เพลงยาว
๏ แถลงปางให้พระน้องจำทูลถวาย | |
การุญจิตรปิ้มชีวิตรจะวางวาย | หากเสียดายอยู่ด้วยรักจึ่งหักเพียร |
จึงได้ดำรงคงชีพนับขวบมา | ด้วยยาเกร็ดรักษากันตามพาเหียร |
ครั้งหนึ่งโรคกำเริบร้ายประหนึ่งเจียน | เจ็บยิ่งเสี้ยนศรแล่งอุรารอน |
จึงตั้งจิตรต่อด้วยพรหมวิหาร | กับสัตยาธิฐานบุพเพก่อน |
เข้าตาจนก็ต้องทนโอ้อาวรณ์ | แต่จงมาดหมายสมรไม่วางเลย |
เดชะสัตย์จึงบำบัดประทังโรค | แต่แรงโศกนั้นไม่สร่างนะน้องเอ๋ย |
จึงกลับเพียรสวาดิ์หวังยังก่อนเคย | กริ่งจะเฉยอยู่จึงถ่อมน้ำใจเจียม |
แต่น้ำใจเฉลิมใจยิ่งเพิ่มสวาดิ์ | ใช่จะอาจล่อลิ้นประลองเลียม |
แล้วเห็นควรใช่จะลวนประเทียบเทียม | ใจเสงี่ยมดอกนะแม่อย่าถือใจ |
บุพเพถึงจำเภาะจึงพระน้องพี่ | จึงปรานีรับประกันชอ้อนไห้ |
ควรฤๅยังไม่สิ้นแคลงฤๅแหนงใจ | จนอ้างไททิพโสตรเปนพยาน |
ฉะนั้นแล้วยังไม่เชื่อจะไต่สวน | ประมวญชาติ์น้องให้เนิ่นวันสมาน |
จะอ้างใครเล่าที่ในสุธาธาร | ใช่ว่าการนั้นประเจิดต้องจำจน |
ตำแหน่งเนาติกาหรังแม่หวังสถิตย์ | แม้นมีฤทธิ์เถิดจะลิ่วโพยมหน |
จำเภาะพักตร์ให้สิ้นแคลงแจ้งยุบล | นี้ถือคนสอบสื่อนั้นพานคลาย |
นำคดีถี่ถ้อยชายพล้ำพลาด | จึงต้องร่างกลอนสวาดิ์ให้นำถวาย |
หนึ่งที่โรคประมาณปีนั้นค่อยคลาย | เห็นจะหายก็เพราะยาที่การุญ |
แต่จะวางโอสถห่างนั้นไม่ได้ | กลัวว่าไข้กลับกำเริบสิจักวุ่น |
ยานี้ชอบโรคแล้วแม่หวังบุญ | เถิดที่คุณจักสนองไม่ลืมจำ |
อันว่าแพทย์พยาบาลมาก่อนมาก | ไม่หวังฝากชีวิตรได้ให้อุปถัมภ์ |
ทีนี้แหละชรอยคงจะสิ้นกรรม | ดังเทพนำโอสถทิพมาทาทรวง |
จะหวังแสดงให้แจ้งในอุระบ้าง | ถึงคราวเมื่อเหินแหห่างก็ยังหวง |
ไม่ว่างเว้นที่จะมุ่งภักดีดวง | สิบเจ็ดปีมิได้ล่วงทิวาวัน |
แม้นคราวแม่ระทมทุกข์พี่ทุกข์ด้วย | ปิ้มประหนึ่งจะรานม้วยช่วยแซกกระสัน |
แม้นยามศุขร่วมศุขเสมอกัน | แต่ศุขเมื่อขวัญลอยลิ่วแลเรียมตรอม |
ครั้งนี้แม่อย่าแหให้ห่างทุเรศ | เอนดูเนตรเถิดจงรับภักดีถนอม |
ถึงแม้จะปิดศิวาไลยฤไทยออม | ไม่รักเปนจอมวิเชียรเท่าเช่นเพราพราย |
อยู่เอองค์เกลือกสุริยงค์จะจงสมร | จะทนร้อนได้ฤๅแสงพระสุริฉาย |
พอใช้ขวัญมาชวนขวัญขอเชิญสบาย | ศุขกายตาไหนจะสู้ศุขใจเจิม |
