บทละครนอก แก้วหน้าม้า

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวมงคลราชเรืองศรี
ครองกรุงมิถิลาธานี เปรมปรีดิ์ภิรมย์ฤทัย
ท้าวมีอัคเรศชายา ชื่อมณฑาเทวีศรีใส
พร้อมพรั่งสุรางค์นางใน นับได้ถ้วนหมื่นหกพัน
ร้อยเอ็ดนัคเรศบุรีรมย์ มาบังคมทรงเดชทุกเขตขัณฑ์
มีโอรสยศยงทรงธรรม์ นามนั้นนรินทร์พินทอง
พรั่งพร้อมพหลมนตรี มิได้มีทุกข์ทนหม่นหมอง
เกษมสุขภิรมย์สมปอง ทั่วท้องประเทศธานีฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นเวลาสางสายพรายพรรณ สุริยันแจ่มจรัสรัศมี
มาโสรจสรงคงคาวารี จรลียังช่องบัญชรชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

สามเส้า

๏ ครั้นถึงจึงเผยพระแกลยล เสนาสามนต์หมอบไสว
พระบัญชาว่าขานการเวียงชัย ถามไถ่ถ้อยความตามมีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ร่าย

๏ บัดนั้น อำมาตย์จัตุสดมภ์ทั้งสี่
ต่างทูลถ้อยความตามคดี ถ้วนถี่โดยแบบบุราณมาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงภพนาถา
สายแสงสมควรจวนเวลา ไคลคลาเข้าที่ประทมในฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองผ่องเพียงแขไข
เสด็จออกมุขมาศปราสาทชัย หฤทัยเกษมเปรมปรีดิ์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นบ่ายชายแสงทินกร เร่าร้อนหฤทัยพระโฉมศรี
กรายกรย่างเยื้องจรลี มาเข้าที่โสรจสรงคงคาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ ไขสุหร่ายสายชลปนปรุง เป็นฝอยฟุ้งเย็นซาบอาบมังสา
แล้วผลัดภูษาทรงอลงการ์ สุคนธาหอมหวนยวนใจ
สอดสนับเพลาพรายชายกนก ภูษายกพื้นตองผ่องใส
ฉลององค์เจียระบาดตาดอุไร ปั้นเหน่งเพชรอำไพพรรณราย
กรองศอแสงแก้วแวววิจิตร ตาบทิศทับทรวงช่วงฉาย
ทองกรธำมรงค์เรียงราย มงกุฎเก็จเพชรพรายเพราตา

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ ขัดพระขรรค์บรรจงทรงศร บทจรจากปรางค์ทางฝ่ายหน้า
พรั่งพร้อมพี่เลี้ยงโยธา ลีลายังเกยรูจีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ พระองค์ทรงมิ่งมโนมัย พลไกรบังคมก้มเกศี
บ้างแบกหามว่าวยาวรี จรลีมายังสนามชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงซึ่งหน้าจักรวรรดิ หน่อกษัตริย์ยินดีจะมีไหน
เคลื่อนองค์ลงจากมโนมัย สั่งให้ชักว่าวขึ้นฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น โยธีพี่เลี้ยงแข็งขัน
ชุลมุนวุ่นวิ่งชิงกัน ส่งว่าวให้ทันท่วงที
พวกเหล่าว่าวคุลากล้าขันต่อ พวกปักเป้าเข้าล่อไม่หลีกหนี
โห่ร้องก้องพื้นปัฐพี เป็นที่สุขเกษมเปรมปราฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองว่องไวใจกล้า
ทรงว่าวอยู่หว่างกลางโยธา ทอดคว้าประจบสบที
ติดปักเป้าเข้าจำปาคว้าไขว่ ปักเป้าไล่จะประกบไม่หลบหนี
วิ่งรอกชุลมุนวุ่นเต็มที พอลมตีขาดลิ่วปลิวไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วสัปดนคนไพร่
หน้าตาเหมือนม้ามโนมัย เข็ญใจที่สุดบุตรยายตา
นางเป็นสาวศรีไม่มีผัว หน้าเป็นเล่นตัวหนักหนา
เห็นว่าวตกลงตรงท้องนา จึ่งเอามาซ่อนไว้ในเรือน
เอาผ้าปกคลุมหุ้มไว้ มิให้ใครรู้กระแสแง่เงื่อน
แกล้งดำเนินเดินเลยเฉยเชือน บิดเบือนบังบานทวารไว้ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงโฉมประโลมพิสมัย
เห็นว่าวขาดลิ่วปลิวไป อาลัยเป็นพ้นพันทวี
พระโฉมยงขึ้นทรงอาชา ลีลาเลี้ยวลัดตัดวิถี
เสาะหาแห่งใดก็ไม่มี รีบเร่งจรลีฉับพลันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงบ้านนางสัปดน เมื่อยนักพักพลอยู่ที่นั่น
ร้องถามว่าว่าวของเรานั้น ใครได้ให้ปันแต่โดยดีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วตอบความไปตามที่
ว่าวของทรงธรรม์พันปี ข้านี้ได้แจ้งแห่งกิจจา
จะกราบทูลข้อความตามตรง พระองค์จะให้สิ่งใดข้า
ว่าพลางชม้ายชายตา เสนหาในองค์พระทรงธรรม์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงลิ้นลมคมสัน
จึ่งร้องตอบวาจามาพลัน จะรางวัลเงินทองของดีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วยิ้มแย้มแจ่มศรี
นิ่งนึกตรึกไตรในคดี ครั้งนี้ลาภล้นพ้นประมาณ
จะเอาพระโฉมตรูเป็นคู่ครอง ร่วมห้องภิรมย์สมสมาน
คิดพลางทางตอบพจมาน ทรัพย์สินศฤงคารไม่ชอบใจ
แม้นยอมเป็นภัสดาสามี ว่าวของพันปีจะคืนให้
สิ่งอื่นหมื่นแสนทั้งแดนไตร ข้าไม่ชอบใจอย่าเจรจาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงยิ้มพลางทางว่า
คนใดใจเจ้าเจตนา จงเลือกตามจินดานารีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วตอบว่าน่าบัดสี
จะให้เราเลือกหาสามี ก็ว่าวที่ขาดนี้เป็นของใครฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น มหาดเล็กตอบมาหาช้าไม่
ว่าวของพระองค์ทรงชัย จะให้ฤๅมิให้เร่งว่ามาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วยิ้มพลางทางว่า
คือใครเป็นเจ้าว่าวคุลา เราจะเป็นภรรยาของผู้นั้นฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงสรวลเสเฮลั่น
จึ่งร้องตอบวาจามาพลัน เอื้อมถึงดวงจันทร์ไม่เจียมใจ
ตัวนางเหมือนอย่างแผ่นดินดอน จะเคียงพื้นอัมพรผิดวิสัย
แม้นแต่เพียงโยธาข้าไท เห็นจะได้ดังจิตเจตนาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังแล้ว นางแก้วค้อนควักชักหน้า
ตอบไปด้วยใจโกรธา เหวยอย่ามาล้อไม่ขอฟัง
หน้าตาเช่นเจ้าเราไม่คบ อย่าหลู่หลบใช่ว่าเป็นบ้าหลัง
แม้นมิรับเราเข้าในวัง อย่ามานั่งงอนง้อไม่พอใจฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงผู้มีอัชฌาสัย
ค่อยกระซิบทูลองค์พระทรงชัย จงปราศรัยลวงล่อง้องอน
ทำเป็นทรงสมัครรักใคร่ ให้มันให้ว่าวคุลามาเสียก่อน
ได้แล้วจึงสลัดตัดรอน ผันผ่อนพูดจาพาทีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อนรินทร์พินทองผ่องศรี
เห็นชอบตอบนางไปทันที ซึ่งเทวีรักชอบขอบใจ
แม้นจะเป็นเมียเราเหมือนเจ้าว่า จงคืนว่าวคุลามาให้
อย่าค้อนควักชักหน้าเร่งคลาไคล เอาว่าวมาให้เสียเร็วพลันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังบัญชา กัลยาสำรวลสรวลสันต์
เมินชม้ายอายเอียงเมียงมัน อภิวันท์แล้วทูลไปทันที
จริงฤๅบัญชาว่าจะเลี้ยง ตรัสแล้วอย่าเลี่ยงหลีกหนี
สักสี่วันเวลาราตรี พระภูมิจะมาพาไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์ยิ้มย่องสนองไข
อีกสามวันสัญญาว่าไว้ จะรับเจ้าเข้าไปในวังฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วชื่นชมสมหวัง
ดีใจจะได้เป็นชาววัง ถวายบังคมคัลทันที
จึ่งเข้าไปในห้องเคหา ยกว่าวคุลามาจากที่
นั่งลงตรงพักตร์พระภูมี อัญชลีแย้มยิ้มพริ้มพรายฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงชื่นชมสมหมาย
พูดจาคารวะอภิปราย อย่าเอื้อนอายส่งว่าวเรามาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วแค้นขัดสะบัดหน้า
ค้อนพลางทางกล่าววาจา นี่เป็นองค์เจ้าฟ้าฤๅว่าไร
องอาจประมาทหมิ่นเรา เป็นห้ามแหนเจ้าฤๅมิใช่
มานั่งเรียงเคียงข้างไม่ชอบใจ ถอยไปให้พ้นเจ้าคนดี
ว่าวนี้เราจำเพาะเจาะถวาย พระฦๅสายผู้เฉิดโฉมศรี
ใช่การของเจ้าอย่าเซ้าซี้ ให้ภูมีทรงรับกับพระกร
ว่าพลางนางถวายว่าวคุลา แล้ววันทาทูลองค์พระทรงศร
พระอย่าลืมสัญญาว่าวอน เร่งรับข้าพาจรดังวาจาฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมเฉิดเลิศลํ้าเลขา
ฟังคำจำรับวาจา หยิบเอาว่าวมาให้โยธี
นึกชิงชังรังเกียจเกลียดคาย พวกชายสรวลสันต์สนั่นมี่
พระโฉมยงขึ้นทรงพาชี กลับสู่บูรีทันใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงลงอัสดร ทินกรเลี้ยวลับเหลี่ยมไศล
พระนวยนาดยาตรเยื้องครรไล เข้าในปราสาทรูจีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น ฝ่ายว่าตายายทั้งสองศรี
เป็นคนเลี้ยงนางหน้าพาชี ไปป่าพนาลีกลับมา
เก็บได้ฟืนผักฟักแฟง เต้าแตงแพงพวยรวยหนักหนา
ผูกมัดรัดรึงตรึงตรา แล้วคืนสู่เคหาทันทีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงวางหาบคอน ล้าเรื่อยเหนื่อยอ่อนทั้งสองศรี
อาบน้ำชำระอินทรีย์ นั่งที่นอกชานสำราญใจฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วหน้าม้าอัชฌาสัย
แลเห็นยายตามาแต่ไพร จึ่งออกไปบอกเล่าเฒ่าชรา
ครั้งนี้ลูกจะได้อยู่ในวัง สมดังมุ่งมาดปรารถนา
แล้วเล่าความตั้งแต่หลังมา ผัวข้าเป็นเจ้าชาวบุรี
รูปโฉมโนมพรรณสัณฐาน งานปานเทวาในราศี
อีกสามวันสัญญาพาที จะให้เป็นมเหสีทรงธรรม์ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังเอยฟังเล่า สองเฒ่าสำรวลสรวลสันต์
ลูบหลังลูบหน้าแล้วว่าพลัน ท่านนั้นเป็นเจ้าชาวพารา
เราคนเข็ญใจไร้ทรัพย์ ยากยับร่างร้ายขายหน้า
ผิดคนพิกลกิริยา ไม่ควรปรารถนาให้เกินกาย
หาเช้ากินค่ำก็ลำบาก อดอยากซุกซนขวนขวาย
อย่าพูดถึงบุตรท้าวเจ้านาย หลังจะลายเสียเปล่าไม่เข้าการฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วหน้าม้ากล้าหาญ
จึงตอบความตามจิตคิดการ อันกษัตริย์มหาศาลเลิศไกร
ได้ออกโอษฐ์สัญญาจะมารับ จะย้อนยอกกลอกกลับกระไรได้
รูปร่างอย่างนี้ไม่มีใคร จะเข้าไปเป็นห้ามตามปัญญา
ว่าพลางทางเข้าในห้องนอน มัดฟูกผูกหมอนผ่อนผ้า
ชอบกันที่ไหนก็ไปลา นั่งนับวันท่าพระภูมี
ครั้นครบสามวันดังสัญญา คอยหาไม่เห็นพระโฉมศรี
เข้าไปหาตายายทันที โศกีวอนว่าประสาใจฯ

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

๏ แม่เจ้าประคุณของลูกอา อายชาวพาราอยู่ไม่ได้
เอ็นดูลูกยาจงคลาไคล เข้าไปเตือนองค์พระทรงธรรม์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่าสำรวลสรวลสันต์
สวมกอดกัลยาแล้วว่าพลัน จอมขวัญของแม่อย่าอาวรณ์
ท่านเป็นลูกเจ้าท้าวพระยา ฤๅจะมาร่วมเรียงเคียงหมอน
ห้ามแหนแน่นนั่งดังกินนร ภูธรยังไม่ไยดี
รูปเราชั่วช้าน่าเกลียดกลัว จะมีผัวเกินพักตร์ศักดิ์ศรี
จะโศกาอาลัยทำไมมี อยู่ที่นี่ยากเย็นได้เห็นกันฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วสัปดนคนขยัน
ฟังคำยายตาว่ารำพัน รุมรันอกพลางทางรำไรฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โอ้

๏ โอ้แม่เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย ไฉนเลยช่างสลัดตัดได้
จะอยู่เรือนรุงรังจังไร อายใจเป็นพ้นคณนา
ถึงกระไรไปเตือนดูสักครั้ง จะรับสั่งอย่างไรก็ให้ว่า
ซึ่งจะนิ่งทนทุเรศเวทนา ลูกนี้ชีวาคงวายปราณ
ว่าพลางกลิ้งเกลือกเสือกกาย ฟูมฟายชลนาน่าสงสาร
ครวญครํ่าร่ำว่าช้านาน กราบกรานสองเฒ่าเฝ้าวิงวอนฯ

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ บัดนั้น สองเฒ่าฟังไปก็ใจอ่อน
มิรู้ที่จะสลัดตัดรอน เทพซึ่งสังหรณ์ให้งงงวย
ต่างคนผินหน้าปรึกษากัน ผ่อนผันพาทียินดีด้วย
แม้นลูกเราเป็นห้ามงามจะรวย ฟุ่มฟวยเทียมหน้าชาวธานี
คิดพลางทางปลอบลูกน้อย อย่าร้อนเร่งเศร้าสร้อยหมองศรี
จะไปอ้อนวอนว่าเจ้าธานี ตามที่ได้สัญญาว่ากัน
ปลอบพลางจัดแจงแต่งกายา ลงจากเคหาขมีขมัน
มุ่งเมิลเดินด่วนชวนกัน งกงันมายังวังในฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงพระโรงรูจี พรั่งพร้อมเสนีน้อยใหญ่
ฝ่ายตาฝ่าคนซนเข้าไป หมอบราบกราบไว้กษัตราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงภพนาถา
แลเห็นสองเฒ่าเข้ามา จึ่งมีบัญชาถามไป
ยายตามานี่มีกังวล ร้อนรนทุกข์เข็ญเป็นไฉน
จงแจ้งความตามจริงทุกสิ่งไป อย่าได้เอาเท็จมาพาทีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่าอกสั่นขวัญหนี
ก้มเกล้ากราบงามสามที ทูลความตามมีแต่ต้นมา
บัดนี้ธิดาข้าพเจ้า รอคอยสร้อยเศร้าเป็นหนักหนา
ขอพระองค์จงให้ไปรับมา ตามพระโอรสาสัญญาไว้ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังเอยฟังความ ดังเพลิงลามเลียลนหม่นไหม้
พระมีสิงหนาทตวาดไป น้อยฤๅพูดได้ไม่เกรงกลัว
ชาติหญิงแพศยาอาธรรม์ จะผูกพันลูกเราเอาเป็นผัว
โอหังจังไรไว้ตัว น่าตัดหัวให้สาแก่อารมณ์
แต่ได้ว่าวเขาตกก็ยกข้อ ขันขอเป็นหม่อมจอมสนม
ดูถูกจองหองพองลม โง่งมลบหลู่ดูแคลน
ทั้งพ่อแม่ก็ถ่อยน้อยฤๅ ซมซานด้านดื้อนี่เหลือแสน
มาอ้างอิงพูดจาน่าแค้น กระทืบแท่นเงื้อง่าจะฆ่าตีฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมนางมณฑามารศรี
นิ่งนึกตรึกไปในคดี เทวีทูลพลันทันใด
ลูกเราได้สัญญาว่ากับเขา จะกลับคำซ้ำเล่าหาควรไม่
ฝ่ายเราเป็นชายจะอายไย เขามีใจจงรักภักดี
ควรให้ไปรับมาเลี้ยงดู ฉันหมู่บริจาทาสี
ด้วยมันจงรักภักดี ไม่ควรมีโมโหโกรธา
การนี้มิใช่ปัจจามิตร จะได้คิดเคี่ยวเข็ญเข่นฆ่า
ชาวเมืองทั้งสิ้นจะนินทา ประทานโทษยายตาอย่าฆ่าฟันฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวมงคลราชรังสรรค์
ฟังนางทัดทานรำคาญครัน จำต้องหย่อนผ่อนผันฤทัย
นั่งลงทรงนึกตรึกตรา จะพาลผิดคิดฆ่าเสียให้ได้
พระจึ่งมีบัญชาว่าไป เหวยเฒ่าจังไรทรลักษณ์
ซึ่งลูกสาวสมัครรักใคร่ อยากจะให้ปรากฏยศศักดิ์
ตรองเห็นเป็นมาสามิภักดิ์ ก็คงจักรับไว้เป็นไรมี
แม้นจะใคร่เป็นห้ามตามเกณฑ์ จงชะลอพระสุเมรุคีรีศรี
โชติช่วงดังดวงจินดาดี เป็นที่เฉลิมโลกา
มาได้จะให้เป็นนางห้าม สมความมุ่งมาดปรารถนา
แม้นมิได้โดยในสัญญา จะเข่นฆ่าสิ้นวงศ์พงศ์พันธุ์
เร็วไวไปบอกลูกสาวศรี เรานี้ไม่รังเกียจเดียดฉันท์
คาดความสามเดือนไม่เลื่อนวัน ไม่ทันจะล้างให้วางวายฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่าอกสั่นขวัญหาย
ตาเฒ่าเข้ากอดเอาท่านยาย ฟูมฟายนํ้าตาไม่พาทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวมงคลราชเรืองศรี
ผูกจิตคิดแค้นแสนทวี จึ่งตรัสสั่งเสนีทันใด
เร่งเร็วฉุดคร่าพาตัว ไสหัวยายตาหน้าไพร่
ให้ตะบอยลอยหน้าอยู่ว่าไร ไล่ไปให้พ้นอย่าช้าการฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาคำนับรับบรรหาร
ฉุดคร่าพาตนไปลนลาน ต่างคนอลหม่านเป็นสิงคลีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่าเวยวายตะกายหนี
ออกจากวังพลันทันที โศกีไปตามมรคาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปในห้อง ทั้งสองเสียใจร้องไห้จ้า
ท่านยายตะกายเข้ากอดตา โศกาอื้ออึงคะนึงไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น นางแก้วแปลกจิตคิดสงสัย
นั่งแนบแอบข้างพลางถามไป เหตุใดโศกาจาบัลย์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่าเล่าพลางทางโศกศัลย์
บัดนี้พระองค์ทรงธรรม์ ดุดันด่าว่าสารพัด
ว่าเราเป็นไพร่ไม่เจียมกาย มุ่งหมายเกินพักตร์ศักดิ์กษัตริย์
หากพระนางอนุกลทูลทัด จึ่งไม่ตัดเกศาฆ่าตี
ให้เจ้าไปเอาพระเมรุมา ถวายพระผ่านฟ้าเรืองศรี
แม้นมิได้ไม่ไว้ชีวี จะฆ่าตีสิ้นวงศ์พงศ์พันธุ์
พระเมรุทองถึงห้องนภาลัย เหาะได้ฤๅจนบนสวรรค์
เพราะลูกตัวชั่วช้าอาธรรม์ จะพากันม้วยมอดวอดวาย
ร่ำพลางต่างคนโศกา ครั้งนี้ชีวาจะฉิบหาย
ไหนจะคิดปลดปลอดรอดตาย ฟูมฟายน้ำตาโศกาลัยฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น นางพักตราพาชีศรีใส
ฟังคำยายตาแล้วว่าไป จะตีตัวก่อนไข้ไม่เข้ายา
เพียงนี้มิพอเป็นไรนัก ลูกรักจักเที่ยวแสวงหา
บุญแล้วก็แคล้วพระอาญา โศกาครวญคร่ำไปทำไม
ว่าพลางทางลงจากเรือน จะแชเชือนชักช้าก็หาไม่
รีบออกนอกทวารเวียงชัย บ่ายหน้าเข้าในพนาลีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เดินไพรมาได้สิบห้าวัน ถึงเขาอัญชันคีรีศรี
เห็นศาลาอาศรมพระมุนี อยู่เชิงคีรีเรียงรัน
ดีใจดั่งได้พระเมรุธร มาวางไว้ในกรสาวสรร
เสาะสอยพฤกษาพนาวัน จรจรัลเข้าในกุฎีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงคลานเข้าไป หมอบราบกราบไหว้พระฤๅษี
แกล้งทำสำรวมอินทรีย์ อยู่ที่ตรงพักตร์พระนักธรรม์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระนักสิทธ์ปลิดหาพฤกษาฉัน
เห็นสีกามาเคารพอภิวันท์ ทรงธรรม์มุ่งมองป้องพักตรา
ไอกระแอมแย้มเยื้อนพาที ใครนี้มาไยที่ในป่า
กังวลกลใดไขวาจา ประสกฤๅสีกาประการใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วหน้าม้าอัชฌาสัย
กราบพลางทางทูลเป็นมูลไป ข้าไซร้ซนมาเป็นนารี
แล้วเล่าความตามหลังครั้งเกณฑ์ ให้ชะลอพระเมรุคีรีศรี
โชติช่วงดังดวงมณี มิได้ชีวีจะวายปราณ
บุญสบพบพระอัยกา ได้เมตตาโปรดด้วยช่วยหลาน
ท่านจะล้างร่างกายวายปราณ พระทรงญาณเมตตาปรานีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระมหาดาบสฤๅษี
ฟังนางหน้าม้าพาที พระจึ่งมีสุนทรวาจา
ดูดู๋อาจหาญชาญชัย คนเดียวมาได้ในป่า
บุญกายไม่วายชีวา จึ่งมาประสบพบกู
ซึ่งธุระประสงค์จงใจ เห็นพอจะช่วยได้บ้างอยู่
เป็นหญิงวิ่งมาน่าเอ็นดู ปะปู่แล้วเห็นไม่เป็นไร
ว่าพลางทางเดินออกมา จากที่ศาลาอาศัย
โอมอ่านพระเวทเรืองชัย บัดใจบังเกิดเป็นนาวีฯ

