | ไม่หมายเลยว่าน้องจะทองแดง |
ตระกูลหงส์ย่อมประจงแต่โบกขเรศ | ตามเพศพิสัยที่เคยแสวง |
มิรู้กาผ่าพงศลงมาแปลง | เข้าปลอมแหล่งแฝงเล่นไม่เห็นรอย |
แต่ทราบเรื่องแสนเคืองระคายอก | ปิ่มน้ำตาจะตกลงผอยผอย |
ชั่งเด็ดรักเสียได้ให้ขาดลอย | หรือเห็นคลาดแล้วจึงคล้อยสเทินที |
ไม่รู้เลยว่าจะละอาลัยล่อง | นี่สบช่องหรือจึงบากกระแบะหนี |
เออกระนั้นเจียวใจกระสัตรี | เปนราคีมัวมืดไม่ยืดยาว |
แต่แรกเริ่มหวังรักเปนพักผล | กลับวิกลเปนพาลกระแชงฉาว |
ทำเสงี่ยมเจียมประจบจะกลบคาว | ไม่พักป่าวก็เปนฆ้องขึ้นร้องเอง |
จะปิดควันกันไฟไว้ได้หรือ | เมื่อปลายมือก็จะเพราะอยู่โหนงเหน่ง |
ฝนตกคางคกก็สบเพลง | อึ่งอ่างเล่าก็จะเก่งขึ้นเต้นปลิว |
นิจจาจิตต์เจ้าไม่คิดถึงความหลัง | พี่นี้ตั้งสัตย์คอยละห้อยหิว |
นี่ถูกลมหรือจึงล้มลงเปนทิว | แล้วทำกริ้วพาลโกรธก็จนเจียม |
สารพันพิไรภ้อกระทบทับ | นิจจากลับใจได้ไม่อายเหนียม |
จะว่านักก็เปนจักกระดี้เดียม | เหมือนธรรมเนียมข่มเขาให้โคยอม |
ด้วยเจ้ามีที่หวังมาตั้งโถง | ทั้งรูปโหน่งหน้านวลควรถนอม |
อันรูปพี่พานจะชั่วมัวมอม | ไม่เหมือนหม่อมมิตรใหม่ที่ใจจง |
วิชาดีมีทรัพย์เขานับถือ | กระนี้หรือหม่อมแม่มิแร่หลง |
ข้างหม่อมลูกเล่าก็พลอยชลอยลง | พิศวงหวังสวาทไม่ขาดแล |
ประเดี๋ยวนี้แต่เพียงเห็นเอียงเท่ | สมคเนแล้วกระมังทั้งหม่อมแม่ |
เห็นเฝืองฝาหน้าผากเหมือนปากแตร | ทีนี้แพหม่อมพ่อเปนหองาม |
เสียแรงรักน้อยหรือหักให้เห็นใจ | ชั่งเชิดหน้าขึ้นได้ไม่เข็ดขาม |
อันหญิงชั่วไม่กลัวจะกวนความ | มีแต่ทรัพย์ก็เอาทามไว้กับตัว |
เห็นสมสุภาษิตเสียแล้วเจ้า | โขกแขนงเสียเถิดเราประเดิมชั่ว |
แต่เริ่มรักจักเล่นไม่คิดกลัว | เพราะหลงมัวว่ารักไม่หักดาย |
แต่เช่นนี้อย่างนี้สักกี่หน | ไม่ทราบกลดอกจึงงงเหงาฉงาย |
พึ่งรู้เช่นว่าเจ้าเล่นมาหลายราย | เมื่อคิดหมายตัวเจ้าเหมือนเต่าแคลน |
ทำล่อล่อจ่อจดแล้วหดหนี | จนไมตรีพี่ค้างระคางแขวน |
ไม่ยืนคำทำงอนพอคลอนแคลน | ก็จะแปลนไปไยให้คนลือ |
ถึงเสียรู้ครูใจไปวันหน้า | มิใช่ว่าหญิงสิ้นแผ่นดินหรือ |
แต่เช่นนี้น่าจะมีเมื่อปลายมือ | จะจดชื่อใส่ใจไว้เจียวเอย ฯ ๓๔ คำ ฯ |
๏ เห็นจริตบิดเบือนทำเชือนเฉย | |
ประหนึ่งพึ่งพบปะกันประเปรย | ถ้าที่เคยยังมิคุ้นก็ควรเปน |
แต่เวียนหวังตั้งใจบำรุงรัก | สักเท่าไรมาแล้วไม่เลงเห็น |
เหมือนทารกำจะให้น้ำตากระเด็น | หรือเช่นหลังยังน้อยไม่หนำใจ |
โอ้เสียแรงแบ่งจิตต์มาอยู่เพื่อน | มาอึ้งเอื้อนอกเอ๋ยนี่เปนไฉน |
รักน้องน้องหน่ายอาลัยไกล | มีแต่โหยไห้ช้ำระกำกาย |
แสนกรมระทมทรวงดั่งศรพิษ | มาต้องติดอุระอยู่ไม่รู้หาย |
สักแสนยากก็ไม่ยากใจสบาย | แต่ก่ายหน้านอนร้อนอารมณ์รุม |
ขอเชิญเปนโอสถสุรามฤต | มาดับพิษศรเศร้าที่ทรวงสุม |
ดั่งท้องฟ้าพลาหกเข้าปกคลุม | ชอุ่มมิดปิดดวงทิพากร |
เจ้าคือไทเทวาศักดาดิเรก | ขจัดเมฆเสียให้หมดมลทินก่อน |
เหมือนชุบช่วยเทวาให้ถาวร | อย่าได้ร้อนรักร้างภิรมย์แรม |
รักน้องเปนน้องสนองพักตร์ | อย่าปลูกรักแกมระกำหนามแหลม |
หรือจะเกี่ยงอยู่ด้วยเกียดว่ากลแกม | ไม่แย้มเยื้อนถ้อยแต่หัวที |
นี่รับรักนี่หรือผลักให้พลันแยก | อกจะแตกเสียด้วยน้องทำหน่ายหนี |
แต่คอยหรือปฏิญาณเปนปานปี | เออกระนี้หรือจะนับว่าคำควร |
เห็นใครเปนจะใคร่ถามข่าวถึง | แล้วอ้ำอึ้งกลัวคนจะเสสรวล |
จึงสู้นิ่งมิได้ติงวาจาครวญ | อยู่ในใจรวนรวนด้วยแรงกรอม |
จะหลับนอนกินอยู่ไม่ปรกติ | เห็นตัวนิมั่งหรือจนไผ่ผอม |