อภัยน้องเถิดมิใช่จะแกล้งว่า | เพราะเมตตาหวังจะไว้เปนจอมเฉลิม |
ทุกวันเห็นมีแต่หมองมาพ้องเติม | เออก็เดิมสิเคยเด่นเหมือนเพ็ญจันทร์ |
มากลับเปนกาฬปักษ์พยับทั่ว | เพราะไกลกลัวร้อนแรงพระสุริฉัน |
พี่ตรอมด้วยช่วยแสนจาบัลย์ครัน | เพราะรักบุหลันกริ่งจะดับไปกับเดือน |
อันสุนทรกลอนประจงจำนงหัดถ์ | ใช่จะดัดประลองเล่นเช่นลิ้นเลื่อน |
เอนดูพี่อย่าหน่ายหนีเสน่ห์เบือน | ขอมอบขวัญไว้เปนเพื่อนพยายาม |
ขอมอบชีพมอบรักภักดีด้วย | แม้นน้องม้วยจะยอมม้วยด้วยในสนาม |
แม้นคราวยากจะสู้ยากลำบากตาม | เหมือนหนึ่งร่วมอุทรสามทั้งนายประกัน |
จะพรรณนาที่มาดมาสิบเจ็ดปี | ก็สุดที่จะแสดงแจ้งข้อกระสัน |
ถึงจะต้องใส่พ้อมสักสองพัน | อันแรงรักนั้นก็เหลือเปนความจริง |
ต่อยามสามจึงพอว่างได้ร่างเรื่อง | จนเนตรเคืองกลางวันเฝือการหลายสิ่ง |
ชำระทุกข์ราษฎรอุทธรณ์ประวิง | ทั้งการช่างเล่าไม่นิ่งต้องดูทำ |
ไหนจะเฝ้าธุลีบาทสามเวลา | ทั้งดำริห์การค้าเวลาค่ำ |
เพราะผู้เดียวเปลี่ยวโอ้ใจระยำ | ทั้งการบ้านเล่าก็ทำด้วยจำเปน |
เพราะไม่มีคู่หวังต้องเหนื่อยนัก | จะหมายภักตร์พึ่งใครไม่แลเห็น |
จะดับทุกข์ได้แต่น้องช่วยผ่อนเย็น | ยังจะเอ็นดูบ้างฤๅว่าฉันใด |
โอ้ปานนี้นุชพี่ของเรียมเอ๋ย | ยังเสบยฤๅแม่จะเปนไฉน |
จะบรรธมแต่ผู้เดียวเปลี่ยวฤไทย | ฤๅมิตรใจชวนใจให้จาบัลย์ |
ใครจะอยู่เพื่อนพระน้องสนองพลอด | ใจพี่เร่งใจลอดไปโลมขวัญ |
ถึงทางใกล้จนใจดั่งไกลกัน | ยิ่งกระสันทอดทุ่มบรรจฐรณ์ครวญ |
ขอพระน้องนายประกันจงนำชอบ | ประกอบถวายอย่าให้เคืองฤทัยหวล |
สิ่งใดแคลงระแวงข้อขอประทวน | ใช่จะลวนเหมือนหนึ่งเช่นเล่นกลอนพาล |
ครั้นจะร่างแต่เปนเรื่องอักษรศัพท์ | ฟังดูเล่าก็ไม่จับกรรณสมาน |
แม้นผิดพลั้งสิ่งใดข้อให้การ | จงประทานอดโทษเสียเถิดเอย ฯ |
ฯ ๕๔ คำ ฯ
๏ อัญขยมประนมฟังพระนุชสมาน | |
รับนุสรจากกนิษฐวินิจนาน | อุระปานทิพรศสุหร่ายพราย |
ให้เย็นซาบโสตะประสาทชื่น | ชุลีคืนหัตถ์ผันภิวันท์ถวาย |
เสนาะคำแต่ล้วนขันออกบรรยาย | หวังละลายโศกสร่างสำอางเงา |
ขอบพระคุณกรุณาปรานีภักตร์ | พระเดชหนักกว่าจอมสุเมรุเขา |
ประทังทุกข์ขุกเวทนาเนา | ค่อนบันเทาข้อวิตกแต่อกตรอม |
ประมาณเหมือนเดือนฤดูกาฬปักษ์ | จะวางกายหมายภักตร์ไม่ควรถนอม |