ฯ ๘ คำ ฯ ตระ

๏ พร้อมสายยนต์ยาวสาวเหาะ เหมาะเจาะแน่งน้อยเฉลิมศรี
ค้อนสิ่วพร้อมหมดล้วนกรดดี สำหรับที่ชะลอพระเมรุธร
บอกกับนางแก้วสัปดน จงชักยนต์ยังเนินสิงขร
ทรงอำนวยอวยชัยให้พร ชี้ทิศทางจรบัดใจฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น นางแก้วยินดีจะมีไหน
กราบกับบาทาแล้วคลาไคล นั่งลงตรงในสัดจอง
ชักสายยนต์น้อยลอยเลื่อน คล้อยเคลื่อนเหาะหันผันผยอง
ทักษิณครบสามตามทำนอง ลอยล่องเข้ากลีบเมฆาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครู่หนึ่งถึงเชิงเมรุมาศ โอภาสสว่างเวหา
แสงแก้วแวววับจับตา กัลยาถวิลยินดี
จึ่งรอเรียงนาวาคลาไคล เจ้าไปริมเชิงคีรีศรี
เอาสิ่วกรดจดเจาะเคาะคีรี ตอกตีชุลมุนวุ่นวายฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดเดี๋ยวก็ได้ดังใจปอง ยกใส่สัดจองผันผาย
ลอยลิ่วปลิวตามพระพาย ชักบ่ายร่อนลงตรงกุฎีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งลงจากนาวา เข้าไปวันทาพระฤๅษี
ทูลแถลงแจ้งความตามมี เปรมปรีดิ์ภิรมย์ฤทัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระนักสิทธ์คิดพะวงสงสัย
เล็งดูรู้แจ้งไม่แคลงใจ แย้มยิ้มละไมอยู่ไปมา
แล้วตรัสมัธุรสสุนทร ดูก่อนหลานน้อยเสน่หา
สมหวังดังจิตจินดา อย่าช้าเร่งกลับไปฉับพลัน
นาวีนี้ไซร้ให้กับเจ้า ขี่เข้านิเวศน์เขตขัณฑ์
ไปดีอย่ามีภัยยันตร์ สมจิตเจ้านั้นทุกประการฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
กราบกับบาทบงสุ์พระทรงญาณ สำราญฤทัยพันทวี
รีบออกนอกบรรณศาลา นั่งกลางนาวาเกษมศรี
ชักสายยนต์พลันทันที นาวีลอยลิ่วปลิวมาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งผ่อนร่อนลง กลางดงแดนไพรในป่า
เอาเรือคลุมไว้ให้ลับตา แบกก้อนศิลาเข้าเวียงชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปในบ้าน ขึ้นบนนอกชานหาช้าไม่
แบกก้อนศิลาพาเข้าไป วางไว้ในทับฉับพลัน
นั่งไหว้ยายตาแล้วพาที ครั้งนี้ชีวาไม่อาสัญ
จงเร่งเข้าเฝ้าองค์ทรงธรรม์ ถวายของสำคัญทันที
มิได้ท้าวไทจะลงโทษ ออกโอษฐ์จะล้างให้เป็นผี
ข้าไปได้มาเหมือนวาที ครั้งนี้จะโปรดประการใดฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่ายินดีจะมีไหน
สวมกอดลูกยาแล้วว่าไป บุญแล้วจึ่งได้ดังจำนง
มาตรแม้นท้าวไทจะไม่รัก ด้วยยศศักดิ์เหมือนกากับหงส์
ขอแต่ชีวิตอย่าปลิดปลง จะจำนงต่อไปไม่ไยดีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังมารดา โกรธาแค้นขัดสะบัดหนี
ตอบว่าข้าแค้นแสนทวี บัดสีแก่เหล่าชาวประชา
มิได้พระเมรุดังเกณฑ์การ จะประหารให้สิ้นวงศา
บัดนี้ซนไปได้มา จะทิ้งสัตย์สัญญาเสียอย่างไร
ถึงรูปชั่วตัวดำต่ำศักดิ์ จะร่วมเรียงเคียงพักตร์ให้จงได้
ให้ลือเลื่องเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงไกร ว่าเข็ญใจเป็นหม่อมจอมนารีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ยายตาสรวลสันต์สนั่นมี่
รอดตายหมายใจคงได้ดี เปรมปรีดิ์กระหยิ่มยิ้มพราย
หามก้อนศิลาพากัน รีบเร่งจรจรัลผันผาย
ล้มลุกคลุกคลานทะยานกาย ตายายตั้งหน้าคลาไคลฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงพระโรงรูจี เสนีนับร้อยน้อยใหญ่
หามก้อนศิลาพาเข้าไป วางไว้แล้วก้มบังคมคัล
ทูลว่าข้าได้พระเมรุมา โดยดังบัญชาทุกสิ่งสรรพ์
ซึ่งข้อคำสัญญาว่ากัน ทรงธรรม์จะโปรดประการใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงภพเป็นใหญ่
ทอดพระเนตรเล็งแลแต่ไกล เห็นแสงแก้วแววไวจับตา
ดีใจด้วยได้พระเมรุธร มาไว้ในนครเป็นสง่า
ทั้งเสียใจอาลัยลูกยา จะได้เมียหน้าม้ากาลี
ครั้นจะพูดบิดเบือนเชือนแช ก็อายแก่เสนาทาสี
จำจะพูดเกลี่ยไกล่ให้ดี คิดพลางทางมีบัญชาการ
ยายตาพากันครรไล กลับไปสู่เคหาสถาน
วันใดได้ฤกษ์ศุภวาร จะไปรับบุตรท่านเข้ามาฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่ากริ่มใจได้หน้า
คำนับรับราชบัญชา ลีลาออกจากวังในฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงบอกนางสัปดน จุมพลโอภาปราศรัย
แม้นถึงฤกษ์งามยามชัย จะรับเจ้าเข้าในตำหนักจันทน์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ใจจิตให้คิดผูกผัน นับวันเวลาราตรีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวมงคลราชเรืองศรี
ทุกข์ร้อนนอนนึกตรึกคดี มิได้มีเกษมเปรมปรา
เสียทีอีแก้วสัปดน ทรพลอุบาทว์ชาติข้า
ซนไปได้พระสุเมรุมา จะต้องพามาเลี้ยงในเวียงวัง
เสียดายพระโอรสธิบดี จะราคีคบค้าบ้าหลัง
รูปร่างชั่วช้าน่าเกลียดชัง พระนิ่งนั่งตรึกตรองหมองใจฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ จึงปรึกษาโฉมยงนงลักษณ์ น้องรักจักคิดเป็นไฉน
อีแก้วสัปดนคนจังไร จะเป็นลูกสะใภ้ขายหน้าตา
ฤๅอ้อนวอนงอนง้อขอเสีย เงินเบี้ยล้นเหลือเสื้อผ้า
รูปรวยช่วยนึกตรึกตรา อย่าให้เสียวาจาพาทีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์เอกภิเษกศรี
ยิ้มพลางทางทูลทันที น้องนี้ฉงนสนเท่ห์ใจ
อันเขาเมรุมาศบรรพต โสฬศโลกนี้หามีไม่
ล้วนแล้วด้วยแก้วอำไพ พึ่งได้ประสบพบพาน
นางแก้วสัปดนคนนี้ ต่อจะมีเดชากล้าหาญ
รู้เหาะเหินเดินโดยโพยมมาน จึ่งได้ศิลาลานพรรณราย
ถึงรูปชั่วตัวดำตํ่าต้อย ใช้สอยได้การประมาณหมาย
พระลูกรักเนื้อเย็นเป็นชาย จะเคืองขุ่นวุ่นวายไปไยมีฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น กรุงกษัตริย์ขัดข้องหมองศรี
ทอดถอนวิญญาแล้วพาที พี่นี้อับอายขายหน้าตา
หนึ่งพระโอรสยศยง เห็นคงจะแค้นแสนสา
ชาติอีอัปลักษณ์พักตร์อาชา จะเหาะเหินเดินฟ้าไปอย่างไร
ดีแล้วจะเที่ยวหาผัว ยอมตัวอย่างนี้หามีไม่
บุญไม่เคยตายก็กลายไป พี่ไม่อยากคบพบพานฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังบัญชา นางพระยานบนอบตอบสาร
พระองค์ทรงศักดิ์จักรพาล คิดการไม่ต้องประเพณี
มาตรแม้นเขาหามาไม่ได้ พระจะให้ฆ่าฟันบั่นเกศี
เสาะหามาได้ก็ไม่ดี เช่นนี้จะทำประการใด
บัญชาว่าแล้วอย่าคืนหลัง จงรับพามาวังให้ได้
เลี้ยงเป็นบริจาข้าไท อย่าให้คนฉินนินทาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านเขตขัณฑ์หรรษา
ฟังพระมเหสีปรีชา ตรึกตราเห็นชอบระบอบการ
พระจึ่งมีบัญชาปราศรัย ดวงใจของพี่ช่างคิดอ่าน
กับอีแก้วหน้าม้าสาธารณ์ จะรอฤกษ์ศุภวารไปไยมี
จงจัดให้ไปรับเข้ามา กันความนินทาชาวกรุงศรี
แล้วสั่งสาวสรรทันที ราตรีจึ่งพากันคลาไคลฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สาวสรรบังคมประนมไหว้
ครั้นค่ำก็พากันคลาไคล ออกไปยังบ้านท่านยายตาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงโดยด่วนชวนกัน ผายผันขึ้นบนเคหา
นั่งลงบอกเล่าเฒ่าสองรา โดยมีบัญชาทุกประการฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น สองเฒ่าปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
เข้าไปในทับมิทันนาน แจ้งเหตุเภทพานแก่ลูกยา
บัดนี้พระองค์ทรงชัย ให้รับเจ้าเข้าไปดั่งว่า
ยากจนพ้นที่อุปมา แก้วตาจะคิดประการใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วยินดีจะมีไหน
ยิ้มพลางทางว่าอย่าร้อนใจ ทรัพย์สินทำไมก็ทำเนา
ซึ่งมั่งมีศรีสุขทุกคน กุศลสร้างไว้ให้แก่เขา
แม้นวาสนาหนุนบุญเรา คงจะเทียมหน้าเขาชาวพารา
ว่าพลางทางเดินออกไป นั่งไหว้ท้าวนางพลางว่า
ไยไม่เอาวอช่อฟ้า รับข้าตามอย่างทางธรรม์
จะให้เดินเข้าไปไม่ควร ประชาชนจะชวนกันเย้ยหยัน
จงกลับไปทูลองค์ทรงธรรม์ ให้เอาวอสุวรรณมาบัดนี้ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เถ้าแก่โขลนจ่าทาสี
ฟังนางหน้าม้าพาที ต้องที่ธรรมเนียมบุราณมา
พิศดูหน้าตาเหมือนพาชี แต่พาทีแหลมหลักหนักหนา
ท้าวนางต่างมีวาจา ใช้พวกโขลนจ่าเข้าไป
ทูลองค์ทรงธรรม์พันปี ตามคำเทวีอย่าช้าได้
นำวอช่อฟ้ามาไวไว เร่งไปให้ทันท่วงทีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สาวใช้ได้ฟังถ้วนถี่
ลงจากเคหาในราตรี ชวนกันจรลีเข้าวังในฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าเฝ้า น้อมเกล้าบังคมแถลงไข
บัดนี้ท้าวนางข้างใน ใช้ให้มาทูลกิจจา
ด้วยนางสัปดนคนสำคัญ ช่างขึงปึ่งปั้นหนักหนา
จะให้เอาวอช่อฟ้า รับมาตามเล่ห์ประเพณีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์มิ่งมเหสี
สรวลพลางทางกล่าววาที จู้จี้ขี้คร้านรำคาญใจ
ยศศักดิ์หนักหนาเจ้าข้าเอ๋ย ฤๅเคยขี่บ้างแต่ครั้งไหน
เร่งนำวอช่อฟ้าพาไป รับมาจะใคร่ดูหน้าตาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สาวสรรบังคมก้มเกศา
คำนับรับสั่งนางพระยา ชวนกันรีบมาทันทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ ครั้นถึงจึ่งแจ้งพนักงาน ให้จัดวอผูกม่านมีศรี
จะไปรับนางห้ามงามดี เร็วเร็วบัดนี้อย่านอนใจฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อำมาตย์ราชยานผู้ใหญ่
ครั้นแจ้งรับสั่งข้างใน ก็จัดแจงแต่งให้ฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น โขลนจ่าบรรดาสาวสรร
ได้แล้วก็รีบจรจรัล ผายผันยังบ้านท่านยายตาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งวางวอไว้ ที่ริมบันไดเคหา
ต่างขึ้นเรือนพลันมิทันช้า บอกแจ้งกิจจาทุกประการฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วหน้าม้าปรีชาหาญ
เข้าไปในทับมิทันนาน อาบนํ้าสำราญอินทรีย์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ขมิ้นฝนปนส้มมะขามขัด พักตร์ผัดดินสอพองละอองศรี
นุ่งผ้าลายฉลางอย่างดี แพรสีชมพูห่มสมทรง
ใส่แหวนหน้ากระดานก้านพลูนาก สีผึ้งดีสีปากกินหมากสง
นุ่งห่มคมสันบรรจง แล้วดำเนินเดินตรงออกมาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ นั่งลงตรงหน้าท่านท้าวนาง แย้มยิ้มปริ่มปรางหรรษา
ยกมือขึ้นไหว้ยายกะตา ลงมาขึ้นวอจรลีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นว่ามาถึงทวารวัง หยุดยั้งพร้อมหน้าทาสี
ลงจากวอสุวรรณทันที ขึ้นเผ้าพระชนนีฉับไวฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งน้อมศิโรเพฐน์ กราบองค์อัคเรศเป็นใหญ่
หมอบอยู่ท่ามกลางนางใน มิได้ประหวั่นวิญญาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางกษัตริย์สรวลสันต์หรรษา
พิศดูรูปร่างอย่างคุลา หน้าตาแม้นเหมือนพาชี
นุ่งห่มปุกปุยกรุยกราย รูปกายจํ้าม่ำดำมิดหมี
ผิดกับคนผู้ทั้งบูรี แต่ท่วงทีฉลาดอาจอง
ดูพลางทางเรียกเอาเงินตรา เสื้อผ้างามงามตามประสงค์
จัดแจงห้องให้ดังใจจง โขลนจ่าพาลงไปหลับนอนฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโอรสฤทธิรงค์ทรงศร
แจ้งว่าสมเด็จพระมารดร รับนางแก้วจรมาวังใน
พระสุดแสนแค้นคั่งคลั่งจิต ดังคมกริชกรดกราดบาดไส้
กรรมเอ๋ยกรรมกรรมทำอย่างไร น้อยใจด้วยพระชนนี
รับอีสัปดนคนสาธารณ์ มาก่อกรรมรำคาญไว้ที่นี่
อับอายขายหน้าชาวธานี สุดที่จะดำรงวิญญาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ พระอั้นอัดกลัดกลุ้มคลุ้มใจ อยู่ในแท่นรัตน์เลขา
มิได้หลับสนิทนิทรา วิญญาไม่เป็นสมประดี
อย่าเลยจำเราจะเข้าไป กราบทูลท้าวไททั้งสองศรี
ให้ขับหญิงแพศยากาลี คืนไปอยู่ที่เดิมมา
คิดพลางเสด็จยุรยาตร ลงจากปราสาทเลขา
พรั่งพร้อมกำนัลกัลยา ขึ้นเฝ้าพระมารดาทันใดฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึ่งกราบลงกับบาท ชนนีธิราชเป็นใหญ่
กลุ้มจิตคิดแค้นแน่นใจ ภูวไนยก้มพักตร์ไม่พาทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระมารดามารศรี
เห็นพระโอรสจริตผิดที เทวีลูบไล้ไปมา
แล้วเอื้อนอรรถตรัสถามทรามรัก ไฉนพักตร์ซูบเศร้าหนักหนา
ฤๅทุกข์โศกโรคร้อนอุรา แก้วตาจงเล่าให้เข้าใจฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังมารดา วันทาแล้วทูลเฉลยไข
เพราะพระไม่เมตตาอาลัย รับหญิงจังไรมาเวียงวัง
ความลูกอัปยศอดอาย เหมือนจะวายชีวาเป็นบ้าหลัง
เห็นจะอยู่มิได้ในวัง จะเตร็จเตร่เซซังซนไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังลูกรัก กอดจูบลูบพักตร์แล้วปราศรัย
นางนี้มีอิทธิ์ฤทธิไกร เลี้ยงไว้สำหรับอับจน
เจ้ามิรักใคร่ก็ไม่ว่า มารดาจะเลี้ยงเลี่ยงกุศล
เมื่อไม่มีอินังกังวล จะร้อนรนฤทัยไปไยมีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังตรัส เคืองขัดทูลความไปตามที่
ถึงมิใช่ภรรยาสามี ก็เป็นที่อัปยศอดอาย
ผู้คนทั้งปวงจะล่วงรู้ อัปยศอดสูไม่เสื่อมหาย
รักอีหน้าม้ากว่าลูกชาย จะแกล้งให้วอดวายชีวันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังลูกรัก นงลักษณ์สำรวลสรวลสันต์
เสแสรงแกล้งปลอบให้ชอบธรรม์ จอมขวัญของแม่อย่าอาวรณ์
เร็วนักจักไล่ก็ไม่งาม ให้มีความผิดพลั้งบ้างก่อน
จะขับไปให้พ้นพระนคร อย่าทุกข์ร้อนเศร้าสร้อยน้อยใจฯ
๏ เมื่อนั้น หน่อนรินทร์พินทองผ่องใส
ฟังพระชนนีค่อยดีใจ ลาไปสู่ปรางค์รจนาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าห้องทอง เฝ้าตรึกตรองอับอายขายหน้า
นิ่งนอนกรพาดพักตรา มิได้ไคลคลาไปแห่งไรฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางพักตราพาชีศรีใส
เย็นรอนอ่อนแสงอโณทัย ลูบไล้กระแจะจวงจันทน์
นุ่งลายอย่างดีห่มสีตอง เดินออกจากห้องขมีขมัน
นาดกรอ่อนคอจรจรัล ผายผันขึ้นเฝ้าพระภูมีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไป เฝ้าพระภูวไนยยังแท่นที่
แย้มพรายชายตาเป็นท่วงที พัดวีบำเรอราชาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองข้องขัดสหัสา
ชี้นิ้วกริ้วกราดตวาดมา มิได้เรียกให้หามาช่วงใช้
ฤๅเป็นจอมหม่อมเวรเกณฑ์การ พนักงานพัดวีนี่ไฉน
ฤๅเป็นคนรับสั่งรับใช้ ช่างเสือกหน้ามาได้ไม่มีอาย
ไสหัวออกไปเสียให้พ้น จองหองพองขนใจหาย
นั่งพัดดัดจริตกรีดกราย ด้านได้ไม่อายหน้าตาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังตรัส วางพัดเมียงหมอบตอบว่า
น้อยฤๅช่างตรัสรัจนา ไม่อาลัยไว้หน้าด่าทอ
เหตุว่ารูปงามมีห้ามแหน แคะแค่นค่อนว่าหนักหนาหนอ
นานไปจะอ่อนงอนง้อ ด่าทอเถิดข้าไม่ว่าไร
ว่าพลางขึ้นนั่งบนบัลลังก์ แนบนั่งนวดเพลาเกาให้
รูปร่างอย่างนี้ไม่มีใคร เข้ากอดจูบลูบไล้บาทาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองข้องขัดตรัสว่า
ทุดอีจังไรไว้หน้าตา ด่าว่าไม่เจ็บเท่าเล็บมือ
น่าชังนั่งเบียดเกลียดจริต กวนจิตร่ำไปอย่างไรหรือ
ว่าพลางฮึดฮัดปัดมือ แย่งยื้อฉุดคร่ากูว่าไร
ดูดู๋ดึงดื้อถือดี ทุดอีแพศยาหน้าไพร่
ดูหมิ่นถิ่นแคลนน่าแค้นใจ พระผลักพลัดตกไปทันทีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ พระองค์ พระจงโปรดเกล้าเกศี
ยอมตัวให้ใช้จะได้ดี กลับมีโมโหโกรธา
เห็นน้องรูปชั่วตัวดำ ช่างทำกระไรไม่ไว้หน้า
ใครลบลู่ดูถูกลูกพระยา อนิจจาพาโลโพคลุม
ว่าพลางทางขึ้นบนที่ คลุกคลีเสือกไสเข้าไปอุ้ม
สองมือรวบรัดจับกุม รัดรุมปลํ้าปลุกคลุกคลีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ชาติอีกาลี

๏ อีหน้าเป็น ล้อเล่นไม่กลัวตัวเป็นผี
จองหองพองตัว ไม่กลัวถูกหวาย
เฆี่ยนให้หลังลาย ไม่อายแล้วไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ทรงฤทธิ์ ก่อกรรมทำผิดเป็นไฉน
พานโกรธโลดไส่ ไม่ไว้หน้าตา
ใครใช้เป็นผัว ไม่กลัวโทษา
ผัดพ้อล่อหน้า โกรธาทำไมฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ อีบ้ากาม ลวนลามเย้ายั่วหากลัวไม่
ผัวมึงเมื่อไร ใส่ไคล้พาที
ดุโดดโลดแล่น คุมแค้นบัดสี
จับไม้เรียวรี่ ไล่ตีออกมาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วแสร้งซํ้าทำว่า
เลียนลัดพ้อตัดกษัตรา แล้วกลับมาห้องพลันทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองข้องขัดอัชฌาสัย
จึ่งตรัสสั่งสาวสรรทันใด จงตั้งใจผลัดเวรเกณฑ์กัน
อย่าให้อีแก้วสัปดน เข้าในไพชยนต์รังสรรค์
แม้นไม่ระวังสั่งกัน กูจะลงโทษทัณฑ์ทุกนารี
สั่งเสร็จเสด็จยุรยาตร เข้าในปราสาทมณีศรี
กลุ้มจิตคิดแค้นแสนทวี อยู่ในแท่นที่ไสยาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เถ้าแก่กำนัลซ้ายขวา
ผลัดเวรเกณฑ์เฝ้าทวารา มิให้นางหน้าม้าเข้ามาในฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ บัดนั้น นางพักตราพาชีศรีใส
นอนนั่งตั้งนึกตรึกไตร จะใคร่ไปเฝ้าองค์ทรงธรรม์
รุ่งรางสางแสงทินกร ออกจากห้องนอนขมีขมัน
กรายกรย่างเยื้องจรจรัล ผายผันไปยังทวาราฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงเห็นพวกนารี มากมีเรียงรายซ้ายขวา
มิได้คิดพะวงสงกา ลีลาเข้าสู่ทวารชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝูงสนมกำนัลน้อยใหญ่
เห็นนางแก้วหน้าม้าคลาไคล ก็กรูไปป้องกันทันที
บ้างร้องห้ามปรามตามรับสั่ง พระทรงฤทธิ์กำลังเข้าที่
ถอยไปอย่าได้จรลี ใช่ที่ทางเจ้าอย่าเข้ามาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วพูดอึงประหนึ่งบ้า
จะไปเฝ้าเอางานผ่านฟ้า มากั้นกางขวางหน้าว่าไร
เราเป็นหม่อมห้ามตามเกณฑ์ เข้าเวรเช้าเย็นเห็นฤๅไม่
แม้นโมงยามขาดค้างอย่างไร คือใครจะรับพระอาญาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สาวสรรฟังพลางทางว่า
นี่ฤๅเจ้าจอมหม่อมหน้าม้า งามกว่าชาววังทั้งปวง
เราเป็นข้าไทท่านให้เฝ้า นี่แลเขาเรียกเมียเสียขวง
กลัวเจ้าจอมหม่อมห้ามตามกระทรวง จะลามล่วงเข้าปลํ้าท่านมิดี
เร่งเร็วออกมาเจ้าอย่าดื้อ เข้าจับมือผลักไสก็ไม่หนี
ล้อมหลังล้อมหน้าล้วนนารี อึงมี่ไปทั้งวังในฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น นางแก้วหน้าม้าอัชฌาสัย
แจ้งว่าพระองค์ทรงชัย มิให้เข้าในตำหนักจันทน์
ครั้นจะดื้อดึงขึงขัด ก็เกรงสองกษัตริย์รังสรรค์
เดินตรงลงจากอัฒจันทร์ ผายผันเยื้องย่องมาห้องนอนฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโอรสยศยงทรงศร
ยิ่งสุดแสนแค้นคั่งนั่งนอน โศกเศร้าเร่าร้อนอุรา
แค้นด้วยสมเด็จชนนี เลี้ยงอีคนร้ายขายหน้า
จำจะคิดผ่อนผันด้วยปัญญา แสวงหานุชนางทางไกลฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ อยู่นี่อีแก้วสัปดน ซุกซนดื้อดันหมั่นไส้
จะรบเร้าเย้ายวนกวนใจ ที่ไหนจะสุขสำราญ
คิดพลางแต่งองค์ทรงเครื่อง รุ่งเรืองจับแสงสุริย์ฉาน
พรั่งพร้อมสนมศฤงคาร บทมาลย์จากปรางค์รูจีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าเฝ้า น้อมเกล้าประณตบทศรี
กลุ้มจิตคิดแค้นแสนทวี มิได้ตรัสร้ายดีประการใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น กรุงกษัตริย์โอภาปราศรัย
ลูกรักของพ่อดังดวงใจ มาไยแต่รุ่งสุริยา
ดูพักตร์พิกลหม่นหมอง เคืองข้องสิ่งใดให้เร่งว่า
ฤๅรัญจวนประชวรโรคา แก้วตาจงแจ้งแห่งคดีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อนรินทร์พินทองผ่องศรี
กราบลงตรงพักตร์ภูมี ทูลตามคดีทุกประการ
บัดนี้อีแก้วสัปดน ซุกซนประมาทอาจหาญ
ทำเป็นเช่นพวกพนักงาน รุกรานเข้าในที่ไสยา
ความช่างรังเกียจเกลียดจริต ถ้าม้วยมิดเป็นผีดีกว่า
อับอายหญิงชายชาวพารา จนไม่กล้าเที่ยวออกนอกวัง
สอพลอตอแหลกระแตเต้น หน้าเป็นพูดจาเหมือนบ้าหลัง
อายหน้าข้าคนพ้นกำลัง นอนนั่งไม่มีปรีดา
พระองค์จงโปรดปรานี ปล่อยให้ลูกนี้ไปอยู่ป่า
ให้พ้นอีคนชั่วช้า เห็นว่าจะรอดตลอดไปฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ฟังโอรส ทรงยศสรวลสันต์ไม่กลั้นได้
โลมลูบลูกยาแล้วว่าไป คนมีฤทธิไกรของมารดร
ว่าเขาเท่าไรก็ไม่หยุด รักสุดโลมเลี้ยงไว้เคียงหมอน
เชิดชื่อลือดังทั้งนคร สุดที่จะผันผ่อนพูดจา
จนใจได้รับมันมาแล้ว ลูกแก้วจงฟังพ่อว่า
แม้นมิชอบใจอย่าไปมา จะอับอายขายหน้าไยมีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโอรสประนมก้มเกศี
ทูลว่าข้าไม่ไยดี แต่มันเฝ้าเซ้าซี้ให้เคืองใจ
ตีด่าว่ากล่าวราวกับยุ น่ามุหุนหันหมั่นไส้
แม้นมิให้ไปดงพงไพร จงหาเมียเสียให้ต่างพาราฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังลูกรัก ทรงศักดิ์สำรวลสรวลร่า
จึ่งตรัสกับอรไทไฉยา จะตรึกตราผ่อนผันฉันใด
ลูกรักจักมาให้หาเมีย ไปเสียให้พ้นทนไม่ได้
มารดาจะว่าประการใด ช่างรับบ้ามาไว้เวียงวังฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางกษัตริย์ทูลไปดังใจหวัง
ใช่ว่าข้าทำแต่ลำพัง จะมานั่งพ้อตัดขัดเคือง
แก้หน้ารับมาพอเป็นที สิ้นราคีข้อความตามเรื่อง
ซึ่งจะคิดหานางต่างเมือง ก็สุดแท้แต่เบื้องบาทาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวมงคลราชนาถา
นิ่งนึกตรึกไตรไปมา แล้วจึ่งมีบัญชาตรัสไป
เมืองโรมวิถีมีธิดา เราว่าเห็นตรงคงจะให้
จะแต่งบรรณาการให้สาส์นไป โดยในธรรมเนียมประเพณี
ตรัสพลางทางปลอบพระโอรส พ่อจะให้งามยศศักดิ์ศรี
จะตรึกตรองหมองใจไยมี คงพ้นที่อีหน้าม้าสาธารณ์ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วหน้าม้ากล้าหาญ
แจ้งว่าสมเด็จพระกุมาร ขึ้นเฝ้าพระผู้ผ่านเวียงชัย
ยิ่งถวิลยินดีปรีดา จะไปล้อพ่อตาว่าให้ได้
คิดพลางย่างย่องจากห้องใน ยืนแฝงทวารชัยฉับพลันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโอรสปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
น้อมกายถวายอภิวันท์ ผายผันมายังปรางค์ปราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงซึ่งริมทวารชัย ให้เร่าร้อนฤทัยหนักหนา
ปลดเปลื้องเครื่องทรงอลงการ์ แล้วโสรจสรงคงคาวารี
ครั้นเสร็จเสด็จยุรยาตร นวยนาดจากห้องมณีศรี
มิได้รู้ระคายร้ายดี ภูมีเร่งรีบจรจรัล

