เพลงยาวความเก่า
๏ แต่วันเห็นมิได้เว้นทิวาหวัง | |
เสน่ห์ในวรนุชสุดกำลัง | ก่นแต่ตั้งใจคิดคำนึงนาง |
เจ้าโฉมงามทรามรุ่นจำเริญรัก | จะพิศทรงวงภักตร์ไม่ขัดขวาง |
โสภาสารพันทั้งสรรพางค์ | งามราวสาวสุรางค์แรมโพยม |
เห็นหญิงในไตรโลกก็เกือบกึ่ง | กี่แสนนางแต่สักหนึ่งไม่ถึงโฉม |
ยิ่งกำหนัดนึกตรองปองประโลม | ไม่เห็นท่าแล้วก็โทมฤไทยทวี |
อันธุระราชการแลงานเย่า | ไม่นำพาฝ่าเฝ้าแต่หมองศรี |
มิได้สนิทนิทราสักราตรี | แต่สาลีก็ไม่ล่วงลงลำคอ |
คงจะม้วยเสียเปนแน่ตระหนักนัก | จะผินภักตร์พึ่งใครที่ไหนหนอ |
เหลือกำลังที่จะรั้งอารมณ์รอ | ฤไทยท้อเห็นไม่ทันถึงวันเชย |
ชีวาไลยไม่เสียดายเท่าสายสวาดิ์ | จะนิราศมิได้ร่วมเรียงเขนย |
ฤๅบุพเพผลบุญเราคุ้นเคย | จะทรงกรให้ได้เกยกายสุดา |
ค่อยอุ่นใจจึงได้จดบทประดิษฐ์ | ถอดจิตรลงให้เห็นเปนเลขา |
ไม่ใส่กลจนบันทัดล้วนสัจจา | อย่าสงกากินแหนงว่าแกล้งลวง |
พี่รับขวัญกัลยามาในสาร | ด้วยแดดาลดวงใจนั้นใหญ่หลวง |
จงเห็นความพิศมัยที่ในทรวง | เอนดูหน้าเถิดอย่าหน่วงเสน่ห์นาน |
อันจะเฝ้าเนาเดียวนี้เปลี่ยวนัก | ด้วยไร้ผู้อยู่พิทักษ์เปนภูมฐาน |
เขาจะฉินหมิ่นหมายหลายประการ | เหมือนเยี่ยงอย่างปางบุราณท่านเล่ามา |
นครินไร้ปิ่นประชาราษฎร์ | พนาวาศไร้พยัคฆ์ซึ่งรักษา |
ชลาไลยร้างไร้พาลกุมภา | จะเปนท่าคนทำไม่ยำเกรง |
แม้นมีคู่สู่สมภิรมย์ขวัญ | ได้ป้องกันเจ้ามิให้ใครข่มเหง |
เปนเขตรขอบขึงขังไม่วังเวง | จะครื้นเครงสรรเสริญเจริญดี |
ซึ่งพึ่งบุญพ่อแม่นี่แน่น้อง | จะปกครองไปถึงไหนนะโฉมศรี |
ดังพฤกษาใกล้ท่าชลธี | พยุมาก็จะมีอันตราย |
จะฝากองค์พงศ์พันธุ์กระนั้นฤๅ | เจ้ามีทรัพย์นับถือเปนเชื้อสาย |
พอไร้ลงวงศ์วารก็พานคลาย | ไม่มาดหมายรักเจ้าจิรังกาล |
จงตรึกตรองดูเถิดน้องอย่านึกแหนง | จะโดยซื่อฤๅว่าแกล้งมากล่าวขาน |
เจ้าเขื่องควรจะประมวญความประมาณ | พี่ช่วยสอนด้วยสงสารแสนทวี |
พิศมัยในสมรเสมอชีพ | จึงเร่งรีบมาให้รู้อารมณ์พี่ |
จะร่วมศุขไปจนสิ้นชีวินทรีย์ | มิให้มีอายหน้าประชาชน |
แม้นเห็นด้วยโดยกลอนสุนทรสนอง | ขอเชิญพร้องตอบรศเจริญผล |
จะนับทุ่มโมงท่ากว่าจะยล | ในสำเนาเจ้านิพนธ์ให้พี่เอย |
ฯ ๓๒ คำ ฯ
ชมโฉม
๏ พิศทรงดังทรงอัปศรสวรรค์ | |
พิศภักตร์งามภักตร์ดังเพ็ญจันทร์ | สารพันไฝฝ้าไม่ราคิน |
พิศกรรณกลกลีบประทุมาศ | พิศขนงวงวิลาศดังคันศิลป์ |
นาสิกยลกลขอกุญชริน | งามเนตรประหนึ่งนิลที่เจียรไน |
งามสลวยสวยเส้นเกษาสล้าง | จรุงปรางคันธรศสดใส |
โอษฐเอี่ยมเรี่ยมรอบเปนขอบไร | เมื่อยิ้มแย้มแวมไวทนต์ระยับ |
พิศสอดุจเส้นสุวรรณวาด | สุดสอาดพร้อมพริ้งทุกสิ่งสรรพ |
อังษาสวมสร้อยใส่สไบทับ | วิไลยรับมิดเม้นประทุมา |
ระทวยกรอ่อนนิ้วนขาค้อม | ลมุนลม่อมมารยาตรนี่หนักหนา |
แต่เบื้องบนจนทั่วถึงบาทา | เห็นงามลบใต้หล้าไม่เทียมทาน |
แต่วันแรกเรียมยลวิมลภักตร์ | ฤไทยปลงจงรักภิรมย์สมาน |
ถวิลหวังมิได้เว้นทิวาวาร | ดำริห์การที่จะมอบไมตรีตรง |
ไม่เหมือนหมายก็ยิ่งหมองกระมลไหม้ | ครั้นเห็นโฉมแล้วก็ให้ตลึงหลง |
พินิจนั่งตั้งอารมณ์ชมทรง | ยิ่งพิศไหนยิ่งจำนงเสน่ห์นวล |
ดวงภักตร์ผ่องพาให้จุมพิต | ไม่ขาดคิดจะประคิ่นประคองสงวน |