ทั้งผิวหน้าฝ้าทับจับหมองมอม | กรอมสวาทมิได้ขาดคำทุเลา |
ถึงวันนัดคอยน้องเห็นผิดนัด | ทุกข์ถนัดหนักอกดั่งยกเขา |
ตั้งแต่เที่ยงจนตวันเลี่ยงลับเงา | คอยเปล่าคิดแปลกฤทัยครัน |
เมื่อยามหนาวคราวน้องขึ้นพระบาท | ใจจะขาดเสียด้วยร้างภิรมย์ขวัญ |
แสนละห้อยคอยหาร่ำจาบัลย์ | นับวันคอยวันถวิลเชย |
วิตกนักกลัวจักระหกระเหิร | เจริญไพรกะไรหนานิจจาเอ๋ย |
จะต้องลมระบมแดดแผดระเบย | เสียดายพักตรเคยผ่องจะหมองมล |
ไม่เคยป่าเห็นป่าจะลิงโลด | อึงอุโฆษเสียงสัตว์ในไพรสณฑ์ |
จะวังเวงวิเวกหวั่นกมล | ยิ่งดำริห์ยิ่งรนฤทัยแทน |
ครั้นได้ข่าวกนิษฐาว่ามาถึง | ปานประหนึ่งได้ทรัพย์นับแสน |
กากระพอกบอกข่าวเมื่อคราวแคลน | แสนพเอิญมิได้เชิญก็เชือนมา |
พอเห็นพักตรพบพักตรแล้วทำเมิน | ต่อร้องเกริ่นเจ้าจึงกรายเข้ามาหา |
ขอบคุณแบ่งบุญให้โมทนา | ดั่งได้อาภรณ์แก้วประกับกัน |
ดีใจด้วยได้คำนัลปาก | เปนของฝากวิเศษสมเห็นคมสัน |
ที่ความเศร้าก็ทุเลาลงครันครัน | จะชั้นชี้ชายพักตรก็ผ่องพอ |
เปลื้องปลดหมดผ่องปัถมัย | สำราญใจวันนั้นนั่นหนักหนอ |
ประมาณรักก็ว่ารักไม่รีรอ | แล้วเถียงใจอยู่ว่าต่อจะรวนเร |
ไม่ทันถึงกึ่งเดือนก็เหมือนคิด | เห็นไม่บิดใจแหนงทำแสร้งเส |
ถึงชลามหาท้องชเล | จะเททิ้งดิ่งทอดก็หยั่งทัน |
อันน้ำใจนี้ยากจะหยั่งถึง | เห็นเหลือพึ่งจะถึงหมายด้วยสายสั้น |
จึงร้อนใจเจ็บใจอยู่จาบัลย์ | สุดกระศัลย์กำสรดสลดทรวง |
บรรดาทุกข์ที่ได้ทุกข์มาแต่หลัง | ก็ยังย่อมอยู่ยังไม่ใหญ่หลวง |
ทุกข์ใครในภพแผ่นทั้งปวง | ไม่ตวงเท่าทุกข์พี่ครั้งนี้เอย ฯ ๔๒ คำ ฯ |
๏ ลายลักษณ์อักขรานุชาสนอง | |
ต่างผกาโกสุมประทุมทอง | สิ่งใดข้องเคืองขัดอย่าตัดใจ |
จงเมตตาการุญภาพสนิท | อย่าปลดปลิดให้น้องนี้หมองไหม้ |
หวังฝากชีพชีวันคุ้งบรรลัย | ด้วยจงใจเจตนาเชษฐานัก |
อันความสวาทมาดหมายก็พรายแพร่ง | ไฉนพี่มิแจ้งใจประจักษ์ |
จะพากเพียรพยายามด้วยความรัก | ก็เกรงหนักเกลือกว่าพี่มิเมตตา |
โอ้ใครเลยจะเห็นอกวิตกน้อง | มีแต่หมองใจเทวษถึงเชษฐา |
จะนอนนั่งตั้งแต่ร้อนรุมอุรา | จนพักตราหมองมอมด้วยกรอมใจ |
เห็นจะม้วยเสียด้วยแสนเสน่ห์พี่ | ไม่ปราณีน้องจริงแล้วหรือไฉน |
จึงหมางเมินอนุชาสิ้นอาลัย | ยิ่งดูไปก็ยิ่งเห็นเปนเชิงเชือน |
ชะอารมณ์ร้อนรักนี้หนักหนา | ได้ทุกข์ใจแต่ไรมาไม่มีเหมือน |
สู้ทำชื่นฝืนพักตรไปตักเตือน | ก็ไม่เยื้อนคำพร้องด้วยน้องเลย |
เหมือนสิ้นญาติขาดมิตรแล้วนะพี่ | ไม่ปราณีอนุชานิจจาเอ๋ย |
หรือแหนงความว่าลามลวนไม่ควรเคย | จะเกินเลยไปเช่นนึกอย่าตรึกรแวง |
น้องรักพี่นี้แต่โดยสุจริต | มิได้คิดเปนยนต์แยบแอบแฝง |
ที่จริงใจจงสมานไม่หาญแสดง | จะชี้แจงออกให้เห็นได้เอนดู |
หวังจะพึ่งพี่นางเหมือนอย่างระเด่น | เมื่อคราวเปนไข้ใจด้วยไร้คู่ |
พี่จงช่วยอุปถัมภ์ช่วยค้ำชู | ให้ได้สู่สมน้องประคององค์ |
ระเด่นสวาทมาดหมายจินตหรา | แต่โหยหาอยู่มิได้ดั่งใจประสงค์ |
ก็จาบัลย์รันทดกำสรดทรง | ปิ้มจะปลงชีพม้วยด้วยรักแรง |
นี่หากได้พึ่งพาบาหยัน | ช่วยรับสื่อสารปะหนันไปแจ้งแถลง |
จินตหรานั้นยังหมางระคางแคลง | ก็ชี้แจงปลอบโยนให้โอนตาม |
ทั้งช่วยเปลี่ยนสไบทรงมาส่งให้ | เปนความผิดข้อใหญ่มิได้ขาม |
อิเหนาได้ชมพลางต่างโฉมงาม | ค่อยคลายความทุกข์ร้อนอาวรณ์ใจ |
สองระเด่นจึงได้เปนไมตรีจิตต์ | ก็เสร็จสมนิยมคิดดั่งพิสมัย |
เหมือนศุภลักษณ์เหิรฟ้านภาลัย | มาอุ้มไทอนิรุทธพุทธพงศ์ |