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วสัปดนคนขยัน
แฝงอยู่ดูองค์พระทรงธรรม์ เห็นเสด็จจรจรัลเข้ามา
วิ่งวางทางตรงเข้ากอดรัด โลมลูบจูบหัตถ์ซ้ายขวา
พ่อเจ้าประคุณของเมียอา พระมังสาหอมระรื่นชื่นใจฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์หุนหันหมั่นไส้
อายเหล่าสาวสรรกำนัลใน พระคึกคักผลักไสไปทันที
ดูดู๋ด้านหน้าอีบ้ากาม ลวนลามกอดรัดช่างบัดสี
ใครฤๅดื้อว่าเป็นสามี ช่างพาทีโกหกพกลม
พูดเล่นง่ายง่ายไม่อายจิต กูจะคิดเข่นฆ่าให้สาสม
หยิ่งยศโยโสโง่งม หัวมึงจะจมแผ่นดินดอนฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ขันจ้าน จะคอยพาลเอาผิดคิดค่อน
เฝ้ารื้อเรื่องเคืองขัดตัดรอน เห็นง้องอนแสร้งไล่เสียไม่เบา
ข้ามิได้คบชู้สู่หา เอาไปฆ่าข้อใดไฉนเล่า
งามนักรักรูปจึงจูบเอา จะฟ้องหาข้าเจ้าก็ตามใจ
คนย่อมรู้เห็นเป็นห้าม แต่รูปข้าหางามเหมือนหม่อมไม่
จึ่งด่าทอพ้อตัดขัดใจ ปฏิเสธเสียได้ทุกประการฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ อีกาลี ช่างพาทีสบประมาทอาจหาญ
จองหองพองขนพ้นประมาณ ปากตลาดจัดจ้านด้านอึง
หน้าเหมือนหน้าม้าตาจระเข้ เสเพลสิ้นทีใม่มีถึง
กูมิใช่ผัวชู้คู่กับมึง พระโกรธาด่าอึงตบตีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วตอบว่าน่าบัดสี
ชอบผิดสิ่งใดก็ไม่มี ด่าตีโกรธข้าว่ากระไร
ค่อนว่าหน้าม้าตาจระเข้ จะถ่ายเททิ้งเสียหาเมียใหม่
ว่าพลางทางล้อหน่อไท วิ่งรี่หนีไปห้องนอนฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโอรสยศยงทรงศร
เคืองแค้นแน่นใจดังไฟฟอน ภูธรตรึกไตรไปมา
อีแก้วสัปดนคนนี้ กาลีร่างร้ายขายหน้า
เฝ้ากวนใจไม่เว้นเวลา จะแล่ฆ่าก็เกรงพระชนนี
จำจะลีลาคลาไคล เนาในพระโรงรังสี
คิดพลางย่างเยื้องจรลี ออกไปยังที่พระโรงพลันฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งสั่งพระพี่เลี้ยง ให้รวบรวมพร้อมเพรียงที่นั่น
เล่าตามความหลังให้ฟังพลัน จงมาอยู่ด้วยกันที่โรงชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงบังคมประนมไหว้
รีบมากั้นห้องหับฉับไว แล้วเชิญเสด็จหน่อไทไสยาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงโฉมประโลมเสน่หา
เนาในพระโรงรัตนา ปรีดาภิรมย์สำราญ
เช้าเย็นเล่นด้วยพระพี่เลี้ยง พร้อมเพรียงปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
ค่อยคลี่คลายสบายเบิกบาน เนิ่นนานหลายเดือนไม่เคลื่อนคลาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระปิตุเรศนาถา
เนาในปรางค์ทองห้องไสยา ในเวลาประถมราตรี
ตรองตรึกนึกพะวงสงสาร พระกุมารพินทองผ่องศรี
แต่ได้นางหน้าม้ากาลี มาไว้ในที่ตำหนักจันทน์
พระโอรสยศไกรผ่ายผอม ตรมตรอมรูปจริตผิดผัน
จำจะรีบส่งสารสำคัญ ไปเขตขัณฑ์เมืองโรมบุรีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ คิดพลางทางจับพระแสงทรง เสด็จลงจากแท่นมณีศรี
กรายกรย่างเยื้องจรลี ออกพระโรงรูจีทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์ชัชวาล สั่งเจ้าพนักงานผู้ใหญ่
เร่งเร็วแต่งสาส์นเป็นการไว ว่าให้ต้องตามธรรมเนียมมา
ขอองค์นงนุชบุตรี เมืองโรมวิถีนาถา
ให้พระลูกแก้วแววตา จงกำหนดวิวาห์เร็วพลันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาอาลักษณ์ตัวขยัน
คำนับรับสั่งพระทรงธรรม์ ก็ร่างสาส์นเร็วพลันทันใด
แล้วคัดใส่ลงลานทอง ใส่กล่องมณีศรีใส
ทั้งเพชรนิลนากทองกองไว้ เสร็จตามท้าวไทบัญชาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวมงคลราชนาถา
ตรัสสั่งทั้งสี่เสนา จงลีลายังโรมบุรี
นำบรรณาการสาส์นทรง ถวายองค์กษัตริย์เรืองศรี
แม้นสมปรารถนาอย่าช้าที จงคืนสู่บุรีเร็วพลันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ราชทูตสี่ตนคนขยัน
ถวายบังคมลาพากัน ลงสู่ลำกำปันฉับไว
แล่นออกนอกอ่าวบุรีรมย์ ได้ลมล่องตามนํ้าไหล
ทั้งต้นหนคนท้ายนายใบ ยืนเรียงระไวระวังทีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ แล่นเรื่อยเฉื่อยมาสิบห้าวัน ถึงเขตขัณฑ์เมืองโรมวิถี
ทอดสมอรอรานาวี อยู่ที่ปากนํ้าตามทำนองฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ชาวด่านซึ่งนั่งอยู่ทั้งผอง
เห็นลำกำปั่นลั่นฆ้อง แล้วร้องทักถามความไป
นาวามาแต่บุรีรมย์ เขตนิคมบุรินถิ่นไหน
ค้าขายจำหน่ายสิ่งใด บอกไปให้แจ้งกิจจาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ราชทูตทั้งสี่มียศถา
ร้องตอบมาพลันมิทันช้า มาแต่มิถิลาธานี
ด้วยพระองค์ผู้ดำรงศฤงคาร ให้นำบรรณาการสาส์นศรี
มาทางพระราชไมตรี มิใช่ไพรีอย่าร้อนใจฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนด่านฟังแจ้งแถลงไข
ลงยังนาวาคลาไคล เข้าในนิเวศบวรฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งแถลงแจ้งการ กับเจ้าพนักงานศุภอักษร
พอเวลาเฝ้าเจ้านคร ก็ชวนกันบทจรเข้าไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึ่งชวนกันกราบลง ทูลองค์พงศ์กษัตริย์เป็นใหญ่
บัดนี้ทูตามาแต่ไกล พักไว้นอกด่านพระพาราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวพรหมทัตนาถา
ได้ฟังจึ่งสั่งเสนา ให้รับทูตามาเวียงชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีพนักงานน้อยใหญ่
ออกมาเกณฑ์กันทันใด รีบไปยังด่านปากน้ำพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้งถึงจึ่งแจ้งคดี กับสี่ทูตาคนขยัน
บัดนี้พระองค์ทรงธรรม์ ให้เชิญท่านทูตเข้าในพาราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ราชทูตทั้งสี่มียศถา
จัดแจงตกแต่งกายา เสื้อผ้าหลายอย่างต่างต่างมี
ต่างเชิญสาราบรรณาการ พรั่งพร้อมขนานทุกหน้าที่
ขึ้นจากนาวาไม่ช้าที เสนีแห่หน้าคลาไคลฯ

ฯ ๔ คำ ฯ กลองโยน

๏ ครั้นถึงพระโรงรจนา นำทูตเข้ามาหาช้าไม่
ขนบรรณาการสาส์นชัย เข้าเฝ้าท้าวไทฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวพรหมทัตรังสรรค์
เห็นบรรณาการสาส์นสุวรรณ ทรงธรรม์ปราศรัยไปทันที
พระองค์ผู้ดำรงนัครา ยังเปรมปราภิรมย์เกษมศรี
ข้าวกล้านาปรังตั้งต้นดี ไพร่ฟ้าประชาชีสุขสำราญ
ทั้งหมู่ประจามิตรทิศใด ไม่เบียดเบียนฤๅไรในสถาน
พวกท่านมานี่กี่วันวาร จึ่งลุถึงสถานนัคราฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ราชทูตบังคมก้มเกศา
พระองค์ผู้ดำรงนัครา ไพร่ฟ้าอยู่สุขสำราญ
ข้าพระบาทจรมาสิบห้าวัน จึ่งลุถึงเขตขัณฑ์ราชฐาน
ด้วยเดชะสององค์ทรงศฤงคาร จึ่งคุ้มไร้ภัยพานถึงเขตคันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ ฟังทูล เพิ่มพูนปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
จึ่งหยิบสาส์นอ่านทัศนาพลัน ข้อสำคัญคดีที่มีมาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ในลักษณ์อักษรสาส์นทรง ขององค์ทรงภพนาถา
ถึงองค์พรหมทัตกษัตรา สองพาราขอร่วมไมตรีกัน
ขอพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ ร่วมเศวตฉัตรเฉิดฉัน
กับโอรสาวิวาห์พลัน เป็นทองแผ่นเดียวกันคุ้งวันตายฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ จบสาส์นอ่านสิ้นในอักษร พระภูธรชื่นชมสมหมาย
ยิ้มเยื้อนเอื้อนอรรถตรัสภิปราย พระฦๅสายจะประสงค์จงใจ
สมสองครองกันไม่ฉันทา ไม่ว่าดอกเจ้าเราจะให้
กลับไปทูลองค์พระทรงชัย กำหนดวันเดือนใดก็ตามทีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อำมาตย์ราชทูตทั้งสี่
จึ่งทูลว่าถ้าโปรดปรานี เดือนสี่ขอนัดการวิวาห์
จะให้พระโอรสยศยง มาเฝ้าเบื้องบาทองค์พระนาถา
ตามพระองค์ทรงธรรม์มีบัญชา ผ่านฟ้าจงทราบบทมาลย์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พงค์กษัตรีย์ปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
จึ่งตรัสเรียกเสื้อผ้ามาประทาน อีกของตระการนานาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ราชทูตทั้งสี่มียศถา
รับของประทานแล้ววันทา บังคมลาออกมาไม่ช้าทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งลงนาวา ต้นหนล้าต้ากะลาสี
พอลมส่งตรงไปก็ได้ที ออกนาวีตรงกลับบุรีพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงยังซึ่งพารา ประทับทอดหน้าท่าเกษมสันต์
สี่นายโดยด่วนชวนกัน ผายผันขึ้นเฝ้าเจ้าธานีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ พระองค์ผู้ดำรงกรุงศรี
กราบทูลเนื้อความตามคดี ถ้วนถี่ชี้แจงดังบัญชาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านเขตขัณฑ์ก็หรรษา
จึงตรัสสั่งลูกแก้วแววตา จงเร่งเตรียมเภตราฉับพลัน
กำหนดอีกเจ็ดราตรี ฤกษ์ดีลูกแก้วจงผายผัน
แล้วดำรัสตรัสสั่งเสนาพลัน จงจัดสรรให้เสร็จสำเร็จการฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนารับราชบรรหาร
คลานคล้อยถอยออกมาสั่งการ ทุกทั่วพนักงานดังบัญชาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงทรงยศโอรสา
ถ้วนเจ็ดราตรีก็ปรีดา ผ่านฟ้าถวิลยินดี
สระสรงทรงเครื่องพรายพรรณ ดังจันทร์แจ่มฟ้าราศี
พรั่งพร้อมสนมนารี ขึ้นเฝ้าภูมีทันใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงประนมบังคมบาท บิตุรงค์ธิราชเป็นใหญ่
ทั้งพระชนนีทรามวัย ภูวไนยจงสุขสวัสดีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บิตุเรศมารดรทั้งสองศรี
อวยชัยให้พรสวัสดี ทั้งโรคาอย่ามีมาแผ้วพานฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโอรสปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
น้อมเศียรประณตบทมาลย์ ออกมาหน้าพระลานทันที
พรั่งพร้อมสนมนางใน ลงไปส่งเสด็จพระโฉมศรี
นางแก้วสัปดนคนดี ก็ลอบตามภูมีลงมาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงยังซึ่งตำหนักแพ ฝูงกำนัลเซ็งแซ่อยู่แน่นหนา
พระแลเห็นนางแก้วหน้าม้า หมอบอยู่ตรงหน้าภูวไนย
เทวันบัลดาลดลจิต ให้ทรงฤทธิ์เธอกล่าวปราศรัย[๑]
พระแลชมมัจฉาชลาลัย ที่ในสาคเรศชโลทร
เห็นฉนากฉลามว่ายตามเรือ ทั้งพิมพาปลาเสือว่ายสลอน
จระเข้กุ้งกั้งมังกร เที่ยวลอยร่อนผุดพ่นชลธารฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงสิบห้าราตรี ลุถึงบุรีเกษมสานต์
ทอดสมอรอรั้งฟังโองการ อยู่ยังหน้าด่านบุรีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายด่านกองตระเวนเห็นถ้วนถี่
ร้องถามไปพลันทันที นี่นาวีมาไยในพาราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีผู้มียศถา
ร้องตอบมาพลันมิทันช้า มาแด่มิถิลาธานี
นัดว่าจะมาสยุมพร ภูธรเสด็จมาถึงนี่
ท่านเร่งไปทูลมูลคดี ให้ภูมีท้าวทราบอย่านอนใจฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ชุนด่านฟังแจ้งแถลงไข
รีบแต่งตัวพลันทันใด คลาไคลรีบมาไม่ช้าทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งแจ้งเหตุการณ์ กับเจ้าพนักงานถ้วนถี่
เสนาชวนกันทันที เข้าพระโรงรูจีบัดดลฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึ่งประณตบทมาลย์ กราบทูลภูบาลตามนุสนธิ์
บัดนี้ทูลกระหม่อมจอมมงคล ยกพลมาแต่งวิวาห์การฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวพรหมทัดเกษมสานต์
จึ่งดำรัสตรัสสั่งพนักงาน จงจัดการไปรับเธอเข้ามาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนนางจัตุสดมภ์กรมท่า
ก้มเกล้ารับสั่งบังคมลา ออกมาเกณฑ์กันทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นเสร็จจึ่งรีบจรลี ลงนาวีลำเลียงเคียงไสว
เกณฑ์แห่แลล้วนแต่ธงชัย ออกไปรับเสด็จพระทรงธรรม์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบทูล ตามมูลคดีทุกสิ่งสรรพ์
ว่าบัดนี้พระองค์ทรงธรรม์ เชิญเสด็จจรจรัลเข้าธานีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงทรงสวัสดิ์รัศมี
ได้ฟังสมถวิลยินดี จรลีมาสรงคงคาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ลูบไล้สุคนธ์ปนปรุง เฟื่องฟุ้งซับซาบอาบมังสา
ทรงภูษิตยกแย่งนาคา สนับเพลาโอ่อ่าลวดลาย
ฉลององค์อินทรธนูชูเชิด กรองศอเพราเพริศสังวาลสาย
เจียระบาดตาดสุวรรณพรรณราย เข็มขัดสายทองคำประจำยาม
ตาบทิพย์ประดับทับทรวงทรง ทองกรธำมรงค์เรืองอร่าม
มงกุฎเก็จเพชรพราววาววาม ห้อยอุบะอร่ามรุ้งมณี
ขัดพระขรรค์บรรจงทรงศร บทจรจากท้ายบาหลี
พรั่งพร้อมพี่เลี้ยงเสนี จรลีขึ้นจากนาวาฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีตัวนายซ้ายขวา
ให้ประโคมแตรฆ้องกลองชวา แห่หน้านำเสด็จจรจรัล
พระองค์ขึ้นทรงยานุมาศ ยุรยาตรเข้าในไอศวรรย์
คับคั่งหลังหน้ากว่าพัน ผายผันเข้าในทวาราฯ

ฯ ๔ คำ ฯ กลองโยน

๏ ครั้นถึงจึงหยุดกระบวนแห่ เซ็งแซ่คึกคักเป็นหนักหนา
เชิญเสด็จหน่อไทไคลคลา เข้าพระโรงรจนาทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอภิวาท สองกษัตริย์ธิราชเป็นใหญ่
หมอบเมียงเคียงแท่นอำไพ หฤทัยสุขเกษมเปรมปรีดิ์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองกษัตริย์ธิราชเรืองศรี
พิศพักตร์เขยขวัญทันที ยิ่งมีเมตตาอาลัย
ผิวผ่องละอองแน่งน้อย แช่มช้อยโสภาน่ารักใคร่
ยิ้มเยื้อนเอื้อนอรรถตรัสไป ว่าดวงใจพ่อมาถึงธานี
ทั้งสองพระองค์ทรงยศ ไพร่พลชนบทกรุงศรี
สุขเกษมเปรมปราไม่ราคี สวัสดีด้วยกันฤๅฉันใด
เดินทางมากลางสาคเรศ เกิดเหตุร้อนเย็นเป็นไฉน
จะเสกสองให้ครองราชัย ฤๅพ่อจะกลับไปพระนครฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงทรงฤทธิ์อดิศร
ได้ฟังตรัสมัธุรสสุนทร โอนอ่อนวันทาแล้วพาที
พระองค์ทรงฤทธิ์เหมือนบิตุเรศ ชนนีเกิดเกศเกศี
วงศาประชาชาวบุรี มิได้มีโรคันอันตราย
เดินทางมากลางทะเลวน สำราญใจไพร่พลทั้งหลาย
ลมส่งตรงมาแสนสบาย สิบห้าวันมั่นหมายถึงเวียงชัย
ลูกรักจักฉลองละอองบาท บิตุรงค์ธิราชเป็นใหญ่
ปีหน้าจึ่งจะลาไปเวียงชัย เยี่ยมไทเสร็จสรรพจะกลับมาฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ฟังทูล นเรนท์สูรแสนโสมนัสา
เบือนพักตร์กวักเรียกเสนา อย่าช้าหาฤกษ์ยามชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนโหรรับสั่งบังคมไหว้
จับกระดานหารคูณไปทันใด ฤกษ์ใหญ่เบ็ดเสร็จเจ็ดวัน
ครั้นรู้ตระหนักประจักษ์เหตุ กราบทูลทรงเดชเจ้าไอศวรรย์
จงทราบบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ อีกเจ็ดวันทำการจะสำราญฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังโหรทาย พระฦๅสายปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
จึ่งตรัสกับเขยขวัญมิทันนาน จงคิดอ่านตกแต่งพระบุรี
ให้เขารื้อพระปรัศว์จัดแจง ตกแต่งเครื่องการภิเษกศรี
แล้วตรัสสั่งเสนาไม่ช้าที เร่งรัดบัดนี้อย่านอนใจ
จงปลูกพลับพลาริมสาคร ได้พักผ่อนเภตราอาศัย
หยุดพักพหลพลไกร อย่าให้อดอยากทุกประการฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงโฉมประโลมยอดสงสาร
น้อมเศียรประณตบทมาลย์ ลาพระภูบาลออกไป
พรั่งพร้อมพี่เลี้ยงเสนา ติดตามผ่านฟ้ามาไสว
รีบออกนอกทวารวังใน รีบไปสู่ท่าวารีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งลงยังนาวา แลมาตามท้องนทีศรี
แซ่เสียงปี่พาทย์ดนตรี โยธีแห่แหนแน่นมาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ มาถึงซึ่งลำสำเภาพลัน สุริยันลับเหลี่ยมภูผา
พระโฉมยงลงสู่เภตรา ผ่านฟ้าเป็นสุขสำราญฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีที่รับบรรหาร
หมายเวรเกณฑ์กันมิทันนาน สับสนอลหม่านทั้งเวียงชัย
ทำที่ประทับพลับพลา ริมฝั่งคงคากว้างใหญ่
ที่ทางข้างหน้าข้างใน เสร็จสรรพฉับไวดังบัญชา
บ้างปลูกโรงราชพิธี ประดับด้วยมณีมีค่า
สำเร็จเสร็จสรรพประดับประดา คอยฤกษ์วิวาห์วันดีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระนรินทร์พินทองผ่องศรี
เสร็จสรรพพลับพลาไม่ช้าที ลีลานาวีเข้าเวียงชัย
จอดเคียงเรียงลำเป็นลำดับ คั่งคับดังแพแลไสว
สำเร็จเสร็จสรรพฉับไว แล้วขึ้นไปอยู่ประทับพลับพลาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพวกพนักงานถ้วนหน้า
ครั้นถึงกำหนดการวิวาห์ ต่างมาพระโรงคัลมิทันนาน
เร่งรัดจัดพวกกระบวนแห่ จอแจดาษดาหน้าฉาน
บุษบกรถทรงอลงการ รับเสด็จพระกุมารเข้าเวียงชัยฯ

ฯ ๔ คำ ฯ กลองโยน

๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดกระบวนแห่ เซ็งแซ่สนั่นอยู่หวั่นไหว
ยานุมาศประทับกับเกยชัย คอยพระภูวไนยจรลีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองปรีดิ์เปรมเกษมศรี
พร้อมพรั่งดังกระบวนโยธี จรลีมาสรงสาครฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ กรีดหัตถ์ขัดสีฉวีวรรณ ทรงสุคนธ์ปนสุวรรณเกสร
ทรงภูษิตพื้นแดงแย่งกินนร สวมซ้อนสนับเพลาเพราพราย
ฉลององค์สอดทรงเจียระบาด เข็มขัดคาดค่าเมืองเรืองฉาย
ทับทรวงพวงกุดั่นพรรณราย ตาบทิพย์เพชรพรายเพราตา
ทองกรเป็นพระยามังกรแก้ว ธำมรงค์วาวแววทั้งซ้ายขวา
มงกุฎแก้วแวววับจับตา ห้อยมาลาพวงกุดั่นบรรจงฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นเสร็จเสด็จจรลี ท่วงทีดังพระยาราชหงส์
ออกจากห้องสุวรรณบรรจง มาทรงรถแก้วแววตาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีตัวนายซ้ายขวา
บังคมก้มกราบสามลา คลายเคลื่อนโยธาจรลีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงพระโรงชัชวาล หยุดพวกทวยหาญอึงมี่
พระองค์ลงจากรถมณี เข้าสู่โรงพิธีทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระองค์ชนนีศรีใส
สายแสงสุริโยอโณทัย ทรามวัยกุมกรพระธิดาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ นางในไขฝักประทุมทอง เป็นละอองเย็นซาบอาบมังสา
ทรงสุคนธ์ปนทองชโลมทา ทรงภูษาเชิงชายลายสุวรรณ
ประจงจับพับกลีบจีบโจงวาด เข็มขัดคาดรัดกายลายกระสัน
สะพักตาดพาดองค์นางแจ่มจันทร์ สังวาลวรรณสร้อยนวมสวมทรง
ทองกรธำมรงค์เพชรรัตน์ พระพักตร์ผัดเลิศล้วนนวลระหง
พระมารดามาช่วยประคององค์ ประจงทรงรัดเกล้าเพราพรายฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ สรรพเสร็จสมเด็จพระมารดร จูงกรจรจรัลผันผาย
สาวศรีพี่เลี้ยงเรียงราย ผันผายขึ้นเฝ้าพระบิดาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึ่งประณตบทบงสุ์ ผู้ดำรงภพราชนาถา
หมอบเมียงเคียงองค์พระมารดา คอยฟังบัญชาท้าวไทฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวพรหมทัตเป็นใหญ่
เห็นควรจวนได้ฤกษ์ชัย ภูวไนยชื่นชมยินดีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ สระสรงทรงเครื่องอาภรณ์ พระหัตถ์กุมศรชัยศรี
ตรัสชวนนงนุชพระบุตรี จรลีออกมาเกยสุวรรณ
พระองค์ขึ้นทรงยานุมาศ พระนางนาฏทรงวอเฉิดฉัน
พระพี่เลี้ยงเคียงองค์นางแจ่มจันทร์ ขึ้นทรงรถสุวรรณอลงกรณ์
พรั่งพร้อมสนมนางใน งามงามตามไปแลสลอน
ได้ฤกษ์ให้เคลื่อนคลาจร พลนิกรแห่แหนแน่นมาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ กลองโยน