โปรดเพียงพึ่งบารมินทร์นรินทร์จอม | ขอพระเกียรติปกกระหม่อมแต่พอเย็น |
เมตตาตรึกรฦกตรองให้ช่องโชค | ช่วยปะโศกสุดที่ดับระงับเข็ญ |
จะมิผอมมอมหน้าน้ำตากระเดน | ยามเมื่อเอนดูจิตรล้วนคิดควร |
กำหนดนับพยายามความเทวศ | สดับนองชลเนตรแล้วกลับสรวล |
สิบเจ็ดปีมีแต่ทุกข์ทับประมวญ | ระทมทวนแท้จริงทุกสิ่งโทม |
ก็ย่อมทราบยุบลบ้างแต่ปางหลัง | แม้นสมหวังไหนจะนึกรฦกโฉม |
เมื่อแผลเสี้ยนเบียนระบอมมาซอมโซม | ฟังก็โสมนัศชื่นแล้วคืนจิน |
ตนามุ่งสมหวังจะยังชั่ว | นี่เกลือกกลั้ววาสนาไม่พาผิน |
นุญาตร่วมทุกข์ระทมนิยมยิน | ยามเมื่อกินระกำขวัญนั้นแลลอย |
เพราะไม่มีที่พำนักจะพักพึ่ง | อย่ายกเรื่องเลยให้รึงแรงลห้อย |
ใช่ฝ่ากายใฝ่สูงพยูงค้อย | คราวบุญน้อยก็ต้องช้ำระกำตรอง |
ดังดวงแขแลยามวสันต์แสง | ถึงยามแจ่มแจ้งก็คงชื่อนั้นฦๅหมอง |
ไหนจะส่างกระจ่างสีราคีประคอง | ฝ่าลอองเชิญวินิจฉัยในราวความ |
ดวงอุทัยไขแสงภาณุมาศ | เรืองสอาดส่องภพทวีปสาม |
จะมัวสีก็เพราะมีมลทินตาม | เสียดายงามเคยรุ่งอรุณเรือง |
ฝ่ายบุญน้อยก็จะช้ำระยำยาก | ทุพลพากเผือดสีฉวีเหลือง |
เพราะหลงงมชมหวานนานจะเคือง | ใครจะเปลื้องปลดเศร้าบันเทาเท |
นี่ใจจริงสิ่งสนองฉลองตรัส | เปนความสัตย์ใช่จะทวนให้หวนเห |
จะว่าเลี้ยวลดลมคารมเร | หน่วงคะเนไต่สวนไม่ควรคือ |
ไหนจะหมองกายังทั้งเสียสิ้น | จะเชิดชื่อปัถพินว่าหลงถือ |
หมายจิรังแล้วจะยังแต่นามฦๅ | เขาจะรื้อเย้ยหยันสิครันงาม |
แต่จะตรึงรึงรุมเทวศครัน | กระหม่อมฉันฤๅจะเอื้อมออกสนาม |
เชิญที่มุ่งก่อนสมรเสมอนาม | ใช่จะลามเพิดภ้อต่อแสดง |
นื้โดยจริงจึงประมาณสารสวัสดิ์ | ครั้นไม่ทูลประหนึ่งขัดบัญชาแถลง |
ด้วยเจียมตัวกลัวผิดคิดระแวง | มิให้แหนงนี้เปนน่านิจาจริง |
ว่าไม่มีที่หวังประทังทุกข์ | สงสารโศกช่างไม่ศุขแต่สักสิ่ง |
ก็สุดชื่นแต่จะเชื่อเหลือประวิง | เลือกล้วนพริ้งพร่ำว่าให้พาใจ |
ที่อวยโอษฐโปรดน้อมมนัศนับ | จะร่วมคัพภาพงศ์ยังสงสัย |
พระวาจังหวังแต่จริงไม่กริ่งใจ | คำนี้ไว้หว่างศิโรโมฬีชม |
เห็นจะมั่นฤๅประกันในสรรพเสร็จ | มาถึงไทโดยเสด็จสรวมประสม |
ประทานโทษโปรดข้ออุทธรณ์ลม | ลิขิตคมคำเล่นไม่เป็นการ |
อันเสาวรศพจน์น้อยเหมือนเจ้าของ | กรประคองวันทามาในสาร |
