ปกีระณำพจนาดถ์
ข้าพระพุทธเจ้าพระยาศรีสุนทรโวหาร คิดคำกลอนเรื่องนี้เรียกชื่อว่าปกีระณำพจนาดถ์ คือ เทียบแบบสอนในคำใช้ต่างๆ ว่าเรี่ยรายไป เพื่อไว้สำหรับนักเรียนในโรงเรียนหลวง จะได้อ่านเล่าจำต้นข้อต่อลำดับในแบบสอนให้แม่นยำชำนาญ ได้ทูลเกล้า ฯ ถวายแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าดำรัสสั่งให้พระเจ้าราชวรวงษ์เธอ กรมขุนบดินทรไพศาลโสภณลงพิมพ์ที่โรงพิมพ์หลวง ในพระบรมมหาราชวัง ๑๐๐๐ ฉบับ ตีเสร็จ ณวันศุกร เดือนหก แรมสิบเอ็ดค่ำ ปีเถาะเอกศก ๑๒๔๑
๏ คำ คิดประดิดเค้า | ขันขัน |
กลอน กล่าวเลาเลศพันธ์ | พาดพ้อง |
สอน แจกแผนกปัน | เปนหมวด |
เด็ก นักเรียนอย่าร้อง | ว่าแกล้งเกณฑ์สอน ๚ |
๏ คำกลอนสอนเด็กได้ | ดูจำ |
ไวพจน์สังเขปคำ | คิดไว้ |
นามเรียกปกีระณำ | พจนาดถ์ แลนา |
เพียรคิดเพียรคัดให้ | เด็กรู้ราวรบิล ๚ |
๏ พระศรีสุนทระสร้อย | โวหาร |
คิดคะติเบาราณ | เรื่องนี้ |
เปนฉบับอักษรสาร | สอนเด็ก |
เฉกเช่นชูมือชี้ | ช่องให้เห็นทาง ๚ |
๏ จะเริ่มริเกลากลอนสุนทรแถลง | |
นิพนธ์พจน์บทแยบแบบแสดง | จะแจ้งแจงคำใช้ไว้เปนเลา |
สำหรับเด็กนักเรียนได้เขียนหัด | พอจำกัดทางโทษที่โฉดเขลา |
จักเจริญเรื่องรู้อย่าดูเบา | ดีกว่าเดาโดนคลำแต่ลำพัง |
จะคิดคัดคำใช้ไว้เปนอย่าง | คำต่างต่างเติมติดคิดต่อตั้ง |
พอเปนเครื่องเตือนใจระไวระวัง | แม้นเขียนพลั้งเสียศักดิ์ภูมนักเรียน |
คำที่ใช้ไว้วางต่างต่างเลศ | ล้วนส่อเหตุใช่จะว่าเปนพาเหียร |
อาไศรยแยบแบบมคธบทจำเนียร | เปนที่อ้างอย่างเขียนให้ถูกคำ |
ลางวาจาเล่าก็มาแต่พากย์อื่น | มีดาษดื่นตื้นฦกสุขุมขำ |
ถ้าแม้นไม่ศึกษาอุสาหจำ | ก็จะคลำคลุมโปงตะโพงดัน |
(๑) ตัวสกดกานกานสารนุสนธิ์ | โดยยุบลหกอักษรจงผ่อนผัน |
คือ ญ ณ น ร ล ฬ ปัน | เปนส่วนกันใช้แปลกแยกตามความ |
ตัว ญ ใหญ่ใช้ตามมะคะธะ | กาญจนะแปลว่าทองของสยาม |
ท่านเจ้าเมืองกาญจน์บูรีผู้มีนาม | แหวนนี้งามล้วนแล้วแก้วแกมกาญจน์ |
ขุนนางกรมช่างทองท่านรังสฤษดิ์ | พระกาญจนานุกิจนามขนาน |
ที่สกดณอใหญ่ใช้ว่ากาณ | นี่คำขานแต่มคธบทบาฬี |
ท่านแปลว่าตามืดเสียจักษุ | รู้ให้ปรุโปร่งบ่อนอักษรศรี |
ถึงคำไทยจะไม่ใช้ก็ตามที | รู้ไว้ดีกว่าไม่รู้เปนผู้เรียน |
กานสกดนอเล็กเด็กเด็กเอ๋ย | เห็นแต่เคยคำไทยได้ใช้เขียน |
กิ่งไม้ประระราญกานให้เตียน | อุสาห์เพียรบ่นเล่าให้เข้าใจ |
การสกดตัวรอนี้ข้อขำ | แปลว่าทำงานการบรรหารไข |
อันสุดแท้แต่ว่าทำการใดใด | คงต้องใช้รอสกดหมดทุกคำ |
ข้าราชการ๑ขาดราชกิจ | ราชการหมั่นพินิจอย่าให้ถลำ |
ถูกเกณฑ์ก่อปราการด้านประจำ | จดถ้อยคำทุกประการสารคดี |
คนพิการเห็นอาการพานจะผิด | ปริษการให้เปนสิทธิ์แก่ฤาษี |
ตระลาการทุกทุกศาลตระการมี | คำเหล่านี้รอสกดบทว่าการ |
ลอสกดบทกาลบรรหารเหตุ | จงสังเกตคำใช้ที่ไขขาน |
คือเวลาแลปีเดือนประมาณ | กับที่ท่านจัดเปนวันปันเปนยาม |
นาฬิกาทุ่มโมงบาตนาที | วินาทีที่ใช้ในสยาม |
จนถึงปราณแลอัปศรนับผ่อนตาม | ลงในความคำว่ากาลสฐานเดียว |
ปีน่าปีนี้อิกปีก่อน | หนึ่งคำผ่อนว่าสักครู่สักประเดี๋ยว |
ก็เรียกกาลเช่นกันฉะนั้นเจียว | ยังลดเลี้ยวมาถึงความสามฤดู |
คือน่าร้อนน่าหนาวแลคราวฝน | ที่ชุ่มชลไปจนแล้งแห้งทุกผลู |
น่าตรุศสารทปายาศอีกยาคู | ทั้งเช้าตรู่เที่ยงสายแลบ่ายเย็น |
ของเหล่านี้นับว่ากาลทุกสิ่งสรรพ์ | พวกคืนวันชักมาว่าให้เห็น |
กาลซึ่งมีหมวดใหญ่ในประเด็น | ท่านจัดเปนส่วนอดีตอนาคต |
ประจุบันบรรจบครบเปนสาม | จัดโดยความทุกสฐานว่ากาลหมด |
อันปีเดือนวันที่ล่วงไม่เหลือลด | นั้นกำหนดว่าอะดีตะกาลมี |
กาลที่ยังคงเปนเห็นชัดชัด | ท่านแบ่งจัดเปนประจุบันนี่ |
ส่วนฃ้างน่ายังไม่มาท่านพาที | ว่าเดือนปีเปนอนาคตะกาล |
อายุสัตว์อิกอายุสาศนา | ก็เรียกว่ากาละโดยโวหาร |
ที่สำหรับนับใช้ในประมาณ | พุทธสาศนกาลล่วงแลยัง |
หนึ่งแผ่นดินโดยนับลำดับกระษัตริย์ | ถวัลย์รัชเดือนปีเปนที่ตั้ง |
ที่เรียกว่ารัชกาลแต่ปฐะมัง | ตลอดทั้งสองสามตามนุกรม |
พระสงฆ์อยู่พรรษกาลจำวรรษา | ท่านใช้มาในบาฬีก็มีถม |
เวลากาลโวหารหากนิยม | ลอประสมเข้ากับกาใช้ว่ากาล |
คำกาฬะฬอใหญ่ใช้สกด | มีตัวบทแบบใช้ไม่วิดถาร |
เดือนข้างแรมไม่สู้แจ่มชัชวาลย์ | ใช้ว่ากาฬปักษ์ดำที่คล้ำมัว |
องค์นารายน์ทรงสุบรรณนามขนาน | ว่าพระทรงถนิมกาฬรู้กันทั่ว |
มหาเมฆมหากาฬบันดาลกลัว | สกดตัวฬอใหญ่ใช้กันมา |
กาฬตัวนี้ศรีดำคำมคธ | มีกำหนดใช้เห็นเช่นดังว่า |
กานนิยมสาธกหกวาจา | จงอุสาห์จำให้แน่อย่าแปรเปร |
ในเวลาเมื่อจะเขียนต้องเพียรคิด | ให้ตระหนักแน่แก่จิตรอย่าไขว้เขว |
ถ้าจับพลัดจับพลาดคาดคะเน | จะซวดเซเช่นอย่างหลักที่ปักเลน |
แม้นประชุมสวนสอบจะตอบโต้ | เขาจะโห่เย้ยฉาวเช่นกราวเฃน |
ตัวไม่อาจโต้เถียงต้องเอียงเอน | เพราะไม่เจนจิตรดำรงคงแก่เรียน |
(๒) อันที่พึ่งน้ำผึ้งทั้งสองพจน์ | ต้องกำหนดที่ในการจะอ่านเขียน |
อย่าให้คละปะปนคิดวนเวียน | ถ้าจะเขียนที่พึ่งใช่ตัวพอ |
ไม่ต้องตริไม่ต้องตรึกไปฦกซึ้ง | เขียนน้ำผึ้งรวงผึ้งใช้ตัวผอ |
(๓) คำอยู่อย่าอยากอย่างนั้นนำออ | เอาตัวหอนำก็ได้แต่ไม่ดี |
ดูขัดตาหาเหมือนนำออไม่ | เพราะเช่นใช้มีมากเปนสากษี |
(๔) คำเสียงยาวเสียงสั้นนั้นก็มี | ดังวาทีมือเท้าท้าวพระยา |
ช่างเขาเบิกเงินตราไปห้าชั่ง | กระทะตั้งเคี่ยวกาวยาวเลขา |
เกาที่คันคำสั้นโดยสัญญา | ก้าวบาทาเก้าย่างถึงทางตรง |
ยวนเขาว่าท่านจะมาหาองทั่น | คำกระชั้นคำยาวกล่าวประสงค์ |
ที่ท่ามกลางหว่างถ้ำคีรีวง | ใช้ให้คงคำคู่ดูคะดี |
เชากับชาวเปลี่ยนแปลนแทนกันได้ | เห็นท่านใช้คำเหมือนไม่เคลื่อนที่ |
เช่นคำว่าโปรดเกล้าเชาบุรี | ถึงขวบปีชาวต่างประเทศมา |
อีกคำพูดพวกเราเชาวน์ไม่แล่น | นี่แคะแค่นเอามคธภาษา |
มาพูดใช้ไขขานครั้นนานมา | คนเจรจาแพร่หลายกลายเปนไทย |
เดากับดาวคู่นี้ก็มีชัด | ควรจะจัดยาวสั้นออกขานไข |
คนเขลาเขลามักจะเดาตะบึงไป | ตำราดาวนี้ของใครเอาไว้ดู |
(๕) อนึ่งว่าผู้ชายคล้ายผู้หญิง | คนรู้จริงคงแก่เรียนเขียนว่าผู้ |
แต่คนอ่านก็คงอ่านขานว่าภู | ถึงกระนั้นก็จงรู้ว่าผู้โท |
(๖) คำถ้าท่าหน้าน่าเหมือนว่าเล่น | ข้าเจ้าเห็นใช้เปรอะเลอะอะโข |
ด้วยความที่ควรเอกไปใช้โท | เพราะมัวโม่หไม่สังเกตซึ่งเหตุการ |
อันถ้าโทใช้ที่บริกัป | คำสำหรับเขียนใช้จะไขฃาน |
ถ้ามีใครไปมาก็ช้านาน | ถ้าพบพานแล้วจะทำให้หนำใจ |
ตัวท่าเอกออกสยามภาษา | เหมือนคอยท่าอยู่ที่ท่าชลาไหล |
ขุนนางฝ่ายกรมท่าว่ากะไร | ลครในรำช้าช้าเปนท่าทาง |
อันหน้าโทใช้ที่มีชีวิตร | คือลิขิตหน้ามนุษยสัตวทุกอย่าง |
หน้าหนุ่มสาวรื่นรวยสวยสำอาง | พระยาช้างหน้าผึ่งผึ่งถึงจะดี |
น่าบันน่าบ้านทั้งน่าโบถ | ยาวถึงโยชน์น่าเมืองรุ่งเรืองศรี |
อีกน่าหนาวน่าร้อนผ่อนทวี | เขียนน่าเอกใช้ที่ไม่มีใจ |
(๗) คำว่าบังแลบางอีกบั้งบ้าง | ความก็ต่างจงวิจารณ์จะขานไข |
เหมือนบังแทรกบังสุริโยไทย | ชักเชือกไขม่านมิดให้ปิดบัง |
หนึ่งคำว่าหนาบางอีกบางพลัด | บ้านบางช้างบางโควัดถัดบางขัง |
บางลัดกรูดบ้านบางพูดเหนือบางพัง | อย่าเขียนบังผิดเสียงสำเนียงบาง |
คำว่าบ้างแลบั้งจงชั่งจิตร | นึกวินิจเขียนให้ชัดอย่าขัดขวาง |
ดาบกระบี่บั้งทองของจางวาง | พวกขุนนางขัดกระบี่บั้งเงินงาม |
คนอ้วนเหลือล่ำเนื้อเปนบั้งบั้ง | เอาขึ้นชั่งน้ำหนักอย่าพักถาม |
เอามีดบั้งให้เปนแผลแล้วแล่ตาม | บั้งนี้ความเปนรัศสะอย่าละเลย |
หนึ่งว่าบ้างไว้บ้างเถิดนางสุด | ข้าก็อุตริบ้างพูดเฉยเฉย |
บ้างก็เรียกทักทายพิปรายเปรย | บ้างก็เงยบ้างก็ก้มบ้างล้มตึง |
เองไปขุดไข่เต่าให้เราบ้าง | ที่มันกว้างบ้างก็ไล่ไปไม่ถึง |
บ้างตะโกนกู่ก้องบ้างร้องอึง | บ้างถลึ้งบ้างก็โลดโดดไปพลาง |
(๘) คำว่าเป่าแลว่าป่าวคราวจะเขียน | ถ้าผิดเพี้ยนตัวไม่ชัดก็ขัดขวาง |
เปนยาวสั้นสรรว่าในท่าทาง | จะจัดวางคำใช้ไว้ให้ดู |
เหมือนลงยันต์ลงเลขแล้วเศกเป่า | มันเปนเด็กรู้ไม่เท่าต้องเป่าหู |
หัดเป่าขลุ่ยเป่าปี่ดีเพราะครู | เป่าฟู่ฟู่เป่าเพลิงลุกเริงเรือง |
ที่เสียงยาวปาวปาวป่าวประกาศ | ป่าวร้องราษฎร์เร่งดูให้รู้เรื่อง |
พอร้องป่าวข่าวขุ่นวุ่นทั้งเมือง | นี่แยบเยื้องป่าวเป่าพอเข้าใจ |
(๙) กำกำม์กรรมสามคำนี่จำยาก | ข้อวิภาคอธิบายขยายไข |
อย่าคลำโคลนโดนเดาเชาวน์ไวไว | คงจำได้ดอกอย่ากลัวตัวมันมี |
เหมือนกำผักกำมืออีกกำหมัด | บรรจงจัดรถทองให้ผ่องศี |
ดุมปะแหรกแอกกำกงมณี | เกวียนก็มีซี่กำค้ำกับดุม |
อันตัวกำกกาสามัญหมด | ใช้แต่บทคำไทยไม่สุขุม |
หนึ่งกำม์มอการันต์นั้นก็ชุม | เห็นเคลือบคลุมข้างเปนบทมคธปน |
สำหรับใช้ในกลอนกกาล้วน | ตามขะบวนแบบบังคับไม่สับสน |
เหมือนเจ้ากำม์ซ้ำเอาเค้ายุบล | อ่านทุกคนแต่ไม่จำไม่ลำภา |
กรรมแม่เกยตัวมอมีรอหัน | คำท่านสรรแต่มคธภาษา |
บอกให้ทราบบาปกรรมเช่นร่ำมา | อีกคำว่าเคราะห์กรรมก็จำเปน |
ที่บางคนบ่นว่ากรรมของเราแล้ว | มาประสบพบแก้วไม่แลเห็น |
กรรมวิบากหากให้ได้ลำเคญ | มาขุกเข็ญก็เพราะกรรมที่ทำมา |
(๑๐) หนึ่งใช้คำหมอบเฝ้าและเฝ้าฃอง | โดยทำนองใช้เฝ้าตัวฝฝา |
ใช้ตัวฟอไม่ถนัดดูขัดตา | ด้วยใช้มาแต่เก่าเก่านั้นเฝ้าโท |
(๑๑) อุส่าห์จำอุส่าห์เพียรเขียนให้ถูก | ฃ้าเพราะปลูกคำใช้ไว้อะโฃ |
เหล่านักเรียนชั้นเล็กและชั้นโต | เลี้ยงแต่โง่ไว้ให้อ้วนควรฤาไร |
ครูก็สอนเล่าเรียนเขียนไม่ขาด | ไม่ฉลาดจำแยบที่แบบไข |
ช่างฟั่นเฟือนเลื่อนเลอะเงอะงงไป | รู้ก็ไม่แท้รู้เปนงูปลา |
อันยศศักดิ์ทรัพย์สินทั้งสิ้นเสร็จ | ย่อมสำเร็จได้ดังมาดปราถนา |
เพราะต้นทุนคุณเพียรเรียนวิชา | ที่สะสมศึกษาสารพรรณ |
อุส่าห์จำเถิดจะร่ำสอนให้สิ้น | เบื้องระบินแบบละบองฃองขันขัน |
เช่นอย่างข้าค่าฆ่าประดากัน | ทั้งสามคำสำคัญท่านไว้วาง |
คำสูงใช้ว่าข้าพระพุทธเจ้า | จงจำเค้าใช้ให้ชัดอย่าขัดขวาง |
กับคำว่าข้าพเจ้านี้คำกลาง | ใช้ในทางถ้อยความตามกระบวน |
ข้าพระพุทธเจ้าชื่อนั้นนี้ | ข้าพเจ้านายศรีเปนชาวสวน |
ที่ลดหย่อนผ่อนใช้จงใคร่ครวญ | คำที่ควรสูงต่ำโดยตำรา |
บางคนเขียนว่าฃ้าพระพุทธิ | อุตริเฃียนกันกลุ้มชุมนักหนา |
ด้วยใจรักมักง่ายคลายปัญญา | ไม่ค้นหาต้นเค้าเดาตะบึง |