เพราะเมตตาการุญทั้งสองสวาท | ให้ร่วมอาสน์ร่วมห้องทั้งสองประสงค์ |
ไม่กลัวเกรงอาชญาชีวาปลง | ก็เห็นคงเปนพักผลกุศลบุญ |
อันศุภลักษณ์บาหยันนั้นเปรียบพี่ | ทุกข์ของน้องครั้งนี้จงเกื้อหนุน |
เห็นแก่พักตรอนุชาได้การุญ | จะขอบคุณพี่ไปไม่ลืมเลย |
ฉันใดน้องจะได้ครองภิรมย์สมาน | เหมือนนิทานที่ชักชี้นะพี่เอ๋ย |
ขอวานโอษฐ์ช่วยขยายภิปรายเปรย | เชิญเฉลยเรื่องร้อนรัญจวนครวญ |
ให้ทราบโสตรสายสมรที่วอนว่า | อนุชานี้นะพร่ำแต่กำสรวญ |
แสนสวาทมาดน้องประคองนวล | แต่โหยหวนมิได้เว้นสักวันวาย |
แม้นพี่ช่วยวัจนาเช่นว่านี้ | ก็เห็นทีจะเสร็จสมอารมณ์หมาย |
ถ้าพ้นจากไผ่ผอมกรอมใจตาย | จะเอากายสนองคุณการุญรัก |
ตามแต่พี่จะใช้งารการเรือนเหย้า | ทุกค่ำเช้าคืนวันจะหมั่นสมัค |
จนตราบม้วยมรณาสู้สาพิภักดิ์ | ไม่ลืมรักพี่นางขนางใจ |
จงเห็นว่าน้องหมองจิตต์คิดขัดสน | เหมือนวนว่ายสายชลชลาไหล |
จะหมายฝั่งกลางสมุทร์เห็นสุดไกล | จะพึ่งไม้ขอนน้อยไม่ลอยเคียง |
จนอ่อนแรงสุดกำลังประทังว่าย | ก็หมายใจว่าจะตายนี้แท้เที่ยง |
ได้แต่กุศลผลสัตย์ไว้เปนเสบียง | บำรุงเลี้ยงชีพที่ว่ายอยู่หลายวัน |
อันพี่นางประหนึ่งนางเมขลา | ผันผยองล่องหล้าจากสวรรค์ |
ช่วยอุ้มน้องในมหาสาครคัน | ให้รอดชีวันพ้นชลทนเวทนา |
ทุกวันนี้ไม่ล่อลวงด้วยหน่วงหนัก | เพราะว่ารักดรุณเรศกับเชษฐา |
เหมือนถือสัตย์ว่ายวนในชลชลา | จนนางฟ้ามาช่วยไม่ม้วยมรณ์ |
นี่และนะพี่นางของน้องเอ๋ย | แม้นเชือนเฉยก็จะม้วยด้วยหมายสมร |
อย่าตึงตัดขัดฤทัยในคำวอน | จงผันผ่อนให้น้องพ้นทนเวทนา |
พี่อย่าแพร่งพรายความไม่งามพักตร์ | ถึงมิตรรักแลพันธุ์พงศวงศา |
ก็อย่าแจ้งแสดงเรื่องในสารา | จงเมตตาอย่าให้สูญสวาทเอย ฯ ๕๐ คำ ฯ |
๏ กนิษฐ์น้องสองสุดาวราโฉม | |
ดั่งดวงจันทร์แจ่มฟ้านภาโพยม | งามประโลมลานจิตต์พินิจทรง |
ยิ่งพิศก็ยิ่งคิดเสนหา | นัยนาค้างขึงตลึงหลง |
งามสมศักดิ์ตระกูลประยูรวงศ์ | จะสรรค์อนงค์เข้ามาเปรียบไม่เทียบเทียม |
อันเยาวลักษณ์ภัคินีศรีสมร | งามจริตติดจะงอนที่อายเหนียม |
พี่นางงามทรงประจงเจียม | ทีเสงี่ยมเลียมลอดชำเลืองคม |
ตั้งแต่วันพี่ได้ยลวิมลพักตร์ | ก็ปองรักกนิษฐ์น้องทั้งสองสม |
ให้ด่าวดิ้นวิญญาร้อนอารมณ์ | แต่เกรียมกรมใจสวาทไม่ขาดคิด |
อนึ่งนึกตรึกมุ่งบำรุงสงวน | ทุกคืนค่ำคร่ำครวญรัญจวนจิตต์ |
ที่หวังเชยโฉมน้องทั้งสองมิตร | เห็นสุดคิดแสนยากจะพากเพียร |
โอ้สองศรีสมบูรณ์ประยูรหงส์ | เจ้างามทรงสารพางค์ดั่งนางเขียน |
มารยาทยิ่งระแบบดูแนบเนียน | ไม่ผิดเพี้ยนพิมพ์ประพายลม้ายกัน |
ดั่งอุบลมณฑาทิพย์ทั้งคู่ | พึ่งผุดเผ่นเด่นอยู่ในสระสวรรค์ |
กลิ่นผกาฟุ้งขจรสาครครัน | มีจักรผันกันหมู่ภมรเมียง |
อันพี่นี้ประหนึ่งภุมรินร่อน | ไม่หาญฝ่าสาครต้องหลบเลี่ยง |
สู้แวดเวียนอยู่แต่ไกลไม่ใกล้เคียง | จะอุบายบ่ายเบี่ยงเห็นสุดที |
ถ้าแม้นเหมือนสุราฤทธิ์สิทธิศักดิ | จะฝ่าจักรที่ล้อมรอบขอบสระศรี |
ประจงเก็บอุบลจงกลนี | มายังที่พิมานทองประคองเชย |
นี่สุดฤทธิ์สุดคิดเห็นขัดสน | สู้ทานทนเสนหานิจจาเอ๋ย |
มิได้วายคลายเทวษถวิลเลย | ที่สิ่งเคยขาดชื่นทุกคืนวัน |
ยามนอนมิได้นิ่งแต่กลิ้งกลับ | พอเคลิ้มหลับก็มเมอเพ้อฝัน |
ว่าแนบสองทรามสงวนชวนจำนรร | หลงสำคัญคลั่งใคล้ไม่เปนนอน |
จะเปรียบปรายคล้ายพระลอรัญจวนจิตต์ | เมื่อต้องวิทยาน้องสองสมร |
ไม่อาลัยในสุรางค์แลนคร | สู้สัญจรไปสมสองได้ครองกัน |
เปนสามเขนยเชยชมภิรมย์สมาน | แสนสำราญปานได้เสวยสวรรค์ |