จงปรานีอย่าให้มีราคีพาน | แล้วแช่ชุบชลธารเสียเถิดเอย |
ฯ ๔๐ คำ ฯ
ชาย
๏ นอนคนึงถึงพระนุชกำสรดเสวย | |
จุมพิตภักตร์ต่างภักตร์ตระกองเชย | ยอกรเกยก่ายนลาตรัญจวนครัน |
เสียวสวาดิ์ดังกรรมชวาตจะรอนจิตร | ปิ้มจะปลิดชีพิตรเด็ดด้วยแรงกระสัน |
นี่หากได้สวมบุหงายาดมทัน | พอประกันแก้ไว้บันเทาคลาย |
จึงหยิบเอาสารประจงออกคลี่อ่าน | รศถ้อยคำสมานยิ่งเตือนกระหาย |
ผิดระเบียบฝีหัดถ์ไม่พริ้มพราย | ดั่งช่างชายกลวาดอักขรา |
แล้วเอาสำเนามาบรรทับอุระครวญ | ยิ่งรัญจวนร้อนเร่าลห้อยหา |
พอผู้นำกลอนสนองพระน้องมา | แจ้งว่ายุบลตอบก็ขอบคำ |
จึงรับมาแตระผนึกประจำแก้ | ถุงแพรจัดดัดประจงจำนงขำ |
มิทันอ่านที่ในสารพระนุชทำ | เสน่ห์นำก็ยิ่งเพิ่มเติมทวี |
จึงพินิจที่ในกลอนสมรมิ่ง | เสนาะจริงมิใช่แสร้งสรรใส่สี |
ถึงนาเรศที่เปรมปราชญ์ชาติ์กวี | จะดีกว่ามธุรศแม่สักเพียงไร |
รศถ้อยน้อยฤๅฉ่ำดังน้ำทิพย์ | มายกหยิบร้อนโศกจนเสื่อมได้ |
พี่หวังจิตรคิดจะฝากชีวาไลย | ด้วยน้ำใจมิตรภาพเปนความจริง |
แต่ไยไฉนในสุนทรที่กลอนอ้าง | ยังระคางระวางแหนงอยู่หลายสิ่ง |
ครั้นจะแคะแกะข้อต่อประวิง | เหมือนหนึ่งยิ่งร้อนจิตรให้หมองมัว |
จะขอยุดแต่สิ่งสัตย์อันสุจริต | กับมิตรจิตรแลจะปลิดราคินกลั้ว |
กับแรงรักแลจะไว้เปนเพื่อนตัว | ต่อเสร็จชั่วศิวโมกข์แลวายปอง |
ขอเชิญแม่จงเจือใจอาไลยบ้าง | ขจัดหมางดับโศกวิโยคหมอง |
ยุบลหลังซึ่งว่าทราบนั้นดานคะนอง | ครั้นเมื่อต้องจำจนจึงจำเปน |
พอแก้ใจมิได้ไว้สวนเสร็จซ้อม | คำต่อคำแลนำน้อมเหมือนว่าเล่น |
ไม่นานนักแล้วก็รักสร่างกระเดน | ไหนจะเช่นที่มาดมาแรมปี |
หนึ่งว่าเชิญให้ไปมุ่งที่ก่อนเสมอ | เออเออผิดไปแล้วน้องแก้วพี่ |
ซึ่งถ่ายจิตรนี้แลก่อนอักษรมี | ก็ต้องที่จะได้เดินประเชิญพยาน |
ไม่นำมากแล้วไม่ยากต้องไต่สวน | จะอ้างประมวญแต่พระน้องสองสมาน |
ถ้าสืบสมเหมือนหนึ่งคำพี่ให้การ | แม้นในก่อนอย่ารอนสารเลยจำยอม |
โอ้พระนุชจงเห็นใจในพี่บ้าง | เด็ดระคางอย่าให้เผือดฉวีผอม |
โดยสุจริตอื่นไม่คิดประสงค์จอม | ถึงใครจะน้อมดอกฟ้ามาใส่มือ |
ก็ไม่ประสงค์ด้วยสัตย์จงแต่ตรงนี้ | นับขวบปีมิได้วายจะหมายถือ |
จะมาดถนอมไว้เปนจอมหทัยฦๅ | จะไว้ชื่อน่อยหนึ่งรักที่เพียรมา |