ประสานสบเนตรชื่นฤไทยชวน | งามกระบวนนำสวาดิ์ถาวรทวี |
เจ้าครัดเคร่งเปล่งปลั่งกำลังสาว | ฉวีราวจันทร์จำรัสรัศมี |
ทั้งถ้อยคำน้ำเสียงซึ่งพาที | เสนาะในใจพี่ทุกสิ่งอัน |
ยิ่งภูลเพิ่มประดิพัทธสามิภักดิ์ | เห็นควรรักควรร่วมภิรมย์ขวัญ |
ควรถนอมแนบสนิทติดพัน | ไม่เคลื่อนกรคลายกันให้เอกา |
จึงจะสมด้วยโฉมประโลมจิตร | คนึงคิดก็ยิ่งให้ละห้อยหา |
กี่ปีล่วงแต่ที่หน่วงเสน่ห์มา | จนสุดกลั้นแล้วจึงกล้าสุนทรกลอน |
เมื่อสู่ขอต่อชนกก็ยกให้ | ความยินดีที่จะได้ดวงสมร |
คอยสดับข่าวคดีที่บิดร | จะพาโฉมอรชรมาให้ชม |
ครั้นคอยหายหลายผัดมนัศแหนง | ชรอยแกล้งลวงเล่นให้เห็นสม |
ว่าเดือนนี้สิจะมาสมาคม | สู้ทนตรมไปอิกคราวก็เปล่าไป |
เห็นผิดนัดนานเนิ่นเกินกำหนด | ไปเตือนซ้ำซ้ำปดว่าป่วยไข้ |
ต้องโกรธขึ้งตึงตัดขัดฤไทย | กว่าจะได้สมจิตรเจตนา |
หากกุศลที่ได้ทำนำสนอง | จึงได้ช่องเชยชิดขนิษฐา |
เปนความสัตย์เหมือนหนึ่งวัจนามา | จะเห็นว่าพิศมัยฤๅไม่เอย |
ฯ ๓๐ คำ ฯ
เกี้ยว
๏ โฉมสวรรค์สรรค์ทรงประเสริฐศรี | |
พี่รักคอยแต่ยังน้อยดรุณี | ให้เห็นดีสารพัดจะพึงชม |
ทุกค่ำเช้าเฝ้าพินิจด้วยพิศมัย | เพราะอยู่ใกล้กันกับนางแต่ปางปฐม |
แต่ตรอมใจด้วยมิได้สมาคม | กรรมระดมดลพรากให้จากกัน |
มาไกลนางทุกข์ที่ห่างไม่เห็นภักตร์ | ไหนจะแสนแน่นหนักมโนกระสัน |
คนึงโฉมแล้วค่อยชื่นทุกคืนวัน | เฝ้าใฝ่ฝันว่าได้แนบถนอมนอน |
ฤๅวันใดกลับไปยลวิมลภักตร์ | ยิ่งมากมุ่งความสมัคหมายสมร |
แต่เช่นนี้นี่เปนนิจนิรันดร | ดังเพลิงลามความร้อนนั้นเหลือแรง |
ครั้งพบเจ้าเล่าจะแจ้งว่าจงสวาดิ์ | แต่ขยับแล้วขยาดไม่อาจแถลง |
แม้นปรานีก็จะดีโดยแสดง | ฉวยว่าโกรธสิเหมือนแกล้งประจานตน |
เพราะเท่านี้แลจึงหน่วงเสน่ห์นิ่ง | สุดยากยิ่งสารพัดจะขัดสน |
สู้ห้ามใจก็ไม่ฟังเฝ้ากังวล | ให้ร้อนรนแต่จะลอบประโลมนวล |
จะปฤกษาหาผู้ให้ชูช่วย | ไม่เห็นด้วยจะยิ่งแซ่สนั่นสรวล |
ก็แจ้งจิตรดอกว่าคิดนี้ไม่ควร | แต่ความรักกลแต่กวนให้ก่อการ |
เฝ้าเพียรตรองหาช่องจะชมชื่น | ปัญญาเดียวเคี่ยวขืนจะหมายสมาน |
คิดไม่สมก็ยิ่งแสนแค้นรำคาญ | เปนช้านานแล้วแต่กลั้นที่ความตรอม |
เห็นจะม้วยเสียด้วยโรคที่โศกรัก | จนเผือดภักตร์ผิดรูปเพราะซูบผอม |
ทวีทุกข์ทับถมระงมงอน | สุดจะออมอดกลั้นอยู่ฉันใด |
เห็นสิ้นท่าที่จะหาซึ่งโอกาศ | จึงสามารถเสี่ยงสารมาขานไข |
ทุกคำควรเลือกล้วนที่จริงใจ | ไม่เศกแสร้งสรรใส่พอสมกลอน |
ขอฝากจิตรมาสนิทเสน่ห์น้อง | ขอฝากกรมาตระกองโฉมสมร |
ขอฝากนาสาสูบคันธจร | ขอฝากโอษฐมาชะอ้อนให้เอนดู |
จงปรานีชี้ช่องให้ชื่นชิด | พี่คุ้นเคยดอกอย่าคิดสิ่งอดสู |
สงสารพี่เถิดที่มีกตัญญู | จนสุดรู้ก็ยังรักไม่แรมคลาย |
แม้นขนิษฐ์แนะปฤษณานัด | ที่โหยหาสาหัสจะพลันหาย |
ถึงต้องไภยก็มิได้เสียดายกาย | เพราะเหมือนมาดที่พี่หมายสุมามาลย์ |
จะรีบลอบไปประโลมโฉมชแล่ม | อย่ารื้อริว่าจะแรมภิรมย์สมาน |
จะครองกันไปจนวันทำลายปราณ | ไม่คิดอ่านหาอื่นมาชื่นชม |
ที่ทัดเทียบเปรียบแม่แต่ละอย่าง | จะเปนบ้างก็แต่ที่เคยมีถม |
พออาไศรยใช้สอยการระดม | ไม่นิยมเยี่ยงคู่อันเคียงควร |
ประหนึ่งน้องสิ่งไหนไม่เดียดฉัน | สารพันสมภักตร์ศักดิ์สงวน |
มิตรจิตรขอให้มิตรใจประมวญ | อย่าเรรวนรอนรักให้ราวัน |