ลำดับถัดจัดว่าข้ากับเจ้า | ข้าจะเอาแต่ว่าข้าคว้าไม่ถึง |
ใครมายุแยงข้าเขาด่าอึง | ควรรำพึงความเช่นว่าใช้ข้าโท |
ค่าเอกนี้ใช้ที่ค่าราคาขาย | อีกค่าจ้างร้างบายจ่ายอะโข |
ค่าเช่าเรือค่าเช่าโรงตั้งบ่อนโป | อีกค่าโสหุ้ยหวยค่าป่วยการ |
ความดังว่าใช้ค่าไม้เอกหมด | ควรจะจดจำใช้ให้วิดถาร |
ฆ่าตัวนี้ฆ่าให้ตายถึงวายปราณ | แบบบุราณใช้มาเปนอาจิณ |
(๑๒) หนึ่งเข้าออกอีกเข้าเปลือกเข้าสารสุก | แบบทำนุกเข้าโทโดยถวิล |
เค่าเอกใช้ไม่สมนิยมยิน | ไม่เห็นถิ่นที่จะใช้ในกระบวน |
(๑๓) ทำธำม์ธรรมสามคำจำให้ได้ | คือคำไทยว่าทำนาแลทำสวน |
สารพัดทำงานการทั้งมวญ | บังคับควรทำแน่แม่กกา |
ธำม์ตัวนี้มิใช่คำสยาม | ท่านใช้ตามติดมคธภาษา |
เหมือนกับละพระสธำม์เช่นร่ำมา | ในคำเทียบแม่กกาตำราครู |
ธรรมตัวนี้ถูกที่มคธพากย์ | ทั้งสามคำจำยากหนอพ่อหนู |
อุส่าห์คิดค้นหาไตรตราดู | คงได้รู้ที่จะใช้ถูกใจความ |
(๑๔) อิกข้างค่างคิดกระบวนให้ถ้วนถี่ | ค่างเอกนี้ค่างลิงวิ่งผลีผลาม |
ฃ้างในออกข้างนอกดูอย่าวู่วาม | ข้างบนตามไปฃ้างล่างนี้ข้างโท |
(๑๕) หนึ่งว่าหว้าย่าหญ้าก็ควรคิด | จะเขียนใช้อย่าให้ผิดดีอะโฃ |
ต้นหว้านี้ชอบกลผลโตโต | ถัดบ้านโพถึงบ้านหว้าเวลาเย็น |
ว่าเอกใช้ในคำที่ว่ากล่าว | ว่าโน้มน้าวพูดจาว่าให้เห็น |
ว่าก็ชอบในระบอบที่เคยเปน | อย่าว่าเล่นว่าหว้าภาษาไทย |
(๑๖) คำปู่ย่าย่าเอกท่านเศกสรร | หญ้าโทนั้นใช้ว่าหญ้าไสว |
คือหญ้าแพรกหญ้าคาอิกหญ้าไทร | หญ้านี้ใช้สรรพหญ้าบันดามี |
(๑๗) ในคำลาวกล่าวว่าข้อยใช้แทนข้า | ค่อย ๆ มาก่อนค่อย ๆ ไปอย่าไผล้หนี |
คำค่อยเอกเศกใส่ในวะจี | จำให้ดีนะอย่ารั้นดันทุรัง |
(๑๘) หนึ่งคำว่าหนังสือไม่ผิดเพี้ยน | ทุกคนเฃียนหอนำคำว่าหนัง |
แต่เสียงอ่านพานไม่ชัดพลัดเปนนัง | คำนี้พลั้งพวกมากลากเอาไป |
ออกสำเนียงเสียงว่านังอยู่ทั้งสิ้น | จะดัดลิ้นฝ่าฝืนขืนไม่ไหว |
ถึงจะอ่านว่าเปนนังก็ชั่งใคร | เราเฃียนคงหนังไว้ก็แล้วกัน |
(๑๙) หนึ่งเยาว์นี้มิใช่คำไทยแท้ | เหนมาแต่คำมคธภาษาสรร |
อักษรส่อคือตัววอเปนการันต์ | บอกสำคัญว่ามคธบทบาฬี |
เหมือนคำว่าข้าเหนพระลูกเจ้า | ทรงพระเยาว์ยังไม่รุ่นจำเริญศรี |
หนึ่งนารีที่เยาว์เค้าคดี | อิกวาทียุพโยคยุพเยาว์ |
เด็กคนนี้ไผ่ผอมย่อมเยาว์นัก | เยาวลักษณนี้เปนหลานแม่โฉมเฉลา |
เยาวมาลย์ช่วยสมานสมรเรา | คำว่าเยาว์เขียนใช้ต้องใส่วอ |
(๒๐) กลอักษรผ่อนใช้ให้ประจักษ | เช่นฉันชักเชิดชี้เท่านี้หนอ |
ถ้าจำได้ใช้คล่องไม่ต้องรอ | ก็เห็นภอจะสว่างรางรางเรือง |
หนึ่งซ่มส้มเซื่อเสื้อเหลือจะบอก | เฃียนย้อนยอกเขวไขว้ไม่ได้เรื่อง |
ทั้งเอาโทใช้กันชุมกลุ้มทั้งเมือง | สุดจะเปลื้องสงไสยไม่ให้แคลง |
(๒๑) คำขู้คู่ดูสังเกตเหตุอะโข | ตัวฃู้โทท่านมิได้ใช้สักแห่ง |
เหมือนเรือดั้งทั้งคู่มีภู่แดง | เรือคอนแข่งกันเปนคู่ดูดังลม |
อันตราชูนี้เปนคู่กับตราชั่ง | เครื่องกินตั้งไว้เปนคู่กับพานถม |
หญิงกับชายเชยชู้เปนคู่ชม | ใช้นิยมคูเอกเปนอัตรา |
(๒๒) หนึ่งค่ำข้ำสองคำจำให้แน่ | ท่านใช้แต่ค่ำเอกดอกหนาจ๋า |
เหมือนสายัณห์เย็นย่ำค่ำเวลา | วันขึ้นห้าหกค่ำจะทำงาน |
ข้ำโทนั้นไม่มีที่จะใช้ | ท่านผันไว้ภอให้ครบคำขนาน |
ถึงคำโคลงจะเอาใช้ก็ใช่การ | ผิดบุราณท่านบังคับจะอับปรี |
(๒๓) หนึ่งค่อฃ้อสองคำประจำผัน | พอครบครันเสียงสามไว้ตามที่ |
ท่านใช้แต่ตัวขอข้อคะดี | เหมือนข้อนี้ข้อนั้นท่านสรรคำ |
ข้อผิดฃ้อชอบเร่งสอบสวน | ข้อสำนวนต้องระวังพลั้งถลำ |
อีกข้อมือฃ้อบาทางค์ฃ้างสะดำ | นี่ฃ้อสำคัญนักมักจะแพลง |
ฃ้อนี้ไซร้ท่านใช้ข้อโทสิ้น | โดยระบินถ้วนถี่ชี้แถลง |
(๒๔) ไฃ้กับไค่สองทางอย่างคลางแคลง | คำที่แจงแจกใช้นั้นไฃ้โท |
ไข้จับไข้เหนือเจือไข้พิศม์ | กินยาผิดไข้กลับยับอะโข |
ไข้บิดแยบแอบแฝงไฃ้แตงโม | มันกินจนพุงโรดังโคเกวียน |
(๒๕) ที่คำใช้กันว่าไค่อีกว่าค่าย | อย่ามักง่ายงมคลำในคำเฃียน |
เหมือนกะเกณฑ์ตั้งค่ายตัดไม้เตียน | ทำแนบเนียนน่าค่ายนั้นรายคน |
อย่าหันเหียนเฃียนค่ายว่าเปนไค่ | ไม่ควรใช้ก็อย่าใช้ให้สับสน |
(๒๖) อีกข้องค่องข้อนค่อนกลอนนิพนธ์ | โดยยุบลคำลม้ายภอคล้ายคลึง |
ข้องโทนี้ใช้ที่ว่าขัดข้อง | กับเกี่ยวข้องข้องระคนคนถลึ้ง |
ค่องนี้ใช้ใส่ปลาว่ากันอึง | ใช้ให้ถึงข้องค่องทั้งสองทาง |
ข้อนโทนี้ใช้ที่ว่าฃ้อนอก | แสนวิตกฃ้อนทรวงอยู่ผางผาง |
ที่แสนงอนข้อนให้ไม่ไว้วาง | ไปค่อนทางถึงที่ประทับพล |
(๒๗) อนึ่งคำถ้วนท่วนควรถวิล | นิยมยินถ้วนโททุกแห่งหน |
เหมือนคำว่านับถ้วนจำนวนคน | แต่ไพร่พลถ้วนหมื่นพื้นฉกรรจ์ |
แลคำว่าท่านผู้ดีมักถี่ถ้วน | ก็คำควรถ้วนโททุกสิ่งสรรพ์ |
ท่วนเอกนี้ท่านไม่ใคร่ใช้จำนัญ | ชี้สำคัญท่วนถ้วนก็ควรการ |
(๒๘) ว่าด้วยถ้วนเสรจสรรพกลับปรารภ | ตัวภพพบเติมต่อฃ้อบรรหาร |
พบตัวนี้ใช้ที่ว่าพบพาน | พบตาปานกับยายเปี่ยมไปเทียมโค |
ภพตัวนี้มีในพากย์มคธ | เช่นดังบทภพโลกยนาโถ |
เจ้าพิภพทรงหงษอีกทรงโค | ฤทธิ์มโหฬารลบภพไตรย |
ภพภพนี้บาฬีว่าภาวะ | ท่านแปลงวะไปเปนพะแถลงไข |
อ่านสกดตามกำหนดข้างคำไทย | ก็อ่านใช้กันว่าภพบันจบความ |
(๒๙) หนึ่งผ้ายพ่ายโทเอกอเนกนับ | ใช้สำหรับอยู่ประจำคำสยาม |
ท่านใช้ว่าผุดผ้ายไปตามพราหมณ์ | ตกในความว่าผุดลุกจรลี |
อันพ่ายเอกนี้ว่าแพ้แปลขยาย | เหมือนคำว่าโจรร้ายมันพ่ายหนี |
เตลงพ่ายยวนพ่ายนิยายมี | สองวาทีเทียบตำหรับฉบับบรรพ์ |
เตลงพ่ายอธิบายว่ามอญแพ้ | อีกคำแปลยวนพ่ายไม่ผิดผัน |
ว่าลาวแพ้แต่ต้องจำที่สำคัญ | ว่ายวนนั้นก็ทำไมไผล้เปนลาว |
คำว่ายวนยกเปนชื่อลาวน้ำหมึก | ความนี้ฦกจะใคร่รู้ดูสืบสาว |
พวกพุงดำนิจะร่ำแต่เพรงคราว | เขาเรียกชาวโยนกยกคำเดิม |
ที่ต้นคำซ้ำตัดว่าโยนะ | แปลงเอาโอไปเปนวะสระเสิม |
อ่านว่ายวนควรฃ้อไม่ต่อเติม | ที่คำเดิมโยนางค์ราชวงษ |
ผู้รู้แท้แก้ไฃไว้ฉะนี้ | ดีมิดีดูความตามประสงค์ |
พากย์หะริภุญไชยก็ใช้ตรง | จะเหนลงว่าไม่งามก็ตามใจ |
(๓๐) หนึ่งฎีกานี้ภาษามคธพจน์ | โดยกำหนดนั้นต้องเฃียนตัวฎอใหญ่ |
แต่ในกาลคนทุกวันสำคัญใจ | ว่าเปนคำคนไทยใช้นิยม |
ในฎีกาขุนวิชิตชลหาญ | จะต้องการดีกาทำยาขม |
อุส่าห์ทรอกแทรกรู้มีผู้ชม | ดีกว่างมงำโง่โตแต่ตน |
(๓๑) จรเฃ้แลจะเฃ้อีกตะเฆ่ | จงรู้เล่หวาจาอย่าฉงน |
จรเฃ้สัตวร้ายในสายชล | มันกินคนคาบพาในวารี |
ดีดจะเข้เร่นิ้วดูพลิ้วพลิก | กระจุกกระจิกเช่นกับเพลงกระจับปี่ |
ในคำเรียกว่าจะเฃ้เครื่องดนตรี | จงรู้ที่เขียนใช้ถูกใจความ |
อีกลูกล้อลากไม้ใช้กันถม | คนนิยมเรียกตะเฆ่คำสยาม |
ทั้งสามคำจำให้อยู่อย่าวู่วาม | ถ้าผลีผลามมักง่ายจะอายคน |
(๓๒) ตรวจกับกรวดคู่นี้ชี้ให้ชัด | จงจำตัวให้ถนัดอย่าขัดสน |
ตอกับรอจอสกดบทยุบล | ท่านใช้ว่าตรวจพลอีกตรวจตรา |
ดอสกดตัวกอรอประโยค | สารโสลกฃ้างสยามภาษา |
ว่ากรวดทรายรายพื้นพสุนธรา | สองวาจานี้ละม้ายคล้ายสำเนียง |
(๓๓) หนึ่งคำว่ากรงตรงจงสำเนียก | บัญญัติเรียกรายแยกให้แปลกเสียง |
เหมือนน่าต่างลูกกรงดำรงเรียง | จับพะเนียดวางเคียงกับกรงนก |
ทางนี้ตรงไปทีเดียวไม่เลี้ยวลด | ตรงไปจดจนถึงห้างหนทางบก |
คนซื่อตรงควรดำรงที่นายก | เปนดิลกเหล่าเสวกากร |
ควรกำหนดวาทีที่ประสงค์ | คำกรงตรงใช้ยักในอักษร |
เฃียนให้ถูกดุจถ้อยสุนทรกลอน | อุทาหรณ์ตัวอย่างวางประจำ |
(๓๔) จะคิดค้นมาประดนประดับไว้ | อีกไกรไตรอยู่ล่อล่อก็ฃ้อขำ |
ฤทธิไกรเกรียงไกรท่านใช้คำ | อุส่าห์สำเนียกนึกแล้วตฤกตรอง |
คำว่าไกรนี้ท่านแปลว่ายิ่งกว่า | ดังพ่อค้าขายได้กำไรของ |
อันคำไกรกับกำไรก็สมพอง | โดยทำนองคำแผลงแสดงตรง |
ตอกับรอเขียนว่าไตรใช้จงชอบ | ตามระบอบแบบใช้อย่าไหลหลง |
แปลว่านับแลว่าสามความจำนง | เฃียนให้คงคำใช้ว่าไตรตรา |
กับไตรยรัตนไตรยเพทพิเศศสอน | ไตรยจิวรไตรยปิฎกไตรยสิกขา |
อิกไตรยุคไตรยางษ์เปนอย่างมา | พระศรีไตรยสระณาสมาคม |
ทั้งสองคำจำให้ชอบประกอบใช้ | เหนเฃวไขว้วาทีก็มีถม |
มาเขียนไกรว่าเปนไตรใครจะชม | จะนิยมก็แต่ฝ่ายมักง่ายเดา |
(๓๕) กรองกับตรองสองคำจำให้แน่ | ได้กันแก้ทางโทษที่โฉดเขลา |
กรองนี้ใช้กรองน้ำโดยสำเนา | ตรองนี้เค้าคำว่านึกว่าตฤกตรอง |
(๓๖) อิกคำคู่คือนครกับคอนหาบ | คนที่อยากเฃียนนครเปนคอนของ |
บางคนเขียน ณ ใหญ่เข้าใช้รอง | ผิดทำนองนักเรียนเฃียนอยาบคาย |
อันนครคำนี้จะชี้เรื่อง | แปลว่าเมืองคำมคธบทขยาย |
ถึงคนไทยก็ได้รู้อยู่มากมาย | ไม่ควรกลายกลับนครเปนคอนเรือ |
(๓๗) อนึ่งคำนอเล็กกับณอใหญ่ | เหนเฃียนไข้วเขวกับออกฟั่นเฝือ |
คำนอเล็กกลับมาใช้ณอใหญ่เจือ | จะสอนเผื่อไว้ให้จำคำนอณอ |
ประเพณีธรณีมะณีแก้ว | แต่ล้วนแล้วณอใหญ่ท่านใช้หนอ |
พระมุนีธานีนี่ตัวนอ | จำไว้พอเปนต้นทุนหนุนปัญญา |
(๓๘) ลอกับฬอต้องระวังดูจังหวะ | ที่ควรจะใช้ลออะไรหนา |
เช่นกับคำบาฬีซึ่งมีมา | แลคำว่าสาลีนี้เปนครู |
(๓๙) หนึ่งศุขสุกทุกข์ทุกทั้งสี่พจน์ | อุส่าห์จำกำหนดเถิดพ่อหนู |
จะย้ายแยกแจงแจกออกให้ดู | คงได้รู้ที่จะใช้ถูกใจความ |
อันตัวศุขศอคอขอสกด | คำมะคธดอกมิใช่คำสยาม |
ท่านแปลว่าศุขสะบายขยายความ | กับอีกนามวันศุกรเติมตัวรอ |
อันสุกนี้คำไทยใช้กันเกลื่อน | คำเทียบเหมือนหนึ่งเข้าสุกที่ในหม้อ |
ผลไม้สุกห่ามงามละออ | ชาดในห่อแดงสุกดูสดดี |
สุดแต่สุกคำไทยที่ไหนที่นั่น | กอสกดเท่านั้นถูกตามที่ |
อย่าลามลวนตัวขอต่อทวี | ลงบาญชีอุตริเขาติเตียน |
ที่ตัวทุกข์มีขอทัณฑฆาฎ | คำนักปราชสอนไว้ให้อ่านเขียน |
คือเปนคำในมคธบทจำเนียร | ถ้าใครเขียนทุกเปล่าไม่เข้าการ |
สำหรับใช้ในที่ว่าทุกข์ยาก | แสนลำบากทุกข์ไภยใช้วิดถาร |
มาต้องทุกข์ขุกเฃ็ญไม่เว้นวาร | ทุกข์นี้จานเจือข้อฃอการันต์ |
ที่คำทุกตัวทอกอสกด | ต้องด้วยบทคำไทยอย่าใฝ่ฝัน |
เช่นใช้คำว่าทุกค่ำทุกคืนวัน | ทุกเซ็กชันกอมปะนีต้องมีนาย |
เกณฑ์ทุกบ้านการทุกเมืองยังเคืองขุ่น | ทุกคนวุ่นบันทุกยาเอามาฃาย |
ทุกฤดูตูได้นับเหนกลับกลาย | ทุกหลากหลากมากหลายจนเหลือจำ |
อันสุดแท้แต่ว่าทุกคำสยาม | ใช้ในความสามัญไม่ขันขำ |
ต้องที่แต่กอสกดบทลำนำ | อย่าถลำเฃียนตัวขอเฃ้าต่อเติม |
อิกคำว่าผาศุกสนุกนี้ | เหนบางทีเอาตัวขอเข้าต่อเสริม |
ก็ผิดจากคำมคธที่บทเดิม | อย่าเฉลิมให้มันเลยจะเคยตัว |