เมื่อครั้งน้องอยู่กลางกองสุเมรุมาศ | แลสุดอาจที่จะเจาะชำเราะผา |
ถึงกระนั้นก็ไม่สิ้นที่จินตนา | หมายอยู่ว่าถ้ากุศลจนวันวาย |
จะดับขันธ์ปัจจุบันในชาตินี้ | แม้นบุญมีอนาคตคงสมหมาย |
ช่างกะไรจะให้ป่วยภักดีกาย | ฤๅจึงทลายแคะข้อประวิงความ |
แต่สุริเยศยังประเวศอาไลยโลก | แรงวิโยคจะให้ดับฤๅใคร่ถาม |
ถึงจันทร์ส่องแสงศรีฉวีงาม | เมื่อยามจะแรมร้างราษราตรี |
ยังรู้อาไลยที่ในดวงดาราก่อน | นี่ไยสมรน้องจะไม่อาไลยพี่ |
ถึงมัจฉาเจียวยังหวงห้วงวารี | เมื่อยามแล้งจะร้างที่ลงวังวน |
แต่มยุราที่มีคู่ถนอมขวัญ | แล้วยังกระสันถึงเมฆฤดูฝน |
จะไม่ถนอมเสน่ห์บ้างก็ท่าจน | เหมือนเด็ดก้านอุบลเยื่อไม่ไว้ใย |
แม้นเปนกระนี้จะต้องปรานีทรวงเทวศ | จะตวงน้ำชลเนตรไว้ที่ไหน |
จะหาขวดยักกัตตราสักสิบใบ | ได้สู้ใส่ไว้เปนบรรณาการ |
ไฉนน้องจะให้น้ำเนตรฤๅ | จึงยังถือฤทัยแหนงระแวงสมาน |
ไม่หน่วงรักหักข้อราคินพาล | เลยอันสิ้นสาธารณ์มีธรรมดา |
แม้นชอบกันแล้วก็ยกว่ากันดี | แม้นชังกันใส่สีเศกสรรว่า |
ก็เปนวิไสยโลกธรรมย่อมมีมา | ถึงเทวาสุรเทพสุราไลย |
คำดำเนียนคือใครไหนจะพ้น | แต่ลมฝนหนาวร้อนยังค่อนได้ |
นี่แน่น้องแม่อย่าหมองกมลใน | ปลงแต่ใจเถิดที่ใจการุญกัน |
ซึ่งยังแหนงคำจำนงจงรวมครรภ | เอนดูนับน่อยน้องอย่าเคืองฉัน |
ใช่อุทธรณ์ลมล่อต่อผูกพัน | ล้วนสัตย์มั่นสิ่งซื่อทุกคำกลอน |
ขอขนิษฐ์นายประกันเสนอด้วย | แล้วหมั่นช่วยเพ็ดทูลอย่าสูญสอน |
ทิวาวันแม่อย่าเว้นชอ้อนวอน | จงชี้แจงสารสุนทรอุราตรม |
แม้นจะขัดเคืองในพระน้องบ้าง | กนิษฐ์นุชพี่อย่างห่างระคางขม |
อันโกรธเกรี้ยวสักประเดี๋ยวก็ลิ่วลม | เหตุประถมทั้งนี้เพราะพี่เอย |
ฯ ๕๔ คำ ฯ
หญิง
๏ อัญชุลิตกฤษฎางค์ในทางกระแส | |
กันไกรแตระแกะตราที่ประแจ | วิไลยแลเลขาสง่าองค์ |
ดังสุพรรณบัตรแบ่งแห่งตรีเนตร | ใช้วิศณุเรศระเห็จหงษ์ |
ลอยโพยมโลมโลกครรไลลง | ละลานทรงสุนทรสนองของเทวินทร์ |
ชรอยบุญหนุนวาศนาเหลือ | บุพเพเพื่อพอประสบพบโกสินทร์ |
เข้าขัดทัพรับรั้งนัครินทร์ | บรรดาสิ้นก็ไม่สมคเนปอง |
เปนกุศลคนในมหัยฤทธิ์ | ปลิดชีพิตรลอยลงบรรจงสนอง |
เอางานรับชีพดูชูประคอง | วางไว้ต้องมั่นหัดถ์จะพลัดกร |
ด้วยเปนมนุษย์สุดนิยมมาชมสวรรค์ | จึงรำพรรณทูลแต่จริงสิ่งนุสร |
