บทละครนอก แก้วหน้าม้า
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงท้าวมงคลราชเรืองศรี |
ครองกรุงมิถิลาธานี | เปรมปรีดิ์ภิรมย์ฤทัย |
ท้าวมีอัคเรศชายา | ชื่อมณฑาเทวีศรีใส |
พร้อมพรั่งสุรางค์นางใน | นับได้ถ้วนหมื่นหกพัน |
ร้อยเอ็ดนัคเรศบุรีรมย์ | มาบังคมทรงเดชทุกเขตขัณฑ์ |
มีโอรสยศยงทรงธรรม์ | นามนั้นนรินทร์พินทอง |
พรั่งพร้อมพหลมนตรี | มิได้มีทุกข์ทนหม่นหมอง |
เกษมสุขภิรมย์สมปอง | ทั่วท้องประเทศธานีฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นเวลาสางสายพรายพรรณ | สุริยันแจ่มจรัสรัศมี |
มาโสรจสรงคงคาวารี | จรลียังช่องบัญชรชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
สามเส้า
๏ ครั้นถึงจึงเผยพระแกลยล | เสนาสามนต์หมอบไสว |
พระบัญชาว่าขานการเวียงชัย | ถามไถ่ถ้อยความตามมีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้น | อำมาตย์จัตุสดมภ์ทั้งสี่ |
ต่างทูลถ้อยความตามคดี | ถ้วนถี่โดยแบบบุราณมาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ทรงภพนาถา |
สายแสงสมควรจวนเวลา | ไคลคลาเข้าที่ประทมในฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองผ่องเพียงแขไข |
เสด็จออกมุขมาศปราสาทชัย | หฤทัยเกษมเปรมปรีดิ์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นบ่ายชายแสงทินกร | เร่าร้อนหฤทัยพระโฉมศรี |
กรายกรย่างเยื้องจรลี | มาเข้าที่โสรจสรงคงคาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ไขสุหร่ายสายชลปนปรุง | เป็นฝอยฟุ้งเย็นซาบอาบมังสา |
แล้วผลัดภูษาทรงอลงการ์ | สุคนธาหอมหวนยวนใจ |
สอดสนับเพลาพรายชายกนก | ภูษายกพื้นตองผ่องใส |
ฉลององค์เจียระบาดตาดอุไร | ปั้นเหน่งเพชรอำไพพรรณราย |
กรองศอแสงแก้วแวววิจิตร | ตาบทิศทับทรวงช่วงฉาย |
ทองกรธำมรงค์เรียงราย | มงกุฎเก็จเพชรพรายเพราตา |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ ขัดพระขรรค์บรรจงทรงศร | บทจรจากปรางค์ทางฝ่ายหน้า |
พรั่งพร้อมพี่เลี้ยงโยธา | ลีลายังเกยรูจีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ พระองค์ทรงมิ่งมโนมัย | พลไกรบังคมก้มเกศี |
บ้างแบกหามว่าวยาวรี | จรลีมายังสนามชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงซึ่งหน้าจักรวรรดิ | หน่อกษัตริย์ยินดีจะมีไหน |
เคลื่อนองค์ลงจากมโนมัย | สั่งให้ชักว่าวขึ้นฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | โยธีพี่เลี้ยงแข็งขัน |
ชุลมุนวุ่นวิ่งชิงกัน | ส่งว่าวให้ทันท่วงที |
พวกเหล่าว่าวคุลากล้าขันต่อ | พวกปักเป้าเข้าล่อไม่หลีกหนี |
โห่ร้องก้องพื้นปัฐพี | เป็นที่สุขเกษมเปรมปราฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองว่องไวใจกล้า |
ทรงว่าวอยู่หว่างกลางโยธา | ทอดคว้าประจบสบที |
ติดปักเป้าเข้าจำปาคว้าไขว่ | ปักเป้าไล่จะประกบไม่หลบหนี |
วิ่งรอกชุลมุนวุ่นเต็มที | พอลมตีขาดลิ่วปลิวไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วสัปดนคนไพร่ |
หน้าตาเหมือนม้ามโนมัย | เข็ญใจที่สุดบุตรยายตา |
นางเป็นสาวศรีไม่มีผัว | หน้าเป็นเล่นตัวหนักหนา |
เห็นว่าวตกลงตรงท้องนา | จึ่งเอามาซ่อนไว้ในเรือน |
เอาผ้าปกคลุมหุ้มไว้ | มิให้ใครรู้กระแสแง่เงื่อน |
แกล้งดำเนินเดินเลยเฉยเชือน | บิดเบือนบังบานทวารไว้ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมประโลมพิสมัย |
เห็นว่าวขาดลิ่วปลิวไป | อาลัยเป็นพ้นพันทวี |
พระโฉมยงขึ้นทรงอาชา | ลีลาเลี้ยวลัดตัดวิถี |
เสาะหาแห่งใดก็ไม่มี | รีบเร่งจรลีฉับพลันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงบ้านนางสัปดน | เมื่อยนักพักพลอยู่ที่นั่น |
ร้องถามว่าว่าวของเรานั้น | ใครได้ให้ปันแต่โดยดีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วตอบความไปตามที่ |
ว่าวของทรงธรรม์พันปี | ข้านี้ได้แจ้งแห่งกิจจา |
จะกราบทูลข้อความตามตรง | พระองค์จะให้สิ่งใดข้า |
ว่าพลางชม้ายชายตา | เสนหาในองค์พระทรงธรรม์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงลิ้นลมคมสัน |
จึ่งร้องตอบวาจามาพลัน | จะรางวัลเงินทองของดีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วยิ้มแย้มแจ่มศรี |
นิ่งนึกตรึกไตรในคดี | ครั้งนี้ลาภล้นพ้นประมาณ |
จะเอาพระโฉมตรูเป็นคู่ครอง | ร่วมห้องภิรมย์สมสมาน |
คิดพลางทางตอบพจมาน | ทรัพย์สินศฤงคารไม่ชอบใจ |
แม้นยอมเป็นภัสดาสามี | ว่าวของพันปีจะคืนให้ |
สิ่งอื่นหมื่นแสนทั้งแดนไตร | ข้าไม่ชอบใจอย่าเจรจาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงยิ้มพลางทางว่า |
คนใดใจเจ้าเจตนา | จงเลือกตามจินดานารีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วตอบว่าน่าบัดสี |
จะให้เราเลือกหาสามี | ก็ว่าวที่ขาดนี้เป็นของใครฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | มหาดเล็กตอบมาหาช้าไม่ |
ว่าวของพระองค์ทรงชัย | จะให้ฤๅมิให้เร่งว่ามาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วยิ้มพลางทางว่า |
คือใครเป็นเจ้าว่าวคุลา | เราจะเป็นภรรยาของผู้นั้นฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงสรวลเสเฮลั่น |
จึ่งร้องตอบวาจามาพลัน | เอื้อมถึงดวงจันทร์ไม่เจียมใจ |
ตัวนางเหมือนอย่างแผ่นดินดอน | จะเคียงพื้นอัมพรผิดวิสัย |
แม้นแต่เพียงโยธาข้าไท | เห็นจะได้ดังจิตเจตนาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังแล้ว | นางแก้วค้อนควักชักหน้า |
ตอบไปด้วยใจโกรธา | เหวยอย่ามาล้อไม่ขอฟัง |
หน้าตาเช่นเจ้าเราไม่คบ | อย่าหลู่หลบใช่ว่าเป็นบ้าหลัง |
แม้นมิรับเราเข้าในวัง | อย่ามานั่งงอนง้อไม่พอใจฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงผู้มีอัชฌาสัย |
ค่อยกระซิบทูลองค์พระทรงชัย | จงปราศรัยลวงล่อง้องอน |
ทำเป็นทรงสมัครรักใคร่ | ให้มันให้ว่าวคุลามาเสียก่อน |
ได้แล้วจึงสลัดตัดรอน | ผันผ่อนพูดจาพาทีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อนรินทร์พินทองผ่องศรี |
เห็นชอบตอบนางไปทันที | ซึ่งเทวีรักชอบขอบใจ |
แม้นจะเป็นเมียเราเหมือนเจ้าว่า | จงคืนว่าวคุลามาให้ |
อย่าค้อนควักชักหน้าเร่งคลาไคล | เอาว่าวมาให้เสียเร็วพลันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังบัญชา | กัลยาสำรวลสรวลสันต์ |
เมินชม้ายอายเอียงเมียงมัน | อภิวันท์แล้วทูลไปทันที |
จริงฤๅบัญชาว่าจะเลี้ยง | ตรัสแล้วอย่าเลี่ยงหลีกหนี |
สักสี่วันเวลาราตรี | พระภูมิจะมาพาไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์ยิ้มย่องสนองไข |
อีกสามวันสัญญาว่าไว้ | จะรับเจ้าเข้าไปในวังฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วชื่นชมสมหวัง |
ดีใจจะได้เป็นชาววัง | ถวายบังคมคัลทันที |
จึ่งเข้าไปในห้องเคหา | ยกว่าวคุลามาจากที่ |
นั่งลงตรงพักตร์พระภูมี | อัญชลีแย้มยิ้มพริ้มพรายฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงชื่นชมสมหมาย |
พูดจาคารวะอภิปราย | อย่าเอื้อนอายส่งว่าวเรามาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วแค้นขัดสะบัดหน้า |
ค้อนพลางทางกล่าววาจา | นี่เป็นองค์เจ้าฟ้าฤๅว่าไร |
องอาจประมาทหมิ่นเรา | เป็นห้ามแหนเจ้าฤๅมิใช่ |
มานั่งเรียงเคียงข้างไม่ชอบใจ | ถอยไปให้พ้นเจ้าคนดี |
ว่าวนี้เราจำเพาะเจาะถวาย | พระฦๅสายผู้เฉิดโฉมศรี |
ใช่การของเจ้าอย่าเซ้าซี้ | ให้ภูมีทรงรับกับพระกร |
ว่าพลางนางถวายว่าวคุลา | แล้ววันทาทูลองค์พระทรงศร |
พระอย่าลืมสัญญาว่าวอน | เร่งรับข้าพาจรดังวาจาฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมเฉิดเลิศลํ้าเลขา |
ฟังคำจำรับวาจา | หยิบเอาว่าวมาให้โยธี |
นึกชิงชังรังเกียจเกลียดคาย | พวกชายสรวลสันต์สนั่นมี่ |
พระโฉมยงขึ้นทรงพาชี | กลับสู่บูรีทันใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงลงอัสดร | ทินกรเลี้ยวลับเหลี่ยมไศล |
พระนวยนาดยาตรเยื้องครรไล | เข้าในปราสาทรูจีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายว่าตายายทั้งสองศรี |
เป็นคนเลี้ยงนางหน้าพาชี | ไปป่าพนาลีกลับมา |
เก็บได้ฟืนผักฟักแฟง | เต้าแตงแพงพวยรวยหนักหนา |
ผูกมัดรัดรึงตรึงตรา | แล้วคืนสู่เคหาทันทีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงวางหาบคอน | ล้าเรื่อยเหนื่อยอ่อนทั้งสองศรี |
อาบน้ำชำระอินทรีย์ | นั่งที่นอกชานสำราญใจฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วหน้าม้าอัชฌาสัย |
แลเห็นยายตามาแต่ไพร | จึ่งออกไปบอกเล่าเฒ่าชรา |
ครั้งนี้ลูกจะได้อยู่ในวัง | สมดังมุ่งมาดปรารถนา |
แล้วเล่าความตั้งแต่หลังมา | ผัวข้าเป็นเจ้าชาวบุรี |
รูปโฉมโนมพรรณสัณฐาน | งานปานเทวาในราศี |
อีกสามวันสัญญาพาที | จะให้เป็นมเหสีทรงธรรม์ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังเอยฟังเล่า | สองเฒ่าสำรวลสรวลสันต์ |
ลูบหลังลูบหน้าแล้วว่าพลัน | ท่านนั้นเป็นเจ้าชาวพารา |
เราคนเข็ญใจไร้ทรัพย์ | ยากยับร่างร้ายขายหน้า |
ผิดคนพิกลกิริยา | ไม่ควรปรารถนาให้เกินกาย |
หาเช้ากินค่ำก็ลำบาก | อดอยากซุกซนขวนขวาย |
อย่าพูดถึงบุตรท้าวเจ้านาย | หลังจะลายเสียเปล่าไม่เข้าการฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วหน้าม้ากล้าหาญ |
จึงตอบความตามจิตคิดการ | อันกษัตริย์มหาศาลเลิศไกร |
ได้ออกโอษฐ์สัญญาจะมารับ | จะย้อนยอกกลอกกลับกระไรได้ |
รูปร่างอย่างนี้ไม่มีใคร | จะเข้าไปเป็นห้ามตามปัญญา |
ว่าพลางทางเข้าในห้องนอน | มัดฟูกผูกหมอนผ่อนผ้า |
ชอบกันที่ไหนก็ไปลา | นั่งนับวันท่าพระภูมี |
ครั้นครบสามวันดังสัญญา | คอยหาไม่เห็นพระโฉมศรี |
เข้าไปหาตายายทันที | โศกีวอนว่าประสาใจฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๏ แม่เจ้าประคุณของลูกอา | อายชาวพาราอยู่ไม่ได้ |
เอ็นดูลูกยาจงคลาไคล | เข้าไปเตือนองค์พระทรงธรรม์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าสำรวลสรวลสันต์ |
สวมกอดกัลยาแล้วว่าพลัน | จอมขวัญของแม่อย่าอาวรณ์ |
ท่านเป็นลูกเจ้าท้าวพระยา | ฤๅจะมาร่วมเรียงเคียงหมอน |
ห้ามแหนแน่นนั่งดังกินนร | ภูธรยังไม่ไยดี |
รูปเราชั่วช้าน่าเกลียดกลัว | จะมีผัวเกินพักตร์ศักดิ์ศรี |
จะโศกาอาลัยทำไมมี | อยู่ที่นี่ยากเย็นได้เห็นกันฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วสัปดนคนขยัน |
ฟังคำยายตาว่ารำพัน | รุมรันอกพลางทางรำไรฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้
๏ โอ้แม่เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย | ไฉนเลยช่างสลัดตัดได้ |
จะอยู่เรือนรุงรังจังไร | อายใจเป็นพ้นคณนา |
ถึงกระไรไปเตือนดูสักครั้ง | จะรับสั่งอย่างไรก็ให้ว่า |
ซึ่งจะนิ่งทนทุเรศเวทนา | ลูกนี้ชีวาคงวายปราณ |
ว่าพลางกลิ้งเกลือกเสือกกาย | ฟูมฟายชลนาน่าสงสาร |
ครวญครํ่าร่ำว่าช้านาน | กราบกรานสองเฒ่าเฝ้าวิงวอนฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าฟังไปก็ใจอ่อน |
มิรู้ที่จะสลัดตัดรอน | เทพซึ่งสังหรณ์ให้งงงวย |
ต่างคนผินหน้าปรึกษากัน | ผ่อนผันพาทียินดีด้วย |
แม้นลูกเราเป็นห้ามงามจะรวย | ฟุ่มฟวยเทียมหน้าชาวธานี |
คิดพลางทางปลอบลูกน้อย | อย่าร้อนเร่งเศร้าสร้อยหมองศรี |
จะไปอ้อนวอนว่าเจ้าธานี | ตามที่ได้สัญญาว่ากัน |
ปลอบพลางจัดแจงแต่งกายา | ลงจากเคหาขมีขมัน |
มุ่งเมิลเดินด่วนชวนกัน | งกงันมายังวังในฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงพระโรงรูจี | พรั่งพร้อมเสนีน้อยใหญ่ |
ฝ่ายตาฝ่าคนซนเข้าไป | หมอบราบกราบไว้กษัตราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ทรงภพนาถา |
แลเห็นสองเฒ่าเข้ามา | จึ่งมีบัญชาถามไป |
ยายตามานี่มีกังวล | ร้อนรนทุกข์เข็ญเป็นไฉน |
จงแจ้งความตามจริงทุกสิ่งไป | อย่าได้เอาเท็จมาพาทีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าอกสั่นขวัญหนี |
ก้มเกล้ากราบงามสามที | ทูลความตามมีแต่ต้นมา |
บัดนี้ธิดาข้าพเจ้า | รอคอยสร้อยเศร้าเป็นหนักหนา |
ขอพระองค์จงให้ไปรับมา | ตามพระโอรสาสัญญาไว้ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังเอยฟังความ | ดังเพลิงลามเลียลนหม่นไหม้ |
พระมีสิงหนาทตวาดไป | น้อยฤๅพูดได้ไม่เกรงกลัว |
ชาติหญิงแพศยาอาธรรม์ | จะผูกพันลูกเราเอาเป็นผัว |
โอหังจังไรไว้ตัว | น่าตัดหัวให้สาแก่อารมณ์ |
แต่ได้ว่าวเขาตกก็ยกข้อ | ขันขอเป็นหม่อมจอมสนม |
ดูถูกจองหองพองลม | โง่งมลบหลู่ดูแคลน |
ทั้งพ่อแม่ก็ถ่อยน้อยฤๅ | ซมซานด้านดื้อนี่เหลือแสน |
มาอ้างอิงพูดจาน่าแค้น | กระทืบแท่นเงื้อง่าจะฆ่าตีฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางมณฑามารศรี |
นิ่งนึกตรึกไปในคดี | เทวีทูลพลันทันใด |
ลูกเราได้สัญญาว่ากับเขา | จะกลับคำซ้ำเล่าหาควรไม่ |
ฝ่ายเราเป็นชายจะอายไย | เขามีใจจงรักภักดี |
ควรให้ไปรับมาเลี้ยงดู | ฉันหมู่บริจาทาสี |
ด้วยมันจงรักภักดี | ไม่ควรมีโมโหโกรธา |
การนี้มิใช่ปัจจามิตร | จะได้คิดเคี่ยวเข็ญเข่นฆ่า |
ชาวเมืองทั้งสิ้นจะนินทา | ประทานโทษยายตาอย่าฆ่าฟันฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวมงคลราชรังสรรค์ |
ฟังนางทัดทานรำคาญครัน | จำต้องหย่อนผ่อนผันฤทัย |
นั่งลงทรงนึกตรึกตรา | จะพาลผิดคิดฆ่าเสียให้ได้ |
พระจึ่งมีบัญชาว่าไป | เหวยเฒ่าจังไรทรลักษณ์ |
ซึ่งลูกสาวสมัครรักใคร่ | อยากจะให้ปรากฏยศศักดิ์ |
ตรองเห็นเป็นมาสามิภักดิ์ | ก็คงจักรับไว้เป็นไรมี |
แม้นจะใคร่เป็นห้ามตามเกณฑ์ | จงชะลอพระสุเมรุคีรีศรี |
โชติช่วงดังดวงจินดาดี | เป็นที่เฉลิมโลกา |
มาได้จะให้เป็นนางห้าม | สมความมุ่งมาดปรารถนา |
แม้นมิได้โดยในสัญญา | จะเข่นฆ่าสิ้นวงศ์พงศ์พันธุ์ |
เร็วไวไปบอกลูกสาวศรี | เรานี้ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ |
คาดความสามเดือนไม่เลื่อนวัน | ไม่ทันจะล้างให้วางวายฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าอกสั่นขวัญหาย |
ตาเฒ่าเข้ากอดเอาท่านยาย | ฟูมฟายนํ้าตาไม่พาทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวมงคลราชเรืองศรี |
ผูกจิตคิดแค้นแสนทวี | จึ่งตรัสสั่งเสนีทันใด |
เร่งเร็วฉุดคร่าพาตัว | ไสหัวยายตาหน้าไพร่ |
ให้ตะบอยลอยหน้าอยู่ว่าไร | ไล่ไปให้พ้นอย่าช้าการฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนาคำนับรับบรรหาร |
ฉุดคร่าพาตนไปลนลาน | ต่างคนอลหม่านเป็นสิงคลีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าเวยวายตะกายหนี |
ออกจากวังพลันทันที | โศกีไปตามมรคาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปในห้อง | ทั้งสองเสียใจร้องไห้จ้า |
ท่านยายตะกายเข้ากอดตา | โศกาอื้ออึงคะนึงไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ บัดนั้น | นางแก้วแปลกจิตคิดสงสัย |
นั่งแนบแอบข้างพลางถามไป | เหตุใดโศกาจาบัลย์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าเล่าพลางทางโศกศัลย์ |
บัดนี้พระองค์ทรงธรรม์ | ดุดันด่าว่าสารพัด |
ว่าเราเป็นไพร่ไม่เจียมกาย | มุ่งหมายเกินพักตร์ศักดิ์กษัตริย์ |
หากพระนางอนุกลทูลทัด | จึ่งไม่ตัดเกศาฆ่าตี |
ให้เจ้าไปเอาพระเมรุมา | ถวายพระผ่านฟ้าเรืองศรี |
แม้นมิได้ไม่ไว้ชีวี | จะฆ่าตีสิ้นวงศ์พงศ์พันธุ์ |
พระเมรุทองถึงห้องนภาลัย | เหาะได้ฤๅจนบนสวรรค์ |
เพราะลูกตัวชั่วช้าอาธรรม์ | จะพากันม้วยมอดวอดวาย |
ร่ำพลางต่างคนโศกา | ครั้งนี้ชีวาจะฉิบหาย |
ไหนจะคิดปลดปลอดรอดตาย | ฟูมฟายน้ำตาโศกาลัยฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
๏ บัดนั้น | นางพักตราพาชีศรีใส |
ฟังคำยายตาแล้วว่าไป | จะตีตัวก่อนไข้ไม่เข้ายา |
เพียงนี้มิพอเป็นไรนัก | ลูกรักจักเที่ยวแสวงหา |
บุญแล้วก็แคล้วพระอาญา | โศกาครวญคร่ำไปทำไม |
ว่าพลางทางลงจากเรือน | จะแชเชือนชักช้าก็หาไม่ |
รีบออกนอกทวารเวียงชัย | บ่ายหน้าเข้าในพนาลีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เดินไพรมาได้สิบห้าวัน | ถึงเขาอัญชันคีรีศรี |
เห็นศาลาอาศรมพระมุนี | อยู่เชิงคีรีเรียงรัน |
ดีใจดั่งได้พระเมรุธร | มาวางไว้ในกรสาวสรร |
เสาะสอยพฤกษาพนาวัน | จรจรัลเข้าในกุฎีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงคลานเข้าไป | หมอบราบกราบไหว้พระฤๅษี |
แกล้งทำสำรวมอินทรีย์ | อยู่ที่ตรงพักตร์พระนักธรรม์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระนักสิทธ์ปลิดหาพฤกษาฉัน |
เห็นสีกามาเคารพอภิวันท์ | ทรงธรรม์มุ่งมองป้องพักตรา |
ไอกระแอมแย้มเยื้อนพาที | ใครนี้มาไยที่ในป่า |
กังวลกลใดไขวาจา | ประสกฤๅสีกาประการใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วหน้าม้าอัชฌาสัย |
กราบพลางทางทูลเป็นมูลไป | ข้าไซร้ซนมาเป็นนารี |
แล้วเล่าความตามหลังครั้งเกณฑ์ | ให้ชะลอพระเมรุคีรีศรี |
โชติช่วงดังดวงมณี | มิได้ชีวีจะวายปราณ |
บุญสบพบพระอัยกา | ได้เมตตาโปรดด้วยช่วยหลาน |
ท่านจะล้างร่างกายวายปราณ | พระทรงญาณเมตตาปรานีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระมหาดาบสฤๅษี |
ฟังนางหน้าม้าพาที | พระจึ่งมีสุนทรวาจา |
ดูดู๋อาจหาญชาญชัย | คนเดียวมาได้ในป่า |
บุญกายไม่วายชีวา | จึ่งมาประสบพบกู |
ซึ่งธุระประสงค์จงใจ | เห็นพอจะช่วยได้บ้างอยู่ |
เป็นหญิงวิ่งมาน่าเอ็นดู | ปะปู่แล้วเห็นไม่เป็นไร |
ว่าพลางทางเดินออกมา | จากที่ศาลาอาศัย |
โอมอ่านพระเวทเรืองชัย | บัดใจบังเกิดเป็นนาวีฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ ตระ
๏ พร้อมสายยนต์ยาวสาวเหาะ | เหมาะเจาะแน่งน้อยเฉลิมศรี |
ค้อนสิ่วพร้อมหมดล้วนกรดดี | สำหรับที่ชะลอพระเมรุธร |
บอกกับนางแก้วสัปดน | จงชักยนต์ยังเนินสิงขร |
ทรงอำนวยอวยชัยให้พร | ชี้ทิศทางจรบัดใจฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | นางแก้วยินดีจะมีไหน |
กราบกับบาทาแล้วคลาไคล | นั่งลงตรงในสัดจอง |
ชักสายยนต์น้อยลอยเลื่อน | คล้อยเคลื่อนเหาะหันผันผยอง |
ทักษิณครบสามตามทำนอง | ลอยล่องเข้ากลีบเมฆาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครู่หนึ่งถึงเชิงเมรุมาศ | โอภาสสว่างเวหา |
แสงแก้วแวววับจับตา | กัลยาถวิลยินดี |
จึ่งรอเรียงนาวาคลาไคล | เจ้าไปริมเชิงคีรีศรี |
เอาสิ่วกรดจดเจาะเคาะคีรี | ตอกตีชุลมุนวุ่นวายฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดเดี๋ยวก็ได้ดังใจปอง | ยกใส่สัดจองผันผาย |
ลอยลิ่วปลิวตามพระพาย | ชักบ่ายร่อนลงตรงกุฎีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งลงจากนาวา | เข้าไปวันทาพระฤๅษี |
ทูลแถลงแจ้งความตามมี | เปรมปรีดิ์ภิรมย์ฤทัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระนักสิทธ์คิดพะวงสงสัย |
เล็งดูรู้แจ้งไม่แคลงใจ | แย้มยิ้มละไมอยู่ไปมา |
แล้วตรัสมัธุรสสุนทร | ดูก่อนหลานน้อยเสน่หา |
สมหวังดังจิตจินดา | อย่าช้าเร่งกลับไปฉับพลัน |
นาวีนี้ไซร้ให้กับเจ้า | ขี่เข้านิเวศน์เขตขัณฑ์ |
ไปดีอย่ามีภัยยันตร์ | สมจิตเจ้านั้นทุกประการฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
กราบกับบาทบงสุ์พระทรงญาณ | สำราญฤทัยพันทวี |
รีบออกนอกบรรณศาลา | นั่งกลางนาวาเกษมศรี |
ชักสายยนต์พลันทันที | นาวีลอยลิ่วปลิวมาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งผ่อนร่อนลง | กลางดงแดนไพรในป่า |
เอาเรือคลุมไว้ให้ลับตา | แบกก้อนศิลาเข้าเวียงชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปในบ้าน | ขึ้นบนนอกชานหาช้าไม่ |
แบกก้อนศิลาพาเข้าไป | วางไว้ในทับฉับพลัน |
นั่งไหว้ยายตาแล้วพาที | ครั้งนี้ชีวาไม่อาสัญ |
จงเร่งเข้าเฝ้าองค์ทรงธรรม์ | ถวายของสำคัญทันที |
มิได้ท้าวไทจะลงโทษ | ออกโอษฐ์จะล้างให้เป็นผี |
ข้าไปได้มาเหมือนวาที | ครั้งนี้จะโปรดประการใดฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่ายินดีจะมีไหน |
สวมกอดลูกยาแล้วว่าไป | บุญแล้วจึ่งได้ดังจำนง |
มาตรแม้นท้าวไทจะไม่รัก | ด้วยยศศักดิ์เหมือนกากับหงส์ |
ขอแต่ชีวิตอย่าปลิดปลง | จะจำนงต่อไปไม่ไยดีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังมารดา | โกรธาแค้นขัดสะบัดหนี |
ตอบว่าข้าแค้นแสนทวี | บัดสีแก่เหล่าชาวประชา |
มิได้พระเมรุดังเกณฑ์การ | จะประหารให้สิ้นวงศา |
บัดนี้ซนไปได้มา | จะทิ้งสัตย์สัญญาเสียอย่างไร |
ถึงรูปชั่วตัวดำต่ำศักดิ์ | จะร่วมเรียงเคียงพักตร์ให้จงได้ |
ให้ลือเลื่องเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงไกร | ว่าเข็ญใจเป็นหม่อมจอมนารีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ยายตาสรวลสันต์สนั่นมี่ |
รอดตายหมายใจคงได้ดี | เปรมปรีดิ์กระหยิ่มยิ้มพราย |
หามก้อนศิลาพากัน | รีบเร่งจรจรัลผันผาย |
ล้มลุกคลุกคลานทะยานกาย | ตายายตั้งหน้าคลาไคลฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงพระโรงรูจี | เสนีนับร้อยน้อยใหญ่ |
หามก้อนศิลาพาเข้าไป | วางไว้แล้วก้มบังคมคัล |
ทูลว่าข้าได้พระเมรุมา | โดยดังบัญชาทุกสิ่งสรรพ์ |
ซึ่งข้อคำสัญญาว่ากัน | ทรงธรรม์จะโปรดประการใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ทรงภพเป็นใหญ่ |
ทอดพระเนตรเล็งแลแต่ไกล | เห็นแสงแก้วแววไวจับตา |
ดีใจด้วยได้พระเมรุธร | มาไว้ในนครเป็นสง่า |
ทั้งเสียใจอาลัยลูกยา | จะได้เมียหน้าม้ากาลี |
ครั้นจะพูดบิดเบือนเชือนแช | ก็อายแก่เสนาทาสี |
จำจะพูดเกลี่ยไกล่ให้ดี | คิดพลางทางมีบัญชาการ |
ยายตาพากันครรไล | กลับไปสู่เคหาสถาน |
วันใดได้ฤกษ์ศุภวาร | จะไปรับบุตรท่านเข้ามาฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่ากริ่มใจได้หน้า |
คำนับรับราชบัญชา | ลีลาออกจากวังในฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงบอกนางสัปดน | จุมพลโอภาปราศรัย |
แม้นถึงฤกษ์งามยามชัย | จะรับเจ้าเข้าในตำหนักจันทน์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ใจจิตให้คิดผูกผัน | นับวันเวลาราตรีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวมงคลราชเรืองศรี |
ทุกข์ร้อนนอนนึกตรึกคดี | มิได้มีเกษมเปรมปรา |
เสียทีอีแก้วสัปดน | ทรพลอุบาทว์ชาติข้า |
ซนไปได้พระสุเมรุมา | จะต้องพามาเลี้ยงในเวียงวัง |
เสียดายพระโอรสธิบดี | จะราคีคบค้าบ้าหลัง |
รูปร่างชั่วช้าน่าเกลียดชัง | พระนิ่งนั่งตรึกตรองหมองใจฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ จึงปรึกษาโฉมยงนงลักษณ์ | น้องรักจักคิดเป็นไฉน |
อีแก้วสัปดนคนจังไร | จะเป็นลูกสะใภ้ขายหน้าตา |
ฤๅอ้อนวอนงอนง้อขอเสีย | เงินเบี้ยล้นเหลือเสื้อผ้า |
รูปรวยช่วยนึกตรึกตรา | อย่าให้เสียวาจาพาทีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์เอกภิเษกศรี |
ยิ้มพลางทางทูลทันที | น้องนี้ฉงนสนเท่ห์ใจ |
อันเขาเมรุมาศบรรพต | โสฬศโลกนี้หามีไม่ |
ล้วนแล้วด้วยแก้วอำไพ | พึ่งได้ประสบพบพาน |
นางแก้วสัปดนคนนี้ | ต่อจะมีเดชากล้าหาญ |
รู้เหาะเหินเดินโดยโพยมมาน | จึ่งได้ศิลาลานพรรณราย |
ถึงรูปชั่วตัวดำตํ่าต้อย | ใช้สอยได้การประมาณหมาย |
พระลูกรักเนื้อเย็นเป็นชาย | จะเคืองขุ่นวุ่นวายไปไยมีฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | กรุงกษัตริย์ขัดข้องหมองศรี |
ทอดถอนวิญญาแล้วพาที | พี่นี้อับอายขายหน้าตา |
หนึ่งพระโอรสยศยง | เห็นคงจะแค้นแสนสา |
ชาติอีอัปลักษณ์พักตร์อาชา | จะเหาะเหินเดินฟ้าไปอย่างไร |
ดีแล้วจะเที่ยวหาผัว | ยอมตัวอย่างนี้หามีไม่ |
บุญไม่เคยตายก็กลายไป | พี่ไม่อยากคบพบพานฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังบัญชา | นางพระยานบนอบตอบสาร |
พระองค์ทรงศักดิ์จักรพาล | คิดการไม่ต้องประเพณี |
มาตรแม้นเขาหามาไม่ได้ | พระจะให้ฆ่าฟันบั่นเกศี |
เสาะหามาได้ก็ไม่ดี | เช่นนี้จะทำประการใด |
บัญชาว่าแล้วอย่าคืนหลัง | จงรับพามาวังให้ได้ |
เลี้ยงเป็นบริจาข้าไท | อย่าให้คนฉินนินทาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระผู้ผ่านเขตขัณฑ์หรรษา |
ฟังพระมเหสีปรีชา | ตรึกตราเห็นชอบระบอบการ |
พระจึ่งมีบัญชาปราศรัย | ดวงใจของพี่ช่างคิดอ่าน |
กับอีแก้วหน้าม้าสาธารณ์ | จะรอฤกษ์ศุภวารไปไยมี |
จงจัดให้ไปรับเข้ามา | กันความนินทาชาวกรุงศรี |
แล้วสั่งสาวสรรทันที | ราตรีจึ่งพากันคลาไคลฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สาวสรรบังคมประนมไหว้ |
ครั้นค่ำก็พากันคลาไคล | ออกไปยังบ้านท่านยายตาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงโดยด่วนชวนกัน | ผายผันขึ้นบนเคหา |
นั่งลงบอกเล่าเฒ่าสองรา | โดยมีบัญชาทุกประการฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
เข้าไปในทับมิทันนาน | แจ้งเหตุเภทพานแก่ลูกยา |
บัดนี้พระองค์ทรงชัย | ให้รับเจ้าเข้าไปดั่งว่า |
ยากจนพ้นที่อุปมา | แก้วตาจะคิดประการใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วยินดีจะมีไหน |
ยิ้มพลางทางว่าอย่าร้อนใจ | ทรัพย์สินทำไมก็ทำเนา |
ซึ่งมั่งมีศรีสุขทุกคน | กุศลสร้างไว้ให้แก่เขา |
แม้นวาสนาหนุนบุญเรา | คงจะเทียมหน้าเขาชาวพารา |
ว่าพลางทางเดินออกไป | นั่งไหว้ท้าวนางพลางว่า |
ไยไม่เอาวอช่อฟ้า | รับข้าตามอย่างทางธรรม์ |
จะให้เดินเข้าไปไม่ควร | ประชาชนจะชวนกันเย้ยหยัน |
จงกลับไปทูลองค์ทรงธรรม์ | ให้เอาวอสุวรรณมาบัดนี้ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เถ้าแก่โขลนจ่าทาสี |
ฟังนางหน้าม้าพาที | ต้องที่ธรรมเนียมบุราณมา |
พิศดูหน้าตาเหมือนพาชี | แต่พาทีแหลมหลักหนักหนา |
ท้าวนางต่างมีวาจา | ใช้พวกโขลนจ่าเข้าไป |
ทูลองค์ทรงธรรม์พันปี | ตามคำเทวีอย่าช้าได้ |
นำวอช่อฟ้ามาไวไว | เร่งไปให้ทันท่วงทีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สาวใช้ได้ฟังถ้วนถี่ |
ลงจากเคหาในราตรี | ชวนกันจรลีเข้าวังในฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าเฝ้า | น้อมเกล้าบังคมแถลงไข |
บัดนี้ท้าวนางข้างใน | ใช้ให้มาทูลกิจจา |
ด้วยนางสัปดนคนสำคัญ | ช่างขึงปึ่งปั้นหนักหนา |
จะให้เอาวอช่อฟ้า | รับมาตามเล่ห์ประเพณีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์มิ่งมเหสี |
สรวลพลางทางกล่าววาที | จู้จี้ขี้คร้านรำคาญใจ |
ยศศักดิ์หนักหนาเจ้าข้าเอ๋ย | ฤๅเคยขี่บ้างแต่ครั้งไหน |
เร่งนำวอช่อฟ้าพาไป | รับมาจะใคร่ดูหน้าตาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สาวสรรบังคมก้มเกศา |
คำนับรับสั่งนางพระยา | ชวนกันรีบมาทันทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๏ ครั้นถึงจึ่งแจ้งพนักงาน | ให้จัดวอผูกม่านมีศรี |
จะไปรับนางห้ามงามดี | เร็วเร็วบัดนี้อย่านอนใจฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อำมาตย์ราชยานผู้ใหญ่ |
ครั้นแจ้งรับสั่งข้างใน | ก็จัดแจงแต่งให้ฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | โขลนจ่าบรรดาสาวสรร |
ได้แล้วก็รีบจรจรัล | ผายผันยังบ้านท่านยายตาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งวางวอไว้ | ที่ริมบันไดเคหา |
ต่างขึ้นเรือนพลันมิทันช้า | บอกแจ้งกิจจาทุกประการฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วหน้าม้าปรีชาหาญ |
เข้าไปในทับมิทันนาน | อาบนํ้าสำราญอินทรีย์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ขมิ้นฝนปนส้มมะขามขัด | พักตร์ผัดดินสอพองละอองศรี |
นุ่งผ้าลายฉลางอย่างดี | แพรสีชมพูห่มสมทรง |
ใส่แหวนหน้ากระดานก้านพลูนาก | สีผึ้งดีสีปากกินหมากสง |
นุ่งห่มคมสันบรรจง | แล้วดำเนินเดินตรงออกมาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ นั่งลงตรงหน้าท่านท้าวนาง | แย้มยิ้มปริ่มปรางหรรษา |
ยกมือขึ้นไหว้ยายกะตา | ลงมาขึ้นวอจรลีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นว่ามาถึงทวารวัง | หยุดยั้งพร้อมหน้าทาสี |
ลงจากวอสุวรรณทันที | ขึ้นเผ้าพระชนนีฉับไวฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งน้อมศิโรเพฐน์ | กราบองค์อัคเรศเป็นใหญ่ |
หมอบอยู่ท่ามกลางนางใน | มิได้ประหวั่นวิญญาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางกษัตริย์สรวลสันต์หรรษา |
พิศดูรูปร่างอย่างคุลา | หน้าตาแม้นเหมือนพาชี |
นุ่งห่มปุกปุยกรุยกราย | รูปกายจํ้าม่ำดำมิดหมี |
ผิดกับคนผู้ทั้งบูรี | แต่ท่วงทีฉลาดอาจอง |
ดูพลางทางเรียกเอาเงินตรา | เสื้อผ้างามงามตามประสงค์ |
จัดแจงห้องให้ดังใจจง | โขลนจ่าพาลงไปหลับนอนฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโอรสฤทธิรงค์ทรงศร |
แจ้งว่าสมเด็จพระมารดร | รับนางแก้วจรมาวังใน |
พระสุดแสนแค้นคั่งคลั่งจิต | ดังคมกริชกรดกราดบาดไส้ |
กรรมเอ๋ยกรรมกรรมทำอย่างไร | น้อยใจด้วยพระชนนี |
รับอีสัปดนคนสาธารณ์ | มาก่อกรรมรำคาญไว้ที่นี่ |
อับอายขายหน้าชาวธานี | สุดที่จะดำรงวิญญาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ พระอั้นอัดกลัดกลุ้มคลุ้มใจ | อยู่ในแท่นรัตน์เลขา |
มิได้หลับสนิทนิทรา | วิญญาไม่เป็นสมประดี |
อย่าเลยจำเราจะเข้าไป | กราบทูลท้าวไททั้งสองศรี |
ให้ขับหญิงแพศยากาลี | คืนไปอยู่ที่เดิมมา |
คิดพลางเสด็จยุรยาตร | ลงจากปราสาทเลขา |
พรั่งพร้อมกำนัลกัลยา | ขึ้นเฝ้าพระมารดาทันใดฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงจึ่งกราบลงกับบาท | ชนนีธิราชเป็นใหญ่ |
กลุ้มจิตคิดแค้นแน่นใจ | ภูวไนยก้มพักตร์ไม่พาทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระมารดามารศรี |
เห็นพระโอรสจริตผิดที | เทวีลูบไล้ไปมา |
แล้วเอื้อนอรรถตรัสถามทรามรัก | ไฉนพักตร์ซูบเศร้าหนักหนา |
ฤๅทุกข์โศกโรคร้อนอุรา | แก้วตาจงเล่าให้เข้าใจฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังมารดา | วันทาแล้วทูลเฉลยไข |
เพราะพระไม่เมตตาอาลัย | รับหญิงจังไรมาเวียงวัง |
ความลูกอัปยศอดอาย | เหมือนจะวายชีวาเป็นบ้าหลัง |
เห็นจะอยู่มิได้ในวัง | จะเตร็จเตร่เซซังซนไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังลูกรัก | กอดจูบลูบพักตร์แล้วปราศรัย |
นางนี้มีอิทธิ์ฤทธิไกร | เลี้ยงไว้สำหรับอับจน |
เจ้ามิรักใคร่ก็ไม่ว่า | มารดาจะเลี้ยงเลี่ยงกุศล |
เมื่อไม่มีอินังกังวล | จะร้อนรนฤทัยไปไยมีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังตรัส | เคืองขัดทูลความไปตามที่ |
ถึงมิใช่ภรรยาสามี | ก็เป็นที่อัปยศอดอาย |
ผู้คนทั้งปวงจะล่วงรู้ | อัปยศอดสูไม่เสื่อมหาย |
รักอีหน้าม้ากว่าลูกชาย | จะแกล้งให้วอดวายชีวันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังลูกรัก | นงลักษณ์สำรวลสรวลสันต์ |
เสแสรงแกล้งปลอบให้ชอบธรรม์ | จอมขวัญของแม่อย่าอาวรณ์ |
เร็วนักจักไล่ก็ไม่งาม | ให้มีความผิดพลั้งบ้างก่อน |
จะขับไปให้พ้นพระนคร | อย่าทุกข์ร้อนเศร้าสร้อยน้อยใจฯ |
๏ เมื่อนั้น | หน่อนรินทร์พินทองผ่องใส |