เหมือนเด็กว่าเองเอ๋ยจะเลยแก่น | ที่นักปราชหนักแน่นจะแย้มหัว |
ถ้าเหลิงล้นจนเฃาว่าก็น่ากลัว | ชื่อจะชั่วเสียเพราะล้นคนดำเนียน |
(๔๐) หนึ่งบัญชรบาญชีนี้ก็ยาก | จะวิภาคตัดสินในคำเฃียน |
ให้สมศิศย์มีครูเปนผู้เพียร | ถ้าจะเฃียนคำสั้นว่าบัญชร |
คือตรงแฃวนกรงตั้งที่ขังสัตว์ | หนึ่งท่านจัดวาจาอุทาหรณ์ |
ว่าพระแกลชื่อสิงหบัญชร | ก็เพราะผ่อนอ้างว่าที่มีสี้กรง |
อิกคำหนึ่งบัญชาว่าบังคับ | เปนฝ่ายรัศสะศับท์อย่าใหลหลง |
ไม้กังหันสรรใส่ไว้ให้คง | อย่าจำนงลากข้างอ้างว่าบาน |
ที่คำยาวนั้นท่านกล่าวว่าบาญชี | บาญตัวนี้ญอสกดบทบรรหาร |
สอบบาญชีสี่รายจำหน่ายการ | ทั้งสี่บาญถูกกันไม่พรั่นกลัว |
บางคนเฃียนบาญชีนี้ว่าบัญ | มาทอนสั้นเสียไม่พ้นคนจะหวัว |
เพราะงึมงงมักง่ายเหมือนควายวัว | ไม่รู้ทั่วในวาจาภาษาคน |
(๔๑) อิกสามคำไม่ไหม้กับม่ายนี้ | จะช่วยชี้ไว้ให้ชัดอย่าขัดสน |
ไม่เอกนี้ปฏิเสธเลศยุบล | คือไม่จนแลไม่จำไม่รำคาน |
อิกไม่มาไม่ไปทั้งไม่อยู่ | ไม่ได้รู้ไม่ได้เหนเปนแก่นสาร |
บุตรไม่ขอพ่อไม่ให้ไม่ได้การ | ไม่นี้ใช้สาธารณ์ในคำไทย |
ไหม้ตัวมอหอนำไม้โทกด | ต้องด้วยบทร้องเปิ่งเปิ่งว่าเพลิงไหม้ |
อันม่ายเอกแม่เกยพิเปรยไป | นั่นท่านใช้ว่าผู้ชายเปนม่ายเมีย |
กับหญิงที่ผัวตายวายชีวิตร | ฤาผัวปลิดปลดห่างอย่าร้างเสีย |
ถึงชายอื่นจะมาเฝ้าอยู่เคล้าเคลีย | เขาคงว่าได้เมียแม่ม่ายชม |
อิกสองคำม่อหม้อก็พอคิด | เห็นเฃียนผิดเคลื่อนที่ก็มีถม |
คนต่ำเตี้ยม่อต้อฃ้อนิยม | เสาตะม่อใหญ่กลมเอาไว้กลาง |
ประจุฟืนเต็มเตาจะเผาหม้อ | ที่ฬ่อฬ่อเชื้อไฟไม้ทองหลาง |
ที่บ้านหม้อนั้นก็ภอจะไว้วาง | คำตัวอย่างม่อหม้อพอสำคัญ |
(๔๒) ร่ายกับไร่ใช้เฃียนอย่าเพี้ยนผิด | เสียงสนิทสั้นยามท่านกล่าวสรร |
ตาหมอร้ายร่ายพระเวทวิเศศครัน | สกุณผันร่ายเร่ขึ้นเมฆิน |
ทำนองหญิงรักชายออกร่ายเราะ | จะได้เคาะแคะชมสมถวิล |
ทำนาสักสามไร่พอไว้กิน | นี่เฃตรถิ่นไร่ถั่วถัวกับงา |
นี่คำใช้ไร่นาทั้งเรือกสวน | ตามกระบวนร่ายไร่คำไทยหนา |
แม้นเฃียนชอบที่ประกอบในวาจา | เฃาชมว่าเปนบัณฑิตย์ศิศย์มีครู |
(๔๓) อุส่าห์จำเถิดจะร่ำให้สิ้นสุด | ยังสมุทกับสมุดนี้คำคู่ |
คือสมุททอสกดกำหนดดู | ก็จงรู้ว่ามคธบทบาฬี |
ในคำแปลว่ากระแสทะเลฦก | จงตริตรึกความประกอบให้ชอบที่ |
ดอสกดพจน์สยามความก็มี | ต้องใช้ที่สมุดขาวสมุดดำ |
ที่บางคนเขียนใช้สมุจยะ | ภาษาพระฝ่ายข้างวัดจัดเนกขัม |
สมุดนี้ฃองไทยใช้ประจำ | ไม่ควรค้ำให้มันเฃินจนเกินเกณฑ์ |
พวกบ้านบ้านมักจะพาลพาโลติ | ว่าอุตริเปนตำราขรัวตาเถร |
อันคิดคิดนี้ยากต้องบากเบน | ไม่ควรเกณฑ์ก็อย่าเกณฑ์ให้เกินกิน |
(๔๔) อิกสองคำฉ้อช่อภอสังเกต | ใช้ให้ต้องตามเหตุควรถวิล |
คนขี้ฉ้อหมดความตามระบิล | ฉ้อเอาสินฉ้อเอาทรัพย์ต้องปรับปรุง |
อันช่อเอกใช้ช่อดอกไม้หมด | สุคนธรศช่อไสวใกล้ลหุ่ง |
ช่อมะม่วงช่อมะกอกดอกพะยุง | นาคสดุ้งช่อฟ้าสง่างาม |
(๔๕) พูดกับภูตสองคำจำให้แน่ | พูดนี้แท้ใช้ประจำคำสยาม |
เหมือนพูดเล่นเจรจาพูดว่าความ | พูดลวนลามพูดเพ้อใหลเล่อไป |
พูดเช่นนี้ต้องที่ดอสกด | ตามแบบบทเบาราณท่านขานไข |
ที่บางครูเห็นจะรู้นั้นล้นไป | บังคับใช้คำพูดสกดจอ |
ด้วยอ้างว่ามาแต่วะจะธาตุ | แต่นักปราชท่านไม่เหนลงออหอ |
ก็คงที่ควรเฃียนสกดดอ | เหนเพียงพองามใช้คำไทยตรง |
ภูตที่ใช้ตัวภอตอสกด | มิใช่บทคำไทยอย่าใหลหลง |
ว่าภูตผีในบาฬีท่านแปลคง | ใช้จำนงมหาภูตแลภูตพราย |
(๔๖) พักภักตรภักดิ์ภักษ์มีทั้งสี่ศับท์ | บทบังคับคำแปลกแยกฃยาย |
อันพักนี้คำสยามความธิบาย | คืออยุดพักพอสบายแลพักพล |
ภักตรนี้คำกำพุชสมมุติว่า | คือดวงหน้าใช้แพร่งทุกแห่งหน |
ว่าผิวภักตรวรภักตรภักตรพิมล | แทบทุกคนรู้แปลได้แน่นอน |
ภักดิ์ตัวนี้เดิมทีเปนภัตดิ | ในลัทธิเรียนร่ำท่านพร่ำสอน |
แผลงเปนภักแม่กกยกสุนทร | ดิอักษรจัดว่าเปนการันต์ |
ท่านใช้ว่าดังพระยาบำเรอภักดิ์ | สวามิภักดิสุจริตไม่บิดผัน |
หลวงมหาใจภักดิ์ได้รักกัน | เช่นนี้นั้นแปลประจักษว่าภักดี |
คำมคธบทเดิมว่าภัตดิ | ตามลัทธิสังสกฤษฎอักษรศรี |
แผลงตัวตะไปเปนกะสระมี | จึ่งกลายเปนภักดีเช่นนี้นา |
ที่ใช้ตรงว่าภักดีก็มีมาก | เปนคำหลากในสยามภาษา |
พระยาราชภักดีมีสมยา | หลวงเสนาภักดีมหาดไทย |
ภักดีกับภักดิ์คำเดียวกัน | แต่ประทัณฑฆาฎลงอย่าสงไสย |
อ่านแต่ภักดิเปนการันต์ไป | เช่นคำใช้สวามิภักดิ์ประจักษความ |
อิกภักที่มีษอทัณฑฆาฎ | คำนักปราชชักมาใช้ในสยาม |
จะแปลว่าอาหารก็สมความ | นิยมตามคำไทยใช้ว่ากิน |
เหมือนคำเชิญภักษ์ภุญช์ภักษาหาร | พระยามารจับเปนภักษ์เสียหมดสิ้น |
อันคำภักยักย้ายหลายระบิล | ให้รู้ถิ่นที่จะใช้อย่าไขว้กัน |
หนึ่งจะช่วยชี้ไว้ให้ประจักษ | ยังอิกพรรคสกดคอมีรอหัน |
แปลว่าพวกแลว่าหมู่ดูสำคัญ | ไว้ประกันแก้เฃลาที่เง่างม |
(๔๗) หนึ่งสองคำชิดชิตคิดให้ชอบ | จงประกอบที่จะใช้นั้นให้สม |
ชิดตัวนี้ใช้ที่ว่าชิดชม | ระรื่นรมย์แนบชิดสนิทนาง |
อิกนายชิดหุ้มแพรนายเวนสิทธิ์ | คนที่ใกล้ใช้ชิดไม่อางขนาง |
นาสาเสยเสียดสนิทชิดกับปราง | ชิดนี้ทางนี้ใช้คำไทยตรง |
ชิตสกดตัวตอพอสังเกต | ในต้นเหตุคำบาฬีที่ประสงค์ |
คือพระยาไชยวิชิตคิดจำนง | คำนับองค์สมเดจพิชิตมาร |
อนุชิตชาญไชยไม่ประจักษ์ | จึ่งถามซักขุนพิชิตชลหาญ |
อ้างไปถึงพระวิชิตชลธาร | สังเกตการคำว่าชิตสกดตอ |
(๔๘) ชานกับชาญฌานมีที่กำหนด | ทั้งสามคำจำจดให้แน่หนอ |
ภาษาไทยใช้ชานสกดนอ | เหมือนหนึ่งฃ้อคำบอกว่านอกชาน |
กับคำพูดชานอ้อยอิกชานหมาก | นี่มีมากคำไทยพูดไขยฃาน |
ที่สกดญอใหญ่ใช้ว่าชาญ | ท่านแผลงว่าชำนาญพานจะชุม |
แปลว่ารู้แยบคายเปนหลายหลาก | ได้รู้มากเชี่ยวชาญการสุฃุม |
คือเจนจัดการทำไม่คลำคลุม | ได้ทำชุมชัดชาญชำนาญเคย |
ฌานตัวฌอนอสกดกำหนดแน่ | นี่มาแต่คำมคธบทเฉลย |
แปลว่าเครื่องเผากิเลศสัลเลขเลย | ท่านเพิกเฉยเบจญกามให้ทรามเซา |
ของสำหรับโยคีฤาษีพรต | พระสุคตกับทั้งพระอริยเจ้า |
ตัดกิเลศสมุจเฉทแลบางเบา | แล้วท่านเฃ้าสู่ฌานสำราญรมย์ |
(๔๙) ทั้งสามคำพานพาลอิกภารไซร้ | เห็นเขียนไม่ถูกที่ก็มีถม |
พานสกดนอไทยใช้นิยม | คนคารมมักจะระพูดพะพาน |
เครื่องตะถมทองดีก็มีมาก | อิกพานนากพานทองสองสฐาน |
ทั้งพานเงินพานทองเหลืองเครื่องตระการ | เรียกว่าพานคำไทยใช้กันมา |
พาลตัวพอลอสกดมคธพากย์ | แปลไม่ยากเพราะว่าไทยก็ใช้หนา |
คือคนก่อทุจริตจิตรวาจา | อิกกายาครบสามตามทวาร |
มิได้คิดบุญบาปใจอยาบกล้า | ท่านเรียกว่าพาละโดยโวหาร |
ที่ไทยพูดเกลื่อนกล่นว่าคนพาล | สังเกตการลอสกดบทยุบล |
กับอิกภารภอมอรอสกด | นี่มคธคำฃานสารนุสนธิ์ |
ใช้ว่าโพธิ์สมภารพระจุมพล | กับคำภาระกังวลแลหาบคอน |
ภาณภอมอณอใหญ่ใส่สกด | เหมือนอย่างบทปฏิภาณในสารสอน |
ว่าปัญญาสำหรับโต้ตอบสุนทร | แลพากย์พจน์บทกลอนชำนาญชาญ |
หนึ่งพอนอมีตอการันต์ท้าย | จะขยายพอได้จำที่คำขาน |
มีที่ใช้แต่ว่าป่าหิมพานต์ | คือถิ่นถานพร่ำพร่างน้ำค้างชุม |
หนึ่งคำพระบาฬีมีแถลง | ท่านแสดงว่านิพพานอ่านกันกลุ้ม |
กับแผลงว่านฤพานพานจะคลุม | ธรรมสุขุมฃ้ามโอฆโลกอุดร |
แลคำว่าจักระพาฬนั้นฬอใหญ่ | สกดใส่วางประจำในคำสอน |
เหมือนเจ้าจอมจักระพาฬประทานพร | เสดจจรไปจนจบจักระพาฬ |
พานทั้งหกยกข้อไขแถลง | ล้วนแจ้งแจงชี้สำคัญเช่นบรรหาร |
ได้เค้าเงื่อนแล้วอย่างมทำซมซาน | เขียนตัวพานจิ้มดำถลำแดง |
(๕๐) ฝ่ายกับใฝ่นี้ก็ใช้อย่าให้คลาด | เทียรฆราษสั้นยาวกล่าวแถลง |
เหมือนฝ่ายหน้าฝ่ายในก็ไม่แคลง | ฝ่ายเราแย้งฝ่ายข้างเขาจะเอาจริง |
ทั้งปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือเหลือจะหัก | ด้วยนายฟักเขาเปนฝ่ายนายผู้หญิง |
ไปฝักฝ่ายคุณพระนายจะหมายอิง | เอาเปนที่พึ่งพิงพอพ้นไภย |
คำว่าฝ่ายอธิบายว่าพวกเหล่า | เช่นคำเค้าฝักฝ่ายขยายไข |
กับคำต้นที่จะเอ่ยเรื่องอื่นไป | ท่านก็ใช้คำว่าฝ่ายพิปรายความ |
ซึ่งเสียงใช้ใฝ่ใฝ่นี้คำสั้น | เหมือนใฝ่ฝันใฝ่ในฤไทยหวาม |
อิกใฝ่ใจที่จะใคร่พยายาม | อันคำใฝ่ใช้ตามบุราณกาล |
แปลว่ามุ่งหมายมั่นคิดพันผูก | นิ่จะถูกความเก่าที่เล่าขาน |
ฤาจะผิดเปนแต่คิดโดยประมาณ | จงวิจารณ์คำว่าใฝ่ที่ใช้กัน |
(๕๑) พายกับภายจะขยายให้จะแจ้ง | มิใช่แกล้งว่าเล่นพอเห็นขัน |
ด้วยตัวต่างความก็ต่างเห็นห่างกัน | ชี้สำคัญเช่นฝีพายลงพายเรือ |
เย็นพระพายชายพัดมาเฉื่อยเฉื่อย | ก็หลับเรื่อยไปจนสายสบายเหลือ |
คำพระพายนี้เปนบทมคธเจือ | ควรจะเชื่อว่าเนื่องมาแต่วาโย |
อิกคำว่าทุกพายทุกพวกพรรค | ได้ประจักษ์คำไทยใช้อะโข |
แปลว่าหมู่ดูฃ้างเห็นจะเปนโว | หารแต่โบราณเรียกสำเหนียกตาม |
ภายตัวนี้ใช้ว่าที่ว่าโอกาศ | คำนักปราชท่านบัญญัติในสยาม |
เหมือนภายในภายนอกบอกเนื้อความ | ตึกนี้งามภายใต้ก็ใหญ่ครัน |
ทำกุศลฃวนฃวายไปภายน่า | เขาจะว่าภายหลังก็ชั่งฉัน |
อันตัวภายคำไทยที่ใช้กัน | บอกสำคัญคือชี้ที่กับกาล |
(๕๒) ไข่กับข่ายคล้ายเสียงสำเนียงออก | ฉันจะบอกบ่อนใช้ในสฐาน |
มีมากหลายข่ายบรอิกข่ายมาร | ตาข่ายขึงชลธารที่ดักปลา |
ข่ายคือปรีชาญาณพานจะซึ้ง | ตาข่ายขึงตลบนกในเวหา |
ขึงตาข่ายรายกั้นอะรัญญะวา | เข้าล้อมดักมฤคาที่ป่าพง |
ซึ่งว่าข่ายคำยาวกล่าวเช่นนี้ | สังเกตที่ควรใช้อย่าไหลหลง |
ยังอิกไข่คำสั้นนั้นจำนง | เฃียนให้คงคำว่าไข่ใช้ว่าฟอง |
เหมือนเขาว่าเป็ดไข่แม่ไก่ฟัก | กามันรักไข่กระเหว่าเปนเจ้าของ |
เรียกว่าไข่อยาบย้ำคำคนอง | จึ่งยักเรียกเสียว่าฟองเปนคำดี |
(๕๓) อนึ่งคำล่าหล้าภาษาสยาม | ที่ใช้ความล่าเอกนั้นล่าหนี |
หล้าโทใช้ว่าโลกย์ทั่วธาตรี | คำอ้างมีแหล่งหล้าในสากล |
พระเลิศหล้าเดชาขจรจบ | ในพื้นภพใต้หล้าย่อมหาผล |
ชักเทียบเคียงภอเปนเยี่ยงเปนอย่างยล | ตามยุบลล่าหล้าภาษาไทย |
(๕๔) หนึ่งเนิ่นนานกับชำนาญนี้นอเล็ก | นักเรียนเด็กจงวิจารณ์จะขานไขย |
ว่าเนิ่นนานนอสอกดบทไทยไทย | ตัวญอใหญ่นั้นสกดบทชำนาญ |
ตัวบาฬีในคัมภีร์มะคะธะ | คือชัญญะคำต้นยุบลขาน |
ตกมาเปนคำไทยใช้ว่าชาญ | ซ้ำแผลงว่าชำนาญการทั้งมวน |
(๕๕) อิกสองคำององค์จงสังเกต | ให้ต้องเหตุที่ใช้ต้องใต่สวน |
องเปล่าเปล่าเขียนในเค้าว่าองยวน | องเต้ก๊วนเต้กุ๊นเขาขุ่นเคือง |