ไม่เมตตาก็เหมือนฆ่าชีวิตรพี่ | บาปจะมีตามตอมนะจอมขวัญ |
ถึงสิ้นบุญพี่ในเบื้องปัจจุบัน | คงจะมั่นหมายสวาดิ์ทุกชาติ์เอย |
ฯ ๓๔ คำ ฯ
๏ อนิจาน้อยฤๅใจกระไรสมร | |
ไม่มีเรื่องเคืองขัดถึงตัดรอน | มามึนตึงบึงบอนไม่เบิกบาน |
ซึ่งแรกเริ่มรักกันนั้นไฉน | ยังมิได้ว่ากล่าวให้ร้าวฉาน |
แต่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงน้องมานมนาน | สิ่งสำราญอย่างไรไม่โรยรา |
ไฉนหนอมีข้อเจ้าเคืองคิด | อนาถจิตรน้อยใจพี่หนักหนา |
จะนั่งนอนมิรู้สิ้นที่จินตนา | โอ้สุดาใจด่วนไม่ควรเลย |
ฤๅเจ้าเคืองเรื่องพี่มีมากมิตร | เปนไปบ้างข้างขนิษฐ์ประหนึ่งเฉย |
โดยกระนั้นความสวาดิ์ไม่ขาดเคย | นิจาเอ๋ยเมื่อยังมีไมตรีตรง |
ถึงแปลกปลื้มก็ไม่ลืมเสน่ห์น้อง | หากเจ้าของเคืองคิดเปนพิศม์สง |
ไม่แจ่มภักตร์เยื้อนพจนาจำนง | จะสำคัญมั่นคงว่าใจจาง |
ฤๅอริฤษยามาเสี้ยมสอน | ให้สมรเจ้าหมองอารมณ์หมาง |
จงบอกหน่อยเถิดอย่าน้อยฤไทยนาง | เขาชี้ทางยกโทษพี่ฉันใด |
ชรอยเจ้าหลงเล่ห์เปสุญวาท | ฤๅฉลาดเล็งเห็นเปนไฉน |
จึงหวนจิตรคิดอางขนางใจ | ซึ่งรักใคร่ผูกพันมาพลันคลาย |
ทำเฉยเชือนเหมือนจะชังเสียทั้งชาติ์ | นึกปลาดใจอยู่ไม่รู้หาย |
ถึงพานพบหลบภักตร์ไม่ทักทาย | ลืมละลายคำสัตย์ที่ปัฏิญาณ |
พี่นี้รักลักเรียกประโลมถาม | ขอทราบความที่ตรงนางเจ้าหมางสมาน |
ควรฤๅพรางมิได้แพร่งให้แจ้งการ | เราวิจารณ์ไม่ประจักษ์น้ำใจจริง |
สิ่งไหนชั่วหนอที่ตัวกระทำผิด | สักหน่อยนิดซึ่งไม่สมอารมณ์หญิง |
จึงสุดแสนแค้นคั่งเฝ้าชังชิง | เคราะห์จริงจริงมาประจวบให้จำเปน |
ยิ่งเดือดดาลในกระมลทนเทวศ | เพราะตรองหาสาเหตุไม่เล็งเห็น |
เพียงอุราจะรานร้าวทุกเช้าเย็น | สุชลกระเดนด้วยว่าชายไม่หน่ายชม |
อันน้ำจิตรพิศมัยนั้นใหญ่หลวง | ชำแหละทรวงได้เปนซีกจะเห็นสม |
ไม่เชื่อพี่แล้วมามีแต่โกรธตรม | สักนิดเรื่องเจ้าก็ล่มอาไลยแล |
โอ้ก่อนไรมิได้เคยเลยนะน้อง | ถึงเคืองข้องฉันใดไม่ห่างแห |
นี่จริตผิดสำนวนเห็นปรวนแปร | ตระหนักแน่ว่าเจ้าขาดสวาดิ์กัน |
อนิจาตัดใจได้ง่ายง่าย | ไม่บรรยายข้อหาที่หุนหัน |
เมื่อไม่มีผิดจริงสักสิ่งอัน | เหมือนหักก้านบุษบันไม่ไว้ใย |
กินรินจากถิ่นยังสั่งถ้ำ | ปักษาซ้ำรู้สั่งที่อาไศรย |
พิรุณรู้สั่งฟ้าด้วยอาไลย | แต่น้ำใจเจ้าไม่สั่งพี่บ้างเลย |
มาเด็ดได้ไม่อาไลยที่ในสวาดิ์ | ฤๅสูญสิ้นสันนิวาศนะอกเอ๋ย |
จะล่วงลับไม่กลับคืนมาชื่นเชย | คิดถึงเคยร่วมแท่นแสนเสียดาย |
เสียดายจิตรเจ้าสนิทเสน่ห์พี่ | ไม่น่าที่แรงรักจะหักหาย |
เสียดายองค์แอบอุ่นลมุนกาย | เสียดายโอษฐอภิปรายเสนาะนวล |
ถึงแสนทุกข์ก็บันเทาให้เศร้าสร่าง | เสียดายปรางปรุงพรรณสุคันธ์หวน |
เสียดายเนตรงามเยื้องชำเลืองยวน | เสียดายกระบวนเบี่ยงสบัดสัมผัสกร |
จะโรยร้างห่างรักไม่รั้งคิด | จงพินิจถ้อยคำที่กำศร |
แล้วสอบไล่ใคร่ครวญสำนวนกลอน | แม้นขืนรอนรักร่ำก็จำตาย |
ไม่ปรานีพี่ผู้มุ่งบำรุงขวัญ | จะดึงดันดาลเดือดไม่เหือดหาย |
เหมือนหาญหักเอาด้วยจักรนารายน์กำจาย | กายินทรีย์พี่ให้วายชีวาเอย |
ฯ ๔๐ คำ ฯ
๏ โอ้อาวรณ์สมรมิตรขนิษฐา | |
เพราะประมาทจึงได้คลาศอุราคลา | ทุกทิวาพี่เทวศทวีตรอม |