ฟังพระชนนีค่อยดีใจ | ลาไปสู่ปรางค์รจนาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าห้องทอง | เฝ้าตรึกตรองอับอายขายหน้า |
นิ่งนอนกรพาดพักตรา | มิได้ไคลคลาไปแห่งไรฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางพักตราพาชีศรีใส |
เย็นรอนอ่อนแสงอโณทัย | ลูบไล้กระแจะจวงจันทน์ |
นุ่งลายอย่างดีห่มสีตอง | เดินออกจากห้องขมีขมัน |
นาดกรอ่อนคอจรจรัล | ผายผันขึ้นเฝ้าพระภูมีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไป | เฝ้าพระภูวไนยยังแท่นที่ |
แย้มพรายชายตาเป็นท่วงที | พัดวีบำเรอราชาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองข้องขัดสหัสา |
ชี้นิ้วกริ้วกราดตวาดมา | มิได้เรียกให้หามาช่วงใช้ |
ฤๅเป็นจอมหม่อมเวรเกณฑ์การ | พนักงานพัดวีนี่ไฉน |
ฤๅเป็นคนรับสั่งรับใช้ | ช่างเสือกหน้ามาได้ไม่มีอาย |
ไสหัวออกไปเสียให้พ้น | จองหองพองขนใจหาย |
นั่งพัดดัดจริตกรีดกราย | ด้านได้ไม่อายหน้าตาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังตรัส | วางพัดเมียงหมอบตอบว่า |
น้อยฤๅช่างตรัสรัจนา | ไม่อาลัยไว้หน้าด่าทอ |
เหตุว่ารูปงามมีห้ามแหน | แคะแค่นค่อนว่าหนักหนาหนอ |
นานไปจะอ่อนงอนง้อ | ด่าทอเถิดข้าไม่ว่าไร |
ว่าพลางขึ้นนั่งบนบัลลังก์ | แนบนั่งนวดเพลาเกาให้ |
รูปร่างอย่างนี้ไม่มีใคร | เข้ากอดจูบลูบไล้บาทาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองข้องขัดตรัสว่า |
ทุดอีจังไรไว้หน้าตา | ด่าว่าไม่เจ็บเท่าเล็บมือ |
น่าชังนั่งเบียดเกลียดจริต | กวนจิตร่ำไปอย่างไรหรือ |
ว่าพลางฮึดฮัดปัดมือ | แย่งยื้อฉุดคร่ากูว่าไร |
ดูดู๋ดึงดื้อถือดี | ทุดอีแพศยาหน้าไพร่ |
ดูหมิ่นถิ่นแคลนน่าแค้นใจ | พระผลักพลัดตกไปทันทีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ พระองค์ | พระจงโปรดเกล้าเกศี |
ยอมตัวให้ใช้จะได้ดี | กลับมีโมโหโกรธา |
เห็นน้องรูปชั่วตัวดำ | ช่างทำกระไรไม่ไว้หน้า |
ใครลบลู่ดูถูกลูกพระยา | อนิจจาพาโลโพคลุม |
ว่าพลางทางขึ้นบนที่ | คลุกคลีเสือกไสเข้าไปอุ้ม |
สองมือรวบรัดจับกุม | รัดรุมปลํ้าปลุกคลุกคลีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ชาติอีกาลี
๏ อีหน้าเป็น | ล้อเล่นไม่กลัวตัวเป็นผี |
จองหองพองตัว | ไม่กลัวถูกหวาย |
เฆี่ยนให้หลังลาย | ไม่อายแล้วไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ทรงฤทธิ์ | ก่อกรรมทำผิดเป็นไฉน |
พานโกรธโลดไส่ | ไม่ไว้หน้าตา |
ใครใช้เป็นผัว | ไม่กลัวโทษา |
ผัดพ้อล่อหน้า | โกรธาทำไมฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ อีบ้ากาม | ลวนลามเย้ายั่วหากลัวไม่ |
ผัวมึงเมื่อไร | ใส่ไคล้พาที |
ดุโดดโลดแล่น | คุมแค้นบัดสี |
จับไม้เรียวรี่ | ไล่ตีออกมาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วแสร้งซํ้าทำว่า |
เลียนลัดพ้อตัดกษัตรา | แล้วกลับมาห้องพลันทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองข้องขัดอัชฌาสัย |
จึ่งตรัสสั่งสาวสรรทันใด | จงตั้งใจผลัดเวรเกณฑ์กัน |
อย่าให้อีแก้วสัปดน | เข้าในไพชยนต์รังสรรค์ |
แม้นไม่ระวังสั่งกัน | กูจะลงโทษทัณฑ์ทุกนารี |
สั่งเสร็จเสด็จยุรยาตร | เข้าในปราสาทมณีศรี |
กลุ้มจิตคิดแค้นแสนทวี | อยู่ในแท่นที่ไสยาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เถ้าแก่กำนัลซ้ายขวา |
ผลัดเวรเกณฑ์เฝ้าทวารา | มิให้นางหน้าม้าเข้ามาในฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ บัดนั้น | นางพักตราพาชีศรีใส |
นอนนั่งตั้งนึกตรึกไตร | จะใคร่ไปเฝ้าองค์ทรงธรรม์ |
รุ่งรางสางแสงทินกร | ออกจากห้องนอนขมีขมัน |
กรายกรย่างเยื้องจรจรัล | ผายผันไปยังทวาราฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงเห็นพวกนารี | มากมีเรียงรายซ้ายขวา |
มิได้คิดพะวงสงกา | ลีลาเข้าสู่ทวารชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝูงสนมกำนัลน้อยใหญ่ |
เห็นนางแก้วหน้าม้าคลาไคล | ก็กรูไปป้องกันทันที |
บ้างร้องห้ามปรามตามรับสั่ง | พระทรงฤทธิ์กำลังเข้าที่ |
ถอยไปอย่าได้จรลี | ใช่ที่ทางเจ้าอย่าเข้ามาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วพูดอึงประหนึ่งบ้า |
จะไปเฝ้าเอางานผ่านฟ้า | มากั้นกางขวางหน้าว่าไร |
เราเป็นหม่อมห้ามตามเกณฑ์ | เข้าเวรเช้าเย็นเห็นฤๅไม่ |
แม้นโมงยามขาดค้างอย่างไร | คือใครจะรับพระอาญาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สาวสรรฟังพลางทางว่า |
นี่ฤๅเจ้าจอมหม่อมหน้าม้า | งามกว่าชาววังทั้งปวง |
เราเป็นข้าไทท่านให้เฝ้า | นี่แลเขาเรียกเมียเสียขวง |
กลัวเจ้าจอมหม่อมห้ามตามกระทรวง | จะลามล่วงเข้าปลํ้าท่านมิดี |
เร่งเร็วออกมาเจ้าอย่าดื้อ | เข้าจับมือผลักไสก็ไม่หนี |
ล้อมหลังล้อมหน้าล้วนนารี | อึงมี่ไปทั้งวังในฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | นางแก้วหน้าม้าอัชฌาสัย |
แจ้งว่าพระองค์ทรงชัย | มิให้เข้าในตำหนักจันทน์ |
ครั้นจะดื้อดึงขึงขัด | ก็เกรงสองกษัตริย์รังสรรค์ |
เดินตรงลงจากอัฒจันทร์ | ผายผันเยื้องย่องมาห้องนอนฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโอรสยศยงทรงศร |
ยิ่งสุดแสนแค้นคั่งนั่งนอน | โศกเศร้าเร่าร้อนอุรา |
แค้นด้วยสมเด็จชนนี | เลี้ยงอีคนร้ายขายหน้า |
จำจะคิดผ่อนผันด้วยปัญญา | แสวงหานุชนางทางไกลฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ อยู่นี่อีแก้วสัปดน | ซุกซนดื้อดันหมั่นไส้ |
จะรบเร้าเย้ายวนกวนใจ | ที่ไหนจะสุขสำราญ |
คิดพลางแต่งองค์ทรงเครื่อง | รุ่งเรืองจับแสงสุริย์ฉาน |
พรั่งพร้อมสนมศฤงคาร | บทมาลย์จากปรางค์รูจีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าเฝ้า | น้อมเกล้าประณตบทศรี |
กลุ้มจิตคิดแค้นแสนทวี | มิได้ตรัสร้ายดีประการใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | กรุงกษัตริย์โอภาปราศรัย |
ลูกรักของพ่อดังดวงใจ | มาไยแต่รุ่งสุริยา |
ดูพักตร์พิกลหม่นหมอง | เคืองข้องสิ่งใดให้เร่งว่า |
ฤๅรัญจวนประชวรโรคา | แก้วตาจงแจ้งแห่งคดีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อนรินทร์พินทองผ่องศรี |
กราบลงตรงพักตร์ภูมี | ทูลตามคดีทุกประการ |
บัดนี้อีแก้วสัปดน | ซุกซนประมาทอาจหาญ |
ทำเป็นเช่นพวกพนักงาน | รุกรานเข้าในที่ไสยา |
ความช่างรังเกียจเกลียดจริต | ถ้าม้วยมิดเป็นผีดีกว่า |
อับอายหญิงชายชาวพารา | จนไม่กล้าเที่ยวออกนอกวัง |
สอพลอตอแหลกระแตเต้น | หน้าเป็นพูดจาเหมือนบ้าหลัง |
อายหน้าข้าคนพ้นกำลัง | นอนนั่งไม่มีปรีดา |
พระองค์จงโปรดปรานี | ปล่อยให้ลูกนี้ไปอยู่ป่า |
ให้พ้นอีคนชั่วช้า | เห็นว่าจะรอดตลอดไปฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ฟังโอรส | ทรงยศสรวลสันต์ไม่กลั้นได้ |
โลมลูบลูกยาแล้วว่าไป | คนมีฤทธิไกรของมารดร |
ว่าเขาเท่าไรก็ไม่หยุด | รักสุดโลมเลี้ยงไว้เคียงหมอน |
เชิดชื่อลือดังทั้งนคร | สุดที่จะผันผ่อนพูดจา |
จนใจได้รับมันมาแล้ว | ลูกแก้วจงฟังพ่อว่า |
แม้นมิชอบใจอย่าไปมา | จะอับอายขายหน้าไยมีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโอรสประนมก้มเกศี |
ทูลว่าข้าไม่ไยดี | แต่มันเฝ้าเซ้าซี้ให้เคืองใจ |
ตีด่าว่ากล่าวราวกับยุ | น่ามุหุนหันหมั่นไส้ |
แม้นมิให้ไปดงพงไพร | จงหาเมียเสียให้ต่างพาราฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังลูกรัก | ทรงศักดิ์สำรวลสรวลร่า |
จึ่งตรัสกับอรไทไฉยา | จะตรึกตราผ่อนผันฉันใด |
ลูกรักจักมาให้หาเมีย | ไปเสียให้พ้นทนไม่ได้ |
มารดาจะว่าประการใด | ช่างรับบ้ามาไว้เวียงวังฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางกษัตริย์ทูลไปดังใจหวัง |
ใช่ว่าข้าทำแต่ลำพัง | จะมานั่งพ้อตัดขัดเคือง |
แก้หน้ารับมาพอเป็นที | สิ้นราคีข้อความตามเรื่อง |
ซึ่งจะคิดหานางต่างเมือง | ก็สุดแท้แต่เบื้องบาทาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวมงคลราชนาถา |
นิ่งนึกตรึกไตรไปมา | แล้วจึ่งมีบัญชาตรัสไป |
เมืองโรมวิถีมีธิดา | เราว่าเห็นตรงคงจะให้ |
จะแต่งบรรณาการให้สาส์นไป | โดยในธรรมเนียมประเพณี |
ตรัสพลางทางปลอบพระโอรส | พ่อจะให้งามยศศักดิ์ศรี |
จะตรึกตรองหมองใจไยมี | คงพ้นที่อีหน้าม้าสาธารณ์ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วหน้าม้ากล้าหาญ |
แจ้งว่าสมเด็จพระกุมาร | ขึ้นเฝ้าพระผู้ผ่านเวียงชัย |
ยิ่งถวิลยินดีปรีดา | จะไปล้อพ่อตาว่าให้ได้ |
คิดพลางย่างย่องจากห้องใน | ยืนแฝงทวารชัยฉับพลันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโอรสปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
น้อมกายถวายอภิวันท์ | ผายผันมายังปรางค์ปราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงซึ่งริมทวารชัย | ให้เร่าร้อนฤทัยหนักหนา |
ปลดเปลื้องเครื่องทรงอลงการ์ | แล้วโสรจสรงคงคาวารี |
ครั้นเสร็จเสด็จยุรยาตร | นวยนาดจากห้องมณีศรี |
มิได้รู้ระคายร้ายดี | ภูมีเร่งรีบจรจรัล |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วสัปดนคนขยัน |
แฝงอยู่ดูองค์พระทรงธรรม์ | เห็นเสด็จจรจรัลเข้ามา |
วิ่งวางทางตรงเข้ากอดรัด | โลมลูบจูบหัตถ์ซ้ายขวา |
พ่อเจ้าประคุณของเมียอา | พระมังสาหอมระรื่นชื่นใจฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์หุนหันหมั่นไส้ |
อายเหล่าสาวสรรกำนัลใน | พระคึกคักผลักไสไปทันที |
ดูดู๋ด้านหน้าอีบ้ากาม | ลวนลามกอดรัดช่างบัดสี |
ใครฤๅดื้อว่าเป็นสามี | ช่างพาทีโกหกพกลม |
พูดเล่นง่ายง่ายไม่อายจิต | กูจะคิดเข่นฆ่าให้สาสม |
หยิ่งยศโยโสโง่งม | หัวมึงจะจมแผ่นดินดอนฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ขันจ้าน | จะคอยพาลเอาผิดคิดค่อน |
เฝ้ารื้อเรื่องเคืองขัดตัดรอน | เห็นง้องอนแสร้งไล่เสียไม่เบา |
ข้ามิได้คบชู้สู่หา | เอาไปฆ่าข้อใดไฉนเล่า |
งามนักรักรูปจึงจูบเอา | จะฟ้องหาข้าเจ้าก็ตามใจ |
คนย่อมรู้เห็นเป็นห้าม | แต่รูปข้าหางามเหมือนหม่อมไม่ |
จึ่งด่าทอพ้อตัดขัดใจ | ปฏิเสธเสียได้ทุกประการฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ อีกาลี | ช่างพาทีสบประมาทอาจหาญ |
จองหองพองขนพ้นประมาณ | ปากตลาดจัดจ้านด้านอึง |
หน้าเหมือนหน้าม้าตาจระเข้ | เสเพลสิ้นทีใม่มีถึง |
กูมิใช่ผัวชู้คู่กับมึง | พระโกรธาด่าอึงตบตีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วตอบว่าน่าบัดสี |
ชอบผิดสิ่งใดก็ไม่มี | ด่าตีโกรธข้าว่ากระไร |
ค่อนว่าหน้าม้าตาจระเข้ | จะถ่ายเททิ้งเสียหาเมียใหม่ |
ว่าพลางทางล้อหน่อไท | วิ่งรี่หนีไปห้องนอนฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโอรสยศยงทรงศร |
เคืองแค้นแน่นใจดังไฟฟอน | ภูธรตรึกไตรไปมา |
อีแก้วสัปดนคนนี้ | กาลีร่างร้ายขายหน้า |
เฝ้ากวนใจไม่เว้นเวลา | จะแล่ฆ่าก็เกรงพระชนนี |
จำจะลีลาคลาไคล | เนาในพระโรงรังสี |
คิดพลางย่างเยื้องจรลี | ออกไปยังที่พระโรงพลันฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งสั่งพระพี่เลี้ยง | ให้รวบรวมพร้อมเพรียงที่นั่น |
เล่าตามความหลังให้ฟังพลัน | จงมาอยู่ด้วยกันที่โรงชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงบังคมประนมไหว้ |
รีบมากั้นห้องหับฉับไว | แล้วเชิญเสด็จหน่อไทไสยาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมประโลมเสน่หา |
เนาในพระโรงรัตนา | ปรีดาภิรมย์สำราญ |
เช้าเย็นเล่นด้วยพระพี่เลี้ยง | พร้อมเพรียงปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
ค่อยคลี่คลายสบายเบิกบาน | เนิ่นนานหลายเดือนไม่เคลื่อนคลาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระปิตุเรศนาถา |
เนาในปรางค์ทองห้องไสยา | ในเวลาประถมราตรี |
ตรองตรึกนึกพะวงสงสาร | พระกุมารพินทองผ่องศรี |
แต่ได้นางหน้าม้ากาลี | มาไว้ในที่ตำหนักจันทน์ |
พระโอรสยศไกรผ่ายผอม | ตรมตรอมรูปจริตผิดผัน |
จำจะรีบส่งสารสำคัญ | ไปเขตขัณฑ์เมืองโรมบุรีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ คิดพลางทางจับพระแสงทรง | เสด็จลงจากแท่นมณีศรี |
กรายกรย่างเยื้องจรลี | ออกพระโรงรูจีทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์ชัชวาล | สั่งเจ้าพนักงานผู้ใหญ่ |
เร่งเร็วแต่งสาส์นเป็นการไว | ว่าให้ต้องตามธรรมเนียมมา |
ขอองค์นงนุชบุตรี | เมืองโรมวิถีนาถา |
ให้พระลูกแก้วแววตา | จงกำหนดวิวาห์เร็วพลันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนาอาลักษณ์ตัวขยัน |
คำนับรับสั่งพระทรงธรรม์ | ก็ร่างสาส์นเร็วพลันทันใด |
แล้วคัดใส่ลงลานทอง | ใส่กล่องมณีศรีใส |
ทั้งเพชรนิลนากทองกองไว้ | เสร็จตามท้าวไทบัญชาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวมงคลราชนาถา |
ตรัสสั่งทั้งสี่เสนา | จงลีลายังโรมบุรี |
นำบรรณาการสาส์นทรง | ถวายองค์กษัตริย์เรืองศรี |
แม้นสมปรารถนาอย่าช้าที | จงคืนสู่บุรีเร็วพลันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ราชทูตสี่ตนคนขยัน |
ถวายบังคมลาพากัน | ลงสู่ลำกำปันฉับไว |
แล่นออกนอกอ่าวบุรีรมย์ | ได้ลมล่องตามนํ้าไหล |
ทั้งต้นหนคนท้ายนายใบ | ยืนเรียงระไวระวังทีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ แล่นเรื่อยเฉื่อยมาสิบห้าวัน | ถึงเขตขัณฑ์เมืองโรมวิถี |
ทอดสมอรอรานาวี | อยู่ที่ปากนํ้าตามทำนองฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ชาวด่านซึ่งนั่งอยู่ทั้งผอง |
เห็นลำกำปั่นลั่นฆ้อง | แล้วร้องทักถามความไป |
นาวามาแต่บุรีรมย์ | เขตนิคมบุรินถิ่นไหน |
ค้าขายจำหน่ายสิ่งใด | บอกไปให้แจ้งกิจจาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ราชทูตทั้งสี่มียศถา |
ร้องตอบมาพลันมิทันช้า | มาแต่มิถิลาธานี |
ด้วยพระองค์ผู้ดำรงศฤงคาร | ให้นำบรรณาการสาส์นศรี |
มาทางพระราชไมตรี | มิใช่ไพรีอย่าร้อนใจฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ขุนด่านฟังแจ้งแถลงไข |
ลงยังนาวาคลาไคล | เข้าในนิเวศบวรฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึ่งแถลงแจ้งการ | กับเจ้าพนักงานศุภอักษร |
พอเวลาเฝ้าเจ้านคร | ก็ชวนกันบทจรเข้าไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึ่งชวนกันกราบลง | ทูลองค์พงศ์กษัตริย์เป็นใหญ่ |
บัดนี้ทูตามาแต่ไกล | พักไว้นอกด่านพระพาราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวพรหมทัตนาถา |
ได้ฟังจึ่งสั่งเสนา | ให้รับทูตามาเวียงชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีพนักงานน้อยใหญ่ |
ออกมาเกณฑ์กันทันใด | รีบไปยังด่านปากน้ำพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้งถึงจึ่งแจ้งคดี | กับสี่ทูตาคนขยัน |
บัดนี้พระองค์ทรงธรรม์ | ให้เชิญท่านทูตเข้าในพาราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ราชทูตทั้งสี่มียศถา |
จัดแจงตกแต่งกายา | เสื้อผ้าหลายอย่างต่างต่างมี |
ต่างเชิญสาราบรรณาการ | พรั่งพร้อมขนานทุกหน้าที่ |
ขึ้นจากนาวาไม่ช้าที | เสนีแห่หน้าคลาไคลฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ กลองโยน
๏ ครั้นถึงพระโรงรจนา | นำทูตเข้ามาหาช้าไม่ |
ขนบรรณาการสาส์นชัย | เข้าเฝ้าท้าวไทฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวพรหมทัตรังสรรค์ |
เห็นบรรณาการสาส์นสุวรรณ | ทรงธรรม์ปราศรัยไปทันที |
พระองค์ผู้ดำรงนัครา | ยังเปรมปราภิรมย์เกษมศรี |
ข้าวกล้านาปรังตั้งต้นดี | ไพร่ฟ้าประชาชีสุขสำราญ |
ทั้งหมู่ประจามิตรทิศใด | ไม่เบียดเบียนฤๅไรในสถาน |
พวกท่านมานี่กี่วันวาร | จึ่งลุถึงสถานนัคราฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ราชทูตบังคมก้มเกศา |
พระองค์ผู้ดำรงนัครา | ไพร่ฟ้าอยู่สุขสำราญ |
ข้าพระบาทจรมาสิบห้าวัน | จึ่งลุถึงเขตขัณฑ์ราชฐาน |
ด้วยเดชะสององค์ทรงศฤงคาร | จึ่งคุ้มไร้ภัยพานถึงเขตคันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ ฟังทูล | เพิ่มพูนปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
จึ่งหยิบสาส์นอ่านทัศนาพลัน | ข้อสำคัญคดีที่มีมาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ในลักษณ์อักษรสาส์นทรง | ขององค์ทรงภพนาถา |
ถึงองค์พรหมทัตกษัตรา | สองพาราขอร่วมไมตรีกัน |
ขอพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ | ร่วมเศวตฉัตรเฉิดฉัน |
กับโอรสาวิวาห์พลัน | เป็นทองแผ่นเดียวกันคุ้งวันตายฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ จบสาส์นอ่านสิ้นในอักษร | พระภูธรชื่นชมสมหมาย |
ยิ้มเยื้อนเอื้อนอรรถตรัสภิปราย | พระฦๅสายจะประสงค์จงใจ |
สมสองครองกันไม่ฉันทา | ไม่ว่าดอกเจ้าเราจะให้ |
กลับไปทูลองค์พระทรงชัย | กำหนดวันเดือนใดก็ตามทีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อำมาตย์ราชทูตทั้งสี่ |
จึ่งทูลว่าถ้าโปรดปรานี | เดือนสี่ขอนัดการวิวาห์ |
จะให้พระโอรสยศยง | มาเฝ้าเบื้องบาทองค์พระนาถา |
ตามพระองค์ทรงธรรม์มีบัญชา | ผ่านฟ้าจงทราบบทมาลย์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พงค์กษัตรีย์ปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
จึ่งตรัสเรียกเสื้อผ้ามาประทาน | อีกของตระการนานาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ราชทูตทั้งสี่มียศถา |
รับของประทานแล้ววันทา | บังคมลาออกมาไม่ช้าทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึ่งลงนาวา | ต้นหนล้าต้ากะลาสี |
พอลมส่งตรงไปก็ได้ที | ออกนาวีตรงกลับบุรีพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงยังซึ่งพารา | ประทับทอดหน้าท่าเกษมสันต์ |
สี่นายโดยด่วนชวนกัน | ผายผันขึ้นเฝ้าเจ้าธานีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ | พระองค์ผู้ดำรงกรุงศรี |
กราบทูลเนื้อความตามคดี | ถ้วนถี่ชี้แจงดังบัญชาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระผู้ผ่านเขตขัณฑ์ก็หรรษา |
จึงตรัสสั่งลูกแก้วแววตา | จงเร่งเตรียมเภตราฉับพลัน |
กำหนดอีกเจ็ดราตรี | ฤกษ์ดีลูกแก้วจงผายผัน |
แล้วดำรัสตรัสสั่งเสนาพลัน | จงจัดสรรให้เสร็จสำเร็จการฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนารับราชบรรหาร |
คลานคล้อยถอยออกมาสั่งการ | ทุกทั่วพนักงานดังบัญชาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงทรงยศโอรสา |
ถ้วนเจ็ดราตรีก็ปรีดา | ผ่านฟ้าถวิลยินดี |
สระสรงทรงเครื่องพรายพรรณ | ดังจันทร์แจ่มฟ้าราศี |
พรั่งพร้อมสนมนารี | ขึ้นเฝ้าภูมีทันใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงประนมบังคมบาท | บิตุรงค์ธิราชเป็นใหญ่ |
ทั้งพระชนนีทรามวัย | ภูวไนยจงสุขสวัสดีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | บิตุเรศมารดรทั้งสองศรี |
อวยชัยให้พรสวัสดี | ทั้งโรคาอย่ามีมาแผ้วพานฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโอรสปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
น้อมเศียรประณตบทมาลย์ | ออกมาหน้าพระลานทันที |
พรั่งพร้อมสนมนางใน | ลงไปส่งเสด็จพระโฉมศรี |
นางแก้วสัปดนคนดี | ก็ลอบตามภูมีลงมาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงยังซึ่งตำหนักแพ | ฝูงกำนัลเซ็งแซ่อยู่แน่นหนา |
พระแลเห็นนางแก้วหน้าม้า | หมอบอยู่ตรงหน้าภูวไนย |
เทวันบัลดาลดลจิต | ให้ทรงฤทธิ์เธอกล่าวปราศรัย[๑] |
พระแลชมมัจฉาชลาลัย | ที่ในสาคเรศชโลทร |
เห็นฉนากฉลามว่ายตามเรือ | ทั้งพิมพาปลาเสือว่ายสลอน |
จระเข้กุ้งกั้งมังกร | เที่ยวลอยร่อนผุดพ่นชลธารฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงสิบห้าราตรี | ลุถึงบุรีเกษมสานต์ |
ทอดสมอรอรั้งฟังโองการ | อยู่ยังหน้าด่านบุรีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายด่านกองตระเวนเห็นถ้วนถี่ |
ร้องถามไปพลันทันที | นี่นาวีมาไยในพาราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีผู้มียศถา |
ร้องตอบมาพลันมิทันช้า | มาแด่มิถิลาธานี |
นัดว่าจะมาสยุมพร | ภูธรเสด็จมาถึงนี่ |
ท่านเร่งไปทูลมูลคดี | ให้ภูมีท้าวทราบอย่านอนใจฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ชุนด่านฟังแจ้งแถลงไข |
รีบแต่งตัวพลันทันใด | คลาไคลรีบมาไม่ช้าทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งแจ้งเหตุการณ์ | กับเจ้าพนักงานถ้วนถี่ |
เสนาชวนกันทันที | เข้าพระโรงรูจีบัดดลฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึ่งประณตบทมาลย์ | กราบทูลภูบาลตามนุสนธิ์ |
บัดนี้ทูลกระหม่อมจอมมงคล | ยกพลมาแต่งวิวาห์การฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวพรหมทัดเกษมสานต์ |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งพนักงาน | จงจัดการไปรับเธอเข้ามาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ขุนนางจัตุสดมภ์กรมท่า |
ก้มเกล้ารับสั่งบังคมลา | ออกมาเกณฑ์กันทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นเสร็จจึ่งรีบจรลี | ลงนาวีลำเลียงเคียงไสว |
เกณฑ์แห่แลล้วนแต่ธงชัย | ออกไปรับเสด็จพระทรงธรรม์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบทูล | ตามมูลคดีทุกสิ่งสรรพ์ |
ว่าบัดนี้พระองค์ทรงธรรม์ | เชิญเสด็จจรจรัลเข้าธานีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงทรงสวัสดิ์รัศมี |
ได้ฟังสมถวิลยินดี | จรลีมาสรงคงคาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ลูบไล้สุคนธ์ปนปรุง | เฟื่องฟุ้งซับซาบอาบมังสา |
ทรงภูษิตยกแย่งนาคา | สนับเพลาโอ่อ่าลวดลาย |
ฉลององค์อินทรธนูชูเชิด | กรองศอเพราเพริศสังวาลสาย |
เจียระบาดตาดสุวรรณพรรณราย | เข็มขัดสายทองคำประจำยาม |
ตาบทิพย์ประดับทับทรวงทรง | ทองกรธำมรงค์เรืองอร่าม |
มงกุฎเก็จเพชรพราววาววาม | ห้อยอุบะอร่ามรุ้งมณี |
ขัดพระขรรค์บรรจงทรงศร | บทจรจากท้ายบาหลี |
พรั่งพร้อมพี่เลี้ยงเสนี | จรลีขึ้นจากนาวาฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีตัวนายซ้ายขวา |
ให้ประโคมแตรฆ้องกลองชวา | แห่หน้านำเสด็จจรจรัล |
พระองค์ขึ้นทรงยานุมาศ | ยุรยาตรเข้าในไอศวรรย์ |
คับคั่งหลังหน้ากว่าพัน | ผายผันเข้าในทวาราฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ กลองโยน
๏ ครั้นถึงจึงหยุดกระบวนแห่ | เซ็งแซ่คึกคักเป็นหนักหนา |
เชิญเสด็จหน่อไทไคลคลา | เข้าพระโรงรจนาทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอภิวาท | สองกษัตริย์ธิราชเป็นใหญ่ |
หมอบเมียงเคียงแท่นอำไพ | หฤทัยสุขเกษมเปรมปรีดิ์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองกษัตริย์ธิราชเรืองศรี |
พิศพักตร์เขยขวัญทันที | ยิ่งมีเมตตาอาลัย |
ผิวผ่องละอองแน่งน้อย | แช่มช้อยโสภาน่ารักใคร่ |
ยิ้มเยื้อนเอื้อนอรรถตรัสไป | ว่าดวงใจพ่อมาถึงธานี |
ทั้งสองพระองค์ทรงยศ | ไพร่พลชนบทกรุงศรี |
สุขเกษมเปรมปราไม่ราคี | สวัสดีด้วยกันฤๅฉันใด |
เดินทางมากลางสาคเรศ | เกิดเหตุร้อนเย็นเป็นไฉน |
จะเสกสองให้ครองราชัย | ฤๅพ่อจะกลับไปพระนครฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงทรงฤทธิ์อดิศร |
ได้ฟังตรัสมัธุรสสุนทร | โอนอ่อนวันทาแล้วพาที |
พระองค์ทรงฤทธิ์เหมือนบิตุเรศ | ชนนีเกิดเกศเกศี |
วงศาประชาชาวบุรี | มิได้มีโรคันอันตราย |
เดินทางมากลางทะเลวน | สำราญใจไพร่พลทั้งหลาย |
ลมส่งตรงมาแสนสบาย | สิบห้าวันมั่นหมายถึงเวียงชัย |
ลูกรักจักฉลองละอองบาท | บิตุรงค์ธิราชเป็นใหญ่ |
ปีหน้าจึ่งจะลาไปเวียงชัย | เยี่ยมไทเสร็จสรรพจะกลับมาฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังทูล | นเรนท์สูรแสนโสมนัสา |
เบือนพักตร์กวักเรียกเสนา | อย่าช้าหาฤกษ์ยามชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ขุนโหรรับสั่งบังคมไหว้ |
จับกระดานหารคูณไปทันใด | ฤกษ์ใหญ่เบ็ดเสร็จเจ็ดวัน |
ครั้นรู้ตระหนักประจักษ์เหตุ | กราบทูลทรงเดชเจ้าไอศวรรย์ |
จงทราบบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ | อีกเจ็ดวันทำการจะสำราญฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังโหรทาย | พระฦๅสายปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
จึ่งตรัสกับเขยขวัญมิทันนาน | จงคิดอ่านตกแต่งพระบุรี |
ให้เขารื้อพระปรัศว์จัดแจง | ตกแต่งเครื่องการภิเษกศรี |
แล้วตรัสสั่งเสนาไม่ช้าที | เร่งรัดบัดนี้อย่านอนใจ |
จงปลูกพลับพลาริมสาคร | ได้พักผ่อนเภตราอาศัย |
หยุดพักพหลพลไกร | อย่าให้อดอยากทุกประการฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมประโลมยอดสงสาร |
น้อมเศียรประณตบทมาลย์ | ลาพระภูบาลออกไป |
พรั่งพร้อมพี่เลี้ยงเสนา | ติดตามผ่านฟ้ามาไสว |
รีบออกนอกทวารวังใน | รีบไปสู่ท่าวารีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งลงยังนาวา | แลมาตามท้องนทีศรี |
แซ่เสียงปี่พาทย์ดนตรี | โยธีแห่แหนแน่นมาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ มาถึงซึ่งลำสำเภาพลัน | สุริยันลับเหลี่ยมภูผา |
พระโฉมยงลงสู่เภตรา | ผ่านฟ้าเป็นสุขสำราญฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีที่รับบรรหาร |
หมายเวรเกณฑ์กันมิทันนาน | สับสนอลหม่านทั้งเวียงชัย |
ทำที่ประทับพลับพลา | ริมฝั่งคงคากว้างใหญ่ |
ที่ทางข้างหน้าข้างใน | เสร็จสรรพฉับไวดังบัญชา |
บ้างปลูกโรงราชพิธี | ประดับด้วยมณีมีค่า |
สำเร็จเสร็จสรรพประดับประดา | คอยฤกษ์วิวาห์วันดีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระนรินทร์พินทองผ่องศรี |
เสร็จสรรพพลับพลาไม่ช้าที | ลีลานาวีเข้าเวียงชัย |
จอดเคียงเรียงลำเป็นลำดับ | คั่งคับดังแพแลไสว |
สำเร็จเสร็จสรรพฉับไว | แล้วขึ้นไปอยู่ประทับพลับพลาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายพวกพนักงานถ้วนหน้า |
ครั้นถึงกำหนดการวิวาห์ | ต่างมาพระโรงคัลมิทันนาน |
เร่งรัดจัดพวกกระบวนแห่ | จอแจดาษดาหน้าฉาน |
บุษบกรถทรงอลงการ | รับเสด็จพระกุมารเข้าเวียงชัยฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ กลองโยน
๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดกระบวนแห่ | เซ็งแซ่สนั่นอยู่หวั่นไหว |
ยานุมาศประทับกับเกยชัย | คอยพระภูวไนยจรลีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
พร้อมพรั่งดังกระบวนโยธี | จรลีมาสรงสาครฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ กรีดหัตถ์ขัดสีฉวีวรรณ | ทรงสุคนธ์ปนสุวรรณเกสร |
ทรงภูษิตพื้นแดงแย่งกินนร | สวมซ้อนสนับเพลาเพราพราย |
ฉลององค์สอดทรงเจียระบาด | เข็มขัดคาดค่าเมืองเรืองฉาย |
ทับทรวงพวงกุดั่นพรรณราย | ตาบทิพย์เพชรพรายเพราตา |
ทองกรเป็นพระยามังกรแก้ว | ธำมรงค์วาวแววทั้งซ้ายขวา |
มงกุฎแก้วแวววับจับตา | ห้อยมาลาพวงกุดั่นบรรจงฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นเสร็จเสด็จจรลี | ท่วงทีดังพระยาราชหงส์ |
ออกจากห้องสุวรรณบรรจง | มาทรงรถแก้วแววตาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีตัวนายซ้ายขวา |
บังคมก้มกราบสามลา | คลายเคลื่อนโยธาจรลีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงพระโรงชัชวาล | หยุดพวกทวยหาญอึงมี่ |
พระองค์ลงจากรถมณี | เข้าสู่โรงพิธีทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ชนนีศรีใส |
สายแสงสุริโยอโณทัย | ทรามวัยกุมกรพระธิดาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ นางในไขฝักประทุมทอง | เป็นละอองเย็นซาบอาบมังสา |
ทรงสุคนธ์ปนทองชโลมทา | ทรงภูษาเชิงชายลายสุวรรณ |
ประจงจับพับกลีบจีบโจงวาด | เข็มขัดคาดรัดกายลายกระสัน |
สะพักตาดพาดองค์นางแจ่มจันทร์ | สังวาลวรรณสร้อยนวมสวมทรง |
ทองกรธำมรงค์เพชรรัตน์ | พระพักตร์ผัดเลิศล้วนนวลระหง |
พระมารดามาช่วยประคององค์ | ประจงทรงรัดเกล้าเพราพรายฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ สรรพเสร็จสมเด็จพระมารดร | จูงกรจรจรัลผันผาย |
สาวศรีพี่เลี้ยงเรียงราย | ผันผายขึ้นเฝ้าพระบิดาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงจึ่งประณตบทบงสุ์ | ผู้ดำรงภพราชนาถา |
หมอบเมียงเคียงองค์พระมารดา | คอยฟังบัญชาท้าวไทฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวพรหมทัตเป็นใหญ่ |
เห็นควรจวนได้ฤกษ์ชัย | ภูวไนยชื่นชมยินดีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ สระสรงทรงเครื่องอาภรณ์ | พระหัตถ์กุมศรชัยศรี |
ตรัสชวนนงนุชพระบุตรี | จรลีออกมาเกยสุวรรณ |
พระองค์ขึ้นทรงยานุมาศ | พระนางนาฏทรงวอเฉิดฉัน |
พระพี่เลี้ยงเคียงองค์นางแจ่มจันทร์ | ขึ้นทรงรถสุวรรณอลงกรณ์ |
พรั่งพร้อมสนมนางใน | งามงามตามไปแลสลอน |
ได้ฤกษ์ให้เคลื่อนคลาจร | พลนิกรแห่แหนแน่นมาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ กลองโยน
๏ ครั้นถึงยังซึ่งโรงพิธี | ให้หยุดมนตรีทั้งซ้ายขวา |
สามกษัตริย์ยุรยาตรคลาดคลา | เข้ามาสู่โรงพิธีการฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ฝ่ายองค์สมเด็จพระบิดร | จูงกรหน่อไทใจหาญ |
นั่งเหนือกองแก้วสุริย์กาญจน์ | โดยแบบบุราณก่อนมาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระชนนีเสน่หา |
จูงกรพระราชธิดา | นั่งกองสุวรรณาทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายพวกพนักงานน้อยใหญ่ |
ประโคมฆ้องกลองดังทั้งเวียงชัย | เสียงสนั่นหวั่นไหวเป็นโกลี |
ฝ่ายพวกชีพราหมณ์พฤฒา | เข้ามาต่างเบิกบายศรี |
จุดเทียนเวียนแว่นอัคคี | โห่ก้องอึงมี่เอาชัยฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถ้วนคำรบทันที | พราหมณ์ชีเข้ามาหาช้าไม่ |
รวบรับดับพลันทันใด | แล้วไปเฉลิมเจิมพักตรา |
ต่างต่างอำนวยอวยพร | ให้ถาวรยาวยืนชันษา |
ครองกันแต่หนุ่มคุ้มชรา | ปราศจากโรคาอย่าแผ้วพานฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นสำเร็จเสร็จการสยุมพร | ภูธรปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
ตรัสชวนเขยขวัญมิทันนาน | เข้าสู่สถานทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งพาหน่อนาถ | ยุรยาตรขึ้นปราสาทสุกใส |
พระมารดาพาองค์อรไท | เข้าในปรางค์ทองห้องสุวรรณฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งสั่งนางพี่เลี้ยง | ให้พร้อมเพรียงสุรางค์นางสาวสรร |
พอโพล้เพล้เพลาสายัณห์ | จอมขวัญเล้าโลมพระบุตรี |
เจ้าจงจัดแจงแต่งองค์ | แม่จะได้ไปส่งโฉมศรี |
ฤกษ์ยามสำคัญวันนี้ | จะเป็นศรีสวัสดิ์สืบไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางทัศมาลีศรีใส |
แจ้งว่ามารดาจะพาไป | อายใจเป็นพ้นคณนา |
ให้สะเทิ้นเมินพักตร์ไม่พาที | เทวีหวาดหวั่นพรั่นหนักหนา |
เห็นพี่เลี้ยงยิ้มพรายชายตา | กัลยาชำเลืองเคืองค้อนฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระชนนีศรีสมร |
ลูบหลังลูกยาแล้วว่าวอน | บังอรของแม่อย่าเกียจกัน |
บิตุรงค์ให้ส่งเสียวันนี้ | ด้วยฤกษ์งามยามดีกวดขัน |