ไม่โปรดห้ามความแหนงระแวงกลอน | ก็เปนอ่อนอกโอ้ระกำอำ |
เมื่อสารพัดจัดเจาะจำเภาะเจ็ด | ครั้นจับเหตุเห็นว่าพบประสบขำ |
กลับป้วนเปี้ยนเวียนบิดพนิตคำ | ก็ตามเถิดแต่ทำไม่ทูลเลย |
ประทานโทษโปรดที่เกินมาสอบถาม | ต้องตัดตามรับสั่งดังเฉลย |
สอนประทานคำบ้างไว้วางเคย | นิจาเอ๋ยจะให้อายแต่ฝ่ายเดียว |
นี้ฤๅว่าปรานีที่ตรงไหน | เมื่อปัถมัยรองเนื้อนั้นเหลือเขียว |
อันราคินนั้นไม่สิ้นในใจเจียว | จะให้เหนี่ยวหน่วงไหนลงใบยอม |
แม้นบริสุทธิ์ดุจหลังครั้งถ่ายจิตร | ไม่เคลือบแคลงแต่สักนิดจะนอบถนอม |
ถึงมิชั่วก็เหมือนช้ำด้วยคำมอม | นี้แลจอมสุดที่จนฉงนใจ |
การุญจิตรมิตรภาพประมาณแม้น | กว่าโกฏิ์แสนสิ้นสุดอสงไขย |
มายลยากแต่จะฝากชีวาไลย | ฉวยรับไว้ปะที่ขำสิจำเปน |
นานจะแชแก้ขัดสลัดช่อง | ว่าคำต่อคำน้องกำเดาะเล่น |
ยังจะเหมือนเชือนชักหักกระเดน | ก็จะเช่นรายหลังระวังความ |
อันสุริยันต์จันทรอาวรณ์จิตร | ใช่เชิงชิดปรีชาอย่ามาถาม |
ถึงดาเรศมยุรามัจฉายาม | นิยมตามภาษาอาไลยกัน |
วิไสยเขาใหญ่จึงเอามาทอนถาก | นี่ใครพรากคู่ถนอมให้ตรอมขวัญ |
ดูก็น่าสงสารรำคาญครัน | สุดจะกลั้นโศกาช่วยอาดูร |
นี่แน่คุณที่การุญภักดีน้อง | วานพี่รองชลไนยอย่าให้สูญ |
ปานนี้ท่วมบรรจ์ฐรณ์ฟูยี่ภู่ภูล | พี่ช่วยทูลทัดท่าหาขวดรอง |
แต่สิบใบนี้จะใส่ไว้พอฤๅ | เอนดูซื้ออิกสักห้าหกสิบสนอง |
คราวเมื่อโศกครั้งไรก็ได้รอง | ฟังคนองนี่เพราะเสนาะปาน |
ดุริยางค์สังคีตดีดสีสังข์ | แตรฝรั่งดนตรีปี่ประสาน |
เหมือนเตือนขวัญให้หวั่นเทวศนาน | น้อยฤๅหวานรศเจือจนเหลือฟัง |
แต่นี้เข็ญเช่นก่อนจะหย่อนทุกข์ | เกษมศุขสบที่โง่ก็งมหวัง |
ดูระดมดานสดับคับอุรัง | จนกระทั่งลั่นฆ้องแต่น้องเคียง |
อันเดิมตีนี้ระฆังในวัดพระแก้ว | พี่หวาดแว่วว่าจะเปนเช่นสองเสียง |
ไก่กระพือปีกขันสนั่นเวียง | ส่งสำเนียงเร้าเร่งดาเรศแรง |
วินิจดาวคราวเมื่อดึกเด่นระดาษ | ดูอนาถจวนรุ่งก็โรยแสง |
วิตกเช่นเห็นประกายพฤกษ์แปลง | ถึงยามแจ้งแล้วจะโอ้แต่อกรัว |
นี่นุชสุดสายสมรพี่ | อย่าถือดีเข้ามาแก้แม่ทูลหัว |
แม่ยังเยาว์เบาจิตรไม่คิดกลัว | ถ้าพี่มัวจะไม่หมองฤๅน้องชม |
มิฟังพี่แล้วจะตีจริงนะเจ้า | อะไรเฝ้าเซ้าซี้ทีประสม |