จนทหารเผาผลาญชีพชีวัน | ก็คงบรรลัยแล้วไม่แคล้วตาย |
อันพี่ปองสมรมิตรกนิษฐนาฎ | แม้นได้สมสองสวาทดั่งมาดหมาย |
ถึงว่าใครจะห้ำหั่นชีวันวาย | ไม่เสียดายด้วยพี่สมภิรมย์รัก |
จงเห็นใจเถิดที่จงเสนหา | สุดปัญญาที่จะทานเหลือหาญหัก |
แต่รำพึงคนึงน้องจนหมองพักตร์ | โอ้ว่ารักแรงร้อนไม่ผ่อนคลาย |
ขอเชิญมิตรกนิษฐ์น้องสองสมร | ช่วยดับร้อนรุมฤทัยพี่ให้หาย |
ไม่ควรคิดหมางหมองข้องคำระคาย | นี่แน่สายสวาทพี่จะชี้แจง |
ธรรมดาสัตรีงามทรามกำดัด | ก็เหมือนพลอยเพ็ชรรัตนจำรัสแสง |
ถึงสูงชาติขาดค่าราคาแพง | ก็ควรแต่งเรือนรองด้วยทองอุไร |
จึงงามเลิศเพริศพร้อมนะจอมสวาท | ใครจะอาจติฉินนินทาได้ |
จงตรึกตรองดูเถิดน้องอย่างแหนงใจ | บุราณท่านว่าไว้นี้ควรฟัง |
ซึ่งชักทำเนียบเปรียบปรายมาหลายข้อ | ใช่จะล่อลวงกนิษฐ์อย่าคิดหวัง |
ภิปรายพร้องสารสวัสดิ์โดยสัจจัง | เจ้าจงชั่งใจตรองทั้งสองสุดา |
พี่ถนอมกล่อมรักบำรุงสงวน | ให้สมควรด้วยประยูรยศถา |
อย่านึกแหนงแคลงสัตย์ที่วัจนา | จงร่างสาราสนองโดยคลองรัก |
แม้นทราบสารสิ้นเรื่องไม่เคืองเข็ญ | จงเปลื้องสไบให้มาเปนสำคัญประจักษ์ |
จะได้เชยชมพลางพอต่างพักตร์ | อย่าหน่วงหนักสารสมานเนิ่นนานเอย ฯ ๔๒ คำ ฯ |
๏ ได้สดับรับรสบรรหารสาร | |
เสนาะพจน์มธุรสอาลัยลาญ | ดั่งเจือจานอมฤตมาโรยริน |
ให้ชื่นชุ่มพื้นพุ่มศิโรเพศ | แต่กริ่งเหตุด้วยเห็นเกินถวิล |
เหมือนกรางจันทน์กลั่นรสให้รวยริน | จะถือกลิ่นเอาว่ากลั่นก็ใช่ทาง |
ด้วยเปนเชื้อขัติยามหาศักดิ์ | ว่าจะรักที่อาลัยให้ขนาง |
เหมือนเมฆากับพื้นสุธาทาง | สุดจะอ้างเอื้อมหมายประมาณไกล |
สุริยันจันทราและดารก | เรียกว่าตกนั้นตกลงที่ไหน |
เห็นแต่รอนอ่อนแสงแล้งสูญไป | เหมือนล่อใจจะให้หล้านี้อาดูร |
พระปราณีเหมือนหนึ่งมีสารสวัสดิ์ | นิพนธ์ชัดอยู่ว่าเช่นกับแสงสูรย์ |
ธรรมดาสุริยันจันทร์จรูญ | หรือจะตกมูลดินเหมือนยินมา |
มิปราณีจะได้อัประยศยิ่ง | เพราะหวังสิ่งเหมือนหนึ่งวาสนา |
ดั่งหริรักษ์อนิรุทธกับกินรา | ดูไม่น่าที่จะหน่ายเสน่ห์จร |
พระยังทิ้งสิ่งสัตยสังวาส | ไม่รักราชบัญชานิราสมร |
ให้กินรินโดยดิ้นถวิลวอน | ตั้งจะอ่อนอกม้วยด้วยรัญจวน |
ก็นี่แลยากใจจะไว้จิตต์ | ถ้าฉวยผิดก็ผิดแต่คนสรวล |
อันสัตรียากที่ถนอมนวล | ควรมิควรจงแจ้งแสดง เอย ฯ ๑๖ คำ ฯ |
๏ โฉมสุคนธ์ธารทิพย์ประทิ่นหอม | |
หรือสาวสุรางค์แรมฟ้ามาแปลงปลอม | หรือนางจอมไกลาสจำแลงลง |
มาโลมโลกให้พี่เลงลานสวาท | ประหลาดบาดตาแลตลึงหลง |
ควรแผ่สุวรรณวาดให้สมทรง | เกลือกจะคงจรจากพิมานจันทร์ |
พี่หมายน้องดุจปองปาริกชาติ์ | มณฑาไทเทวราชในสวนสวรรค์ |
หากนิเวศน์ศิวาลัยสิไกลกัน | จะใฝ่ฝันดอกฟ้าสุมามาลย์ |
แสนรักหักให้แสนวิตก | สุดอกที่จะเอื้อมอาจหาญ |
ด้วยเกรงเดชศักดาจักรมัฆวาฬ | เมื่อมณฑารว์ทิพย์สถิตถึงเทวิน |
แต่ไพจิตรที่เปนจอมสุธาภพ | หวังประสบมณฑาทองปองถวิล |
ก่นแต่รานรณรงค์ด้วยองค์อินทร์ | อมรินทร์ยังไม่อัปรารอน |
ถ้าพี่มีเดชได้ดั่งไพจิตร์ | ถึงสิ้นฤทธิ์ไม่สิ้นรักแรงสมร |
จะดับจิตต์ลงด้วยจักรกำจายจร | สักพันท่อนพี่ไม่ถอยซึ่งหทัย |
เปนมนุษย์สุดสถิตถึงตีนพื้น | จะฝ่าฝืนเมฆมุ่งหมายไฉน |
แม้นสุเมรุเอนหาให้เห็นใจ | พอใคร่ได้ก็จะเด็ดมาชมดวง |
ยอดสุเมรุหมื่นโยชน์ยังโตรจตรง | อนึ่งองค์อมรแมนก็แหนหวง |
เห็นเกินศักดิจักสวาทมาบาดทรวง | ตั้งจะตวงแต่เทวษถวิลครวญ |
เมื่อไรเมรุฟ้ามณฑามาศ | จะอ่อนนาดน้อมก้านกิ่งสงวน |