ครั้งนั้นองไก่เสิ่นทำเลินเล่อ | องจี๋เถ่อทำไถลไม่ได้เรื่อง |
หลวงยวนใหญ่ใช้ว่าองสิ้นทั้งเมือง | นี่ว่าเรื่องคำองไม่มีคอ |
องค์ตัวคอการันต์ท่านสรรใช้ | เปนคำไทยเจือมคธบทนี้หนอ |
คืออังคะคำเดิมจึงเติมคอ | ไว้เปนพอที่สังเกตต้นเหตุคำ |
องค์นี้ท่านแปลว่าคุณสุนทะระ | กับแปลว่าอะวะยะวะก็ควรสำ |
เหนียกไว้เปนแบบแผนจงแม่นยำ | แปลอิกคำหนึ่งว่าเหตุสังเกตความ |
(๕๖) ลำดับนี้ฉันจะชี้ข้อขยาย | คือระใบกับระบายคำสยาม |
เด็กเด็กดูรู้ไนยจงใช้ความ | เพดานงามมีระใบละไมดี |
พระกลดใหญ่มีระใบถึงสามชั้น | สำหรับกั้นกันองค์พระทรงศรี |
พระเสวตรฉัตรไชยระใบมี | สุวรรณขลิบดิบดีนพปดล |
ระใบผ้าน่ามุ้งระใบม่าน | คำนี้ท่านใช้ระใบทุกแห่งหน |
กำหนดแน่ใช้แม่กกายล | อย่าให้ปนคำยาวกล่าวว่าบาย |
อิกคำนี้ฉันจะชี้ให้รู้อัดถ์ | สำเนียงชัดคำยาวกล่าวขยาย |
เหมือนพวกช่างเขียนวาดฉลาดลาย | เฃียนระบายสีประสานชำนาญเคย |
ระบายดีสีเมฆทั้งมอม่วง | ดอกไม้ร่วงรายดอกอยู่เฉยเฉย |
นี่ควรใช้คำระบายพิปรายเปรย | ใช้แม่เกยคำยาวกล่าวประจำ |
บายกับใบก็ต้องใช้ชนิดนี้ | คือบายศรีใบไม้อย่าให้ถลำ |
บายว่าเข้าเฃาพูดเปนคำกัม | พุชมานำเข้ากับศรีบาฬีพจน์ |
แปลว่าเข้าเชิญขวัญเปนศิริ | ล้วนลัทธิใช้คำเร่งจำจด |
เขมรไทยใช้ระคนปนมคธ | จงกำหนดเปนแผนกแยกวิจารณ์ |
(๕๗) คำประชวรชักชวนควรถวิล | จงรู้ถิ่นที่จะใช้ให้วิดถาร |
ว่าชักชวนนอสกดบทบุราณ | เปนคำไทยใช้มานานแต่กาลเพรง |
คำประชวรควรเฃียนรอสกด | เปนมคธคำเพราะเหนเหมาะเหมง |
ราชาศับท์สูงคำควรยำเกรง | อย่าเชลงพูดเล่นชล่าใจ |
คือเจ้านายทรงประชวรควรกำหนด | ว่าตามบทที่ประชวรพระโรคไฃ้ |
คือประชวรเปนพระโรคสิ่งใดใด | ก็หยิบใช้เปลี่ยนความตามประชวร |
(๕๘) ม่านกับมั่นสั้นยาวกล่าวแถลง | อย่าเคลือบแคลงม่านมั่นให้หันหวน |
เหมือนขึงม่านผูกให้มั่นนั้นก็ควร | ที่บนจวนมีม่านเพดานดาว |
(๕๙) หนึ่งคำที่ตัวหอเข้าต่อท้าย | มีอยู่หลายคำควรใต่สวนสาว |
ให้รู้แยบยนต์เยื้องในเรื่องราว | ที่ท่านกล่าวว่าตัวหอส่อสำเนียง |
ถึงไม่มีไม้เอกจะเศกใส่ | ตัวหอใช้แทนเอกให้ออกเสียง |
เช่นเสนหท้าววิเทหพยูหเรียง | คิดเทียบเคียงรู้เลหเภทุบาย |
เชิญพระตราครุธพาหมาประทับ | อย่ามัวหลับเมาโมหโลหจะหาย |
พระยาศรีสุริยพาหว่าเปนนาย | ที่น่าราหุทำเปนลายกระหนกแปลง |
เราเดินมาปะมาหมันหลอนหลอก | มันวิ่งออกไล่ตะครุบเราฟุบแฝง |
ที่เสาธงนั้นพระทรงดำริหแปลง | อุส่าห์แจงแจกกลั่นสันเปนกลอน |
คำตัวหอการันต์สรรเปนเอก | มีอเนกนับประมาณในสารสอน |
ชักมาว่าพอเปนอย่างทางสุนทร | ฟังแต่กลอนเล่นเปล่าเปล่าไม่เข้าการ |
จงหมั่นจำกำหนดในบทแบบ | แล้วหยิบแยบอย่างใช้ให้วิดถาร |
อุส่าห์เขียนเพียรทำให้ชำนาญ | ปรีชาญาณคงจะเปรื่องให้เฟื่องฟู |
(๖๐) ที่นี้จะแก้ไขในคำนบ | ไม่รู้จบดอกจงจำเถิดพ่อหนู |
ขอเสียเถิดอย่าว่าพล่ำพูดพร่ำพรู | ฉันเอนดูดอกจึ่งเพ้อเร่อรำพัน |
ซึ่งว่านบตัวนอบอสกด | นี้เปนบทแบบไทยใช้ขยัน |
เหมือนคำว่าฃ้านบอภิวันท์ | เครื่องต้นนั้นมีพระนบครบจำนวน |
นพคำนี้บาฬีมีกำหนด | แปลในบทเก้าฤาใหม่ต้องใต่สวน |
เช่นใช้ว่านพเคราะห์จำเภาะควร | คือประมวนเทพเจ้าทั้งเก้าองค์ |
พระอาทิตยทั้งพระจันทรอังคารพุฒ | พระเสารศุกรบริสุทธินับประสงค์ |
พระราหูเกตุพฤหัสจัดจำนง | นพเคราะห์เก้าองค์คงประจำ |
อิกคำว่านพมาศนพรัตน | ความก็ชัดเหนไม่สู้สุขุมขำ |
นพมาศนี้เปนชื่อของทองคำ | ทองเนื้อเก้าเก้าน้ำนพคุณ |
นพรัตนคำนี้ก็มีเค้า | คือแก้วเก้าล้ำเลิศประเสริฐสุน |
ทรมากหลากประลาดชาติสกุล | ล้วนนับคุณนับค่าสารพัน |
คือเพชรนิลแลทับทิมมรกฎ | บุศยน้ำทองสีสดก็จัดสรร |
อิกไพฑูริยเพทายละม้ายกัน | โคเมนขั้นอิกมุกดาอาภาพราย |
นี่แลเรียกนพรัตนราคาแสน | เขาทำแหวนนพเก้าไม่ร้าวถลาย |
เปนของท่านมีทรัพย์นับกระทาย | ไว้สำหรับแต่งกายการมงคล |
นพศกนี้ว่าศกที่ครบเก้า | คำนี้คงลงเค้าทุกแห่งหน |
กับอิกคำหนึ่งว่านพปดล | แปลยุบลเก้าชั้นสรรวาจา |
เหมือนหนึ่งนพปดลเสวตรฉัตร | คำท่านจัดไว้ก็มีเช่นนี้หนา |
หนึ่งนพแปลว่าใหม่ก็ใช้มา | ประหนึ่งนพนัคราบุรีรมย์ |
แลคำนภภอมอต่อสกด | ในบาทบทพระบาฬีก็มีถม |
เช่นสวรรค์ชั้นนภดลชม | คนนิยมฟากฟ้านภาไลย |
นภดลแดนฟ้าสุรารักษ์ | ไม่ประจักษเคืองเข็ญว่าเปนไฉน |
สมเดจพระเลิศหล้านภาไลย | นี่คำใช้นบนภจบกระบวน |
(๖๑) หนึ่งยานญาณยอเล็กกับญอใหญ่ | จำกัดใช้ตามที่จงถี่ถ้วน |
ทั้งคำไทยคำมคธบทที่ควร | จะประมวนแบบใช้ไว้ให้ดู |
ตัวยานยอนอเล็กสกดนั้น | คำท่านสรรในสยามออกแส้หู |
ฃึงเส้นเชือกยานหย่อนผ่อนให้ตู | สายตราชูยาวยานพานจะเอียง |
กับคำไทยว่าอะไรมันกลิ้งอก | จะหยิบยกว่าให้ชัดก็ขัดเสียง |
อิเป้าป่านยานนักชักขึ้นเรียง | นี่สำเนียงคำไทยใช้ว่ายาน |
อิกคำหนึ่งยานยอนอสกด | แต่เปนบทในบาฬีชี้บรรหาร |
พาหะนะเครื่องฃองไทยที่ใช้การ | ยานุมาศราชยานเสลี่ยงวอ |
อิกสัตวใช้ช้างม้านาวารถ | รองบาทาว่ากำหนดโดยย่อย่อ |
ที่เปนเครื่องมาไปใช้เพียงพอ | สกดนอเหมือนคำไทยที่ใช้ชุม |
อิกญอใหญ่ใส่ณอใหญ่สกด | คำมคธใช้ว่าญาณพานสุขุม |
ท่านแปลว่าปัญญาไม่เคลือบคลุม | ชักประชุมใช้ว่าปรีชาญาณ |
คำมคธบาฬีนั้นมีมาก | ชักวิภาคที่ใช้จะไขขาน |
เหมือนหนึ่งว่าปองประโยชนโพธิญาณ | กรรมฐานทางภาวนาไมย |
วิปัสสะนาญาณสิบท่านหยิบยก | บทสาธกทศพละญาณไฃ |
ถึงอัดถ์แปลจะไม่ออกก็บอกไว้ | แต่ภอรู้ที่ใช้คำญาณยล |
(๖๒) รายกับไรถ้าจะใช้ให้ถูกบท | ที่กำหนดจงวิจารณ์สารนุสนธิ์ |
ดังเรี่ยรายคำยาวกล่าวยุบล | ที่รายคนเขาจะสักหักบาญชี |
เลขสมัคสักกี่รายจ่ายให้หมด | แล้วจำจดรายจำนวนให้ถ้วนถี่ |
ความในเมืองสักกี่เรื่องกี่รายมี | คำเหล่านี้ใช้ว่ารายกระจายคำ |
คนที่มีไรผมชมว่าเหมาะ | นี่จำเภาะเขียนว่าไรอย่าให้ถลำ |
เนื้ออุไรเรืองรองนี่ทองคำ | คนที่ทำผิดไปจันไรกิน |
อิกรำไรร่ำไรพิไรร้อง | เสียงเรไรแซ่ซ้องพนาสิน |
นักเลงอุเอียงใหเมไรยริน | คิดยุพินแม่ดำเนินเดินไรไร |
นี่บอกใช้คำว่าไรไม่รู้สุด | กุลบุตรเฃียนคำอย่าทำไถล |
อย่าให้กลายควรจะรายไรก็ไร | ทำเขวไขว้ใช้คลาศปราชตำเนียน |
(๖๓) หนึ่งแม่กดบทที่ใส่ไม้ไต่คู้ | จงเร่งรู้แล้ววิจารณ์จะอ่านเฃียน |
คือว่าเสร็จแลสำเร็จเผด็จเจียน | อิกคำเมียนว่าสมเด็จเสด็จจร |
เหาะระเห็จตามเขบ็จฃบวนฤทธิ์ | อันพูดเท็จทุจริตไม่ต้องสอน |
เหล่านี้ล้วนคำสั้นกระชั้นกลอน | เปนนิกรพจน์เบาราณบรรหารคำ |
เหาะระเห็จเสร็จเท็จนี้คำสยาม | กระแสความก็ไม่ฦกสุขุมขำ |
กับที่ว่าเขบ็จขบวนก็ควรจำ | นี่เปนคำคนไทยใช้กันมา |
อันสมเด็จแลเสด็จสองคำนั้น | เปนคำสรรแต่กัมพุชภาษา |
ตกเปนฃองคนไทยใช้เจรจา | ท่านแปลว่าผู้จบผู้เสร็จการ |
เผด็จนี้แปลว่าตัดว่าคัดแก้ | จงรู้แน่หนักแน่นเปนแก่นสาร |
พระเผด็จสงครามนามบุราณ | นามขนานป้อมเผด็จดัษกร |
เผด็จเสี้ยนส่ายเศิกเลิกไปสิ้น | ข้อรบิลบอกยุบลกลอักษร |
จงหมั่นนึกตรึกตราให้ถาวร | อย่าฟังเล่นอักษรกลอนประพันธ์ |
(๖๔) จำพวกหนึ่งแม่กนประดนสอน | ไม่มีอออ่านว่ากรก็เหนขัน |
แล้วซ้ำเขียนณอใหญ่ใส่การันต์ | ก็ใช้กันมาเปนแบบดูแยบคาย |
อลงกรณ์แปลว่าเครื่องประดับ | อิกคำสับดปกรณ์ผ่อนขยาย |
แปลว่าเจ็ดพระคำภีรโดยพิปราย | ยังอีกรายหนึ่งนั้นว่ามหาปกรณ์ |
นี้แปลว่าพระตำราคัมภีรใหญ่ | พยากรณ์ว่าทำนายธิบายสอน |
คำที่ใช้ในสยามความอุทธรณ์ | ว่าเลิกถอนตระลาการในศาลเดิม |
ปฏิสังขรณ์คำจำไว้หนา | เขาแปลว่าซ่อมแซมแลแถมเสริม |
ของชำรุดรั่วร้ำทำแปลงเติม | ปะฏิสังขรณ์เพิ่มภิยโยยาว |
ปัจฐรณ์บรรจฐรณ์นี้เครื่องลาด | คือฟูกเมาะเสื่อสาดสอาดขาว |
ทั้งพรมเจียมผ้าปูดูเพริศพราว | เหมือนคำกล่าวว่าบรรจ์ฐรณ์ที่นอนนา |
อิกอาภรณ์แปลว่าเครื่องประดับ | ที่สำหรับแต่งกายมีหลายอย่าง |
คำนิวรณ์อาวรณ์ว่ากั้นกาง | กั้นหนทางที่เปนบุญให้ขุ่นมัว |
อิกม้วยมรณ์นั้นว่าตายวายชีวิตร | ถ้าใครคิดถึงอยู่บ้างจะยังชั่ว |
ภอกำจัดความเมาให้เบาตัว | ที่คิดกลัวความตายค่อยคลายเบา |
อุทาหรณ์นั้นท่านแปลว่าแบบอย่าง | เปนที่อ้างออกใช้ทั้งใหม่เก่า |
คือคำชี้ตัวอย่างทางสำเนา | ที่ควรเล่าจดจำเปนตำรา |
กรรมกรกรรมกรณ์ผ่อนเปนสอง | โดยทำนองในมคธภาษา |
กรรมกรตัวนี้ชี้วาจา | คือใช้ว่าค่าทาษกรรมกร |
แปลว่าคนทำการบรรหารเหตุ | แนะนิเทศทางคำจงจำสอน |
มิใช่พวกการันต์ปันนิกร | จงรู้ผ่อนใช้ให้ต้องทำนองความ |
กรรมกรมีณอการันต์ท้าย | อธิบายบอกพร้องไม่ต้องถาม |
เครื่องสำหรับทำโทษคนเลวทราม | ซึ่งทำความทุจริตผิดคะดี |
คือโซ่ตรวนขื่อคาเปนอาทิ | ท่านศิริรวมจำนวนไว้ถ้วนถี่ |
สามสิบสองกรรมกรณ์แต่ก่อนมี | แต่เดี๋ยวนี้ใช้แยกแปลกแปลกไป |
(๖๕) หนึ่งอาจหาญห้าวหาญแลทวยหาญ | นี่อาจาริย์ท่านบังคับตัวญอใหญ่ |
อย่างบัญญัติสืบกันมาภาษาไทย | เดิมอย่างไรจึ่งเปนบทสกดญ |
เรื่องนี้ก็หาชัดถนัดไม่ | เหนแต่ใช้ตามกันเท่านั้นหนอ |
ห้าวหาญนั้นว่ากล้าไม่รารอ | อาจหาญกล้าพอจะรั้งรา |
ทวยหาญขานความไว้ตามเหตุ | โดยสังเกตกันที่รู้ว่าหมู่กล้า |
จงเรียนรู้ดูให้ทั่วทุกวาจา | จึ่งนับว่าเปนบัณฑิตย์ศิศยมีครู |
(๖๖) หารสกดตัวรอพอกำหนด | เปนมคธสิบเอ็ดคำจำให้อยู่ |
คืออาหารบริหารวิจารณ์ดู | ทหารคู่กับสังหารประหารตี |
สมาหารโวหารบรรหารเหตุ | ในประเภทอะวะหารมีอยู่สี่ |
อภินิหารคูณหารชำนาญดี | คำเหล่านี้รอสกดบทประจำ |
ซึ่งศับทว่าอาหารพานจะตื้น | ด้วยเปนพื้นพูดกันอยู่ทุกเช้าค่ำ |
กินอาหารเข้าปลากระยากำ | ถึงถ้อยคำอย่างผู้ดีก็มีมา |
เชิญรัปทานอาหารสำราญเถิด | ภักษาหารจะให้เกิดกำลังกล้า |
ธัญญาหารเหนตระการในท้องนา | ทั้งถั่วงาดาดไปในไร่ราย |
บริหารว่าจำเลยเฉลยแก้ | หนึ่งท่านแปลว่ารักษาว่าขยาย |
คือควบคุมปกป้องต้องธิบาย | เหมือนคำกายบริหารพานจะชุม |
คำทหารก็เปนคำมะคะธะ | ทะหะระที่ท่านแปลว่าคนหนุ่ม |
สำเนียงไทยใช้ยาวกล่าวเคลือบคลุม | เรียกกันกลุ้มว่าทหารนมนานมา |
ศับทสังหารแปลคำว่านำพร้อม | แต่พูดน้อมข้างไทยใช้ว่าฆ่า |
ดังคำพูดสังหารผลาญชีวา | ก็คือว่านำชีวิตรให้ปลิดปลง |
ประหารว่าตีกันแลฟันฟาด | คำนักปราชแปลไว้อย่าใหลหลง |