เคยเคียงภักตร์พิศวาศไสยาศน์แอบ | แม้นยิ่งหนาวเจ้ายิ่งแนบพี่ยิ่งถนอม |
ไม่เดียดฉันเพราะเจ้ามั่นมโนประนอม | ข้างฝ่ายพี่นี้ก็น้อมเสน่ห์นวล |
แม้นยามสรงยามเสพกระยาหาร | พูดพิไรให้สำราญสำรวลสรวล |
ยามสบายก็เคยย้ายกระบวนยวน | โอ้ยามช้ำก็ได้ชวนให้เปรมปรีดิ์ |
จะไปไหนตามติดไม่บิดพริ้ว | อันก้อยน้องคล้องนิ้วขนิษฐ์พี่ |
ไม่ขวยอายว่าเปนชายกับสัตรี | เพราะถ้อยทีต่างรักเหมือนร่วมวงศ์ |
พี่ก็หมายจะใคร่มอบไมตรีมิตร | แต่กีดนิดหนึ่งไม่สมอารมณ์ประสงค์ |
เฝ้ารอรอก็จนเริศนิราศองค์ | เพราะเวรกรรมจำจงให้จำจร |
โอ้จากมาได้แต่ผ้าไว้ต่างภักตร์ | พอบันเทาเศร้ารักที่แรมสมร |
ยามไสยาศน์แผ่พาดอุรานอน | ถึงแสนร้อนก็ไม่ร้างให้ห่างกาย |
ได้เชยชูอยู่แต่ผ้าอุส่าห์สงวน | ยังหอมหวนกลิ่นไอมิใคร่หาย |
โออนาถนึกถึงนุชสุดเสียดาย | น่าตีตนเสียให้ตายด้วยน้อยใจ |
อยู่กับหัดถ์ยังให้พลัดไปพลันห่าง | ถึงตามเพียรก็เห็นพ่างจะตักไษย |
แต่ท่วงทีนั้นยังมีซึ่งเยื่อใย | แสนอาไลยฤๅจะลอบประโลมลอง |
ฉวยพลั้งท่าก็จะพากันเผือดภักตร์ | สงสารศักดิ์สองเราจะเศร้าหมอง |
ทำไฉนหนอจะได้คืนประคอง | อยู่ร่วมเตียงเคียงสองเขนยนอน |
ได้ใครหนอพอจะรับธุระรัก | ช่วยสื่อชักชิดชมภิรมย์สมร |
จะขอบคุณไปทุกวันนิรันดร | ซึ่งดับร้อนโรคเรื้ออุราเรา |
ความกระสันแสนโศกในทรวงพี่ | โอ้ครั้งนี้ประหนึ่งเนื่องเรื่องอิเหนา |
เสน่ห์นุชบุษบาไม่บางเบา | ซ้ำได้ต้องน้องท้าวเมื่อเสี่ยงเทียน |
ครั้นนางเสร็จไหว้พระต้องจำพราก | ถึงตัวจากกันก็ได้สไบเปลี่ยน |
มานานหน่อยค่อยคิดสนิทเนียน | ทำพากเพียรเผาเมืองแล้วลักมา |
แต่ตัวพี่ไร้ผู้จะคู่คิด | เหมือนน้ำท่วมปากปิดไม่อาจอ้า |
ครั้นจะแจ้งแพร่งพรายหลายหูตา | สงสารหน้าขนิษฐ์น้อยจะพลอยอาย |
แต่เรรวนป่วนรักนี้หนักหนา | ยิ่งนานมาก็ยิ่งภูลประมูลหมาย |
แกล้งลืมเลยเฉยขังหวังให้คลาย | ก็มิฟังขืนฟายสุชลตรอง |
ไม่เห็นใครจะให้มอบไมตรีสมาน | จะพึ่งได้ก็เพียงสารนุสนธิ์สนอง |
จึงประมวญสวาดิ์หมายลงลายจำลอง | มาแอบอ้อนวอนน้องด้วยน้ำนวล |
แม้นชอบผิดคิดหน้ากันหน่อยเหนอ | เอนดูพี่นะอย่าเพ่อทำหุนหวน |
แต่หลังนั้นฉันใดจงใคร่ครวญ | ให้รอบคอบสอบสวนกับสารา |
ซึ่งโอหังบังคับนี้รับผิด | ตามแต่จิตรจะประสงค์ที่โทษา |
แม้นสิ้นโกรธโปรดกลับนับภักตรา | เหมือนช่วยชีพพอให้ช้าซึ่งวันวาย |
หนึ่งข้อคิดเกรงคาวจะกล่าวกลุ้ม | พี่เห็นพอห่อหุ้มให้ห่างหาย |
ใช่จะหลอกล่อเล่นให้เปนลาย | ขอมอบกายมอบจิตรสนิทนาน |
ทั้งชั่วนี้ชั่วน่าอย่ารู้หน่าย | จะเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร |
แม้นเกิดไหนขอให้พบสบสำราญ | ให้สมการสมภักตร์ที่เพียงกัน |
หนึ่งพี่ขอข้อไหนแม้นแหนงถ้อย | อย่านิ่งน้อยใจรังเกียจเดียดฉัน |
จงชี้แจงมาให้แจ้งสิ่งสำคัญ | จะนับวันคอยสดับคดีเอย |
ฯ ๔๐ คำ ฯ
๏ งามสงวนควรคิดคำนึงถึง | |
จะพิศไหนก็วิไลยลานตลึง | ใครยลนางอย่างประหนึ่งให้เร่งรัก |
ศรีสวัสดิ์แต่พี่ทัศนาสมร | อาวรณ์เวียนวิตกเพียงอกหัก |
ด้วยโฉมน้องต้องไนยเนตรนัก | เจตนาสามิภักดิ์ไม่เคลื่อนคลาย |
แต่สถานที่สถิตย์ขนิษฐนาฏ | อันหน้าไหนจะไปมาดพิมานหมาย |
เช่นมนุษย์นี้เห็นสุดกรตะกาย | โอ้อกตนกับกระต่ายเห็นต้องกัน |