๏ ครั้นถึงยังซึ่งโรงพิธี ให้หยุดมนตรีทั้งซ้ายขวา
สามกษัตริย์ยุรยาตรคลาดคลา เข้ามาสู่โรงพิธีการฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ฝ่ายองค์สมเด็จพระบิดร จูงกรหน่อไทใจหาญ
นั่งเหนือกองแก้วสุริย์กาญจน์ โดยแบบบุราณก่อนมาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระชนนีเสน่หา
จูงกรพระราชธิดา นั่งกองสุวรรณาทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพวกพนักงานน้อยใหญ่
ประโคมฆ้องกลองดังทั้งเวียงชัย เสียงสนั่นหวั่นไหวเป็นโกลี
ฝ่ายพวกชีพราหมณ์พฤฒา เข้ามาต่างเบิกบายศรี
จุดเทียนเวียนแว่นอัคคี โห่ก้องอึงมี่เอาชัยฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถ้วนคำรบทันที พราหมณ์ชีเข้ามาหาช้าไม่
รวบรับดับพลันทันใด แล้วไปเฉลิมเจิมพักตรา
ต่างต่างอำนวยอวยพร ให้ถาวรยาวยืนชันษา
ครองกันแต่หนุ่มคุ้มชรา ปราศจากโรคาอย่าแผ้วพานฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นสำเร็จเสร็จการสยุมพร ภูธรปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
ตรัสชวนเขยขวัญมิทันนาน เข้าสู่สถานทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งพาหน่อนาถ ยุรยาตรขึ้นปราสาทสุกใส
พระมารดาพาองค์อรไท เข้าในปรางค์ทองห้องสุวรรณฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งสั่งนางพี่เลี้ยง ให้พร้อมเพรียงสุรางค์นางสาวสรร
พอโพล้เพล้เพลาสายัณห์ จอมขวัญเล้าโลมพระบุตรี
เจ้าจงจัดแจงแต่งองค์ แม่จะได้ไปส่งโฉมศรี
ฤกษ์ยามสำคัญวันนี้ จะเป็นศรีสวัสดิ์สืบไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางทัศมาลีศรีใส
แจ้งว่ามารดาจะพาไป อายใจเป็นพ้นคณนา
ให้สะเทิ้นเมินพักตร์ไม่พาที เทวีหวาดหวั่นพรั่นหนักหนา
เห็นพี่เลี้ยงยิ้มพรายชายตา กัลยาชำเลืองเคืองค้อนฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระชนนีศรีสมร
ลูบหลังลูกยาแล้วว่าวอน บังอรของแม่อย่าเกียจกัน
บิตุรงค์ให้ส่งเสียวันนี้ ด้วยฤกษ์งามยามดีกวดขัน
จงสระสรงแต่งองค์อย่าช้าพลัน จอมขวัญของแม่อย่าแชเชือนฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังมารดา ตรึกตราอายใจใครจะเหมือน
ไม่ไหวติงนิ่งหงิมยิ้มเยื้อน บิดเบือนพักตร์หนีไม่นำพาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองนางพี่เลี้ยงซ้ายขวา
เข้าไปกระซิบเจรจา ไม่กลัวพระบิดาฤๅว่าไร
นั่งนิ่งไม่ติงอินทรีย์ เนื้อเย็นเห็นดีฤๅไฉน
จะให้เสียฤกษ์พาว่ากระไร ไวไวไปสรงชลธาร
ว่าพลางทางเข้าอุ้มองค์ เข้าในห้องสรงสระสนาน
พนักงานไขฝักประทุมมาลย์ นางอยู่งานหมอบเมียงอยู่เรียงรายฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ลูบไล้กระแจะนํ้ามันปรุง ภูษานุ่งพื้นม่วงช่วงฉาย
คาดเข็มขัดตรัจเตร็จเพชรพราย โฉมฉายกรีดหัตถ์ผัดพักตรา
ทรงสไบตาดทองรองซับ สร้อยนวมสวมทับพระอังสา
สังวาลช่วงดวงกุดั่นจินดา ทองกรบุษราเรืองระยับ
แล้วเลือกธำมรงค์ทรงสอด แต่ละยอดเรียงเม็ดเพชรประดับ
สวมทรงรัดเกล้าวาววับ เสร็จสรรพมาเฝ้าพระมารดาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ แล้วถวายคำนับอภิวาท หมอบเมียงเคียงอาสน์นาถา
คิดประหวั่นครั่นคร้ามขามวิญญา ก้มหน้าสะเทิ้นเขินอายฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระชนนีโฉมฉาย
โลมลูบปลอบว่าแม่อย่าอาย โฉมฉายของแม่ผู้ภักดี
สมศักดิ์สมวงศ์พงศ์พันธุ์ เปรียบดังดวงจันทร์สุริย์ศรี
ควรเป็นภัสดาสามี ฤกษ์ดีจะได้จรจรัล
ขึ้นเฝ้าบิดาเสียอย่าดื้อ เข้าจูงมือโฉมฉายผายผัน
พรั่งพร้อมสนมกำนัล เสด็จจรจรัลมาทันทีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึ่งองค์พระมารดร จูงกรธิดามารศรี
ขึ้นบนปราสาทรูจี แต่สองมารศรีทรามวัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อนรินทร์พินทองผ่องใส
เห็นพระมารดามาแต่ไกล ภูวไนยก็ถวายอัญชลีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์เอกภิเษกศรี
รับหัตถ์เขยขวัญทันที จรลีเข้าห้องพรรณราย
ลดองค์ลงนั่งบัลลังก์รัตน์ หน่อกษัตริย์แลเลี่ยงเมียงหมาย
พระธิดาเมินหมอบยอบกาย เอียงอายขวยเขินเมินพักตร์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระชนนีมีศักดิ์
เรียกพระโฉมยงนงลักษณ์ มานั่งตรงพักตร์แล้วพาที
สององค์จงสมัครรักกัน ตามวงศ์พงศ์พันธุ์กษัตริย์ศรี
ชอบผิดอย่าคิดราคี จงมีความเจริญสืบไป
ส่งแล้วมารดาจะลาเจ้า ขวัญข้าวทั้งสองจงผ่องใส
ครองกันจงดีอย่ามีภัย กอดจูบลูบไล้ทั้งสองราฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมเฉิดเลิศลํ้าเลขา
รับกรชนนีด้วยปรีดา ชายตาแย้มสรวลสำรวลกัน
สบพักตร์ก็พยักยิ้มพราย สนิทแนบแยบคายคมสัน
โฉมฉายอายเอียงเมียงมัน ทรงธรรม์เกษมเปรมปรีดิ์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระมารดามารศรี
ตรัสกับเขยขวัญทันที แม่นี้จะลาคลาไคล
ว่าพลางนางลุกลงจากอาสน์ ชวนฝูงกำนัลนาฏน้อยใหญ่
ออกจากห้องสุวรรณทันใด กลับไปยังปรางค์รจนาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระบุตรีแน่งน้อยเสน่หา
ความอายประหวั่นพรั่นวิญญา ตกประหม่าไม่เป็นสมประดี
ถอยองค์ลงไปเสียให้ห่าง นวลนางจะลุกขึ้นวิ่งหนี
มองหาพี่เลี้ยงนารี เลื่อนองค์จากที่ทันใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์ยิ้มย่องผ่องใส
ฉวยฉุดกรยุดสไบไว้ ปราศรัยลูบไล้ไปมาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชาตรี

๏ สุดสวาดิ์ งามขนงวงวิลาสเลขา
พริ้งเพราเสาวภาคย์โสภา ใต้ฟ้าเอกเอี่ยมไม่เทียมทัน
เป็นกุศลหนหลังเราทั้งสอง เคยร่วมห้องร่วมเรียงเคียงขวัญ
ใช่ใกล้เคียงเวียงชัยอยู่ไกลกัน สู้ข้ามชลด้นดั้นสันโดษมา
ทิ้งสถานบ้านเรือนมาอยู่นี่ เพราะว่าพี่จงจิตขนิษฐา
ท่านเสกมิ่งมารศรีให้พี่ยา แก้วตาจะว่าประการใด
พี่ขอเชิญโฉมงามทรามสวาดิ์ มาไสยาสน์แท่นทองให้ผ่องใส
อย่าแฝงกายอายเหนียมเรียมไย พระลูบไล้โอบอุ้มแล้วกุมกรฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางทัศมาลีศรีสมร
ฟังตรัสมัธุรสสุนทร คมค้อนขวยเขินสะเทิ้นใจ
ยิมพลางทางว่าน่าบัดสี ช่างพาทีกล่าวความแต่ตามได้
ทิ้งสมบัติวัตถาข้าไท มาได้ถึงโรมบุรี
ไยจึงไม่สมสองครองคู่ เชยชมสมสู่อยู่กรุงศรี
ต้องลำบากยากมาในวารี ฤๅน้องนี้ฉุดลากกระชากมาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

โอ้โลม

๏ แสนเอยแสนคม ทั้งคารมแหลมหลักเป็นหนักหนา
ทราบแล้วว่าแก้วกัลยา มิได้ไปเรียกหาว่าวาน
ความรักหากซนมาจนพบ จนประสบนงนุชสุดสงสาร
พี่ไร้คู่สู่สมชมสำราญ เยาวมาลย์จงได้ปรานี
ว่าพลางจูงนางดำเนินนาด มานั่งเหนืออาสน์มณีศรี
สัพยอกหยอกเย้ายวนยี สุขเกษมเปรมปรีดิ์หฤทัยฯ

ฯ ๖ คำ ฯ ตระ โลม

๏ รุ่งรางสร่างแสงสุริยา ตรัสชวนกัลยาพิสมัย
มาสระสรงทรงเครื่องอำไพ คลาไคลเฝ้าสองกษัตราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึ่งถวายบังคมคัล หมอบเรียงเคียงกันอยู่ตรงหน้า
ก้มพักตร์เสียไม่เจรจา คอยฟังบัญชาพระทรงธรรม์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พรหมทัตทศทิศรังสรรค์
ทั้งนางสุนทราวิลาวัณย์ ชวนกันกอดจูบลูบไล้
ต่างว่าน่าชมสมสอง ดังทองหมดสิ้นปัถไหม
ดังบุหลันสรรค์สร้างกันมาไว้ จึ่งได้ประสบพบพาน
พ่อแม่แก่องค์ลงแล้ว ลูกแก้วอยู่ด้วยช่วยคิดอ่าน
ดูแลชอบผิดกิจการ ดังแบบบุราณสืบมาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังตรัส หน่อกษัตริย์บังคมก้มเกศา
ชวนโฉมอรไทไคลคลา กลับมาปราสาททันทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าห้องทอง นั่งแนบแอบน้องเกษมศรี
สัพยอกเย้าชวนยวนยี สุขเกษมเปรมปรีดิ์สำราญฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางหน้าม้าปรีชาหาญ
เนาในมิถิลามาช้านาน ประมาณสองเดือนไม่เคลื่อนคลาย
คิดคะนึงถึงองค์พระทรงศักดิ์ ความรักมิใคร่จะเสื่อมหาย
นั่งนอนร้อนใจไม่สบาย โฉมฉายนิ่งนึกตรึกตรา
เมื่อเธอจรจากวังก็สั่งไว้ ให้เราไซร้ทำลูกไว้คอยท่า
จะยอกย้อนซ้อนกลมายา แก้แค้นแสนสาแก่นํ้าใจฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ คิดพลาง นวลนางออกจากที่อาศัย
รีบลงอัฒจันทร์มาทันใด มิให้ใครแจ้งแห่งคดี
ครั้นออกนอกวังไม่ยั้งหยุด รีบรุดมาตามแถววิถี
ลับตาคนผู้ในบุรี ตรงไปยังที่นาวาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ แวะเข้าสุมทุมพุ่มพง สุริยงบ่ายบังพฤกษา
นั่งลงตรงกลางนาวา ชักยนต์เภตราลอยไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ ครู่หนึ่งถึงกุฎีดง โฉมยงยินดีจะมีไหน
ลงจากนาวาคลาไคล เข้าไปเฝ้าองค์พระทรงญาณฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอัญชลี พระมหามุนีปรีชาหาญ
หมอบเมียงเคียงคอยพจมาน แสนสำราญหฤทัยพันทวีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมหาดาบสฤๅษี
แลเห็นหน้าม้าพาชี ยิ้มพลางทางมีบัญชา
ตัวเจ้าได้เขาพระเมรุไป ถวายองค์ทรงชัยนาถา
ได้ลาภฤๅเปล่าเล่ากิจจา กลับมาด้วยเหตุประการใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ทูลความตามจริงทุกสิ่งไป โดยนัยนุสนธิ์ต้นปลาย
บัดนี้พระองค์ทรงฤทธิ์ ไม่คิดผูกพันมั่นหมาย
หนีไปไกลเมืองเคืองระคาย จะผันผายตามองค์พระทรงธรรม์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังวาจา พระสิทธาสำรวลสรวลสันต์
มีศักดิ์เสียเปล่าไม่เท่าทัน พากันโง่เง่าเหมือนเต่าปลา
ซึ่งเจ้าจะคิดติดตามไป ถึงโรมวิสัยไกลหนักหนา
เหาะเหินเดินได้ในเมฆา ประมาณเจ็ดทิวาราตรี
ตาจะช่วยจัดแจงแต่งให้ ด้วยได้มาพึงจนถึงนี่
ว่าพลางทางองค์พระมุนี ร่ายเวทฤทธีฉับพลันฯ

ฯ ๖ คำ ฯ รัว

๏ บังเกิดขึ้นเป็นกระทายทอง ใส่ของเครื่องทรงสาวสวรรค์
หยิบยื่นให้นางพลางรำพัน เมืองนั้นทิศนี้ตาชี้ไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางแก้วกราบก้มบังคมไหว้
รับของประทานสำราญใจ วันทาลาไปยังสัดจองฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ชักสายยนต์ลิ่วปลิวฟ้า เภตราเหาะพันพันผยอง
ทุกษิณครบสามตามทำนอง ลอยล่องไปในกลีบเมฆีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ ครั้นเสร็จเจ็ดวันดังบัญชา เภตรามาถึงโรมวิถี
ชักสายยนต์แวะนาวี สู่ที่ปัถพีทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งลงจากเรือน้อย สุริย์ฉายบ่ายคล้อยเหลี่ยมไศล
ยอกรวันทาสุราลัย ถอดรูปทรามวัยฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ รัว

๏ กลายเป็นนารีศรีโสภา พักตราพริ้งเพริดเฉิดฉัน
กรายกรย่างเยื้องจรจรัล ผายพันเข้าสู่บูรีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ รัว

๏ ครั้นถึงยังซึ่งถนนหลวง ฝูงคนทั้งปวงอยู่อึงมี่
นางดำเนินเดินดูพระบูรี ตามแถววิถีทางจร
ร้านรายขายของทั้งสองฝาก เมี่ยงหมากพฤกษาผ้าผ่อน
เครื่องแก้วแววรับซับซ้อน ผ้าห่มนอนต่างต่างมาวางราย
ลางนางนั่งร้านขายพานถม ดูสวยสมพริ้งเพริศเฉิดฉาย
ห่มสีทับทิมพริ้มพราย นั่งขายเครื่องทองดูยองใย
ลางนางบ้างขายกระจกหวี ห่มสีจำปาน่ารักใคร่
ขายเครื่องหอมหวนยวนใจ บ้างร้อยมาลัยมะลิลา
ชมพลางนางรีบจรลี มิได้มีใครทักรู้จักหน้า
เลี้ยวลงฉนวนด่วนมา เดินดูนาวาริมนทีฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นสำเภาจอด ท้ายทอดใบกางต่างต่างสี
เห็นกระท่อมยายตาริมวารี อยู่ข้างวิถีทางจร
เทวีตริตรึกนึกใน จำจะหยุดอาศัยที่นี่ก่อน
แม้นพระทรงยศบทจร จะล่อพระภูธรให้หนำใจ
คิดพลางนางแวะเข้ามา นั่งไหว้ยายตาแล้วปราศรัย
หลานเป็นกำพร้ามาแต่ไกล จะอาศัยอยู่ด้วยช่วยทำงานฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่าปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
ลูบหลังลูบหน้ายุพาพาล เยาวมาลย์แม่มาแต่แห่งใด
รูปร่างดังเทพนฤมิต พักตร์พิศดังดวงแขไข
ถิ่นฐานตำแหน่งอยู่แห่งใด มาไยจงแถลงแจ้งกิจจาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณียิ้มพลางทางว่า
หลานเป็นชาวดอนสัญจรมา ญาติวงศ์พงศาก็ไม่มี
ยายจงกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้ หลานจะแทนคุณให้ทั้งสองศรี
งานการทำได้เป็นไรมี จงเมตตาปรานีเถิดคุณยายฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่าตอบไปดังใจหมาย
บุญแล้วแก้วตามาหายาย อยู่ให้สบายอย่าปรารมภ์
ว่าแล้วก็จูงมือมา ยายตาปรีดิ์เปรมเกษมสม
ราตรีเข้าที่เชยชม แสนภิรมย์ด้วยหลานสำราญใจฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณีเยาวยอดพิสมัย
ครั้นค่ำยํ่าประถมยามชัย เข้าในห้องหับลับลี้
นิ่งคะนึงถึงองค์พระทรงศักดิ์ ไม่นานนักคงพบประสบศรี
จะผันแปรแก้ไขให้ดิบดี ครังนี้ได้เล่นได้เห็นกัน
คิดพลางเอนองค์ลงนอน ให้อาวรณ์วิโยคโศกศัลย์
คิดครวญจวนรุ่งสุริยัน จอมขวัญระงับหลับไปฯ

ฯ ๖ คำ ฯ ตระ

๏ ครั้นรุ่งนางตื่นฟื้นกาย โฉมฉายสรงพักตร์ให้ผ่องใส
สาวน้อยคอยองค์พระทรงชัย อยู่ในห้องหับไม่หลับตาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองทรงโฉมเสน่หา
ร่วมภิรมย์สมสู่วนิดา ในมหาปรางค์มาศรูจี
เมื่อวันจะพบนงคราญ เทวัญบันดาลพระโฉมศรี
หลับไหลไสยาในราตรี ภูมีนิมิตพิสดาร
ฝันว่ายาจกคนหนึ่งนั้น ผายผันมายังราชฐาน
ถวายดอกบุปผาผกากาญจน์ ภูบาลมิได้ไยดี
ทิ้งลงตรงพื้นแผ่นดินดล เกิดพิกลกลายกลับไปกับที่
โชติช่วงดังดวงจินดาดี พระหยิบได้มณีนั้นมา
กำไว้ในหัตถ์อัศจรรย์ แก้วนั้นพาเหาะขึ้นเวหา
ใกล้รุ่งพระสะดุ้งกายา แบหัตถ์ทัศนาก็หายไป
แข็งขึงตะลึงอยู่เป็นครู่ รู้ว่านิมิตคิดสงสัย
ตรองตรึกนึกนิ่งในพระทัย มิได้แสดงให้แพร่งพราย
คิดจะใคร่ไปดูเภตรา เยี่ยมเหล่าโยธาทั้งหลาย
พระจึงเอื้อนอรรถตรัสภิปราย โฉมฉายจงอยู่ตำหนักจันทน์
ผัวรักจักลาคลาไคล ลงไปเยี่ยมพหลพลขันธ์
พี่ไปไม่ถึงสักกึ่งวัน จอมขวัญค่อยอยู่จงดีฯ