พากยมคธมาเปนไทยใช้ให้คง | อย่าเงอะงงแวะเวียนทำเปลี่ยนแปลง |
โวหารว่าคำพูดฤาคำเรียก | จงสำเหนียกยลแยบที่แอบแฝง |
ทุกวันใช้โวหารพานเคลือบแคลง | เหนระแวงไปข้างกล้าวาจาดี |
เช่นคำว่านายปานโวหารมาก | ทั้งฝีปากฉาดฉานไม่อู้อี้ |
คนที่กลั่นแกล้วกล้าเชิงพาที | ชมว่ามีโวหารการเจรจา |
สมาหารแปลว่านำมาพร้อม | ถ้าจะน้อมในสยามภาษา |
ตกในความว่าประมวลชักนำมา | ดังชื่อช้างนางพระยาวิมลรัตน |
นั้นมีบารมิตาสมาหาร | สิโลกสารแอบแฝงท่านแจงจัด |
พระบาฬีชักมาว่าให้ชัด | ก็สมอัดถ์สมความไม่ลามเลย |
อนึ่งนั้นจงวิจารณ์บรรหารศับท | ก็คล้ายกับบริหารท่านเฉลย |
แปลว่ากล่าวคำขยายพิปรายเปรย | คำนี้เคยคนไทยใช้มานาน |
เหมือนหนึ่งว่าศุภสารบรรหารเหตุ | คำพิเสศใช้ว่าราชบรรหาร |
เปนคู่กันกับที่ว่าบัญชาการ | แต่บุราณมักจะใช้ใส่ตัวญอ |
อะวะหารนั้นว่านำอย่างต่ำแท้ | ข้างไทยแปลความประจักษว่าลักฉ้อ |
เปนคำใช้ในมคธสกดรอ | ไม่ติดต่อกับสยามความไม่มี |
คำว่าอะภินิหารพานจะซึ้ง | แปลให้ถึงความในอักษรศรี |
ว่านำออกโดยฉเภาะเหมาะวาที | ก็คือบุญบารมีที่นิยม |
ดังคำว่ากฤดาภินิหาร | แปลว่าท่านมีบุญได้สร้างสม |
ไว้แต่เบื้องบุรภพท่านอบรม | จึ่งอุดมไปด้วยยศศฤงฆาร |
ยังอิกคำที่สิบเอ็จจะเสร็จสิ้น | โดยรบิลบอกคำว่าคูณหาร |
แปลว่าแบ่งนำลงจงวิจารณ์ | คือเลขหารแบ่งชักหักเลขบน |
ในคำนี้บางอาจาริย์ท่านขานบท | ใช้สกดตัวนอข้อนุสนธิ์ |
ว่าเสื่อมถอยหย่อนยอบก็ชอบกล | สองยุบลจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ |
อิกคำหนึ่งนั้นปะหานแปลว่าละ | มิใคร่จะมีใช้ในสยาม |
มักมีในเทศนาท่านว่าตาม | บทในคามภีระอัดถ์ชัดวาจา |
ตัดเกลศสมุทเฉทปะหาน | ท่านไขฃานคำมีเช่นนี้หนา |
พวกทายกอุบาสกอุบาสิกา | ที่ฟังมาแต่เก่าเก่าคงเข้าใจ |
หานสิบห้าคงคำจำให้แน่ | ทั้งคำแปลอธิบายขยายไฃ |
เมื่อจะเฃียนควรขานหานอะไร | จงเลือกใช้แต่ที่ชอบประกอบคำ |
(๖๗) หนึ่งพิธีคำนี้นี่ถูกแล้ว | อย่ายักใช้ให้มันแคล้วไถลถลำ |
บางคนเขียนทอเพิ่มเติมประจำ | จัดเปนคำเขียนผิดว่าพิทธี |
เพราะผิดจากคำเดิมเติมสกด | ในมคธเฃียนคำวิธีนี่ |
ท่านแปลงวะไปเปนพะสระอี | จึงเขียนใช้ว่าพิธีเช่นนี้คง |
ต้องที่ใช้ในสยามความหลากหลาก | โดยวิภาคพิธีพราหมณ์พิธีสงฆ์ |
ทุกพระราชพิธีที่จำนง | โปรดให้คงไว้ประจำฉนำเดือน |
(๖๘) หนึ่งสำรับกับอิกคำว่าสำหรับ | ควรจะจับเสียงประหลาดอย่าคลาศเคลื่อน |
ยกสำรับกับเฃ้าขึ้นเย่าเรือน | ให้นายเผื่อนอยู่สำหรับช่วยรับการ |
บางทีเขียนสำหรับเปนสำรับ | หอไม่นำกำกับเคียงขนาน |
ยากจะรู้ต้นเหตุสังเกตการ | ผู้จะอ่านไม่ทันคิดก็ผิดความ |
(๖๙) บวชผนวชตรวจดูก็รู้หมด | เปนมคธดอกมิใช่คำสยาม |
ท่านแปลว่าละเว้นเบญจกาม | จึ่งใช้ตามคำมคธสกดชอ |
บวชมิหนำซ้ำแผลงผนวชเล่า | คือท่านเอาตัวปอเปนตัวผอ |
เพื่อจะใช้สูงต่ำคำลออ | เหมือนพระหน่อท่านไปทรงผนวชนาน |
ตระกูลต่ำใช้แต่คำเพียงว่าบวช | ชั้นเจ้านายทรงผนวชใช้คำขาน |
เปนชั้นสูงชั้นต่ำจำพิจารณ์ | เรียกให้ต้องตามการอย่าก้าวเกิน |
(๗๐) อิกบพิตรบพิธคิดให้แน่ | ดังแบบแก้ไว้เปนอย่างอย่าห่างเหิน |
บพิตรว่าเครื่องยินดีเปนที่เพลิน | ล้วนเปนสิ่งที่เจริญปลื้มกระมล |
บรมนารถบพิตรมหิศร | ในคำกลอนกล่าวแจ้งทุกแห่งหน |
ตำแหน่งใหญ่ใช้นามเปนมงคล | ไม่ใคร่พ้นคำบพิตรติดทุกนาม |
ซึ่งใช้คำบพิธธอสกด | พากย์มคธท่านมาใช้ในสยาม |
แปลว่าแต่งสร้างสมนิยมตาม | ขนานนามวัดราชบพิธ |
ความว่าวัดจอมกระษัตรได้ทรงสร้าง | นี่ตัวอย่างชี้เช่นเหนสนิท |
คำที่แจงแจกถ้วนนี่ควรคิด | เขียนบพิธอย่าให้ผิดพินิจความ |
(๗๑) หนึ่งมิ่งขวัญหมอควาญบรรหารเหตุ | แนะนิเทศอย่างบัญญัติในสยาม |
เก่าสกดญอใหญ่ต้องใช้ตาม | เหลือจะค้นต้นความแต่เดิมมา |
จะสมโภชเชิญขวัญเสวตรสาร | ทั้งหมอควาญให้ชุํนุํกันพร้อมหน้า |
นี่ตัวอย่างขวัญควาญฃานวาจา | เขียนกันมาญอสกดบทนิกร |
(๗๒) อิกสองคำคือครุธอาวุธนี้ | ในบาฬีเขียนเคียงเรียงอักษร |
ครุโธอาวุโธกับโตมร | มิได้ซ้อนตัวสกดบทยุบล |
เสมียนไทยมักจะใช้เขียนสกด | เปนอาวุทธครุทธหมดทุกแห่งหน |
เอาตัวทอต่อเติมเสริมประดน | เหนจะล้นเหลิงเลยด้วยเคยมือ |
จะกลับกล่าวสกุณาพระยาครุธ | ฤทธิรุดม์ฤาเลิศตลอดอื้อ |
พวกโยธาอาวุธมีครบมือ | ล้วนดุดื้อเด็จหาญข้างราญรอน |
ขอเสียเถิดอย่านินทาว่าจู้จี้ | กับเท่านี้ก็ยังว่าเอามาสอน |
เหนเขาเขียนผิดผิดคิดอาวรณ์ | จึงทำกลอนสอนไว้เผื่อที่เชื่อกัน |
ที่ไม่เชื่อฉันก็เหลือจะตรองตริ | ถึงจะติก็ต้องงดสู้อดกลั้น |
ยอมให้ติยอมให้ว่าสารพัน | ด้วยสำคัญคิดจะให้ไว้เปนคุณ |
(๗๓) อิกวาทีว่าคัมภีร์แลกัมพุช | กุลบุตรแปลงเปลี่ยนเฃียนออกวุ่น |
จะวางแบบแยบย่อพอเปนทุน | แก่ฝูงกุลบุตรเรียนเร่งเพียรจำ |
คัมภีร์นี้คำมคธบทอธึก | แปลว่าฦกล้วนเปนของสุฃุมขำ |
ที่ครูสอนสิศย์เรียนจำเนียนนำ | เช่นพระธรรมไตรยปิฎกยกเปนเดิม |
เขียนคัมภีร์นั้นต้องมีการันต์ท้าย | โดยธิบายตัวรอเข้าต่อเสริม |
ยังแบบใช้ในกกาเฃ้ามาเติม | เขียนก็คล้ายคำเดิมว่าคำภีร์ |
เมืองกำพุชแปลว่าเมืองเขมร | ใช้กันเจนอยู่ก็เฃียนตัวพอพี่ |
แลสกดตัวชอต่อลิปี | ตามวิธีแต่บุราณมานานครัน |
กับที่ใช้ในแม่กกาล้วน | คำก็ควรกำพุชไม่ผิดผัน |
กำกับกัมแม่กมนิยมกัน | ตัวสำคัญอย่าให้เพี้ยนเปลี่ยนเปนภอ |
ที่คำยาวนั้นต้องกล่าวว่ากำโพช | อุชเปนโอชผิดกันเท่านั้นหนอ |
กัมโพชาธิบดีไม่มีรอ | ออกต้านต่อกันแดนกำพูชา |
(๗๔) คำที่ว่าปราโมชนั้นเปนสอง | ตามทำนองในมคธภาษา |
คือปราโมชปราโมทยสองวาจา | ใช้กันมาสองอย่างแต่ปางบรรพ์ |
คำที่สองต้องเอาชะเปนทะยะ | โดยวิธีสะกะฎะท่านจัดสรร |
คำนี้แปลว่าบันเทิงรื่นเริงครัน | ชี้สำคัญตัวอย่างท่างนิทัศน์ |
ทรงสดับสาราให้ปราโมช | ด้วยยามโปรดปรีเปรมเกษมสวัสดิ์ |
อันบันเทิงนี้เปนความโสมนัศ | คำปราโมชมีอัธิบายตรง |
(๗๕) หนึ่งสังเวคสังเวชสังเกตพจน์ | แล้วกำหนดนึกไว้อย่าใหลหลง |
ตัวสกดสองคำจำให้คง | โดยจำนงคำหนึ่งสกดคอ |
คำหนึ่งชอสกดกำหนดไว้ | นี่ใช้ได้เหมือนกันอย่าพรั่นหนอ |
แปลว่าความสลดในน้ำใจฅอ | อุทาหรณ์สอนส่อต่อฃ้อนิพนธ์ |
คิดคิดถึงทรงเดชสังเวชนัก | มาร้างรักแรมไกลอยู่ไพรสณฑ์ |
สร้างสัลเลขเกิดสังเวคในกระมล | ได้ลุดลแดนศุขศิวาไลย |
แต่ทุกวันพูดกันว่าสมเพช | ก็อ้างเหตุคำนั้นออกขานไฃ |
ภาษาชักให้ประจักษเปนคำไทย | จึงพูดใช้ว่าสมเพชเวทนา |
คือแผลงเอานิคหิตเปนตัวมะ | แล้วแปลงวะเปนพะเสียด้วยหนา |
เปนสมเพชคำไทยใช้กันมา | ลงอัตราแต่บุรำคำบุราณ |
ดูสมเพชเวทนานักหนานัก | เยาวลักษณไร้วงษ์น่าสงสาร |
นี้ตัวอย่างชี้เช่นเปนประมาณ | จำวิจารณ์ไว้เปนเครื่องเรืองปัญญา |
(๗๖) หนึ่งจะเขียนคำว่าบุญอย่าวุ่นไขว่ | คำนี้ใช้อย่างมคธภาษา |
ที่คำต้นเรียกกุศลว่าบุญญา | ท่านแปลว่าเครื่องชำระสันดานดี |
จึงเฃียนใช้ญอใหญ่เปนตัวสกด | เช่นแบบบทใช้มากเปนสากษี |
ถ้าใช้ตามสังสกฤฎะวิธี | แผลงนั้นมีตัวสกดนอกับยอ |
เหมือนคำว่าผู้มีบุนย์การุญญาติ | ไม่ให้ขาดทางมิตรสักนิดหนอ |
คำว่าบุญต้องด้วยบทสกดญอ | เปนสองข้อแคะไค้ออกให้ฟัง |
(๗๗) อนุญาตหมู่ญาติให้รู้แยก | จับตัวแปลกเช่นข้างต้นแต่หนหลัง |
อนุญาตแปลว่ายอมโดยลำภัง | อย่าให้พลั้งตอสกดมคธตรง |
บางคนเขียนอนุญาตสกดติ | อุตริเคลือบไคล้ด้วยใหลหลง |
พาให้คนเฉาเซอะพลอยเงอะงง | อย่าจำนงเอาเปนแบบไม่แยบคาย |
อันคำญาติแปลกันว่าพี่น้อง | คำนี้ต้องติสกดตามบทหมาย |
อย่าไผล้เผลเขวไขว้ให้วุ่นวาย | ที่ควรติอย่าให้กลายเปนตอไป |
ที่ตัวอย่างอ้างชี้นั้นมีถม | เหมือนบรมราชานุญาตให้ |
เสนามาตย์ซึ่งเปนญาติกับฝ่ายใน | โปรดให้ไปสมโภชนัดดาองค์ |
(๗๘) หนึ่งไมตรีไม้ตรีวาทีสอง | จงตฤกตรองใช้ความตามประสงค์ |
เหมือนไม้โทไม้ตรีที่จำนง | นี่คำตรงเฃียนไม้ต้องใส่โท |
ที่คำว่าไมตรีตีสนิท | สมานมิตรไมตรีดีอักโข |
ความเช่นนี้ไม่ต้องใช้ถึงไม้โท | ด้วยเปนโวหารใช้ว่าไมตรี |
เนื่องมาแต่ภาษามคธพจน์ | คือตัวบทเมดติอักษรศรี |
แปลว่าคิดที่จะให้กันได้ดี | โดยวาทีที่ประจักษ์ว่ารักกัน |
(๗๙) ปฏิญญาปฏิญญาณบรรหารเหตุ | แนะนิเทศทางแยกที่แปลกผัน |
ปฏิญญาคำมคธบทสำคัญ | นี่ใช้กันมาแต่เดิมไม่เติมญอ |
แปลว่าคำทานบนแลนัดหมาย | ไม่กลับกลายมิใช่คำพูดลวงฬ่อ |
ที่คำตรงในมคธสกดญอ | ใช้ต่อต่อมาก็เปนปฏิญญาณ |
(๘๐) หนึ่งเมดตามีตัวดอสกด | ว่าตามบทบาฬีที่บรรหาร |
ครั้นมาเฃียนคำไทยใช้กันนาน | พวกเกียจคร้านชักเหเปนเมตา |
ไม่ควรนับเปนตำหรับตำราแบบ | ให้ถูกแยบอย่างบาฬีไว้ดีกว่า |
ด้วยมิใช่คำไทยใช้กันมา | อ้างภาษาในมคธเปนบทเดิม |
คำเมดตาแปลว่าอารีรัก | บางทีชักการุญเข้าหนุนเสริม |
เปนสองคำสองข้อเข้าต่อเติม | สองคำเพิ่มแปลว่ารักว่าเอนดู |
คำที่ใช้ว่าช่างไม่เมดตาบ้าง | เสียแรงร่างเรื่องรักประจักษ์หู |
ลิขิตฃานสารส่งองค์พธู | พอได้รู้เรื่องเมดตาของนารี |
(๘๑) แก้เมดตาแล้วจะว่าด้วยเมดติ | ตามลัทธิทางกลอนอักษรศรี |
เมดติท่านแผลงใช้ว่าไมตรี | ไม่ต้องมีโทประจำเช่นคำไทย |
อันไม้ตรีมีถัดไม้จัตวา | นั้นแปลว่าไม้สามสยามไข |
แปลกกับคำเมดติแผลงว่าไม | จะเขียนใช้จงประญัติให้ชัดชิน |
เหมือนพูดว่าพิสมัยไมตรีมิตร | ชักสนิทเปนไมตรีทุกที่ถิ่น |
เจริญราชไมตรีถึงองค์กวิน | ผู้ครองถิ่นนัคเรศเฃตรลอนดอน |
(๘๒) กรุณาณอใหญ่ใช้จงชอบ | ตามรบอบแบบบทมคธสอน |
อย่าลิขิตให้มันผิดทางสุนทร | จงจำกลอนจำแปลให้แน่ใจ |
กรุณาแปลว่าเอนดูสัตว | ที่ข้องฃัดเคืองเขญเปนวิไสย |
คิดจะเปลื้องปลดทุกข์ให้ห่างไกล | นี่แลท่านขานไขว่ากรุณา |
(๘๓) หนึ่งการุญญอใหญ่ใช้สกด | ก็ถูกบทตามแบบที่ศึกษา |
อุกาสะการุญญังกัตวา | ในคำขอบรรพชาสามเณร |
พวกชาวบ้านมักจะค้านว่าชาววัด | คี่มักจัดข้างตำราภาษาเถร |
อันคำนี้มิใช่แสร้งจะแกล้งเกณฑ์ | เคยบวชเณรแทบทุกคนบ่นเอาใคร |
กรุณาการุญทุพิธพจน์ | จะกำหนดโดยเนื้อความสยามไฃ |
แปลก็อย่างเดียวกันอย่าพรั่นใจ | จำให้ได้แต่ที่บทสกดญอ |
แม้นทรงพระกรุณาแก่ข้าบาท | จะเสร็จราชประสงค์จงทุกข้อ |
หากว่าเราการุญอุดหนุนพอ | นี่ความส่อกรุณากับการุญ |
(๘๔) ปฏิญญาสัญญาปัญญานี้ | เขียนต้องมีญอสองสนองหนุน |