จงสระสรงแต่งองค์อย่าช้าพลัน | จอมขวัญของแม่อย่าแชเชือนฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังมารดา | ตรึกตราอายใจใครจะเหมือน |
ไม่ไหวติงนิ่งหงิมยิ้มเยื้อน | บิดเบือนพักตร์หนีไม่นำพาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองนางพี่เลี้ยงซ้ายขวา |
เข้าไปกระซิบเจรจา | ไม่กลัวพระบิดาฤๅว่าไร |
นั่งนิ่งไม่ติงอินทรีย์ | เนื้อเย็นเห็นดีฤๅไฉน |
จะให้เสียฤกษ์พาว่ากระไร | ไวไวไปสรงชลธาร |
ว่าพลางทางเข้าอุ้มองค์ | เข้าในห้องสรงสระสนาน |
พนักงานไขฝักประทุมมาลย์ | นางอยู่งานหมอบเมียงอยู่เรียงรายฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ลูบไล้กระแจะนํ้ามันปรุง | ภูษานุ่งพื้นม่วงช่วงฉาย |
คาดเข็มขัดตรัจเตร็จเพชรพราย | โฉมฉายกรีดหัตถ์ผัดพักตรา |
ทรงสไบตาดทองรองซับ | สร้อยนวมสวมทับพระอังสา |
สังวาลช่วงดวงกุดั่นจินดา | ทองกรบุษราเรืองระยับ |
แล้วเลือกธำมรงค์ทรงสอด | แต่ละยอดเรียงเม็ดเพชรประดับ |
สวมทรงรัดเกล้าวาววับ | เสร็จสรรพมาเฝ้าพระมารดาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ แล้วถวายคำนับอภิวาท | หมอบเมียงเคียงอาสน์นาถา |
คิดประหวั่นครั่นคร้ามขามวิญญา | ก้มหน้าสะเทิ้นเขินอายฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระชนนีโฉมฉาย |
โลมลูบปลอบว่าแม่อย่าอาย | โฉมฉายของแม่ผู้ภักดี |
สมศักดิ์สมวงศ์พงศ์พันธุ์ | เปรียบดังดวงจันทร์สุริย์ศรี |
ควรเป็นภัสดาสามี | ฤกษ์ดีจะได้จรจรัล |
ขึ้นเฝ้าบิดาเสียอย่าดื้อ | เข้าจูงมือโฉมฉายผายผัน |
พรั่งพร้อมสนมกำนัล | เสด็จจรจรัลมาทันทีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงจึ่งองค์พระมารดร | จูงกรธิดามารศรี |
ขึ้นบนปราสาทรูจี | แต่สองมารศรีทรามวัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อนรินทร์พินทองผ่องใส |
เห็นพระมารดามาแต่ไกล | ภูวไนยก็ถวายอัญชลีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์เอกภิเษกศรี |
รับหัตถ์เขยขวัญทันที | จรลีเข้าห้องพรรณราย |
ลดองค์ลงนั่งบัลลังก์รัตน์ | หน่อกษัตริย์แลเลี่ยงเมียงหมาย |
พระธิดาเมินหมอบยอบกาย | เอียงอายขวยเขินเมินพักตร์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระชนนีมีศักดิ์ |
เรียกพระโฉมยงนงลักษณ์ | มานั่งตรงพักตร์แล้วพาที |
สององค์จงสมัครรักกัน | ตามวงศ์พงศ์พันธุ์กษัตริย์ศรี |
ชอบผิดอย่าคิดราคี | จงมีความเจริญสืบไป |
ส่งแล้วมารดาจะลาเจ้า | ขวัญข้าวทั้งสองจงผ่องใส |
ครองกันจงดีอย่ามีภัย | กอดจูบลูบไล้ทั้งสองราฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมเฉิดเลิศลํ้าเลขา |
รับกรชนนีด้วยปรีดา | ชายตาแย้มสรวลสำรวลกัน |
สบพักตร์ก็พยักยิ้มพราย | สนิทแนบแยบคายคมสัน |
โฉมฉายอายเอียงเมียงมัน | ทรงธรรม์เกษมเปรมปรีดิ์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระมารดามารศรี |
ตรัสกับเขยขวัญทันที | แม่นี้จะลาคลาไคล |
ว่าพลางนางลุกลงจากอาสน์ | ชวนฝูงกำนัลนาฏน้อยใหญ่ |
ออกจากห้องสุวรรณทันใด | กลับไปยังปรางค์รจนาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระบุตรีแน่งน้อยเสน่หา |
ความอายประหวั่นพรั่นวิญญา | ตกประหม่าไม่เป็นสมประดี |
ถอยองค์ลงไปเสียให้ห่าง | นวลนางจะลุกขึ้นวิ่งหนี |
มองหาพี่เลี้ยงนารี | เลื่อนองค์จากที่ทันใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์ยิ้มย่องผ่องใส |
ฉวยฉุดกรยุดสไบไว้ | ปราศรัยลูบไล้ไปมาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ชาตรี
๏ สุดสวาดิ์ | งามขนงวงวิลาสเลขา |
พริ้งเพราเสาวภาคย์โสภา | ใต้ฟ้าเอกเอี่ยมไม่เทียมทัน |
เป็นกุศลหนหลังเราทั้งสอง | เคยร่วมห้องร่วมเรียงเคียงขวัญ |
ใช่ใกล้เคียงเวียงชัยอยู่ไกลกัน | สู้ข้ามชลด้นดั้นสันโดษมา |
ทิ้งสถานบ้านเรือนมาอยู่นี่ | เพราะว่าพี่จงจิตขนิษฐา |
ท่านเสกมิ่งมารศรีให้พี่ยา | แก้วตาจะว่าประการใด |
พี่ขอเชิญโฉมงามทรามสวาดิ์ | มาไสยาสน์แท่นทองให้ผ่องใส |
อย่าแฝงกายอายเหนียมเรียมไย | พระลูบไล้โอบอุ้มแล้วกุมกรฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางทัศมาลีศรีสมร |
ฟังตรัสมัธุรสสุนทร | คมค้อนขวยเขินสะเทิ้นใจ |
ยิมพลางทางว่าน่าบัดสี | ช่างพาทีกล่าวความแต่ตามได้ |
ทิ้งสมบัติวัตถาข้าไท | มาได้ถึงโรมบุรี |
ไยจึงไม่สมสองครองคู่ | เชยชมสมสู่อยู่กรุงศรี |
ต้องลำบากยากมาในวารี | ฤๅน้องนี้ฉุดลากกระชากมาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ แสนเอยแสนคม | ทั้งคารมแหลมหลักเป็นหนักหนา |
ทราบแล้วว่าแก้วกัลยา | มิได้ไปเรียกหาว่าวาน |
ความรักหากซนมาจนพบ | จนประสบนงนุชสุดสงสาร |
พี่ไร้คู่สู่สมชมสำราญ | เยาวมาลย์จงได้ปรานี |
ว่าพลางจูงนางดำเนินนาด | มานั่งเหนืออาสน์มณีศรี |
สัพยอกหยอกเย้ายวนยี | สุขเกษมเปรมปรีดิ์หฤทัยฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ โลม
๏ รุ่งรางสร่างแสงสุริยา | ตรัสชวนกัลยาพิสมัย |
มาสระสรงทรงเครื่องอำไพ | คลาไคลเฝ้าสองกษัตราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงจึ่งถวายบังคมคัล | หมอบเรียงเคียงกันอยู่ตรงหน้า |
ก้มพักตร์เสียไม่เจรจา | คอยฟังบัญชาพระทรงธรรม์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พรหมทัตทศทิศรังสรรค์ |
ทั้งนางสุนทราวิลาวัณย์ | ชวนกันกอดจูบลูบไล้ |
ต่างว่าน่าชมสมสอง | ดังทองหมดสิ้นปัถไหม |
ดังบุหลันสรรค์สร้างกันมาไว้ | จึ่งได้ประสบพบพาน |
พ่อแม่แก่องค์ลงแล้ว | ลูกแก้วอยู่ด้วยช่วยคิดอ่าน |
ดูแลชอบผิดกิจการ | ดังแบบบุราณสืบมาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังตรัส | หน่อกษัตริย์บังคมก้มเกศา |
ชวนโฉมอรไทไคลคลา | กลับมาปราสาททันทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าห้องทอง | นั่งแนบแอบน้องเกษมศรี |
สัพยอกเย้าชวนยวนยี | สุขเกษมเปรมปรีดิ์สำราญฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางหน้าม้าปรีชาหาญ |
เนาในมิถิลามาช้านาน | ประมาณสองเดือนไม่เคลื่อนคลาย |
คิดคะนึงถึงองค์พระทรงศักดิ์ | ความรักมิใคร่จะเสื่อมหาย |
นั่งนอนร้อนใจไม่สบาย | โฉมฉายนิ่งนึกตรึกตรา |
เมื่อเธอจรจากวังก็สั่งไว้ | ให้เราไซร้ทำลูกไว้คอยท่า |
จะยอกย้อนซ้อนกลมายา | แก้แค้นแสนสาแก่นํ้าใจฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ คิดพลาง | นวลนางออกจากที่อาศัย |
รีบลงอัฒจันทร์มาทันใด | มิให้ใครแจ้งแห่งคดี |
ครั้นออกนอกวังไม่ยั้งหยุด | รีบรุดมาตามแถววิถี |
ลับตาคนผู้ในบุรี | ตรงไปยังที่นาวาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ แวะเข้าสุมทุมพุ่มพง | สุริยงบ่ายบังพฤกษา |
นั่งลงตรงกลางนาวา | ชักยนต์เภตราลอยไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ ครู่หนึ่งถึงกุฎีดง | โฉมยงยินดีจะมีไหน |
ลงจากนาวาคลาไคล | เข้าไปเฝ้าองค์พระทรงญาณฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอัญชลี | พระมหามุนีปรีชาหาญ |
หมอบเมียงเคียงคอยพจมาน | แสนสำราญหฤทัยพันทวีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระมหาดาบสฤๅษี |
แลเห็นหน้าม้าพาชี | ยิ้มพลางทางมีบัญชา |
ตัวเจ้าได้เขาพระเมรุไป | ถวายองค์ทรงชัยนาถา |
ได้ลาภฤๅเปล่าเล่ากิจจา | กลับมาด้วยเหตุประการใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ |
ทูลความตามจริงทุกสิ่งไป | โดยนัยนุสนธิ์ต้นปลาย |
บัดนี้พระองค์ทรงฤทธิ์ | ไม่คิดผูกพันมั่นหมาย |
หนีไปไกลเมืองเคืองระคาย | จะผันผายตามองค์พระทรงธรรม์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังวาจา | พระสิทธาสำรวลสรวลสันต์ |
มีศักดิ์เสียเปล่าไม่เท่าทัน | พากันโง่เง่าเหมือนเต่าปลา |
ซึ่งเจ้าจะคิดติดตามไป | ถึงโรมวิสัยไกลหนักหนา |
เหาะเหินเดินได้ในเมฆา | ประมาณเจ็ดทิวาราตรี |
ตาจะช่วยจัดแจงแต่งให้ | ด้วยได้มาพึงจนถึงนี่ |
ว่าพลางทางองค์พระมุนี | ร่ายเวทฤทธีฉับพลันฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ รัว
๏ บังเกิดขึ้นเป็นกระทายทอง | ใส่ของเครื่องทรงสาวสวรรค์ |
หยิบยื่นให้นางพลางรำพัน | เมืองนั้นทิศนี้ตาชี้ไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางแก้วกราบก้มบังคมไหว้ |
รับของประทานสำราญใจ | วันทาลาไปยังสัดจองฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ชักสายยนต์ลิ่วปลิวฟ้า | เภตราเหาะพันพันผยอง |
ทุกษิณครบสามตามทำนอง | ลอยล่องไปในกลีบเมฆีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ ครั้นเสร็จเจ็ดวันดังบัญชา | เภตรามาถึงโรมวิถี |
ชักสายยนต์แวะนาวี | สู่ที่ปัถพีทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งลงจากเรือน้อย | สุริย์ฉายบ่ายคล้อยเหลี่ยมไศล |
ยอกรวันทาสุราลัย | ถอดรูปทรามวัยฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๏ กลายเป็นนารีศรีโสภา | พักตราพริ้งเพริดเฉิดฉัน |
กรายกรย่างเยื้องจรจรัล | ผายพันเข้าสู่บูรีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๏ ครั้นถึงยังซึ่งถนนหลวง | ฝูงคนทั้งปวงอยู่อึงมี่ |
นางดำเนินเดินดูพระบูรี | ตามแถววิถีทางจร |
ร้านรายขายของทั้งสองฝาก | เมี่ยงหมากพฤกษาผ้าผ่อน |
เครื่องแก้วแววรับซับซ้อน | ผ้าห่มนอนต่างต่างมาวางราย |
ลางนางนั่งร้านขายพานถม | ดูสวยสมพริ้งเพริศเฉิดฉาย |
ห่มสีทับทิมพริ้มพราย | นั่งขายเครื่องทองดูยองใย |
ลางนางบ้างขายกระจกหวี | ห่มสีจำปาน่ารักใคร่ |
ขายเครื่องหอมหวนยวนใจ | บ้างร้อยมาลัยมะลิลา |
ชมพลางนางรีบจรลี | มิได้มีใครทักรู้จักหน้า |
เลี้ยวลงฉนวนด่วนมา | เดินดูนาวาริมนทีฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นสำเภาจอด | ท้ายทอดใบกางต่างต่างสี |
เห็นกระท่อมยายตาริมวารี | อยู่ข้างวิถีทางจร |
เทวีตริตรึกนึกใน | จำจะหยุดอาศัยที่นี่ก่อน |
แม้นพระทรงยศบทจร | จะล่อพระภูธรให้หนำใจ |
คิดพลางนางแวะเข้ามา | นั่งไหว้ยายตาแล้วปราศรัย |
หลานเป็นกำพร้ามาแต่ไกล | จะอาศัยอยู่ด้วยช่วยทำงานฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
ลูบหลังลูบหน้ายุพาพาล | เยาวมาลย์แม่มาแต่แห่งใด |
รูปร่างดังเทพนฤมิต | พักตร์พิศดังดวงแขไข |
ถิ่นฐานตำแหน่งอยู่แห่งใด | มาไยจงแถลงแจ้งกิจจาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางมณียิ้มพลางทางว่า |
หลานเป็นชาวดอนสัญจรมา | ญาติวงศ์พงศาก็ไม่มี |
ยายจงกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้ | หลานจะแทนคุณให้ทั้งสองศรี |
งานการทำได้เป็นไรมี | จงเมตตาปรานีเถิดคุณยายฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าตอบไปดังใจหมาย |
บุญแล้วแก้วตามาหายาย | อยู่ให้สบายอย่าปรารมภ์ |
ว่าแล้วก็จูงมือมา | ยายตาปรีดิ์เปรมเกษมสม |
ราตรีเข้าที่เชยชม | แสนภิรมย์ด้วยหลานสำราญใจฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางมณีเยาวยอดพิสมัย |
ครั้นค่ำยํ่าประถมยามชัย | เข้าในห้องหับลับลี้ |
นิ่งคะนึงถึงองค์พระทรงศักดิ์ | ไม่นานนักคงพบประสบศรี |
จะผันแปรแก้ไขให้ดิบดี | ครังนี้ได้เล่นได้เห็นกัน |
คิดพลางเอนองค์ลงนอน | ให้อาวรณ์วิโยคโศกศัลย์ |
คิดครวญจวนรุ่งสุริยัน | จอมขวัญระงับหลับไปฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๏ ครั้นรุ่งนางตื่นฟื้นกาย | โฉมฉายสรงพักตร์ให้ผ่องใส |
สาวน้อยคอยองค์พระทรงชัย | อยู่ในห้องหับไม่หลับตาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองทรงโฉมเสน่หา |
ร่วมภิรมย์สมสู่วนิดา | ในมหาปรางค์มาศรูจี |
เมื่อวันจะพบนงคราญ | เทวัญบันดาลพระโฉมศรี |
หลับไหลไสยาในราตรี | ภูมีนิมิตพิสดาร |
ฝันว่ายาจกคนหนึ่งนั้น | ผายผันมายังราชฐาน |
ถวายดอกบุปผาผกากาญจน์ | ภูบาลมิได้ไยดี |
ทิ้งลงตรงพื้นแผ่นดินดล | เกิดพิกลกลายกลับไปกับที่ |
โชติช่วงดังดวงจินดาดี | พระหยิบได้มณีนั้นมา |
กำไว้ในหัตถ์อัศจรรย์ | แก้วนั้นพาเหาะขึ้นเวหา |
ใกล้รุ่งพระสะดุ้งกายา | แบหัตถ์ทัศนาก็หายไป |
แข็งขึงตะลึงอยู่เป็นครู่ | รู้ว่านิมิตคิดสงสัย |
ตรองตรึกนึกนิ่งในพระทัย | มิได้แสดงให้แพร่งพราย |
คิดจะใคร่ไปดูเภตรา | เยี่ยมเหล่าโยธาทั้งหลาย |
พระจึงเอื้อนอรรถตรัสภิปราย | โฉมฉายจงอยู่ตำหนักจันทน์ |
ผัวรักจักลาคลาไคล | ลงไปเยี่ยมพหลพลขันธ์ |
พี่ไปไม่ถึงสักกึ่งวัน | จอมขวัญค่อยอยู่จงดีฯ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ เสด็จออกพระโรงรจนา | บัญชาสั่งพี่เลี้ยงทั้งสี่ |
เร่งผูกพระยาพาชี | น้องนี้จะไปยังเภตราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกศา |
เร่งรีบไปพลันดังบัญชา | ผูกม้ามาประทับกับเกยชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมประโลมพิสมัย |
ขึ้นทรงมิ่งม้าอาชาไนย | ตรงไปยังท่าวารีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ผ่านทับยายตามาพลัน | จรจรัลรีบไปในวิถี |
พระองค์ลงจากพาชี | จรลีลงยังเภตราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ลดองค์ลงนั่งเหนือบาหลี | ประพาสดูชาวบุรีถ้วนหน้า |
แจวพายขายของท้องชลา | หน้าตารูปร่างต่างต่างกันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | โยธีพี่เลี้ยงเกษมสันต์ |
เห็นฝูงแม่ค้าพากัน | ผูกพันลดเลี้ยวเกี้ยวพาน |
บ้างเรียกน้าต่อของพูดประจบ | ทำกระทบจ๋าหล่อนอ่อนหวาน |
ซุบซิบปราศรัยใจเบิกบาน | แสนสำราญสรวลเสเฮฮาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สาวสาวชาวเมืองถ้วนหน้า |
เห็นพวกมหาดเล็กเด็กชา | พูดจาพิสมัยเป็นไมตรี |
ต่างต่างชำเลืองเคืองค้อน | เง้างอนซ่อนชายอายหนี |
ฉวยฉุดหยุดชิงเป็นสิงคลี | นารีขวยเขินสะเทิ้นใจฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางมณีศรีใส |
แฝงบังดูองค์พระทรงชัย | เห็นท้าวไทเสด็จลงเภตรา |
นางจึงเข้าไปในห้อง | หยิบเอากระทายทองกับภูษา |
นาดนวลด่วนเดินดำเนินมา | สู่ท่าน้ำพลันทันทีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงยังซึ่งสำเภาทอง | นวลละอองปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
วางกระทายลงพลันทันที | จรลีลงสรงคงคาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ กรีดหัตถ์ขัดสีฉวีวรรณ | ล่อองค์ทรงธรรม์อยู่ตรงหน้า |
ลอยล่องในท้องชลธาร์ | ว่ายไปว่ายมาสำราญใจฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระนรินทร์พินทองผ่องใส |
แลเห็นโฉมงามทรามวัย | เลิศลํ้าวิไลลาวัณย์ |
พระค่อยดำเนินเดินมา | ราชาแฝงองค์เกษมสันต์ |
แลลอดสอดนัยนาพลัน | มิให้จอมขวัญเห็นกายฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางมณียิ้มอยู่ไม่รู้หาย |
แจ้งว่าพระองค์พงศ์นารายณ์ | แฝงกายดูองค์นางนงคราญ |
ทำเป็นไม่เห็นพระภูมี | ลอยเล่นวารีเกษมสานต์ |
แล้วขึ้นจากสายชลธาร | นั่งบนตะพานตรงพักตรา |
กรีดหัตถ์ขัดสีวารีรด | เหยาะหยดผ่องพักตร์ดังเลขา |
แกล้งล่อหน่อไทอยู่ไปมา | เมินหน้าเฉยอยู่ไม่ดูไปฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองมองดูอยู่ใกล้ใกล้ |
พิศโฉมนางงามทรามวัย | นางในแผ่นภพไม่เทียมทัน |
ผิวผ่องดังทองธรรมชาติ | เอี่ยมสะอาดดังหนึ่งดวงบุหลัน |
พักตร์ผ่องสองปรางอย่างลูกจัน | ขนงเนตรเกศกรรณพรรณราย |
พิศศอดังศอเหมราช | งามวิลาสพริ้งเพริศเฉิดฉาย |
อรชรอ้อนแอ้นกรีดกราย | เหมือนละม้ายนางฟ้านารี |
สองกรอ่อนชดแช่มช้อย | แน่งน้อยน่าชมประสมศรี |
แข็งขึงตะลึงอินทรีย์ | ฤดีแดดิ้นในวิญญา |
ดูพลางทางแสนพิศวาส | พระหน่อนาถนึกพะวังกังขา |
ใครหนอนวลละอองดังทองทา | งามกว่านิ่มนุชพระบุตรี |
แต่ได้ยลพักตร์น่ารักแสน | ไม่เหมือนแม้นโฉมน้องของพี่ |
จะสืบดูให้รู้ร้ายดี | ว่าสามีมีแล้วฤๅเปล่าดายฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ คิดพลางทางมีวาจา | ตรัสสั่งเสนาทั้งหลาย |
ตามดูให้รู้แยบคาย | ว่าโฉมฉายจะอยู่สถานใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | มหาดเล็กรับสั่งไม่ยั้งได้ |
ด่วนลงนาวาคลาไคล | แฝงคอยอรไททันทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์นางมณีศรี |
ครั้นเสร็จซึ่งสรงวารี | จึงทรงเครื่องมณีฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ นุ่งนอกอย่างเขียนทองรองเรือง | เข็มขัดทับค่าเมืองเฉิดฉัน |
สไบคาดพาดพับระยับมัน | สังวาลวัลย์สร้อยนวมสวมกาย |
ทองกรเก้าคู่ชมพูนุท | ธำมรงค์เรือนครุฑเฉิดฉาย |
แจ่มจำรัสรัดเกล้าเพราพราย | ห้อยอุบะพรรณรายอร่ามตาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นเสร็จย่างเยื้องจรลี | งามดังมณีเมขลา |
ถือกระทายกรายกรลีลา | คืนสู่เคหาทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งตากผ้าไว้หน้าเรือน | จะแชเชือนชักช้าก็หาไม่ |
ตรงเข้าห้องพลันทันใด | ตั้งใจคอยดูพระภูมีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | คนใช้ได้แจ้งถ้วนถี่ |
โดยด่วนชวนกันจรลี | คืนสู่นาวีทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึ่งตรงเข้าวันทา | ทูลตามกิจจาหาช้าไม่ |
อยู่ริมมรคาคลาไคล | จงทราบใต้บงกชบทมาลย์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมประโลมสงสาร |
ชื่นชมโสมนัสเบิกบาน | จึ่งมีบัญชาการตรัสไป |
ท่วงทีเนื้อเย็นจะเป็นสาว | จะว่าชาวเมืองนี้เห็นมิใช่ |
จำจะคิดติดตามทรามวัย | จะได้พานพบสบพักตรา |
มาตรแม้นมีคู่สู่สม | จะชิงชมไม่คิดสังขาร์ |
ตรัสพลางทางลุกลีลา | ลงจากเภตราฉับพลันฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ เสด็จทรงกัณฐัศว์อัสดร | บทจรพร้อมพวกพลขันธ์ |
ตรงตามรัถยามาพลัน | ด้วยพระทัยผูกพันเทวีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงซึ่งบ้านยายตา | จึงขับพวกโยธาไปจากที่ |
พระลงจากมิ่งม้าพาชี | เสด็จไปในที่ทวารา |
เมียงมองร้องเรียกตายาย | แย้มยิ้มพริ้มพรายอยู่ในหน้า |
แลลอดสอดดูกัลยา | แล้วนั่งลงตรงหน้ากระท่อมทับฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าเอนหลังกำลังหลับ |
แว่วเสียงหน่อไทตกใจวับ | ลุกขยับย่างย่องมองดู |
เห็นพระโฉมงามทรามวัย | ตกใจเขม้นอยู่เป็นครู่ |
ลนลานคลานออกนอกประตู | หมอบอยู่ตรงพักตร์พระจักรีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อนรินทร์พินทองผ่องศรี |
แย้มยิ้มพริ้มพักตร์พาที | ตรัสถามตามมีกิจจา |
อันนางโฉมยงนงคราญ | เป็นลูกฤๅหลานของป้า |
มีคู่สู่สมภิรมยา | ฤๅว่าสาวสรรฉันใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าบังคมประนมไหว้ |
ทูลความตามเจริญทุกสิ่งไป | มิใช่เชื้อวงศ์พงศ์พันธุ์ |
นางมาแต่ไหนก็ไม่รู้ | ยอมอยู่ด้วยเกล้ากระหม่อมฉัน |
ยังไม่มีคู่สองครองกัน | ทรงธรรม์จงทราบบาทาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองว่องไวใจกล้า |
ได้ฟังดังทิพธารา | มาสรงชื่นวิญญาเปรมปรีดิ์ |
ยิ้มพลางทางกล่าวสุนทร | ดูก่อนท่านผู้จำเริญศรี |
นางไร้ภัสดาสามี | จงยกให้เรานี้เถิดเป็นไร |
จะเลี้ยงเป็นมเหสีที่รัก | ยศศักดิ์สองเฒ่าเราจะให้ |
ทั้งทรัพย์สินจินดาข้าไท | จะให้ทุกสิ่งสารพันฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าระรัวตัวสั่น |
กราบพลางทางทูลสนองพลัน | ทรงธรรม์จงโปรดปรานี |
แม้นองค์นงนุชเป็นบุตรหลาน | วงศ์วานของข้าบทศรี |
จะถวายทรงศักดิ์จักรี | มิได้มีเกียจกันฉันทา |
นี่เป็นแต่โฉมตรูมาอยู่ด้วย | ได้อยู่แต่จะช่วยวอนว่า |
เป็นสุดแท้แต่ใจไฉยา | ตัวข้าจะไปถามทรามวัย |
ทูลพลางทางลุกจรลี | เข้าในที่เคหาอาศัย |
นั่งแนบแอบองค์อรไท | ลูบไล้แล้วแจ้งแพร่งพราย |
บัดนี้หน่อไทที่ในวัง | มายังเคหาน่าใจหาย |
เฝ้าตรัสร้องเรียกหาตายาย | แล้วเบี่ยงบ่ายพูดจาพาที |
จึ่งวอนงอนง้อขอเจ้า | จะรับเข้าไปเป็นมเหสี |
โฉมยงจงนึกตรึกคดี | จะไปด้วยภูมีฤๅฉันใดฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์มณีศรีใส |
ยิ้มพลางผินพักตร์มาซักไซ้ | เมียมีฤๅไม่ที่ในวังฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ฟังวาจา | ยายตาแจ้งตามความหลัง |
ห้ามแหนแน่นไปในวัง | แต่ยังไม่มีบุตราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ฟังพาที | นางมณีค้อนพลางทางว่า |
ข้าเป็นคนจนซนมา | ญาติวงศ์พงศาข้าไม่มี |
ซึ่งว่าจะพาไปเลี้ยงดู | เคียงคู่อดิเรกภิเษกศรี |
ซึ่งโฉมยงนงนุชบุตรี | ภูมีจะแฝงไว้แห่งใด |
จงกลับไปทูลถามตามคำ | อย่าอมอำอู้อี้หาดีไม่ |
ข้าเป็นชาวดงพงไพร | เห็นไม่ควรคู่ภูมีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังวาจา | ยายตาลูบโลมโฉมศรี |
น้อยฤๅหลานข้าปัญญาดี | ยายนี้พลั้งจิตคิดไม่ทัน |
จะไปทูลไถ่ถามตามตรง | พระองค์จะว่าอย่างไรนั่น |
ว่าพลางต่างเดินงกงัน | พากันไปเฝ้าพระภูมี |
นั่งลงตรงพักตร์แล้วกราบทูล | นเรนทร์สูรจงโปรดเกศี |
ข้าไปไถ่ถามตามคดี | เทวีไม่ยอมพร้อมใจ |
ติว่าพันปีมีห้ามแหน | มาขืนแค่นกล่าวความตามได้ |
ซึ่งจะเลี้ยงเคียงองค์ทรงชัย | แม้นจะไปตามคำรำพัน |
แต่โฉมยงองค์เอกภิเษกศรี | จะไว้ที่แห่งใดไฉนนั่น |
ถ้อยคำร่ำว่ามาอย่างนั้น | ทรงธรรม์จงทราบพระบาทาฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมเฉิดเลิศลํ้าเลขา |
ได้ฟังดังทิพธารา | มาโสรจสรงวิญญาให้ยินดี |
แย้มยิ้มพริ้มพักตร์พจนารถ | เหลือฉลาดลิ้นลมสมศรี |
ยายตาพากันจรลี | ไปบอกว่าเมียมีไม่ชอบใจ |
มาตรแม้นโฉมยงปลงจิต | จะเปลื้องปลิดเสน่หาอย่าให้ |
จะพาแก้วแววตาคลาไคล | ยังเวียงชัยของเราดังเก่ามาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าประนมก้มเกศา |
เข้าในห้องพลันมิทันช้า | พระตามมายืนแอบแทบทวาร |
สองเฒ่าเข้าไปใกล้หลานสาว | ว่ากล่าววิงวอนอ่อนหวาน |
ยายไปทูลความตามอาการ | ภูบาลสรวลสันต์ทันที |
ตรัสว่าจะพาไปเวียงชัย | ไม่อาลัยในมิ่งมเหสี |
เจ้าจงตรึกไตรดูให้ดี | จะได้ฝากอินทรีย์ท่านสืบไปฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังยายตา | ยิ้มละไมในหน้าแล้วปราศรัย |
น้อยฤๅลมชายน่าอายใจ | แม้นไม่ตรึกตราก็น่ารัก |
มเหสีเป็นที่ชื่นชิด | รูปจริตน่าชมสมศักดิ์ |
ยังเอื้อนอรรถตรัสได้ว่าไม่รัก | ใครฉุดชักชวนมาจากธานี |
บุญหนักศักดิ์ใหญ่ยังไม่ชอบ | จะมาลอบรักข้าน่าบัดสี |
เป็นแต่ชาวดงพงพี | พันปีจะเลี้ยงสักเพียงไรฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อนรินทร์พินทองผ่องใส |
ฟังนางช่างตอบชอบฤทัย | ยิ่งรักใคร่ผูกพันกัลยา |
สุดที่จะเงือดงดสะกดจิต | ลืมคิดอับอายขายหน้า |
จึงเยื้องย่างเข้าทางทวารา | ยายตาหลบลับฉับพลันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางมณีแกล้งกลัวตัวสั่น |
จะวิ่งตามยายตามาพลัน | พระยืนขวางกางกั้นพักตรา |
โฉมยงวิ่งตรงเข้าแฝงกาย | ทำเอื้อนอายแฉลบแอบฝา |
เมียงมองร้องเรียกยายตา | จงลีลามารับฉับพลันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์สำรวลสรวลสันต์ |
แล้วตรัสปลอบกัลยาลาวัณย์ | จอมขวัญของพี่ดังดวงใจ |
เรียมไม่รักจักมาหาหรือ | ควรฤๅแก้วตาไม่ปราศรัย |
จะแฝงกายอายเหนียมเรียมไย | มาพูดจาปราศรัยกันโดยดี |
ว่าพลางทางเดินเข้าชิด | เจ้าผู้ดวงชีวิตของพี่ |
เรียมรักมิใช่พวกไพรี | แก้วพี่อย่าประหวั่นวิญญาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางมณีแน่งน้อยเสน่หา |
ทำเป็นเช่นแขกแปลกมา | เมียงเมินพักตราไม่พาที |
เห็นพระดำเนินเดินเข้าชิด | ทำเบือนบิดชม้อยถอยหนี |
ยิ้มอยู่ในหน้าไม่พาที | วิ่งหนีเรียกหาตากับยายฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงปลงรักสมัครหมาย |
เห็นนิ่มน้องหมองเมินเขินระคาย | พระแย้มยิ้มพริ้มพรายพาทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ดวงสมร | เฝ้าคมค้อนเคืองใจสิ่งใดพี่ |
รักเจ้าเท่าดวงชีวี | มารศรีจงได้เมตตา |
สิ่งใดรังเกียจเดียดฉัน | จงผ่อนผันตรองตรึกปรึกษา |
จะตามใจไม่ขัดหัทยา | อย่าโกรธาสลัดตัดรอน |
ตรัสพลางทางคว้าผ้าสไบ | ปลื้มใจจงฟังบ้างก่อน |
อย่าเพ่อคิดเคืองขัดตัดรอน | จงผันผ่อนให้งามตามทำนองฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางแก้วเบือนสะบัดขัดข้อง |
ค้อนควักชักชายสไบกรอง | ปัดปัองแล้วกล่าววาจาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เจ็บใจ | ช่างคุมเหงกระไรดังทาสา |
เหตุเห็นเป็นชาวพนาวา | ผ่านฟ้าเป็นเจ้าชาวบุรี |
มารุกราษฎร์อาจอุกบุกบัน | สารพันพูดจาน่าบัดสี |
แม้นรักหากเห็นไม่เช่นนี้ | ดูท่วงทีจะทำให้ช้ำใจ |
พระอย่าแต่งข้อล่อลิ้น | ทราบสิ้นที่แสนพิสมัย |
หน้าน้องต้องอย่างเพียงนางใน | ช่วงใช้รองเบื้องบาทา |
จะเป็นพระมเหสีที่รัก | เจียมศักดิ์น้อยเกินวาสนา |
ตระกูลหงส์ฤๅจะลงมาแกมกา | ชาวป่าฤๅจะไปอยู่ในวังฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ คุมเหงเล่นเห็นว่าข้านี้ | ไม่มีที่พึ่งพาเป็นฝาฝั่ง |
จะก้มหน้าแกะดินกินข้าวตัง | กลัวรั้ววังไม่กล้าคลาไคลฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ น้องรัก | แหลมหลักปรีชาจะหาไหน |
ไม่แต่งข้อล่อลิ้นอย่ากินใจ | จะพาไปโลมเลี้ยงเคียงองค์ |
ซึ่งรานรุกบุกมาครานี้ | ก็เพราะพี่รักน้องต้องประสงค์ |
จะกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงโลมโฉมยง | เป็นจอมนาฏอนงค์นางใน |
แม้นแก้วแววตาไม่ปรานี | อันจะพ้นมือพี่อย่าสงสัย |
จงโอนอ่อนผ่อนตามให้งามใจ | พลางลูบไล้เลียมโลมโฉมงามฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดสี | อะไรนี่จ้วงจาบหยาบหยาม |
มิทันจะโอนอ่อนผ่อนตาม | มาก่อกวนลวนลามถึงเพียงนี้ |
จะทำเล่นเช่นชาติเชลยศักดิ์ | คุมเหงหักหาญปลํ้าทำบัดสี |
ไม่ง่ายดอกบอกขาดชาตินี้ | สามีผู้ใดไม่นิยม |
จะทนสู้อยู่ตามประสายาก | ไม่ยอมอยากมีคู่สู่สม |
พลางสะบัดปัดกรค้อนคม | ทรามชมมิให้ใกล้กายาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ แสนแขนง | น้อยฤๅแกล้งแนมเหน็บเก็บว่า |
นี่ฤๅคือชาวพนาวา | อนิจจามุ่นมุดุดัน |
ไหนไหนเจ้าว่ามาข่มเหง | จะยำเกรงกลัวใครที่ไหนนั่น |
แม้นมิเมตตาจงฆ่าฟัน | ฤๅฟ้องหาว่ากันก็ตามใจฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ว่าพลางทางปิดทวารา | ไขว่คว้าเลี้ยวลัดสกัดไล่ |
วิ่งหนีพี่ไย | เห็นไม่พ้นมือ |
เข้าถึงเพียงนี้ | หลีกหนีพ้นฤๅ |
แข็งขึงดึงดื้อ | วิ่งฮือใครจะอายฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ พระโฉมยง | มารุกราษฎร์อาจองใจหาย |
เหตุเห็นเป็นชาย | วุ่นวายเต็มที |
คว้าไขว่ไล่ปลํ้า | เหมือนทำทาสี |
เกรงใจใครมี | เป็นทีทำไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ แก้วพี่ | ช่างพาทีสลัดตัดได้ |
เป็นไรเป็นไป | มิใช่ชิงชัง |
ตรัสพลางไล่ลัด | สกัดหน้าหลัง |
อื้ออึงตึงตัง | ไปทั้งห้องนอนฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์มณีดวงสมร |
เฝ้าหลีกลี้หนีซนให้พ้นกร | แล้วจึ่งกล่าวสุนทรวาจาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ พระเจ้า | พระจงโปรดเกล้าเกศา |
มาตรแม้นพระองค์ทรงเมตตา | ตัวข้าจะหย่อนผ่อนตาม |
เรือนนี้ที่ทางกลางถนน | ประชาชนหญิงชายหลายหลาม |
โดยสมัครรักใคร่ก็ไม่งาม | จะมีความอัปยศสืบไป |
แม้นจะเล่นเช่นชู้คู่ปลํ้า | จึ่งค่อยทำหักหวนด่วนได้ |
ถ้าสมัครรักจริงจงนิ่งไว้ | อย่าเพ่อให้ฉาวชื่อลือชา |
ควรครองจะรองบาทบงสุ์ | โดยดังจำนงปรารถนา |
แม้นขืนทำให้ชํ้าวิญญา | เหนว่าหม่อมฉันถึงวันตายฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังคำ | หวานฉ่ำเพราะหูไม่รู้หาย |
ยิ้มพลางทางตอบอภิปราย | สายสวาดิสุดรักดังดวงใจ |
เพราะความรักหนักทรวงดวงจิต | จึ่งขุกคิดหักหวนด่วนได้ |
พลั้งจิตผิดแล้วแก้วกลอยใจ | เจ้าอย่าได้เคืองขัดตัดรอน |
แต่นี้ไปไม่เป็นเช่นแต่หลัง | จงมานั่งพาทีด้วยพี่ก่อน |
ตรัสพลางย่างเยื้องจูงกร | เชยช้อนอุ้มน้องเข้าห้องใน |
ลงนั่งแนบแอบองค์นงลักษณ์ | จะพลิกผลักหยิกทึ้งไปถึงไหน |
จงผินมาพาทีให้ดีใจ | พี่มิให้นิ่มน้องหมองพักตราฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางมณีบังคมก้มหน้า |
ทูลความตามจิตจินดา | ตัวข้าคนพลัดซัดจร |
ไหนไหนพระก็ได้ต้องกาย | จะได้อายกับองค์ทรงศร |
เชิญเสด็จทรงยศบทจร | ให้น้องคลายวายร้อนรำคาญ |
พรุ่งนี้จึงค่อยเสด็จมา | จะสู้สามิภักดิ์ไม่หักหาญ |
นิราศไร้ไกลพงศ์วงศ์วาน | จะพึ่งเบื้องบทมาลย์จนวันตายฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังรำพัน | รับขวัญเล้าโลมโฉมฉาย |
พระสวมสอดกอดรัดตรัสภิปราย | โฉมฉายอย่าร้อนหฤทัย |
วันนี้พี่ยาจะลาเจ้า | ขวัญข้าวอยู่ห้องให้ผ่องใส |
แต่อย่าลืมสัญญาที่ว่าไว้ | ปลื้มใจจงอยู่สวัสดีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์นางมณีศรี |
น้อมเศียรอภิวันท์ทันที | เทวีซ้ำสั่งทรงธรรม์ |
แม้นไปถึงเวียงวังข้างใน | พระอย่าได้พูดฉาวกล่าวขวัญ |
แม้นคนผู้รู้คำสำคัญ | ตัดสวาดิขาดกันเป็นมั่นคงฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังนาง | พระเชยคางตอบความตามประสงค์ |
ข้อนั้นขวัญตาอย่าพะวง | โฉมยงค่อยอยู่สวัสดี |
สั่งพลางทางรีบบทจร | ออกจากห้องนอนสาวศรี |
เสด็จทรงมิ่งม้าพาชี | จรลีมาตามรัถยาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งลงอัสดร | ทินกรบ่ายคล้อยเวหา |
พระโฉมยงทรงเสด็จลีลา | เข้าสู่มหาปราสาทชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์รูจี | เห็นนางทัศมาลีศรีใส |
พระเสแสร้งแกล้งทำลูบไล้ | มิให้แจ้งคำสำคัญฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ พลบคํ่ายํ่าแสงสุริยง | อัสดงลับในไพรสัณฑ์ |
คิดถึงแก้วแววตาลาวัณย์ | ทรงธรรม์สะท้อนถอนใจ |
เผยแกลแลชมดารากร | อัมพรไม่มีปัถไหม |
บุหลันเลื่อนลอยฟ้านภาลัย | เหมือนพักตร์แก้วแววนัยนานวล |
รวยรินหอมกลิ่นผกามาศ | ที่บานดาษเกลื่อนไปในสวน |
ยามวิโยคโศกศัลย์รัญจวน | พระคร่ำครวญคะนึงถึงเทวีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ทอดองค์ลงในที่ไสยาสน์ | ภูวนาถตรมตรองหมองศรี |
ให้เคลิ้มเคล้นเห็นองค์เทวี | มายืนยิ้มริมที่ไสยา |
พระลุกขึ้นเมียงมองร้องทัก | ยิ้มพยักกวักหัตถ์ตรัสเรียกหา |
แว่วแว่วเหมือนแก้วกัลยา | ขานขาแล้วนึกรู้สึกกายฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ พระแกล้งทำคลำหาผ้าผ่อน | พิไรบ่นรนร้อนใจหาย |
โฉมยงจงไปให้ไกลกาย | ไม่สบายร้อนรนเป็นพ้นไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางทัศมาลีศรีใส |
ได้พังตระหนกตกใจ | ทรามวัยฉวยพัดปัดไปมาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระหน่อนาถสุริยวงศ์พงศา |
นิ่งนอนร้อนรักหนักอุรา | จนนิทราระงับหลับไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางมณีเยาวยอดพิสมัย |
พลบค่ำย่ำปฐมยามชัย | เนาในเคหาตายาย |
นิ่งคะนึงถึงองค์ทรงศักดิ์ | นงลักษณ์ยิ้มอยู่ไม่รู้หาย |
ช่างไม่รู้ระแบบแยบคาย | เป็นชายโง่กว่านารี |