ลงเกยกรช้อนชมภิรมย์ชวน | สงวนนวลลอองแอบไว้แนบกาย |
จะได้กล่อมกลืนเสาวคนธ์ทิพย์ | เห็นลิบลิบแล้วก็ลับเวหาหาย |
ประนังเนตรเทวษคอยขอพระพาย | ชวนชายพัดมาให้รื่นในอารมณ์ |
เหมือนภุมรินบินร่อนระวังเวียน | เดชะเพียรขอให้ได้เกษมสม |
เชิญแก้วพี่ประกอบให้ชอบชม | ถึงลมโลกก็ไม่ล่มอาลัยลาญ |
อย่าถือยศเลยว่ายิ่งประยูรศักดิ์ | อย่าถือพักตรเลยว่าพักตรไม่เพียงสมาน |
อย่าแหนงรักเลยว่ารักจะแรมราน | อย่านิ่งนานหน่วงเสน่ห์ให้เนิ่นวัน |
ขอเชิญโอษฐ์ตอบโอษฐ์จงเอมอร | ขอฝากกรตระกองชมโฉมสวรรค์ |
ขอฝากเนื้อพี่แนบเนื้อนวลจันทร์ | ขอฝากขวัญมอบขวัญนัยนา |
ขอเชิญเนตรสบเนตรสักหน่อยบ้าง | ขอฝากปรางมาศมอบกับนาสา |
ขอฝากใจร่วมใจร่วมสุดา | ขอฝากชีวาไว้เปนคู่ชีวิตเดียว |
ขอฝากพักตรงามเพียงเคียงพักตร์ | ขอฝากศักดิ์เสมอศักดิแสนเฉลียว |
เชิญรื่นรสวาจามายาเยียว | ที่ทรวงเสียวด้วยศรสวาทแทง |
เอนดูหน่อยเถิดนะแม่วิมลโฉม | คำประโลมไม่เลื่อนลิ้นลวงแถลง |
ประการใดในรสรักแรง | มิควรแจ้งเลยว่าใจพี่จงจอม |
เอกอนงค์จงโดยอารมณ์ด้วย | เหมือนโฉมช่วยชีพพี่ผู้ปองถนอม |
ให้เมาทรวงที่ทรงสวาทตรอม | ประนอมจิตต์หมายมิตรให้ใจมา |
กระดาษบางต่างแผ่นสุวรรณบัตร | ประจงคัดเขียนคำเสนหา |
จำลองลอกลายหัดถ์ให้ทัศนา | ไว้ต่างหน้าถนอมตอบไมตรีมี |
แสนรักหนักฟ้าสุธาสมุทร์ | กว่าจะสุดสิ้นจันทร์สุริยศรี |
ไม่สูญใจไกลจากจอมนารี | ขอปราณีมาสนองให้แน่ใจ |
พี่รับขวัญขวัญเนตรมาในสาร | พจมานมิควรที่ข้อไหน |
อย่านิ่งน้อยมนัสน้องหมองฤทัย | จงอภัยอย่าให้ผิดคิดระคน |
จะนับทุ่มโมงท่าสารารส | กำหนดไว้แต่ละวันสักพันหน |
ไม่อยากข้าวอยากคอยคดีคน | กว่าจะยลยื่นสารสมานเอย ฯ ๔๒ คำ ฯ |
๏ โฉมกลิ่นกลิ่นหวนให้ชายหอม | |
ยิ่งอนงค์ทรงในที่นางจอม | ควรถนอมแนบเนื้ออรชร |
จุไรรัดราวกับเขียนเนียนแนบ | ด้วยรอยแหนบน้อยแนวเปนแถวถอน |
เรือนผมกลมเกลาเปนเงางอน | กรรณสมรแม้นกลีบสุมามาลย์ |
คิ้วค้อมคันธนูน้าวพิฆาฎ | เปนวงวาดพิมพ์พรรณสัณฐาน |
แอร่มแก้มการเกดดวงตระการ | ลลานเหลือเล่ห์ทานทีทอง |
ดวงพักตรงามวิลาศเมื่อผาดผิน | หมดมลทินไฝฝ้าราคีหมอง |
นาสาดั่งแสงขอหล่อจำลอง | เนตรน้องดั่งนิลจักเจียรนัย |
ฝีปากพริ้มริมรอยสลาจับ | ฟันรยับขัดเงาเปนแสงใส |
เสนาะเสียงจำนรรจานี่สุดใจ | โอษฐ์ลไมลม่อมเอื้อนอภิปราย |
คางฅอนิ่มอนงค์เปนวงปล้อง | ดั่งสร้อยทองรองรับกับไหล่ผาย |
นมนางหว่างทรวงพอสมกาย | ขยายเต้าเต่งถันปิโยทร |
ทรวงนางสรรพางค์น่าพึงพิศ | สไบปิดมิดเกาเกสร |
เห็นบางแบบแนบเนื้ออรชร | อ่อนนิ้วนขาค้อมย้อมเทียน |
เบื้องหลังดั่งใบบานสุวรรณ | ผิวพรรณเอวบางอย่างเขียน |
งามจริตจิตต์จันทรแจ่มเจียน | เห็นแนบเนียนเนื้อเกลี้ยงเพียงกลึงกลม |
พิศทรงสองสีไม่พีผอม | ดูเพราพร้อมแต่บาทจนถึงผม |
เหมือนแหวนทองแปดน้ำที่ขำคม | อันวงกลมกลับไร้เรือนมณี |
แสงสุวรรณบันเทาไม่เพราเพริศ | ด้วยเริศร้างเรือนพลอยแล้วถอยสี |
ดั่งหงส์ทองไร้ถิ่นชลธี | ดั่งวารีไร้ปลาในสาคร |
ดั่งภาราไร้คนก็เยือกเย็น | เทวษเว้นวายความสโมสร |
สกุณียังรู้มีรังนอน | ทิชากรย่อมอาศรัยพนาวัน |
ศีขรียังรู้มีคูหา | กินรายังรู้ชมสระสวรรค์ |
โบกขรณียังรู้มีสัตบัน | ย่อมกระสันสมงามตามประยูร |
แม้นนารีมีคู่ภิรมย์รัก | จะสมศักดิ์สมสุขไม่รู้สูญ |
อันสัตรีอยู่เดียวเปลี่ยวอาดูร | หรือจะพูลยศเพียงภิญโญ เอย ฯ ๒๖ คำ ฯ |
๏ ได้ยลพักตรลักลอบประโลมขวัญ | |
นวลลอองผ่องศรีฉวีวรรณ | ดั่งบุหลันลอยฟ้านภาลัย |