ฯ ๑๖ คำ ฯ

๏ เสด็จออกพระโรงรจนา บัญชาสั่งพี่เลี้ยงทั้งสี่
เร่งผูกพระยาพาชี น้องนี้จะไปยังเภตราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกศา
เร่งรีบไปพลันดังบัญชา ผูกม้ามาประทับกับเกยชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงโฉมประโลมพิสมัย
ขึ้นทรงมิ่งม้าอาชาไนย ตรงไปยังท่าวารีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ผ่านทับยายตามาพลัน จรจรัลรีบไปในวิถี
พระองค์ลงจากพาชี จรลีลงยังเภตราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ลดองค์ลงนั่งเหนือบาหลี ประพาสดูชาวบุรีถ้วนหน้า
แจวพายขายของท้องชลา หน้าตารูปร่างต่างต่างกันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น โยธีพี่เลี้ยงเกษมสันต์
เห็นฝูงแม่ค้าพากัน ผูกพันลดเลี้ยวเกี้ยวพาน
บ้างเรียกน้าต่อของพูดประจบ ทำกระทบจ๋าหล่อนอ่อนหวาน
ซุบซิบปราศรัยใจเบิกบาน แสนสำราญสรวลเสเฮฮาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สาวสาวชาวเมืองถ้วนหน้า
เห็นพวกมหาดเล็กเด็กชา พูดจาพิสมัยเป็นไมตรี
ต่างต่างชำเลืองเคืองค้อน เง้างอนซ่อนชายอายหนี
ฉวยฉุดหยุดชิงเป็นสิงคลี นารีขวยเขินสะเทิ้นใจฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางมณีศรีใส
แฝงบังดูองค์พระทรงชัย เห็นท้าวไทเสด็จลงเภตรา
นางจึงเข้าไปในห้อง หยิบเอากระทายทองกับภูษา
นาดนวลด่วนเดินดำเนินมา สู่ท่าน้ำพลันทันทีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงยังซึ่งสำเภาทอง นวลละอองปรีดิ์เปรมเกษมศรี
วางกระทายลงพลันทันที จรลีลงสรงคงคาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ กรีดหัตถ์ขัดสีฉวีวรรณ ล่อองค์ทรงธรรม์อยู่ตรงหน้า
ลอยล่องในท้องชลธาร์ ว่ายไปว่ายมาสำราญใจฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระนรินทร์พินทองผ่องใส
แลเห็นโฉมงามทรามวัย เลิศลํ้าวิไลลาวัณย์
พระค่อยดำเนินเดินมา ราชาแฝงองค์เกษมสันต์
แลลอดสอดนัยนาพลัน มิให้จอมขวัญเห็นกายฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณียิ้มอยู่ไม่รู้หาย
แจ้งว่าพระองค์พงศ์นารายณ์ แฝงกายดูองค์นางนงคราญ
ทำเป็นไม่เห็นพระภูมี ลอยเล่นวารีเกษมสานต์
แล้วขึ้นจากสายชลธาร นั่งบนตะพานตรงพักตรา
กรีดหัตถ์ขัดสีวารีรด เหยาะหยดผ่องพักตร์ดังเลขา
แกล้งล่อหน่อไทอยู่ไปมา เมินหน้าเฉยอยู่ไม่ดูไปฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองมองดูอยู่ใกล้ใกล้
พิศโฉมนางงามทรามวัย นางในแผ่นภพไม่เทียมทัน
ผิวผ่องดังทองธรรมชาติ เอี่ยมสะอาดดังหนึ่งดวงบุหลัน
พักตร์ผ่องสองปรางอย่างลูกจัน ขนงเนตรเกศกรรณพรรณราย
พิศศอดังศอเหมราช งามวิลาสพริ้งเพริศเฉิดฉาย
อรชรอ้อนแอ้นกรีดกราย เหมือนละม้ายนางฟ้านารี
สองกรอ่อนชดแช่มช้อย แน่งน้อยน่าชมประสมศรี
แข็งขึงตะลึงอินทรีย์ ฤดีแดดิ้นในวิญญา
ดูพลางทางแสนพิศวาส พระหน่อนาถนึกพะวังกังขา
ใครหนอนวลละอองดังทองทา งามกว่านิ่มนุชพระบุตรี
แต่ได้ยลพักตร์น่ารักแสน ไม่เหมือนแม้นโฉมน้องของพี่
จะสืบดูให้รู้ร้ายดี ว่าสามีมีแล้วฤๅเปล่าดายฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ คิดพลางทางมีวาจา ตรัสสั่งเสนาทั้งหลาย
ตามดูให้รู้แยบคาย ว่าโฉมฉายจะอยู่สถานใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น มหาดเล็กรับสั่งไม่ยั้งได้
ด่วนลงนาวาคลาไคล แฝงคอยอรไททันทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์นางมณีศรี
ครั้นเสร็จซึ่งสรงวารี จึงทรงเครื่องมณีฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ นุ่งนอกอย่างเขียนทองรองเรือง เข็มขัดทับค่าเมืองเฉิดฉัน
สไบคาดพาดพับระยับมัน สังวาลวัลย์สร้อยนวมสวมกาย
ทองกรเก้าคู่ชมพูนุท ธำมรงค์เรือนครุฑเฉิดฉาย
แจ่มจำรัสรัดเกล้าเพราพราย ห้อยอุบะพรรณรายอร่ามตาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นเสร็จย่างเยื้องจรลี งามดังมณีเมขลา
ถือกระทายกรายกรลีลา คืนสู่เคหาทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งตากผ้าไว้หน้าเรือน จะแชเชือนชักช้าก็หาไม่
ตรงเข้าห้องพลันทันใด ตั้งใจคอยดูพระภูมีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คนใช้ได้แจ้งถ้วนถี่
โดยด่วนชวนกันจรลี คืนสู่นาวีทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งตรงเข้าวันทา ทูลตามกิจจาหาช้าไม่
อยู่ริมมรคาคลาไคล จงทราบใต้บงกชบทมาลย์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระทรงโฉมประโลมสงสาร
ชื่นชมโสมนัสเบิกบาน จึ่งมีบัญชาการตรัสไป
ท่วงทีเนื้อเย็นจะเป็นสาว จะว่าชาวเมืองนี้เห็นมิใช่
จำจะคิดติดตามทรามวัย จะได้พานพบสบพักตรา
มาตรแม้นมีคู่สู่สม จะชิงชมไม่คิดสังขาร์
ตรัสพลางทางลุกลีลา ลงจากเภตราฉับพลันฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ เสด็จทรงกัณฐัศว์อัสดร บทจรพร้อมพวกพลขันธ์
ตรงตามรัถยามาพลัน ด้วยพระทัยผูกพันเทวีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงซึ่งบ้านยายตา จึงขับพวกโยธาไปจากที่
พระลงจากมิ่งม้าพาชี เสด็จไปในที่ทวารา
เมียงมองร้องเรียกตายาย แย้มยิ้มพริ้มพรายอยู่ในหน้า
แลลอดสอดดูกัลยา แล้วนั่งลงตรงหน้ากระท่อมทับฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น สองเฒ่าเอนหลังกำลังหลับ
แว่วเสียงหน่อไทตกใจวับ ลุกขยับย่างย่องมองดู
เห็นพระโฉมงามทรามวัย ตกใจเขม้นอยู่เป็นครู่
ลนลานคลานออกนอกประตู หมอบอยู่ตรงพักตร์พระจักรีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อนรินทร์พินทองผ่องศรี
แย้มยิ้มพริ้มพักตร์พาที ตรัสถามตามมีกิจจา
อันนางโฉมยงนงคราญ เป็นลูกฤๅหลานของป้า
มีคู่สู่สมภิรมยา ฤๅว่าสาวสรรฉันใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่าบังคมประนมไหว้
ทูลความตามเจริญทุกสิ่งไป มิใช่เชื้อวงศ์พงศ์พันธุ์
นางมาแต่ไหนก็ไม่รู้ ยอมอยู่ด้วยเกล้ากระหม่อมฉัน
ยังไม่มีคู่สองครองกัน ทรงธรรม์จงทราบบาทาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองว่องไวใจกล้า
ได้ฟังดังทิพธารา มาสรงชื่นวิญญาเปรมปรีดิ์
ยิ้มพลางทางกล่าวสุนทร ดูก่อนท่านผู้จำเริญศรี
นางไร้ภัสดาสามี จงยกให้เรานี้เถิดเป็นไร
จะเลี้ยงเป็นมเหสีที่รัก ยศศักดิ์สองเฒ่าเราจะให้
ทั้งทรัพย์สินจินดาข้าไท จะให้ทุกสิ่งสารพันฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่าระรัวตัวสั่น
กราบพลางทางทูลสนองพลัน ทรงธรรม์จงโปรดปรานี
แม้นองค์นงนุชเป็นบุตรหลาน วงศ์วานของข้าบทศรี
จะถวายทรงศักดิ์จักรี มิได้มีเกียจกันฉันทา
นี่เป็นแต่โฉมตรูมาอยู่ด้วย ได้อยู่แต่จะช่วยวอนว่า
เป็นสุดแท้แต่ใจไฉยา ตัวข้าจะไปถามทรามวัย
ทูลพลางทางลุกจรลี เข้าในที่เคหาอาศัย
นั่งแนบแอบองค์อรไท ลูบไล้แล้วแจ้งแพร่งพราย
บัดนี้หน่อไทที่ในวัง มายังเคหาน่าใจหาย
เฝ้าตรัสร้องเรียกหาตายาย แล้วเบี่ยงบ่ายพูดจาพาที
จึ่งวอนงอนง้อขอเจ้า จะรับเข้าไปเป็นมเหสี
โฉมยงจงนึกตรึกคดี จะไปด้วยภูมีฤๅฉันใดฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์มณีศรีใส
ยิ้มพลางผินพักตร์มาซักไซ้ เมียมีฤๅไม่ที่ในวังฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ฟังวาจา ยายตาแจ้งตามความหลัง
ห้ามแหนแน่นไปในวัง แต่ยังไม่มีบุตราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ฟังพาที นางมณีค้อนพลางทางว่า
ข้าเป็นคนจนซนมา ญาติวงศ์พงศาข้าไม่มี
ซึ่งว่าจะพาไปเลี้ยงดู เคียงคู่อดิเรกภิเษกศรี
ซึ่งโฉมยงนงนุชบุตรี ภูมีจะแฝงไว้แห่งใด
จงกลับไปทูลถามตามคำ อย่าอมอำอู้อี้หาดีไม่
ข้าเป็นชาวดงพงไพร เห็นไม่ควรคู่ภูมีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังวาจา ยายตาลูบโลมโฉมศรี
น้อยฤๅหลานข้าปัญญาดี ยายนี้พลั้งจิตคิดไม่ทัน
จะไปทูลไถ่ถามตามตรง พระองค์จะว่าอย่างไรนั่น
ว่าพลางต่างเดินงกงัน พากันไปเฝ้าพระภูมี
นั่งลงตรงพักตร์แล้วกราบทูล นเรนทร์สูรจงโปรดเกศี
ข้าไปไถ่ถามตามคดี เทวีไม่ยอมพร้อมใจ
ติว่าพันปีมีห้ามแหน มาขืนแค่นกล่าวความตามได้
ซึ่งจะเลี้ยงเคียงองค์ทรงชัย แม้นจะไปตามคำรำพัน
แต่โฉมยงองค์เอกภิเษกศรี จะไว้ที่แห่งใดไฉนนั่น
ถ้อยคำร่ำว่ามาอย่างนั้น ทรงธรรม์จงทราบพระบาทาฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมเฉิดเลิศลํ้าเลขา
ได้ฟังดังทิพธารา มาโสรจสรงวิญญาให้ยินดี
แย้มยิ้มพริ้มพักตร์พจนารถ เหลือฉลาดลิ้นลมสมศรี
ยายตาพากันจรลี ไปบอกว่าเมียมีไม่ชอบใจ
มาตรแม้นโฉมยงปลงจิต จะเปลื้องปลิดเสน่หาอย่าให้
จะพาแก้วแววตาคลาไคล ยังเวียงชัยของเราดังเก่ามาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่าประนมก้มเกศา
เข้าในห้องพลันมิทันช้า พระตามมายืนแอบแทบทวาร
สองเฒ่าเข้าไปใกล้หลานสาว ว่ากล่าววิงวอนอ่อนหวาน
ยายไปทูลความตามอาการ ภูบาลสรวลสันต์ทันที
ตรัสว่าจะพาไปเวียงชัย ไม่อาลัยในมิ่งมเหสี
เจ้าจงตรึกไตรดูให้ดี จะได้ฝากอินทรีย์ท่านสืบไปฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังยายตา ยิ้มละไมในหน้าแล้วปราศรัย
น้อยฤๅลมชายน่าอายใจ แม้นไม่ตรึกตราก็น่ารัก
มเหสีเป็นที่ชื่นชิด รูปจริตน่าชมสมศักดิ์
ยังเอื้อนอรรถตรัสได้ว่าไม่รัก ใครฉุดชักชวนมาจากธานี
บุญหนักศักดิ์ใหญ่ยังไม่ชอบ จะมาลอบรักข้าน่าบัดสี
เป็นแต่ชาวดงพงพี พันปีจะเลี้ยงสักเพียงไรฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อนรินทร์พินทองผ่องใส
ฟังนางช่างตอบชอบฤทัย ยิ่งรักใคร่ผูกพันกัลยา
สุดที่จะเงือดงดสะกดจิต ลืมคิดอับอายขายหน้า
จึงเยื้องย่างเข้าทางทวารา ยายตาหลบลับฉับพลันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางมณีแกล้งกลัวตัวสั่น
จะวิ่งตามยายตามาพลัน พระยืนขวางกางกั้นพักตรา
โฉมยงวิ่งตรงเข้าแฝงกาย ทำเอื้อนอายแฉลบแอบฝา
เมียงมองร้องเรียกยายตา จงลีลามารับฉับพลันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์สำรวลสรวลสันต์
แล้วตรัสปลอบกัลยาลาวัณย์ จอมขวัญของพี่ดังดวงใจ
เรียมไม่รักจักมาหาหรือ ควรฤๅแก้วตาไม่ปราศรัย
จะแฝงกายอายเหนียมเรียมไย มาพูดจาปราศรัยกันโดยดี
ว่าพลางทางเดินเข้าชิด เจ้าผู้ดวงชีวิตของพี่
เรียมรักมิใช่พวกไพรี แก้วพี่อย่าประหวั่นวิญญาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณีแน่งน้อยเสน่หา
ทำเป็นเช่นแขกแปลกมา เมียงเมินพักตราไม่พาที
เห็นพระดำเนินเดินเข้าชิด ทำเบือนบิดชม้อยถอยหนี
ยิ้มอยู่ในหน้าไม่พาที วิ่งหนีเรียกหาตากับยายฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงปลงรักสมัครหมาย
เห็นนิ่มน้องหมองเมินเขินระคาย พระแย้มยิ้มพริ้มพรายพาทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ดวงสมร เฝ้าคมค้อนเคืองใจสิ่งใดพี่
รักเจ้าเท่าดวงชีวี มารศรีจงได้เมตตา
สิ่งใดรังเกียจเดียดฉัน จงผ่อนผันตรองตรึกปรึกษา
จะตามใจไม่ขัดหัทยา อย่าโกรธาสลัดตัดรอน
ตรัสพลางทางคว้าผ้าสไบ ปลื้มใจจงฟังบ้างก่อน
อย่าเพ่อคิดเคืองขัดตัดรอน จงผันผ่อนให้งามตามทำนองฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางแก้วเบือนสะบัดขัดข้อง
ค้อนควักชักชายสไบกรอง ปัดปัองแล้วกล่าววาจาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เจ็บใจ ช่างคุมเหงกระไรดังทาสา
เหตุเห็นเป็นชาวพนาวา ผ่านฟ้าเป็นเจ้าชาวบุรี
มารุกราษฎร์อาจอุกบุกบัน สารพันพูดจาน่าบัดสี
แม้นรักหากเห็นไม่เช่นนี้ ดูท่วงทีจะทำให้ช้ำใจ
พระอย่าแต่งข้อล่อลิ้น ทราบสิ้นที่แสนพิสมัย
หน้าน้องต้องอย่างเพียงนางใน ช่วงใช้รองเบื้องบาทา
จะเป็นพระมเหสีที่รัก เจียมศักดิ์น้อยเกินวาสนา
ตระกูลหงส์ฤๅจะลงมาแกมกา ชาวป่าฤๅจะไปอยู่ในวังฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ คุมเหงเล่นเห็นว่าข้านี้ ไม่มีที่พึ่งพาเป็นฝาฝั่ง
จะก้มหน้าแกะดินกินข้าวตัง กลัวรั้ววังไม่กล้าคลาไคลฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ น้องรัก แหลมหลักปรีชาจะหาไหน
ไม่แต่งข้อล่อลิ้นอย่ากินใจ จะพาไปโลมเลี้ยงเคียงองค์
ซึ่งรานรุกบุกมาครานี้ ก็เพราะพี่รักน้องต้องประสงค์
จะกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงโลมโฉมยง เป็นจอมนาฏอนงค์นางใน
แม้นแก้วแววตาไม่ปรานี อันจะพ้นมือพี่อย่าสงสัย
จงโอนอ่อนผ่อนตามให้งามใจ พลางลูบไล้เลียมโลมโฉมงามฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดสี อะไรนี่จ้วงจาบหยาบหยาม
มิทันจะโอนอ่อนผ่อนตาม มาก่อกวนลวนลามถึงเพียงนี้
จะทำเล่นเช่นชาติเชลยศักดิ์ คุมเหงหักหาญปลํ้าทำบัดสี
ไม่ง่ายดอกบอกขาดชาตินี้ สามีผู้ใดไม่นิยม
จะทนสู้อยู่ตามประสายาก ไม่ยอมอยากมีคู่สู่สม
พลางสะบัดปัดกรค้อนคม ทรามชมมิให้ใกล้กายาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ แสนแขนง น้อยฤๅแกล้งแนมเหน็บเก็บว่า
นี่ฤๅคือชาวพนาวา อนิจจามุ่นมุดุดัน
ไหนไหนเจ้าว่ามาข่มเหง จะยำเกรงกลัวใครที่ไหนนั่น
แม้นมิเมตตาจงฆ่าฟัน ฤๅฟ้องหาว่ากันก็ตามใจฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ว่าพลางทางปิดทวารา ไขว่คว้าเลี้ยวลัดสกัดไล่
วิ่งหนีพี่ไย เห็นไม่พ้นมือ
เข้าถึงเพียงนี้ หลีกหนีพ้นฤๅ
แข็งขึงดึงดื้อ วิ่งฮือใครจะอายฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ พระโฉมยง มารุกราษฎร์อาจองใจหาย
เหตุเห็นเป็นชาย วุ่นวายเต็มที
คว้าไขว่ไล่ปลํ้า เหมือนทำทาสี
เกรงใจใครมี เป็นทีทำไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ แก้วพี่ ช่างพาทีสลัดตัดได้
เป็นไรเป็นไป มิใช่ชิงชัง
ตรัสพลางไล่ลัด สกัดหน้าหลัง
อื้ออึงตึงตัง ไปทั้งห้องนอนฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์มณีดวงสมร
เฝ้าหลีกลี้หนีซนให้พ้นกร แล้วจึ่งกล่าวสุนทรวาจาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พระเจ้า พระจงโปรดเกล้าเกศา
มาตรแม้นพระองค์ทรงเมตตา ตัวข้าจะหย่อนผ่อนตาม
เรือนนี้ที่ทางกลางถนน ประชาชนหญิงชายหลายหลาม
โดยสมัครรักใคร่ก็ไม่งาม จะมีความอัปยศสืบไป
แม้นจะเล่นเช่นชู้คู่ปลํ้า จึ่งค่อยทำหักหวนด่วนได้
ถ้าสมัครรักจริงจงนิ่งไว้ อย่าเพ่อให้ฉาวชื่อลือชา
ควรครองจะรองบาทบงสุ์ โดยดังจำนงปรารถนา
แม้นขืนทำให้ชํ้าวิญญา เหนว่าหม่อมฉันถึงวันตายฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ฟังคำ หวานฉ่ำเพราะหูไม่รู้หาย
ยิ้มพลางทางตอบอภิปราย สายสวาดิสุดรักดังดวงใจ
เพราะความรักหนักทรวงดวงจิต จึ่งขุกคิดหักหวนด่วนได้
พลั้งจิตผิดแล้วแก้วกลอยใจ เจ้าอย่าได้เคืองขัดตัดรอน
แต่นี้ไปไม่เป็นเช่นแต่หลัง จงมานั่งพาทีด้วยพี่ก่อน
ตรัสพลางย่างเยื้องจูงกร เชยช้อนอุ้มน้องเข้าห้องใน
ลงนั่งแนบแอบองค์นงลักษณ์ จะพลิกผลักหยิกทึ้งไปถึงไหน
จงผินมาพาทีให้ดีใจ พี่มิให้นิ่มน้องหมองพักตราฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณีบังคมก้มหน้า
ทูลความตามจิตจินดา ตัวข้าคนพลัดซัดจร
ไหนไหนพระก็ได้ต้องกาย จะได้อายกับองค์ทรงศร
เชิญเสด็จทรงยศบทจร ให้น้องคลายวายร้อนรำคาญ
พรุ่งนี้จึงค่อยเสด็จมา จะสู้สามิภักดิ์ไม่หักหาญ
นิราศไร้ไกลพงศ์วงศ์วาน จะพึ่งเบื้องบทมาลย์จนวันตายฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังรำพัน รับขวัญเล้าโลมโฉมฉาย
พระสวมสอดกอดรัดตรัสภิปราย โฉมฉายอย่าร้อนหฤทัย
วันนี้พี่ยาจะลาเจ้า ขวัญข้าวอยู่ห้องให้ผ่องใส
แต่อย่าลืมสัญญาที่ว่าไว้ ปลื้มใจจงอยู่สวัสดีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์นางมณีศรี
น้อมเศียรอภิวันท์ทันที เทวีซ้ำสั่งทรงธรรม์
แม้นไปถึงเวียงวังข้างใน พระอย่าได้พูดฉาวกล่าวขวัญ
แม้นคนผู้รู้คำสำคัญ ตัดสวาดิขาดกันเป็นมั่นคงฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังนาง พระเชยคางตอบความตามประสงค์
ข้อนั้นขวัญตาอย่าพะวง โฉมยงค่อยอยู่สวัสดี
สั่งพลางทางรีบบทจร ออกจากห้องนอนสาวศรี
เสด็จทรงมิ่งม้าพาชี จรลีมาตามรัถยาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งลงอัสดร ทินกรบ่ายคล้อยเวหา
พระโฉมยงทรงเสด็จลีลา เข้าสู่มหาปราสาทชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์รูจี เห็นนางทัศมาลีศรีใส
พระเสแสร้งแกล้งทำลูบไล้ มิให้แจ้งคำสำคัญฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พลบคํ่ายํ่าแสงสุริยง อัสดงลับในไพรสัณฑ์
คิดถึงแก้วแววตาลาวัณย์ ทรงธรรม์สะท้อนถอนใจ
เผยแกลแลชมดารากร อัมพรไม่มีปัถไหม
บุหลันเลื่อนลอยฟ้านภาลัย เหมือนพักตร์แก้วแววนัยนานวล
รวยรินหอมกลิ่นผกามาศ ที่บานดาษเกลื่อนไปในสวน
ยามวิโยคโศกศัลย์รัญจวน พระคร่ำครวญคะนึงถึงเทวีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ทอดองค์ลงในที่ไสยาสน์ ภูวนาถตรมตรองหมองศรี
ให้เคลิ้มเคล้นเห็นองค์เทวี มายืนยิ้มริมที่ไสยา
พระลุกขึ้นเมียงมองร้องทัก ยิ้มพยักกวักหัตถ์ตรัสเรียกหา
แว่วแว่วเหมือนแก้วกัลยา ขานขาแล้วนึกรู้สึกกายฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ พระแกล้งทำคลำหาผ้าผ่อน พิไรบ่นรนร้อนใจหาย
โฉมยงจงไปให้ไกลกาย ไม่สบายร้อนรนเป็นพ้นไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางทัศมาลีศรีใส
ได้พังตระหนกตกใจ ทรามวัยฉวยพัดปัดไปมาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระหน่อนาถสุริยวงศ์พงศา
นิ่งนอนร้อนรักหนักอุรา จนนิทราระงับหลับไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณีเยาวยอดพิสมัย
พลบค่ำย่ำปฐมยามชัย เนาในเคหาตายาย
นิ่งคะนึงถึงองค์ทรงศักดิ์ นงลักษณ์ยิ้มอยู่ไม่รู้หาย
ช่างไม่รู้ระแบบแยบคาย เป็นชายโง่กว่านารี
สาจิตที่คิดชังชิง ทอดทิ้งเกลียดกลัวเอาตัวหนี
ได้แก้แค้นแทนกันทันที พรุ่งนี้จะว่าให้สาใจฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ คิดพลางเอนองค์ลงนอน จะโศกเศร้าเร่าร้อนก็หาไม่
คิดแต่จะตัดพ้อหน่อไท แล้วระงับหลับไปในทันทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นรุ่งก็ตื่นฟื้นกาย โฉมฉายสรงพักตร์ผ่องศรี
ประดับองค์ทรงเครื่องรูจี เข้าที่ห้องในใส่ดานฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองว่องไวใจหาญ
พวยพุ่งรุ่งแสงสุริย์กานต์ ภูบาลยินดีปรีดา
จึ่งบอกแก่โฉมยงนงลักษณ์ น้องรักผู้ยอดเสน่หา
โฉมตรูจงอยู่ในปรางค์ปรา พี่จะลาไปชมบุรี
สั่งเสร็จเสด็จลีลา มาโสรจสรงคงคาเกษมศรี
กรายกรย่างเยื้องจรลี ยังพระโรงรูจีทันใดฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งทรงอาชา ห้ามเหล่าเสนาน้อยใหญ่
องค์เดียวเลี้ยวออกนอกวังใน ตรงไปเคหาตายายฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งลงอัสดร เร่งรีบบทจรผันผาย
เข้าไปในทับให้ลับกาย กรกรายผลักบานทวารพลัน
แล้วร้องเรียกโฉมยงนงคราญ เหตุใดใส่ดานกวดขัน
พี่มารับแก้วตาลาวัณย์ จรจรัลไปชมเภตราฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณียิ้มละไมในหน้า
ร้องทูลหน่อไทมิได้ช้า ตัวข้าป่วยไข้ไม่สบาย
ผัดต่อพอรุ่งพรุ่งนี้ จะตามเสด็จพันปีไม่หนีหาย
เชิญเข้าวังในให้สบาย มิตายคงประสบพบพักตร์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระหน่อนาถสุริย์วงศ์ทรงศักดิ์
สดับเสียงโฉมยงนงลักษณ์ ความรักเพียงสิ้นสมประดี
มิได้รู้แยบยลกลใน ภูวไนยอกสั่นขวัญหนี
เห็นทวารบานปิดมิดดี ภูมีผลักไสไปมาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ลิ่มสลักหักพับยับไป เข้าได้ในห้องเคหา
นั่งแนบแอบชิดพนิดา พระหัตถาประคองต้ององค์
เห็นชื่นแช่มแย้มยิ้มพริ้มเพรา พิศดูรู้เท่านวลระหง
ประจงจูบลูบโลมโฉมยง แย้มสรวลชวนลงไปนาวีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังตรัส ชุลีหัตถ์บังคมก้มเกศี
แกล้งว่าอนิจจาไม่ปรานี มาเซ้าซี้ลูบคลำร่ำไป
งดก่อนผ่อนพอผาสุก ยังเป็นทุกข์เมื่อยเหน็บเจ็บไข้
แล้วทำเป็นสะท้อนถอนใจ บิดเบือนเชือนไปไม่นำพาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพงศ์ภุชสุดรักหนักหนา
รับขวัญรำพันพจนา อนิจจามิ่งมิตรบิดเบือน
เรียมหวังตั้งหน้ามารับ ควรฤๅกลับผ่อนผัดนัดเลื่อน
แกล้งเหนี่ยวหน่วงถ่วงรักชักเชือน บิดเบือนหน่ายหนีไปทีเดียว
ว่าพลางแอบอิงพิงพาด สุดสวาดิพูดพลอดกอดเกี้ยว
ประหลาดนักผลักมือถือจริงเจียว อย่าล่อลวงหน่วงเหนี่ยวได้ปรานีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ พระโฉมยง พระจงโปรดเกล้าเกศี
อย่ายั่วเย้าเฝ้ากวนยวนยี ใช่ที่จะลับดับสูญไป
เมื่อกลางวันแสกแสกแปลกมา ไม่อวดหน้าอวดงามตามไปได้
พระเป็นชายจะอายอดสูใคร สุดแต่ได้การเห็นเป็นดีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ สุดสวาดิ แหลมฉลาดลิ้นลมสมศรี
รักเจ้าเท่าดวงชีวี สุดที่จะหย่อนผ่อนปรน
พูดกันที่นี่ว่ามิควร จึงชักชวนลงไปใกล้ถนน
ก็หลีกเลี่ยงเบี่ยงบ่ายอายคน เพื่อเพราะนฤมลไม่เมตตา
ตรัสพลางสัพยอกหยอกเย้า คลึงเคล้ายวนความเสน่หา
กรกุมอุ้มแอบแนบอุรา แก้วตาอย่าสลัดตัดรอนฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์มณีศรีสมร
ฟังตรัสมัธุรสสุนทร คมค้อนแล้วตอบวาที
พระจะปลํ้าทำเล่นเช่นชู้ ให้อายหมู่บริจาทาสี
คู่เคยเชยขวัญท่านมี น้องนี้ชาวป่าพนาวัน
ตํ่าศักดิ์ทุกสิ่งเหมือนหิ่งห้อย บุญน้อยไม่สู้สุริย์ฉัน
จะก่อเกิดเริศร้างกลางคัน จะผินผันพักตราไปหาใคร
ยามรักนํ้าผักก็หวานฉํ่า ไม่ชอกชํ้าเพราะสมัครรักใคร่
ครั้นเชยชมสมจิตคิดไว้ กลัวจะไม่เหมือนครั้งแต่หลังมาฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ น้องรัก เสนาะนักถ้อยคำรํ่าว่า
นี่ฤๅชาวพงพีปรีชา ช่างพูดจาหลักแหลมแกมกล
ความจริงมิ่งแม่ไม่แลเห็น ประหนึ่งเช่นกล่าวถ้อยสร้อยสน
จะให้สัตย์ปฏิญาณทัณฑ์บน แม้นปดปนล่อลวงดวงใจ
จงต้องแสนศาสตราอาวุธ ม้วยมุดนรกหมกไหม้
ตรัสพลางทางจูบลูบไล้ หฤทัยเกษมเปรมปรีดิ์ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์นางมณีศรี
ร่วมภิรมย์สมสู่ภูมี เทวีลุ่มหลงจงรัก
หมอบเมียงเคียงองค์ทรงฤทธิ์ ทอดสนิทนอนทับกับตัก
ตรึกพลางกราบลงตรงพักตร์ นงลักษณ์ทูลความตามนัยฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ตัวน้องตกต่ำกำพร้า ญาติวงศพงศาก็หาไม่
เห็นแต่บาทบงสุ์ทรงชัย จะได้เป็นที่พึ่งพา
ภายหน้าถ้าคิดผิดพลั้ง จงยกโทษโปรดประทังโทษา
หนึ่งได้ปฏิญาณกายา ไว้ว่าชาตินี้ไม่มีนาย
เว้นไว้แต่องค์ทรงเดช ชนนีบิตุเรศฦๅสาย
ไม่สมจิตคิดไว้แม้นได้อาย จะสู้ตายไม่เหยียบธรณี
ว่าพลางทางทำระทวยองค์ ซบลงกับเพลาเศร้าศรี
โอ้ว่าอนิจจังครั้งนี้ น่าที่จะยับอัประมาณ
เพราะประมาทอาจองหลงใหล ไม่คะเนกำหนดแต่รสหวาน
จะเตี้ยต่ำซ้ำร้ายหลายประการ เยาวมาลย์ตรัสพลางทางโศกาฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อนรินทร์ยินคำร่ำว่า
เชยคางพลางเช็ดชลนา แล้วบัญชาเล้าโลมโฉมงาม
เจ้าอย่าโศกศัลย์รันทด จงฟังรสวาทีพี่ห้าม
จะโลมเลี้ยงเคียงยศให้งดงาม ผ่อนตามวิญญาสารพัน
มิให้ใครจาบจ้วงล่วงลํ้า เกินก้ำน้องท้าวสาวสรร
จะพาแก้วแววตาวิลาวัณย์ ไปเขตขัณฑ์มิถิลาธานีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ตรัสพลางอิงแอบแนบเคล้า ยั่วเย้าปรีดิ์เปรมเกษมศรี