สาจิตที่คิดชังชิง | ทอดทิ้งเกลียดกลัวเอาตัวหนี |
ได้แก้แค้นแทนกันทันที | พรุ่งนี้จะว่าให้สาใจฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ คิดพลางเอนองค์ลงนอน | จะโศกเศร้าเร่าร้อนก็หาไม่ |
คิดแต่จะตัดพ้อหน่อไท | แล้วระงับหลับไปในทันทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นรุ่งก็ตื่นฟื้นกาย | โฉมฉายสรงพักตร์ผ่องศรี |
ประดับองค์ทรงเครื่องรูจี | เข้าที่ห้องในใส่ดานฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองว่องไวใจหาญ |
พวยพุ่งรุ่งแสงสุริย์กานต์ | ภูบาลยินดีปรีดา |
จึ่งบอกแก่โฉมยงนงลักษณ์ | น้องรักผู้ยอดเสน่หา |
โฉมตรูจงอยู่ในปรางค์ปรา | พี่จะลาไปชมบุรี |
สั่งเสร็จเสด็จลีลา | มาโสรจสรงคงคาเกษมศรี |
กรายกรย่างเยื้องจรลี | ยังพระโรงรูจีทันใดฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งทรงอาชา | ห้ามเหล่าเสนาน้อยใหญ่ |
องค์เดียวเลี้ยวออกนอกวังใน | ตรงไปเคหาตายายฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งลงอัสดร | เร่งรีบบทจรผันผาย |
เข้าไปในทับให้ลับกาย | กรกรายผลักบานทวารพลัน |
แล้วร้องเรียกโฉมยงนงคราญ | เหตุใดใส่ดานกวดขัน |
พี่มารับแก้วตาลาวัณย์ | จรจรัลไปชมเภตราฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางมณียิ้มละไมในหน้า |
ร้องทูลหน่อไทมิได้ช้า | ตัวข้าป่วยไข้ไม่สบาย |
ผัดต่อพอรุ่งพรุ่งนี้ | จะตามเสด็จพันปีไม่หนีหาย |
เชิญเข้าวังในให้สบาย | มิตายคงประสบพบพักตร์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระหน่อนาถสุริย์วงศ์ทรงศักดิ์ |
สดับเสียงโฉมยงนงลักษณ์ | ความรักเพียงสิ้นสมประดี |
มิได้รู้แยบยลกลใน | ภูวไนยอกสั่นขวัญหนี |
เห็นทวารบานปิดมิดดี | ภูมีผลักไสไปมาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ลิ่มสลักหักพับยับไป | เข้าได้ในห้องเคหา |
นั่งแนบแอบชิดพนิดา | พระหัตถาประคองต้ององค์ |
เห็นชื่นแช่มแย้มยิ้มพริ้มเพรา | พิศดูรู้เท่านวลระหง |
ประจงจูบลูบโลมโฉมยง | แย้มสรวลชวนลงไปนาวีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังตรัส | ชุลีหัตถ์บังคมก้มเกศี |
แกล้งว่าอนิจจาไม่ปรานี | มาเซ้าซี้ลูบคลำร่ำไป |
งดก่อนผ่อนพอผาสุก | ยังเป็นทุกข์เมื่อยเหน็บเจ็บไข้ |
แล้วทำเป็นสะท้อนถอนใจ | บิดเบือนเชือนไปไม่นำพาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพงศ์ภุชสุดรักหนักหนา |
รับขวัญรำพันพจนา | อนิจจามิ่งมิตรบิดเบือน |
เรียมหวังตั้งหน้ามารับ | ควรฤๅกลับผ่อนผัดนัดเลื่อน |
แกล้งเหนี่ยวหน่วงถ่วงรักชักเชือน | บิดเบือนหน่ายหนีไปทีเดียว |
ว่าพลางแอบอิงพิงพาด | สุดสวาดิพูดพลอดกอดเกี้ยว |
ประหลาดนักผลักมือถือจริงเจียว | อย่าล่อลวงหน่วงเหนี่ยวได้ปรานีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ พระโฉมยง | พระจงโปรดเกล้าเกศี |
อย่ายั่วเย้าเฝ้ากวนยวนยี | ใช่ที่จะลับดับสูญไป |
เมื่อกลางวันแสกแสกแปลกมา | ไม่อวดหน้าอวดงามตามไปได้ |
พระเป็นชายจะอายอดสูใคร | สุดแต่ได้การเห็นเป็นดีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ สุดสวาดิ | แหลมฉลาดลิ้นลมสมศรี |
รักเจ้าเท่าดวงชีวี | สุดที่จะหย่อนผ่อนปรน |
พูดกันที่นี่ว่ามิควร | จึงชักชวนลงไปใกล้ถนน |
ก็หลีกเลี่ยงเบี่ยงบ่ายอายคน | เพื่อเพราะนฤมลไม่เมตตา |
ตรัสพลางสัพยอกหยอกเย้า | คลึงเคล้ายวนความเสน่หา |
กรกุมอุ้มแอบแนบอุรา | แก้วตาอย่าสลัดตัดรอนฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์มณีศรีสมร |
ฟังตรัสมัธุรสสุนทร | คมค้อนแล้วตอบวาที |
พระจะปลํ้าทำเล่นเช่นชู้ | ให้อายหมู่บริจาทาสี |
คู่เคยเชยขวัญท่านมี | น้องนี้ชาวป่าพนาวัน |
ตํ่าศักดิ์ทุกสิ่งเหมือนหิ่งห้อย | บุญน้อยไม่สู้สุริย์ฉัน |
จะก่อเกิดเริศร้างกลางคัน | จะผินผันพักตราไปหาใคร |
ยามรักนํ้าผักก็หวานฉํ่า | ไม่ชอกชํ้าเพราะสมัครรักใคร่ |
ครั้นเชยชมสมจิตคิดไว้ | กลัวจะไม่เหมือนครั้งแต่หลังมาฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ น้องรัก | เสนาะนักถ้อยคำรํ่าว่า |
นี่ฤๅชาวพงพีปรีชา | ช่างพูดจาหลักแหลมแกมกล |
ความจริงมิ่งแม่ไม่แลเห็น | ประหนึ่งเช่นกล่าวถ้อยสร้อยสน |
จะให้สัตย์ปฏิญาณทัณฑ์บน | แม้นปดปนล่อลวงดวงใจ |
จงต้องแสนศาสตราอาวุธ | ม้วยมุดนรกหมกไหม้ |
ตรัสพลางทางจูบลูบไล้ | หฤทัยเกษมเปรมปรีดิ์ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์นางมณีศรี |
ร่วมภิรมย์สมสู่ภูมี | เทวีลุ่มหลงจงรัก |
หมอบเมียงเคียงองค์ทรงฤทธิ์ | ทอดสนิทนอนทับกับตัก |
ตรึกพลางกราบลงตรงพักตร์ | นงลักษณ์ทูลความตามนัยฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ตัวน้องตกต่ำกำพร้า | ญาติวงศพงศาก็หาไม่ |
เห็นแต่บาทบงสุ์ทรงชัย | จะได้เป็นที่พึ่งพา |
ภายหน้าถ้าคิดผิดพลั้ง | จงยกโทษโปรดประทังโทษา |
หนึ่งได้ปฏิญาณกายา | ไว้ว่าชาตินี้ไม่มีนาย |
เว้นไว้แต่องค์ทรงเดช | ชนนีบิตุเรศฦๅสาย |
ไม่สมจิตคิดไว้แม้นได้อาย | จะสู้ตายไม่เหยียบธรณี |
ว่าพลางทางทำระทวยองค์ | ซบลงกับเพลาเศร้าศรี |
โอ้ว่าอนิจจังครั้งนี้ | น่าที่จะยับอัประมาณ |
เพราะประมาทอาจองหลงใหล | ไม่คะเนกำหนดแต่รสหวาน |
จะเตี้ยต่ำซ้ำร้ายหลายประการ | เยาวมาลย์ตรัสพลางทางโศกาฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อนรินทร์ยินคำร่ำว่า |
เชยคางพลางเช็ดชลนา | แล้วบัญชาเล้าโลมโฉมงาม |
เจ้าอย่าโศกศัลย์รันทด | จงฟังรสวาทีพี่ห้าม |
จะโลมเลี้ยงเคียงยศให้งดงาม | ผ่อนตามวิญญาสารพัน |
มิให้ใครจาบจ้วงล่วงลํ้า | เกินก้ำน้องท้าวสาวสรร |
จะพาแก้วแววตาวิลาวัณย์ | ไปเขตขัณฑ์มิถิลาธานีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ตรัสพลางอิงแอบแนบเคล้า | ยั่วเย้าปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
จนเบี่ยงบ่ายชายแสงสุรีย์ | ภูมีตะลึงทั้งกายา |
พิศพักตร์นิ่มนุชสุดสงสาร | อาลัยลานรสรักหนักหนา |
นิ่งสลดระทดใจไปมา | จึงบัญชาปลอบองค์นงคราญ |
เย็นแล้วแก้วตาจะลาเจ้า | คืนเข้าปรางค์มาศราชฐาน |
พรุ่งนี้พี่จะมาไม่ช้านาน | เยาวมาลย์แม่อยู่สวัสดีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังบัญชา | กัลยาประณตบทศรี |
แล้วทูลว่าวันหลังยังมี | จะรู้ที่ว่าขานประการได |
ถ้าชั่วชิงผัวท่านเชยชิด | จึงเปลื้องปลิดสมสาเลือดตาไหล |
ไม่ข้ามวันพลันเป็นเห็นไป | ที่ไหนจะมีปรีดา |
ไปเถิดพ่อไปอยู่ไยเล่า | หน่อยจะเฝ้าแย้มแกลแลหา |
กลางวันมิได้เข้าไสยา | ไปนิทราค่ำค่ำให้สำราญ |
ว่าพลางนงลักษณ์ผลักไส | อยู่ไยเนิ่นช้าจะว่าขาน |
บุญน้อยจะพลอยอัประมาณ | เยาวมาลย์ว่าพลางทางโศกีฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ดวงสมร | ไม่เห็นร้อนรื้อเรื่องเคืองพี่ |
จะกลับไปในวังครังนี้ | หวังจะมิให้แจ้งแพร่งพราย |
ปกปิดกิตติศัพท์ให้ลับก่อน | เป็นที่จะได้จรไปง่ายง่าย |
เจ้าดังดวงชีวีพี่ชาย | แม้นมิตายไม่ร้างห่างกัน |
แต่ครั้งนี้จำจนพ้นจิต | เจ้าอย่าคิดขึ้งเคียดเดียดฉันท์ |
พรุ่งนี้พี่จะมาไม่ช้าพลัน | แจ่มจันทร์อย่าเศร้าเสียใจฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ตรัสพลางโลมลูบจูบพักตร์ | สุดรักมิใคร่พรากจากได้ |
จะเยื้องย่างนางยุดพระบาทไว้ | ยืนสะท้อนถอนใจไปมา |
กลับเข้าสวมสอดกอดน้อง | ทั้งสองต่างสุดเสนหา |
แต่วนเวียนเจียนค่ำอำลา | ออกมาทรงมิ่งม้าพาชีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เดินทางพลางร่ำรำพึง | ถวิลถึงแก้วตามารศรี |
แว่วเสียงสำเนียงนารี | เหมือนแก้วพี่เมียงมองร้องเชิญ |
พระยั้งฟังไปไม่ใช่น้อง | ยิ่งตรมตรองง่วงงวยขวยเขิน |
แลดูสิ่งใดก็ไม่เพลิน | พระด่วนเดินขับม้าคลาไคลฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงวังพลันทันที | พระลงจากพาชีหาช้าไม่ |
ด่วนเสด็จลีลาคลาไคล | เข้าในตำหนักรูจีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ลงนั่งแนบแอบองค์นงคราญ | ทำเบิกบานสบายคลายคลี่ |
พูดพลอดกอดแก้วกษัตรีย์ | มิให้รู้ร้ายดีประการใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางทัศมาลีศรีใส |
นั่งเรียงเคียงองค์ทรงชัย | ทรามวัยทูลถามตามกิจจา |
พระเสด็จจรดลหนใด | ช่างเนิ่นนานกระไรหนักหนา |
ลืมเสวยลืมสรงคงคา | ลีลาจนสิ้นแสงสุริยนฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังเมียรัก | ทรงศักดิ์เสแสร้งแต่งนุสนธิ์ |
วันนี้ตัวพี่จรดล | หัดพลที่ท้องสนามชัย |
คิดถึงแก้วตาจะมาวัง | อ้ายเหล่านั้นมันยังไม่จำได้ |
สอนยากหนักหนาระอาใจ | จะต้องไปจนจำได้ชำนาญ |
ตรัสพลางทางเสด็จจรลี | มาเข้าที่แต่งองค์สรงสนาน |
ขึ้นสู่แท่นรัตน์ชัชวาลย์ | ภูบาลเอนองค์ลงไสยาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ยอกรก่ายนลาตพาดพักตร์ | ถวิลถึงน้องรักเสนหา |
โอ้พุ่มพวงดวงใจนัยนา | จะนิทราเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย |
มีคู่อยู่ต่างห่างกัน | กี่เดือนวันจะได้ชมสมหมาย |
จะแสนโศกีถึงพี่ชาย | ไหนจะวายชลนาอาวรณ์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ยามวิโยคโศกศัลย์รันทด | เศร้าสลดทอดทับกับหมอน |
ให้หงิมง่วงทรวงเศร้าเร่าร้อน | นิ่งนอนคะนึงถึงเทวี |
แล้วเผยแกลแลดูพระจันทรา | ช่างเชือนช้าอยู่ไยในวิถี |
แค้นด้วยพระอาทิตย์เรืองฤทธี | ไปหลีกลี้อยู่หนตำบลใด |
ทุกวันมิทันจะเต็มเนตร | ก็อาเพศไก่ขันหวั่นไหว |
วันนี้ช้าเฉื่อยเรื่อยไป | ปางใดจะรุ่งสุริยาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ คิดพลางเอนองค์ลงบรรทม | เกรียมกรมแดดิ้นถวิลหา |
ทอดถอนหฤทัยไปมา | จนนิทราเคลิ้มหลับฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นรุ่งรางสร่างแสงทินกร | ภูธรปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
แต่งองค์ทรงเสร็จจรจรัล | ผายผันมายังพระโรงชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ทรงนั่งเหนือหลังอัสดร | พร้อมหมู่นิกรน้อยใหญ่ |
ออกนอกทวารวังใน | ไปสู่สนามชัยทันทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงหยุดอาชา | เรียกหาพี่เลี้ยงทั้งสี่ |
ให้ศึกษาบรรดาโยธี | โดยที่ตำรับเรียนมาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกศา |
ก้มเกล้ากราบงามสามลา | ออกมาจัดกันทันใด |
บ้างรำทวนตีคลีขี่ม้า | สรวลเสเฮฮาทั้งนายไพร่ |
รำกระบี่ตีกระบองว่องไว | เกรียวกราวฉาวไปเป็นโกลาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองว่องไวใจกล้า |
หยุดดูหมู่พลโยธา | วิญญาคะนึงถึงเทวี |
ยิ้มพยักกวักเรียกพี่เลี้ยง | มาเคียงม้าที่นั่งทั้งสี่ |
แล้วกระซิบสนทนาพาที | พวกพี่จงฝึกพลไกร |
น้องจะไปอยู่ในเภตรา | แม้นรับสั่งให้หาเป็นไฉน |
จงให้พวกเสวกาม้าใช้ | ลงไปแจ้งความตามอาการ |
สั่งพลางทางชักพาชี | เร็วรี่รีบออกนอกสถาน |
เดินตัดลัดมาไม่ช้านาน | รีบผ่านฉนวนด่วนมาฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งลงจากพาชี | ตรงไปในที่เคหา |
เข้าสวมสอดกอดแก้วกัลยา | จุมพิตพักตราสำราญใจ |
แล้วเอื้อนอรรถตรัสปลอบเทวี | จะพูดกันที่นี่หาดีไม่ |
พี่ขอเชิญโฉมงามทรามวัย | ลงไปเภตรากับสามีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์นางมณีศรี |
นบนิ้วสนองพระวาที | น้องนี้ต่ำศักดิ์สุริย์วงศ์ |
อยู่กระท่อมรุงรังอย่างนี้ | มิควรที่ภิรมย์สมประสงค์ |
อับอายขายเบื้องบาทบงสุ์ | พระโฉมยงยาตรามาไย |
ไม่มีที่แท่นทองรองเขนย | มิควรเลยพระองค์มาหลงใหล |
อยู่ปราสาทหยาดฟ้าพร้อมข้าไท | ไม่ชอบใจใครแนะนำมาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ยอดมิ่ง | ความจริงไม่แสร้งแต่งมุสา |
รักเจ้าเท่าดวงชีวา | จะอับอายขายหน้าไยมี |
หากเห็นเป็นริมถนนหลวง | ฝูงคนทั้งปวงอึงมี่ |
จะแพร่งพรายหลายหูดูไม่ดี | เท่านี้ดอกเจ้าอย่าเง้างอน |
ว่าพางแอบอิงพิงเคล้า | ยั่วเย้าด้วยความสโมสร |
อะไรเล่าเฝ้าปัดสะบัดกร | คมค้อนเบือนหนีไปทีเดียวฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดสี | อะไรนี่น่าพิโรธโกรธเกรี้ยว |
เลี้ยวลดปดหญิงจริงเจียว | กลมเกลียวกอดรัดน่าขัดใจ |
ซึ่งบัญชาว่าแสนเสน่ห์น้อง | พร่ำพร้องให้ชอบอัชฌาสัย |
แม้นจริงเหมือนวาจาว่าไว้ | จะเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจไยมี |
ท่านไปถึงเวียงวังตั้งแต่สุข | ที่คนจนทนทุกข์อยู่นี่ |
นอนเดียวเปลี่ยวเปล่าเศร้าโศกี | เพราะไม่มีคู่เคล้าเปล่าดาย |
ตื่นเช้าก็เฝ้าแต่คอยท่า | กว่าจะลาทั่วคนจนสาย |
ยังกลั่นแกล้งแสร้งเสเพทุบาย | แยบคายพระเจ้าพอเข้าใจ |
ว่าพลางทางทรงโศกา | ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล |
ข่วนหยิกพลิกผลักเชิญยักไป | เนาในปรางค์ศรีให้ปรีดาฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ แก้วพี่ | เจ้าว่าไยอย่างนี้ขนิษฐา |
เคราะห์กรรมจำเป็นเห็นแก่ตา | ใช่ว่าแกล้งสลัดตัดรอน |
บ้านเขาเรามาอยู่อาศัย | จึงโลมเล้าเอาใจไว้ก่อน |
ไม่ช้าจะพาคืนนคร | ได้ร่วมร้อนสมสองครองกัน |
คืนนี้พี่ไปไม่เป็นสุข | ความทุกข์รนร้อนนอนฝัน |
รุ่งรางสางแสงสุริยัน | ต้องเกียจกันปกปิดกิจจา |
หวังมิให้ใครรู้เรื่องราว | ข้อข่าวจะคิดขนิษฐา |
ถึงเพียงนี้แล้วแก้วพี่อา | โศกาด้วยกิจประการใด |
ว่าพลางทางเชิดชลเนตร | ซับพักตร์อัคเรศให้แจ่มใส |
ปลอบโยนโอนอ่อนผ่อนใจ | จูงกรทรามวัยลีลามาฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ สององค์ทรงร่วมอัสดร | รีบเร่งบทจรสู่ท่า |
บัดเดี๋ยวเลี้ยวลัดตัดมา | ลุถึงเภตราทันทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งลงจากกัณฐัศว์ | จูงหัตถ์แก้วตามารศรี |
ลงสู่เภตราไม่ช้าที | เข้าที่ห้องหับฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ นั่งแนบแอบองค์นงลักษณ์ | โลมลูบจูบพักตร์เกษมสันต์ |
ถ้อยทีมีจิตคิดผูกพัน | ประทมเรียงเคียงกันหลับไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เย็นรอนอ่อนแสงสุริยง | พระปลดองค์มิ่งมิตรพิสมัย |
พี่จะพาโฉมงามทรามวัย | ส่งเจ้าเนาในกระท่อมทับ |
รุ่งรางส่างแสงสุริยา | จะกลับมาหาน้องที่ห้องหับ |
งามงอนอ่อนองค์ลงคำนับ | ประจงจับหัตถาพาจรฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ลงจากเภตราขึ้นม้ามิ่ง | วางวิ่งว่องไวดังไกรสร |
ชักม้าเลี้ยวลดบทจร | มิให้ชาวพระนครรู้ทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งสั่งนงลักษณ์ | ทรงศักดิ์อำลามารศรี |
รีบขับมิ่งม้าพาชี | ไปยังที่วังพลันทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ รอเรียงเคียงประทับกับเกยมาศ | ลีลาศด้วยจิตพิสมัย |
กรายกรลีลาคลาไคล | เข้าในปราสาทรจนาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ นั่งแนบแอบองค์มเหสี | ทำทีสนิทเสนหา |
แย้มสรวลชวนเล่นเจรจา | ปรีดาสำราญบานใจฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์มณีศรีใส |
ร่วมภิรมย์สมสู่ภูวไนย | นับได้ปีเศษสังเกตการณ์ |
ค่ำไปเช้ามาเป็นผาสุก | กำจัดทุกข์ปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
ทรงครรภ์โอรสกำหนดนาน | อาการเกือบทศมาสครา |
พระพงศ์ภุชสุดสมัครรักใคร่ | มิได้ห่างเหเสนหา |
อยู่เย็นเป็นสุขทุกเวลา | ยายตาระวังกังวลฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ วันหนึ่งจึงเกิดนึกตรึกตรอง | จำจะลองลาไปไพรสณฑ์ |
พระจะตรัสห้ามปรามตามยุบล | ฤๅจะยอมผ่อนปรนประการใด |
คิดพลางเอนองค์ลงไสยา | คอยหาพระยอดพิสมัย |
นิ่งนึกตรึกตรองจะลองใจ | อยู่ในห้องหับลับลี้ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระนรินทร์พินทองผ่องศรี |
อยู่ในปรางค์รัตน์รูจี | กับพระมเหสีโสภา |
แสนคะนึงถึงนางมณีนัก | น้องรักจะละห้อยคอยหา |
จึงออกจากห้องในไสยา | ลีลายังท้องพระโรงพลันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ทรงนั่งเหนือหลังมโนมัย | ภูวไนยรีบเร่งผายผัน |
เลี้ยวลัดรัถยามาพลัน | มิให้ชาวเมืองนั้นแจ้งใจฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึ่งลงจากอาชา | เข้าห้องเคหาไม่ช้าได้ |
นั่งแนบแอบองค์อรทัย | ประจงจูบลูบไล้อินทรีย์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์นางมณีศรี |
น้อมกายถวายอัญชลี | ได้ทีจึงทูลฉลองมา |
ตัวน้องท้องไส้ไม่สบาย | นิราศไร้ญาติวงศ์พงศา |
เช้าเย็นได้เห็นแต่ยายตา | เป็นกำพร้าขัดสนจนใจ |
ฉวยประสูติโอรสยศยง | เผ่าพงศ์ทาสีหามีไม่ |
จะอดอยากตรากตรำร่ำไป | เห็นจะไม่มีสุขสำราญ |
เมียรักจักขอบังคมลา | เมตตาปล่อยให้ไปสถาน |
สามเดือนจะมาไม่ช้านาน | ภูบาลจงได้ปรานีฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมเฉิดเลิศลํ้าราศี |
ฟังคำรำพันพาที | ภูมีสวมกอดทอดถอนใจ |
แล้วลูบโลมโฉมยงนงลักษณ์ | น้องรักผู้ยอดพิสมัย |
อย่าแสนโศกเศร้าสร้อยน้อยใจ | เรียมไซ้รักเจ้าเท่าชีวัน |
ไม่ทอดทิ้งจริงเจ้าอย่าเศร้าจิต | คงจะคิดพาไปไอศวรรย์ |
มาตรแม้นจรลีหนีทัน | มิให้ขวัญเนตรน้องหมองวิญญา |
ไปไยไกลผัวใช่ตัวเปล่า | ขวัญข้าวฟังคำพี่ร่ำว่า |
แม้นประสูติลูกแก้วแววตา | พี่จะมาเยี่ยมอยู่ดูระวัง |
ว่าพลางโลมลูบจูบพักตร์ | แสนรักไม่แคลงระแวงหวัง |
จนเย็นย่ำสุริย์ฉายบ่ายบัง | พระลูบหลังโลมลาคลาไคล |
เยื้องย่องจากห้องไสยา | มาขึ้นทรงอาชาหาช้าไม่ |
ควบขับกลับหลังเข้าวังใน | ใครใครไม่รู้ร้ายดีฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ ครั้นว่ามาถึงวังใน | สุริย์ใสรอนรอนอ่อนศรี |
พระโฉมยงลงจากพาชี | จรลีเข้ายังปรางค์ปราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงท้าวมงคลราชนาถา |
ครองกรุงบำรุงพารา | มิได้มีโรคาแผ้วพาน |
แสนคะนึงถึงองค์โอรสรัก | ช้านักแต่พรากจากสถาน |
นับได้ปีเศษสังเกตการณ์ | เนิ่นนานไม่กลับคืนมาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ คิดพลางทางเรียกมเหสี | มาพาทีตรองตรึกปรึกษา |
ลูกรักงามสรรพไม่กลับมา | แก้วตาจะคิดประการใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางมณฑาเทวีศรีใส |
กราบพลางทางทูลฉลองไป | ซึ่งสายใจไม่มาธานี |
เหตุเพราะนางแก้วสัปดน | เข้าปลํ้าปลุกซุกซนบัดสี |
จึงขัดใจไม่อยู่บูรี | เท่านี้งามสรรพไม่กลับมา |
บัดนี้อีคนแสนร้าย | สูญหายประมาณนานหนักหนา |
จงคิดส่งสาส์นไปให้มา | เห็นว่าจะสมอารมณ์ปองฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังเมียรัก | ทรงศักดิ์เปรมปรีดิ์ไม่มีสอง |
แช่มชื่นอารมณ์สมปอง | เสด็จออกยังท้องพระโรงชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ลดองค์ลงนั่งเหนืออาสน์ | พร้อมหมู่อำมาตย์น้อยใหญ่ |
กวักหัตถ์ตรัสเรียกเสนาใน | มาใกล้แล้วมีบัญชา |
จัดแจงแต่งศุภสาส์นศรี | ไปยังบุรีโอรสา |
ว่าเราประชวรโรคา | ให้รีบมาประเทศธานีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อำมาตย์รับสั่งใส่เกศี |
ออกมาสั่งกันทันที | ตามมีพระราชโองการ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นเสร็จก็ใส่ในกล่องแก้ว | แล้วทูลถวายรายเรื่องสาร |
หมอบเมียงเคียงคอยพจมาน | พร้อมยังหน้าฉานพระโรงชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | กรุงกษัตริย์ชื่นแช่มแจ่มใส |
จึงสั่งนายทหารชาญชัย | เร่งไปยังโรมบุรี |
บอกว่าเราไซร้ไม่สบาย | ให้เชิญพระลูกชายโฉมศรี |
เสี้ยนหนามสิ่งใดนั้นไม่มี | ให้รีบจรลีเร็วพลันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองนายทหารแข็งขัน |
ต่างคนคำนับอภิวันท์ | พากันมาลงนาวา |
บ้างถอนสมอกางใบ | นายไพร่อุตลุดฉุดคร่า |
แล่นออกนอกอ่าวพารา | บ่ายหน้ายังโรมนครฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงปากนํ้าบุรี | ทอดสมอนาวีไว้ก่อน |
เชิญสาส์นใส่พานบวร | ลงนาวารีบจรเข้าไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงแจ้งแห่งคดี | แก่ท่านเสนีผู้ใหญ่ |
ครั้นถึงเวลาก็คลาไคล | เข้าเฝ้าภูวไนยฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ น้อมเศียรประณตบทมาลย์ | ทูลตามอาการทุกสิ่งสรรพ์ |
บัดนี้พระบิตุรงค์ทรงธรรม์ | ให้ส่งสาส์นสำคัญมาบัดนี้ |
ทูลพลางทางคลานเข้ามา | ทูลถวายสาราพระโฉมศรี |
กราบลงตรงพักตร์ภูมี | เสนีเมียงหมอบยอบกายาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมประโลมเลขา |
รับสาส์นทรงธรรม์แล้ววันทา | ผ่านฟ้าอ่านความตามคดีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ สาส์นทรงองค์พระบิตุเรศ | จอมนิเวศมิถิลาบุรีศรี |
มาถึงองค์หน่อไทธิบดี | ด้วยพ่อนี้ประชวรโรคา |
แสนคะนึงถึงองค์พระโอรส | เฝ้าครวญคร่ำกำสรดหนักหนา |
เจ้าพลัดพรากจากสถานนานช้า | เชิญมาให้ชื่นหฤทัยฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ จบสาส์นกราบกรานบิตุเรศ | ชลเนตรคลอคลอล่อไหล |
จึงผินพักตร์ซักถามเสนาใน | พระทรงชัยประชวรโรคา |
พระโรคนั้นฉันใดไฉนเจ้า | หนักเบาอย่างไรให้เร่งว่า |
หนึ่งพระองค์นงคราญมารดา | ทรงจำเริญฤๅว่าเป็นฉันใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทั้งสองทูตทูลแจ้งแถลงไข |
องค์พระชนนีไม่มีภัย | แต่ท้าวไทบิตุรงค์ทรงธรรม์ |
ปั่นป่วนประชวรโรคา | แต่เห็นว่าไม่สู้กวดขัน |
แต่คิดถึงพระเจ้าลูกผูกพัน | ให้เชิญเสด็จผายผันไปบุรี |
รับสั่งใช้ให้มาทูลความ | ว่าราบเตียนเสี้ยนหนามในกรุงศรี |
อย่าทรงคิดกังขาราคี | ครั้งนี้จะสุขสำราญฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมเฉิดเลิศล้ำสุริย์ฉาน |
ได้ฟังหยั่งรู้ในอาการ | ค่อยเบิกบานถวิลยินดี |
สมจิตคิดไว้จะไปเมือง | ไม่ได้เคืองขุ่นข้องหมองศรี |
จึงหยิบสาส์นสำคัญทันที | เสด็จคืนเข้าที่ตำหนักในฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ นั่งเรียงเคียงองค์นงลักษณ์ | ทรงศักดิ์บอกแจ้งแถลงไข |
บัดนี้พระบิดาบัญชาใช้ | ให้ถือสาส์นมาให้พี่ยา |
บัดนี้พระองค์ทรงธรรม์ | พระประชวรป่วนปั่นหนักหนา |
ให้พี่จรลียังพารา | ส่งสาส์นตราให้ดูทันทีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระธิดามารศรี |
รับสาส์นพระผู้ผ่านธานี | หัตถ์คลี่อ่านพลันทันใด |
แล้วทูลพระโฉมยงทรงฤทธิ์ | การร้อนนอนจิตกระไรได้ |
โปรดด้วยช่วยพาน้องคลาไคล | เฝ้าไททั้งสองกษัตราฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังนาง | พระโลมลูบปฤษฎางค์พลางว่า |
โฉมงามจะตามลีลา | ไปไยให้ช้าท่วงที |
กรุงไกรไกลพ้นจะประมาณ | ทั้งกันดารไปในแดนวิถี |
โฉมยงจงอยู่บูรี | แล้วพี่จะกลับมารับไป |
ต้องทูลองค์ทรงฤทธิ์บิดร | การร้อนหนักหนาไม่ช้าได้ |
ตรัสพลางชวนนางทรามวัย | คลาไคลขึ้นเฝ้าพระบิดรฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าเฝ้า | น้อมเกล้ากราบองค์พระทรงศร |
กราบทูลข้อความตามเรื่องร้อน | ทำทอดถอนหฤทัยไปมาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พรหมทัตธิราชนาถา |
ทังคำเขยขวัญแล้วบัญชา | แก้วตาจงรีบคลาไคล |
โฉมยงองค์ทัศมาลี | จะไปด้วยสามีฤๅไฉน |
พ่อแม่ไม่ห้ามตามแต่ใจ | จงตรึกไตรปรึกษาหารือกันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพงศ์ภุชดุษฎีขมีขมัน |
ทูลว่าจะพาจรจรัล | จะช้าไปไม่ทันท่วงที |
แต่ลูกจะลาฝ่าพระบาท | ลีลาศไปยังบุรีศรี |
แม้นพระโรคเคลื่อนคลายหายดี | จะรับไปอัญชลีพระบาทาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ขอฝากโฉมยงนงลักษณ์ | ทรงศักดิ์ได้โปรดเกศา |
พรุ่งนี้แต่รุ่งสุริยา | ลูกรักจักลาคลาไคลฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | บิตุเรศชนนีศรีใส |
ต่างองค์อำนวยอวยชัย | เจ้าไปเป็นสุขสถาพร |
อย่าห่วงไยในองค์นงคราญ | จงรีบไปอภิบาลทรงศร |
หายแล้วแก้วตาจงลาจร | รีบร้อนกลับมายังธานีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์บังคมก้มเกศี |
รับพระพรพลันทันที | จรลีไปจัดเภตราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงทวารวังใน | ขึ้นทรงมโนมัยตัวกล้า |
พรั่งพร้อมพี่เลี้ยงโยธา | ตรงไปสู่ท่าฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ พระองค์ลงสู่สำเภาทอง | ให้เกณฑ์กองพหลพลขันธ์ |
รวบรวมพร้อมพรั่งทั้งนั้น | จัดสรรสรรพเสร็จสำเร็จการฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เบี่ยงบ่ายชายแสงทินกร | ภูธรปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
เสด็จทรงมโนมัยชัยชาญ | บทมาลย์ยังเรือนยายตาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึ่งลงจากพาชี | ตรงเข้าไปในที่เคหา |
นั่งแนบแอบองค์พนิดา | ผ่านฟ้ากอดจูบลูบไล้ |
ตรัสว่าวันนี้มีสาส์นทรง | บิตุราชมาตุรงค์เป็นใหญ่ |
ให้ตัวพี่ลีลาคลาไคล | กลับไปมิถิลาธานี |
พี่ขอเชิญโฉมยงนงลักษณ์ | ไปเฝ้าองค์ทรงศักดิ์กับพี่ |
จะถนอมเป็นจอมนารี | รักร่วมชีวีจนวันวายฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางมณีทูลไปดังใจหมาย |
น้องนี้ยากยับอับอาย | เคืองขายบาทบงสุ์ทรงธรรม์ |
หนึ่งพระบิตุราชมาตุรงค์ | เผ่าพงศ์กษัตริย์รังสรรค์ |
แจ้งว่าข้าชาวป่าพนาวัน | จะชวนกันติฉินนินทา |
เป็นตายไม่ขอจรดล | จะสู้ทนอยู่นี่ดีกว่า |
เชิญเสด็จภูวไนยไคลคลา | ตัวข้าไม่ขอจรลีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังพลาง | พระเล้าโลมโฉมนางมณีศรี |
แล้วกล่าวสุนทรวาที | เจ้าว่าไยอย่างนี้ไม่ควรการ |
พุ่มพวงดังดวงนัยน์เนตร | จงเจตน์จะเลี้ยงเคียงสมาน |
จะบิดเบือนเชือนชักหักราน | เพื่อเพราะเยาวมาลย์ไม่เมตตา |
ถึงพระบิตุราชมาตุรงค์ | ก็ควรคงจะรักหนักหนา |
ใครจะล่วงติฉินนินทา | แก้วตาอย่าร้อนหฤทัย |
อยู่นี่พี่พรากไปจากองค์ | ญาติวงศ์เจ้านี้หามีไม่ |
แม้นประสูติลูกน้อยกลอยใจ | คือใครจะมาพยาบาล |
เห็นแต่ตายายก็ไร้ญาติ | ตัดขาดไม่เป็นแก่นสาร |
พี่ขอเชิญโฉมยงนงคราญ | บทมาลย์ไปสู่บูรีฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์นางมณีศรี |
ฟังคำรำพันพาที | เทวีจึงทูลฉลองไป |
น้องเสงี่ยมเจียมตัวกลัวอาย | ไม่อวดงามตามชายไปได้ |
จะทนสู้อยู่ตามยากไร้ | มิให้ใครรู้จักพักตรา |
พระองค์จงเสด็จจรลี | คืนไปสู่บูรีเป็นสุขา |
อย่าหวนห่วงหน่วงหนักชักช้า | กลับมาจึงประสบพบกัน |
ว่าพลางทางทรงโศกี | เทวีวิโยคโศกศัลย์ |
ซบพักตร์กับตักพระทรงธรรม์ | แจ่มจันทร์โศกาอาลัยฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์หม่นหมองไม่ผ่องใส |
ความแสนพิศวาสจะขาดใจ | ภูวไนยรำพันพาทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ โอ้ว่าเจ้าดวงมณฑาทอง | เคยร่วมห้องภิรมย์สมศรี |
รักเจ้าเท่าดวงชีวี | จะให้พี่เริศร้างไปอย่างไร |
สงสารทั้งลูกน้อยกลอยจิต | จะเปลื้องปลิดทิ้งขว้างอย่างไฉน |
มาตรแม้นโฉมยงมิปลงใจ | ที่ไหนจะมีปรีดา |
เชิญพุ่มพวงดวงใจนัยน์เนตร | ไปประเทศธานีเราดีกว่า |
อยู่ไยในโรมพารา | ไปครองกรุงมิถิลาสถาพรฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังตรัส | ชลีหัตถ์ทูลความตามนุสรณ์ |
น้องไซร้ใช่ว่าไม่อาวรณ์ | สุดร้อนสุดรักหนักอุรา |
แต่ปากหากพลั้งดังเสียแล้ว | พระแก้วจงโปรดเกศา |
อย่าให้น้องต้องเสียวาจา | อย่าเพ่อพาไปสู่บูรี |
แม้นไม่ฟังยั่งยืนขืนจิต | จะสู้สิ้นชีวิตเป็นผี |
จงตัดเกล้าเกศาข้านี้ | ใส่ในนาวีไปเวียงชัย |
ว่าพลางทางทรงโศกา | ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล |
โอ้พระยอดฟ้ายาใจ | เมื่อไรจะเสร็จเสด็จมาฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังพาที | ภูมีกลุ้มกลัดมนัสสา |
สวมสอดกอดแก้วกัลยา | ชลนาไหลหลั่งพรั่งพราย |
องค์อ่อนระทวยงวยงง | ด้วยอาลัยในองค์โฉมฉาย |
พิศพักตร์ทั้งรักทั้งเสียดาย | กรกรายกอดนางทางโศกีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ โอ้ว่าเจ้าเพื่อนพิศวาส | จะนิราศแรมร้างห่างศรี |
ตั้งแต่จะแสนโศกศัลย์พันทวี | เกือบปีจะพบประสบกัน |
ยามปลอดคลอดองค์โอรสราช | ไร้ญาติพวกพ้องประคองขวัญ |
เห็นแต่ยายตาชราครัน | จะโศกศัลย์เปลี่ยวเปล่าเศร้าใจ |
ตรัสพลางทางถอดธำมรงค์ | มาสอดทรงนิ้วน้อยละห้อยไห้ |
ปลอบเปลี่ยนภูษาผ้าสไบ | ภูวไนยกำสรดโศกีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์นางมณีศรี |
รับพระภูษาไม่ช้าที | โศกีก้มกราบกับบาทาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ โอ้ว่าพระองค์ทรงเดช | จะลับเนตรประมาณนานนักหนา |
อยู่หลังจะตั้งแต่โศกา | ทุกทิวาเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจ |
ว่าพลางทางเปลื้องสไบทรง | ถวายองค์พระยอดพิสมัย |
ซบกับบาทาโศกาลัย | มิได้เป็นสมประฤๅดีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองหมองหมดสลดศรี |
รับขวัญกัลยาแล้วพาที | แก้วพี่อย่าทรงโศกา |
กรรมแล้วจึ่งแคล้วคลาดกัน | จงนับวันคอยพี่ดีกว่า |
ปลอบพลางทางเรียกยายตา | เข้ามาแล้วมีพจมาน |
ตัวเราจะลาไปธานี | อยู่นี่ร่วมเรือนเป็นเพื่อนหลาน |
ยามปลอดคลอดองค์พระกุมาร | จงช่วยกันอภิบาลเทวี |
มาถึงจึงจะสนองคุณ | ที่การุญรักษามารศรี |
เงินทองของข้าวเรามี | พรุ่งนี้เราจะให้ไว้พลางฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าทูลไปมิได้หมาง |
พระอย่าห่วงบ่วงใยในนาง | ทูลพลางวันทาคลาไคลฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์หม่นหมองไม่ผ่องใส |
ปลอบนางทางเช็ดชลนัยน์ | ปลื้มใจจงอยู่สวัสดี |
ผัวรักจักไปไม่อยู่ช้า | จะกลับมาภิรมย์สมศรี |
บำรุงบุตรสุดใจให้ดี | เย็นแล้วแก้วพี่จะขอลา |
ปลอบพลางทางเช็ดชลเนตร | ทรงเดชเศร้าสร้อยละห้อยหา |
ตัดรักหักใจไคลคลา | แล้วเหลียวมาดูองค์นงคราญ |
องค์อ่อนระทวยงวยงง | พระโฉมยงกำสรดสงสาร |
สวมสอดกอดองค์นงคราญ | ภูบาลโศกาอาลัย |
ลูบหลังสั่งนุชสุดสวาดิ | อาลัยไม่คลาดไปจากได้ |
ขืนสลัดตัดรักหักใจ | คลาไคลมาทรงพาชี |
เคลิ้มองค์หลงยืนอยู่เป็นครู่ | มิได้รู้สึกองค์พระโฉมศรี |
หวนจิตคิดได้สติดี | ภูมีชักม้าคลาไคลฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งลงอัสดร | ภูธรทุกข์ทนหม่นไหม้ |
เดินพลางสะท้อนถอนใจ | เข้าในตำหนักรูจี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ลดองค์ลงนั่งบัลลังก์รัตน์ | กอดหัตถ์ตรมตรองหมองศรี |
ผูกจิตคิดถึงนางมณี | เข้าที่สิริไสยาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระบุตรีแน่งน้อยเสน่หา |
เห็นพระเฝ้าเศร้าจิตนิทรา | กัลยาไม่รู้ร้ายดี |
สำคัญคิดว่าองค์ทรงธรรม์ | โศกศัลย์ถึงองค์มารศรี |
เศร้าสร้อยพลอยทรงโศกี | จนเข้าที่ระงับหลับไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์มณีศรีใส |
รุ่งรางสร่างแสงอโณทัย | ตั้งใจจะส่งทรงธรรม์ |
จึ่งออกจากห้องในไสยา | พักตราเศร้าสร้อยโศกศัลย์ |
หยุดยั้งบังบานทวารพลัน | ไม่เหลือบแลแปรผันพักตราฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองหมองพักตร์หนักหนา |