ศศิธรนี้บ่ห่อนเสน่ห์นึก | ก่นแต่คึกคิดแค่นแสนกระสัน |
ไม่เว้นว่างวายรักเลยสักวัน | อันตัวเจ้าเปรียบจันทร์ไม่เห็นใจ |
ถวิลหวังจะใคร่สั่งสื่อกระซิบ | แล้วขยั้นครั้นเขาหยิบก็โทษใหญ่ |
ทั้งจะพาภักตร์น้องให้หมองไป | ทั้งเกรงไภยด้วยมิควรจะลวนลาม |
ไหนจะเจ็บที่ใครแจ้งจะแกล้งสรวล | ไม่คู่ควรจะมาให้ผู้ใดหยาม |
ครั้นจะงดง่ายง่ายเสียดายงาม | ใจเปนสองตรองความลังเลใจ |
ไปหาผู้รู้วิชาสามัญเพศ | ให้ชี้เหตุว่าเปนเคราะห์จำเภาะไฉน |
เคราะห์เดือนปีนั้นก็ดีทุกสิ่งไป | เคราะห์ด้วยรักหนักในพนิดา |
เมื่อวันพบสบภักตร์ก็จวนค่ำ | ได้แต่เนตรให้ช่วยนำเสนหา |
แทนขันหมากเหมือนพี่มั่นต่อกัลยา | พอให้แจ้งกิจาที่จำนง |
แล้วคะเนในจริตขนิษฐา | เหมือนจะปรานีสมอารมณ์ประสงค์ |
ยิ่งปีติดังหนึ่งกรได้ช้อนองค์ | ด้วยสำคัญคิดว่าคงประจักษ์ใจ |
เมื่อปะกันน้องอัญชลีพี่ | ด้วยภักดียิ้มแย้มแจ่มใส |
จะเอื้อนอรรถออกมั่งก็นั่งไกล | ทั้งมากหน้าข้าไทยต้องจำจน |
ครั้นขวัญตาลากลับไปลับภักตร์ | อกจะหักเสียไม่รู้กี่ร้อยหน |
สู้ฝ่าฝืนยืนตรงดำรงสกนธ์ | มานอนทนทุกข์แทบทำลายกาย |
ความสวาดิ์ที่หวังยังไม่เห็น | ว่าจะเปนเสร็จสมอารมณ์หมาย |
จะนิ่งไว้ไหนก็ตนไม่พ้นตาย | จึงนิพันธ์บรรยายไปตามบุญ |
ด้วยโรครักหนักใจในครั้งนี้ | อันตัวพี่สิ้นสุดผู้อุดหนุน |
ยังเห็นแต่ขนิษฐาจะการุญ | จึงกล่าวสุนทรคดีมาชี้แจง |
ใช่จะแต่งลิ้นลมมาหลอกหลอน | เอาสิ่งสัตย์เปนอักษรมาแจ้งแถลง |
เชิญสมรรับสมานสารแสดง | อย่างหน่วงแหนงถ้อยเท็จทำสเทิน |
ประการใดในลักษณ์จำลองสนอง | แม้นขัดข้องแล้วอย่าหมางระคางเขิน |
พิศมัยอยู่เสมอจะเผลอเพลิน | ถ้าเหลือเกินก็จงให้อไภยเอย |
ฯ ๓๐ คำ ฯ
๏ ได้สดับกิติศัพท์เขาแซ่สรวล | |
หน่วงมโนมิได้แหนงอนงค์นวล | ไม่เห็นข้อที่ควรจะเคืองใจ |
เขายิ่งแย้มให้ได้ยินไม่สิ้นสุด | เอ๊ะนี่นุชจะสลัดความสัตย์ไฉน |
สืบสังเกตไปก็จริงทุกสิ่งไป | ทั้งปลาดอยู่ที่ในจริตนาง |
แจ้งถนัดโทมนัศทวีนัก | เสียแรงรักหนอขนิษฐ์ช่างคิดขนาง |
แกล้งกลบคาวกล่าวคำอำพราง | สำนวนสำเนาเข้าอย่างเหมือนกากี |
ไม่รู้เช่นว่าจะเปนดังนี้หนอ | น่าหัวร่อนี่กะไรช่างใส่สี |
รู้สึกตัวกลัวผิดคิดไม่ดี | จึงทำทีทอดสนิทเปนชิดชม |
พูดเฉยภักตร์รักพี่นั้นที่สุด | สัพยอกหยอกยุดให้เห็นสม |
ฉอเลาะลอดกอดเกี้ยวเข้าเกลียวกลม | จะได้งมอยู่ว่ารักเชลยใจ |
ก็สมคิดเชื่อนางเจ้าช่างเกลื่อน | หากผู้อื่นเขาเอื้อนจึงสงไสย |
อนิจาจิตรนางช่างกะไร | ไม่เกรงกรรมทำได้หนอบังอร |
กระนั้นสิเจ้าจึงหน่ายเสน่ห์พี่ | ทำท่วงทีแชเชือนไม่เหมือนก่อน |
เราหักห้ามตามประสายังอาวรณ์ | แต่สมรเจ้าไม่ฟังกำลังมัว |
เสียแรงเราหมายมุ่งบำรุงสวาดิ์ | ไม่รู้เช่นเลยว่าชาติ์เปนคนชั่ว |
ละเลิงเหลิงจิตรกล้าชล่าตัว | จนเห็นทั่วสุดแต่ที่ใครมีตา |
เสียดายสัตย์ที่ได้ปัฏิญาณไว้ | เมื่อเนาในร่วมห้องเสนหา |
เสียดายภักตร์เหมือนเอารักชโลมทา | เสียดายทรงโสภามาหมองมอม |
ดังมะเดื่อแดงดีด้วยสีสด | ใครไม่รู้ก็ว่ารศคงหวานหอม |
ข้างในมีแมลงหวี่มาเวียนตอม | ต่อสุกงอมจึงได้ทราบว่าสาธารณ์ |
เสียดายนามแลตระกูลประยูรยศ | จะปรากฎไม่รู้สิ้นเอาวสาน |
สัตรีชั่วมิได้กลัวนรกานต์ | จึงริอ่านด้วยประมาทบังอาจองค์ |