จนเบี่ยงบ่ายชายแสงสุรีย์ ภูมีตะลึงทั้งกายา
พิศพักตร์นิ่มนุชสุดสงสาร อาลัยลานรสรักหนักหนา
นิ่งสลดระทดใจไปมา จึงบัญชาปลอบองค์นงคราญ
เย็นแล้วแก้วตาจะลาเจ้า คืนเข้าปรางค์มาศราชฐาน
พรุ่งนี้พี่จะมาไม่ช้านาน เยาวมาลย์แม่อยู่สวัสดีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังบัญชา กัลยาประณตบทศรี
แล้วทูลว่าวันหลังยังมี จะรู้ที่ว่าขานประการได
ถ้าชั่วชิงผัวท่านเชยชิด จึงเปลื้องปลิดสมสาเลือดตาไหล
ไม่ข้ามวันพลันเป็นเห็นไป ที่ไหนจะมีปรีดา
ไปเถิดพ่อไปอยู่ไยเล่า หน่อยจะเฝ้าแย้มแกลแลหา
กลางวันมิได้เข้าไสยา ไปนิทราค่ำค่ำให้สำราญ
ว่าพลางนงลักษณ์ผลักไส อยู่ไยเนิ่นช้าจะว่าขาน
บุญน้อยจะพลอยอัประมาณ เยาวมาลย์ว่าพลางทางโศกีฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ดวงสมร ไม่เห็นร้อนรื้อเรื่องเคืองพี่
จะกลับไปในวังครังนี้ หวังจะมิให้แจ้งแพร่งพราย
ปกปิดกิตติศัพท์ให้ลับก่อน เป็นที่จะได้จรไปง่ายง่าย
เจ้าดังดวงชีวีพี่ชาย แม้นมิตายไม่ร้างห่างกัน
แต่ครั้งนี้จำจนพ้นจิต เจ้าอย่าคิดขึ้งเคียดเดียดฉันท์
พรุ่งนี้พี่จะมาไม่ช้าพลัน แจ่มจันทร์อย่าเศร้าเสียใจฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ตรัสพลางโลมลูบจูบพักตร์ สุดรักมิใคร่พรากจากได้
จะเยื้องย่างนางยุดพระบาทไว้ ยืนสะท้อนถอนใจไปมา
กลับเข้าสวมสอดกอดน้อง ทั้งสองต่างสุดเสนหา
แต่วนเวียนเจียนค่ำอำลา ออกมาทรงมิ่งม้าพาชีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เดินทางพลางร่ำรำพึง ถวิลถึงแก้วตามารศรี
แว่วเสียงสำเนียงนารี เหมือนแก้วพี่เมียงมองร้องเชิญ
พระยั้งฟังไปไม่ใช่น้อง ยิ่งตรมตรองง่วงงวยขวยเขิน
แลดูสิ่งใดก็ไม่เพลิน พระด่วนเดินขับม้าคลาไคลฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงวังพลันทันที พระลงจากพาชีหาช้าไม่
ด่วนเสด็จลีลาคลาไคล เข้าในตำหนักรูจีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ลงนั่งแนบแอบองค์นงคราญ ทำเบิกบานสบายคลายคลี่
พูดพลอดกอดแก้วกษัตรีย์ มิให้รู้ร้ายดีประการใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางทัศมาลีศรีใส
นั่งเรียงเคียงองค์ทรงชัย ทรามวัยทูลถามตามกิจจา
พระเสด็จจรดลหนใด ช่างเนิ่นนานกระไรหนักหนา
ลืมเสวยลืมสรงคงคา ลีลาจนสิ้นแสงสุริยนฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังเมียรัก ทรงศักดิ์เสแสร้งแต่งนุสนธิ์
วันนี้ตัวพี่จรดล หัดพลที่ท้องสนามชัย
คิดถึงแก้วตาจะมาวัง อ้ายเหล่านั้นมันยังไม่จำได้
สอนยากหนักหนาระอาใจ จะต้องไปจนจำได้ชำนาญ
ตรัสพลางทางเสด็จจรลี มาเข้าที่แต่งองค์สรงสนาน
ขึ้นสู่แท่นรัตน์ชัชวาลย์ ภูบาลเอนองค์ลงไสยาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ยอกรก่ายนลาตพาดพักตร์ ถวิลถึงน้องรักเสนหา
โอ้พุ่มพวงดวงใจนัยนา จะนิทราเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย
มีคู่อยู่ต่างห่างกัน กี่เดือนวันจะได้ชมสมหมาย
จะแสนโศกีถึงพี่ชาย ไหนจะวายชลนาอาวรณ์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ยามวิโยคโศกศัลย์รันทด เศร้าสลดทอดทับกับหมอน
ให้หงิมง่วงทรวงเศร้าเร่าร้อน นิ่งนอนคะนึงถึงเทวี
แล้วเผยแกลแลดูพระจันทรา ช่างเชือนช้าอยู่ไยในวิถี
แค้นด้วยพระอาทิตย์เรืองฤทธี ไปหลีกลี้อยู่หนตำบลใด
ทุกวันมิทันจะเต็มเนตร ก็อาเพศไก่ขันหวั่นไหว
วันนี้ช้าเฉื่อยเรื่อยไป ปางใดจะรุ่งสุริยาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ คิดพลางเอนองค์ลงบรรทม เกรียมกรมแดดิ้นถวิลหา
ทอดถอนหฤทัยไปมา จนนิทราเคลิ้มหลับฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นรุ่งรางสร่างแสงทินกร ภูธรปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
แต่งองค์ทรงเสร็จจรจรัล ผายผันมายังพระโรงชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ทรงนั่งเหนือหลังอัสดร พร้อมหมู่นิกรน้อยใหญ่
ออกนอกทวารวังใน ไปสู่สนามชัยทันทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงหยุดอาชา เรียกหาพี่เลี้ยงทั้งสี่
ให้ศึกษาบรรดาโยธี โดยที่ตำรับเรียนมาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกศา
ก้มเกล้ากราบงามสามลา ออกมาจัดกันทันใด
บ้างรำทวนตีคลีขี่ม้า สรวลเสเฮฮาทั้งนายไพร่
รำกระบี่ตีกระบองว่องไว เกรียวกราวฉาวไปเป็นโกลาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองว่องไวใจกล้า
หยุดดูหมู่พลโยธา วิญญาคะนึงถึงเทวี
ยิ้มพยักกวักเรียกพี่เลี้ยง มาเคียงม้าที่นั่งทั้งสี่
แล้วกระซิบสนทนาพาที พวกพี่จงฝึกพลไกร
น้องจะไปอยู่ในเภตรา แม้นรับสั่งให้หาเป็นไฉน
จงให้พวกเสวกาม้าใช้ ลงไปแจ้งความตามอาการ
สั่งพลางทางชักพาชี เร็วรี่รีบออกนอกสถาน
เดินตัดลัดมาไม่ช้านาน รีบผ่านฉนวนด่วนมาฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งลงจากพาชี ตรงไปในที่เคหา
เข้าสวมสอดกอดแก้วกัลยา จุมพิตพักตราสำราญใจ
แล้วเอื้อนอรรถตรัสปลอบเทวี จะพูดกันที่นี่หาดีไม่
พี่ขอเชิญโฉมงามทรามวัย ลงไปเภตรากับสามีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์นางมณีศรี
นบนิ้วสนองพระวาที น้องนี้ต่ำศักดิ์สุริย์วงศ์
อยู่กระท่อมรุงรังอย่างนี้ มิควรที่ภิรมย์สมประสงค์
อับอายขายเบื้องบาทบงสุ์ พระโฉมยงยาตรามาไย
ไม่มีที่แท่นทองรองเขนย มิควรเลยพระองค์มาหลงใหล
อยู่ปราสาทหยาดฟ้าพร้อมข้าไท ไม่ชอบใจใครแนะนำมาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ยอดมิ่ง ความจริงไม่แสร้งแต่งมุสา
รักเจ้าเท่าดวงชีวา จะอับอายขายหน้าไยมี
หากเห็นเป็นริมถนนหลวง ฝูงคนทั้งปวงอึงมี่
จะแพร่งพรายหลายหูดูไม่ดี เท่านี้ดอกเจ้าอย่าเง้างอน
ว่าพางแอบอิงพิงเคล้า ยั่วเย้าด้วยความสโมสร
อะไรเล่าเฝ้าปัดสะบัดกร คมค้อนเบือนหนีไปทีเดียวฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดสี อะไรนี่น่าพิโรธโกรธเกรี้ยว
เลี้ยวลดปดหญิงจริงเจียว กลมเกลียวกอดรัดน่าขัดใจ
ซึ่งบัญชาว่าแสนเสน่ห์น้อง พร่ำพร้องให้ชอบอัชฌาสัย
แม้นจริงเหมือนวาจาว่าไว้ จะเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจไยมี
ท่านไปถึงเวียงวังตั้งแต่สุข ที่คนจนทนทุกข์อยู่นี่
นอนเดียวเปลี่ยวเปล่าเศร้าโศกี เพราะไม่มีคู่เคล้าเปล่าดาย
ตื่นเช้าก็เฝ้าแต่คอยท่า กว่าจะลาทั่วคนจนสาย
ยังกลั่นแกล้งแสร้งเสเพทุบาย แยบคายพระเจ้าพอเข้าใจ
ว่าพลางทางทรงโศกา ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล
ข่วนหยิกพลิกผลักเชิญยักไป เนาในปรางค์ศรีให้ปรีดาฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ แก้วพี่ เจ้าว่าไยอย่างนี้ขนิษฐา
เคราะห์กรรมจำเป็นเห็นแก่ตา ใช่ว่าแกล้งสลัดตัดรอน
บ้านเขาเรามาอยู่อาศัย จึงโลมเล้าเอาใจไว้ก่อน
ไม่ช้าจะพาคืนนคร ได้ร่วมร้อนสมสองครองกัน
คืนนี้พี่ไปไม่เป็นสุข ความทุกข์รนร้อนนอนฝัน
รุ่งรางสางแสงสุริยัน ต้องเกียจกันปกปิดกิจจา
หวังมิให้ใครรู้เรื่องราว ข้อข่าวจะคิดขนิษฐา
ถึงเพียงนี้แล้วแก้วพี่อา โศกาด้วยกิจประการใด
ว่าพลางทางเชิดชลเนตร ซับพักตร์อัคเรศให้แจ่มใส
ปลอบโยนโอนอ่อนผ่อนใจ จูงกรทรามวัยลีลามาฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ สององค์ทรงร่วมอัสดร รีบเร่งบทจรสู่ท่า
บัดเดี๋ยวเลี้ยวลัดตัดมา ลุถึงเภตราทันทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งลงจากกัณฐัศว์ จูงหัตถ์แก้วตามารศรี
ลงสู่เภตราไม่ช้าที เข้าที่ห้องหับฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ นั่งแนบแอบองค์นงลักษณ์ โลมลูบจูบพักตร์เกษมสันต์
ถ้อยทีมีจิตคิดผูกพัน ประทมเรียงเคียงกันหลับไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เย็นรอนอ่อนแสงสุริยง พระปลดองค์มิ่งมิตรพิสมัย
พี่จะพาโฉมงามทรามวัย ส่งเจ้าเนาในกระท่อมทับ
รุ่งรางส่างแสงสุริยา จะกลับมาหาน้องที่ห้องหับ
งามงอนอ่อนองค์ลงคำนับ ประจงจับหัตถาพาจรฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ลงจากเภตราขึ้นม้ามิ่ง วางวิ่งว่องไวดังไกรสร
ชักม้าเลี้ยวลดบทจร มิให้ชาวพระนครรู้ทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งสั่งนงลักษณ์ ทรงศักดิ์อำลามารศรี
รีบขับมิ่งม้าพาชี ไปยังที่วังพลันทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ รอเรียงเคียงประทับกับเกยมาศ ลีลาศด้วยจิตพิสมัย
กรายกรลีลาคลาไคล เข้าในปราสาทรจนาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ นั่งแนบแอบองค์มเหสี ทำทีสนิทเสนหา
แย้มสรวลชวนเล่นเจรจา ปรีดาสำราญบานใจฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์มณีศรีใส
ร่วมภิรมย์สมสู่ภูวไนย นับได้ปีเศษสังเกตการณ์
ค่ำไปเช้ามาเป็นผาสุก กำจัดทุกข์ปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
ทรงครรภ์โอรสกำหนดนาน อาการเกือบทศมาสครา
พระพงศ์ภุชสุดสมัครรักใคร่ มิได้ห่างเหเสนหา
อยู่เย็นเป็นสุขทุกเวลา ยายตาระวังกังวลฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ วันหนึ่งจึงเกิดนึกตรึกตรอง จำจะลองลาไปไพรสณฑ์
พระจะตรัสห้ามปรามตามยุบล ฤๅจะยอมผ่อนปรนประการใด
คิดพลางเอนองค์ลงไสยา คอยหาพระยอดพิสมัย
นิ่งนึกตรึกตรองจะลองใจ อยู่ในห้องหับลับลี้ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระนรินทร์พินทองผ่องศรี
อยู่ในปรางค์รัตน์รูจี กับพระมเหสีโสภา
แสนคะนึงถึงนางมณีนัก น้องรักจะละห้อยคอยหา
จึงออกจากห้องในไสยา ลีลายังท้องพระโรงพลันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ทรงนั่งเหนือหลังมโนมัย ภูวไนยรีบเร่งผายผัน
เลี้ยวลัดรัถยามาพลัน มิให้ชาวเมืองนั้นแจ้งใจฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งลงจากอาชา เข้าห้องเคหาไม่ช้าได้
นั่งแนบแอบองค์อรทัย ประจงจูบลูบไล้อินทรีย์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์นางมณีศรี
น้อมกายถวายอัญชลี ได้ทีจึงทูลฉลองมา
ตัวน้องท้องไส้ไม่สบาย นิราศไร้ญาติวงศ์พงศา
เช้าเย็นได้เห็นแต่ยายตา เป็นกำพร้าขัดสนจนใจ
ฉวยประสูติโอรสยศยง เผ่าพงศ์ทาสีหามีไม่
จะอดอยากตรากตรำร่ำไป เห็นจะไม่มีสุขสำราญ
เมียรักจักขอบังคมลา เมตตาปล่อยให้ไปสถาน
สามเดือนจะมาไม่ช้านาน ภูบาลจงได้ปรานีฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมเฉิดเลิศลํ้าราศี
ฟังคำรำพันพาที ภูมีสวมกอดทอดถอนใจ
แล้วลูบโลมโฉมยงนงลักษณ์ น้องรักผู้ยอดพิสมัย
อย่าแสนโศกเศร้าสร้อยน้อยใจ เรียมไซ้รักเจ้าเท่าชีวัน
ไม่ทอดทิ้งจริงเจ้าอย่าเศร้าจิต คงจะคิดพาไปไอศวรรย์
มาตรแม้นจรลีหนีทัน มิให้ขวัญเนตรน้องหมองวิญญา
ไปไยไกลผัวใช่ตัวเปล่า ขวัญข้าวฟังคำพี่ร่ำว่า
แม้นประสูติลูกแก้วแววตา พี่จะมาเยี่ยมอยู่ดูระวัง
ว่าพลางโลมลูบจูบพักตร์ แสนรักไม่แคลงระแวงหวัง
จนเย็นย่ำสุริย์ฉายบ่ายบัง พระลูบหลังโลมลาคลาไคล
เยื้องย่องจากห้องไสยา มาขึ้นทรงอาชาหาช้าไม่
ควบขับกลับหลังเข้าวังใน ใครใครไม่รู้ร้ายดีฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ ครั้นว่ามาถึงวังใน สุริย์ใสรอนรอนอ่อนศรี
พระโฉมยงลงจากพาชี จรลีเข้ายังปรางค์ปราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวมงคลราชนาถา
ครองกรุงบำรุงพารา มิได้มีโรคาแผ้วพาน
แสนคะนึงถึงองค์โอรสรัก ช้านักแต่พรากจากสถาน
นับได้ปีเศษสังเกตการณ์ เนิ่นนานไม่กลับคืนมาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ คิดพลางทางเรียกมเหสี มาพาทีตรองตรึกปรึกษา
ลูกรักงามสรรพไม่กลับมา แก้วตาจะคิดประการใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณฑาเทวีศรีใส
กราบพลางทางทูลฉลองไป ซึ่งสายใจไม่มาธานี
เหตุเพราะนางแก้วสัปดน เข้าปลํ้าปลุกซุกซนบัดสี
จึงขัดใจไม่อยู่บูรี เท่านี้งามสรรพไม่กลับมา
บัดนี้อีคนแสนร้าย สูญหายประมาณนานหนักหนา
จงคิดส่งสาส์นไปให้มา เห็นว่าจะสมอารมณ์ปองฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังเมียรัก ทรงศักดิ์เปรมปรีดิ์ไม่มีสอง
แช่มชื่นอารมณ์สมปอง เสด็จออกยังท้องพระโรงชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ลดองค์ลงนั่งเหนืออาสน์ พร้อมหมู่อำมาตย์น้อยใหญ่
กวักหัตถ์ตรัสเรียกเสนาใน มาใกล้แล้วมีบัญชา
จัดแจงแต่งศุภสาส์นศรี ไปยังบุรีโอรสา
ว่าเราประชวรโรคา ให้รีบมาประเทศธานีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อำมาตย์รับสั่งใส่เกศี
ออกมาสั่งกันทันที ตามมีพระราชโองการ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นเสร็จก็ใส่ในกล่องแก้ว แล้วทูลถวายรายเรื่องสาร
หมอบเมียงเคียงคอยพจมาน พร้อมยังหน้าฉานพระโรงชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น กรุงกษัตริย์ชื่นแช่มแจ่มใส
จึงสั่งนายทหารชาญชัย เร่งไปยังโรมบุรี
บอกว่าเราไซร้ไม่สบาย ให้เชิญพระลูกชายโฉมศรี
เสี้ยนหนามสิ่งใดนั้นไม่มี ให้รีบจรลีเร็วพลันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองนายทหารแข็งขัน
ต่างคนคำนับอภิวันท์ พากันมาลงนาวา
บ้างถอนสมอกางใบ นายไพร่อุตลุดฉุดคร่า
แล่นออกนอกอ่าวพารา บ่ายหน้ายังโรมนครฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงปากนํ้าบุรี ทอดสมอนาวีไว้ก่อน
เชิญสาส์นใส่พานบวร ลงนาวารีบจรเข้าไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงแจ้งแห่งคดี แก่ท่านเสนีผู้ใหญ่
ครั้นถึงเวลาก็คลาไคล เข้าเฝ้าภูวไนยฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ น้อมเศียรประณตบทมาลย์ ทูลตามอาการทุกสิ่งสรรพ์
บัดนี้พระบิตุรงค์ทรงธรรม์ ให้ส่งสาส์นสำคัญมาบัดนี้
ทูลพลางทางคลานเข้ามา ทูลถวายสาราพระโฉมศรี
กราบลงตรงพักตร์ภูมี เสนีเมียงหมอบยอบกายาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงโฉมประโลมเลขา
รับสาส์นทรงธรรม์แล้ววันทา ผ่านฟ้าอ่านความตามคดีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ สาส์นทรงองค์พระบิตุเรศ จอมนิเวศมิถิลาบุรีศรี
มาถึงองค์หน่อไทธิบดี ด้วยพ่อนี้ประชวรโรคา
แสนคะนึงถึงองค์พระโอรส เฝ้าครวญคร่ำกำสรดหนักหนา
เจ้าพลัดพรากจากสถานนานช้า เชิญมาให้ชื่นหฤทัยฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ จบสาส์นกราบกรานบิตุเรศ ชลเนตรคลอคลอล่อไหล
จึงผินพักตร์ซักถามเสนาใน พระทรงชัยประชวรโรคา
พระโรคนั้นฉันใดไฉนเจ้า หนักเบาอย่างไรให้เร่งว่า
หนึ่งพระองค์นงคราญมารดา ทรงจำเริญฤๅว่าเป็นฉันใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทั้งสองทูตทูลแจ้งแถลงไข
องค์พระชนนีไม่มีภัย แต่ท้าวไทบิตุรงค์ทรงธรรม์
ปั่นป่วนประชวรโรคา แต่เห็นว่าไม่สู้กวดขัน
แต่คิดถึงพระเจ้าลูกผูกพัน ให้เชิญเสด็จผายผันไปบุรี
รับสั่งใช้ให้มาทูลความ ว่าราบเตียนเสี้ยนหนามในกรุงศรี
อย่าทรงคิดกังขาราคี ครั้งนี้จะสุขสำราญฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมเฉิดเลิศล้ำสุริย์ฉาน
ได้ฟังหยั่งรู้ในอาการ ค่อยเบิกบานถวิลยินดี
สมจิตคิดไว้จะไปเมือง ไม่ได้เคืองขุ่นข้องหมองศรี
จึงหยิบสาส์นสำคัญทันที เสด็จคืนเข้าที่ตำหนักในฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ นั่งเรียงเคียงองค์นงลักษณ์ ทรงศักดิ์บอกแจ้งแถลงไข
บัดนี้พระบิดาบัญชาใช้ ให้ถือสาส์นมาให้พี่ยา
บัดนี้พระองค์ทรงธรรม์ พระประชวรป่วนปั่นหนักหนา
ให้พี่จรลียังพารา ส่งสาส์นตราให้ดูทันทีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระธิดามารศรี
รับสาส์นพระผู้ผ่านธานี หัตถ์คลี่อ่านพลันทันใด
แล้วทูลพระโฉมยงทรงฤทธิ์ การร้อนนอนจิตกระไรได้
โปรดด้วยช่วยพาน้องคลาไคล เฝ้าไททั้งสองกษัตราฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังนาง พระโลมลูบปฤษฎางค์พลางว่า
โฉมงามจะตามลีลา ไปไยให้ช้าท่วงที
กรุงไกรไกลพ้นจะประมาณ ทั้งกันดารไปในแดนวิถี
โฉมยงจงอยู่บูรี แล้วพี่จะกลับมารับไป
ต้องทูลองค์ทรงฤทธิ์บิดร การร้อนหนักหนาไม่ช้าได้
ตรัสพลางชวนนางทรามวัย คลาไคลขึ้นเฝ้าพระบิดรฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าเฝ้า น้อมเกล้ากราบองค์พระทรงศร
กราบทูลข้อความตามเรื่องร้อน ทำทอดถอนหฤทัยไปมาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พรหมทัตธิราชนาถา
ทังคำเขยขวัญแล้วบัญชา แก้วตาจงรีบคลาไคล
โฉมยงองค์ทัศมาลี จะไปด้วยสามีฤๅไฉน
พ่อแม่ไม่ห้ามตามแต่ใจ จงตรึกไตรปรึกษาหารือกันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพงศ์ภุชดุษฎีขมีขมัน
ทูลว่าจะพาจรจรัล จะช้าไปไม่ทันท่วงที
แต่ลูกจะลาฝ่าพระบาท ลีลาศไปยังบุรีศรี
แม้นพระโรคเคลื่อนคลายหายดี จะรับไปอัญชลีพระบาทาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ขอฝากโฉมยงนงลักษณ์ ทรงศักดิ์ได้โปรดเกศา
พรุ่งนี้แต่รุ่งสุริยา ลูกรักจักลาคลาไคลฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บิตุเรศชนนีศรีใส
ต่างองค์อำนวยอวยชัย เจ้าไปเป็นสุขสถาพร
อย่าห่วงไยในองค์นงคราญ จงรีบไปอภิบาลทรงศร
หายแล้วแก้วตาจงลาจร รีบร้อนกลับมายังธานีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์บังคมก้มเกศี
รับพระพรพลันทันที จรลีไปจัดเภตราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงทวารวังใน ขึ้นทรงมโนมัยตัวกล้า
พรั่งพร้อมพี่เลี้ยงโยธา ตรงไปสู่ท่าฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พระองค์ลงสู่สำเภาทอง ให้เกณฑ์กองพหลพลขันธ์
รวบรวมพร้อมพรั่งทั้งนั้น จัดสรรสรรพเสร็จสำเร็จการฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เบี่ยงบ่ายชายแสงทินกร ภูธรปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
เสด็จทรงมโนมัยชัยชาญ บทมาลย์ยังเรือนยายตาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งลงจากพาชี ตรงเข้าไปในที่เคหา
นั่งแนบแอบองค์พนิดา ผ่านฟ้ากอดจูบลูบไล้
ตรัสว่าวันนี้มีสาส์นทรง บิตุราชมาตุรงค์เป็นใหญ่
ให้ตัวพี่ลีลาคลาไคล กลับไปมิถิลาธานี
พี่ขอเชิญโฉมยงนงลักษณ์ ไปเฝ้าองค์ทรงศักดิ์กับพี่
จะถนอมเป็นจอมนารี รักร่วมชีวีจนวันวายฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณีทูลไปดังใจหมาย
น้องนี้ยากยับอับอาย เคืองขายบาทบงสุ์ทรงธรรม์
หนึ่งพระบิตุราชมาตุรงค์ เผ่าพงศ์กษัตริย์รังสรรค์
แจ้งว่าข้าชาวป่าพนาวัน จะชวนกันติฉินนินทา
เป็นตายไม่ขอจรดล จะสู้ทนอยู่นี่ดีกว่า
เชิญเสด็จภูวไนยไคลคลา ตัวข้าไม่ขอจรลีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังพลาง พระเล้าโลมโฉมนางมณีศรี
แล้วกล่าวสุนทรวาที เจ้าว่าไยอย่างนี้ไม่ควรการ
พุ่มพวงดังดวงนัยน์เนตร จงเจตน์จะเลี้ยงเคียงสมาน
จะบิดเบือนเชือนชักหักราน เพื่อเพราะเยาวมาลย์ไม่เมตตา
ถึงพระบิตุราชมาตุรงค์ ก็ควรคงจะรักหนักหนา
ใครจะล่วงติฉินนินทา แก้วตาอย่าร้อนหฤทัย
อยู่นี่พี่พรากไปจากองค์ ญาติวงศ์เจ้านี้หามีไม่
แม้นประสูติลูกน้อยกลอยใจ คือใครจะมาพยาบาล
เห็นแต่ตายายก็ไร้ญาติ ตัดขาดไม่เป็นแก่นสาร
พี่ขอเชิญโฉมยงนงคราญ บทมาลย์ไปสู่บูรีฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์นางมณีศรี
ฟังคำรำพันพาที เทวีจึงทูลฉลองไป
น้องเสงี่ยมเจียมตัวกลัวอาย ไม่อวดงามตามชายไปได้
จะทนสู้อยู่ตามยากไร้ มิให้ใครรู้จักพักตรา
พระองค์จงเสด็จจรลี คืนไปสู่บูรีเป็นสุขา
อย่าหวนห่วงหน่วงหนักชักช้า กลับมาจึงประสบพบกัน
ว่าพลางทางทรงโศกี เทวีวิโยคโศกศัลย์
ซบพักตร์กับตักพระทรงธรรม์ แจ่มจันทร์โศกาอาลัยฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์หม่นหมองไม่ผ่องใส
ความแสนพิศวาสจะขาดใจ ภูวไนยรำพันพาทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ โอ้ว่าเจ้าดวงมณฑาทอง เคยร่วมห้องภิรมย์สมศรี
รักเจ้าเท่าดวงชีวี จะให้พี่เริศร้างไปอย่างไร
สงสารทั้งลูกน้อยกลอยจิต จะเปลื้องปลิดทิ้งขว้างอย่างไฉน
มาตรแม้นโฉมยงมิปลงใจ ที่ไหนจะมีปรีดา
เชิญพุ่มพวงดวงใจนัยน์เนตร ไปประเทศธานีเราดีกว่า
อยู่ไยในโรมพารา ไปครองกรุงมิถิลาสถาพรฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังตรัส ชลีหัตถ์ทูลความตามนุสรณ์
น้องไซร้ใช่ว่าไม่อาวรณ์ สุดร้อนสุดรักหนักอุรา
แต่ปากหากพลั้งดังเสียแล้ว พระแก้วจงโปรดเกศา
อย่าให้น้องต้องเสียวาจา อย่าเพ่อพาไปสู่บูรี
แม้นไม่ฟังยั่งยืนขืนจิต จะสู้สิ้นชีวิตเป็นผี
จงตัดเกล้าเกศาข้านี้ ใส่ในนาวีไปเวียงชัย
ว่าพลางทางทรงโศกา ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล
โอ้พระยอดฟ้ายาใจ เมื่อไรจะเสร็จเสด็จมาฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ฟังพาที ภูมีกลุ้มกลัดมนัสสา
สวมสอดกอดแก้วกัลยา ชลนาไหลหลั่งพรั่งพราย
องค์อ่อนระทวยงวยงง ด้วยอาลัยในองค์โฉมฉาย
พิศพักตร์ทั้งรักทั้งเสียดาย กรกรายกอดนางทางโศกีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๏ โอ้ว่าเจ้าเพื่อนพิศวาส จะนิราศแรมร้างห่างศรี
ตั้งแต่จะแสนโศกศัลย์พันทวี เกือบปีจะพบประสบกัน
ยามปลอดคลอดองค์โอรสราช ไร้ญาติพวกพ้องประคองขวัญ
เห็นแต่ยายตาชราครัน จะโศกศัลย์เปลี่ยวเปล่าเศร้าใจ
ตรัสพลางทางถอดธำมรงค์ มาสอดทรงนิ้วน้อยละห้อยไห้
ปลอบเปลี่ยนภูษาผ้าสไบ ภูวไนยกำสรดโศกีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์นางมณีศรี
รับพระภูษาไม่ช้าที โศกีก้มกราบกับบาทาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ โอ้ว่าพระองค์ทรงเดช จะลับเนตรประมาณนานนักหนา
อยู่หลังจะตั้งแต่โศกา ทุกทิวาเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจ
ว่าพลางทางเปลื้องสไบทรง ถวายองค์พระยอดพิสมัย
ซบกับบาทาโศกาลัย มิได้เป็นสมประฤๅดีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองหมองหมดสลดศรี
รับขวัญกัลยาแล้วพาที แก้วพี่อย่าทรงโศกา
กรรมแล้วจึ่งแคล้วคลาดกัน จงนับวันคอยพี่ดีกว่า
ปลอบพลางทางเรียกยายตา เข้ามาแล้วมีพจมาน
ตัวเราจะลาไปธานี อยู่นี่ร่วมเรือนเป็นเพื่อนหลาน
ยามปลอดคลอดองค์พระกุมาร จงช่วยกันอภิบาลเทวี
มาถึงจึงจะสนองคุณ ที่การุญรักษามารศรี
เงินทองของข้าวเรามี พรุ่งนี้เราจะให้ไว้พลางฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่าทูลไปมิได้หมาง
พระอย่าห่วงบ่วงใยในนาง ทูลพลางวันทาคลาไคลฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์หม่นหมองไม่ผ่องใส
ปลอบนางทางเช็ดชลนัยน์ ปลื้มใจจงอยู่สวัสดี
ผัวรักจักไปไม่อยู่ช้า จะกลับมาภิรมย์สมศรี
บำรุงบุตรสุดใจให้ดี เย็นแล้วแก้วพี่จะขอลา
ปลอบพลางทางเช็ดชลเนตร ทรงเดชเศร้าสร้อยละห้อยหา
ตัดรักหักใจไคลคลา แล้วเหลียวมาดูองค์นงคราญ
องค์อ่อนระทวยงวยงง พระโฉมยงกำสรดสงสาร
สวมสอดกอดองค์นงคราญ ภูบาลโศกาอาลัย
ลูบหลังสั่งนุชสุดสวาดิ อาลัยไม่คลาดไปจากได้
ขืนสลัดตัดรักหักใจ คลาไคลมาทรงพาชี
เคลิ้มองค์หลงยืนอยู่เป็นครู่ มิได้รู้สึกองค์พระโฉมศรี
หวนจิตคิดได้สติดี ภูมีชักม้าคลาไคลฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งลงอัสดร ภูธรทุกข์ทนหม่นไหม้
เดินพลางสะท้อนถอนใจ เข้าในตำหนักรูจี