พวยพุ่งรุ่งแสงสุริยา | จึงโลมลานิ่มนุชบุตรี |
ทำลูบหน้าลูบหลังสั่งความ | โฉมงามประณตบทศรี |
เยื้องย่างจากปรางค์รูจี | เสด็จออกยังที่พระโรงธารฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งชวนพระพี่เลี้ยง | พร้อมเพรียงโยธาที่หน้าฉาน |
เสด็จทรงมิ่งม้าอาชาชาญ | บทมาลย์มายังเภตราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงซึ่งบ้านตายาย | พระโฉมฉายแลลอดสอดหา |
เหลียวสบพบพักตร์ขวัญกัลยา | หยุดม้าสะท้อนถอนใจ |
เห็นโฉมยงลงนั่งบังคม | อารมณ์ยิ่งคิดพิสมัย |
องค์อ่อนระทวยงวยงงไป | ชลนัยน์หลั่งหล่อคลอตา |
จึงหยิบเอาถุงทองกองให้ | บุ้ยใบ้บอกมิตรขนิษฐา |
จำเป็นจำใจไคลคลา | ขับม้าย่างเยื้องจรลีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งลงในนาเวศ | ทรงเดชนั่งท้ายบาหลี |
แสนคะนึงถึงแก้วแววมณี | มิได้มีความสุขสำราญฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงเสนาโยธาหาญ |
บ้างกางใบใส่เสาเสร็จการ | ขันกว้านฉุดสายสมอมา |
นายท้ายบ่ายลำนาวี | ฤกษ์ดีลมล่องคล่องหนักหนา |
ฆาตฆ้องร้องโห่สามลา | เภตราแล่นออกนอกเวียงชัยฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์มณีศรีใส |
ยามวิโยคโศกเศร้าเปล่าใจ | เนาในห้องหับลับลี้ |
แสนคะนึงถึงองค์ทรงฤทธิ์ | มิ่งมิตรหม่นหมองไม่ผ่องศรี |
อกเอ๋ยสงสารป่านฉะนี้ | ภูมีจะเป็นประการใด |
คิดพลางทางทรงโศกา | ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล |
เย็นรอนอ่อนแสงอโณทัย | ทรามวัยประชวรครรภาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ จึงตรัสร้องเรียกหาตากับยาย | กลิ้งเกลือกเสือกกายในเคหา |
แม่เจ้าจงช่วยลูกด้วยรา | เรียกพลางกัลยาก็โศกีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าอกสั่นขวัญหนี |
ยายเฒ่าเข้ามาไม่ช้าที | ประคององค์เทวีไว้แนบกาย |
แม่จงกลั้นอดสะกดใจ | จะผันแปรแก้ไขโฉมฉาย |
เร็วราตาเอ๋ยอย่าวุ่นวาย | เบี่ยงบ่ายช่วยกันให้ทันทีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตาเฒ่าวิ่งวนบ่นอู้อี้ |
ฟืนตองกองไฟยังไม่มี | สองคนเท่านี้อนาถใจ |
ว่าพลางทางขึ้นบนหลังคา | ผูกเชือกพันผ้าหาช้าไม่ |
ลงมาหาฟืนก่อไฟ | วิ่งไปวิ่งมาตาเหลือกลานฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงนงนุชสุดสงสาร |
ยามชัยได้ฤกษ์ศุภวาร | นงคราญประสูติกุมารา |
เป็นชายเฉิดโฉมประโลมเนตร | เหมือนพระบิตุเรศดังเลขา |
บริสุทธิ์ผุดผ่องดังทองทา | พักตราจิ้มลิ้มพริ้มพรายฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ยายตาชื่นชมสมหมาย |
ยายเฒ่าเข้าช้อนเอาหลานชาย | มาโสรจสรงวรกายทันที |
แล้ววางลงในที่ไสยา | ยายตาปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ชิงกันกอดจูบลูบอินทรีย์ | ก่อกองอัคคีให้นงคราญ |
ปรนนิบัติวัดถากมารดา | ประเดี๋ยวมาสวมสอดกอดหลาน |
จับโน่นซนนี่ตะลีตะลาน | สองคนอลหม่านเป็นสิงคลีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นประมวลถ้วนเสร็จเจ็ดวัน | จะจำเริญเชิญขวัญพระโฉมศรี |
จัดแจงอู่อาสน์ลาดดี | ยายยกบายศรีนมแมวมา |
พวงเงินพวงทองซองขวัญ | จัดสรรพร้อมไว้ในเคหา |
อุ้มองค์พระกุมารหลานยา | ยายตาเชิญขวัญรำพันไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ขวัญเอยขวัญพ่อหน่อนเรศ | อยู่เขตคงคาชลาไหล |
อย่าหลงชมพนมพนาลัย | ขวัญอย่าไปตามติดพระบิดา |
ขวัญเอยเชิญเชยบายศรีสอง | พวงเงินพวงทองทั้งซ้ายขวา |
ได้ฤกษ์เลิกโห่สามลา | ยายตาอำนวยอวยพรฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ยกองค์วางอยู่ในอู่น้อย | นั่งคอยแกว่งไกวมิให้อ้อน |
อยู่เย็นเป็นสุขไม่ทุกข์ร้อน | ถาวรเกษมเปรมปรีดิ์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์นางมณีศรี |
โลมเลี้ยงลูกยาในธานี | มิได้มีเหตุการณ์พานภัย |
เนิ่นนานประมาณเดือนเศษ | ตรองเหตุถึงคู่พิสมัย |
เมื่อผ่านฟ้ามาจากกรุงไกร | ให้เราทำลูกไว้ดังวาจา |
สมใจได้องค์โอรสแล้ว | จำจะต้องคลาดแคล้วไปคอยท่า |
ยอกย้อนซ่อนกลมารยา | ให้สมสาใจองค์ทรงธรรม์ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ คิดพลางทางลุกลีลา | มานั่งไหว้ยายตาขมีขมัน |
บอกว่าจะลาจรจรัล | เยี่ยมวงศ์พงศ์พันธุ์ในพงพี |
เดือนหนึ่งไม่นานหลานจะมา | ยายตาทั้งสองอย่าหมองศรี |
เงินทองของข้าวเรายังมี | เอาไว้เลี้ยงชีวีไม่เอาไป |
ว่าพลางทางหยิบกระทายทอง | ให้สองยายตาหาช้าไม่ |
อย่าได้คิดหนักหน่วงห่วงใย | หลานไปไม่ช้าจะมาพลันฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังวาจา | ยายตาตกใจไม่มีขวัญ |
สวมกอดกัลยาแล้วว่าพลัน | แจ่มจันทร์อย่าเพ่อคลาไคล |
ทุ่งกว้างกลางอรัญบรรพต | โอรสเนื้อเย็นจะเป็นไข้ |
อ่อนศักดิ์หนักหนาจะพาไป | ดวงใจหยุดยั้งฟังวาจา |
หนึ่งเมื่อเสด็จจรดล | จุมพลฝากฝังสั่งข้า |
แม้นเกิดเหตุเภทภัยพาธา | จะต้องรับพระอาญาภูมีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังห้าม | โฉมงามยิ้มเยื้อนเบือนหน้าหนี |
ยอกรวันทาแล้วพาที | ข้านี้ใม่ทิ้งอย่ากริ่งใจ |
เดือนเดียวจะมาไม่ช้านัก | ทรงศักดิ์หาทันมาถึงไม่ |
อย่ากล่าวการทานทัดขัดใจ | จงชื่นช่วยอวยชัยนัดดาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ยายตาอาลัยร้องไห้จ้า |
เข้าสวมกอดพระกุมารผ่านฟ้า | โศกาครวญคร่ำรำพัน |
โอ้พระหลานเอ๋ยเคยอยู่ | ได้ชื่นชูผูกใจใฝ่ฝัน |
รูปหล่อพ่อจะจรจรัล | กี่วันจึงจะมาหายาย |
เคยชมเคยเชยเคยถนอม | เคยกล่อมเคยไกวน่าใจหาย |
เห็นอยู่หลัดหลัดมาพลัดพราย | ตายายร่ำพลางทางโศกาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงสงสารเป็นหนักหนา |
กลืนกลั้นโศกีชุลีลา | กัลยาอุ้มองค์พระกุมาร |
ตรัสปลอบยายตาอย่าอาวรณ์ | ไม่ช้าจะจรคืนสถาน |
ว่าพลางรีบมามิช้านาน | จากบ้านยายตาไม่ช้าทีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงซึ่งนอกพระนคร | ทินกรบ่ายบังรังสี |
โฉมยงจำนงจรลี | ตรงไปยังที่นาวาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งถอดธำมรงค์ | ผูกหัตถ์ให้องค์โอรสา |
พลางอำนวยอวยพรลูกยา | แล้วสวมรูปหน้าม้าทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ นั่งลงตรงกลางสัดจอง | ค่อยประคองลูกแอบแนบใกล้ |
ชักสายยนต์พลันทันใด | เรือน้อยลอยไปในเมฆีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงศาลาอาศรม | ทรามชมปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
อุ้มองค์โอรสธิบดี | เข้าเฝ้าพระมุนีฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งวางพระโอรส | กราบบาทดาบสขมีขมัน |
หมอบลงตรงพักตร์พระนักธรรม์ | แจ่มจันทร์คอยฟังบัญชาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระมหาดาบสพรตกล้า |
มุ่งเขม้นเห็นนางหน้าม้า | สำรวลร่าแล้วถามความไป |
ลับกายหายหน้าไปกว่าปี | พบพระสามีฤๅหาไม่ |
กุมารนี้ลูกเต้าเหล่าใคร | บอกไปให้แจ้งแห่งคดีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังบัญชา | วันทาทูลความไปตามที่ |
แต่ต้นจนพรากจากสามี | กุมารองค์น้อยนี้คือบุตรา |
หลานรักจักอยู่ฉลองคุณ | ที่การุญโปรดเกล้าเกศา |
เจ็ดวันจะครรไลลา | คืนเข้าพาราถาวรฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระนักสิทธ์ฟังนางทางนุสรณ์ |
จงหยุดพักให้หายคลายร้อน | จึงค่อยจรเข้าสู่บูรี |
ว่าพลางทางอุ้มพระกุมาร | มาชมชื่นสำราญเกษมศรี |
เป็นชายเหมือนบิตุรงค์คงดี | สิบปีส่งมาอยู่ป่าดง |
ตาจะช่วยสั่งสอนผ่อนให้ | มีอิทธิ์ฤทธิไกรสมประสงค์ |
ว่าพลางกอดจูบลูบองค์ | แล้วส่งให้นางเทวีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางแก้วปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ครั้นเย็นรอนอ่อนแสงระวี | จรลีไปท่าสาคร |
รับตักนํ้าใช้นํ้าฉัน | เด็ดดวงบุษบันเกสร |
ทำเปลผูกให้ลูกหลับนอน | แล้วย้อนลงสรงคงคาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นค่ำย่ำแสงอโณทัย | เข้าไปปรนนิบัติวัดถา |
น้อมกายถวายผลผลา | แล้วมาห้องหับฉับพลัน |
กอดกุมอุ้มองค์พระลูกรัก | โลมลูบจูบพักตร์แล้วรับขวัญ |
ล้าเลื่อยเหนื่อยมาแต่อารัญ | แจ่มจันทร์ระงับหลับไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระนรินทร์พินทองไม่ผ่องใส |
จำเดิมพรากจากนุชสุดสายใจ | ภูวไนยเปลี่ยวเปล่าเศร้าสกนธ์ |
พลบคํ่ากลํ่าฟ้าภาณุมาศ | สถิตอาสน์อ้างว้างอยู่กลางหน |
เห็นแต่พักตร์พี่เลี้ยงเคียงสกนธ์ | พระจุมพลสะท้อนถอนวิญญาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เอนองค์ลงในไสยาสน์ | ถวิลหวาดถึงมิตรขนิษฐา |
แลเหลียวเปลี่ยวใจนัยนา | ในอุราร้อนนักดังอัคคี |
ครื้นครื้นคลื่นคลั่งกำลังคิด | ทรงฤทธิ์ตรมตรองหมองศรี |
คลื่นคลั่งเหมือนพี่คลั่งดวงฤดี | กี่เดือนปีจะพบประสบกันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครวญพลางทางทรงไสยาสน์ | กรก่ายพระนลาตโศกศัลย์ |
ร้อนรุ่มกลุ้มใจดังไฟกัลป์ | พลางกลืนกลั้นระงับหลับไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ พวยทุ่งรุ่งแสงสุริยา | แลมาโดยลำแม่นํ้าไหล |
เภตราพาวนเวียนไป | เนิ่นนานมิได้จรลีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ต้นหนคนงานชาญหน้าที่ |
จิตใจไม่เป็นสมประดี | บ้างลงลำนาวีเรียงราย |
จับสายโซ่ยุดฉุดคร่า | เภตราลอยเลื่อนเคลื่อนขยาย |
โห่ร้องก้องไปทั้งไพร่นาย | ชุลมุนวุ่นวายเป็นโกลาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ แล่นลัดตัดวนพ้นไป | เสนีดีใจเป็นหนักหนา |
แล่นเรื่อยเฉื่อยไปในธารา | สุริยาลับนํ้าลงรำไร |
ลมพัดปัดท้ายบ่ายลำ | เข้าในปากนํ้าเมืองใหญ่ |
แลเห็นนายด่านชาญชัย | เติบใหญ่เป็นยักษ์ศักดา |
ไพร่พลพร้อมพรั่งทั้งนั้น | พื้นพวกกุมภัณฑ์แกล้วกล้า |
ลมปัดซัดส่งตรงมา | เสนาวุ่นวิ่งเป็นสิงคลีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองสุริย์วงศ์ทรงศรี |
จึงตรัสสั่งพี่เลี้ยงโยธี | ให้ทอดอยู่ดูทีชาวเวียงชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อำมาตย์รับสั่งไม่ยั้งได้ |
ทอดสมอรอลดปลดใบ | จอดไว้นอกด่านพาราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายกองสิทธิศักดิ์ยักษา |
เป็นใหญ่ในด่านชานชาลา | แลเห็นเภตราแต่ไกล |
สั่งให้ตีฆ้องร้องถาม | แล่นข้ามนาวามาแต่ไหน |
มีธุระประสงค์สิ่งใด | ผิดไพร่เคยค้านาวีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงตอบความตามที่ |
จะไปเมืองมิถิลาธานี | ลมตีป่วนปัดซัดมา |
พักพอลมอ่อนผ่อนลง | จะไปโดยจำนงปรารถมา |
นี่ฤๅคือเมืองอสุรา | เรามานี้มิใช่ไพรีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายกองด่านใหญ่ชัยศรี |
ลุกโลดโกรธนักดังอัคคี | อสุรีจึ่งร้องตอบไป |
เหวยเหวยมนุษย์เท่าแมงวัน | ไม่รู้จักกุมภัณฑ์ฤๅไฉน |
อาจหาญชาญชิตฤทธิไกร | มาได้ถึงแดนอสุรา |
สิ้นทั้งบ่าวนายหลายพัน | ชีวันจะเป็นภักษา |
ว่าพลางโลดโผนโจนมา | ฆาตกลองสัญญาทันทีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | หมู่มารทหารยักษี |
ยินเสียงฉลองชัยเภรี | ต่างออกจากที่ทันใด |
ผาดแผลงสำแดงเดชา | สองตาแดงดังสุริย์ใส |
ถืออาวุธสรรพฉับไว | มายังด่านใหญ่พร้อมกันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ขุนด่านนายหมวดกวดขัน |
แลเห็นพหลพลกุมภัณฑ์ | มาถึงพร้อมกันทั้งไพร่นาย |
จึ่งสั่งสองทหารชาญชัย | เร่งคุมไพร่ชวนกันผันผาย |
ไปกำกับเรือไว้อย่าให้คลาย | จะไปทูลเจ้านายในบุรีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายกองสิทธิศักดิ์ยักษี |
ฟังคำอำลาพาโยธี | เหาะรี่มายังเภตราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งล้อมพร้อมพรั่ง | คับคั่งแต่ล้วนยักษา |
ตัวนายประจำลำนาวา | เงื้อง่ากระบองคะนองใจฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | โยธีพี่เลี้ยงน้อยใหญ่ |
แลเห็นยักษาตาเป็นไฟ | จิตใจไม่เป็นสมประดี |
บ้างหลับตาคว้ากอดกันเป็นกลุ่ม | หาเสื่อหุ้มห่อตัวกลัวยักษี |
บ้างยกฟูกพับทับอินทรีย์ | บ้างหนีมุดไปใต้ท้องเรือ |
บ้างคิดถึงพวกพ้องร้องไห้โฮ | โอ้โอ๋ครั้งนี้ไม่มีเหลือ |
ไพร่นายตายยับราวกับเบือ | ทั้งเลือดเนื้อเป็นภักษ์ยักษ์มาร |
เซ็งแซ่แก่หนุ่มรุมกันร้อง | เสียงก้องเภตราน่าสงสาร |
วิ่งปะทะปะปนลนลาน | กึกก้องสะท้านทั้งเภตราฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมประโลมเลขา |
เนาในแท่นทองห้องไสยา | ได้ยินเสียงโศกาก็หลากใจ |
จึ่งชวนสี่พี่เลี้ยงเคียงกาย | ผันผายจากที่อาศัย |
แลเห็นพวกพลสกลไกร | เขาโห่ห้อมล้อมไว้มากมาย |
บ้างลงประจำลำเภตรา | กายาโตใหญ่น่าใจหาย |
พระโฉมยงองค์สั่นพรั่นกาย | ผันผายเข้าในที่ไสยา |
ทรงฤทธิ์ปิดบานทวารชัย | ยิ่งตระหนกตกใจหนักหนา |
กอดชงฆ์ทรงโศกโศกา | ดังว่าจะสิ้นสมประดีฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ โอ้ว่าอนิจจาตัวเรา | จะวอดวายตายเปล่าไม่พอที่ |
ไฉนจะได้ไปสู่บูรี | ครั้งนี้ถึงวันบรรลัย |
โอ้ว่าทรงฤทธิ์ปิตุเรศ | ชนนีเกิดเกศเป็นใหญ่ |
จะนับวันคอยลูกผูกใจ | คือใครจะแจ้งแห่งกิจจา |
แสนสงสารโฉมยงองค์มณี | ป่านนี้จะละห้อยคอยหา |
ครรภ์แก่เดือนทศมาสครา | แก้วตาจะเป็นประการใด |
ตัวตายไม่เสียดายดวงชีวิต | วิตกแต่มิ่งมิตรพิสมัย |
มิได้แจ้งแห่งเหตุเภทภัย | ดวงใจจะเศร้าแสนทวี |
คอยหายจะหมายว่าทิ้งขว้าง | จะคุมแค้นแสนระคางเคืองพี่ |
ซึ่งโฉมยงองค์ทัศมาลี | มั่งมีเห็นจะไม่เป็นไรนัก |
รํ่าพลางโศกาอาดูร | เพิ่มพูนวิตกเพียงอกหัก |
ชลเนตรโซมซาบลงอาบพักตร์ | ทรงศักดิ์ซบพักตร์โศกาฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ แล้วลั่นกลอนมิดปิดป้อง | ซ่อนอยู่ในห้องเลขา |
นอนนิ่งไม่ติงกายา | คลี่ผ้าปกหุ้มคลุมกายฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายด่านชื่นชมสมหมาย |
ยินเสียงพลไกรไพร่นาย | วุ่นวายไม่เป็นสมประดี |
เห็นอยู่ในอำนาจไม่คลาดแคล้ว | ผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
จึ่งร้องสั่งกุมภัณฑ์ทันที | เราจะจรลีไปทูลไท |
ท่านจงรวบรวมให้พร้อมกัน | อย่าให้มันหลบลี้หนีได้ |
สั่งพลางทางแผลงฤทธิไกร | เหาะลิ่วปลิวไปยังพาราฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไป | หมอบราบกราบไหว้ท้าวยักษา |
กราบทูลข้อความตามกิจจา | เภตราหลงเข้าอ่าวบุรี |
มากมายหลายร้อยลอยแล่น | เนืองแน่นในท้องนทีศรี |
ล้อมไว้กวดขันมั่นคงดี | พันปีจงทราบบทมาลย์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อสุราพาลราชอาจหาญ |
ชื่นชมโสมนัสเบิกบาน | ทรวงพระสรวลสะท้านพระโรงชัย |
บุญปากกูอยากมาหนักหนา | เสาะหาทั่วจบหาพบไม่ |
บัดนี้สมจิตที่คิดไว้ | จะไปก็จวนเวลา |
ขุนด่านชาญชัยจงไปก่อน | อย่าให้จรหลีกลี้หนีหน้า |
ตัวเราพรุ่งนี้จะลีลา | ไปกินเล่นเช่นปลาสาแก่ใจฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ขุนด่านหมอบราบกราบไหว้ |
รับคำอำลาคลาไคล | กลับไปยังด่านบุรีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งสั่งเหล่าทหาร | ว่ามีพระโองการท้าวยักษี |
ให้ล้อมเหล่ามนุษย์ในนาวี | พรุ่งนี้จะเสร็จเสด็จมาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | โยธีดีใจเป็นหนักหนา |
รับคำสำแดงเดชา | เหาะมาห้อมล้อมพร้อมกันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระนักสิทธ์ฤทธิรงค์รังสรรค์ |
เนาในศาลาอารัญ | ทรงธรรม์บำเพ็งเล็งญาณ |
แจ้งว่าผัวนางสัปดน | ทั้งโยธีรี้พลจะสังขาร |
พระตระหนกตกใจไขดาน | แล้วตรัสบอกเยาวมาลย์ทันที |
ผัวเจ้าเข้าไปในเมืองยักษ์ | จะเป็นภักษ์แก่หมู่ยักษี |
จงผันแปรแก้ไขให้ดี | สามีจึงจะปลอดรอดตายฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางแก้วอกสั่นขวัญหาย |
กราบพลางทูลความตามอุบาย | ข้าจะคิดผันผายตามไป |
พระองค์ได้ทรงพระเมตตา | เปลี่ยนแปลงกายาอย่าช้าได้ |
กรุงยักษ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ทิศใด | จะลาไปตามองค์ทรงธรรม์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังพาที | พระมุนีแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
แม้นจะไปไม่ถึงกึ่งวัน | รักกันจงรีบจรลี |
ตรัสพลางทางหยิบพร้าโต้ใหญ่ | ยื่นให้แก่นางโฉมศรี |
มีฤทธิ์หนักหนาพร้าเล่มนี้ | แม้นจะมีประสงค์สิ่งใด |
ฤๅจะเปลี่ยนแปลงกายา | ได้ดังจินดาพิสมัย |
เจ้าจงสวัสดีมีชัย | ชี้ทิศทางให้ดังจำนงฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางแก้วชื่นชมสมประสงค์ |
รับพร้ามาพลางทางกราบลง | ยื่นองค์ลูกให้ดังใจปอง |
ยกพร้าอาจารย์ขึ้นทูลเกล้า | ค่อยคลายความร้อนเร่าหม่นหมอง |
ชูพลางทางนึกตรึกตรอง | แปลงรูปนวลละอองทันใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ร่างกายกลายเป็นมาณพน้อย | แช่มช้อยโสภาจะหาไหน |
กราบบาทดาบสยศไกร | แล้วคลาไคลมายังนาวาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ชักสายยนต์ยาวสาวเหาะ | ร่อนเลาะไปในเวหา |
บ่ายพักตร์จำเพาะพารา | เร่งร้อนรีบมาในราตรี |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ พอรุ่งรางสร่างแสงสุริยัน | ผายผันถึงกรุงยักษี |
แลเห็นเภตราพระสามี | อสุรีรายล้อมพร้อมกัน |
เสียงคนร้องไห้ในเภตรา | ดังเสียงวาตาพิลึกลั่น |
เคืองแค้นแน่นใจดังไฟกัลป์ | จึ่งผายผันลงสู่นาวีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงซึ่งลำเภตรา | แลหาไม่เห็นพระโฉมศรี |
จึ่งร้องถามไปพลันทันที | ชวนกันโศกีด้วยอันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงผู้มีอัชฌาสัย |
ฟังความถามทักซักไซ้ | จึ่งผันแปรแลไปฉับพลัน |
เห็นมาณพน้อยกลอยจิต | คิดว่าเทวฤทธิ์รังสรรค์ |
นั่งลงเคารพอภิวันท์ | ชวนกันแถลงแจ้งกิจจา |
ข้าไซร้จะไปบุรีรมย์ | ต้องลมวุ่นวายหนักหนา |
ป่วนปัดซัดเซเภตรามา | อสุราล้อมไว้ดังใจจง |
วันนี้นัดว่าจะมากิน | สุดสิ้นเลือดเนื้อไม่เหลือหลง |
บุญสบพบพักตร์พระโฉมยง | โปรดจงช่วยชนม์ให้พ้นภัย |
ทูลพลางต่างแสนโศกา | ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล |
กราบแล้วกราบเล่าเฝ้าพิไร | นายไพร่หมอบราบกราบกรานฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพฟังว่าน่าสงสาร |
ผินพักตร์ซักถามตามอาการ | ใครเป็นเจ้านายท่านทั้งนี้ |
เร็วไวไปบอกให้ออกมา | พูดจาโดยการถ้วนถี่ |
จะช่วยมิให้ม้วยชีวี | เร่งเชิญเสด็จภูมีออกมาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงบังคมก้มเกศา |
รีบไปให้ทันบัญชา | เห็นปิดทวาราก็ร้องไป |
บัดนี้มีเทพเทวัญ | ขี่เรือสำปั้นเหาะได้ |
จะช่วยชนม์ให้พ้นโพยภัย | ภูวไนยจงเปิดทวาราฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองหมองพักตร์หนักหนา |
ฟังสี่พี่เลี้ยงทูลมา | มิได้เชื่อวาจาพาที |
ลุกลงจากเตียงเมียงมอง | แล้วร้องตอบความตามที่ |
ปดกันเปล่าเปล่าคนเหล่านี้ | จู้จี้พูดจาเป็นน่าชัง |
เทวัญชั้นฟ้ามาแต่ไหน | เอออะไรพูดจาเช่นบ้าหลัง |
ยักษ์ใช้ให้หลอกดอกกระมัง | วิ่งมานั่งอ้อยอิ่งวิงวอน |
ตายแต่ตัวเจ้าเราไม่เปิด | ชั่งเถิดแต่เราจะเข้าซ่อน |
ไปเสียให้พ้นคนปากบอน | อย่ามาค่อนเกาะแกะแคะไค้ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงตอบมาหาช้าไม่ |
อนิจจาบัญชาน่าน้อยใจ | มิใช่พวกพ้องของกุมภัณฑ์ |
เทวาให้มาเชิญเสด็จ | พระกลับเห็นเป็นเท็จเสกสรร |
เร็วไวไปเฝ้าท้าวเทวัญ | กุมภัณฑ์จะมาราวีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงองค์สั่นขวัญหนี |
ร้องตอบไปพลันทันที | เซ้าซี้เปล่าเปล่าไม่เข้ายา |
กลับไปเสียเถิดไม่เปิดรับ | กลัวยักษ์จักจับไปเข่นฆ่า |
ตายแต่ตัวเจ้าเหล่าโยธา | อย่ามาพาม้วยมอดวอดวายฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังตรัส | แค้นขัดเคืองหูไม่รู้หาย |
ต่างคนบ่นว่านินทานาย | กลัวตายจนเกินขนาดไป |
จำจะไปทูลเทวัญ | เชิญเสด็จผายผันให้จงได้ |
คิดพลางทางพากันคลาไคล | กลับไปทูลความตามกิจจา |
บัดนี้พระองค์ทรงศักดิ์ | ซ่อนตัวกลัวยักษ์เป็นหนักหนา |
ข้าทูลความตามอรรถสัจจา | ผ่านฟ้าไม่เชื่อวาที |
เชิญพระองค์ผู้ทรงฤทธิรอน | บทจรยังท้ายบาหลี |
ให้ประสบพบพักตร์พระจักรี | เหมือนประทานชีวีสืบไปฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพยิ้มแย้มแจ่มใส |
คิดสงสารผ่านฟ้ายาใจ | จำจะไปเฝ้าองค์ทรงธรรม์ |
คิดพลางทางลงจากสัดจอง | ย่องย่องจรลีขมีขมัน |
พระพี่เลี้ยงโดยด่วนชวนกัน | ทั้งสี่นายผายผันตามมาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดยืนอยู่ | โฉมตรูเยี่ยมมองร้องเรียกหา |
อยู่ไยในที่ศรีไสยา | จงออกมาจะช่วยอย่าตกใจฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์อกสั่นหวั่นไหว |
สะดุ้งวับกลับตื่นตกใจ | แล้วลุกไปแหวกช่องมองดู |
แลเห็นเป็นรูปมาณพน้อย | ถือพร้าโต้คอยขยับอยู่ |
ยักษ์แสร้งแปลงมาจะฆ่ากู | เห็นจะอยู่แล้วกระมังครั้งนี้ |
กรรมเอ๋ยกรรมกรรมทำอย่างไร | น้อยใจพี่เลี้ยงทั้งสี่ |
โง่เง่าหนักหนาน่าทุบตี | นำหน้าอสุรีมากินกัน |
คิดพลางย่างขึ้นบนแท่นทอง | กอดเข่าเศร้าหมองไม่มีขวัญ |
กลัวจะไม่พ้นภัยกุมภัณฑ์ | ทรงธรรม์คลานไพล่เข้าใต้เตียงฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพน้อยคอยตรับสดับเสียง |
นัยน์ตาลอดสอดดูหูเอียง | มองเมียงแฝงฝาอยู่ช้านาน |
จวนยักษ์จักมาไม่ช้าได้ | ยิ่งมีใจพะวงสงสาร |
ช่วยกันกึกกักผลักทวาร | ห้าคนอลหม่านเป็นสิงคลีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ลิ่มหักผลักเผยเข้าไปได้ | แลไปไม่เห็นพระโฉมศรี |
มองไปใต้แท่นรูจี | เทวีสรวลสันต์จำนรรจา |
น้องรักจักช่วยพระทรงธรรม์ | ให้พ้นภัยกุมภัณฑ์เข่นฆ่า |
อยู่ไยในที่ศรีไสยา | เชิญมาเร็วพลันทันใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังพาที | ภูมีค่อยทั้งสติได้ |
นิ่งนึกตรึกตรองแล้วร้องไป | ยักษ์ฤๅมิใช่ได้เมตตา |
จะออกไปไหว้กราบไม่หยาบคาย | กลัวนายจะทำโทษา |
พร้าโต้นั้นโตเต็มประดา | วางเสียก่อนข้าจึงจะไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังพาที | มาณพผู้มีอัชฌาสัย |
ยิ้มพลางวางพร้าแล้วว่าไป | เชิญเถิดมิใช่อสุรีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อนรินทร์พินทองหมองศรี |
หวาดหวั่นพรั่นตัวกลัวเต็มที | ภูมีจำใจไคลคลา |
แต่ขยับลับล่อรอรั้ง | ค่อยเคลื่อนคล้อยถอยหลังถอยหน้า |
พระพี่เลี้ยงทั้งสี่ปรีชา | อุตลุดฉุดคร่าพัลวันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ออกได้ใจคอยังท้อแท้ | เหลียวแลตะลึงพรึงพรั่น |
เห็นมาณพคำนับอภิวันท์ | ทรงธรรม์ค่อยคลายสบายใจ |
นั่งลงทรงลูบปฤษฎางค์ | สิ้นระคางพะวงสงสัย |
แก้วตาพ่อมาแต่แห่งไร | ดวงใจจงแจ้งแห่งคดีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังถาม | โฉมงามบังคมก้มเกศี |
ทูลว่าข้าศิษย์พระมุนี | วันนี้มาชมพารา |
เห็นหมู่ยักษาอาธรรม์ | ชวนกันเข้าล้อมพร้อมหน้า |
สงสารพงศ์ภุชสุดปัญญา | จะขอรับอาสาทรงชัยฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อนรินทร์พินทองค่อยผ่องใส |
ลูบหลังลูบหน้าแล้วว่าไป | ขอบใจน้องรักที่ภักดี |
เจ้าจะคิดบิดผันฉันใด | จะพ้นความบรรลัยเป็นผี |
ตรัสพลางทางทรงโศกี | กลัวว่าชีวีจะวางวายฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพทูลไปดังใจหมาย |
ข้าจะช่วยแก้ไขมิให้ตาย | อย่าเคืองขุ่นวุ่นวายวิญญา |
ว่าพลางทางเชิญพระโฉมยง | ไปยังจตุรงค์ซ้ายขวา |
กลัวมันทำไมเร่งไคลคลา | จูงหัตถ์ผ่านฟ้าคลาไคลฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงเห็นอสุรี | มาณพผู้มีอัชฌาสัย |
ร้องถามไปพลันทันใด | เหตุไรมาอยู่ในนาวีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายรองกองด่านชาญชัยศรี |
จึงร้องตอบไปพลันทันที | กูนี้เป็นข้าราชการ |
พระองค์ผู้ดำรงนัครา | กระเดื่องเดชศักดากล้าหาญ |
ใช้กูผู้มีปรีชาชาญ | คุมไพร่กองด่านทั้งห้าพัน |
มาล้อมเหล่านาวีนี้ไว้ | มิให้แล่นออกนอกเขตขัณฑ์ |
ครู่หนึ่งพระองค์พงศ์กุมภัณฑ์ | จะยกพวกพลขันธ์ออกมา |
เอ็งนี้มีนามกรใด | มาถามไถ่ไล่เลียงยักษา |
จะจับฟัดกัดเล่นเช่นปลา | ที่จะคงชีวานั้นอย่าคิดฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ได้ฟัง | มาณพแค้นคั่งเคืองจิต |
ตอบไปด้วยใจกำเริบฤทธิ์ | มิได้คิดประหวั่นพรั่นใจ |
เหวยเหวยกุมภัณฑ์อันธพาล | ไม่รู้จักพระกาลฤๅไฉน |
มาล้อมเหล่านาวีนี้ไว้ | ผิดชอบสิ่งใดเร่งว่ามา |
พี่น้องของเราล้วนเหล่ากอ | มิได้ไปฆ่าพ่อของยักษา |
จะจับฟัดกัดเล่นเช่นปลา | ดังว่าพวกนี้ใม่มีมือ |
อวดกล้ามาต่อฤทธิไกร | ให้เลื่องลือชื่อไว้เป็นไรหรือ |
โกฏิแสนแน่นไปก็ไม่ครือ | ดีหรือมาดูให้รู้กัน |
ว่าพลางชูพร้าอาจารย์ | นึกเอาบริวารศรพระขรรค์ |
พาชีมีเดชดังไฟกัลป์ | ก็บังเกิดมาพลันทันใดฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ จับศรทรงอลงกรณ์ | เข้ายืนเคียงอัสดรหาช้าไม่ |
แล้วสั่งรูปนิมิตฤทธิไกร | จงตั้งใจรักษานาวี |
กับพวกพลทั้งหลายนายไพร่ | อย่าให้เป็นภักษ์ยักษี |
สั่งพลางทางน้อมอินทรีย์ | อัญชุลีทูลองค์ทรงธรรม์ |
พระองค์จงอยู่ในเภตรา | อย่าได้กลัวชีวาอาสัญ |
น้องรักจักรบกุมภัณฑ์ | อย่าคะนึงพรึงพรั่นวิญญาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระหน่อนาถสุริย์วงศ์พงศา |
ความกลัวตัวสั่นดังตีปลา | สวมกอดอนุชาไว้แนบกาย |
น้องรักจักพรากจากพี่ | อสุรีจะริบฉิบหาย |
ใครจะช่วยชีวีพี่ชาย | เป็นตายจะตามเจ้าทรามวัย |
ว่าพลางทางทรงโศกา | ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล |
สวมสอดกอดองค์พระน้องไว้ | พระครวญคร่ำร่ำไรโศกาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพสรวลสันต์รำพันว่า |
น้องรักจักขี่อาชา | เหาะเหินเดินฟ้าด้วยฤทธี |
แม้นพระองค์ทรงนามตามไป | จะเป็นห่วงบ่วงใยไม่พอที่ |
จงอยู่ในเภตรานาวี | ครู่หนึ่งน้องนี้จะกลับมาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังห้าม | พระโฉมงามโศกศัลย์รำพันว่า |
พ่อผู้เพื่อนชีวีพี่ยา | จงเมตตาอย่าสลัดตัดรอน |
ไปไหนจะไปด้วยน้องแก้ว | ไม่อยู่แล้วร้อยชั่งอย่าสั่งสอน |
ตรัสพลางทางกอดกุมกร | วิงวอนร่ำว่าพาทีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพยิ้มแย้มแจ่มศรี |
จึงอุ้มองค์ทรงธรรม์พันปี | ขึ้นทรงพาชีฉับพลัน |
ขึ้นนั่งหน้านรินทร์พินทอง | พระกรสองสวมสอดกอดมั่น |
ร่อนเลาะเหาะมาหน้ากุมภัณฑ์ | ผัดผันเล่นล่อรอราฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายรองกองด่านหาญกล้า |
ผาดแผลงสำแดงเดชา | เข้าโถมถาประชิดติดพัน |
โจมจับสัประยุทธชิงชัย | เคล่าคล่องว่องไวดังจักรผัน |
แกว่งคทาถาโถมโรมรัน | เสียงสนั่นทั่วท้องโพยมมานฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพฤทธิไกรใจหาญ |
กลอกกลับรับรันประจัญบาน | แกว่งศรรอนราญอสุรี |
ผกผันหันเหียนเวียนวง | คอยระวังทั้งองค์พระโฉมศรี |
ฟันฝ่ายนายกองอสุรี | ตกกลางธรณีบรรลัยฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายด่านครั้นแจ้งแถลงไข |
โกรธาตาแดงดังแสงไฟ | ต้อนไพร่เข้ากลุ้มรุมรันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพฤทธิแรงแข็งขัน |
ขับม้ารารับจับประจัญ | ฟาดฟันพลตายกระจายไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กุมภกาศขุนมารด่านใหญ่ |
มุ่งเขม้นเห็นหมู่พลไกร | บรรลัยยับย่นไม่ทนทาน |
โลดโผนโจนจับสัประยุทธ์ | ไม่กลัวความม้วยมุดสังขาร |
สองหัตถ์กวัดแกว่งคทาธาร | เข้าตีต้อนรอนราญราวีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองมองเห็นยักษี |
ตัวสั่นขวัญบินน้อมอินทรีย์ | โศกีสารภาพกราบกราน |
ร้องขอโทษตัวกลัวแล้วพ่อ | อย่าหักคอให้สิ้นสังขาร |
จะกินใครไม่ขัดทัดทาน | ได้ยกโทษโปรดปรานปรานีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพนึกแค้นแสนบัดสี |
ควรจะชิงชัยกับไพรี | อัญชุลีอสุราว่าไร |
เป็นชายไม่อายอดสู | มาไหว้กราบศัตรูก็เป็นได้ |
พูดกันไม่เชื่อน่าเบื่อใจ | นานไปจะขว้างเสียกลางคัน |
น้องนี้ไม่มีชีวิตฤๅ | จึงด้านดื้อรบสู้คู่ขัน |
อย่าวอนวิงจะกลิ้งลงกลางคัน | จงกอดไว้ให้มั่นเถิดภูมี |
ว่าพลางทางขับมโนมัย | เข้ารุกไล่สัประยุทธ์ยักษี |
ฟาดฟันบั่นเศียรอสุรี | ตกกลางปัถพีบรรลัยลาญฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ แล้วชักพาชีลีลา | ลงยังโยธาทวยหาญ |
พักร้อนผ่อนพอสำราญ | คอยเจ้ากรุงมารชาญชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อสุรีเหลือตายนายไพร่ |
บ้างหลีกลี้หนีตัวกลัวภัย | บ้างไปทูลท้าวเจ้าพาราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งผ่อนร่อนลง | เห็นเตรียมหมู่จตุรงค์พร้อมหน้า |
ขุนยักษ์ศักดิ์สิทธิ์ฤทธา | ลีลาเข้าเฝ้าเจ้าธานีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ หมอบลงตรงพักตร์แล้วกราบทูล | พนาสูรทรงศักดิ์ยักษี |
บัดนี้เสียด่านชาญบุรี | ด้วยมนุษย์หนึ่งมีมาแต่ไกล |
รูปทรงองอาจโอ่โถง | ดูดังเจ้านายโรงฝึกใหม่ |
ล้างสองกองด่านชาญชัย | ทั้งพวกไพร่วอดวายหลายพันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังทูล | พนาสูรเคืองขุ่นหุนหัน |
เขี้ยวงอกออกขาวยาวครัน | ดุดันตาแดงแกว่งศาสตรา |
ดูดู๋กูล้อมมนุษย์ไว้ | มารุกราชอาจใจหนักหนา |
ไว้ตัวไม่กลัวศักดา | เข่นฆ่าผู้คนจนป่นไป |
เทวามนุษย์ฤๅครุฑนาค | มาล่อปากยักษ์เล่นก็เป็นได้ |
เหวยเหวยเสนาช้าอยู่ไย | กูจะไปต่อสู้ดูดีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อำมาตย์รับสั่งใส่เกศี |
ก้มเกล้ากราบงามสามที | มาจัดพลตามมีบัญชาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวพาลราชยักษา |
พรั่งพร้อมพหลโยธา | จึงลีลามาสรงสาครฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
โทน
๏ ไขพุ่มประทุมท่อธาร | หอมหวานกลั้วกลิ่นเกสร |
สุคนธาทิพย์ประทิ่นกลิ่นขจร | สนับเพลาเชิงงอนอำไพ |
ภูษิตพื้นแดงแย่งครุฑเครือ | กระหนกเฝือเด่นดวงม่วงไหม |
ฉลององค์เจียระบาดตาดอุไร | เกราะนวมสวมใส่กระสันทรวง |
คาดปั้นเหน่งเปล่งเม็ดเพชรพราว | เขียวขาวพวยพุ่งรุ้งร่วง |
ตาบทิศกุดั่นเด่นดวง | ทับทรวงกุดั่นบรรจง |
ทองกรพาหุรัดตรัสเตร็จ | ธำมรงค์พื้นเพชรงามระหง |
แล้วสอดสวมมงกุฎภุชงค์ | หัตถ์ทรงมหาคทาธารฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ครั้นเสร็จเสด็จยุรยาตร | องอาจเหิมศึกฮึกหาญ |
สั่งฝูงสาวศรีบริวาร | บทมาลย์ยังเกยรูจีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ทรงนั่งเหนือหลังคเชนทร | พรั่งพร้อมนิกรยักษี |
ไล้ฤกษ์เลิกโห่สามที | เคลื่อนคลี่โยธาคลาไคลฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงเห็นนาวี | ยักษีเสียดายนํ้าลายไหล |