งามองค์งามทรงบันจงจริต | เมื่อแย้มเยื้อนเตือนจิตต์ให้พิสมัย |
งามเสงี่ยมเจียมกระบวรยวนฤทัย | งามนัยนาน้องส่องสบตา |
ศรสวาดบาทอารมณ์ด้วยคมเนตร | สุดสังเกตมิตรจิตต์กนิษฐา |
แสนรักรึงสมรร้อนอุรา | เอาอาชญาหักใจอาลัยรัก |
แต่วันเห็นมาก็ให้ฤทัยหวน | ให้รัญจวนใจสมานเหลือหาญหัก |
ยามนอนยอกรก่ายเกยพักตร์ | ถวิลงามความรักทุกคืนวัน |
ทำไฉนจะได้พร้องสนองถ้อย | ให้ทราบหน่อยหนึ่งว่าพี่นี้แสนกระสัน |
ด้วยร้อนกมลพ้นที่จะรำพรรณ | เปนนิรันดร์มิได้ขาดสวาทเลย |
ก็เห็นที่ชีวันจะพลันม้วย | ใครจะช่วยสิ่งวิตกนะอกเอ๋ย |
ที่เคยชื่นมิได้ชื่นอารมณ์เชย | จนลืมเลยสิ่งสุขเพราะทุกข์ใจ |
ยามกินกินเทวษถวิลหวัง | แต่นิ่งนั่งถอนทอดฤทัยใหญ่ |
ทั้งผิวพักตรหมองมอมออมอาลัย | ชลเนตรนองนัยนาเนือง |
จึงหักห้ามความสวาทอย่ามาดหมาย | ก็จะคลายใจกำสรดค่อยปลดเปลื้อง |
อันปองแก้วจักรพรรดิจำรัสเรือง | จะได้แต่เครื่องเกรียมกรมอารมณ์กรอม |
ยิ่งห้ามใจจะให้จางมิห่างเหือด | ยิ่งดิ้นเดือดฤดีมุ่งบำรุงถนอม |
สู้ฝ่าฝืนกลืนกำสรดอดออม | เปนไข้ใจไผ่ผอมผิดพักตรา |
จะทานเทียบเปรียบปรายคล้ายอิเหนา | เมื่อวันเข้าเฝ้าศรีปัตหรา |
ได้เห็นโฉมพระน้องนุชบุษบา | เสนหาปั่นป่วนรัญจวนใจ |
ครั้นคืนกลับติกาหรังให้คลั่งจิตต์ | มิได้วายคลายคิดที่พิสมัย |
กำสรดแสนทรมาโศกาลัย | แต่ตามไปใช้บลจนกลับมา |
มะดีหวีว่าจะช่วยธุระร้อน | จึงค่อยผ่อนทุกข์เทวษถวิลหา |
ก็มิได้เสร็จสมภิรมยา | ครั้นถึงวันฤกษ์พาวิวาห์การ |
เพราะเศร้าเสียฤทัยเปนไข้จิตต์ | จึงกล้าคิดลอบลักทำหักหาญ |
ก็ได้ชื่นเชยโฉมประโลมลาน | โอ้ประมาณเหมือนอกวิตกกรอม |
ไม่หยั่งเห็นใครจะเปนมะดีหวี | จะช่วยพี่ให้เสร็จสมอารมณ์ถนอม |
ครั้นจะหาญปานอิเหนาเข้าแปลงปลอม | มาพาจอมสมรไปดั่งใจจง |
ก็ขัดด้วยคูหาที่อาศรัย | เห็นจะไม่สมคิดเหมือนจิตต์ประสงค์ |
แม้นได้ชื่นเชยน้องประคององค์ | ถึงจะปลงชีวาลัยก็ไม่คิด |
ยิ่งอาวรณ์ร้อนอุราหนักหนานัก | โอ้ว่ารักแรมสมานสงสารจิตต์ |
เพี้ยงเอ๋ยเทวาวราฤทธิ์ | จงช่วยให้ได้สนิทชิดเชยชม |
เหมือนหนึ่งองค์อนิรุทธกับอุษา | เทพยเจ้าเมตตามาอุ้มสม |
จะปริ่มเปรมปรีดาในอารมณ์ | ที่เกรียมกรมฤทัยทุกข์จะสุขสบาย |
จงเห็นอกวิตกกรอมเถิดจอมสมร | ช่วยดับร้อนในใจพี่ให้หาย |
อย่าคิดหมางหมองข้องคำระคาย | เหมือนว่าสายสวาทพี่มิเมตตา |
ก็จะม้วยด้วยแสนเสน่ห์นุช | นิจจาเอ๋ยโอ้จะสุดสิ้นวาสนา |
ดั่งฝ่าเพลิงเริงโรจน์โชตนา | เอาชีวาแลกรักหักโพยภัย |
ขอร่วมรักร่วมร้อนสมรมิตร | ร่วมเขนยเชยชิดพิสมัย |
ขอร่วมชีพชีวันคุ้งบรรลัย | มิจำไกลก็ไม่ร้างสักนาฬิกา |
สรรพสิ่งศฤงคารบริวารยศ | พี่มอบหมดให้เปนสิทธิกนิษฐา |
ใช่กล่าวแกล้งแจงจัดวัจนา | เปนสัจจาใจจริงทุกสิ่งแสดง |
ถ้าสนเท่ห์เล่ห์ล่อที่ข้อไหน | จงชั่งใจดูให้ควรอย่างด่วนแหนง |
อันเรื่องรักภคินีซึ่งชี้แจง | อย่าพรายแพร่งความลับจะอัประมาน |
กระดาษเขียนลายลักษณ์อักษรสนอง | พี่เทียบแทนแผ่นทองจำลองสาร |
แม้นหยั่งเห็นใจจริงอย่านิ่งนาน | จงพจมานให้ประจักษ์เรื่องรัก เอย ฯ ๔๖ คำ ฯ |
๏ สารสัญญาว่าไว้อย่าใหลหลง | |
ดั่งจดหมายบันทึกจารึกรง | ให้สองคงคำสัตย์ปัฏิญาณ |
ถึงมาดแม้นนานไปใครได้ปลื้ม | ก็อย่าลืมเรื่องรักสมัคสมาน |
ที่จริงใจนั้นจะให้จิรังกาล | จึงสู้หาญหักสวาทในราชทัณฑ์ |
ไม่เกรงผิดคิดอายเสียดายพักตร์ | เพราะว่ารักจะใคร่ร่วมภิรมย์ขวัญ |
เศร้าฤทัยมิได้ชื่นสักคืนวัน | แสนกระศัลย์โศกสมรอาวรณ์ครวญ |