ตามมคธบทเดิมท่านเติมจุน | จำต้นทุนไว้เปนเครื่องเรืองปัญญา |
ปฏิญญาแปลว่าคำนัดหมาย | สัญญาคล้ายเช่นกันฉนั้นหนา |
ความรู้ทั่วนี่เปนตัวว่าปัญญา | กับอิกคำปรีชาก็เช่นกัน |
นี่แปลว่ารอบรู้ดูสังเกต | ว่าตามเหตุแห่งอักษรท่านผ่อนผัน |
ตกมาเปนคำไทยใช้จำนัญจ์ | ถึงกระนั้นก็อย่าเขียนให้เพี้ยนตัว |
(๘๕) ต่างกับตั่งนะอย่าพลั้งอย่างแพลงพลาด | ถ้าเฃียนคลาศเคลื่อนเค้าเขาจะหัว |
จะเขียนตั่งคำสั้นกระชั้นตัว | อย่าไปมัวลากข้างเปนต่างไป |
บรรจงจัดพร้อมเพรียงที่เตียงตั่ง | ฃอเชิญนั่งให้สำราญจะฃานไข |
ธรรมเนียมคนต่างคนคงต่างใจ | ปล้องไม้ไผ่ต่างกันด้วยสั้นยาว |
(๘๖) หนึ่งคำใช้ทอรอแทนซอนั้น | มีสำคัญควรพิเคราะห์ได้เสาะสาว |
คือนิทราอินทราจันทราดาว | อิกคำกล่าวอินทรีมีไม้ไทร |
ทรงทรางทรวงแทรกจำแนกบท | โดยกำหนดทรุดทรัพย์ลำดับได้ |
ทราบอิกโทรมทรามทรายรายกันไป | ทอรอใช้ต่างซอข้อคดี |
คำนิทราแปลว่าหลับสนิท | อินทราคิดข้างเปนชื่อท้าวโกสีย์ |
เช่นใช้มาว่าอินทราธิบดี | รัศมีจันทราดาราพราย |
คำว่าทรีนี้เปนสองสนองพจน์ | คือมคธแลสยามความขยาย |
ข้างคำไทยมิได้ใช้ตัวยอปลาย | พฤกษารายริมถนนล้วนนนทรี |
หนึ่งคำไทยเรียกใช้เปนนามนก | คือพิหคอินทรีชื่อปักษี |
กับเรียกใช้ชื่อมัจฉาในวารี | ปลาอินทรีตัวเล็กเจ๊กประเดิม |
อันอินทรียในมคธเปนบทแบบ | นั้นมีแยบยอการันต์ท่านสรรเสริม |
อนุสนธิ์ต้นข้อจะต่อเติม | ไว้ภอเพิ่มอุดหนุนเปนทุนรอน |
หมวดอินทรีย์ห้าหกยกออกไข | ตามที่ในแบบบทมคธสอน |
จำพวกธรรมที่เปนใหญ่ไกลนิวรณ์ | คือศรัทธาเชื่อก่อนด้วยทดลอง |
แล้วถัดถึงตัวสติที่ตริตฤก | รู้ระฦกร้ายดีเปนที่สอง |
ที่สามนั้นวิริยะเข้าประคอง | สมาธิจัดเปนกองที่สี่มี |
ที่ครบห้าคือปัญญาอันรู้ชัด | กระจ่างจัดแจ่มสว่างทางวิถี |
ทั้งห้าสิ่งสรรสิ้นว่าอินทรีย์ | แต่ล้วนเปนอธิบดีสำเร็จการ |
อินทรีย์หกยกคัดจัดฉักกะ | จักษุโสตฆานะชิวหาหาญ |
อิกกายใจสาธกหกทวาร | ให้เสร็จการดูฟังทั้งสูบดม |
กับลิ้มรศรู้สัมผัดอัตถ์คดี | ท่านจึ่งเรียกอินทรีย์ก็สบสม |
อิกอินทรีย์ยี่สิบสองปองนิยม | โดยนุกรมอย่างวิจิตรพิศดาร |
ฉันชักมาว่าให้เหนเปนกระทู้ | จะใคร่รู้ในบาฬีมีวิดถาร |
จะร่ำเพ้อพรรณาก็ช้าการ | จงวิจารณบทระบินว่าอินทรีย์ |
ซึ่งมาพูดคำไทยไม่ถนัด | เหนใช้ชัดไปข้างฝ่ายกายฉวี |
เหมือนคำชมสมสิ้นทั้งอินทรีย์ | อิกโอ่อ่าอินทรีย์ก็มีชุม |
ความก็ชัดไปข้างชมรูปศิริ | ต่อตรองตริจึ่งจะทราบอยาบสุขุม |
ด้วยโวหารฝ่ายข้างไทยมักใช้คลุม | ได้เหนชุมเช่นสกนธ์แปลว่าตัว |
กับคำอื่นก็ยังมีเปนที่อ้าง | ถ้ารู้บ้างเหนบ้างก็ยังชั่ว |
จะสว่างส่างใสที่ใจมัว | ไม่ต้องกลัวคลางแคลงระแวงคิด |
คือใช้คำว่าพิทักษ์เปนรักษา | มโนไมยใช้ว่าม้าไม่สนิท |
กับภาราว่านครควรพินิจ | หนึ่งลิฃิตใช้กัณถัดว่าอัศวา |
อิกคำสั่งใช้เฃียนว่าราชสาร | หนึ่งโวหารเหนใช้ว่าพูดกล้า |
อิกคำเรียกเพชรนิลว่าจินดา | เปนวาจาแปร่งแปร่งคลางแคลงคลุม |
ราชสารควรใช้ว่าสาสนะ | เช่นคำพระสาสนาว่ากันกลุ้ม |
อันใช้คำแปร่งเช่นนี้มักมีชุม | เคลือบเคลือบคลุมคลุมคล้ายอินทรีย์ฉะนี้นา |
จงรู้รอบลอบไทรใช้ตัวนี้ | กับคำที่ว่าต้นไทรใหญ่สาขา |
ต้นไม้ดงทรงช่อชูผกา | พระจักราทรงฤทธิ์สถิตยเนา |
เรือที่นั่งลำทรงบรรจงหมด | กับอิกรถที่นั่งทรงเฉิดเฉลา |
พวกคนทรงมักจำนงต่อน้ำเมา | ยุพเยาว์สรรทรงล้วนนงคราญ |
เปนไฃ้ทรางวางยามิใคร่ถูก | ใครช่างปลูกต้นมทรางพฤกษาสาร |
เหนฝูงช้างบงทรางซึมงึมนาน | สองฟากธารไม้ทรางเหมือนอย่างกลึง |
บุษบาแค้นใจเปนใหญ่หลวง | สองพระกรฃ้อนทรวงอยู่ผึงผึง |
ปะเสหรันบาหยันให้พรั่นพรึง | ไม่อ้ำอึ้งบอกเล่าเจ้ากระทรวง |
เหนคางคกตายทรากไม่อยากหยิบ | มนต์กระซิบทรากผีต้องพลีสวง |
ถ่านไม้ทรากถ้าใครเอาสุมพลวง | มันแรงล่วงเลยไปไหม้เปนจุณ |
กระบวนแห่คราวนี้มีแปลกแปลก | ทั้งบังแทรกบังสูริยเสนอหนุน |
คนดูเบียดเสียดแทรกกันชุนละมุน | ใครทำวุ่นแซงแทรกก็แตกวง |
ที่ทางทรอกกรอกเกริ่นเนินไศล | ถ้าแม้นใครไม่ประจักษก็มักหลง |
ที่ทรอกแทรกแล้วต้องแยกไปตามตรง | ท่านจำนงแผลงแทรกชำแรกแทน |
เช่นใช้คำชำแรกแผ่นดินดล | นั้นคือคนแขงเวทวิเศศแสน |
กับพวกนาคถิ่นฐานบาดาลแดน | ไม่ฃัดแคลนแทรกดินสิ้นด้วยกัน |
อิกคำทรุดใช้ทอรอประกอบ | ตามระบอบแบบบัญญัติท่านจัดสรร |
เหมือนตึกทรุดเสาทรุดฉุดไม่ทัน | ธรรมเนียมนั้นเสื่อมทรุดชำรุดไป |
คำว่าทรุดกับชำรุดนี้ไม่แปลก | เปนคำแยกเพราะท่านแผลงแสดงไข |
ชำรุดเปนคำแผลงจงแจ้งใจ | ก็คือทรุดคำไทยที่ใช้กัน |
เฉิดเฉลาทรวดทรงนางนงลักษณ | วรภักตรผุดผ่องเพียงบุหลัน |
พวกโมงครุ่มสรวมเทริดประเสริฐครัน | เทริดสุวรรณสวมเศียรเจียนจะคลุม |
ที่คนขัดอัดอั้นปัญญาอับ | คนมีทรัพย์มีศักดิ์มักสุขุม |
ด้วยผู้ที่ปรีชามาประชุม | ชักชุมนุมความฉลาดอาจประมวน |
หนึ่งคำไทยใช้ว่าโลหิตทรับ | บอสกดบทฉบับแบบกระสวน |
ถึงจะใช้ตัวซอก็พอควร | เพราะกระบวนคำไทยใช้ไม่ยืน |
กลอักษรกลอนสยามความระหัศ | ไม่ทราบชัดแล้วก็ใครอย่าใฝ่ฝืน |
ได้ซึมทราบอาบอ้ำเพราะกล้ำกลืน | คนโหดหืนห่อนจะทราบที่บาปกรรม |
ทรามสวาดิ์ไยมาขาดไมตรีจิตร | ทรามสงวนควรคิดที่ข้อขำ |
อิกทรามไวยทรามรักชักประจำ | กับอิกคำโฉมงามทรามคนอง |
ผลไม้ดิบห่ามทรามกำดัด | แสนสมบัติทรามชมภิรมย์สนอง |
อิกเสื่อมทรามเลวทรามตามละบอง | คนลำพองนั้นท่านว่าปัญญาทราม |
ฃองปะหรักหักพังทั้งชำรุด | เฃาเรียกว่าโทรมทรุดภาษาสยาม |
อิกคำว่าโทรมนัศนี้ชัดความ | พูดกันตามคำมคธบทบาฬี |
แปลว่าความเสียใจฤไทยทุกข์ | คู่กับศุขโสมนัศเจริญศรี |
อิกกรวดทรายรายพื้นปัถพี | คำเหล่านี้เสียงซอทอรอแทน |
อันคำทอรอประโยคโสลกนี้ | เห็นต้องที่คำมคธโดยแบบแผน |
ที่คำไทยควรใช้ซอเปนแดน | ได้เปลี่ยนแปลนตามเหตุสังเกตตัว |
แต่บุราณใช้มากเปนรากเหง้า | จะดัดแปลงของเก่าเขาจะหัว |
จะถูกจับนัดยาข้าก็กลัว | ต้องคิดถัวกันทั้งหมดมคธไทย |
ตัวทอรอแทนซอเช่นนี้นี่ | ใช่จะมีเพียงเท่าอย่างที่อ้างไขย |
ถึงคำอื่นก็ยังดื่นมีถมไป | นี่ฉันเลือกแต่ที่ใช้กันมาชุม |
(๘๗) คำว่าธงคงใช้ธอธนิต | คือท่านคิดคำบาฬีซึ่งมีกลุ้ม |
ธะชะศับท์สาธกไม่ปกคลุม | คำรวมรุมธุชธวัชสบัดปลาย |
ธะชะเปนคำเดิมท่านเติมอุ | เช่นเชตุพนวิหารอ่านขยาย |
ชมพูนุทตัวอย่างอ้างพิปราย | ท่านใช้กลายอุอะสระไทย |
(๘๘) กับอิกคำว่าธุลีนี่ลิขิต | ธอธะนิตใช้มาแต่คราไหน |
ข้อยก็เกิดมาไม่ทันสำคัญใจ | ตามที่ได้สอบสังเกตในเหตุการณ์ |
ขอเดชะฝ่าลอองธุลีพระบาท | อุปฮาดราชบุตรสิทธิสาร |
เข้ามาเฝ้าทูลธุลีบทมาลย์ | ขอประทานโทษาฝ่าธุลี |
เปนตัวอย่างอ้างออกอุทาหรณ์ | ให้รู้บ่อนใช้คำธุลีนี |
หนึ่งผงเผ่าเท่าลอองอิกผงคลี | ก็คงเฃียนว่าธุลีเช่นนี้ตรง |
(๘๙) อิกคำหนึ่งซึ่งมาแต่มคธ | คือนิยมว่ากำหนดโดยประสงค์ |
ไม่ต้องกับความไทยใช้จำนง | ต้องแบ่งลงสองส่วนควรพิจารณ์ |
ส่วนหนึ่งสาธกยกเปนบท | ฝ่ายมคธข้อลิฃิตอย่างวิดถาร |
ส่วนนิยมอย่างไทยใช้มานาน | แต่พ้องพานกันกับพจน์บทบาฬี |
ไม่นิยมสมบัติสลัดทิ้ง | ด้วยเหนจริงถ่องทางธรรมวิถี |
ให้นิยมชมชื่นรื่นฤดี | ความอย่างนี้คำไทยใช้นิยม |
จะแปลว่ากำหนดก็ใช่ที่ | ถ้าแปลว่ายินดีนั้นดูสม |
พากย์สยามพากย์อื่นเข้ากลืนกลม | แยกนิยมออกเปนสองทำนองความ |
(๙๐) หนึ่งคำใช้ว่าทำเนียมธรรมเนียมนี้ | แต่เดิมทีใช้ประจำคำสยาม |
คือแผลงเทียมว่าทำเนียมคดีตาม | ดูก็งามในระเบียบว่าเทียบเทียม |
ซึ่งเปลี่ยนใช้ธรรมธอมีรอหัน | คือทรงธรรมจอมจบพิภพเสียม |
พระจอมเกล้าเหล่ากระวีไม่มีเทียม | โปรดให้ใช้ธรรมเนียมอย่างนี้นา |
ด้วยอ้างคำธัมมะนิยะมะ | มะคะธะทางพจนภาษา |
จะเขียนอย่างข้างไทยที่ใช้มา | ก็เฃียนว่าเปนทำเนียมทำนองคำ |
ธรรมเนียมนี้แปลความตามมคธ | ว่ากำหนดธรรมดาอุส่าหสำ |
เหนียกจงแน่แต่ลบทควรจดจำ | ให้ชัดชำนาญนึกเร่งตฤกตรอง |
(๙๑) อนึ่งเพียรเรียนรู้จงประจักษ์ | ในคำรักแลว่ารักษ์นี้เปนสอง |
มีที่ใช้ต่างความตามทำนอง | จะจัดจองแจ้งแจงที่ใจจริง |
ว่ารักรักคำไทยใช้กันเกลื่อน | คำเทียบเหมือนชายสมัครักกับหญิง |
พ่อแม่รักใคร่บุตรสุดประวิง | ฤาว่าหญิงรักชายก็คล้ายกัน |
หนึ่งต้นรักดอกรักอิกน้ำรัก | แน่ตระหนักคำไทยได้เศกสรร |
ไม่ต้องที่ซึ่งจะมีษอการันต์ | กอสกดเท่านั้นแลถูกความ |
รักษ์ที่มีษอบอเข้าต่อท้าย | บอกธิบายว่ามิใช่คำสยาม |
จงแบ่งสรรปันส่วนอย่าลวนลาม | ใช้ให้ถูกต้องตามความนิยม |
พระยาบำเรอบริรักษได้ซักฟอก | ขู่ตะคอกขึ้นเสียงเถียงขรม |
บริรักษ์ผู้ช่วยป่วยเปนลม | ถึงพระพรหมบริรักษ์ก็หนักใจ |
อนุรักษราชมณเฑียรบำเรอภักดิ์ | กับหลวงรักษราชหิรัญสำคัญไข |
บริรักษภูธรจรครรไล | ขุนบริรักษในนครบาล |
จงประจักษ์เถิดว่ารักษเช่นนี้หนอ | เปนพวกษอบอการันต์ท่านบรรหาร |
พากย์มคธลดเปนไทยใช้มานาน | พจมานรักทั้งคู่ดูคดี |
(๙๒) หนึ่งวงวงษพงพงษทั้งสี่พจน์ | ควรกำหนดที่ในบ่อนอักษรศรี |
อันวงษ์พงษ์ษอประจำคำบาฬี | แต่วงพงเปล่านี้นี่คำไทย |
เดินให้ตรงหนาอย่าวงอย่าเวียนแวะ | ชายชำแระป่าพงปรงไสว |
เดินอย่าเลยเหลิงหลงเข้าพงไพร | ผ้าอะไรโพกเศียรแล้วเวียนวง |
อันวงพงเช่นนี้ชี้แถลง | ความแสดงคำไทยใช้ประสงค์ |
คำบาฬีเช่นมนตรีสุริยวงษ | กับพระยาวรพงษผู้ภักดี |
อันที่ใช้คำวงษกับพงษพจน์ | โดยกำหนดเชื้อวงษพระทรงศรี |
กับเผ่าพงษ์วงษ์มุขมนตรี | คือเสนาธิบดีเสนีรอง |
จะว่าลัดตัดความแต่ย่อย่อ | บันดาเผ่าเหล่ากอนับสนอง |
ควรจะเรียกวงษ์พงษ์จำนงปอง | จะจำลองเลศใช้ในยุบล |
เรื่องที่นับโดยลำดับพระพุทธเจ้า | แต่ต้นเค้าเก่าก่อนโดยนุสนธิ์ |
โพธสัตวเชื้อสายพระทศพล | ซึ่งขวายขวนปองประโยชน์โพทธิญาณ |
นี่เรียกว่าพุทธวงษ์สิ้นทั้งหลาย | เพราะท่านสืบเชื้อสายเปนแก่นสาร |
ได้ต่อเนื่องแต่ปฐมมานมนาน | นับวงษวารฝ่ายฃ้างพระละโลกีย์ |
อันวงษพงษพูดใช้ในสยาม | กระแสความหลายอย่างอ้างถิ่นที่ |
รวิวงษภาณุวงษพงษก็มี | อิกวาทีหนึ่งว่าภาษกรวงษ |
หนึ่งว่านเครือเชื้อวงษประยูรศักดิ์ | ถนอมรักวงษประยูรตระกูลหงษ |
สงวนศักดิ์สมศักดิ์จักรพงษ | บรมวงษแต่ปฐมอุดมพันธุ |
พระอาทิตยวงษดำรงยศ | สุริยวงษปรากฏว่าวงษสวรรค์ |