นี่แน่นางในแผ่นดินไม่สิ้นหญ้า | ประหนึ่งเจ้าเราพอหาสมประสงค์ |
ทุจริตจิตรใจไม่ซื่อตรง | โดยทนงโอหังลำพังตน |
ไม่สมัคแล้วไม่รักพยาบาท | จะอนุญาตแลกส่วนกุศลผล |
เทพทั่วสามภพจบสกล | เชิญช่วยยลเปนพยานให้แม่นยำ |
อันนางนี้นี่เสน่ห์ถนอมไว้ | เมื่อป่วยไข้ได้เปนที่อุปถัมภ์ |
บัดนี้มีผู้รักมาชักนำ | จะหลั่งน้ำษิโณทกอุทิศทาน |
ซึ่งบริจาคนุชนางนี้อย่างยิ่ง | จงเสร็จสิ่งสรรพกิจพิศถาน |
อนึ่งจงเปนปัจจัยไปนิพพาน | ให้สมวจีปณิธานเราเถิดเอย |
ฯ ๓๐ คำ ฯ
ภ้อ
๏ โอ้รำพึงก็ไม่ผิดที่คิดหมาย | |
ชะกะไรใจหญิงยิ่งกว่าชาย | เล่นอุบายล้วนเอาแบบเปนแยบยนต์ |
เราเชื่อใจมิได้แจ้งน้ำจิตรเจ้า | เฝ้าสั่งแล้วสอนเล่าสักร้อยหน |
เหมือนหนึ่งสอนท่อนไม้มิใช่คน | ค่ำลงบ่นกันเหมือนบ้าทั้งตาปี |
เห็นโกรธใหญ่ให้สัญญานึกน่าเชื่อ | ครั้นเช้าเบื่อไม่ทันบ่ายก็หน่ายหนี |
ผิดสังเกตเห็นว่าเหตุจะพึงมี | ทำเช่นนี้อยู่เปนนิจน่าอัศจรรย์ |
ได้ตำราไหนมาเรียนแนบเนียนนัก | ฤๅใครใช้ให้ใครชักจึงเหหัน |
ฟังลมเขามาทำขึงดื้อดึงดัน | ที่พูดกันไว้เปนแน่ก็แปรแปลง |
นี่แน่นางเชื่อไหนก็ให้สนิท | เจ้าปลงจิตรให้เปนหนึ่งอย่าพึงแหนง |
มิใช่เล็กไม่รู้เท่าจึงเฝ้าแคลง | แม้นตรองจริงก็จะแจ้งประจักษ์ใจ |
ขอให้บอกออกเนื้อความอย่าขามคิด | จะปกปิดอ้ำอึ้งไปถึงไหน |
ทำจะเยื้อนแล้วขยักกระอักกระไอ | แบ่งเปนไนยให้เรานึกสำเนาเดา |
ลางเวลาก็เห็นหล่อนหย่อนลงให้ | ครั้นไปไปก็กลับพลิกเอาอิกเล่า |
จะทำโพยโดยอำนาจดูลาดเลา | เครื่องจะเศร้าใจทั้งสองไม่ต้องการ |
เราก็ได้ใคร่ครวญใช่หวนหุน | หวังให้คุ้นเคยภักตร์สมัคสมาน |
จะร่ำไปก็เหมือนแกล้งแสร้งประจาน | ความรำคาญศับอกอยู่อัตรา |
ข้อที่งามความที่ดีก็มีมั่ง | ข้อที่แฝงแกล้งไม่ฟังก็หนักหนา |
บุญก็ทำกรรมก็สร้างทุกเวลา | อันคุณโทษนั้นเห็นท่าไม่เท่าเทียม |
สิ่งนั้นดีสิ่งนี้ชั่วก็รู้ชัด | แต่หากขัดใจระคายเพราะอายเหนียม |
จะเข้าชิดคิดตระหนี่กระดี้กระเดียม | แสร้งสงบซบเสงี่ยมจนเกินงาม |
ทีเพื่อนเล่นกันออกร่าเจียวหนาน้อง | ดูทำนองเห็นเรานิ่งก็ยิ่งหยาม |
แกล้งหลอกล้อล่อให้ฤไทยลาม | สิ่งไหนห้ามก็ยิ่งหาเอามาทำ |
กำลังเพลินเดินไปพบแล้วหลบภักตร์ | วิ่งไม่ทันขันนักนั่งหน้าคว่ำ |
สำรวมเคร่งเหมือนท่านขรัวที่กลัวกรรม | จะกล่าวคำก็ค่อยค่อยอยู่ในคอ |
ไม่รู้เท่าฤๅเขาแดกจึงขืนดื้อ | ชะช่างซื่อเสียทุกสิ่งเจียวจริงหนอ |
ทำหูตึงขึงตัวเหมือนหัวตอ | แกล้งลองล้อก็ไม่เหลียวมาแลดู |
เพียรจนตายก็ไม่ต้องในตาชอบ | ถึงปล้ำปลอบไปก็เปล่าไม่เข้าหู |
เพราะรู้เช่นเห็นชัดเปนศัตรู | แต่จนอยู่จำมาสมาคม |
เสียไม่ได้กลัวจะด่าต้องหน้าด้าน | ทำปากหวานแก้ไขแต่ใจขม |
ช่างลวงล่อให้เราหลงปลงอารมณ์ | สนิทสนมมิได้แหนงแคลงมโน |
จริงนะเชื่อไม่รู้เชิงเจ้าชัดชัด | เห็นให้สัตย์กันสดสดหมดโทโส |
กินลูกยอของน้องจนท้องโร | เห็นยิ่งโง่แล้วกะไรมิให้เงย |
ที่เราบอกออกบั้งคอยสังกัด | สารพัดเปนมุสานิจาเอ๋ย |
ช่างฉลาดกะไรล้นไปจนเลย | พี่ก็เคยเลี้ยงรักมานักนาง |
ไม่เช้าช้ำค่ำชื่นอยู่เช่นนี้ | พูดกันทีหนึ่งก็สิ้นราคินขนาง |
ไม่เหมือนเจ้าใจแขงแต่แกล้งพราง | กลัวไม่หายอายไม่ห่างเลยจริงจริง |