จึงพักพวกพหลพลไกร | ปักธงลงไว้ดังจินดาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองสุริย์วงศ์พงศา |
มุ่งเขม้นเห็นยักษ์หนักมา | วิญญาไม่เป็นสมประดี |
สวมสอดกอดน้องแล้วร้องไห้ | ยักษ์ใหญ่มาแล้วนะแก้วพี่ |
จะผันแปรแก้ไขฉันใดดี | พี่นี้ขัดสนพ้นปัญญาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพอภิวันท์รำพันว่า |
กลัวไยกับอ้ายอสุรา | เหมือนแมงเม่าเข้ามาในเพลิงกาล |
ว่าพลางทางชวนพระโฉมยง | แล้วขึ้นทรงอาชากล้าหาญ |
เหาะเหินเดินโดยโพยมมาน | ร่อนลงตรงด่านทันใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เข้ายืนตรงหน้าท้าวกุมภัณฑ์ | ไม่คะนึงพรึงพรั่นหวั่นไหว |
จึงร้องถามไปพลันทันใด | มาไยหนักหนานึกน่ากลัว |
รูปร่างโตใหญ่ทั้งไพร่นาย | กลัวตายขนพองสยองหัว |
คิดจะเข้าเกลี้ยกล่อมยอมตัว | ก็นึกกลัวจะฟัดกัดกินฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระยายักษ์โกรธาบ้าบิ่น |
น้อยฤๅค่อนว่าเป็นราคิน | เล่นลิ้นล่อยักษ์ออกศักดา |
เอ็งฤๅคนดีมีฝีมือ | ด้านดื้อเหิมฮึกศึกอาสา |
จะเคี้ยวเล่นเช่นหมูปูปลา | จงเร่งมารบสู้ดูดี |
รูปร่างจิ๋วหลิวเท่านิ้วก้อย | จะมาพลอยเป็นภักษ์ยักษี |
เหวยเหวยอำมาตย์มนตรี | เร่งจับอ้ายไพรีมัดมาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | หมู่มารทหารซ้ายขวา |
คำนับรับสั่งอสุรา | แผลงอิทธิ์ฤทธาเข้าราญรอนฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพน้อยคอยแกว่งแสงศร |
รับรองป้องกันฟันฟอน | ม้วยมรณ์วินาศขาดไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระยายักษ์โกรธเหลือจนเหงื่อไหล |
เห็นพวกพลกุมภัณฑ์นั้นบรรลัย | ผาดแผลงฤทธิไกรเป็นโกลา |
โลดโผนโจนจับสัประยุทธ์ | ด้วยกำลังฤทธิรุทรแกล้วกล้า |
ลั่นเลื่อนสะเทือนพสุธา | เงื้อง่าตะบองจ้องตีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพหลบเลี่ยงเบี่ยงหนี |
ผัดผันหันล่อรอรี | ต่อตีประจญประจัญบาน |
แกว่งศรรอนรันฟันฟาด | ด้วยอำนาจเดชากล้าหาญ |
ตัดกรซ้ายขวาพญามาร | ตกพื้นสุธาธารทันใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระยายักษ์ไม่พรั่นหวั่นไหว |
ดำรงกายร่ายเวททันใด | กรติดสนิทได้ดังจินดาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ผาดแผลงสำแดงฤทธิรงค์ | เหาะตรงขึ้นไปในเวหา |
โลดโผนโจนจับอาชา | สองตาแดงดังอัคคีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อาชากล้าหาญชาญชัยศรี |
เผ่นผกหกหันผันอินทรีย์ | ชกกัดอสุรีพัลวัน |
หันเหียนเวียนวนคำรนร้อง | เคล่าคล่องเร็วแรงแข็งขัน |
หางฟัดปากกัดกุมภัณฑ์ | เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นเป็นโกลาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพเหนื่อยพักหนักหนา |
จึ่งก่งศรพาดสายหมายตา | มิช้าก็ผาดแผลงไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ศรทรงต้ององค์อสุรินทร์ | ตกต้องปัถพินหวั่นไหว |
แล้วขว้างพร้าอาจารย์ชาญชัย | ตัดเศียรยักษ์ใหญ่ทันทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | โยธาบรรดายักษี |
แลเห็นเจ้านายวายชีวี | อสุรีกลัวกราบราบไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพชื่นแช่มแจ่มใส |
จึงรีบชักมิ่งม้าคลาไคล | ลงไปยังด่านชานชาลาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงทูลพระภูมี | อสุรีสุดสิ้นสังขาร์ |
พระองค์จงลืมนัยนา | ดูศพอสุราที่บรรลัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมประโลมพิสมัย |
ได้ฟังยังแหนงแคลงใจ | ยังสวมสอดกอดไว้ไม่วางกร |
เนตรหลับขยับขยิกกอด | แอบหลังนั่งทอดฤทัยถอน |
ต่อมาณพรบเร้าเฝ้าวอน | ภูธรจึงลืมนัยนา |
เห็นศพราพณ์ร้ายก่ายกัน | คิดคะนึงพรึงพรั่นหนักหนา |
จะเผ่นโผนโจนจากอาชา | ก็อายมาณพน้อยกลอยใจ |
จึงถามว่ามาไยที่นี้ | อสุรียังอยู่ดูไม่ได้ |
เมตตาจงพาพี่ไป | ส่งในนาวีพี่ชายฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังบัญชา | นึกน่าอดสูไม่รู้หาย |
ยิ้มพลางทางทูลบรรยาย | ช่างกลัวตายยิ่งกว่านารี |
กุมภัณฑ์บรรลัยได้บ้านเมือง | จะฟุ้งเฟื่องงามพักตร์ศักดิ์ศรี |
ยังแต่บ่าวไพร่ใช่ไพรี | ภูมีจงทราบพระบาทา |
ทูลพลางทางสั่งพวกกุมกัณฑ์ | เร่งเกณฑ์กันพร้อมพรั่งหลังหน้า |
เราจะไปในกรุงอสุรา | กับทั้งพระเชษฐาชาญชัย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กุมภัณฑ์กราบก้มประนมไหว้ |
ลนลานคลานคล้อยถอยไป | มาเกณฑ์พลไกรพร้อมกันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
เชิญเสด็จพระองค์ทรงธรรม์ | ผายผันเข้าสู่บูรีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงพักพลไกร | ประทับกับเกยชัยเฉลิมศรี |
ทั้งสององค์ลงจากพาชี | เข้าพระโรงรูจีทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์ชัชวาล | พร้อมข้าราชการน้อยใหญ่ |
หมอบเมียงเคียงกันเป็นหลั่นไป | ไม่มีใครกังขาราคีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์มิ่งมเหสี |
แจ้งว่าอสุราสามี | พ่ายแพ้ฤทธีบรรลัย |
โฉมยงทรงโศกโศกา | ปิ้มประหนึ่งชีวาจะตักษัย |
กอดสองพระธิดายาใจ | ทรามวัยโศกาจาบัลย์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ แล้วเอื้อนอรรถตรัสปลอบบุตรี | บัดนี้บิดาก็อาสัญ |
ทั้งสองกษัตริย์ทรงธรรม์ | ผายผันมาอยู่พระโรงชัย |
จำจะฝากกายถวายตัว | เกรงกลัวพระอาญาไม่ฆ่าได้ |
ว่าพลางทางชวนนางกำนัลใน | นำสองทรามวัยลีลามาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงคลานเข้าไป | บังคมไทธิราชนาถา |
หมอบเรียงเคียงคอยบัญชา | ก้มหน้านิ่งอยู่ไม่ดูไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพผู้มีอัชฌาสัย |
จึงทูลพระโฉมยงทรงชัย | ซึ่งในเขตแดนอสุรา |
น้องเป็นชาวดงพงไพร | มิได้มุ่งมาดปรารถนา |
เสร็จสรรพจะกลับพนาวา | ขอถวายผ่านฟ้าทุกประการ |
ตัวข้าจะลาไปแดนดง | โดยจิตจำนงเกษมสานต์ |
จึงตรัสกับนางกษัตริย์จัดการ | โดยแบบบุราณสืบมาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองฟังน้องเสน่หา |
จึงไถ่ถามตามจิตกิจจา | นางพระยาอย่าร้อนฤทัย |
เราไม่คิดฉันทาพยาบาท | อย่าหวั่นหวาดพะวงสงสัย |
จะพักพอสบายคลายใจ | จะลาไปมิถิลาธานีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางสร้อยสุมณฑามารศรี |
น้อมกายถวายอัญชุลี | เทวีจึงทูลทรงธรรม์ |
ข้าน้อยตกต่ำกำพร้า | พระสามีชีวาอาสัญ |
ขอถวายพระธิดาวิลาวัณย์ | ทั้งเขตขัณฑ์นิเวศเวียงชัย |
พระองค์จงทรงพระเมตตา | ประทานศพยักษาที่ตักษัย |
ทำผิดชีวิตจึงบรรลัย | เผาเสียอย่าให้เวทนาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองสุริย์วงศ์พงศา |
ฟังคำชำเลืองนัยนา | ดูสองพระธิดานารี |
ทรวดทรงโสภาน่ารัก | ผิวพักตร์ผุดผ่องทั้งสองศรี |
พระแย้มยิ้มพริ้มพักตร์พาที | ลูกเมียเรามีมากมาย |
มาตรแม้นโฉมยงจงจิต | จะใคร่คิดเป็นเนื้อเชื้อสาย |
จะขอบุตรีสองให้น้องชาย | ให้สืบสายสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ |
ซึ่งซากศพอสุราสามี | เรานี้ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ |
เผาเสียวันนี้จะดีครัน | จะได้คิดผ่อนผันสืบไป |
ตรัสพลางทางชวนอนุชา | ทั้งเสนานับร้อยน้อยใหญ่ |
สามนางทางตามเสด็จไป | นางในพรั่งพร้อมล้อมลีลาฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ห้าองค์ทรงรถเรียงรัน | พลขันธ์แห่แหนแน่นหนา |
ออกจากวังในไคลคลา | บ่ายหน้าสู่ด่านชานบุรีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงพักพลไกร | ตรงหน้าด่านใหญ่ชัยศรี |
นางกษัตริย์ตรัสชวนบุตรี | มายังศพสามีทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ แลเห็นศพอสุรินทร์ | กลิ้งกลางดินดอนตักษัย |
สามนางต่างทรงโศกาลัย | วิ่งไปสวมกอดทอดกายาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว | ทิ้งลูกเมียเสียแล้วทั้งวงศา |
มาสิ้นบุญสูญร่างกลางสุธา | ยิ่งกว่าคนผู้ทั้งบุรี |
เสียแรงเรืองฤทธาสามารถ | องอาจดังไกรสรสีห์ |
ควรฤๅมาเป็นเช่นนี้ | เทวีร่ำพลางทางโศกาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นค่อยคลายโศกศัลย์รันทด | จึงกราบเบื้องบงกชยักษา |
สามนางต่างง้อขอสมา | โศกาไม่เป็นสมประดี |
ทั้งหมู่แสนสาวชาวใน | ร้องไห้กราบศพท้าวยักษี |
ญาติวงศ์พงศาเสนี | โศกีอื้ออึงคะนึงไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพผู้มีอัชฌาสัย |
กรก่งศรสิทธิ์ฤทธิไกร | แล้วน้าวสายแผลงไปฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บังเกิดขึ้นเป็นพระเมรุทอง | แสงประเทืองเรืองรองเฉิดฉัน |
จึงสั่งให้ยกศพท้าวกุมภัณฑ์ | วางเหนือเมรุสุวรรณทันทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์พระมเหสี |
จึงชวนสองธิดานารี | เสนีสาวสรรกำนัลใน |
ต่างจุดธูปเทียนชวาลา | ถวายเพลิงอสุราแล้วร่ำไห้ |
แซ่เสียงโศกาอาลัย | ทั่วในบริเวณเมรุทองฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงทรงศรีไม่มีสอง |
ชวนมาณพน้อยนวลละออง | แผลงศรไปต้องศพมารฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ศรชัยเป็นไฟลามลน | ไหม้ศพกุมภัณฑ์ที่สังขาร |
รุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาล | ไหม้ศพขุนมารเป็นจุณไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สามนางต่างทรงกันแสงไห้ |
เก็บธาตุพระยามารชาญชัย | ใส่ในโกศสุวรรณบรรจง |
แล้วทูลพระพี่น้องสองรา | เชิญเข้าพาราดังประสงค์ |
ทั้งธิดาข้าพเจ้าเผ่าพงศ์ | ขอเป็นทาสบาทบงสุ์ทรงธรรม์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพดุษฎีขมีขมัน |
ตัวข้าจะลาจรจรัล | ทรงธรรมจงสุขสถาพร |
ถิ่นฐานบ้านเมืองอสุรา | ถวายพระผ่านฟ้าทรงศร |
มาช่วยชนม์พอพ้นม้วยมรณ์ | เสร็จแล้วจะจรเข้าพงพีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อนรินทร์พินทองผ่องศรี |
ฟังองค์อนุชาพาที | ภูมีสวมสอดกอดไว้ |
ตรัสว่าแก้วตาจะลาจร | จะมีความอาวรณ์ก็หาไม่ |
รักเจ้าเท่าดวงฤทัย | จะชวนไปธานีพี่ยาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังตรัส | ชุลีหัตถ์ทูลเหตุเชษฐา |
น้องนี้มีกิจด้วยสิทธา | อยู่ช้าจะโกรธติโทษทัณฑ์ |
ไปแล้วน้องแก้วไม่อยู่ช้า | จะตามไปมิถิลาเขตขัณฑ์ |
ครั้งนี้ปล่อยให้ไปอารัญ | สิบห้าวันจะติดตามไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังน้องรัก | ทรงศักดิ์ทอดถอนใจใหญ่ |
จึงมีพระบัญชาด้วยอาลัย | สายใจพ่อจะจรลี |
จงนำสองธิดายาจิต | ไปเป็นมิ่งมิตรจำเริญศรี |
อย่าขืนขัดตัดอาลัยไมตรี | ควรแล้วแก้วพี่จะครองกันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองว่องไวใจหาญ |
ว่ากับนางพระยาไม่ช้านาน | อย่ารำคาญขุ่นข้องหมองใจ |
จะขอสองพระธิดานารี | เทวีจะว่าเป็นไฉน |
เมียของเรานี้มีถมไป | ขอให้กับพระอนุชาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางกษัตริย์บังคมก้มหน้า |
สุดจิตสุดจนพ้นปัญญา | ตรึกตราแล้วทูลทันที |
เป็นสุดแล้วแต่องค์พระทรงฤทธิ์ | จะทรงคิดโปรดเกล้าเกศี |
ข้าเป็นเกือกทองรองธุลี | ทั้งนี้ไม่ขัดบัญชาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองสุริยวงศ์พงศา |
ฟังนางสนองต้องวิญญา | จึงตรัสกับอนุชาชาญชัย |
แก้วตาจงพาพระบุตรี | ไปเพื่อนองค์พงพีตามวิสัย |
เจ้าจงสวัสดีมีชัย | อย่าได้มีเหตุเภทพาลฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพคำนับรับบรรหาร |
แล้ววันทาลาองค์นางมาร | ทำอาการแย้มพรายชายตาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระบุตรีพี่น้องเสน่หา |
ต่างองค์ทรงโศกโศกา | กราบกับบาทาชนนี |
ครั้นจะถ่วงหน่วงหนักชักช้า | ก็คิดเกรงอาญาพระโฉมศรี |
แข็งขืนฝืนใจจรลี | มิทันได้พาทีประการใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงลงในสัดจอง | ทั้งพี่น้องครวญคร่ำร่ำไห้ |
มาณพชักยนต์ลิ่วปลิวไป | พระพินทองกลับเข้าในพาราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงศาลาอาศรม | พระโคดมทรงญาณฌานกล้า |
ร่อนลงตรงพื้นพสุธา | นำสองกัลยาเข้ากุฎีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงกราบลงกับบาท | อัยกาธิราชฤๅษี |
ทูลความตามจริงทุกสิ่งมี | แล้วกลายเป็นนารีฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ กอดกุมอุ้มองค์พระลูกรัก | โลมลูบจูบพักตร์เกษมสันต์ |
ให้เสวยนมนางพลางรำพัน | รับขวัญกล่อมให้ไสยาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ขวัญอ่อนนอนเถิดจะกล่อมเจ้า | ขวัญช้าวอย่าทรงกันแสงหา |
ป่านนี้องค์ทรงฤทธิ์บิดา | ครองกรุงอสุราสำราญใจ |
ขวัญแก้วแววตายาจิต | จงสถิตอู่ทองผ่องใส |
อย่าเที่ยวชมพนมพนาลัย | ดวงใจจงสุขสวัสดีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นโอรสระงับหลับแล้ว | ผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ชวนสองธิดานารี | ราตรีระงับหลับไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นรุ่งรางสร่างแสงสุริยง | โสรจสรงลูกรักให้ผ่องใส |
จึงหยิบรูปหน้าม้ามาบัดใจ | แล้วโฉมยงทรงใส่กายาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ กลายเป็นนางแก้วสัปดน | วิปริตผิดคนหนักหนา |
แล้วว่ากับพี่น้องสองธิดา | นี่แลคือว่าเป็นเจ้านาย |
พบปะที่ไหนไม่คำนับ | จะเสี่ยงสับรื้อริบให้ฉิบหาย |
ผ่าอกสาวไส้เสียให้ตาย | วางวายชีวิตเหมือนบิดาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางประนมก้มเกศา |
กราบแล้วกราบเล่าเฝ้าวันทา | วิญญาไม่เป็นสมประดีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วยิ้มแย้มแจ่มศรี |
แล้วอุ้มองค์โอรสธิบดี | เข้าไปอัญชุลีพระอาจารย์ |
ทูลว่าตัวข้าจะไปส่ง | สองนางโฉมยงยังสถาน |
ขอฝากลูกยาไม่ช้านาน | บ่ายสนธยากาลจะกลับมาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระมหาดาบสพรตกล้า |
รับเอาพระกุมารหลานยา | พระสิทธาถวิลยินดีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางแก้วปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
จึงถอดรูปเสียพลันทันที | เลยจำแลงอินทรีย์ทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ กลายเป็นมาณพแน่งน้อย | ทรงสร้อยโสภาจะหาไหน |
ชวนสองพระธิดายาใจ | ขึ้นเรือน้อยลอยไปยังพาราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครู่หนึ่งถึงกรุงอสุรี | จึงสั่งสองบุตรีเสน่หา |
สิ่งใดอย่าได้พูดจา | ชีวาจะม้วยวายชนม์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางต่างแจ้งอนุสนธิ์ |
กราบพลางทูลความตามยุบล | ข้าทั้งสองคนไม่แพร่งพราย |
เบื้องหน้าถ้าแม้นไม่เหมือนคำ | จึงค่อยทำโทษริบให้ฉิบหาย |
จะขอพึ่งบุญญากว่าจะตาย | พระโฉมฉายอย่าพะวงสงกาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพสรวลสันต์หรรษา |
จึงย่นวนแวะนาวา | ลีลาสู่ท้องพระโรงธารฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงชวนสองนารี | ลงจากนาวีเกษมสานต์ |
กรายกรย่างเยื้องบทมาลย์ | เข้าปราสาทสุริย์กาญจน์ทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อนรินทร์พินทองผ่องใส |
แลเห็นอนุชามาแต่ไกล | พระวิ่งไปต้อนรับฉับพลัน |
จูงกรมาณพนวลละออง | มานั่งบนแท่นทองเฉิดฉัน |
จึงถามว่าพาสองแจ่มจันทร์ | ไปแล้วผายผันมาไยฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพนบนิ้วสนองไข |
สองนางต่างทรงโศกาลัย | ไม่สมัครรักใคร่น้องนี้ |
ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ | สุดรู้ที่จะโลมโฉมศรี |
คืนถวายทรงธรรม์พันปี | น้องนี้จะลาไปอารัญฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังเอยฟังน้องรัก | ทรงศักดิ์สำรวลสรวลสันต์ |
จึงตรัสว่าหนุ่มสาวคราวกัน | ไม่ผูกพันพูดจาว่าวอน |
เช่นนี้จะมีที่ไหนได้ | ไม่เอาใจนารีฟังพี่สอน |
เมื่อไม่รักจักส่งองค์บังอร | ขวัญอ่อนจะรักสิ่งอันใด |
จงเลือกตามประสงค์จงจิต | เว้นแต่ดวงชีวิตปลิดไม่ได้ |
นอกนั้นไม่ขัดตัดอาลัย | จะตามใจน้องแก้วแววตาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | มาณพยิ้มพลางทางว่า |
น้องไซ้มิใช่เจตนา | ปรารถนาเข้าของสิ่งใด |
สารพัดทรัพย์สินจินดา | แม้นไม่ม้วยมรณาหาได้ |
จะขอทำไมตรีพระพี่ไว้ | สืบไปจนตายวายปราณ |
จะรับเอาเข้าของไม่ต้องที่ | ไมตรีจะห่างทางสมาน |
ไปเบื้องหน้าถ้าน้องจะต้องการ | จึงจะมารับพระทานภูมีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อนรินทร์พินทองผ่องศรี |
ยิ้มพลางทางตอบวาที | พี่นี้รักเจ้าเท่าชีวา |
จะชวนน้องไปครองพระนิเวศ | ได้ต่างเนตรพี่ชายทั้งซ้ายขวา |
คุณเจ้าเท่าพื้นแผ่นพสุธา | จะรักร่วมชีวาจนวันตายฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังบัญชา | วันทาทูลไปดังใจหมาย |
ซึ่งรักน้องปองเลี้ยงเคียงกาย | คงสมหมายสักวันมั่นคง |
กลัวแต่นานไปจะไม่รัก | ด้วยต่ำศักดิ์เหมือนกาฝ่าฝูงหงส์ |
ว่ารักดังชีวิตจิตจง | ข้อนี้อย่าหลงลืมสัญญา |
เชิญเสด็จภูวไนยไปก่อน | แล้วน้องรักจักจรไปหา |
ครั้งนี้จำใจครรไลลา | ผ่านฟ้าจงอยู่สวัสดี |
ว่าพลางทางก้มกราบกราน | แทบเบื้องบทมาลย์พระโฉมศรี |
ลงจากแท่นรัตน์รูจี | จรลีมายังสัดจองฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ชักสายยนต์น้อยลอยเลื่อน | คล้อยเคลื่อนเหาะหันผันผยอง |
ทักษิณครบสามตามทำนอง | ลอยล่องดั้นกลีบเมฆาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงกุฎีที่อาศัย | อโณทัยบ่ายบังพฤกษา |
โฉมยงลงจากนาวา | ลีลาเข้าเฝ้าพระมุนีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงก้มกราบกราน | องค์พระอาจารย์ชาญชัยศรี |
แปลงกายกลายเพศเป็นนารี | สวมรูปหน้าพาชีฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ กราบลงตรงพักตร์พระสิทธา | หลานรักจักลาไปเขตขัณฑ์ |
พรุ่งนี้แต่รุ่งสุริยัน | ทรงธรรม์จงอยู่สถาพรฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระนักสิทธ์กล่าวความตามนุสรณ์ |
ผัวเจ้าเขาจะคืนนคร | รีบจรไปให้ถึงจึงจะดี |
โอนอ่อนผ่อนผันกันเถิดหวา | อย่ารักรูปหน้าม้าบัดสี |
ให้ลูกน้อยพลอยยันอัปรีย์ | คนดีทำบ้ากูน่าชัง |
ตรัสพลางทางส่งโอรส | แล้วดาบสอวยพรสอนสั่ง |
ลูกรักเติบใหญ่อย่าไว้วัง | กูจะสั่งสอนให้คงได้ดีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วประณตบทศรี |
รับพรพระคุณมุนี | มายังกุฎีที่นอน |
ผูกเปลเห่กล่อมพระลูกแก้ว | หลับแล้วมีจิตสโมสร |
ลีลาสู่ท่าชโลทร | หาบคอนนํ้าท่าให้อาจารย์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ จัดสรรสรรพเสร็จสำเร็จแล้ว | ผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
กอดกุมอุ้มองค์พระกุมาร | นงคราญระงับหลับไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ใกล้รุ่งสุริยาการ้อง | แสงทองไตรตรัสจำรัสไข |
จึงวันทาอาจารย์ชาญชัย | ทรามวัยอุ้มองค์พระลูกยา |
จูบกระหม่อมจอมเกล้าเมาลี | รีบออกจากที่ด้วยหรรษา |
นั่งลงตรงกลางนาวา | ชักสายยนต์พาปลิวไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เบี่ยงบ่ายชายแสงทินกร | ลุถึงพระนครหาช้าไม่ |
ร่อนลงตรงนอกพระเวียงชัย | ซ่อนนาวาไว้ให้ลับตา |
โอบอุ้มโอรสยศยง | เล่นองค์ไม่น้อยเดินลอยหน้า |
เข้าในบุรีด้วยปรีดา | ตรงมานิเวศบวรฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงวังในดังใจจง | ขึ้นปราสาทมาตุรงค์ทรงศร |
อุ้มองค์โอรสบทจร | ขึ้นเฝ้าพระมารดรทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงก้มกราบกราน | วางองค์พระกุมารไว้ให้ |
ยอกรวันทาแล้วคลาไคล | ออกไปเที่ยวเล่นเช่นเดิมมาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ชาววังนั่งเล่นพอเห็นหน้า |
ถามอึงมึงไปข้างไหนมา | กูคิดว่าม้วยมอดวอดวายฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วตอบไปดังใจหมาย |
กูไปทำลูกไว้ให้เจ้านาย | พูดพลางยิ้มพรายไปมาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สาวสาวชาววังฟังว่า |
ต่างคนสรวลสันต์จำนรรจา | ลูกยาอยู่ไหนไม่เห็นมี |
หาคล่องจริงจริงหญิงฤๅชาย | ง่ายดายนักหนาเจียวฟ้าผี่ |
พ่อมันอยู่ไหนไม่เห็นมี | ไพร่ฤๅผู้ดีประการใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วตอบมาหาช้าไม่ |
รูปร่างช่างงามทรามวัย | กลัวจะหามาไม่เหมือนเรา |
พ่อมันไม่รู้ดูแต่ลูก | จะบอกให้ไม่ถูกเสียแล้วเจ้า |
กลัวไปจะไม่เหมือนเช่นเรา | คนอย่างหน้าเจ้าอย่าเจรจา |
พูดพลางลดเลี้ยวเที่ยวเล่น | โลดเต้นอื้ออึงประหนึ่งบ้า |
ทิ้งลูกจนค่ำไม่นำพา | วิ่งไปวิ่งมาเป็นสิงคลีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวมงคลราชเรืองศรี |
ทั้งนางนันทานารี | จิตใจไม่มีปรีดา |
แลเห็นนางแก้วสัปดน | ร้อนรนฤทัยหนักหนา |
กรุงกษัตริย์จึงมีบัญชา | ตรองตรึกปรึกษานางเทวี |
อีแก้วสัปดนคนจังไร | สูญกายหายไปจากกรุงศรี |
คิดว่าล้มตายวายชีวี | บัดนี้กลับมาน่ารำคาญ |
เอาลูกของใครที่ไหนมา | โสภารูปทรงสงสถาน |
ตรัสพลางทางดูพระกุมาร | เทวัญบันดาลดลใจ |
สององค์ทรงพิจารณา | ให้มีจิตเมตตารักใคร่ |
กุมารนี้ลูกเต้าเหล่าใคร | จึงเฉิดฉันวิไลลาวัณย์ |
ต่ออีอัปลักษณ์พักตร์อาชา | จะขโมยเขามาเป็นแม่นมั่น |
รูปร่างจริตจึงผิดกัน | มิใช่ลูกของมันเป็นแน่ใจฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางนันทาอัชฌาสัย |
ตรึกพลางทางทูลฉลองไป | ข้าประหลาดหลากใจเป็นพ้นนัก |
เนื้อนมมันมิใช่สาว | เรื่องราวอย่างไรไม่ประจักษ์ |
แต่คิดเห็นไม่เป็นฉุดลัก | ฤๅพ่อดีมีศักดิ์ดอกกระมังฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | กรุงกษัตริย์ตรัสไปดังใจหวัง |
รูปนั้นชั่วช้าน่าชัง | ใครบ้างรักษาช่างพาที |
คิดมาก็น่าใคร่สงสาร | แต่กุมารแน่งน้อยมีศรี |
เกลียดอีแพศยากาลี | จะมาเฝ้าเซ้าซี้สืบไป |
ตรัสพลางลูบไล้ไปมา | สองกษัตริย์เมตตารักใคร่ |
เรียกเหล่าสาวสรรกำนัลใน | มาผูกเปลเห่ให้ไสยาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วแสร้งซํ้าทำบ้า |
เย็นรอนอ่อนแสงสุริยา | รีบเข้ามาเฝ้าพระชนนีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางกษัตริย์สะบัดเบือนหนี |
เสือกลูกให้พลันทันที | เทวีเมินพักตร์ไม่นำพาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วยิ้มละไมในหน้า |
แลดูรู้ทีด้วยปรีชา | รับเอาลูกมาทันใด |
อุ้มให้ทรามเชยเสวยนม | เชยชมตามจิตพิสมัย |
แล้ววันทาลาสองท้าวไท | กลับไปห้องหับหลับนอนฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองสุริย์วงศ์ทรงศร |
เนาในสามัญพระนคร | ภูธรเกษมเปรมปรีดิ์ |
เนิ่นนานประมาณเดือนเศษ | ทรงเดชคะนึงถึงกรุงศรี |
คิดจะใคร่ไปสู่บูรี | พระจึงมีสุนทรวาจา |
สั่งนางสร้อยสุวรรณจันทร | จงแจ้งการมารดรเสนหา |
จะครรไลไปกรุงมิถิลา | สุริยาฤกษ์รุ่งเร็วพลันฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พี่น้องสองนางสาวสรร |
น้อมกายถวายบังคมคัล | ชวนกันเร่งรีบจรลีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงก้มกราบลง | ต่างทรงโศกเศร้าหมองศรี |
ทูลว่าเวลาพรุ่งนี้ | พันปีจะคืนเวียงชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระชนนีศรีใส |
ฟังสองพระธิดายาใจ | อาลัยสวมกอดเอาลูกยาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ โอ้ว่าเจ้าดวงนัยน์เนตร | บิตุเรศชีวังสังขาร์ |
เห็นแต่พักตร์พี่น้องสองรา | ค่อยสว่างวิญญาอาวรณ์ |
เจ้าพลัดพรากจากไปไกลทรวง | ดังเด็ดดวงชีวังสังหรณ์ |
ใครจะสังสการมารดร | ทุกข์ร้อนขุกเข็ญจะเห็นใคร |
ร่ำพลางทางทรงโศกา | ประหนึ่งว่านงลักษณ์จะตักษัย |
สวมสอดกอดสองธิดาไว้ | ทรามวัยโศกศัลย์พันทวีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองราชธิดามารศรี |
กอดบาทนฤมลชนนี | โศกีครวญคร่ำรำพันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ โอ้ว่าอนิจจาพระแม่เจ้า | พระบาทเคยปกเกล้ากระหม่อมฉัน |
เลี้ยงลูกทั้งสองครองกัน | เกษมสุขทุกวันเวลา |
จนเติบใหญ่มาได้ถึงเพียงนี้ | ไม่โบยตีแสนรักหนักหนา |
จะจากไปไกลบาทมุลิกา | ประหนึ่งเหยี่ยวเฉี่ยวคว้าพาจร |
โอ้นับปีจะมีแต่ความทุกข์ | ไปไกลถิ่นสิ้นสุขสโมสร |
ใครจะอภิบาลเหมือนมารดร | ทุกข์ร้อนยุคเข็ญไม่เห็นกัน |
ร่ำพลางทางทรงโศกา | เพียงดับดวงชีวาอาสัญ |
สองกรข้อนทรวงรุมรัน | แจ่มจันทร์ไม่เป็นสมประดีฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ครั้นค่อยเคลื่อนคลายวายโศกา | พระมารดาลูบโลมโฉมศรี |
กรรมแล้วลูกแก้วอย่าโศกี | บุญมีไม่ตายคงกลายไป |
สององค์จงฟังแม่สั่งสอน | อย่าเง้างอนจงสมัครรักใคร่ |
พี่จงรักน้องครองใจ | น้องไซร้จงมีอารีรัก |
สั่งสอนผ่อนผันกันทั้งคู่ | จงร่วมรู้ให้งามตามยศศักดิ์ |
ระวังผิดควรคิดสามิภักดิ์ | เหมือนดำรงวงศ์ศักดิ์สืบไป |
ตรัสพลางนางสอนพระบุตรี | ออกจากปรางค์มณีศรีใส |
พรั่งพร้อมสุรางค์นางใน | ขึ้นไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงซึ่งปรางค์รัตนา | ชวนสองพระธิดาสาวสรร |
สามนางต่างขึ้นอัฒจันทร์ | เข้าในห้องสุวรรณทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ นั่งลงตรงพักตรพระภูมี | ทั้งสองพระบุตรีกราบไหว้ |
นั่งเรียงเคียงกันเป็นหลั่นไป | คอยฟังภูวไนยบัญชาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองสุริย์วงศ์ทรงยศถา |
ผันแปรแลเห็นนางพระยา | จึงเลื่อนองค์ลงมาทันที |
แล้วยิ้มพริ้มพักตร์สุนทร | ขอวันทาลาจรจากกรุงศรี |
จะขอสองนิ่มนุชบุตรี | พาไปสู่บุรีด้วยกัน |
ถิ่นฐานบ้านเมืองนี้ไซร้ | มอบให้ท่านสิ้นทุกสิ่งสรรพ์ |
คงจะได้ไปมาหากัน | จงครอบครองเขตขัณฑ์ให้ปรีดาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางอสุรีมียศถา |
ฟังตรัสมธุรสวาจา | จึงสนองพระบัญชาทันใด |
ซึ่งพี่น้องสององค์นงลักษณ์ | ถวายองค์ทรงศักดิ์ตามวิสัย |
ซึ่งข้อพระจะพาคลาไคล | ข้าไม่ขืนขัดทัดทาน |
แต่จากอกตกต่ำกำพร้า | พลาดพรากพาราถิ่นฐาน |
ขอฝากโฉมยงนงคราญ | ไว้ใต้บทมาลย์ภูมีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระฟันทองยิ้มแย้มแจ่มศรี |
จึงปราศรัยไพเราะวาที | ท่านอย่ามีพะวงสงกา |
ซึ่งพี่น้องสององค์นงคราญ | คิดพะวงสงสารหนักหนา |
มิให้ฝูงนารินนินทา | จะเลี้ยงตามวาสนานงเยาว์ |
จงอยู่ดีปรีดาถาวร | อย่าทุกข์ร้อนวิโยคโศกเศร้า |
พลั้งผิดจะคิดแบ่งเบา | อย่าอาวรณ์ร้อนเร่าฤทัยฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังตรัส | นางกษัตริย์ชื่นแช่มแจ่มใส |
จึงกล่าวคำอำนวยอวยชัย | ลาไปปราสาทรูจีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงทรงสวัสดิ์รัศมี |
ครั้นสายแสงสุริยันทันที | จรลียังท้องพระโรงธารฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ลดองค์ลงนั่งบัลลังก์อาสน์ | พร้อมหมู่อำมาตย์กำแหงหาญ |
จึงตรัสสั่งอสุรีปรีชาชาญ | ตัวท่านจงอยู่ดูพารา |
ตัวเรากับเหล่าพลไกร | จะลาไปยังเมืองมนุสสา |
ฤกษ์รุ่งพรุ่งนี้จะลีลา | ยกพลเภตราคลาไคล |
ตรัสพลางทางสั่งพระพี่เลี้ยง | จงเรียบเรียงพหลพลไพร่ |
รีบรัดจัดสรรกันไว้ | ให้เสร็จในเวลาราตรีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงบังคมก้มเกศี |
คลานคล้อยถอยมาไม่ช้าที | สั่งความตามมีบัญชาการ |
บรรทุกเข้าของเสบียงกรัง | อีกทั้งโภชนาอาหาร |
ทั้งต้นหนคนท้ายนายงาน | อลหม่านวุ่นวิ่งเป็นสิงคลีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระนรินทร์พินทองผ่องศรี |
พวยพุ่งรุ่งหล้าราตรี | มาเข้าที่โสรจสรงคงคา |
ประดับองค์ทรงเครื่องเรืองรอง | ชวนพระพี่น้องเสนหา |
ทั้งหมู่สาวสรรกัลยา | ออกจากมหาปราสาทชัยฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงลงนาวี | พร้อมสนมนารีศรีใส |
แซ่เสียงสำเนียงพลไกร | นายไพร่วุ่นวิ่งพัลวันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ต้นหนคนงานแข็งขัน |
ตรวจตราเร่งรัดจัดกัน | จัดสรรชุลมุนวุ่นวาย |
บ้างฉุดโซ่โล้ลากสายสมอ | แข็งข้อดันดึงทึ้งสาย |
บางวางใบถ้วนทั่วหัวท้าย | เบี่ยงบ่ายหันเหเภตรา |
ได้ฤกษ์อำมาตย์ฆาตฆ้อง | โห่ร้องเกรียวกราวฉาวฉ่า |
แล่นหลามตามกันเป็นหลั่นมา | ออกอ่าวพาราฉับพลันฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงซึ่งกลางชเลลม | พระทรามชมปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ชวนฝูงสุรางค์นางกำนัล | ชมพรรณมัจฉาบรรดามีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บ้างล่องลอยคอยเคียงเคล้าคู่ | บ้างแตกหมู่กลับกลายว่ายหนี |
ปลาหมูดูเหมือนสุกรมี | หางว่ายวารีมาไรไร |
เงือกงูดูดังนาคราช | วงวาดท่องเที่ยวเลี้ยวไล่ |
บ้างว่ายแวะแทะหินกินไคล | เติบใหญ่เท่าลำเภตรา |
เหล่าละเมาะเกาะเกิดกลางสมุทร | สูงสุดเป็นเวิ้งเพิงผา |
วุ้นสาหร่ายสายติดศิลา | ผ่านฟ้าชมพลางทางถอนใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ หวนคะนึงถึงองค์นางมณี | ป่านฉะนี้เนื้อเย็นเป็นไฉน |
จะนึกนับวันท่าอาลัย | ปางใดจะพบประสบกัน |
ถ้าแม้นแก้วแววตามาด้วย | จะชมชื่นรื่นรวยหฤหรรษ์ |
ครวญพลางย่างเยื้องจรจรัล | ผายผันเข้าในห้องไสยาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระบุตรีพี่น้องเสน่หา |
ทั้งเหล่าสาวสรรกัลยา | ไม่เคยมานํ้ากว้างทางไกล |
ชวนกันเยี่ยมช่องมองชม | มีจิตภิรมย์แจ่มใส |
เพลิดเพลินจำเริญหฤทัย | ยั่วหยอกกันไปทุกนารีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ต้นหนคนงานชาญหน้าที่ |
ใช้ใบมาในวนชลธี | ลมดีพัดส่งสะดวกดาย |
โยธีไม่มีภยันต์ | ทั้งกลางคืนกลางวันผันผาย |
นั่งดูชูคอไม่ถ่อพาย | ไพร่นายเกษมเปรมปรา |
บ้างร้องละครมอญรำ | บ้างร้องลำนำทำท่า |
ลางทีตีกรับขับเสภา | ทั้งดอกสร้อยสักรวาว่าเรื่อยไป |
บ้างสูบฝิ่นกินบรั่นกัญชา | สรวลเสเฮฮาทั้งนายไพร่ |
ได้ลมแล่นล่องคล่องใจ | มาในห้วงมหาวารีฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เดือนหนึ่งถึงกรุงมิถิลา | เภตราประทับทอดจอดที่ |
ทอดสมอรอรานาวี | ตรงที่ตำหนักชโลธรฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองสุริย์วงศ์ทรงศร |
แจ้งว่ามาถึงพระนคร | ภูธรยินดีปรีดา |
จึงชวนนางสร้อยสุรรรณจันทร | สาวศรีนิกรพร้อมหน้า |
พระโฉมยงลงจากเภตรา | ลีลาเข้ายังวังในฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงกราบลงกับบาท | สองกษัตริย์ธิราชเป็นใหญ่ |
หมอบเมียงเคียงแท่นอำไพ | หฤทัยเกษมเปรมปรีดิ์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองกษัตริย์ชื่นแช่มแจ่มศรี |
สวมกอดลูกยาแล้วพาที | กว่าปีแต่พรากจากไป |
พ่อนี้ตั้งแต่จะอาดูร | เพิ่มพูนวิตกหมกไหม้ |
เมียมาด้วยฤๅหล่อนชื่อไร | นั่นฤๅมิใช่เล่าลูกอาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโอรสกราบพลางทางว่า |
ถึงลูกไปไกลเบื้องบาทา | ทุกทิวาคะนึงถึงพันปี |
เกลียดอีหน้าม้าไม่มาได้ | จำใจอยู่โรมวิถี |
ต่อพระองค์ส่งสาส์นไปครั้งนี้ | ลูกจึงจรลีมาฉับพลัน |
ลมซัดพัดเข้าในเมืองยักษ์ | ลูกรักหวังว่าจะอาสัญ |
ทูลตามความหลังครั้งนั้น | ให้ทรงธรรม์แจ้งเหตุเภทพานฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองพระองค์ทรงโศกสงสาร |
สวมสอดกอดองค์พระกุมาร | ปิ้มปานจะสิ้นสมประดี |
โอ้ว่านิจจาพระลูกแก้ว | บุญแล้วเนื้อเย็นไม่เป็นผี |
ซึ่งปลดปลอดรอดมาครานี้ | จะจำเริญสวัสดีสืบไป |
ดูดู๋ยักษาอาธรรม์ | ดุดันหนักหนาอ้ายหน้าไพร่ |
คุณของมาณพลบแดนไตร | ช่วยลูกข้าไว้จึงคงชนม์ |
ร่ำพลางต่างองค์ทรงโศกา | ชลนาพรั่งพรายดังสายฝน |
กอดลูกประทับกับสกนธ์ | โศกาบ้าบ่นคะนึงไปฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วหน้าม้าอัชฌาสัย |
รู้ว่าพระองค์ทรงชัย | คืนยังวังในก็ยินดี |
โอบอุ้มโอรสยศยง | เดินตรงเข้าห้องมณีศรี |
นั่งลงตรงพักตร์พระภูมี | อัญชุลียิ้มพรายชายตา |
แล้วนบนิ้วทูลพลันทันใด | ข้าตั้งใจทำลูกไว้ท่า |
สมเป็นลูกเต้าท้าวพระยา | เชิญทอดทัศนาให้เต็มใจฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์ตรัสมาหาช้าไม่ |
ทำไว้ได้แล้วก็แล้วไป | อีหน้าไพร่อย่ามาพาทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วยิ้มแย้มแจ่มศรี |
วางลูกลงพลันทันที | จรลีไปมองสองธิดาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางพี่น้องเสนหา |
แลเห็นนางแก้วหน้าม้า | จึงหมอบลงตรงหน้าทันใด |
ต่างคนบังคมก้มพักตร์ | กลัวหนักล้นเหลือจนเหงื่อไหล |
ตัวสั่นขวัญหนีไม่มีใจ | มิได้เงยหน้าพาทีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์ตรัสถามตามที |
ดูกรพี่น้องสองนารี | กราบอีหน้าม้าว่ากระไร |
เจ้าเป็นสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ | ตัวมันตํ่าช้าหน้าไพร่ |
ขายพักตร์หนักหนาน่าขัดใจ | กลัวมันทำไมเร่งบอกมาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางประนมก้มหน้า |
เห็นนางแก้วถลึงขึงตา | วันทาแล้วทูลทันที |
รูปร่างหน้าตาน่ากลัว | เนื้อตัวผิดเพื่อนเหมือนหมี |
ผิดกับคนผู้ทั้งบูรี | ข้านี้จึงได้วันทาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางแก้วยิ้มละไมในหน้า |
หลีกเลยเฉยไปไม่นำพา | ออกมาวิ่งเต้นเล่นสบายฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์พริ้งเพริศเฉิดฉาย |
เห็นนางแก้วเที่ยวไปไกลกาย | จึงค่อยชายเนตรดูกุมารา |
เฉิดโฉมแฉล้มแช่มช้อย | แน่งน้อยน่ารักหนักหนา |
ผิดกับอาการมารดา | ผ่านฟ้ากินแหนงแคลงใจ |
จึงทูลถามยุบลชนนี | ลูกนี้นึกพะวงสงสัย |
กุมารนี้ลูกเต้าเหล่าใคร | มิใช่บุตรอีกาลีลามฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางกษัตริย์นิ่งนั่งฟังถาม |
ยิ้มพลางทางแถลงแจ้งความ | แต่ตามอนุสนธิ์ต้นปลาย |
แต่วันเจ้าพรากจากนคร | มันหนีออกซอกซอนสูญหาย |
มาถึงเดือนนี้มีลูกชาย | เหตุผลต้นปลายไม่แจ้งใจฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังมารดา | ยิ่งตรึกตราพะวงสงสัย |
เฝ้าผินดูกุมารชาญชัย | มีใจเมตตาปรานี |
จึงแลเห็นธำมรงค์วงสำคัญ | ที่ให้นางแจ่มจันทร์มณีศรี |
กับกัมพลภูษาค่าบุรี | ภูมีตะลึงทั้งกายา |
เข้าอุ้มองค์พระกุมารชาญชิด | แลเล็งเพ่งพิศคิดกังขา |
ผิวพักตร์ผุดผ่องดังทองทา | พักตราคล้ายองค์นงคราญ |
ท่วงทีอีแก้วสัปดน | ซุกซนดั้นดึงไปถึงบ้าน |
ลอบลักโฉมยงองค์กุมาร | แหวนแก้วสุริย์กานต์จึงติดมา |
คิดพลางทางทูลชนนี | กุมารองค์น้อยนี้โอรสา |
ทูลความตามครั้งแต่หลังมา | ลูกข้าแน่นักประจักษ์ใจ |
ท่วงทีอีแก้วสัปดน | ซุกซนลักพามาได้ |
ภูษาธำมรงค์วงนี้ไซร้ | จำได้แน่นักประจักษ์ตาฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ ฟังลูกรัก | นงลักษณ์ยิ่งพะวังกังขา |
จึงกล่าวสุนทรวาจา | มารดายังแหนงแคลงใจ |
แม้นมันลักลูกเต้าเจ้านี้ | เนื้อนมจะมีมาแต่ไหน |
อย่าเพ่อเคืองขุ่นวุ่นไป | คงจะได้เห็นเสร็จเท็จจริงฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงทรงฟังนั่งนิ่ง |
นึกแหนงแคลงจิตคิดประวิง | กริ่งกริ่งตรึกไตรไปมา |
เฝ้าพิศดูกุมารชาญชัย | ยิ่งรักใคร่ผูกพันพรรษา |
เห็นนางแก้วดำเนินเดินมา | พระวางองค์ลูกยาทันทีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ น้อมกายถวายอภิวาท | แทบบาทท่านท้าวทั้งสองศรี |
ชวนสองกัลยานารี | จรลีมาสู่ปราสาทชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ นั่งเหนือแท่นแก้วแพรวพรรณ | พรั่งพร้อมกำนัลน้อยใหญ่ |
คิดคะนึงถึงลูกผูกใจ | พระนิ่งนึกตรึกไตรไปมาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วแสร้งซํ้าทำบ้า |
เข้าอุ้มองค์ลูกแก้วแววตา | ติดตามผ่านฟ้ามาทันที |
วางลงตรงพักตร์ภูธร | คมค้อนดำเนินเดินหนี |
แฝงอยู่ดูองค์พระภูมี | จะพูดจาพาทีประการใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมประโดมฟิสทัย |
คิดว่านางหน้าม้าคลาไคล | จึงลงไปอุ้มองค์พระลูกรัก |
ยิ่งมีจิตเมตตาปรานี | ภูมียกวางกลางตัก |
เห็นโอรสแย้มยิ้มพริ้มพักตร์ | ทรงศักดิ์สรวลสันต์จำนรรจา |
เจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร | ดูเราทำไมเป็นหนักหนา |
แม้เจ้าอยู่ไหนได้ลักมา | อยู่กับอีหน้าม้ากาลี |
ตรัสพลางเชยโฉมโลมลูล | คิดจะจูบก็อายสาวศรี |
เย้าหยอกถวิลยินดี | เกษมศรีสำราญบานใจฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วยิ้มแย้มแจ่มใส |
แลเห็นพระองค์ทรงชัย | ลูบไล้ลูกยาด้วยปรานี |
แกล้งทำกระแอมไอให้เสียง | หลีกเลี่ยงหลบพักตร์พระโฉมศรี |
ลับแลงแฝงฝาไม่พาที | คอยดูภูมีไม่พูดจาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงทรงลักษณ์ดังเลขา |
กอดกุมอุ้มองค์พระลูกยา | เพลินพยักพักตราพาที |
แว่วเสียงสำเนียงกระแอมไอ | ตกใจขยดถดหนี |
แลหาแห่งใดก็ไม่มี | รอรีเข้ากอดเอากุมาร |
ลูบไล้ไปทั่วทั้งกายา | วิญญาพะวงสงสาร |
เห็นลับตาข้าสาวนงคราญ | ภูบาลกอดจูบลูบไล้ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วแสร้งซํ้าทำไถล |
นาฏนวลด่วนเดินดำเนินไป | แล้วแย้มยิ้มละไมไปมาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมโลมลูบเสนหา |
เหลียวสบพบนางหน้าม้า | พระขวยเขินเมินหน้าทันที |
เสือกลูกออกไปให้ไกลกร | เคืองค้อนสะเทิ้นเมินหนี |
เสดูเฝืองฝาไม่พาที | พระโอรสโศกีอึงไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ |
สวมกอดลูกยาแล้าว่าไป | นี่ลูกเต้าเหล่าใครหนอราชา |
รู้จักฤๅไม่อย่างไรนั่น | น่าชมคมสันหนักหนา |
เหมือนละม้ายคล้ายพ่อดังหล่อมา | กลัวแต่ตาจะขาวร้องฉาวไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังพาที | ภูมีเคืองขัดอัชฌาสัย |
ชี้นิ้วกริ้วกราดตวาดไป | ผัวมึงอยู่ไหนอีกาลี |
เที่ยวทำตอแหลกระแตเต้น | หน้าราตาเป็นไม่บัดสี |
ทิ้งลูกเที่ยวเล่นทำเช่นนี้ | ปรานีกลับว่าหน้าไม่อาย |
ไสหัวมึงไปเสียให้พ้น | จองหองพองขนไม่รู้หาย |
อัปรีย์เวียงวังอีหลังลาย | คบชายเป็นปีไม่มีตัวฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดสี | อะไรนี่ค่อนว่านึกน่าหัว |
ทำเขามีท้องร้องออกตัว | เห็นรูปชั่วไม่รับกลับกลาย |
เธอเป็นผัวข้าฤๅหาไม่ | ได้รักใคร่ผูกพันมั่นหมาย |
ข้านี้มิได้คบชู้สู่ชาย | จะเฆี่ยนให้หลังลายด้วยอันใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ อีกาลี | พาทีเกินตัวหากลัวไม่ |
ใครเป็นผัวมึงพูดอึงไป | ว่าได้พล่อยพล่อยลอยหน้าตา |
เสี่ยงสับขับไล่ไสหัวหู | ยังขืนอยู่รังควานด้านหน้า |
เอาลูกมึงไปอย่าได้มา | ยังชดช้อยลอยหน้าว่าไรฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ พระองค์ | ยืนยันมั่นคงก็เป็นได้ |
ลูกเต้าเขาอื่นใครขืนใจ | ให้กอดจูบลูบไล้ใส่เพลา |
เห็นอยู่แววแววกับแก้วตา | ยังไม่ลับกลับด่าให้อีกเล่า |
เพราะว่ามีวาสนาค้าสำเภา | ด่าได้ด่าเอาไม่เกรงใจ |
ว่าพลางทางชูพระกุมาร | แกล้งดำเนินเดินผ่านเข้ามาใกล้ |
ช่วยทายให้ถูกว่าลูกใคร | ใช่ฤๅมิใช่พระทรงธรรม์ |
รูปร่างจริตไม่ผิดพ่อ | ปากคอแก้มคางเหมือนอย่างปั้น |
พักตราตาคิ้วผิวพรรณ | เหมือนกันฤๅไม่จะใคร่รู้ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ อีหน้าเป็น | ล้อเล่นสดสดไม่อดสู |
ยืนยันพันผูกว่าลูกกู | ใครรู้เห็นบ้างฤๅอย่างไร |
สงสารทารกยกมาดู | เห็นอุ้มชูแต้มต่อล้อให้ |
หน้ามึงถึงจะฟันให้บรรลัย | ก็ไม่ปรารถนาค้าคบ |
แต่มาอยู่ร่วมวังยังนี้ | ยังหลีกหนีท่องเที่ยวเลี้ยวหลบ |
ยั่งยืนขืนเข้ามาเร้ารบ | ตีตบไม่เจ็บเท่าเล็บมือฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ น่าขัน | กอดกันคนผู้จะรู้หรือ |
ดังเหมือนปืนใหญ่จะได้ฦๅ | จึงกอดฉันดั้นดื้อซึ่งหน้าตา |
รักเขาเข้าปลํ้าทำชำเรา | จนถึงมีลูกเต้ามาขายหน้า |
จูบลูกฟอดฟอดกอดกายา | เห็นอยู่แก่ตาเป็นช้านาน |
เกลียดตัวกินไข่ไม่เคยพบ | คอยพาลตบค่อนว่าหน้าด้าน |
ลูกคนนี้ฤๅคือพยาน | เหมือนพระภูบาลฤๅเหมือนใคร |
ว่าพลางทางอุ้มลูกชาย | ผันผายกลับมาที่อาศัย |
พลบค่ำคลํ้าแสงอโณทัย | กอดลูกหลับไปทันทีฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมเฉิดเลิศฟ้าราศี |
ครั้นค่ำย่ำปฐมราตรี | บรรทมในที่ศรีไสยา |
คิดคะนึงถึงองค์โอรส | ทรงยศยิ่งพะวังกังขา |
ลูกอีอัปลักษณ์พักตร์อาชา | ฤๅจะเป็นบุตรานงคราญ |
เนตรขนงวงพักตร์ผิวพรรณ | ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนกันทั้งสัณฐาน |
ไฉนหนอจะแจ้งแห่งอาการ | ภูบาลตรึกพลางทางถอนใจฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ จำจะล่อลวงดูท่วงที | ให้แจ้งข้อคดีให้จงได้ |
แม้นลักพามาจริงดังกริ่งใจ | จะฆ่าฟันมันให้มรณา |
เลี้ยงแต่โอรสยศยง | แล้วจะไปรับองค์ขนิษฐา |
ตรึกพลางทางเอนกายา | หลับไปในราตรีกาลฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นรุ่งรางสางแสงทินกร | ภูธรปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
นั่งเหนือแท่นรัตน์ชัชวาล | พร้อมสนมนงคราญเรียงรายฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วตั้งจิตคิดหมาย |
จะว่าพระโฉมงามตามสบาย | แล้วโอบอุ้มลูกชายฉับพลัน |
ออกจากห้องในไสยา | ขึ้นสู่ปรางค์ปราขมีขมัน |
แฝงอยู่ดูองค์ทรงธรรม์ | เห็นพรั่งพร้อมพระกำนัลนารี |
จึงอุ้มพระลูกยาฝ่าคน | เข้าในไพชยนต์มณีศรี |
นั่งลงตรงสองบุตรี | อัญชุลีพระองค์ทรงชัยฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางนารีศรีใส |
ต่างกราบกลัวตัวสั่นพรั่นใจ | มิได้ผันแปรแลดู |
งกงันขวัญหนีดังผีสิง | หมอบนิ่งความกลัวเป็นตัวหนู |
ต่างหลบลอบหมอบมุดคุดคู้ | ไม่ผันแปรแลดูสิ่งใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองข้องขัดอัชฌาสัย |
จึงถามสองนางนั้นทันใด | คือใครบังคับบัญชา |
ตัวเป็นผู้ดีมีศักดิ์ | ไม่ขายพักตร์ยอมตัวเป็นขี้ข้า |
กราบคนพิกลกิริยา | สำมะย่ำต่ำช้ากาลี |
ชั้นแต่ลูกเล็กเด็กดมมือ | ก็ขี้นชื่อสำเหนียกเรียกอี |
ตัวเป็นถึงหม่อมจอมนารี | เห็นดีแล้วฤๅประการใดฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางต่างก้มประนมไหว้ |
มิรู้ที่ทูลสารประการใด | นิ่งอยู่มิได้จำนรรจาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองข้องขัดสหัสสา |
ครั้งนี้ยกไว้ยังไม่ว่า | เบื้องหน้าถ้าเป็นเหมือนเช่นนี้ |
ขืนกลัวอีแก้วแล้วไม่ฟัง | จะดุดันกันบ้างให้ป่นปี้ |
เหม่เหม่อีหน้าพาชี | มาไยในนี้ใช่ที่ทาง |
ไสหัวออกไปอย่าให้อยู่ | สู่รู้หน้าเป็นเที่ยวเล่นหาง |
ชดช้อยลอยพักตร์ชักลูกคาง | แอบอ้างอวดตัวไม่กลัวตาย |
ลูกเต้าอย่าเอามาไว้นี่ | อัปรีย์เบื่อหูไม่รู้หาย |
ขึ้นมาจะฆ่าให้วางวาย | ให้หาคู่ผู้ชายให้ชอบใจฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังภูธร | คมค้อนตอบมาหาช้าไม่ |
หนวกหูหนวกหางช่างเป็นไร | ใครใช่ทรงฤทธิ์เป็นบิดา |
เมียมีถมไปมิให้เลี้ยง | มาว่ากล่าวก้าวเฉียงเอาแต่ข้า |
ว่าพลางทางส่งองค์บุตรา | ให้แก่สองกัลยาทันที |
แล้วว่าข้านี้ที่เมียหลวง | ทั้งปวงย่อมรู้อยู่อึงมี่ |
เจ้าเป็นเมียน้อยอย่าคอยที | มานั่งทำผู้ดีอยู่ว่าไร |
เลี้ยงลูกของข้าอย่าให้อ้อน | หาวนอนพาองค์ไปส่งให้ |
ว่าพลางทางทูลพระทรงชัย | ฝากลูกน้อยไว้กับทรงธรรม์ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์เคืองขุ่นหุนหัน |
ชี้นิ้วกริ้วกราดตวาดพลัน | เชื้อวงศ์พงศ์พันธุ์กูฤๅไร |
จองหองพองหัวอีตัวเอก | โหยกเหยกพูดจาเหมือนบ้าใบ้ |
ตั้งตัวเป็นนายไม่อายใจ | ล่วงใช้คนเล่นเช่นเชลย |
ลูกเมียของกูรู้ฤๅไม่ | ขู่ได้ขู่เอาแม่เจ้าเอ๋ย |
ใช้ได้บ่อยบ่อยหน่อยจะเคย | ลามเลยใช้เล่นไม่เว้นวัน |
ลูกมึงอย่าไว้เอาไปเสีย | ใช้เมียกูเล่นไม่เห็นขัน |
วางเสียสาวน้อยสร้อยสุวรรณ | ส่งให้แม่มันคืนไปฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางนารีศรีใส |
ฟังตรัสขัดสนจนใจ | กลัวองค์ทรงชัยพอประมาณ |
กลัวนางสัปดนเป็นพันคิด | สุดจิตสุดจักทำหักหาญ |
โอบอุ้มจุมพิตพระกุมาร | ด้วยแจ้งการทุกสิ่งจริงใจฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ |
นั่งลงตรงพักตร์ภูวไนย | ทูลว่าข้าไซร้เป็นคนจน |
รับหน้าว่าเมียจะเสียยศ | ไม่งามงดเทียมเขาจึงเฝ้าบ่น |
แต่เลือดเนื้อของเธอเออชอบกล | ใช้คนก็ว่าน่าเจ็บใจ |
เพียงเอ๋ยผีสางเทวดา | ช่วยชุบอีหน้าม้าขึ้นเสียใหม่ |
ให้เนื้อหนังดังทองยองใย | จะเล่นตัวเสียให้เต็มประดา |
ถึงแม้นว่าจะวอนงอนง้อ | จริงจริงไม่ขอเสนหา |
นั่งไหนจะคอยลอยหน้าตา | ไม่แต่งขันหมากมาไม่ไยดี |
หน่อยหนึ่งจะไพล่เข้าไกล่เกลี่ย | ว่าเนื้อเย็นเป็นเมียของพี่ |
ลูกถ่อยลอยฟ้าบิดามี | อัปรีย์จะสาบสูญไป |
ว่าพลางทางแกล้งเลียนล้อ | ส่ายพักตร์ยักคอตามวิสัย |
จะสิ้นเคราะห์สักวันมั่นใจ | ชุบตัวเสียใหม่ดังว่ามาฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ อีหน้าเป็น | พูดเล่นตามใจดังใบ้บ้า |
เมืองนี้ไม่มีเทวดา | อินทราอยู่ถึงชั้นตรึงษ์ไตร |
อยากงามจงตามไปให้ถึง | ยังพิภพดาวดึงส์จึงจะได้ |
ชุบรูปหล่อกูดูน้ำใจ | จะรักมึงฤๅไม่ได้เห็นดี |
บอกขาดไม่ปรารถนาคบ | เกลียดมึงดังศพซากผี |
ถึงจะงามลอยฟ้าดังวาที | ชาตินี้เห็นกูจะสู้ตายฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ น้อยฤๅนั่น | ประมาทหน้าว่ากันง่ายง่าย |
เห็นเหาะมิได้ใช่ผู้ชาย | จึงบ่นบ้าท้าทายสบายใจ |
ว่าพลางทางเดินออกมา | เทียวเล่นเช่นประสาบ้าใบ้ |
ร้องรำทำเพลงครื้นเครงไป | มิได้มาดูพระกุมารฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองว่องไวใจหาญ |
เห็นนางแก้วลีลาช้านาน | จิตสงสารโอรสยศยง |
พระจึงเสด็จดำเนินมา | อุ้มเอาลูกยาโดยประสงค์ |
สั่งฝูงสุรางค์นางอนงค์ | เร่งผูกอู่ให้องค์กุมารฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เถ้าแก่กำนัลถ้วนหน้า |
เร่งรีบผูกเปลเห่ช้า | แกว่งไกวไปมาเป็นสิงคลีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อนรินทร์พินทองผ่องศรี |
เลี้ยงลูกผูกจิตคิดปรานี | มิได้มีรังเกียจเกลียดอาย |
นั่งเยี่ยมปากเปลช่วยเห่กล่อม | ชาววังนั่งล้อมเหลือหลาย |
ชิงกันอุ้มชูไม่ดูดาย | ด้วยเจ้านายเมตตาอาลัยฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วหน้าม้าอัชฌาสัย |
เที่ยวเล่นเป็นสุขสนุกใจ | เนิ่นนานมิได้นำพา |
เบี่ยงบ่ายชายแสงทินกร | นึกถึงจึงย้อนเข้าไปหา |
แอบมองตามช่องทวารา | เห็นผ่านฟ้าเชิดชูกุมาร |
แย้มสรวลด่วนเดินเข้าไปใกล้ | นั่งยกมือไหว้แล้วว่าขาน |
นี่บุตรของพระองค์ฤๅวงศ์วาน | กระหม่อมฉันพึ่งรู้จักพักตราฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังถาม | พระโฉมงามสะเทิ้นเมินหน้า |
ทิ้งลูกลงพลันมิทันช้า | กุมาราร้องอึงคะนึงไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วคอยขยับรับไว้ได้ |
รับขวัญลูกยาแล้วว่าไป | ลูกคนเข็ญใจจึงอย่างนั้น |
ทิ้งลงแม้นปลงชีวาลัย | จะต้องทำลูกใช้ให้หม่อมฉัน |
แล้วผินหน้าว่ากับสร้อยสุวรรณ | เดี๋ยวนี้ไม่กลัวกันฤๅว่าไร |
ฤๅลบหลู่ดูถูกว่าลูกเรา | นี่เกิดกับเจ้าฤๅมิใช่ |
ถือตัวไม่กลัวเกรงใคร | เลี้ยงไม่คุมร้องทั้งสองราฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองนางประนมก้มหน้า |
ตัวสั่นขวัญหนีดังตีปลา | ก้มหน้าไม่ตอบวาทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงทรงสวัสดิ์รัศมี |
เห็นนางสร้อยสุวรรณอัญชุลี | พระภูมีกริ้วตรัสขัดใจ |
ดูดู๋สร้อยสุวรรณจันทร | ไม่กลัวความม้วยมรณ์ฤๅไฉน |
เราสิห้ามเจ้าเป็นเท่าไร | ยังขืนไหว้กราบอีกาลีลาม |
คิดเห็นเป็นไฉนอย่างไรนั้น | นิ่งให้มันจ้วงจาบหยาบหยาม |
ฤๅคิดถ่อมยอมตัวกลัวความ | ให้มันลามล่วงหลู่ดูเบา |
ยิ่งว่ากล่าวดูราวกับแกล้งยุ | จะต้องดุสักครั้งบ้างแลเจ้า |
กลัวอีหน้าม้ายิ่งกว่าเรา | ใจเจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไรฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางอกสั่นหวั่นไหว |
กราบพลางทางทรงโศกาลัย | มิได้ทูลพิดกิจจาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วยิ้มละไมในหน้า |
แล้วกราบทูลไปพลันมิทันช้า | อนิจจารักเมียไม่เหมือนกัน |
ข้าเป็นเมียหลวงมาล่วงด่า | สอนให้เมียว่าทุกสิ่งสรร |
ถือท้ายย้ายหัวตัวอาธรรม์ | ดุดันด่าทอให้พอแรง |
ชะนางคนโปรดเป็นโสดสบ | ทรุดซบแอบองค์ทรงกันแสง |
พระสามีโกรธาตาแดง | ฟุบแฝงโศกาอยู่ว่าไร |
ไม่ขึ้นหน้าด่าทอพ้อตัด | คาดหมัดเข้ามาไม่ช้าได้ |
นั่งบีบน้ำตาช้าอยู่ไย | ไวไวมาสู้ได้ดูดีฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางกราบนบซบเกศี |
มิอาจตอบวาจาพาที | โศกีไม่เงยพักตราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองข้องขัดตรัสว่า |
ดูดู๋พี่น้องสองสุดา | กลัวอีหน้าม้ากว่าเจ้านาย |
แม้นไม่ด่ามันวันนี้ | จะถึงที่เราริบฉิบหาย |
ดื้อดึงหนักหนาพาเราอาย | กลัวตายเร่งด่าให้สาใจฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วยิ้มแย้มแจ่มใส |
ชดช้อยลอยหน้าแล้วว่าไป | ฉาต้าหน้าไหนจะด่าทอ |
อีแก้วสัปดนจะบนผี | อวดดีด่ามาข้าไม่ขอ |
บอกขาดชาตินี้ไม่มีง้อ | ด่าทอเถิดคะไม่ละกันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางต่างกลัวจนตัวสั่น |
กราบพลางทางทูลทรงธรรม์ | ชีวันอยู่ใต้บาทา |
จะใช้สอยสิ่งใดไม่ขัด | ซึ่งตรัสจะให้ด่าว่า |
ข้อนี้ขัดสนพ้นปัญญา | ผ่านฟ้าได้โปรดปรานีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อนรินทร์พินทองผ่องศรี |
ทรงฟังคั่งแค้นแสนทวี | จึงมีสิงหนาทตวาดไป |
ดูดู๋ไว้ตัวไม่กลัวตาย | ขัดขืนเจ้านายก็เป็นได้ |
กลัวอีสัปดนคนจังไร | ไม่อาลัยยศศักดิ์เสียพักตรา |
มาตรแม้นไม่ด่าครานี้ | ชีวีจะม้วยสังขาร์ |
แม้นสมัครรักตัวกลัวอาญา | เร่งด่าให้สมอารมณ์มันฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางนารีไม่มีขวัญ |
ก้มกราบบาทบงสุ์ทรงธรรม์ | ตัวสั่นไม่เป็นสมประดี |
ความกลัวนางแก้วหน้าม้า | กลัวทั้งอาญาพระโฉมศรี |
หมอบนิ่งไม่ติงอินทรีย์ | โศกีกำสรดสลดใจฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วกลั้นยิ้มมิใคร่ได้ |
ครั้นจะทูลเลียนล้อต่อไป | ก็สงสารทรามวัยทั้งสองรา |
น้อมกายถวายอภิวาท | อุ้มโอรสราชเสน่หา |
ออกจากปรางค์ชัยมิได้ช้า | กลับมาห้องหับฉับพลันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์เคืองขุ่นหุนหัน |
ตั้งกระทู้ขู่สองแจ่มจันทร์ | กลัวมันด้วยกิจประการใด |
อีแก้วสัปดนคนนี้ | เขาเรียกอีแซ่หูรู้ฤๅไม่ |
ใจจิตคิดเห็นเป็นอย่างไร | เล่าไปให้แจ้งกิจจา |
แม้นไม่ชี้แจงแพร่งพราย | จะต้องวายชีวังสังขาร์ |
บอกความตามจริงอย่านิ่งช้า | ก้มหน้าอยู่ไยเร่งให้การฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางทางทูลเฉลยสาร |
เหตุลึกล้นพ้นประมาณ | ภูบาลจงโปรดปรานี |
ครั้นข้าจะทูลความตามจริง | ก็เกรงกริ่งบรรดาทาสี |
จะล่วงรู้กิจจาพาที | ข้านี้จะเกิดอันตราย |
พระองค์จงทรงพระเมตตา | ขับฝูงกัลยาทั้งหลาย |
จะกราบทูลข้อขันบรรยาย | อย่าให้แจ้งแพร่งพรายสืบไปฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังวาจา | ผ่านฟ้ายิ่งพะวงสงสัย |
จึงขับฝูงสาวสรรทันใด | ออกไปจากปรางค์รัตนา |
แล้วทรงศักดิ์ซักไซ้ไถ่ถาม | ข้อความไฉนให้เร่งว่า |
แม้นย้อนยอกไม่บอกกิจจา | ชีวาจะม้วยวายชนม์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางต่างทูลอนุสนธิ์ |
นางมีปัญญายิ่งกว่าคน | จุมพลไม่แจ้งแห่งคดี |
ซึ่งมาณพเรืองอิทธิฤทธา | ผลาญชีพบิดาข้าเป็นผี |
พระโปรดปรานประทานข้านี้ | พาไปกุฎีแดนดง |
กลายเป็นนารีมีโอรส | อยู่ด้วยดาบสดังประสงค์ |
งามเลิศเฉิดฉันบรรจง | ดังอนงค์นางฟ้ายาใจ |
ผูกเปลเห่กล่อมพระลูกยา | แล้วหยิบรูปหน้าม้าสวมใส่ |
แล้วกำชับกำชาข้าไว้ | พบปะที่ไหนให้เกรงกลัว |
แม้นมิวันทาจะฆ่าตี | มิให้ทูลคดีพระอยู่หัว |
แล้วจำแลงแปลงองค์ส่งตัว | ข้าจึงได้เกรงกลัวกราบกรานฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองว่องไวใจหาญ |
นิ่งนั่งฟังความตามอาการ | ภูบาลอั้นอึ้งตะลึงไป |
ถ้อยคำร่ำว่ามาทุกสิ่ง | ยังตรึกกริ่งพะวงสงสัย |
จึงซักสองนางงามทรามวัย | รูปร่างอย่างไรเร่งว่ามา |
ซึ่งสวมหน้าพาชีนี้เล่า | จริงฤๅปดเรากระมังหนา |
ที่แปลงเป็นรูปบุรุษสุดโสภา | คือนางหน้าม้านี่ฤๅไรฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางต่างทูลเฉลยไข |
มั่นคงองค์นี้ไม่มีใคร | จำได้แม่นยำสำคัญ |
เบื้องหน้าถ้าแม้นไม่เหมือนคำ | พระจงทำโทษาให้อาสัญ |
รูปทรงโสภาวิลาวัณย์ | ทรงธรรม์จงทราบพระบาทาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังทูล | เพิ่มพูนภิรมย์หรรษา |
พระนิ่งนึกตรึกไตรไปมา | อนิจจาไม่ควรเล่นเช่นนี้ |
น้อยฤๅยอกย้อนซ่อนกล | แยบยลกลับกลอกหลอกพี่ |
ช่างผันแปรแก้เผ็ดเม็ดดี | เพราะกระนี้จึงกล้าท้าทาย |
กรรมเอยกรรมกรรมทำอย่างไร | จะครอบเมียเกลี่ยไกล่ให้หาย |
พระนิ่งนึกตรึกตราหาอุบาย | พลางภิปรายกับสองกัลยา |
การนี้ล่วงรู้อยู่แต่เจ้า | จงคิดเอาความสบายภายหน้า |
ทำคุณอย่าสูญซึ่งศรัทธา | อาสาว่าวอนหล่อนสักที |
ถ้าถอดรูปหน้าม้าเวลาไร | จงลักเอาเผาไฟให้ป่นปี้ |
ทั้งพี่ทั้งน้องสองนารี | จะให้ยศศักดิ์ศรีสืบไปฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางต่างทูลเฉลยไข |
จะอาสาว่าวอนทรามวัย | เห็นจะได้ดังจิตจินดา |
แต่จะเป็นวันไรไม่รู้ | ด้วยโฉมตรูไม่ไว้ใจข้า |
แม้นเสร็จอารมณ์จินดา | จึงจะมาทูลองค์ทรงธรรม์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ตรัสกับสาวน้อยสร้อยสุวรรณ | จงพากันพากเพียรเวียนไป |
รับองค์โอรสธิบดี | มาเลี้ยงไว้ในนี้อย่าขาดได้ |
ราตรีจงพากันคลาไคล | ปลอบให้ถอดรูปโฉมยง |
แม้นมาตรยินยอมพร้อมใจ | มาบอกให้รู้ความตามประสงค์ |
ตรัสพลางทางถอดธำมรงค์ | ประทานทั้งสององค์ทันทีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางประณตบทศรี |
คลานคล้อยถอยมาไม่ช้าที | จรลีลงจากตำหนักจันทน์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงห้องนางสัปดน | ต่างคนปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
จึงเข้าไปเคารพอภิวันท์ | ชวนกันอุ้มองค์กุมารา |
โลมลูบจูบพักตร์ด้วยรักใคร่ | มิให้พะวังกังขา |
ผูกเปลเห่ให้ไสยา | แกว่งไกวไปมาอยู่สองคนฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วแค้นคั่งนั่งบ่น |
ผัวเจ้าห้ามปรามตามยุบล | ซุกชนเซ่อซ่าลงมาไย |
หน่อยรู้จะขู่เข่นฆ่า | อย่ามาเลยเราไม่ช่วยได้ |
สององค์จงชวนกันด่วนไป | กลัวภัยผ่านฟ้าจะฆ่าตีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางพี่น้องสองศรี |
กราบลงตรงหน้าแล้วพาที | บัดนี้ทรงชัยเข้าไสยา |
มีจิตคิดถึงพระกุมาร | เคลื่อนคลาดราชการจึงมาหา |
แม้นทราบถึงพระองค์ว่าลงมา | จะสู้รับอาญาให้ฆ่าฟัน |
เจ้านายของข้าจึงมาเฝ้า | หนักเบาอย่างไรไฉนนั่น |
ไม่อาลัยในดวงชีวัน | จะก้มหน้าพากันตายไป |
ว่าพลางทางทำมารยา | นั่งบีบน้ำตาสะอื้นไห้ |
เพราะตกยากจากเมืองเคืองใจ | จึงเกิดเข็ญเป็นไปดังนี้ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วตอบความตามที่ |
รักเจ้าเราว่าด้วยปรานี | กลัวจะเสียชีวีวางวาย |
เจ้าอย่าประมาทราชกิจ | ทรงฤทธิ์มุ่นมุดุใจหาย |
ขืนมาไม่ฟังหลังจะลาย | วุ่นวายสมเพชเวทนา |
บุญเรายังน้อยถอยศักดิ์ | จงออมอดรักชีวีดีกว่า |
แม้นวันใดได้ดีปรีดา | จึงจะให้พึ่งพาสืบไปฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางวันทาอัชฌาสัย |
กราบแล้วกราบเล่าเฝ้าพิไร | ข้าไซร้ยอมกายถวายตัว |
ขอเป็นข้าไทใต้บาท | สิทธิ์ขาดสุดแต่แม่อยู่หัว |
ทั้งรักทั้งยำเยงเกรงกลัว | ฝากตัวเป็นข้ากว่าจะตาย |
ว่าพลางต่างคนเข้ากอดบาท | วิงวอนอภิวาทนางโฉมฉาย |
เจ้าประคุณทูลเกล้าเจ้านาย | พริ้มพรายเฉิดฉันขวัญตา |
ข้าพระพี่น้องทั้งสองนี้ | ยังถวิลยินดีอยู่หนักหนา |
ทำไฉนจะได้ทัศนา | พระแม่จงเมตตาปรานีฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วยิ้มแย้มแจ่มศรี |
ตรึกพลางทางกล่าววาที | สามีใช้มาฤๅว่าไร |
บอกความตามจริงอย่านิ่งช้า | เจ้ารับสินบนมาฤๅไฉน |
รู้เท่าเจ้าดอกมาหลอกใคร | โง่แล้วบรรลัยเพราะมือมารฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางนบนอบตอบสาร |
แม่อย่าเพ่อกริ้วโกรธจงโปรดปราน | พระภูบาลไม่แจ้งแพร่งพราย |
ข้าบาทพี่น้องทั้งสองนี้ | เฝ้าจงรักภักดีไม่รู้หาย |
ก็หวังว่าข้าเจ้าบ่าวนาย | จะม้วยมอดวอดวายด้วยอาญา |
ว่าพลางสองนางเข้าวิงวอน | กอดบาทบังอรทั้งซ้ายขวา |
โฉมยงจะทรงพระเมตตา | ถอดให้ทัศนาให้อิ่มใจฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วฟังวอนค้อนให้ |
น่าเบื่อหนักหนาว่าร่ำไร | จงกลับไปห้องหับหลับนอน |
สนธยาจงมาหาเรา | ให้ผัวเจ้าระงับหลับเสียก่อน |
อย่าตะบอยอ้อยอิ่งวิงวอน | เห็นแล้วอย่าบอนทั้งสองราฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางสรวลสันต์หรรษา |
เข้ากอดจูบลูบสองบาทา | ลีลาจากห้องทั้งสององค์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงคลานเข้าเฝ้า | น้อมเกล้าทูลความตามนุสนธิ์ |
ข้าไปอ้อนวอนผ่อนปรน | นฤมลนัดมาว่าราตรี |
แม้นพระองค์ทรงชัยไสยาสน์ | ให้ข้าบาทพี่น้องทั้งสองศรี |
ลอบออกไปหาดังวาที | จะถอดหน้าพาชีฉับพลันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์สำรวลสรวลสันต์ |
จึงตรัสเรียกสุรางค์นางกำนัล | จงพากันนั่งยามตามไฟ |
เราวิงเศียรเวียนเกล้าเมามัว | ครั่นตัวร้อนรนหม่นไหม้ |
อย่าพูดจาว่ากล่าวฉาวไป | เราจะนอนหลับใหลให้สำราญฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางกำนัลคำนับรับบรรหาร |
ออกไปสั่งกันมิทันนาน | ภูบาลเข้าที่ไสยา |
ใครใครอย่าได้อื้ออึง | ทราบถึงจะลงโทษา |
ทั่วทุกสาวสรรกัลยา | บอกแจ้งกิจจาทุกคนไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อนรินทร์พินทองผ่องใส |
ครั้นล่วงปฐมยามชัย | หฤทัยเกษมเปรมปรีดิ์ |
จึงตรัสชวนนวลนางพี่น้อง | ลอบออกจากห้องปราสาทศรี |
สามองค์ทรงเสด็จจรลี | แฝงเงาอัคคีไคลคลาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงพระจึงหยุดอยู่ | ริมประตูลับแลงแฝงฝา |
สองนางต่างรีบลีลา | เข้าห้องกัลยาทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงตรงเข้ากราบกราน | แสนสำราญยิ้มแย้มแจ่มใส |
บอกว่าวันนี้ดีสุดใจ | ภูวไนยเข้าที่ไสยา |
ไล่เหล่าสาวสรรกำนัลใน | ข้านี้ดีใจเป็นหนักหนา |
โฉมยงจงทรงพระเมตตา | ถอดให้ทัศนาให้อิ่มใจฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วลุ่มหลงไม่สงสัย |
ผินพักตร์ซักสองทรามวัย | แกล้งใช้ให้มาหลอกดอกกระมัง |
พลบลงเมื่อกี้ผิดทีนัก | ฤๅจะลักบอกนายภายหลัง |
มาตรแม้นไม่ซื่อถือสัจจัง | จะต้องทำโทษทั้งสองราฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางบังคมก้มเกศา |
เสแสร้งแกล้งกล่าววาจา | ตัวข้าซื่อตรงจงรัก |
ความนี้มิได้พรายแพร่ง | ทูลแถลงพระองค์ทรงศักดิ์ |
ขอเชิญโฉมยงนงลักษณ์ | นานนักจักได้ไสยาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วได้ฟังไม่กังขา |
ยิ้มพลางทางกล่าววาจา | จงเร่งปิดทวาราเร็วพลัน |
ช่องคูอยู่ไหนจงไปปิด | ดัดจริตอยู่ไยไฉนนั้น |
ครั้งเดียวเจียวว่าสัญญากัน | อย่ารำพันกวนก่อต่อไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางยินดีจะมีไหน |
ชิงกันปิดบานทวารชัย | เอาผ้าไปปิดป้องตามช่องคู |
บ้างยกชวาลามาแต่ง | จัดแจงเสียให้ไฟหรุบหรู่ |
ถอดแล้วจะได้ตั้งใจดู | แกล้งจุดจู่เพลิงดับฉับพลัน |
แล้วแกล้งทำตระหนกตกใจ | เปิดมาหาไฟขมีขมัน |
พระพินทองเข้าห้องเร็วพลัน | นางนั้นจึ่งได้ไฟมาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงปิดทวารชัย | จัดแจงจุดไฟไว้ท่า |
นั่งยิ้มอิ่มใจอยู่ไปมา | ผ่านฟ้าแฝงอยู่ดูเทวีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางแก้วห้ามปรามตามที่ |
เพราะเราคิดเมตตาปรานี | จะถอดครั้งเดียวนี้ให้ชมเชย |
ถอดแล้วนิ่งไว้ในอุรา | อย่าพูดจาชูเชิดเปิดเผย |
การนี้โด่งดังไม่ฟังเลย | จะชวดเชยผัวขวัญมั่นคง |
ว่าพลางวางองค์พระลูกแก้ว | หลับแล้วชื่นชมสมประสงค์ |
แล้วดำเนินเดินไปให้ลับองค์ | แล้วถอดรูปโฉมยงทันทีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ กลายเป็นนางงามทรามวัย | ทรงลักษณ์วิไลเฉลิมศรี |
นาฏกรอ่อนคอจรลี | มายังสองนารีทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงนั่งลงตรงหน้า | แย้มพรายชายตาแล้วปราศรัย |
ทั้งคู่จงดูให้อิ่มใจ | เบื้องหน้าอย่าได้รบกวนกันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางต่างเปรมเกษมสันต์ |
กราบลงตรงพักตร์แจ่มจันทร์ | ชวนกันเข้ากอดเอาบาทา |
เจ้าประคุณบุญสร้างไว้อย่างไร | จึงเฉิดโฉมวิไลดังเลขา |
สมควรเป็นเจ้าชาวพารา | ใต้ฟ้าไม่เอี่ยมเทียมทรง |
ว่าพลางลูบไล้ไปมา | จูบสองบาทานวลระหง |
พูดพลอดกอดกระหวัดรัดองค์ | มิให้นางโฉมยงรู้ทีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองมองเห็นพระโฉมศรี |
แม่นแท้อนงค์องค์มณี | ภูมีรันทดสลดใจ |
ขนงเนตรเกศกรอ่อนช้อย | แน่งน้อยงามขำยังจำได้ |
ช่างยอกย้อนซ่อนกลเป็นพ้นไป | ทำให้ด่าทอพอการ |
ครั้งนี้ถึงที่จะงอนง้อ | จะตัดพ้อผัวนักหักหาญ |
ชลนัยน์ไหลหล่อดังท่อธาร | คิดสงสารลูกน้อยกลอยใจ |
พระครวญพลางทางนึกตรึกตรา | จะเผารูปหน้าม้าเสียให้ได้ |
คิดพลางทางองค์พระทรงชัย | ฉวยได้รูปรีบจรจรัลฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงหลงเปรมเกษมสันต์ |
เหลียวสบพบพักตร์พระทรงธรรม์ | พารูปนางนั้นออกไป |
ยังสุดแสนเสียดายไม่วายรัก | พลิกผลักสองราไม่ปราศรัย |
สองนางต่างรัดกระหวัดไว้ | ทรามวัยวิ่งผลุนหมุนมา |