ราชวงษเจ้านายก็คล้ายกัน | ล้วนเปนวงษเทวัญจุติมา |
สุรวงษคือพงษพระอาทิตย | อุไทยวงษ์คงลิขิตในเลขา |
พระวรุตมพงษทรงศักดา | วงษมหาสมมุติวิสุทธิวงษ |
ทั้งวงษ์พงษ์นี่จำนงอเนกนัก | ตามแต่เรื่องเยื้องยักโดยประสงค์ |
เชื้อกระษัตรเรียกว่าขัติยพงษ์ | กับเรียกราชวรวงษ์ก็ตรงกัน |
อุปฮาดราชวงษ์ได้ปลงจิตร | บำรุงกิตยในมลาวะเขตรฃันธ์ |
พระจอมพงษทรงโปรดที่โทษทัณฑ์ | ตามสำคัญวงษานุวงษ์ทูล |
พระสัมพันธวงษเธอเสนอถ้อย | ไม่เคลื่อนคล้อยโดยดำรัสบดินทรสูรย์ |
พระสงสารประยูรวงษทรงนุกูล | ให้เพิ่มพูลจักรพรรดิ์พงษ์พาร |
สมมุติเทพยพงษ์วงษ์กระษัตริย | ท่านแจงจัดพระประพันธวงษ์สมาน |
พระวงษ์เธอวรวงษ์จงพิจารณ์ | จะเฃียนอ่านจงกระจัดให้ชัดคำ |
ซึ่งเฃียนว่าเผ่าพงษ์ฤาวงษ์วาร | นี่ข้อขานเปนกลางกลางแลอย่างต่ำ |
วงษ์ตระกูลวงษ์ญาติต้องเกรงยำ | ทั้งสองคำนี้ก็ว่าเปนสามัญ |
หนึ่งนามพระราชาคณะสงฆ์ | ท่านก็ใช้วงษ์พงษ์จำนงสรร |
อริยวงษ์โพธิวงษ์ดำรงธรรม์ | อิกคำนั้นพระศรีวิสุทธิวงษ์ |
ซึ่งหันเหียนเปลี่ยนใช้ในคำศับท์ | ท่านแปลงกลับโดยความตามประสงค์ |
มหาวัดได้เปนที่กระวีวงษ์ | พระอุดตะโมรุพงษ์นามพระครู |
วงษ์กับพงษ์สองคำร่ำไม่สุด | จะคุ้ยขุดมากเหลือจะเบื่อหู |
แต่เท่านี้จำให้คล่องก็ลองดู | คงได้รู้ใช้พงษ์กับวงษ์วาร |
(๙๓) หนึ่งคำเก่าเค้ามูลเปนมคธ | แต่เลื่อนลดความบาฬีที่บรรหาร |
คือโมโหเวทนาใช้มานาน | กับสงสารนี้อิกคำจำวินิจ |
โมโหนั้นแปลว่าหลงตรงกับศับท์ | ข้างไทยกลับใช้ว่าโกรธโทษะจิตร |
เหมือนโมโหขึ้นมาข้าไม่คิด | ผิดก็ผิดชอบก็ชอบคงตอบมัน |
เหนคนหยิ่งโยโสโมโหเกิด | ดูเอาเถิดเขามายั่วโมโหฉัน |
โมโหกลุ้มรุมจิตรคิดไม่ทัน | เช่นนี้นั้นพูดโมโหว่าโกรธา |
ความระแวงแพลงพลาดคลาศมคธ | ยกเปนพจน์ข้างสยามภาษา |
ด้วยทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ใช้กันมา | ต้องยอมเปนวาจามคธกลาย |
(๙๔) เวทนาเปนภาษามะคะธะ | ในคำพระบาฬีนั้นมีหลาย |
เนื้อความแปลเหมือนเหมือนไม่เคลื่อนคลาย | จะขยายแปลคำจำวิจารณ์ |
เวทนาว่ารู้แจ้งอารมณ์ | คือศุขทุกขมัธยมแยกบรรหาร |
เกิดแต่ของข้องกระทบครบทวาร | จักษุโสตลิ้นฆานทั้งกายใจ |
คือตาดูหูฟังทั้งได้กลิ่น | กับอิกลิ้นลิ้มรศกำหนดได้ |
กายกระทบถูกสำผัศท่านจัดไว้ | วิญญาณในรู้ตระหนักประจักษความ |
เมื่ออารมณ์มาสัมผัศทวารหก | ท่านแยกยกแบ่งปันสรรเปนสาม |
หนึ่งเปนศุขคือสบายขยายนาม | อนึ่งความทุกขร้อนข้อนขุ่นทรวง |
อนึ่งนั้นอุเบกขาว่าเพ่งเฉย | คือแหวกเลยศุขทุกขอาไลยห่วง |
ไม่มีทุกข์ไม่มีศุฃสิ้นทั้งปวง | สามกระทรวงนี้เปนชื่อเวทนา |
แล้วท่านแจกแยกคัดจัดอิกสอง | ต่างด้วยคลองจิตรเดินในแถวห้า |
โทมนัศโสมนัศถัดกันมา | นี่ก็ชื่อเวทนาโดยอารมณ์ |
ยามเมื่อเหนของงามฤายามสดับ | ดนตรีขับร้องขานประสานสม |
อิกเครื่องหอมไล้ลูปแลสูบดม | ระสารมณ์เสพยรศที่โอชา |
ได้สัมผัศฟูกเมาะอิกผ้าผ่อน | ละอออ่อนยั่วยวนดำฤษณา |
ฤาสังวาศนารีกลกรีธา | ซึ่งเอิบอิ่มในอุราระรื่นรมย์ |
หนึ่งทราบความตามถานที่สังเกต | ซึ่งบอกเหตุลาภยศกำหนดสม |
ให้แจ่มจิตรฟูฟื้นด้วยชื่นชม | เรียกอารมณ์โสมนัศจัดเปนกอง |
ถ้าได้เหนแลได้ยินได้กลิ่นรศ | ถูกแขงอยาบทราบบทยุบลผอง |
ให้เศร้าจิตรเสียใจในทำนอง | นี้เปนกองโทมนัศเวทนา |
ความในพระบาฬีเช่นนี้แน่ | ตามกระแสในมคธภาษา |
ผิดกับเสียงคนไทยที่ใช้มา | ว่าสมเพชเวทนากับทารก |
แสนสงสารเวทนาหนักหนานัก | ด้วยนงลักษณ์จะมาพรากไปจากอก |
เวทนาสารพัดที่จัดยก | เปนวาจกวาจาภาษาไทย |
เหนลงในความว่าเอนดูหมด | กระแสบทบอกความตามวิไสย |
เปนแผนกแยกจากมคธไป | ยกเปนคำคนไทยใช้กันเอง |
(๙๕) ยังสงสารนี่อิกคำก็จำยาก | จะวิภาครากโคนให้โดนเผง |
เพราะคนไทยพูดใช้กันคฤานเครง | ไม่ถูกเพลงกับมคธบทวิธี |
คำสงสารซึ่งบรรหารตามมคธ | ว่าท่องเที่ยวไม่กำหนดถานวิถี |
คือเวียนว่ายตายเกิดในโลกีย์ | จนไม่มีเบื้องต้นค้นไม่ภบ |
ท่านเรียกว่าสังสาระวัฏวน | แทบทุกคนเวียนอยู่ไม่รู้จบ |
หนึ่งท่านเรียกสงสารมหรรณพ | ต้องหมุนไปกว่าจะพบพระนิพพาน |
ความในพระคัมภีร์นั้นมีชัด | ท่านเรียกสังสารวัฏว่าสงสาร |
ไม่ถูกกับคำไทยที่ใช้นาน | คือสงสารสมเพชเวทนา |
แสนสงสารเยาวมาลย์มิ่งสมร | มาทุกขร้อนยากแสนสหัศสา |
ซ้ำสงสารพระกุมารองค์นัดดา | ความเช่นว่านี้สงสารขานข้างไทย |
เปนสองทางวางแยกแจกให้รู้ | ถ้าใครดูแล้วอย่าคลำจำให้ได้ |
ผู้ที่มักฟั่นเฟือได้เตือนใจ | ดีกว่าไหลเล่อเลอะละเลิงเลย |
(๙๖) อนึ่งคำสังเวชสมเพชนี้ | แต่เดิมทีคำมคธบทเฉลย |
สังเวคะคำขยายพิปรายเปรย | ท่านที่เคยปริยัติคงชัดความ |
สังเวคะแปลว่าสลดจิตร | มาต่อติดใช้ประจำคำสยาม |
ถึงผู้ที่แปลไม่ได้ก็ใช้ตาม | จนรู้ความกันดิบดิบหยิบเจรจา |
ซึ่งสังเวชกับสมเพชคำเดียวกัน | แต่ท่านสรรแปลงวอเปนพอหนา |
คอกับชอเปลี่ยนผลัดถัดกันมา | ลงวาจาสังเวชสมเพชแปลง |
ที่ใช้คำหอธรรมะสังเวช | พระทรงเดชทรงประดิษฐคิดแถลง |
ยังเถลิงขึ้นเปนนามอารามแปลง | วัดที่แฃวงบางลำภูคูนคร |
ชื่อสังเวชวิสยารามเปลี่ยน | เพราะอาเกียรณอยู่ด้วยศพสมทบถอน |
ทั้งใหม่เก่าเผาฝังประดังฟอน | เปนที่จำใจอ่อนสลดลง |
วัดสังเวชวิไสยเปนคำอัตถ์ | แปลก็ชัดชัดความตามประสงค์ |
คือเปนที่จิตรสลดอารมณ์ปลง | อารามคงแปลว่าวัดชัดความไทย |
(๙๗) หนึ่งพูดอ้างวาจาว่าประมาท | ถึงนักปราชยากจะคิดวินิจไฉย |
ด้วยแปร่งมาฃ้างภาษาคนไทยไทย | แปลกกับไนยเนื่องมาแต่บาฬี |
คำประมาทนั้นว่าขาดสติตฤก | ไม่ได้นึกในกุศละราษี |
ขนแต่บาปใส่ตัวกลั้วราคี | การเช่นนี้เรียกประมาทขาดวิจารณ์ |
ฃ้างคำไทยใช้กันว่าดูถูก | เหมือนว่าลูกประมาทพ่อเปนฃ้อฃาน |
เออนายตาดนี้ประมาทเรามานาน | ไม่ควรการจะประมาทชาติปุมา |
คำประมาทพูดแพร่งทุกแห่งหน | เพราะเราจนคนทุกชาติประมาทหน้า |
ศิศยประมาทลบหลู่ท่านครูบา | เข้าเดินป่าใครประมาทมักพลาดแพลง |
ภาษาไทยพูดใช้คำประมาท | มิได้คลาศความดูถูกแทบทุกแห่ง |
ถึงคนรู้ก็ต้องใช้ไม่ระแวง | เพราะตกแพร่งเปนภาษาเจรจากัน |
(๙๘) กับมานะนี่อิกคำจำไว้เถิด | บางทีเพริดความเขวจนเหหัน |
บางทีใช้ถูกประสงค์ตรงสำคัญ | มานะนั้นว่านับถือแลถือตัว |
คือถือชาติถือตระกูลประยูรศักดิ์ | หนึ่งถือความรู้หลักว่าเลิศทั่ว |
อิกถือเราถือเฃามักเมามัว | หนึ่งถือตัวตามยศลดไม่ลง |
ถ้าแม้นเหนคนต่ำทำรานระ | เกิดมานะฮึดฮือกระพือส่ง |
ในสยามก็คือความที่ทรนง | ด้วยยศชาติเชื้อวงษ์แลวิทยา |
ความเช่นนี้กับบาฬีพอเคียงใกล้ | แปลก็ได้ถูกความตามภาษา |
มานะหนึ่งคำไทยที่ใช้มา | เปนวาจาแปร่งเสียงเพลี่ยงกันไป |
ดังคำว่าข้าคิดมานะนัก | หญิงคนนี้นี่ข้ารักแต่ไหนไหน |
ข้าเกี้ยวมันมันช่างด่าข้ากะไร | ข้าแค้นใจคิดมานะจะให้ลุ |
ข้าจะตั้งพากเพียรเฝ้าเวียนปลอบ | แม้นไม่ชอบแล้วจะย้ายข้างฝ่ายดุ |
คิดคุมเหงให้มันเกรงด้วยเย้ายุ | คงได้ลุสมคเนไม่เปรแปร |
ความอย่างนี้ดูทีเหมือนจะผิด | เปนมานะไม่สนิทผิดกระแส |
ในมคธกับสยามเนื้อความแปล | เช่นคำเรียกเรือกับแพก็ต่างกัน |
ถึงคำเดียวแต่ว่าเรือก็เหลือยาก | โดยวิภาคชื่อก็มีทุกสิ่งสรรพ์ |
เรือกระบวนเรือที่นั่งเรือดั้งกัน | เรือสำปั้นเรือกันยาแผ่นม้ายวน |
++3293เอ่ยขึ้นคำเดียวเรือเท่านั้น | ชื่อกับรูปเรือปันเปนส่วนส่วน |
เหมือนมานะไทยมคธบทกระบวน | ถ้าใคร่ครวญก็คงได้รู้ใจความ |
(๙๙) หนึ่งจงรู้แยบคายอุบายบท | คำว่ารดนี้ต้องสรรปันเปนสาม |
คือคำรดที่สกดด้วยดอตาม | คำสยามคนไทยมักใช้ชุม |
เหมือนรดน้ำย่าปู่ครูอาจารย์ | ในฤดูตรุศสงกรานต์รดกันกลุ้ม |
พวกพราหมณ์รดสังขกรดกับอีกกุมภ์ | บ้าคลั่งคลุ้มต้องด้วยบทรดน้ำมนต์ |
อีกรดผักรดหญ้าสารพัด | รดที่ไทยใช้ชัดทุกแห่งหน |
ตามภาษามาแต่แรกไม่แปลกปน | โดยยุบลแบบรดสกดดอ |
ราชรถกับทั้งรถอันเศศสิ้น | ในระบินแบบว่ารถสกดถอ |
บันดารถสัตวเทียมเอี่ยมลออ | สกดถอสิ้นทั้งหมดบทบังคับ |
อีกคำหนึ่งซึ่งว่ารศสกดสอ | ใครสกดถอฤาดอจะต้องปรับ |
ปะที่ครูปากกล้าจะด่ายับ | เพราะไม่จับจำเค้าทำเดาดึง |
ระสะว่ารศยาหารตระการหลาก | รศมีมากเปรี้ยวหวานน้ำตาลน้ำผึ้ง |
ทั้งรศฝิ่นรศเล่าเมามึนตึง | เอะอะอึงด้วยเปนรศไม่อดออม |
จืดเผ็ดเค็มฃมขื่นแต่พื้นรศ | ว่าให้หมดทั้งฝาดทั้งเฝื่อนย่อม |
สรรเปนรศหมดสิ้นต้องยินยอม | ศอสกดหนะอย่าปลอมให้แปลนไป |
ประเภทรศนี้ท่านคัดจัดเปนสอง | ตามทำนองกายจิตรวินิจไฉย |
คือแจกออกเปนภายนอกกับภายใน | ท่านจัดไว้รศทั้งสองจงตรองการ |
รศที่รู้ด้วยกายเปนภายนอก | เช่นอย่างบอกมาทั้งหมดรศอาหาร |
ที่สัมผัศชัดชิวหาทวาร | เปรี้ยวแลหวานจัดว่ารศพาหิรา |
รศจำเภาะเปนวิไสยแต่ใจรู้ | ก็มีอยู่หลายหลากมากนักหนา |
คือรศซึ่งประจักษในวิญญา | รศสังวาศกรีธาในกาเม |
อันรศนี้นี่สำคัญกระสันจิตร | มันให้คิดหวนหันออกปั่นเป๋ |
แม้นถึงพระที่ผนวชยังทรวดเซ | ต้องหันเหออกมาหากามะรศ |
รศสังวาศเรี่ยวแรงทั้งแขงกล้า | เหนแรงกว่ารศอะไรที่ไหนหมด |
ทำใจมืดโมหะไม่ละลด | เหมือนกันหมดจิตรไพร่ใจผู้ดี |
หนึ่งวาจาของผู้ใดพูดไม่ปด | จัดเปนรศล้ำเลิศประเสริฐศรี |
พระสัทธรรมซึ่งนำหน่ายโลกีย์ | พระบาฬีปรากฎว่ารศธรรม |
หนึ่งเพลงขับคำกลอนอักษรเสนาะ | ที่ไพรเราะหคายคมคารมขำ |
นี่ก็เรียกกันว่ารศบทลำนำ | อุสาหจำจำจดรศวิจารณ์ |
รศซึ่งฉันพรรณามาทั้งนี้ | จัดคะดีรศภายในออกไขฃาน |
มิใช่รศรู้ด้วยลิ้นแต่วิญญาณ | ก็เสรจการลงเปนรศบทธิบาย |
อนึ่งการสามัคคีอารีรัก | ที่พร้อมพรักร่วมจิตรมิตรสหาย |
เจ้ารักข้าข้ารักเจ้าบ่าวรักนาย | ไม่สลายลดเลี้ยวเปนเกลียวกลม |
ทุกทางกิจมิได้คิดรังเกียจเกียง | ไม่หลีกเลี่ยงหลบหลู่แลฃู่ข่ม |
มีการใดพร้อมใจช่วยระดม | ด้วยนิยมยอมสมัคสามัคคี |
ซึ่งรอมชอมชักสมานทุกหมู่หมด | จัดว่ารศล้ำเลิศประเสริฐศรี |
อำนวยผลดลปรัจจุบันมี | เช่นตัวอย่างอ้างชี้ได้ชัดชัด |
ในมนุษยเหนประจักษไม่พักว่า | เล่าแต่เรื่องสกุณาปักษาสัตว |
นกกระจาบฝูงใหญ่ได้อาณัติ | สัญญากันรู้ถนัดนัดพร้อมใจ |
เมื่อเวลาพรานป่าเอาข่ายทอด | ศีศะลอดตาแหแลไสว |
แล้วพร้อมกันบินปรื๋อกระพือไป | สวมก่อไผ่เซิงหนามที่ตามดง |
แล้วย่นฅอย่อตัวเปลื้องหัวปลด | ค่อยเลื่อนลดจากตาข่ายโดยประสงค์ |