ชรอยเทพธิดาลงมาเกิด | มิเสียทีที่กำเนิดเปนนางหญิง |
เห็นหน้าชายแล้วให้ตั้งแต่ชังชิง | ขยับวิ่งหวาดผวาไปท่าเดียว |
ขัดอยู่นิดคิดอยู่หน่อยอยู่ในสำนัก | ต้องข่มขืนฝืนภักตร์ได้เพียงประเดี๋ยว |
ความรำคาญนั่งนานดูหน้าเซียว | แต่พอเหลียวก็ค่อยเลี่ยงเบี่ยงให้บัง |
ทีจะไปใจร้อนไม่รอช้า | ทีจะมาอ้อยสร้อยท้อถอยหลัง |
ไถลเลื่อนเชือนช้าละล้าละลัง | เที่ยวแวะนั่งเสียพอให้น้ำใจเย็น |
มาหาเราเปรียบเหมือนเข้ามาติดคุก | ระทมทุกข์คับแค้นนั้นแสนเข็ญ |
ไหนจะใช้เหนื่อยน่าน้ำตากระเดน | ยิ่งกว่าเปนทาษีมีค่าตัว |
สงสารนักนฤมลมาทนทุกข์ | แม้นมีศุขอยู่มั่งจะยังชั่ว |
นี่เฝ้าโกรธร่ำไปจึงไม่กลัว | แกล้งเลยยั่วเสียให้ใหญ่สาใจเธอ |
ดูตึงตังคลั่งเล่นเหมือนเช่นบ้า | แม้นต่อว่าหลอกให้ว่าใจเผลอ |
ช่างเปนไรไยมิงานทยานทะเยอ | รำพรรณเพ้อไปไม่เหนื่อยก็แล้วไป |
จริงดอกเจ้าเฝ้าแต่ว่าเพราะหวังรัก | เจ้าเกลียดนักก็เพราะกรรมจะทำไฉน |
ไม่รู้แห่งบนบานประการใด | เปนขัดสนจนใจจริงจริงเจียว |
โอ้หยาบหน่อยมิได้เหน็บให้เจ็บจิตร | นี่เนื้อนิดมิได้ทำให้ช้ำเขียว |
สู้ถนอมรักนางนั้นอย่างเดียว | พูดก็เหมือนแก้เกี้ยวโกหกกัน |
ใจเราถือซื่อสัตย์สุจริต | มิได้คิดพาทีใส่สีสัน |
เจ้าอิกรับแล้วยังเลี่ยงไม่เที่ยงธรรม์ | เพราะสำคัญหลายอย่างแต่พรางเรา |
บอกเท่าไรว่าให้เจ้าเอาจริงแจ้ง | นิ่งเสียแกล้งผัดเจ้าล่อพอรู้เท่า |
ทำเรียบร้อยหน่อยแล้วเรื่อยทำเฉื่อยเอา | เห็นว่าเจ้านี้จะบวชพี่เอาบุญ |
เสียแรงหวังฝังฝากไมตรียืด | มาจำจืดจากกันเพราะหันหุน |
ซึ่งเจ้าแสร้งแกล้งว่ายังการุญ | พี่ขอบคุณแต่เห็นขันพันทวี |
ด้วยวิ่งซุนซุกซ่อนกันซึ่งซึ่ง | ทำเหมือนหนึ่งตัวเราเปนเจ้าหนี้ |
ฤๅเกลียดอายขายหน้าจงพาที | ไม่ข่มขี่ขัดคอดอกหนอนาง |
พี่ก็รู้ดอกว่ารูปไม่สะสวย | ไม่สมด้วยโฉมเจ้าจึงเฝ้าหมาง |
ขอว่าหน่อยนะอย่าคอยเคืองระคาง | ไยมิสางสืบสวนจึงด่วนมา |
เออฉุกจิตรคิดรำคาญเมื่อปานนี้ | กลับเปนพรหมจารีได้อิกฤๅหนา |
ฤๅเสียให้เพียงเท่านั้นกันนินทา | จะอยากหย่าลองอยู่ดูลอยลอย |
ไม่มีลูกมีผัวทำตัวเปล่า | ขี้เกียจเฝ้าให้ผู้ใดมาใช้สอย |
ใครไม่บ่นหงุดหงิดตะบิดตะบอย | เปนหม้ายหน่อยหนึ่งไม่เน่าสิ่งไหนไป |
ไม่สมนึกเช่นนั้นฤๅขวัญเนตร | จึงเปนเหตุไม่รู้จบสงบได้ |
ทุกวันนี้คิดอ่านประการใด | ที่จะให้สมจิตรเจ้าคิดปอง |
แต่เห็นอยู่ว่าเจ้ายังกำลังสาว | ถึงอยู่ไหนก็ไม่หนาวอย่านึกหมอง |
เมื่อไรเล่าเจ้าตรึกจะสมตรอง | เอนดูน้องจะได้ซาที่อาวรณ์ |
แต่เดี๋ยวนี้นี่เจ้ายังไม่หวังได้ | ต้องจำใจจำดีด้วยพี่ก่อน |
ไม่ควรด่วนเด็ดสวาดิ์ให้ขาดรอน | เพราะยังนอนแนบสนิทพี่ชิดชม |
เราก็แจ้งว่าน้ำใจไม่สมัค | ข่มเหงหักข่มขู่ให้สู่สม |
เรียกมาใกล้กิริยาระอาระอม | ผ้านุ่งห่มเห็นแต่ชั่งระวังเวียน |
ทั้งเส้นสายสารพัดจะขัดแขง | บิดเบือนแบ่งเกียจกันทำหันเหียน |
สงบหงอยม่อยหมอบเจียนละเมียน | กลัวจะเฆี่ยนฤๅจะฆ่าหน้าตาตึง |
จะต่อเนตรก็ไม่นานรำคาญเนตร | แสนสมเพชที่ไม่พูดช่างบูดบึ้ง |
เฝ้าตรอมใจอะไรจริงนิ่งตลึง | ฤๅรำพึงภาวนารักษาตัว |
จนถามไถ่ก็มิใคร่จะตอบถ้อย | แกล้งทำขันก็ไม่ค่อยจะยิ้มหัว |
แต่แรกรักหักจิตรไม่คิดกลัว | เห็นจักรหลอกเปนดอกบัวก็เร่อมา |