ตรงเข้าอุตลุดฉุดชิง | พระวางวิ่งหนีนางไปข้างหน้า |
ทิ้งเข้าเพลิงพลันมิทันช้า | รูปนางหน้าม้าก็สูญไปฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางมณีโกรธานํ้าตาไหล |
จะโลดโผนโจนเข้ากองไฟ | พระรวบรัดรับไว้ทันที |
ต่างองค์อุตลุดฉุดคร่า | สองนางต่างพากันหลีกหนี |
พระโฉมยงกับองค์นางมณี | ปล้ำปลุกคลุกคลีพัลวันฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางมณีเคืองขุ่นหุนหัน |
ผินหน้าว่ากับพระทรงธรรม์ | มาทำข่มเหงกันด้วยอันใด |
เหตุเห็นเป็นเจ้าชาวบุรี | ข้านี้จะทำอะไรได้ |
ฉกลักรูปเขามาเผาไฟ | เหตุผลกลใดจงบอกมาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองยิ้มพลางทางว่า |
รูปนี้ไม่มีอัธยา | ปิดบังเมียข้าไว้ในนั้น |
แค้นนักจึงลักมาจนได้ | เผาให้สาสมที่คมสัน |
จับได้ไม่โกรธปรับโทษทัณฑ์ | เผาเสียอย่างนั้นสนุกใจฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ อดสู | ไหนชู้เมียท่านน่าหมั่นไส้ |
พูดเล่นพล่อยพล่อยอร่อยใจ | จะระคายอายใครก็ไม่มี |
อีแก้วสัปดนคนสาธารณ์ | มารกวังรังควานอยู่ที่นี่ |
เคืองขายบาทาพาอัปรีย์ | พระตรัสดังอย่างนี้ทุกวี่วัน |
เขาย่อมรู้อยู่ทั่วทุกตัวตน | ว่าเป็นคนจังไรไอศวรรย์ |
ยุให้เมียด่าคิดฆ่าฟัน | ลืมแล้วฤๅนั่นเร่งบอกมาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ น้องแก้ว | ผิดแล้วอย่าถือโทษา |
พี่นี้โง่เง่าเยาว์ปัญญา | ชั่วช้าทุกสิ่งจริงจัง |
พึ่งประจักษ์แจ้งใจได้เห็น | แต่นี้ไปไม่เป็นเช่นแต่หลัง |
อย่าเง้างอนค้อนติงชิงชัง | จงปรานีพี่บ้างเถิดดวงใจ |
ตรัสพลางทางโอบอุ้มกุมกร | จะชำเลืองเคืองค้อนไปถึงไหน |
พี่ขอเชิญโฉมงามทรามวัย | ไปเนาในปรางค์ศรีให้ปรีดาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางมณียิ้มพลางทางว่า |
กุ๋ยเก้อละเมอเจรจา | นึกมาน่าอัปยศอดอาย |
ตัวข้ากาดำต่ำศักดิ์ | ไม่ควรเคียงเรียงพักตร์พระโฉมฉาย |
แต่ร่วมวังยังแค้นแสนอาย | หญิงชายชาววังจะเลื่องลือ |
จะชวนให้ไปอยู่เป็นคู่เคล้า | ไม่กลัวเขาหัวเราะเยาะเล่นหรือ |
ว่าพลางสะบัดปัดมือ | แย่งยื้อฉุดคร่าไว้ว่าไร |
ลูกรักจักทรงโศกี | ด้วยบิดาหามีเหมือนเขาไม่ |
ลูกทางกลางป่าพนาลัย | เลี้ยงไว้ทุบเล่นเช่นปลา |
ว่าพลางค้อนควักผลักกัด | เบือนสะบัดสะเทิ้นเมินหน้า |
คืนเข้าห้องในไสยา | แกล้งปิดทวาราฉับพลันฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์เพราเพริศเฉิดฉัน |
ตามนางย่างเยื้องจรจรัล | ทรงธรรม์ผลักบานทวารชัย |
แล้วตรัสปลอบโฉมยงนงลักษณ์ | น้องรักผู้ยอดพิสมัย |
เจ้าลั่นกลอนซ่อนตัวกลัวใคร | ดวงใจจงรับเรียมรา |
ข้อคิดผิดพลั้งแต่หลังนั้น | จะทำขวัญมิ่งมิตรขนิษฐา |
โฉมเฉิดจงเปิดทวารา | อย่าโกรธาสลัดตัดรอนฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์มณีศรีสมร |
ฟังตรัสมธุรสสุนทร | นางยิ้มย้อนทูลองค์ทรงชัย |
พระอย่าแกล้งแต่งข้อล่อลวง | ซาบทรวงพี่แสนพิสมัย |
ไม่เกลียดอีหน้าม้าฤๅว่าไร | เชิญไปเมืองโรมบุรีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ แสนคม | ลิ้มลมละเมียดเสียดสี |
เรียมรักนักแต่แม่มณี | การนี้ย่อมรู้อยู่ด้วยกัน |
เดิมทีตัวพี่สัญญาไว้ | จะรักใคร่แก้วตาจนอาสัญ |
ก็สมหวังดังจิตคิดกัน | สาวสวรรค์จงได้เมตตา |
ว่าพลางทางผลักประตูห้อง | เสียงพิลึกกึกก้องหนักหนา |
คึกคักผลักไสกันไปมา | ทวาราหักพับยับไปฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ โฉมยงจึงตรงเข้าหยิกตี | จะมีความปรานีก็หาไม่ |
ค้อนเคืองเยื้องย่องเข้าห้องใน | ผินหลังนั่งไกวพระกุมารฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองว่องไวใจหาญ |
ต้องหยิกตีปี้ป่นสู้ทนทาน | แล้วตามองค์นงคราญเข้ามา |
ลงนั่งแนบแอบอิงพิงพาด | เพราะความแสนพิศวาสหนักหนา |
โฉมเฉิดเลิศลํ้ากัลยา | อนิจจาขัดเคืองพี่เรื่องไร |
จากเจ้าเศร้าทรวงเป็นห่วงหนัก | จนเผือดพักตร์ตรมตรอมผอมไผ่ |
พึ่งพบแก้วแววตายาใจ | ประหนึ่งได้ดอกฟ้ามณฑาทอง |
จงคิดถึงความหลังครั้งนั้น | อย่าดุดันขวยเขินเมินหมอง |
ตรัสพลางเชยช้อนกรตระกอง | นวลละอองจงได้เมตตาฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดสี | ช่างพาทีง่ายง่ายไม่อายหน้า |
ไม่เคยคู่รู้จักพักตรา | พระอย่ามาโลมเล้าเคล้าคลึง |
ชาติอีหน้าม้าตาจระเข้ | เสเพลไม่เยี่ยมขึ้นเทียมถึง |
ฟุ้งเฟื่องเลื่องลือออกอื้ออึง | กูมึงทั้งเมืองเครื่องอัปรีย์ |
ความหลังอย่างไรไม่ประจักษ์ | พระอย่าพักเกลี่ยไกล่ใส่สี |
ทราบแต่ถึงวังครั้งนี้ | พันปีกริ้วโกรธคุมโทษทัณฑ์ |
บัญชาว่าแม้นจะม้วยมิด | ไม่ขอคิดปลักปลอมกับหม่อมฉัน |
ถึงจะชุบตัวใหม่วิไลวรรณ | ทรงธรรม์ก็ไม่อยากไยดี |
ชาววังทั้งสิ้นได้ยินทั่ว | เกลียดกลัวอับอายจนหน่ายหนี |
มิทันล่วงเวลาราตรี | มาเป็นเช่นนี้อนาถใจ |
เขฬะพระถ่มลงจมดิน | จะกลับคืนกลืนกินกระไรได้ |
เชิญเสด็จผ่านฟ้าคลาไคล | คนจนจะได้ไสยาฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ แสนคม | ลิ้นลมแหลมหลักหนักหนา |
ใครใช้ให้แสร้งแปลงกายา | อนิจจาไม่แจ้งแพร่งพราย |
ผิดพลั้งครั้งก่อนมางอนง้อ | ยังเคืองขัดตัดพ้อไม่รู้หาย |
โฉมยงจงล้างให้วางวาย | จะยอมอยู่สู้ตายไม่กลับไป |
พี่กับทรามเชยเคยเป็นคู่ | จะข่มขู่ตะบึงไปถึงไหน |
ผัวเก่าเมียเขาเคยเข้าใจ | เยื่อใยยังติดสนิทดี |
ว่าพลางเลี้ยวลอดกอดรัด | อะไรเจ้าเฝ้าสะบัดเบือนหนี |
แต่พลัดพรากจากมากว่าปี | แก้วพี่จงหย่อนผ่อนปรนฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังบัญชา | วันทาทูลความตามนุสนธิ์ |
น้องนี้สุดเสงี่ยมเจียมตน | ยากจนขายเบื้องพระบาทา |
จะละโบมโลมเลี้ยงเคียงพักตร์ | ต่ำศักดิ์ไม่สมวาสนา |
เมียรู้จะจู่จรมา | ฝ่ายข้าสำหรับจะอับอาย |
พระองค์จงยั้งหยุดคิด | โดยระบอบชอบผิดทั้งหลาย |
ข้าบาทไมอาจออกกาย | ให้เคืองขายบาทาฝ่าธุลีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ยอดมิ่ง | ความจริงไม่แจ้งแสร้งใส่สี |
ถึงโฉมยงองค์พระบุตรี | แต่เจ้ามียศถายิ่งกว่าคน |
หนึ่งแก้วมีคุณแก่ผัวแก้ว | ควรแล้วจะรักเป็นพักผล |
นางอะไรหมื่นแสนแดนสกล | ไม่เหมือนมิ่งนฤมลอย่าเจรจา |
จะถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงเจ้า | ประเทียบเท่าดวงเนตรเชษฐา |
ขอเชิญโฉมอรไทไคลคลา | ไปนิทราปรางค์ศรีกับพี่ชาย |
ตรัสพลางทางอุ้มเอาลูกรัก | พิศพักตร์สายใจพระทัยหาย |
ชลนัยน์ไหลหลั่งพรั่งพราย | รับขวัญบรรยายไปมา |
โอ้ลูกน้อยกลอยใจนัยน์เนตร | บิตุเรศโง่เง่าเขลาหนักหนา |
ไม่รู้จักพักตร์แก้วแววตา | ชั่วช้าทุกสิ่งจริงจัง |
ว่าพลางทางอุ้มพระลูกชาย | ด่วนเสด็จผันผายโดยหวัง |
นางมณีโกรธเกรี้ยวเหนี่ยวรั้ง | อื้ออึงตึงตังตามไปฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงซึ่งปรางค์รัตนา | พระเรียกสองกัลยามาใกล้ |
ส่งลูกให้พลันทันใด | จูงหัตถ์ทรามวัยเข้าห้องทองฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์ชัชวาลย์ | แสนสำราญเกลียวกลมสมสอง |
เอนแอบแนบเนื้อนวลละออง | ต่างปรองดองระงับหลับไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ รุ่งรางส่างแสงสุริยง | พระชวนองค์นางมณีศรีไส |
มาโสรจสรงทรงเครื่องอำไพ | นั่งในแท่นรัตน์รจนาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สาวสนมกำนัลถ้วนหน้า |
ถึงเวลาเฝ้าก็เข้ามา | หมอบเมียงเรียงหน้านารี |
ผันแปรแลเห็นพระโฉมยง | นั่งแนบแอบองค์มณีศรี |
งามดังสุริยงทรงฤทธี | เคียงองค์จันทรีในอัมพร |
ต่างคิดพิศวงหลงใหล | รักใคร่พุ่มพวงดวงสมร |
ต่างเข้าน้อมกายถวายกร | วิงวอนงอนง้อขออภัย |
โฉมยงจงทรงพระเมตตา | อย่าได้ถือโทษาบ่าวไพร่ |
ผิดพลั้งบังอาจประมาทใจ | ทรามวัยจงโปรดปรานีฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์นางมณีศรี |
ยิ้มพลางทางตอบวาที | สาวศรีอย่าร้อนวิญญา |
ไม่ชิงชังรังเกียจเดียดฉันท์ | จงเป็นพี่น้องกันไปวันหน้า |
ข้ากรมเดียวกันไม่ฉันทา | รักกันดีกว่าเป็นไรมีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สาวสรรบังคมก้มเกศี |
ชื่นใจในรสวาที | ต่างมีเสนหาอาลัย |
พร้อมพรั่งนั่งพิศรูปโฉม | แลประโลมเลิศลํ้าต่ำใต้ |
ชื่นชมสมภารสำราญใจ | หฤทัยเกษมเปรมปรีดิ์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางพี่น้องสองศรี |
เลี้ยงพระหน่อไทธิบดี | อยู่ที่ห้องในไสยา |
พวยพุ่งรุ่งแสงสุริยง | โสรจสรงเสร็จพลันหรรษา |
โอบอุ้มจุมพิตพักตรา | พามาเฝ้าองค์ทรงธรรม์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงคลานเข้าไป | กราบไหว้เทวีขมีขมัน |
ทูลว่าข้ารับโทษทัณฑ์ | ชีวันอยู่ใต้บาทา |
เลี้ยงไว้จะได้เป็นเกือกทอง | พี่น้องจะพ้นโทษา |
แม้นมิเลี้ยงไว้ใต้บาทา | เห็นว่าจะไม่ปลอดรอดตาย |
มิทูลจำทูลพระทรงฤทธิ์ | เพราะจะล้างชีวิตให้ฉิบหาย |
ทูลพลางทางอุ้มพระลูกชาย | ถวายนางโฉมฉายทันทีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมเฉลาเยาวยอดนารีศรี |
รับโอรสาแล้วพาที | เจ้านี้ประมาทอาจอง |
เดิมเราสัญญาว่าไว้ | มิให้ทูลความตามประสงค์ |
เจ้ารับคำสำคัญมั่นคง | เหตุไรไม่คงสัจจา |
ฤๅเห็นเราสถุลบุญน้อย | ต่ำต้อยไม่มีวาสนา |
พันปีเธอมีพระอาญา | กลัวกว่าเราฤๅประการใดฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางอกสั่นหวั่นไหว |
สุดคิดสุดจนเป็นพ้นไป | มิได้โต้ตอบวาที |
กราบแล้วกราบเล่าเฝ้ากราบกราน | ตัวสั่นสะท้านดังลงผี |
หมอบนิ่งไม่ติงอินทรีย์ | ความกลัวชีวีวายชนม์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์ตรัสตอบอนุสนธิ์ |
ซึ่งนารีพี่น้องสองคน | โทษใหญ่หลวงล้นจะรำพัน |
ผัวรักจักขอชีวิตไว้ | เจ้าอย่าได้เคืองขุ่นหุนหัน |
เหตุเพราะพี่ยาจะฆ่าฟัน | นางนั้นจึงแจ้งแห่งคดี |
คุณโทษนั้นครึ่งกึ่งกัน | จอมขวัญหยุดยั้งฟังพี่ |
แม้นทีหลังยังเป็นเช่นนี้ | จะฆ่าตีไม่ห้ามตามใจ |
ตรัสพลางทางอุ้มพระลูกรัก | กอดจูบลูบพักตร์พิสมัย |
แล้วตรัสสั่งท้าวนางข้างใน | เร่งไปจัดสรรทันที |
แม่นมพี่เลี้ยงเคียงประคอง | อู่ทองอ่างสรงวารีศรี |
ให้พี่น้องทั้งสองนารี | ใหญ่กว่านารีทั้งวังใน |
แล้วภูบาลประทานเครื่องทรง | ตั้งเป็นจอมอนงค์น้อยใหญ่ |
ให้เป็นคนสำหรับรับใช้ | อยู่ในโฉมยงนงคราญฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ท้าวนางคำนับรับบรรหาร |
ออกจากไพชยนต์ลนลาน | จัดการตามมีบัญชามาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองสุริย์วงศ์พงศา |
นั่งแนบแอบชิดพนิดา | ชูชื่นวิญญาพันทวี |
คลึงเคล้าเฝ้าชมสมสวาดิ | แอบอิงพิงพาดเกษมศรี |
แล้วชวนแก้วกัลยานารี | จรลีขึ้นเฝ้าท้าวไทฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงซึ่งปรางค์มรกต | เข้าไปประณตประนมไหว้ |
อุ้มองค์พระกุมารชาญชัย | ถวายสองท้าวไทฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองกษัตริย์ธิราชรังสรรค์ |
รับองค์นัดดามาพลัน | ทรงธรรม์มุ่งมองป้องพักตรา |
พิศดูรูปร่างนางมณี | เลิศลํ้านารีในแหล่งหล้า |
จึงเอื้อนอรรถตรัสถามลูกยา | เมียมาตามฤๅประการใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโอรสยิ้มแย้มแจ่มใส |
กราบพลางทางทูลฉลองไป | มิใช่ชาวโรมบุรี |
โฉมตรูอยู่กรุงมิถิลา | ผ่านฟ้าไม่ทราบบทศรี |
ทูลพลางทางถวายอัญชุลี | ภูมีแย้มยิ้มพริ้มพรายฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองกษัตริย์ตรัสไปดังใจหมาย |
อยู่นี่ที่ไหนไม่เห็นกาย | โฉมฉายซ่อนซนอยู่หนใด |
รูปทรงโสภายาจิต | พักตร์พิศดังดวงแขไข |
นี่ฤๅคือบุตรของทรามวัย | เหมือนลูกอีจังไรสัปดนฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโอรสทูลแจ้งแห่งนุสนธิ์ |
สององค์ทรงภพจบสกล | มิได้แจ้งยุบลต้นปลาย |
ซึ่งนวลนางโฉมยงองค์นี้ | เป็นที่ผูกพันมั่นหมาย |
ทูลความตามขันบรรยาย | ให้ทรงแจ้งแพร่งพรายทุกประการฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองกษัตริย์ปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
ลงจากแท่นที่ตะลีตะลาน | สวมกอดเยาวมาลย์แล้วตรัสมา |
ดูดู๋ยอกย้อนซ่อนรูปทรง | พ่อนี้โง่งงเป็นหนักหนา |
ได้ลบหลู่ดูถูกลูกยา | อย่าถือผิดบิดาเลยดวงใจ |
น้อยฤๅรูปราวสาวสวรรค์ | น่าชมสมกันจะหาไหน |
สวมรูปหน้าม้าไว้ว่าไร | น้อยใจหนักหนาเป็นน่าชัง |
มารดรกรกอดศรีสะใภ้ | ทรามวัยกอดจูบลูบหลัง |
น้อยฤๅดวงจิตช่างบิดบัง | ลูกน้อยร้อยชั่งระกำกายฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางมณีทูลไปดังใจหมาย |
รูปนี้เกิดกับสำหรับกาย | จึงมีความเสียดายเป็นพ้นไป |
ซึ่งข้อคิดปิดบังทั้งนี้ | เพราะมีความสมัครรักใคร่ |
จึงลูกไม่ผูกโพยภัย | ชีวิตอยู่ใต้พระบาทาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | บิตุรงค์ทรงพระสรวลสำรวลร่า |
แม่เจ้าเขาดีมีปัญญา | ตรึกตราถูกต้องทำนองใน |
บุญคุณของเจ้าเท่าแผ่นภพ | ช่วยรบแก้ผัวเอาตัวได้ |
จะเลี้ยงแก้วแววตายาใจ | เป็นใหญ่ยิ่งกว่าทุกนารี |
ว่าพลางทางอุ้มพระนัดดา | จุมพิตพักตราเกษมศรี |
หลานเอ๋ยคิดมาน่าปรานี | ปู่นี้ชั่วช้าสารพัน |
ละเลยเจ้าไว้ให้ได้ยาก | ที่ลำบากตกต่ำจะทำขวัญ |
ทีนี้ประจักษ์จะรักกัน | ตรัสพลางสรวลสันต์สนั่นไปฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อนรินทร์พินทองผ่องใส |
จึงชวนโฉมนางงามทรามวัย | ทูลลาคลาไคลยังปรางค์ปราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงเข้าในห้องทอง | นั่งแนบแอบน้องเสนหา |
กอดเกยเชยชมภิรมยา | ถ้อยทีปรีดาสำราญฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ผู้ดำรงราชฐาน |
เนาในปรางค์รัตน์ชัชวาลย์ | เบิกบานในราชหฤทัย |
คิดจะเสกเอกองค์โอรส | ให้ลือนามงามยศเป็นใหญ่ |
ควรจะคิดไว้วางต่างใจ | จึงปรึกษาทรามวัยทันทีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ จะเสกพระโอรสยศยง | ครองกรุงกับองค์มณีศรี |
ตัวเราแก่เฒ่าลงทุกที | นับปีจะม้วยมรณา |
จะฝากซากศพพระลูกรัก | พร้อมพักตร์อยู่นี่ดีหนักหนา |
ไปอยู่ต่างเวียงชัยไกลตา | มารดาจะเห็นเป็นอย่างไรฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางมณฑาเทวีศรีใส |
กราบพลางทางทูลทันใด | พระตรึกไตรต้องอย่างทางธรรม์ |
ถึงนวลนางมณีนี้เล่า | ใช่พงศ์เผ่ากษัตริย์รังสรรค์ |
บุญมีเป็นที่อัศจรรย์ | กุมภัณฑ์ยังแพ้ฤทธา |
ควรจะอภิเษกเอกฉัตร | ผ่านสมบัติสืบวงศ์พงศา |
ช่วยชีพกษัตริย์ภัสดา | มีคุณลูกข้าเป็นพ้นไป |
รู้ถึงเมืองโรมบุรี | จะว่ากล่าวเรานี้ก็มิได้ |
คู่เสกเขารักกันร่วมใจ | โอรสยศไกรเป็นประธานฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังเมียรัก | ทรงศักดิ์สรวลสันต์แล้วบรรหาร |
ท่านแม่ผัวตัวดีปรีชาชาญ | กล่าวการตามธรรมเนียมมา |
หมื่นแสนแม้นจะเป็นสะใภ้ | เห็นจะไม่มุ่งมาดปรารถนา |
สมตรึกนึกไว้ได้หน้าตา | ตรัสพลางผ่านฟ้าจรลีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงพระโรงเรืองรอง | นั่งบนแท่นทองผ่องศรี |
พร้อมหมู่อำมาตย์มนตรี | ภูมีตรัสถามโหรา |
วันใดจะได้ฤกษ์เอก | เราจะอภิเษกโอรสา |
สมโภชทั้งหน่อกษัตริย์นัดดา | เร่งดูฤกษ์เวลานาทีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | โหรเฒ่ารับสั่งใส่เกศี |
นิ่งนับจับยามตามคัมภีร์ | แล้วชุลีทูลองค์ทรงธรรม์ |
ฤกษ์ยามสามค่ำเป็นกำหนด | ปลอดปลดทักทินยมขันธ์ |
บ่ายเบิกฤกษ์ดีตรีจันทร์ | ทรงธรรม์จงทราบพระบาทาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังทูล | เพิ่มพูนภิรมย์หรรษา |
จึงเอื้อนอรรถตรัสสั่งเสนา | เร่งปลูกโรงมหาพิธีการ |
แล้วชวนกันเร่งรัดจัดแจง | ตกแต่งจงรอบราชฐาน |
สั่งเสร็จเสด็จบทมาลย์ | เข้าปราสาทสุรกานต์ทันใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีผู้มีอัชฌาสัย |
ต่างเร่งรีบร้อนไม่นอนใจ | มาเกณฑ์ไพร่ระดมสมทบ |
ทำการอุตลุดไม่หยุดยั้ง | กรมวังกรมนามาบรรจบ |
แบ่งปันกันทำจนค่ำพลบ | แต่งตามขนบธรรมเนียมมาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้งถึงกำหนดสยุมพร | รีบร้อนมายังข้างหน้า |
เร่งรัดจัดกระบวนโยธา | เสื้อผ้าหลายอย่างต่างกัน |
บ้างถือธงเทียวเขียวแดง | สีแสงสลับขบขัน |
พร้อมพรั่งหลังหน้าห้าพัน | ชวนกันรอรับพระทรงชัย |
บ้างเทียมรถสุรกานต์ยานุมาศ | เกลื่อนกลาดคู่แห่แลไสว |
คั่งคับสับสนปนไป | นายไพร่พร้อมพรั่งระวังการฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพินทองว่องไวใจหาญ |
ครั้งรุ่งรางสางแสงสุริย์กานต์ | ภูบาลถวิลยินดี |
จึงเอื้อนอรรถตรัสชวนนวลละออง | เสด็จออกจากห้องมณีศรี |
กรายกรย่างเยื้องจรลี | มาเข้าที่โสรจสรงคงคาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ลูบไล้เครื่องต้นสุคนธ์ธาร | หอมหวานซับซาบมังสา |
พระสวมสอดสนับเพลาพราวตา | นางนุ่งผ้าจัดกลีบจีบประจง |
พระนุ่งยกกรองทองระยับ | นางช่วยจับไว้วางหางหงส์ |
พระเสร็จสวมตาดทองฉลององค์ | นางโฉมยงทรงสะพักอำไพ |
พระเสร็จเจียระบาดคาดเข็มขัด | นางทรงผัดพักตร์แลดังแขไข |
พระทรงตาบทับทรวงดวงวิไล | นางทรงนวมสวมใส่สังวาลวัลย์ |
พระทรงทองกรแก้วแววไว | นางสอดใส่ธำมรงค์เฉิดฉัน |
พระสวมทรงมงกุฎพรายพรรณ | นางทรงรัดเกล้ากุดั่นจินดาดีฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ครั้นเสร็จเสด็จยุรยาตร | นำองค์อัครราชนารีศรี |
ออกจากห้องสุวรรณทันที | จรลีขึ้นเฝ้าพระบิดาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | กรุงกษัตริย์ชื่นแช่มแจ่มใส |
จึงตรัสกับลูกรักร่วมใจ | พ่อไซร้ถวิลจินดา |
โฉมยงองค์นางมณีนาฏ | จะเป็นองค์อัครราชเสน่หา |
ทั้งเกิดบุตรสุดสายกษัตรา | ยายตาควรคงเป็นพงศ์พันธุ์ |
พ่อจะให้ไปรับเข้ามาด้วย | จะได้ช่วยทำมิ่งสิ่งขวัญ |
เพราะลูกหลานว่านเครือเจือกัน | เจ้านั้นจะเห็นเป็นอย่างไรฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมประโลมพิสมัย |
จึงนบนิ้วทูลพลันทันใด | ซึ่งตรัสมานี้ไซร้เห็นควรนัก |
พระองค์จงให้ไปรับมา | ถึงแม้นว่าบุญน้อยถอยศักดิ์ |
บุตรีมีคุณการุญรัก | ควรจักคำนับรับพรฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังโอรส | ทรงยศมีความสโมสร |
จึงตรัสสั่งสุรางค์นางนิกร | รีบร้อนผายผันให้ทันที |
จงนำวอช่อฟ้าคลาไคล | ออกไปยังบ้านท่านเศรษฐี |
พรายแพร่งแจ้งความตามคดี | เชิญมาบัดนี้อย่านอนใจฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สาวสรรรีบสั่งไม่ยั้งได้ |
ชวนกันวันทาคลาไคล | ออกไปเรียกวอจรจรัลฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ได้พร้อมก็ชวนกันด่วนจร | รีบร้อนจากที่ขมีขมัน |
เลี้ยวลัดรัถยามาพลัน | บ้างหามวอสุวรรณตามมาฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงขึ้นบนบันได | กราบไหว้เศรษฐีมียศถา |
ท้าวนางต่างแจ้งกิจจา | พระธิดาท่านไซร้ได้ดี |
สองกษัตริย์สุริย์วงศ์ทรงชัย | จะเสกให้เป็นมิ่งมเหสี |
กำหนดจะทำขวัญวันนี้ | ให้เชิญท่านจรลีทั้งสองราฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าได้ฟังไม่กังขา |
ชื่นชมสมใจได้หน้าตา | ลุกเข้าเคหาทันใด |
ท่านตานุ่งผ้าลายฉลาง | ยายนุ่งตารางแกมไหม |
ห่มผ้ามัสรู่ดูวิไล | แล้วออกจากห้องในฉับพลัน |
ยืนอยู่ดูวอช่อฟ้า | ขึ้นหน้าเป็นเหมเกษมสันต์ |
เปรมปริ่มยิ้มเยื้อนเตือนกัน | ให้นั่งในวอสุวรรณทันใด |
ยองยองมองซ้ายมองขวา | กอดอกตกประหม่าจนเหงื่อไหล |
กลัวตกงกงันพรั่นใจ | โขลนจ่าพาไปทันทีฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงลงจากวอทอง | ทั้งสองมหาเศรษฐี |
ท้าวนางต่างนำจรลี | เข้าเฝ้าพันปีฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ กราบลงตรงพักตร์ภูมี | ท่ามกลางนารีสาวสรร |
ไม่รู้จักธิดาลาวัณย์ | ชวนกันหมอบนิ่งไม่ติงกายฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์เพราเพริศเฉิดฉาย |
ยกกรวันทาท่านตายาย | โฉมฉายเข้ากราบกับบาทา |
สองนางต่างอุ้มพระโอรส | เข้าไปประณตตรงหน้า |
นางโฉมยงรับองค์ลูกยา | ส่งให้เจ้าขรัวตาทันทีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ยายตามหาเศรษฐี |
ชูองค์พระหน่อธิบดี | มิรู้ที่จะวางลงอย่างไร |
เห็นธิดามายอบหมอบคลาน | ลนลานพังพาบลงกราบไหว้ |
ทำเหลียวหลังเหลียวหน้าแล้วว่าไป | แม่โฉมงามนามใดนะทรามเชย |
เราเป็นคนยากเย็นเข็ญใจ | มาวันทาข้าไยนะแม่เอย |
ไหนออแก้วลูกข้าไม่มาเลย | ชะแง้เงยแลหาตาเหลือกลานฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | กรุงกษัตริย์สรวลสันต์แล้วบรรหาร |
นั้นและคือองค์นางนงคราญ | พระกุมารหน่อกษัตริย์เป็นนัดดา |
แล้วเล่าความตามต้นแต่หนหลัง | ทรงพระสรวลเสียงดังร่าร่า |
เราเป็นเกี่ยวดองกันนะท่านตา | จงเชยชมธิดาให้อิ่มใจ |
รูปหล่อนแต่ก่อนกับเดี๋ยวนี้ | สองเศรษฐีจะเห็นเป็นไฉน |
จะเสกสองให้ครองพระเวียงชัย | เราจะได้ฝากชีพชีวันฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเศรษฐีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
สวมกอดธิดาวิลาวัณย์ | ชวนกันกอดจูบลูบพักตร์ |
น้อยฤๅรูปร่างดังนางฟ้า | จนมารดาแปลกไปไม่รู้จัก |
ชิงกันชมพระกุมารหลานรัก | เฝ้าสอบซักปราศรัยกันไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวมงคลราชนาถา |
ครั้นเบี่ยงบ่ายชายแสงสุริยา | จึงตรัสชวนสุนิสานารี |
ทั้งนงลักษณ์อัคเรศโอรสราช | พวกพระญาติเกี่ยวดองสองเศรษฐี |
แห่ห้อมล้อมล้วนแต่นารี | จรลียังเกยสุรกานต์ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ต่างองค์ทรงรถเรียงรัน | นางกำนัลเชิญเครื่องเนื่องขนาน |
สองเศรษฐีขี่วอชัชวาล | แห่ออกนอกทวารวังในฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน
๏ ครั้นถึงซึ่งโรงพิธี | ต่างลงจากรถมณีศรีใส |
ดำเนินนำลูกยาคลาไคล | เข้าในโรงสุวรรณทันทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงจูงพระพินทอง | ให้นั่งยังกองมณีศรี |
พระมารดาจูงกรนางมณี | ขึ้นนั่งกองทองที่ธรรมเนียมมา |
สองอนงค์อุ้มองค์พระกุมาร | ขึ้นแท่นรัตน์ชัชวาลตรงหน้า |
ให้ลั่นฆ้องร้องโห่ขึ้นสามลา | พราหมณ์ชราจุดเทียนแล้วเวียนไปฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เวียนได้เก้ารอบชอบที | พราหมณ์ก็ดับอัคคีเจิมให้ |
ต่างต่างอำนวยอวยชัย | ต่อให้จำเริญชนมาน |
พระบิดาว่าเจ้าจงครองเมือง | ให้รุ่งเรืองสืบศักดิ์อัครฐาน |
ชนนีว่าอย่ามีซึ่งภัยพาน | ให้สำราญรวยรื่นทุกคืนวัน |
สองเศรษฐีว่าจงมีเกียรติยศ | ให้ปรากฏทั้งกุมารหลานขวัญ |
ราษฎรยอกรบังคมคัล | พร้อมกันอำนวยอวยชัยฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นเสร็จการวิวาห์พอราตรี | ชนนีก็อวยพระพรให้ |
ชื่อมณีศรีเมืองเรืองฤทธิไกร | ได้เป็นใหญ่ที่ทางนางพระยา |
ซึ่งพี่น้องสองนางนารี | ได้เป็นที่เอกสนมสมยศถา |
สรรพเสร็จเสด็จยาตรา | แห่ห้อมล้อมมาเข้าวังในฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | นางทัศมาลีศรีใส |
แต่คอยคอยสร้อยเศร้าเปล่าใจ | ไม่เห็นพระผัวนั้นมาธานี |
ฤๅสมเด็จบิตุรงค์ทรงศักดิ์ | ประชวรหนักจึงไม่กลับมากรุงศรี |
จะนิ่งอยู่ก็ไม่รู้ซึ่งร้ายดี | จำจะจรลีรีบไป |
คิดพลางย่างเยื้องยุรยาตร | ลงจากอาสน์มณีศรีใส |
พรั่งพร้อมสุรางค์นางใน | คลาไคลขึ้นเฝ้าพระบิดาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ | ทูลองค์บิตุเรศนาถา |
ลูกรักจักขอบังคมลา | ไปยังเมืองมิถิลาธานีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | กรุงกษัตริย์ตอบความไปตามที่ |
ควรแล้วแก้วพ่อจะจรลี | ด้วยบิดาสามีประชวรนัก |
เนื้อเย็นเป็นที่ศรีสะใภ้ | ควรไปเฝ้าองค์ทรงศักดิ์ |
เห็นหายแล้วแก้วตาอย่าช้านัก | จงชวนชักภัสดากลับมาวัง |
พระมารดรถอนใจไห้สะอื้น | สู้กลํ้ากลืนกอดจูบลูบหลัง |
กษัตราลีลาจากบัลลังก์ | เสด็จยังพระโรงอันรูจีฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงตรัสสั่งจตุสดมภ์กรมท่า | เร่งตบแต่งเภตราทาสี |
รอกเสาเพลาใบทำให้ดี | ให้เสร็จวันนี้อย่านอนใจฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีผู้มีอัชฌาสัย |
รับสั่งบังคมภูวไนย | คลาไคลออกจากพระโรงธารฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ให้ถอยลำสำเภาออกจากอู่ | คนผู้วุ่นจริงวิ่งพล่าน |
จัดแจงแต่งตามพระโองการ | มารอรับเยาวมาลย์ทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | นางทัศมาลีศรีใส |
รุ่งรางสางแสงอโณทัย | ทรามวัยจัดแจงแต่งกายา |
พรั่งพร้อมสาวศรีพี่เลี้ยง | บังคมเคียงเรียงรายทั้งซ้ายขวา |
ออกจากปรางค์ทองห้องไสยา | ลงสู่เภตราทันใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงจึงลงท้ายบาหลี | นารีพรั่งพร้อมล้อมไสว |
นายท้ายบ่ายลำแล่นไป | ออกจากเวียงชัยฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โล้
๏ เดือนหนึ่งถึงกรุงมิถิลา | ประทับทอดจอดท่าแม่น้ำนั่น |
พวกต้นหนคนงานชำนาญครัน | พัลวันเลื่อนลดปลดใบฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ขุนสมุทรกองด่านทหารใหญ่ |
เห็นนาวามาจอดทอดแต่ไกล | จึงร้องทักถามไปด้วยทันที |
เภตรานี้มาแต่ไหนนั่น | จงบอกกันโดยกระบวนให้ถ้วนถี่ |
เป็นพ่อค้าฤๅมาเป็นไมตรี | ร้ายดีจงแถลงให้แจ้งกิจจาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พวกขุนนางต่างบอกออกความว่า |
บัดนี้โฉมยงองค์ธิดา | อยู่พาราโรมราชบุรี |
มาเฝ้าพระพงศ์นรินทร์พินทอง | กษัตริย์สองจุณเจิมเฉลิมศรี |
เอ็นดูด้วยช่วยทูลพระพันปี | จะปรานีโปรดปรานประการใดฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ขุนสมุทรฟังแจ้งแถลงไข |
ร้องเรียกบ่าวชาวด่านเป็นการไว | ลงเรือบดแล่นไปในทันทีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงจอดทอดท่า | ก็ขึ้นจากนาวาเกษมศรี |
เสด็จออกท้องพระโรงอันรูจี | จึงเข้าอัญชุลีฉับพลันฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงกราบบังคมทูล | องค์พระนเรนทร์สูรรังสรรค์ |
บัดนี้พระธิดาวิลาวัณย์ | มาตามองค์ทรงธรรม์ถึงเวียงชัย |
เภตรามาจอดทอดอยู่ | แต่เช้าตรู่นอกปราการด่านใหญ่ |
ให้ทูลเบื้องบาทบงสุ์ทรงชัย | ภูวไนยจงทราบบาทาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระทรงโฉมประโลมเสนหา |
ฟังทูลโดยมูลกิจจา | พระนิ่งนึกตรึกตราในพระทัย |
กรรมกรรมจะทำให้เกิดเข็ญ | คงจะเป็นลุกลามความใหญ่ |
จึงตรัสสั่งนายด่านชาญชัย | ไปบอกให้เข้ามายังธานี |
เราจับไข้ไม่สบายมาหลายวัน | สุดจะไปรับกันให้ถึงที่ |
ตรัสพลางย่างเยื้องจรลี | เข้าที่ตำหนักในไสยาฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ นั่งแนบแอบองค์นางนงลักษณ์ | ยิ้มละไมในพักตร์แล้วบอกว่า |
บัดนี้เมืองโรมพารา | ตามมาถึงท้ายเวียงชัยฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ฟังตรัส | ชุลีหัตถ์ทูลความถามไถ่ |
เมียมาข้าพรั่นประหวั่นใจ | จะเป็นรองต้องให้ดอกไม้กระมังฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เจ้าพี่ | เจ้าว่าไรอย่างนี้นะร้อยชั่ง |
เสน่ห์นุชสุดถนอมเป็นจอมวัง | จะมานั่งน้อยหน้าว่ากระไร |
นางอื่นหมื่นแสนแม้นจะเปรียบ | จะเทียมเทียบแก้วตาไม่หาได้ |
แล้วจูงกรโฉมงามทรามวัย | เข้าในแท่นที่ศรีไสยาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้น | ขุนสมุทรกองด่านทหารกล้า |
รีบชวนเหล่าบ่าวไพร่ไคลคลา | ลงลำนาวาทันใดฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงจอดทอดประทับ | แล้วบอกกับเสนาหาช้าไม่ |
พระประชวรป่วนปวดพระเศียรไป | ให้เชิญเสด็จเข้าในธานีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อำมาตย์เมืองโรมวิถี |
ฟังบอกออกความตามคดี | จรลีมาเฝ้าเยาวมาลย์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงน้อมศิโรเพฐน์ | ทูลองค์อัคเรศยอดสงสาร |
พระประชวรป่วนปั่นหลายวันวาร | ให้ขุนด่านนำพาเข้าธานีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระธิดามารศรี |
ได้ฟังจึงสั่งแก่เสนี | ให้แล่นลำนาวีเข้าพาราฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อำมาตย์บังคมก้มเกศา |
มาเร่งรัดจัดกันมิทันช้า | พวกเภตราแล่นเรื่อยเฉื่อยไปฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โล้
๏ มาถึงจึงจอดทอดสมอ | ตีม้าฬ่อเลื่อนลั่นสนั่นไหว |
บ้างหย่อนสายเชือกลดปลดใบ | นายไพร่วุ่นวิ่งเป็นสิงคลีฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระธิดามารศรี |
จึงสั่งสองพี่เลี้ยงนารี | ครั้งนี้ออกหน้าอย่าให้อายฯ |
เร่งจัดแจงแต่งตัวจงทั่วกัน | สารพันให้ประเสริฐเฉิดฉาย |
สั่งพลางยุรยาตรนาดกราย | ผันผายมาสรงพระคงคาฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
ชมตลาด
๏ นํ้ากุหลาบอาบอบตรลบฟุ้ง | ทรงสุคนธ์ปนปรุงกฤษณา |
ทรงภูษิตเยียรบับจับตา | สะพักผ้าตาดทองรองเรือง |
ทรงสร้อยนวมสวมสังวาลรัด | พระพักตร์ผัดหนุ่มเนื้อเรื่อเหลือง |
สวมกำไลลงยาวราเรือง | ธำมรงค์ค่าเมืองเรืองรอง |
ทรงรัดเกล้าวาวแววแก้วกุดั่น | ห้อยสุวรรณมาลีไม่มีหมอง |
พระพี่เลี้ยงเคียงข้างคอยประคอง | เยื้องย่องลงจากเภตราฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงซึ่งสถานทวารวัง | เห็นคนนั่งคึกคักอยู่หนักหนา |
เจ้าขรัวยายผายผันมาวันทา | นำมาเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงเห็นสองกษัตริย์ | นั่งบนแท่นรัตน์นรังสรรค์ |
เคืองแค้นแน่นใจดังไฟกัลป์ | ก็ลุยเหล่าสาวสรรนั้นเข้ามา |
ลงนั่งแทรกแหวกกลางทางประชด | ดูทรงยศผิดพักตร์ลงหนักหนา |
ประชวรนั้นฉันใดในกิจจา | พ่อนี้หนาองค์ร้อนดังนอนไฟ |
ทั้งมดหมอสอนั่งสะพรั่งพร้อม | เป็นเหล่าล้อมซ้อนซับไม่นับได้ |
ออกรอบข้างอย่างนี้จึงมิไป | ทั้งหมอใหญ่หมอน้อยคอยอยู่งานฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังพาที | นางมณีเคืองใจดังไฟผลาญ |
ยิ้มพลางทางว่าน่ารำคาญ | มารุกรานคุมเหงไม่เกรงใจ |
นี่ฤๅชาวเมืองโรมช่างโหมฮึก | ไม่รู้สึกร้อนเย็นเป็นไฉน |
พระพินทองของตัวฤๅผัวใคร | มาลอยหน้าว่าได้ไม่อับอายฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ได้ฟัง | ยิ่งแค้นคั่งเคืองหูไม่รู้หาย |
ลุกสะบัดคัดค้อนย้อนภิปราย | ซึ่งดีร้ายฝ่ายเราไม่เข้าใจ |
พระพินทองของตัวเป็นผัวรัก | ฤๅลอบลักได้ปันกันที่ไหน |
เราเป็นคู่สู่ขอกับหน่อไท | จะพาไปเมืองโรมบุรีฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ น่าหัวเราะ | มาตามเกาะผู้ชายไม่อายผี |
ช่างอวดงามข้ามวนชลธี | มาเซ้าซี้ท่านก็ไม่พอใจดู |
ผัวเจ้าอุ้มเอาไปกอดรัด | ไม่ข้องขัดร้อนรนบนหัวหมู |
เข้าผลักพระพินทองไปลองดู | นั่นแลคู่อภิเษกเอกชัยฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ น้อยฤๅ | เพราะเชื่อถือวิทยาจึงว่าได้ |
ผัวกูเขารู้ทั้งเวียงชัย | จะเป็นไรเป็นกันในวันนี้ฯ |
(หมดต้นฉบับเพียงนี้)