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ลดองค์ลงนั่งบัลลังก์รัตน์ กอดหัตถ์ตรมตรองหมองศรี
ผูกจิตคิดถึงนางมณี เข้าที่สิริไสยาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระบุตรีแน่งน้อยเสน่หา
เห็นพระเฝ้าเศร้าจิตนิทรา กัลยาไม่รู้ร้ายดี
สำคัญคิดว่าองค์ทรงธรรม์ โศกศัลย์ถึงองค์มารศรี
เศร้าสร้อยพลอยทรงโศกี จนเข้าที่ระงับหลับไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์มณีศรีใส
รุ่งรางสร่างแสงอโณทัย ตั้งใจจะส่งทรงธรรม์
จึ่งออกจากห้องในไสยา พักตราเศร้าสร้อยโศกศัลย์
หยุดยั้งบังบานทวารพลัน ไม่เหลือบแลแปรผันพักตราฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองหมองพักตร์หนักหนา
พวยพุ่งรุ่งแสงสุริยา จึงโลมลานิ่มนุชบุตรี
ทำลูบหน้าลูบหลังสั่งความ โฉมงามประณตบทศรี
เยื้องย่างจากปรางค์รูจี เสด็จออกยังที่พระโรงธารฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งชวนพระพี่เลี้ยง พร้อมเพรียงโยธาที่หน้าฉาน
เสด็จทรงมิ่งม้าอาชาชาญ บทมาลย์มายังเภตราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงซึ่งบ้านตายาย พระโฉมฉายแลลอดสอดหา
เหลียวสบพบพักตร์ขวัญกัลยา หยุดม้าสะท้อนถอนใจ
เห็นโฉมยงลงนั่งบังคม อารมณ์ยิ่งคิดพิสมัย
องค์อ่อนระทวยงวยงงไป ชลนัยน์หลั่งหล่อคลอตา
จึงหยิบเอาถุงทองกองให้ บุ้ยใบ้บอกมิตรขนิษฐา
จำเป็นจำใจไคลคลา ขับม้าย่างเยื้องจรลีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งลงในนาเวศ ทรงเดชนั่งท้ายบาหลี
แสนคะนึงถึงแก้วแววมณี มิได้มีความสุขสำราญฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงเสนาโยธาหาญ
บ้างกางใบใส่เสาเสร็จการ ขันกว้านฉุดสายสมอมา
นายท้ายบ่ายลำนาวี ฤกษ์ดีลมล่องคล่องหนักหนา
ฆาตฆ้องร้องโห่สามลา เภตราแล่นออกนอกเวียงชัยฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์มณีศรีใส
ยามวิโยคโศกเศร้าเปล่าใจ เนาในห้องหับลับลี้
แสนคะนึงถึงองค์ทรงฤทธิ์ มิ่งมิตรหม่นหมองไม่ผ่องศรี
อกเอ๋ยสงสารป่านฉะนี้ ภูมีจะเป็นประการใด
คิดพลางทางทรงโศกา ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล
เย็นรอนอ่อนแสงอโณทัย ทรามวัยประชวรครรภาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ จึงตรัสร้องเรียกหาตากับยาย กลิ้งเกลือกเสือกกายในเคหา
แม่เจ้าจงช่วยลูกด้วยรา เรียกพลางกัลยาก็โศกีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่าอกสั่นขวัญหนี
ยายเฒ่าเข้ามาไม่ช้าที ประคององค์เทวีไว้แนบกาย
แม่จงกลั้นอดสะกดใจ จะผันแปรแก้ไขโฉมฉาย
เร็วราตาเอ๋ยอย่าวุ่นวาย เบี่ยงบ่ายช่วยกันให้ทันทีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตาเฒ่าวิ่งวนบ่นอู้อี้
ฟืนตองกองไฟยังไม่มี สองคนเท่านี้อนาถใจ
ว่าพลางทางขึ้นบนหลังคา ผูกเชือกพันผ้าหาช้าไม่
ลงมาหาฟืนก่อไฟ วิ่งไปวิ่งมาตาเหลือกลานฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงนงนุชสุดสงสาร
ยามชัยได้ฤกษ์ศุภวาร นงคราญประสูติกุมารา
เป็นชายเฉิดโฉมประโลมเนตร เหมือนพระบิตุเรศดังเลขา
บริสุทธิ์ผุดผ่องดังทองทา พักตราจิ้มลิ้มพริ้มพรายฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ยายตาชื่นชมสมหมาย
ยายเฒ่าเข้าช้อนเอาหลานชาย มาโสรจสรงวรกายทันที
แล้ววางลงในที่ไสยา ยายตาปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ชิงกันกอดจูบลูบอินทรีย์ ก่อกองอัคคีให้นงคราญ
ปรนนิบัติวัดถากมารดา ประเดี๋ยวมาสวมสอดกอดหลาน
จับโน่นซนนี่ตะลีตะลาน สองคนอลหม่านเป็นสิงคลีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นประมวลถ้วนเสร็จเจ็ดวัน จะจำเริญเชิญขวัญพระโฉมศรี
จัดแจงอู่อาสน์ลาดดี ยายยกบายศรีนมแมวมา
พวงเงินพวงทองซองขวัญ จัดสรรพร้อมไว้ในเคหา
อุ้มองค์พระกุมารหลานยา ยายตาเชิญขวัญรำพันไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ขวัญเอยขวัญพ่อหน่อนเรศ อยู่เขตคงคาชลาไหล
อย่าหลงชมพนมพนาลัย ขวัญอย่าไปตามติดพระบิดา
ขวัญเอยเชิญเชยบายศรีสอง พวงเงินพวงทองทั้งซ้ายขวา
ได้ฤกษ์เลิกโห่สามลา ยายตาอำนวยอวยพรฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ยกองค์วางอยู่ในอู่น้อย นั่งคอยแกว่งไกวมิให้อ้อน
อยู่เย็นเป็นสุขไม่ทุกข์ร้อน ถาวรเกษมเปรมปรีดิ์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์นางมณีศรี
โลมเลี้ยงลูกยาในธานี มิได้มีเหตุการณ์พานภัย
เนิ่นนานประมาณเดือนเศษ ตรองเหตุถึงคู่พิสมัย
เมื่อผ่านฟ้ามาจากกรุงไกร ให้เราทำลูกไว้ดังวาจา
สมใจได้องค์โอรสแล้ว จำจะต้องคลาดแคล้วไปคอยท่า
ยอกย้อนซ่อนกลมารยา ให้สมสาใจองค์ทรงธรรม์ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ คิดพลางทางลุกลีลา มานั่งไหว้ยายตาขมีขมัน
บอกว่าจะลาจรจรัล เยี่ยมวงศ์พงศ์พันธุ์ในพงพี
เดือนหนึ่งไม่นานหลานจะมา ยายตาทั้งสองอย่าหมองศรี
เงินทองของข้าวเรายังมี เอาไว้เลี้ยงชีวีไม่เอาไป
ว่าพลางทางหยิบกระทายทอง ให้สองยายตาหาช้าไม่
อย่าได้คิดหนักหน่วงห่วงใย หลานไปไม่ช้าจะมาพลันฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังวาจา ยายตาตกใจไม่มีขวัญ
สวมกอดกัลยาแล้วว่าพลัน แจ่มจันทร์อย่าเพ่อคลาไคล
ทุ่งกว้างกลางอรัญบรรพต โอรสเนื้อเย็นจะเป็นไข้
อ่อนศักดิ์หนักหนาจะพาไป ดวงใจหยุดยั้งฟังวาจา
หนึ่งเมื่อเสด็จจรดล จุมพลฝากฝังสั่งข้า
แม้นเกิดเหตุเภทภัยพาธา จะต้องรับพระอาญาภูมีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังห้าม โฉมงามยิ้มเยื้อนเบือนหน้าหนี
ยอกรวันทาแล้วพาที ข้านี้ใม่ทิ้งอย่ากริ่งใจ
เดือนเดียวจะมาไม่ช้านัก ทรงศักดิ์หาทันมาถึงไม่
อย่ากล่าวการทานทัดขัดใจ จงชื่นช่วยอวยชัยนัดดาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ยายตาอาลัยร้องไห้จ้า
เข้าสวมกอดพระกุมารผ่านฟ้า โศกาครวญคร่ำรำพัน
โอ้พระหลานเอ๋ยเคยอยู่ ได้ชื่นชูผูกใจใฝ่ฝัน
รูปหล่อพ่อจะจรจรัล กี่วันจึงจะมาหายาย
เคยชมเคยเชยเคยถนอม เคยกล่อมเคยไกวน่าใจหาย
เห็นอยู่หลัดหลัดมาพลัดพราย ตายายร่ำพลางทางโศกาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงสงสารเป็นหนักหนา
กลืนกลั้นโศกีชุลีลา กัลยาอุ้มองค์พระกุมาร
ตรัสปลอบยายตาอย่าอาวรณ์ ไม่ช้าจะจรคืนสถาน
ว่าพลางรีบมามิช้านาน จากบ้านยายตาไม่ช้าทีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงซึ่งนอกพระนคร ทินกรบ่ายบังรังสี
โฉมยงจำนงจรลี ตรงไปยังที่นาวาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งถอดธำมรงค์ ผูกหัตถ์ให้องค์โอรสา
พลางอำนวยอวยพรลูกยา แล้วสวมรูปหน้าม้าทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ นั่งลงตรงกลางสัดจอง ค่อยประคองลูกแอบแนบใกล้
ชักสายยนต์พลันทันใด เรือน้อยลอยไปในเมฆีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงศาลาอาศรม ทรามชมปรีดิ์เปรมเกษมศรี
อุ้มองค์โอรสธิบดี เข้าเฝ้าพระมุนีฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งวางพระโอรส กราบบาทดาบสขมีขมัน
หมอบลงตรงพักตร์พระนักธรรม์ แจ่มจันทร์คอยฟังบัญชาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระมหาดาบสพรตกล้า
มุ่งเขม้นเห็นนางหน้าม้า สำรวลร่าแล้วถามความไป
ลับกายหายหน้าไปกว่าปี พบพระสามีฤๅหาไม่
กุมารนี้ลูกเต้าเหล่าใคร บอกไปให้แจ้งแห่งคดีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังบัญชา วันทาทูลความไปตามที่
แต่ต้นจนพรากจากสามี กุมารองค์น้อยนี้คือบุตรา
หลานรักจักอยู่ฉลองคุณ ที่การุญโปรดเกล้าเกศา
เจ็ดวันจะครรไลลา คืนเข้าพาราถาวรฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระนักสิทธ์ฟังนางทางนุสรณ์
จงหยุดพักให้หายคลายร้อน จึงค่อยจรเข้าสู่บูรี
ว่าพลางทางอุ้มพระกุมาร มาชมชื่นสำราญเกษมศรี
เป็นชายเหมือนบิตุรงค์คงดี สิบปีส่งมาอยู่ป่าดง
ตาจะช่วยสั่งสอนผ่อนให้ มีอิทธิ์ฤทธิไกรสมประสงค์
ว่าพลางกอดจูบลูบองค์ แล้วส่งให้นางเทวีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางแก้วปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ครั้นเย็นรอนอ่อนแสงระวี จรลีไปท่าสาคร
รับตักนํ้าใช้นํ้าฉัน เด็ดดวงบุษบันเกสร
ทำเปลผูกให้ลูกหลับนอน แล้วย้อนลงสรงคงคาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นค่ำย่ำแสงอโณทัย เข้าไปปรนนิบัติวัดถา
น้อมกายถวายผลผลา แล้วมาห้องหับฉับพลัน
กอดกุมอุ้มองค์พระลูกรัก โลมลูบจูบพักตร์แล้วรับขวัญ
ล้าเลื่อยเหนื่อยมาแต่อารัญ แจ่มจันทร์ระงับหลับไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระนรินทร์พินทองไม่ผ่องใส
จำเดิมพรากจากนุชสุดสายใจ ภูวไนยเปลี่ยวเปล่าเศร้าสกนธ์
พลบคํ่ากลํ่าฟ้าภาณุมาศ สถิตอาสน์อ้างว้างอยู่กลางหน
เห็นแต่พักตร์พี่เลี้ยงเคียงสกนธ์ พระจุมพลสะท้อนถอนวิญญาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เอนองค์ลงในไสยาสน์ ถวิลหวาดถึงมิตรขนิษฐา
แลเหลียวเปลี่ยวใจนัยนา ในอุราร้อนนักดังอัคคี
ครื้นครื้นคลื่นคลั่งกำลังคิด ทรงฤทธิ์ตรมตรองหมองศรี
คลื่นคลั่งเหมือนพี่คลั่งดวงฤดี กี่เดือนปีจะพบประสบกันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครวญพลางทางทรงไสยาสน์ กรก่ายพระนลาตโศกศัลย์
ร้อนรุ่มกลุ้มใจดังไฟกัลป์ พลางกลืนกลั้นระงับหลับไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พวยทุ่งรุ่งแสงสุริยา แลมาโดยลำแม่นํ้าไหล
เภตราพาวนเวียนไป เนิ่นนานมิได้จรลีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ต้นหนคนงานชาญหน้าที่
จิตใจไม่เป็นสมประดี บ้างลงลำนาวีเรียงราย
จับสายโซ่ยุดฉุดคร่า เภตราลอยเลื่อนเคลื่อนขยาย
โห่ร้องก้องไปทั้งไพร่นาย ชุลมุนวุ่นวายเป็นโกลาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ แล่นลัดตัดวนพ้นไป เสนีดีใจเป็นหนักหนา
แล่นเรื่อยเฉื่อยไปในธารา สุริยาลับนํ้าลงรำไร
ลมพัดปัดท้ายบ่ายลำ เข้าในปากนํ้าเมืองใหญ่
แลเห็นนายด่านชาญชัย เติบใหญ่เป็นยักษ์ศักดา
ไพร่พลพร้อมพรั่งทั้งนั้น พื้นพวกกุมภัณฑ์แกล้วกล้า
ลมปัดซัดส่งตรงมา เสนาวุ่นวิ่งเป็นสิงคลีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองสุริย์วงศ์ทรงศรี
จึงตรัสสั่งพี่เลี้ยงโยธี ให้ทอดอยู่ดูทีชาวเวียงชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อำมาตย์รับสั่งไม่ยั้งได้
ทอดสมอรอลดปลดใบ จอดไว้นอกด่านพาราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายกองสิทธิศักดิ์ยักษา
เป็นใหญ่ในด่านชานชาลา แลเห็นเภตราแต่ไกล
สั่งให้ตีฆ้องร้องถาม แล่นข้ามนาวามาแต่ไหน
มีธุระประสงค์สิ่งใด ผิดไพร่เคยค้านาวีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงตอบความตามที่
จะไปเมืองมิถิลาธานี ลมตีป่วนปัดซัดมา
พักพอลมอ่อนผ่อนลง จะไปโดยจำนงปรารถมา
นี่ฤๅคือเมืองอสุรา เรามานี้มิใช่ไพรีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายกองด่านใหญ่ชัยศรี
ลุกโลดโกรธนักดังอัคคี อสุรีจึ่งร้องตอบไป
เหวยเหวยมนุษย์เท่าแมงวัน ไม่รู้จักกุมภัณฑ์ฤๅไฉน
อาจหาญชาญชิตฤทธิไกร มาได้ถึงแดนอสุรา
สิ้นทั้งบ่าวนายหลายพัน ชีวันจะเป็นภักษา
ว่าพลางโลดโผนโจนมา ฆาตกลองสัญญาทันทีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หมู่มารทหารยักษี
ยินเสียงฉลองชัยเภรี ต่างออกจากที่ทันใด
ผาดแผลงสำแดงเดชา สองตาแดงดังสุริย์ใส
ถืออาวุธสรรพฉับไว มายังด่านใหญ่พร้อมกันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนด่านนายหมวดกวดขัน
แลเห็นพหลพลกุมภัณฑ์ มาถึงพร้อมกันทั้งไพร่นาย
จึ่งสั่งสองทหารชาญชัย เร่งคุมไพร่ชวนกันผันผาย
ไปกำกับเรือไว้อย่าให้คลาย จะไปทูลเจ้านายในบุรีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายกองสิทธิศักดิ์ยักษี
ฟังคำอำลาพาโยธี เหาะรี่มายังเภตราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งล้อมพร้อมพรั่ง คับคั่งแต่ล้วนยักษา
ตัวนายประจำลำนาวา เงื้อง่ากระบองคะนองใจฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น โยธีพี่เลี้ยงน้อยใหญ่
แลเห็นยักษาตาเป็นไฟ จิตใจไม่เป็นสมประดี
บ้างหลับตาคว้ากอดกันเป็นกลุ่ม หาเสื่อหุ้มห่อตัวกลัวยักษี
บ้างยกฟูกพับทับอินทรีย์ บ้างหนีมุดไปใต้ท้องเรือ
บ้างคิดถึงพวกพ้องร้องไห้โฮ โอ้โอ๋ครั้งนี้ไม่มีเหลือ
ไพร่นายตายยับราวกับเบือ ทั้งเลือดเนื้อเป็นภักษ์ยักษ์มาร
เซ็งแซ่แก่หนุ่มรุมกันร้อง เสียงก้องเภตราน่าสงสาร
วิ่งปะทะปะปนลนลาน กึกก้องสะท้านทั้งเภตราฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงโฉมประโลมเลขา
เนาในแท่นทองห้องไสยา ได้ยินเสียงโศกาก็หลากใจ
จึ่งชวนสี่พี่เลี้ยงเคียงกาย ผันผายจากที่อาศัย
แลเห็นพวกพลสกลไกร เขาโห่ห้อมล้อมไว้มากมาย
บ้างลงประจำลำเภตรา กายาโตใหญ่น่าใจหาย
พระโฉมยงองค์สั่นพรั่นกาย ผันผายเข้าในที่ไสยา
ทรงฤทธิ์ปิดบานทวารชัย ยิ่งตระหนกตกใจหนักหนา
กอดชงฆ์ทรงโศกโศกา ดังว่าจะสิ้นสมประดีฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ โอ้ว่าอนิจจาตัวเรา จะวอดวายตายเปล่าไม่พอที่
ไฉนจะได้ไปสู่บูรี ครั้งนี้ถึงวันบรรลัย
โอ้ว่าทรงฤทธิ์ปิตุเรศ ชนนีเกิดเกศเป็นใหญ่
จะนับวันคอยลูกผูกใจ คือใครจะแจ้งแห่งกิจจา
แสนสงสารโฉมยงองค์มณี ป่านนี้จะละห้อยคอยหา
ครรภ์แก่เดือนทศมาสครา แก้วตาจะเป็นประการใด
ตัวตายไม่เสียดายดวงชีวิต วิตกแต่มิ่งมิตรพิสมัย
มิได้แจ้งแห่งเหตุเภทภัย ดวงใจจะเศร้าแสนทวี
คอยหายจะหมายว่าทิ้งขว้าง จะคุมแค้นแสนระคางเคืองพี่
ซึ่งโฉมยงองค์ทัศมาลี มั่งมีเห็นจะไม่เป็นไรนัก
รํ่าพลางโศกาอาดูร เพิ่มพูนวิตกเพียงอกหัก
ชลเนตรโซมซาบลงอาบพักตร์ ทรงศักดิ์ซบพักตร์โศกาฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ แล้วลั่นกลอนมิดปิดป้อง ซ่อนอยู่ในห้องเลขา
นอนนิ่งไม่ติงกายา คลี่ผ้าปกหุ้มคลุมกายฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายด่านชื่นชมสมหมาย
ยินเสียงพลไกรไพร่นาย วุ่นวายไม่เป็นสมประดี
เห็นอยู่ในอำนาจไม่คลาดแคล้ว ผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมศรี
จึ่งร้องสั่งกุมภัณฑ์ทันที เราจะจรลีไปทูลไท
ท่านจงรวบรวมให้พร้อมกัน อย่าให้มันหลบลี้หนีได้
สั่งพลางทางแผลงฤทธิไกร เหาะลิ่วปลิวไปยังพาราฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไป หมอบราบกราบไหว้ท้าวยักษา
กราบทูลข้อความตามกิจจา เภตราหลงเข้าอ่าวบุรี
มากมายหลายร้อยลอยแล่น เนืองแน่นในท้องนทีศรี
ล้อมไว้กวดขันมั่นคงดี พันปีจงทราบบทมาลย์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อสุราพาลราชอาจหาญ
ชื่นชมโสมนัสเบิกบาน ทรวงพระสรวลสะท้านพระโรงชัย
บุญปากกูอยากมาหนักหนา เสาะหาทั่วจบหาพบไม่
บัดนี้สมจิตที่คิดไว้ จะไปก็จวนเวลา
ขุนด่านชาญชัยจงไปก่อน อย่าให้จรหลีกลี้หนีหน้า
ตัวเราพรุ่งนี้จะลีลา ไปกินเล่นเช่นปลาสาแก่ใจฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ขุนด่านหมอบราบกราบไหว้
รับคำอำลาคลาไคล กลับไปยังด่านบุรีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งสั่งเหล่าทหาร ว่ามีพระโองการท้าวยักษี
ให้ล้อมเหล่ามนุษย์ในนาวี พรุ่งนี้จะเสร็จเสด็จมาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น โยธีดีใจเป็นหนักหนา
รับคำสำแดงเดชา เหาะมาห้อมล้อมพร้อมกันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระนักสิทธ์ฤทธิรงค์รังสรรค์
เนาในศาลาอารัญ ทรงธรรม์บำเพ็งเล็งญาณ
แจ้งว่าผัวนางสัปดน ทั้งโยธีรี้พลจะสังขาร
พระตระหนกตกใจไขดาน แล้วตรัสบอกเยาวมาลย์ทันที
ผัวเจ้าเข้าไปในเมืองยักษ์ จะเป็นภักษ์แก่หมู่ยักษี
จงผันแปรแก้ไขให้ดี สามีจึงจะปลอดรอดตายฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางแก้วอกสั่นขวัญหาย
กราบพลางทูลความตามอุบาย ข้าจะคิดผันผายตามไป
พระองค์ได้ทรงพระเมตตา เปลี่ยนแปลงกายาอย่าช้าได้
กรุงยักษ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ทิศใด จะลาไปตามองค์ทรงธรรม์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังพาที พระมุนีแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์
แม้นจะไปไม่ถึงกึ่งวัน รักกันจงรีบจรลี
ตรัสพลางทางหยิบพร้าโต้ใหญ่ ยื่นให้แก่นางโฉมศรี
มีฤทธิ์หนักหนาพร้าเล่มนี้ แม้นจะมีประสงค์สิ่งใด
ฤๅจะเปลี่ยนแปลงกายา ได้ดังจินดาพิสมัย
เจ้าจงสวัสดีมีชัย ชี้ทิศทางให้ดังจำนงฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางแก้วชื่นชมสมประสงค์
รับพร้ามาพลางทางกราบลง ยื่นองค์ลูกให้ดังใจปอง
ยกพร้าอาจารย์ขึ้นทูลเกล้า ค่อยคลายความร้อนเร่าหม่นหมอง
ชูพลางทางนึกตรึกตรอง แปลงรูปนวลละอองทันใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ร่างกายกลายเป็นมาณพน้อย แช่มช้อยโสภาจะหาไหน
กราบบาทดาบสยศไกร แล้วคลาไคลมายังนาวาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ชักสายยนต์ยาวสาวเหาะ ร่อนเลาะไปในเวหา
บ่ายพักตร์จำเพาะพารา เร่งร้อนรีบมาในราตรี