ครั้นเห็นชัดสิเมื่อพลัดเข้าติดติ้ง | จะถอนทิ้งก็ไม่ขาดเหมือนปราถนา |
ซังตายต้องแสร้งศุขทุกเวลา | เห็นใจชัดสนัดหน้าครั้งนี้จริง |
จะพูดภ้อต่อไปไม่ได้แล้ว | โอ้น้องแก้วตั้งแต่นี้พี่จะนิ่ง |
จนคำน้อยก็ไม่ล่วงไปท้วงติง | จงหาศุขเถิดทุกสิ่งให้สมใจ |
เจ้าก็ลั่นวาจาให้ปรากฎ | ไม่อาไลยในรศพิศมัย |
เปนสูญสิ้นชิ้นเชื้อเยื่อใย | ก็แล้วไปแต่พอแจ้งจะได้จำ |
ทีหลังต้องก็จะร้องให้คนช่วย | เข็ดจนม้วยแล้วไม่เสือกเถลือกถลำ |
พี่จะช่วยสอนให้จงไปทำ | เทอุทกหกคว่ำคะนนลง |
พิศถานเสียให้พ้นที่ทนทุกข์ | ที่ไหนศุขก็ให้สมอารมณ์ประสงค์ |
เปนอันขาดชาติ์น่าอย่าจำนง | เสน่ห์ปลงชายชั่วเช่นตัวเรา |
อโหสิต่อกันเสียวันนี้ | อย่าให้มีเลยนะโทษที่โกรธเจ้า |
เอนดูด้วยเถิดจงช่วยให้บาปเบา | ได้เคี่ยวเข็นเย็นเช้ามานานนม |
พี่เข็ดหลาบแล้วต้องลาหล่อนทั้งรัก | เจ็บใจนักนึกไว้นั้นไม่สม |
สิ้นปัญญาที่จะขืนยืนนิยม | สิ้นทั้งลมปากพี่เท่านี้เอย |
ฯ ๙๔ คำ ฯ
๏ มิเสียทีมีตาได้มาเห็น | |
น่าสำรวลสรวลสันต์ให้ฟันกระเด็น | จะชี้เช่นเทียบเท่าที่เมามัว |
ท่านทั้งหลายฟังเล่าอย่าเนานิ่ง | ช่วยบรรยายชายหญิงให้รู้ทั่ว |
โกกิลาอาจองทนงตัว | ยกหัวเทียมหงษ์อหังการ |
ก็มารยาตรชาติ์หงษ์นี้เห็นง่าย | อันการ้ายปลอมหงษ์คงวิถาร |
ถึงดูรูปจะไม่แจ้งไม่แกล้งประจาน | แต่สันดานมิได้สูญตระกูลกา |
หากไม่รู้ก็เฝ้าชูศิโรเลิศ | ระเห็จระเหิดเกินสันนิวาศา |
เข้าแข่งเคียงเรียงราชเหมรา | ทำปีกหางกางก๋าพาลลำพอง |
อิกไส้เดือนเกลื่อนพื้นสุธาถม | มันนิยมรูปตัวมัวจองหอง |
เที่ยวเพ่นพ่านอวดงามตามทำนอง | ใครได้ยลก็สยองโลมาเกรียว |
ยิ่งไว้ตนจะใคร่รณอุรุคราช | เพราะคนพบหลบประลาศไม่แลเหลียว |
นึกเปนหนึ่งว่าเขากลัวตัวจริงเจียว | กำเริบเรี่ยวแรงทำไม่รำพึง |
ยังคางคกยกตนคำรนร้อง | สุนีคนองหมายไม่ลั่นสนั่นถึง |
ก็คั้นคอเข่นเขี้ยวเคี้ยวคางอึง | ให้หูตึงเสียทั้งโลกระย่อยอม |
เหมือนมฤคนึกนิยมว่าสมเล่ห์ | ด้วยเห็นเสือโซเซทุพลผอม |
ประมาทใจมิได้ขามเที่ยวตามตอม | แล้วลับเขาจะเข้าซ้อมฝีมือดู |
อย่างวิฬาร์ตามืดไม่มองเห็น | สนุกจริงวิ่งเล่นเถิดหนอหนู |
ระริกแร่จากรังออกพรั่งพรู | เข้ามาดูขันหมัดจะกัดแมว |
หนึ่งสีหราชมีอำนาจที่สุรเสียง | ไกรเกรียงสุธานั้นกล้าแกล้ว |
พิฦกเลิศกายาสง่าแล้ว | สถิตย์ที่ถ้ำแก้วประกอบวงศ์ |
เช่นสุนักข์มักขม้ำที่ต่ำเย่า | สเออะเห่าหอนสู้เสียงประสงค์ |
แล้วแยกเขี้ยวขู่คำรามตามจำนง | สถุลพงศ์มิได้ยั้งกำลังพาล |
ดังหิ่งห้อยน้อยนึกทนงนัก | ไม่เจียมภักตร์เพียงชาติ์เดียรฉาน |
มีแววนิดติดก้นอหังการ | บินทยานส่องสู้ศศิธร |
ถึงน้อยแสงคงจะแข่งไปโดยแค่น | เพราะสุดแสนฤษยาประสาหนอน |
จันทร์กระจ่างอยู่ยังพ่างทิฆัมพร | หิ่งห้อยว่อนไปเที่ยววามตามลำภู |
หนึ่งสังคีตดีดสีตีเป่า | พร้อมกันเข้าไพเราะห์เสนาะหู |
จักรจั่นเรไรมิได้รู้ | ด้วยฟังดูเสียงดังก็หวังใจ |
ระแร่ร้องเลือนลั่นสนั่นป่า | ว่าเพราะกว่าดนตรีปี่ไฉน |
ดิรฉานปัญญานั้นพาไป | อุปไมยเหมือนปลวกพวกพาลา |
จะทำรังหมายกระทั่งเทวโลก | ให้โตรจโตรกดังสิเนรุภูผา |
เฝ้าแกะกัดปัถพีทวีมา | อหังกาเกิดเกินสกุลเอย |
ฯ ๓๒ คำ ฯ