ครั้นคิดยามเมื่อได้ยลวิมลโฉม | ยิ่งเศร้าโทมนัสร่ำแต่กำสรวญ |
ไม่วายตรึกนึกถึงคนึงนวล | โอ้ประมวลเหมือนหนึ่งอุณากรรณ |
ได้ภิเปรยเชยชิดสนิทแนบ | จนอิงแอบเนื้อน้องประคองขวัญ |
แต่จำจนจึงต้องขัดที่อัศจรรย์ | ก็อย่างกันกับอกวิตกกรอม |
ถึงจะมีอีสัตรีเปนที่ชื่น | ก็ไม่รื่นเหมือนกลิ่นประทิ่นหอม |
ยิ่งคิดยิ่งกำสรดแต่อดออม | สู้ถนอมใจฝืนทำชื่นพักตร์ |
อันรสสลาซองยังปองถวิล | ครั้นกลืนกินสลาพานต้องหาญหัก |
ให้รนร้อนรุมอุราหนักหนานัก | เพราะว่ารักมิได้สมอารมณ์ปอง |
จะเปรียบปรายเล่าก็คล้ายอุเซนสวาท | เขาองอาจไปภิรมย์ประสมสอง |
ทุกราตรีสนิทแนบแอบประคอง | ถึงเจ็ดปีป่วยปองประคองเชย |
จนเขาจับตัวได้ให้สังหาร | ไม่วายปราณก็ได้ร่วมเรียงเขนย |
ช่างอดความเสน่ห์ได้กะไรเลย | นิจจาเอ๋ยอกเรียมก็เทียมนิทาน |
ถึงจะต้องโพยภัยก็ไม่ว่า | แต่ขอให้ได้สุดามาสมสมาน |
จะสู้รักษาสัตย์ปัฏิญาณ | ทนทานทุกข์เทวษเจตนา |
อันร้างนางก็พอห่างอารมณ์หัก | แต่ทนรักนี้เห็นสุดต้องมุสา |
อย่าเคืองเลยเครื่องเคยเปนธรรมดา | ใช่จะว่าล่อเล่นเช่นชายพาล |
แม้นน้องเห็นใจบ้างจะยังชั่ว | ไหนจะกลัวความฉาวแลร้าวฉาน |
ไหนจะผิดด้วยคิดมิควรการ | ไหนจะทานทนรักสลักทรวง |
เปนหลายทุกข์เข้าปะทะอุระพี่ | เพียงจะตีตนตายให้หายห่วง |
ถึงกระนั้นแล้วยังเห็นว่าแกล้งลวง | มิควรหน่วงก็มาเหนี่ยวให้เหี่ยวใจ |
นี่แน่มิตรเจ้าจงคิดถึงคำพร้อง | แม้นได้ช่องเกลือกจะติดที่พิสมัย |
เหมือนแกล้งพี่จะให้มีแต่กรมฤทัย | ด้วยจะใคร่เชยชิดเปนนิจกาล |
กำหนดในสามเดือนพี่เตือนสมร | ขอเชิญจรจากคู่ไปสู่สถาน |
อย่าลืมเลยเฉยเพลินให้เนิ่นนาน | อย่ากลับพาลกลับภ้อกันพอแรง |
อกเอ๋ยเมื่อเคยเห็นเช่นประจักษ์ | อันรักพ้องสองรักนี้มักแสลง |
ครั้นคิดคืนคำสัตย์ก็ดัดแปลง | จึงแสดงรักร้อนไว้สอนใจ |
แม้นชาตินี้ไม่เสร็จสมอารมณ์มาด | จะขอปองครองสวาทในชาติใหม่ |
จะพากเพียรไปกระนั้นคุ้งบรรลัย | กว่าจะได้สมคิดเหมือนจิตต์จง |
เมื่อไรน้ำบางกอกแห้งเปนแปลงปลัก | อันความรักจึงจะเชือนเลื่อนหลง |
แม้นชายใดได้เปนคู่ครองอนงค์ | นั่นแลคงขาดสวาทชาตินี้เอย ฯ ๑๖ คำ ฯ |
๏ เปนน่าแค้นแสนวิตกโอ้อกเอ๋ย | |
ช่างระกำช้ำฤไทยกะไรเลย | ก็ย่อมเคยหรือไม่เข็ดขยาดความ |
นี่ควรคิดพิสมัยอย่างไรหนอ | ก็ได้ขอเสียแล้วใจที่ไม่ขาม |
ยังแค่นขืนฝืนพักตรไปรักงาม | พยายามอย่างนี้ซะดีจริง |
แต่ยังเยาว์สิเขลาปัญญาคิด | ได้คลั่งจิตต์จนเขาเยาะก็เพราะหญิง |
ต้องหักห่างทางเสน่ห์ประเวประวิง | จนสู้นิ่งเกรียมกรมระทมใจ |
อนิจจาอกเอ๋ยเมื่อเคยเจ็บ | อันแผลเล็บยังอยู่นิดหาคิดไม่ |
ต่อการเกินจึงได้เหิรห่างอาลัย | ยังอายใจอายหน้าระอารัก |
สงสารใจเมื่อยามครวญรัญจวนหา | แล้วชังใจหนอที่กล้าเข้าหาญหัก |
เสียดายเพียรที่อุส่าห์สาพิภักดิ์ | น่าแค้นนักหนอใจยังไม่เจียม |
เธอก็เปนชายชาติฉลาดเฉลียว | แต่ครั้งเดียวก็ควรจำไม่งำเสงี่ยม |
นี่กะไรมิได้จักกระดี้กระเดียม | แต่เวียนเลียมเล่นไฟแพ้ภัยตัว |
ใช่จะขัดสัตรีเปนที่ชื่น | นี่สิ้นอื่นแล้วหรือไรน่าใคร่หัว |
จะเอาแต่ใจรักเข้าหักกลัว | เหมือนชายชั่วใช่ชาติปราชญ์ปรีชา |
แต่นางหนึ่งพึ่งจะคลายกำสรดเศร้า | มาซ้ำเข้าเปนสองสามเอองามหน้า |
รู้ว่าขมก็ยิ่งหวานพานทยา | เหมือนร้อนมาไม่อาบน้ำซ้ำผิงไฟ |
เมื่อยังทานทุกข์ทนกมลหมอง | ด้วยที่ปองไม่สมคิดรื้อติดใหม่ |
เปนสองร้อนแรมรึงตรึงฤทัย | ชะกะไรใจเอ๋ยชเลยลาม |