นิจายาหยีน้อยจะลอยลม | ไปบรรธมให้สำราญวานอย่าวอน |
แน่ดูทำจำบีบสุชลไหล | เดี๋ยวนี้ก็หยิกดวงใจนี่ใครสอน |
ช่างจู้จี้จริงจริงไม่นิ่งนอน | ถ้าขืนอ้อนแล้วจะตีให้หนีเอย |
ฯ ๔๔ คำ ฯ
ชาย
๏ สิ้นเวลาราชกิจบรมบาท | |
ระทวยองค์ลงกับที่ศรีไสยาศน์ | เหนื่อยอนาถอกโอ้คนึงครวญ |
จึงคลี่อ่านสารสนองพระน้องพี่ | ดาลฤดีเร่าเร้าฤไทยหวน |
โสตรเสนาะเพราะถ้อยคดีทวน | เร่งรัญจวนหนักเทวศด้วยแรงไกล |
จะพรับเนตรติดเนตรพินิจโฉม | ตริตระโบมศรตระโบมใคร่พิศมัย |
กำสรดโศกยิ่งวิโยคเศร้าฤไทย | ดังสายใจจะว่ายเมฆไปเทียมประธม |
สักราตรีมิได้มีเสียงสิ่งเกษม | ที่เคยเปรมก็กลายกลับระทมขม |
ยิ่งรื่นรศรวยกลิ่นมาเลศดม | รื้อนิยมยั่วเย้าเหมือนเร้าเตือน |
สุดกระหายแล้วทุกคราวระบายปัศสาส | บรรดาสวาดิ์อื่นไม่มีที่สิ่งเหมือน |
จะได้แก้เทวศบ้างพอสร่างเบือน | บคลายเคลื่อนบางถวิลสักอึดใจ |
จนบรรจฐรณ์ที่เคยอ่อนเอี่ยมสอาด | ก็อนาถสวาดิ์ร้อนไม่นอนได้ |
บันเทาบ้างจะได้สร่างกมลใน | ก็เพราะสุคนธวิไลยสุหร่ายโปรย |
ได้เชยบ้างก็แต่วงประวิชสอง | ต่างภํกตร์น้องพอได้คลายกระหายโหย |
ข้อประวิงเหมือนหนึ่งยิ่งให้ดาลโดย | ไม่ควรโกยเอาถนิมมานอมมวล |
แม้นรับรักเสียอย่าผลักดวงจิตรถ่าย | ในระคายจะเจือกลั้วให้กำสรวญ |
ครั้งนั้นกรรมปถัมภ์ให้จึงแปรปรวน | นิยมควรสนองแล้วอย่าหน่วงนาน |
ซึ่งยังหมองสองเสียงระฆังวัด | พระศรีรัตนศาสดาสถาน |
ถึงจะทุ่มหนักเบาก็บันดาล | ส่งกังวานเสนาะลั่นไม่พลิกแพลง |
แต่แรกหล่อมาก็นานจนปานนี้ | สิบเจ็ดปีตีเปนนิจไม่ผิดกระแสง |
แล้วเด่นเดียวอนาถโอ้อยู่กลางแปลง | มิใช่จะแข่งเปลี่ยนเสียงเช่นวัดระฆัง |
ถึงจะระดมพร้อมตีทีละห้า | โดยสัญญาจะให้เปนเสียงเดียวมั่ง |
ก็เอาเถิดสำเนียงแปร่งไม่อยากฟัง | บ้างก็ดังเหง่งหงั่งไม่ยั่งยืน |
อันระฆังวัดพระแก้วนี้แล้วแม่ | ถึงวาดแหว่ก็ไม่แชเปนเสียงอื่น |
เสมือนเบญจระฆังที่เกลียวกลืน | สำเนียงชื่นผลดอกเปลือกรากใบ |
หนึ่งว่างานรับชีพจะพลัดหัดถ์ | เปนความสัจจึงมุ่งไม่หมายไหน |
พร้อมทั้งจิตรวาจาแลน้ำใจ | มิใช่เล่นลิ้นล่อลวงประโลม |
ยามใดราตรินจรัสแสง | ฤดูแล้งกาฬปักษ์จึงเด่นโฉม |
รดื่นดาษอากาศทั่วโพยม | นี้แลโสมนัศนึกมาเนานาน |