นกทุกตัวรอดชีวิตรไม่ปลิดปลง | เพราะจำนงพร้อมพรักสามัคคี |
เมื่อวันหนึ่งฝูงนกกระจาบใหญ่ | พากันไปลงที่พื้นพนาศรี |
แสวงหาอาหารตระการมี | สกุณีบินไขว่โผไปมา |
ขะณะนั้นนางนกกระจาบจ้อย | บินเคลื่อนคล้อยเรื่อยโร่โผถลา |
เอาเท้าระถูกศีศะวัฏะกา | ก็โกรธาด่ากันด้วยอยาบคาย |
นกที่เปนพวกพ้องสองนกนั้น | ก็รุมรันช่วยทะเลาะทั้งสองฝ่าย |
สามัคคีร้าวแยกแตกทำลาย | ภอตาข่ายพรานหุ้มไปคลุมลง |
ด้วยเกิดเกี่ยงเถียงกันอยู่อึงมี่ | ก็ไม่มีใครสอดศีศะส่ง |
พากันติดตาข่ายวายชีวงค์ | พรานจำนงลุลาภหาบไปเรือน |
สามัคคีมีผลดลประจักษ์ | ถ้าพร้อมพรักไม่สลายไม่กลายเกลื่อน |
หมั่นเสพยรศสามัคคีทุกปีเดือน | คงไม่เคลื่อนคลายสวัสดิ์พิพัฒพอ |
สามัคคีนั้นเปนที่สรเสริญ | ความเจริญมีอะเนกอะนันต์หนอ |
ถ้าทำให้แตกพังไม่รั้งรอ | โทษก็พอเหลือลามออกครามครัน |
ถึงการศึกสงครามต้องคร้ามคิด | คนพวกเดียวที่สนิทจะผิดผัน |
เปนไส้ศึกฦกซึ้งถึงฉกรรจ์ | ถ้าหากเปนเช่นนั้นแล้วร้อนใจ |
แม้นร่วมคิดจิตรพร้อมกันเปนหมู่ | ถึงศัตรูอื่นจะคิดก็ยากได้ |
เกรงอำนาจบมิอาจจะก่อไภย | เพราะที่ได้ดื่มรศสามัคคี |
เพราะฉะนั้นเราท่านควรรักษา | เปนมหาศุภผลมงคลศรี |
คำว่ารศที่กำหนดในวาที | ความเช่นนี้ศอสกดบทธิบาย |
(๑๐๐) หนึ่งผู้เพียรเรียนรู้จงรอบคอบ | เชิงประกอบการกระวีนั้นมีหลาย |
จงสนใจเรียนแบบที่แยบคาย | อย่ามักง่ายจำทรงให้คงทน |
หนังสือไทยที่ท่านใช้นั้นมีมาก | คำหลากหลากเลาเลศล้วนเหตุผล |
แม้นไม่ได้ศึกษาก็ท่าจน | อุส่าห์ขวนขวายรู้เช่นภูรี |
กระบวนหนึ่งตัวเฃียนไม่เปลี่ยนแปลก | แต่อ่านแยกสองความตามวิถี |
วัดเขมาโกฎเขมาเพลาก็มี | แต่ที่นี่ไปถึงป่าเพลาเย็น |
ที่ริมเชิงเสลาภูผาใหญ่ | ล้วนกอไผ่ลำสล้างเสลาเห็น |
หัดบวกปูนใบเสมากว่าจะเปน | น่าโฮเตนปลูกเสมาดูเพราตา |
ใครไปตัดต้นโสนที่คลองโสน | ตัดจนโกร๋นเหี้ยนหักเอาหนักหนา |
ปูแสมแลเขดาเขดาระงา | เปนวาจาสองเงื่อนอย่างเฟือนทาง |
จีนยิโหงโผเล่นกระเดนโหง | เสียงดังโผงฟาดปึงดังผึงผาง |
ที่ดงแขมเมืองแขมแลดูบาง | ท้องตราวางเมืองแขมแปลสำเนา |
ใครคุมเหงจีนเหงจนเซซวด | อ้ายจีนฮวดนี่มันเก่งคุมเหงเฃา |
อย่าหวงแหนจอกแหนให้แก่เรา | พอลมเพลาก็เพลาลงสายัณห์ |
วันเสวเสวกาจะมาพร้อม | อย่าพวงหลงล้อมพวงปะหนัน |
ที่บ่วงสวงสวงเสท้าวเทวัญ | ดูน่าพิศวงครันนึกหวั่นแด |
คนขี่ม้าบ่าวพระยารามคำแหง | ชื่ออ้ายแดงตกม้าทำหน้าแหง |
ผอบกับผอบทองเปนสองแคว | อ่านจงแลดูความตามทำนอง |
(๑๐๑) อันคำคู่นี้ต้องรู้โดยสำเหนียก | ด้วยคำเรียกพูดกันนั้นเปนสอง |
ตัวอักษรร่วมกันจงหมั่นตรอง | ให้ลงคลองเค้าความตามคดี |
ปกีระณำคำกลอนพจนาดถ์ | ขอเชิญปราชช่วยพิจารณ์ในสารศรี |
ที่บกพร่องพลาดพลั้งก็ยังมี | ท่านเมธีโปรดเพิ่มช่วยเจิมจุน |
หนึ่งวางบทพจน์พากย์ถลากถลำ | เหมือนผักยำเคมเปรี้ยวไม่เฉียวฉุน |
ด้วยเดิมจิตรคิดเล่นพอเปนคุณ | แก่ฝูงกุลบุตรเล็กเด็กเด็กเรียน |
เปนไวพจน์ย่อย่อพอสังเกต | ในต้นเหตุแห่งการจะอ่านเขียน |
เด็กไม่เขลาเชาดีทั้งมีเพียร | คงจะเฃียนรู้ง่ายสบายเอย ฯะ |
• • • • • • • • •
๏ สารสั่งฟังแล้วพ่อ | เพียรจำ |
เลาเลศเหตุแห่งคำ | คิดเค้า |
ในเรื่องปะกีระณำ | นำแนะ ไว้นา |
ผูกจิตรคิดค่ำเช้า | ชอบได้ฉลาดเฉลิม ฯะ |
๏ ใดใดใครใคร่รู้ | พิศดาร |
จงใฝ่ใต่สวนสาร | สืบให้ |
พบกลอนเทียบพิจารณ์ | ไวพจน์ นั้นนา |
แม้พบจักอ่านได้ | เรื่องกว้างทางสอน ฯะ |
๏ ประมวนคำใช้ย่อ | ยกหยิบ |
นับประมาณเก้าสิบ | แปดข้อ |
เฉกผลพฤกษ์ห่ามดิบ | สุกคละ กันเฮย |
เชิญเลือกชิมเล่นน้อ | ฝาดเปรี้ยวคายคืน ฯะ |
• • • • • • • • •
โคลงสุภาษิตเครื่องสอนใจเตือนสติผู้เล่าเรียนดังนี้
๏ ความรู้รู้ยิ่งได้ | สินศักดิ์ |
เปนที่ชนพำนักนิ์ | นอบนิ้ว |
อย่าเกียจเกลียดหน่ายรัก | เรียนต่อ เติมนา |
รู้ชอบใช่หอบหิ้ว | เหนื่อยแพ้แรงโรย ฯะ |
๏ วิชชาเปนเพื่อนเลี้ยง | ชีวิตร |
ยามอยู่เรือนเมียสนิท | เพื่อนร้อน |
ร่างกายสหาวติด | ตามทุก เมื่อเฮย |
บุญหากเปนมิตรข้อน | เมื่อม้วยอาสัญ ฯะ |
๏ เรียนรู้รู้ให้โปร่ง | ปราดเปรียว |
จักฉลาดควรเฉลียว | ติดด้วย |
ปัญญาหน่วงกลมเกลียว | สติกล่อม ไว้นา |
ทำกิจการจวบม้วย | ห่อนพ้องไภยพาล ฯะ |
๏ อิดถีรูปา นารีรูปเอี่ยมอ้าง | เปนทรัพย |
ปุริสะวิชชา บุรุษวิชชานับ | หนึ่งได้ |
สุรำโยธา โยธีกลั่นแกล้วรับ | รบบ่อ ขลาดแฮ |
สะมะณะศีลา สมะณะครองศีลไซ้ | สี่นี้ทรัพยแสน ฯะ |
๏ เรียนรู้แม้นรู้ถ่อง | ถึงจริง |
อย่ายกยอตนอิง | อวดอ้าง |
อย่าเมาอย่าสุงสิง | เยียใหญ่ |
ถึงบ่โง่ถ่อมข้าง | โง่ไว้ใจเยน ฯะ |
๏ อุบลบอกฦกตื้น | วารี |
โฉดฉลาดจับวาที | ตอบโต้ |
จิตรตรงคดร้ายดี | ดูยาก นักนอ |
คนที่ปากโวโอ้ | มักพลั้งพลันเข็ญ ฯะ |
หนังสือกลอนสอนเด็กเรื่องนี้ ชื่อว่าปกีรณำพจนาดถ์ เพราะมีเนื้อความจัดถ้อยคำเรี่ยรายไปไม่เปนเรื่องเรียบเรียง ว่าคลุกคละปะปนกันไปไม่เปนลำดับ แต่ถ้าจะคัดเปนข้อ ๆ พอจะคัดได้ ประมาณข้อในกลอนเรื่องนี้ทั้งหมดด้วยกันเปน ๑๐๑ ข้อ ดังเรียบเรียงลำดับไว้ข้างล่างนี้ ฯ
ที่ ๑ | กาน ๖ อย่าง | น่า ๒ | บันทัด ๑๕ |
ที่ ๒ | ผึ้งพึ่ง | น่า ๔ | บันทัด ๒๐ |
ที่ ๓ | อยู่อย่า | น่า ๕ | บันทัด ๒ |
ที่ ๔ | คำยาวคำสั้น | น่า ๕ | บันทัด ๔ |
ที่ ๕ | ผู้โท | น่า ๕ | บันทัด ๑๕ |
ที่ ๖ | ท่าถ้าน่าหน้า | น่า ๕ | บันทัด ๑๗ |
ที่ ๗ | บังบาง | น่า ๖ | บันทัด ๖ |
ที่ ๘ | เป่าป่าว | น่า ๖ | บันทัด ๑๘ |
ที่ ๙ | กำกำม์กรรม | น่า ๗ | บันทัด ๓ |
ที่ ๑๐ | เฝ้าเฟ่า | น่า ๗ | บันทัด ๑๕ |
ที่ ๑๑ | ข้าค่าฆ่า | น่า ๗ | บันทัด ๑๗ |
ที่ ๑๒ | เข้าออก | น่า ๘ | บันทัด ๑๖ |
ที่ ๑๓ | ทำธรรม | น่า ๘ | บันทัด ๑๘ |
ที่ ๑๔ | ข้างค่าง | น่า ๙ | บันทัด ๔ |
ที่ ๑๕ | ว่าหว้า | น่า ๙ | บันทัด ๖ |
ที่ ๑๖ | ย่าหญ้า | น่า ๙ | บันทัด ๑๐ |
ที่ ๑๗ | ค่อยข้อย | น่า ๙ | บันทัด ๑๒ |
ที่ ๑๘ | หนังสือ | น่า ๙ | บันทัด ๑๔ |
ที่ ๑๙ | เยาว์ | น่า ๙ | บันทัด ๑๘ |
ที่ ๒๐ | ซ่มส้ม | น่า ๑๐ | บันทัด ๕ |
ที่ ๒๑ | คู่ขู้ | น่า ๑๐ | บันทัด ๙ |
ที่ ๒๒ | ค่ำข้ำ | น่า ๑๐ | บันทัด ๑๓ |
ที่ ๒๓ | ค่อข้อ | น่า ๑๐ | บันทัด ๑๗ |
ที่ ๒๔ | ไข้ไค่ | น่า ๑๑ | บันทัด ๑ |
ที่ ๒๕ | ไค่ค่าย | น่า ๑๑ | บันทัด ๔ |
ที่ ๒๖ | ข้องค่อง | น่า ๑๑ | บันทัด ๘ |
ที่ ๒๗ | ท่วนถ้วน | น่า ๑๑ | บันทัด ๑๓ |
ที่ ๒๘ | ภพพบ | น่า ๑๑ | บันทัด ๑๗ |
ที่ ๒๙ | ผ้ายพ่าย | น่า ๑๒ | บันทัด ๓ |
ที่ ๓๐ | ฎีกาดีกา | น่า ๑๒ | บันทัด ๑๕ |
ที่ ๓๑ | จระเข้ | น่า ๑๒ | บันทัด ๑๙ |
ที่ ๓๒ | ตรวจกรวด | น่า ๑๓ | บันทัด ๕ |
ที่ ๓๓ | กรงตรง | น่า ๑๓ | บันทัด ๙ |
ที่ ๓๔ | ไกรไตร | น่า ๑๓ | บันทัด ๑๕ |
ที่ ๓๕ | กรองตรอง | น่า ๑๔ | บันทัด ๕ |
ที่ ๓๖ | นครคอน | น่า ๑๔ | บันทัด ๗ |
ที่ ๓๗ | นอเล็กณอใหญ่ | น่า ๑๔ | บันทัด ๑๑ |
ที่ ๓๘ | ลอฬอ | น่า ๑๔ | บันทัด ๑๕ |
ที่ ๓๙ | ศุขสุกทุกข์ทุก | น่า ๑๔ | บันทัด ๑๗ |
ที่ ๔๐ | บัญชรบาญชี | น่า ๑๕ | บันทัด ๑๙ |
ที่ ๔๑ | ไม่ไหม้ม่าย | น่า ๑๖ | บันทัด ๘ |
ที่ ๔๒ | ร่ายไร่ | น่า ๑๖ | บันทัด ๒๐ |
ที่ ๔๓ | สมุดสมุด | น่า ๑๗ | บันทัด ๕ |
ที่ ๔๔ | ช่อฉ้อ | น่า ๑๗ | บันทัด ๑๓ |
ที่ ๔๕ | พูดภูต | น่า ๑๗ | บันทัด ๑๗ |
ที่ ๔๖ | พักภักดี | น่า ๑๘ | บันทัด ๔ |
ที่ ๔๗ | ชิตชิด | น่า ๑๙ | บันทัด ๔ |
ที่ ๔๘ | ชานชาญ | น่า ๑๙ | บันทัด ๑๒ |
ที่ ๔๙ | พานภาร | น่า ๒๐ | บันทัด ๑ |
ที่ ๕๐ | ฝ่ายใฝ่ | น่า ๒๑ | บันทัด ๑ |
ที่ ๕๑ | พายภาย | น่า ๒๑ | บันทัด ๑๑ |
ที่ ๕๒ | ไข่ข่าย | น่า ๒๒ | บันทัด ๑ |
ที่ ๕๓ | ล่าหล้า | น่า ๒๒ | บันทัด ๙ |
ที่ ๕๔ | นานชำนาญ | น่า ๒๒ | บันทัด ๑๓ |
ที่ ๕๕ | ององค์ | น่า ๒๒ | บันทัด ๑๗ |
ที่ ๕๖ | ระใบระบาย | น่า ๒๓ | บันทัด ๕ |
ที่ ๕๗ | ประชวรชักชวน | น่า ๒๓ | บันทัด ๑๙ |
ที่ ๕๘ | ม่านมั่น | น่า ๒๔ | บันทัด ๕ |
ที่ ๕๙ | ตัวหอท้ายคำ | น่า ๒๔ | บันทัด ๗ |
ที่ ๖๐ | นบนภ | น่า ๒๔ | บันทัด ๑๙ |
ที่ ๖๑ | ยานญาณ | น่า ๒๔ | บันทัด ๔ |
ที่ ๖๒ | รายไร | น่า ๒๖ | บันทัด ๑๙ |
ที่ ๖๓ | คำไม้ไต่คู้ | น่า ๒๗ | บันทัด ๙ |
ที่ ๖๔ | กอรอเปนกอน | น่า ๒๘ | บันทัด ๑ |
ที่ ๖๕ | หาญ | น่า ๒๙ | บันทัด ๕ |
ที่ ๖๖ | หาร | น่า ๒๙ | บันทัด ๑๑ |
ที่ ๖๗ | พิธีวิธี | น่า ๓๑ | บันทัด ๑๕ |
ที่ ๖๘ | สำรับสำหรับ | น่า ๓๒ | บันทัด ๑ |
ที่ ๖๙ | บวชผนวช | น่า ๓๒ | บันทัด ๕ |
ที่ ๗๐ | บพิตรบพิธ | น่า ๓๒ | บันทัด ๑๑ |
ที่ ๗๑ | มิ่งขวัญ | น่า ๓๒ | บันทัด ๑๙ |
ที่ ๗๒ | ครุฑอาวุธ | น่า ๓๓ | บันทัด ๓ |
ที่ ๗๓ | คัมภีร์กัมพุช | น่า ๓๓ | บันทัด ๑๓ |
ที่ ๗๔ | ปราโมทย | น่า ๓๔ | บันทัด ๕ |
ที่ ๗๕ | สังเวคสังเวช | น่า ๓๔ | บันทัด ๑๑ |
ที่ ๗๖ | บุญ | น่า ๓๕ | บันทัด ๓ |
ที่ ๗๗ | อนุญาต | น่า ๓๕ | บันทัด ๙ |
ที่ ๗๘ | ไมตรีไม้ตรี | น่า ๓๕ | บันทัด ๑๗ |
ที่ ๗๙ | ปฏิญญา | น่า ๓๖ | บันทัด ๓ |
ที่ ๘๐ | เมดตา | น่า ๓๖ | บันทัด ๗ |
ที่ ๘๑ | เมดติ | น่า ๓๖ | บันทัด ๑๕ |
ที่ ๘๒ | กรุณา | น่า ๓๗ | บันทัด ๑ |
ที่ ๘๓ | การุญ | น่า ๓๗ | บันทัด ๕ |
ที่ ๘๔ | สัญญาปัญญา | น่า ๓๗ | บันทัด ๑๓ |
ที่ ๘๕ | ต่างตั่ง | น่า ๓๗ | บันทัด ๑๙ |
ที่ ๘๖ | นิทราอินทราจันทรา | น่า ๓๘ | บันทัด ๓ |
ที่ ๘๗ | ธุชธวัช | น่า ๔๑ | บันทัด ๑๙ |
ที่ ๘๘ | ธุลี | น่า ๔๒ | บันทัด ๓ |
ที่ ๘๙ | นิยม | น่า ๔๒ | บันทัด ๙ |
ที่ ๙๐ | ทำเนียมธรรมเนียม | น่า ๔๒ | บันทัด ๑๗ |
ที่ ๙๑ | รักรักษ | น่า ๔๓ | บันทัด ๕ |
ที่ ๙๒ | วงษพงษ | น่า ๔๓ | บันทัด ๑๙ |
ที่ ๙๓ | เวทนา | น่า ๔๕ | บันทัด ๑๗ |
ที่ ๙๔ | แจกเวทนา | น่า ๔๖ | บันทัด ๕ |
ที่ ๙๕ | สงสาร | น่า ๔๗ | บันทัด ๑๑ |
ที่ ๙๖ | สังเวช | น่า ๔๘ | บันทัด ๓ |
ที่ ๙๗ | ประมาท | น่า ๔๘ | บันทัด ๑๕ |
ที่ ๙๘ | มานะ | น่า ๔๙ | บันทัด ๕ |
ที่ ๙๙ | รดรถรศ | น่า ๕๐ | บันทัด ๓ |
ที่ ๑๐๐ | คำพ้องเสียง | น่า ๕๓ | บันทัด ๑ |
ที่ ๑๐๑ | คำเสริมท้าย | น่า ๕๓ | บันทัด ๑๙ |
-
๑. เข้าใจว่าตรงนี้ตกคำว่า “อย่า” ↩