มีแต่กรอมออมไว้อาลัยคิด | อยู่เปนนิจก็เพราะใจไม่ฟังห้าม |
ที่เห็นได้สิมิไปพยายาม | มามูมมามมุ่งสมัคไม่รักกาย |
แม้นมาดสวาทอื่นจะชื่นบ้าง | ไม่เมินหมางแล้วคงสมอารมณ์หมาย |
นี่ยิ่งรักก็ยิ่งจักจะดิ้นตาย | ได้แต่อายกับแต่ออมกรอมใจเอง |
ก็ยังแต่จะเหมือนเช่นครั้งเปนไข้ | เห็นนานไปคงเขาเยาะไม่เหมาะเหม็ง |
เวียนสอนใจตัวให้กลัวเกรง | เปนนักเลงสิเสียได้ไม่รู้ที |
ดั่งหนามเหน็บเจ็บยอกอยู่ในอก | ความวิตกก็อย่างกันกับปันหยี |
เมื่อจำจากจินตหราไปราวี | พระก็มีแต่กำสรดสลดใจ |
ครั้นปองนุชบุษบาหนึ่งหรัดเล่า | ก็ซ้ำเศร้าโศกหนักเพียงตักษัย |
จึงคิดการหาญหักลักนางไป | ได้ชื่นฤทัยสมน้องสองราตรี |
เวรวิบัติให้พลัดพรากจากสมร | สู้สัญจรแสวงหายาหยี |
ทุกค่ำเช้าเกรียมกรมไม่สมปฤดี | จนเข้าบุรีกาหลังตั้งแต่กรอม |
ยังซ้ำไปเสนหาธิดาปะหมัน | ก็โศกศัลย์จนผิดรูปซูบผอม |
ก็อย่างกันกับวิตกในอกออม | พึ่งคลายกรอมด้วยเพราะแหนงแคลงใจ |
ควรหรือช่างกล้าเข้าฝ่ารัก | ก็ทุกข์นักหนักจิตต์ด้วยพิสมัย |
ถึงได้เชยก็พอชื่นรื้อคืนไกล | ก็เศร้าใจอยู่ทุกวันเพราะรัญจวน |
ยังมิหนำซ้ำหาญในการสวาท | มาหมายมาดกนิษฐ์น้องประคองสงวน |
เปนสองทุกข์สองเศร้าเข้าประมวล | เออนี่ควรแล้วหรือใจช่างไม่คิด |
เอาแต่รักแลออกตั้งเปนดั้งหน้า | ยิ่งกว่าว่ายังเด็กกระจิหริด |
เห็นไม่สมอารมณ์ปองทั้งสองมิตร | อันชอบผิดก็ได้รู้ไว้เต็มใจ |
แต่คำบุราณท่านว่าอุส่าห์ตรึก | จะสมนึกมั่นคงอย่าสงสัย |
จึงจะสู้ทุกข์กรอมออมฤทัย | เพียรไปอิกสักครั้งเช่นหลังเอย ฯ ๔๐ คำ ฯ |
๏ โอ้รคายมิได้วายถวิลถึง | |
จะนั่งนอนมีแต่ร้อนอารมณ์รึง | ดั่งตรึงด้วยศัสตราอุราตรอม |
กระยาหารพานลิ้นดั่งกินยา | สุนทราซูบเศร้ารทมผอม |
สุดใจสุดอาไลยที่อดออม | จึงถนอมพจนามาพาที |
ให้แจ้งเจ้าว่าพี่จงจำนงนัก | ช่วยรับรักอย่าสละธุระพี่ |
ซึ่งโกนเกศครองเพศเสียเปนชี | ไม่สมศรีใช่เจ้าแก่ชรากาย |
เจ้ามั่นใจในจิตต์ที่เลื่อมใส | กุศลน้องก็จะได้เหมือนหมาย |
แต่คิดกรรมที่ให้ช้ำอารมณ์ชาย | จงเบี่ยงบ่ายผ่อนผันแต่พอควร |
ฝ่ายบุญอย่าให้สูญศรัทธานัก | ข้างเวียนรักก็อย่าให้ร้างแรมสงวน |
จะลาเพศกลับเทวษที่รัญจวน | จงประมวลศุภผลมงคลการ |
เจ้าก็เชื้อนามสกูลประยูรหงส์ | ไฉนนางจึงไม่สรงสระสนาน |
อันมุจลินท์ถิ่นท่าลหานธาร | เปนที่สำราญของหงส์แต่ก่อนมา |
จงจำเริญเจ้าอย่าเมินสกุลเพศ | ให้งามเนตรงามขวัญไปวันหน้า |
จะครองพรตอดรักอยู่เอกา | จะเปนท่าหมิ่นหมายแก่ชายพาล |
เหมือนเมืองไร้จากจอมมไหศวรรย์ | ที่อรัญไร้เสือสิงสถาน |
จะเปนที่คนหยุดพักทำหักราน | พรรณไม้ไม่สอ้านสอาดงาม |
ถ้ามีเสือรักษาก็ป่าชื่น | จะเด็ดผักหักฟืนก็เกรงขาม |
ถึงพรานป่าล่าเนื้อก็เบื่อทราม | ด้วยแจ้งความข่าวลือว่าเสือมี |
เจ้าก็สาวสมควรนวลสวาท | มาประมาทลืมกายเสียดายศรี |
อันวันหน้ายิ่งกว่าหลังยังทวี | จะพึ่งบุญชนนีอยู่กี่วัน |
อุปมาเหมือนไม้อยู่ใกล้ฝั่ง | เมื่อบุญยังจะได้ออมถนอมขวัญ |
ถ้าหักโค่นโดนพายุปัจจุบัน | จะผูกพันพึ่งใครเหมือนมารดา |
จะฝากกายหมายญาติเปนศักดิศรี | ถ้าเจ้ามีเขาจะนับว่าวงศา |
ถ้าตกไร้จะใช่ญาติกา | จงตรึกตราดูเถิดให้ชอบกล |
อันอกพี่ผู้ปองประคองเคล้า | หมายไว้ใจเจ้าให้เปนผล |
มิให้อับอายหน้าประชาชน | เจ้าจงคิดผ่อนปรนดูจงดี |
ถ้าแม้นชอบเชิญตอบสาราเรื่อง | ให้ประเทืองความทุกข์ธุระพี่ |
จะสมงามตามรักด้วยภักดี | ในความลับอย่าให้มีใครรู้เอย ฯ ๒๘ คำ ฯ |