อันข้อเคืองที่จะเปลื้องวิตกน้อง | แม่อย่าหมองเลยนะแม่ใช่แก่นสาร |
ประลองเล่นโดยลำพองคนองพาล | เพราะว่าการควรหวังไม่สมคิด |
อกุศลดลดวงหทัยน้อง | ให้ขัดข้องมิได้ปลงจำนงจิตร |
จนแสนยากปิ้มประหนึ่งจะม้วยมิด | เหมือนเฉาชายหมายปลิดดาเรศเรือง |
ครั้งเผด็จอยู่ในห้องนภาแผ้ว | สุดจะเหินเห็จแล้วจนผอมเหลือง |
ถึงกะไรแต่พอศึกมาต่างเมือง | จะได้เปลื้องอุบายสู้สงครามชิง |
แม้นทหารถึงจะน้อยกว่าร้อยเท่า | อย่าดูเบาเลยไม่พรั่นแต่สักสิ่ง |
จำพิไชยสงครามได้ชำนิจริง | เหมือนกลอนพริ้งคล่องแคล่วไม่ดาดเลย |
แต่ครั้งนั้นจนใจนะน้องพี่ | เหมือนวนว่ายวารีนะน้องเอ๋ย |
ปะสวะก็ต้องพะปะทะเกย | บางเสบยพอได้ผ่อนกระหายโรย |
ใช่จะยึดอยู่ทีเดียวนั้นหาไม่ | ที่จริงใจจงพระนุชแลสุดโหย |
เหมือนฝั่งไกลสุดจะว่ายกระเดือกโดย | ครั้งนี้เห็นลมโชยจึงพ่วงแพ |
หมายจิตรเพียรคิดจะข้ามสมุท | ก็ฦกสุดถ่อหยั่งไม่ถึงกระแส |
จึงถ่อเลียบแสวงตื้นไม่ล่องแล | มิรู้แร่ค้างโขดอยู่โดดเดียว |
เมื่อสิ้นกรรมกุศลนำปถัมภก | เหมือนฝนตกเปี่ยมโอฆชลาเชี่ยว |
อุบัติดลท่วมจนอากาศเจียว | กระนั้นแล้วดาวไม่เหลียวให้ชมดวง |
น้อยฤๅยากพี่พาแพระเห็จฟ้า | จึงได้สมชมดาราจำรัสช่วง |
ยังกังขาอยู่อิกว่าจะหลอนลวง | จงตัดห่วงเราให้สิ้นทั้งสองตรอม |
จะได้เกษมเพราะบุญเพรงปถัมภ์แท้ | ไยนะแม่จะมาดริบให้เผือดผอม |
กัมพุชประเภทใช่เหตุจะเจื่อนจอม | ขอแม่น้อมตัดถ้อยอย่าถือจริง |
แม้นนานไปใครไม่รู้เห็นสมุท | จะถือรุดตามแม่กล่าวสิ้นทุกสิ่ง |
ก็จะพากันได้บาปเพราะประวิง | สมุทใหญ่นี้ชอบทิ้งเสียเถิดเอย |
ฯ ๕๐ คำ ฯ
๏ เนื้อลมุนแอบอุ่นอุราพี่ | บรรธมเถิดภคินีแม่เฉิดโฉม |
พี่จะถนอมกล่อมรศจำเรียงระโบม | เชิญแม่โสมนัศสดับสุนทรฟัง |
จะเริ่มปางแต่เมื่อครั้งแรกถ่ายจิตร | จนแม่สถิตย์มาเนาที่ติกาหรัง |
แล้วเผด็จรับน้องประเวศวัง | จงสมหวังดังที่ประสงค์เอย |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เชิญขวัญขวัญเมืองแม่ไสยาศน์ | ลอออาศน์เขาแต่งไว้บรรจงถวาย |
พี่จะเทียมบรรธมน้องประคองกาย | มิให้สายสมรแม่พี่เอองค์ |
กว่าจะดับสูญสิ้นชีพิตรพี่ | ไม่หน่ายหนีเด็ดรักหักประสงค์ |
แต่ล้วนสัตย์แม่จงจำนะคำคง | เสมือนลงแผ่นสุวรรณบัตรเอย |
ฯ ๔ คำ ฯ