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พอรุ่งรางสร่างแสงสุริยัน ผายผันถึงกรุงยักษี
แลเห็นเภตราพระสามี อสุรีรายล้อมพร้อมกัน
เสียงคนร้องไห้ในเภตรา ดังเสียงวาตาพิลึกลั่น
เคืองแค้นแน่นใจดังไฟกัลป์ จึ่งผายผันลงสู่นาวีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงซึ่งลำเภตรา แลหาไม่เห็นพระโฉมศรี
จึ่งร้องถามไปพลันทันที ชวนกันโศกีด้วยอันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงผู้มีอัชฌาสัย
ฟังความถามทักซักไซ้ จึ่งผันแปรแลไปฉับพลัน
เห็นมาณพน้อยกลอยจิต คิดว่าเทวฤทธิ์รังสรรค์
นั่งลงเคารพอภิวันท์ ชวนกันแถลงแจ้งกิจจา
ข้าไซร้จะไปบุรีรมย์ ต้องลมวุ่นวายหนักหนา
ป่วนปัดซัดเซเภตรามา อสุราล้อมไว้ดังใจจง
วันนี้นัดว่าจะมากิน สุดสิ้นเลือดเนื้อไม่เหลือหลง
บุญสบพบพักตร์พระโฉมยง โปรดจงช่วยชนม์ให้พ้นภัย
ทูลพลางต่างแสนโศกา ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล
กราบแล้วกราบเล่าเฝ้าพิไร นายไพร่หมอบราบกราบกรานฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพฟังว่าน่าสงสาร
ผินพักตร์ซักถามตามอาการ ใครเป็นเจ้านายท่านทั้งนี้
เร็วไวไปบอกให้ออกมา พูดจาโดยการถ้วนถี่
จะช่วยมิให้ม้วยชีวี เร่งเชิญเสด็จภูมีออกมาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงบังคมก้มเกศา
รีบไปให้ทันบัญชา เห็นปิดทวาราก็ร้องไป
บัดนี้มีเทพเทวัญ ขี่เรือสำปั้นเหาะได้
จะช่วยชนม์ให้พ้นโพยภัย ภูวไนยจงเปิดทวาราฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองหมองพักตร์หนักหนา
ฟังสี่พี่เลี้ยงทูลมา มิได้เชื่อวาจาพาที
ลุกลงจากเตียงเมียงมอง แล้วร้องตอบความตามที่
ปดกันเปล่าเปล่าคนเหล่านี้ จู้จี้พูดจาเป็นน่าชัง
เทวัญชั้นฟ้ามาแต่ไหน เอออะไรพูดจาเช่นบ้าหลัง
ยักษ์ใช้ให้หลอกดอกกระมัง วิ่งมานั่งอ้อยอิ่งวิงวอน
ตายแต่ตัวเจ้าเราไม่เปิด ชั่งเถิดแต่เราจะเข้าซ่อน
ไปเสียให้พ้นคนปากบอน อย่ามาค่อนเกาะแกะแคะไค้ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงตอบมาหาช้าไม่
อนิจจาบัญชาน่าน้อยใจ มิใช่พวกพ้องของกุมภัณฑ์
เทวาให้มาเชิญเสด็จ พระกลับเห็นเป็นเท็จเสกสรร
เร็วไวไปเฝ้าท้าวเทวัญ กุมภัณฑ์จะมาราวีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงองค์สั่นขวัญหนี
ร้องตอบไปพลันทันที เซ้าซี้เปล่าเปล่าไม่เข้ายา
กลับไปเสียเถิดไม่เปิดรับ กลัวยักษ์จักจับไปเข่นฆ่า
ตายแต่ตัวเจ้าเหล่าโยธา อย่ามาพาม้วยมอดวอดวายฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังตรัส แค้นขัดเคืองหูไม่รู้หาย
ต่างคนบ่นว่านินทานาย กลัวตายจนเกินขนาดไป
จำจะไปทูลเทวัญ เชิญเสด็จผายผันให้จงได้
คิดพลางทางพากันคลาไคล กลับไปทูลความตามกิจจา
บัดนี้พระองค์ทรงศักดิ์ ซ่อนตัวกลัวยักษ์เป็นหนักหนา
ข้าทูลความตามอรรถสัจจา ผ่านฟ้าไม่เชื่อวาที
เชิญพระองค์ผู้ทรงฤทธิรอน บทจรยังท้ายบาหลี
ให้ประสบพบพักตร์พระจักรี เหมือนประทานชีวีสืบไปฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพยิ้มแย้มแจ่มใส
คิดสงสารผ่านฟ้ายาใจ จำจะไปเฝ้าองค์ทรงธรรม์
คิดพลางทางลงจากสัดจอง ย่องย่องจรลีขมีขมัน
พระพี่เลี้ยงโดยด่วนชวนกัน ทั้งสี่นายผายผันตามมาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดยืนอยู่ โฉมตรูเยี่ยมมองร้องเรียกหา
อยู่ไยในที่ศรีไสยา จงออกมาจะช่วยอย่าตกใจฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์อกสั่นหวั่นไหว
สะดุ้งวับกลับตื่นตกใจ แล้วลุกไปแหวกช่องมองดู
แลเห็นเป็นรูปมาณพน้อย ถือพร้าโต้คอยขยับอยู่
ยักษ์แสร้งแปลงมาจะฆ่ากู เห็นจะอยู่แล้วกระมังครั้งนี้
กรรมเอ๋ยกรรมกรรมทำอย่างไร น้อยใจพี่เลี้ยงทั้งสี่
โง่เง่าหนักหนาน่าทุบตี นำหน้าอสุรีมากินกัน
คิดพลางย่างขึ้นบนแท่นทอง กอดเข่าเศร้าหมองไม่มีขวัญ
กลัวจะไม่พ้นภัยกุมภัณฑ์ ทรงธรรม์คลานไพล่เข้าใต้เตียงฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพน้อยคอยตรับสดับเสียง
นัยน์ตาลอดสอดดูหูเอียง มองเมียงแฝงฝาอยู่ช้านาน
จวนยักษ์จักมาไม่ช้าได้ ยิ่งมีใจพะวงสงสาร
ช่วยกันกึกกักผลักทวาร ห้าคนอลหม่านเป็นสิงคลีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ลิ่มหักผลักเผยเข้าไปได้ แลไปไม่เห็นพระโฉมศรี
มองไปใต้แท่นรูจี เทวีสรวลสันต์จำนรรจา
น้องรักจักช่วยพระทรงธรรม์ ให้พ้นภัยกุมภัณฑ์เข่นฆ่า
อยู่ไยในที่ศรีไสยา เชิญมาเร็วพลันทันใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังพาที ภูมีค่อยทั้งสติได้
นิ่งนึกตรึกตรองแล้วร้องไป ยักษ์ฤๅมิใช่ได้เมตตา
จะออกไปไหว้กราบไม่หยาบคาย กลัวนายจะทำโทษา
พร้าโต้นั้นโตเต็มประดา วางเสียก่อนข้าจึงจะไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังพาที มาณพผู้มีอัชฌาสัย
ยิ้มพลางวางพร้าแล้วว่าไป เชิญเถิดมิใช่อสุรีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อนรินทร์พินทองหมองศรี
หวาดหวั่นพรั่นตัวกลัวเต็มที ภูมีจำใจไคลคลา
แต่ขยับลับล่อรอรั้ง ค่อยเคลื่อนคล้อยถอยหลังถอยหน้า
พระพี่เลี้ยงทั้งสี่ปรีชา อุตลุดฉุดคร่าพัลวันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ออกได้ใจคอยังท้อแท้ เหลียวแลตะลึงพรึงพรั่น
เห็นมาณพคำนับอภิวันท์ ทรงธรรม์ค่อยคลายสบายใจ
นั่งลงทรงลูบปฤษฎางค์ สิ้นระคางพะวงสงสัย
แก้วตาพ่อมาแต่แห่งไร ดวงใจจงแจ้งแห่งคดีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังถาม โฉมงามบังคมก้มเกศี
ทูลว่าข้าศิษย์พระมุนี วันนี้มาชมพารา
เห็นหมู่ยักษาอาธรรม์ ชวนกันเข้าล้อมพร้อมหน้า
สงสารพงศ์ภุชสุดปัญญา จะขอรับอาสาทรงชัยฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อนรินทร์พินทองค่อยผ่องใส
ลูบหลังลูบหน้าแล้วว่าไป ขอบใจน้องรักที่ภักดี
เจ้าจะคิดบิดผันฉันใด จะพ้นความบรรลัยเป็นผี
ตรัสพลางทางทรงโศกี กลัวว่าชีวีจะวางวายฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพทูลไปดังใจหมาย
ข้าจะช่วยแก้ไขมิให้ตาย อย่าเคืองขุ่นวุ่นวายวิญญา
ว่าพลางทางเชิญพระโฉมยง ไปยังจตุรงค์ซ้ายขวา
กลัวมันทำไมเร่งไคลคลา จูงหัตถ์ผ่านฟ้าคลาไคลฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงเห็นอสุรี มาณพผู้มีอัชฌาสัย
ร้องถามไปพลันทันใด เหตุไรมาอยู่ในนาวีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายรองกองด่านชาญชัยศรี
จึงร้องตอบไปพลันทันที กูนี้เป็นข้าราชการ
พระองค์ผู้ดำรงนัครา กระเดื่องเดชศักดากล้าหาญ
ใช้กูผู้มีปรีชาชาญ คุมไพร่กองด่านทั้งห้าพัน
มาล้อมเหล่านาวีนี้ไว้ มิให้แล่นออกนอกเขตขัณฑ์
ครู่หนึ่งพระองค์พงศ์กุมภัณฑ์ จะยกพวกพลขันธ์ออกมา
เอ็งนี้มีนามกรใด มาถามไถ่ไล่เลียงยักษา
จะจับฟัดกัดเล่นเช่นปลา ที่จะคงชีวานั้นอย่าคิดฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ได้ฟัง มาณพแค้นคั่งเคืองจิต
ตอบไปด้วยใจกำเริบฤทธิ์ มิได้คิดประหวั่นพรั่นใจ
เหวยเหวยกุมภัณฑ์อันธพาล ไม่รู้จักพระกาลฤๅไฉน
มาล้อมเหล่านาวีนี้ไว้ ผิดชอบสิ่งใดเร่งว่ามา
พี่น้องของเราล้วนเหล่ากอ มิได้ไปฆ่าพ่อของยักษา
จะจับฟัดกัดเล่นเช่นปลา ดังว่าพวกนี้ใม่มีมือ
อวดกล้ามาต่อฤทธิไกร ให้เลื่องลือชื่อไว้เป็นไรหรือ
โกฏิแสนแน่นไปก็ไม่ครือ ดีหรือมาดูให้รู้กัน
ว่าพลางชูพร้าอาจารย์ นึกเอาบริวารศรพระขรรค์
พาชีมีเดชดังไฟกัลป์ ก็บังเกิดมาพลันทันใดฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ จับศรทรงอลงกรณ์ เข้ายืนเคียงอัสดรหาช้าไม่
แล้วสั่งรูปนิมิตฤทธิไกร จงตั้งใจรักษานาวี
กับพวกพลทั้งหลายนายไพร่ อย่าให้เป็นภักษ์ยักษี
สั่งพลางทางน้อมอินทรีย์ อัญชุลีทูลองค์ทรงธรรม์
พระองค์จงอยู่ในเภตรา อย่าได้กลัวชีวาอาสัญ
น้องรักจักรบกุมภัณฑ์ อย่าคะนึงพรึงพรั่นวิญญาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระหน่อนาถสุริย์วงศ์พงศา
ความกลัวตัวสั่นดังตีปลา สวมกอดอนุชาไว้แนบกาย
น้องรักจักพรากจากพี่ อสุรีจะริบฉิบหาย
ใครจะช่วยชีวีพี่ชาย เป็นตายจะตามเจ้าทรามวัย
ว่าพลางทางทรงโศกา ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล
สวมสอดกอดองค์พระน้องไว้ พระครวญคร่ำร่ำไรโศกาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพสรวลสันต์รำพันว่า
น้องรักจักขี่อาชา เหาะเหินเดินฟ้าด้วยฤทธี
แม้นพระองค์ทรงนามตามไป จะเป็นห่วงบ่วงใยไม่พอที่
จงอยู่ในเภตรานาวี ครู่หนึ่งน้องนี้จะกลับมาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังห้าม พระโฉมงามโศกศัลย์รำพันว่า
พ่อผู้เพื่อนชีวีพี่ยา จงเมตตาอย่าสลัดตัดรอน
ไปไหนจะไปด้วยน้องแก้ว ไม่อยู่แล้วร้อยชั่งอย่าสั่งสอน
ตรัสพลางทางกอดกุมกร วิงวอนร่ำว่าพาทีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพยิ้มแย้มแจ่มศรี
จึงอุ้มองค์ทรงธรรม์พันปี ขึ้นทรงพาชีฉับพลัน
ขึ้นนั่งหน้านรินทร์พินทอง พระกรสองสวมสอดกอดมั่น
ร่อนเลาะเหาะมาหน้ากุมภัณฑ์ ผัดผันเล่นล่อรอราฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายรองกองด่านหาญกล้า
ผาดแผลงสำแดงเดชา เข้าโถมถาประชิดติดพัน
โจมจับสัประยุทธชิงชัย เคล่าคล่องว่องไวดังจักรผัน
แกว่งคทาถาโถมโรมรัน เสียงสนั่นทั่วท้องโพยมมานฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพฤทธิไกรใจหาญ
กลอกกลับรับรันประจัญบาน แกว่งศรรอนราญอสุรี
ผกผันหันเหียนเวียนวง คอยระวังทั้งองค์พระโฉมศรี
ฟันฝ่ายนายกองอสุรี ตกกลางธรณีบรรลัยฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายด่านครั้นแจ้งแถลงไข
โกรธาตาแดงดังแสงไฟ ต้อนไพร่เข้ากลุ้มรุมรันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพฤทธิแรงแข็งขัน
ขับม้ารารับจับประจัญ ฟาดฟันพลตายกระจายไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กุมภกาศขุนมารด่านใหญ่
มุ่งเขม้นเห็นหมู่พลไกร บรรลัยยับย่นไม่ทนทาน
โลดโผนโจนจับสัประยุทธ์ ไม่กลัวความม้วยมุดสังขาร
สองหัตถ์กวัดแกว่งคทาธาร เข้าตีต้อนรอนราญราวีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองมองเห็นยักษี
ตัวสั่นขวัญบินน้อมอินทรีย์ โศกีสารภาพกราบกราน
ร้องขอโทษตัวกลัวแล้วพ่อ อย่าหักคอให้สิ้นสังขาร
จะกินใครไม่ขัดทัดทาน ได้ยกโทษโปรดปรานปรานีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพนึกแค้นแสนบัดสี
ควรจะชิงชัยกับไพรี อัญชุลีอสุราว่าไร
เป็นชายไม่อายอดสู มาไหว้กราบศัตรูก็เป็นได้
พูดกันไม่เชื่อน่าเบื่อใจ นานไปจะขว้างเสียกลางคัน
น้องนี้ไม่มีชีวิตฤๅ จึงด้านดื้อรบสู้คู่ขัน
อย่าวอนวิงจะกลิ้งลงกลางคัน จงกอดไว้ให้มั่นเถิดภูมี
ว่าพลางทางขับมโนมัย เข้ารุกไล่สัประยุทธ์ยักษี
ฟาดฟันบั่นเศียรอสุรี ตกกลางปัถพีบรรลัยลาญฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ แล้วชักพาชีลีลา ลงยังโยธาทวยหาญ
พักร้อนผ่อนพอสำราญ คอยเจ้ากรุงมารชาญชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อสุรีเหลือตายนายไพร่
บ้างหลีกลี้หนีตัวกลัวภัย บ้างไปทูลท้าวเจ้าพาราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งผ่อนร่อนลง เห็นเตรียมหมู่จตุรงค์พร้อมหน้า
ขุนยักษ์ศักดิ์สิทธิ์ฤทธา ลีลาเข้าเฝ้าเจ้าธานีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ หมอบลงตรงพักตร์แล้วกราบทูล พนาสูรทรงศักดิ์ยักษี
บัดนี้เสียด่านชาญบุรี ด้วยมนุษย์หนึ่งมีมาแต่ไกล
รูปทรงองอาจโอ่โถง ดูดังเจ้านายโรงฝึกใหม่
ล้างสองกองด่านชาญชัย ทั้งพวกไพร่วอดวายหลายพันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังทูล พนาสูรเคืองขุ่นหุนหัน
เขี้ยวงอกออกขาวยาวครัน ดุดันตาแดงแกว่งศาสตรา
ดูดู๋กูล้อมมนุษย์ไว้ มารุกราชอาจใจหนักหนา
ไว้ตัวไม่กลัวศักดา เข่นฆ่าผู้คนจนป่นไป
เทวามนุษย์ฤๅครุฑนาค มาล่อปากยักษ์เล่นก็เป็นได้
เหวยเหวยเสนาช้าอยู่ไย กูจะไปต่อสู้ดูดีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อำมาตย์รับสั่งใส่เกศี
ก้มเกล้ากราบงามสามที มาจัดพลตามมีบัญชาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวพาลราชยักษา
พรั่งพร้อมพหลโยธา จึงลีลามาสรงสาครฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โทน

๏ ไขพุ่มประทุมท่อธาร หอมหวานกลั้วกลิ่นเกสร
สุคนธาทิพย์ประทิ่นกลิ่นขจร สนับเพลาเชิงงอนอำไพ
ภูษิตพื้นแดงแย่งครุฑเครือ กระหนกเฝือเด่นดวงม่วงไหม
ฉลององค์เจียระบาดตาดอุไร เกราะนวมสวมใส่กระสันทรวง
คาดปั้นเหน่งเปล่งเม็ดเพชรพราว เขียวขาวพวยพุ่งรุ้งร่วง
ตาบทิศกุดั่นเด่นดวง ทับทรวงกุดั่นบรรจง
ทองกรพาหุรัดตรัสเตร็จ ธำมรงค์พื้นเพชรงามระหง
แล้วสอดสวมมงกุฎภุชงค์ หัตถ์ทรงมหาคทาธารฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ครั้นเสร็จเสด็จยุรยาตร องอาจเหิมศึกฮึกหาญ
สั่งฝูงสาวศรีบริวาร บทมาลย์ยังเกยรูจีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ทรงนั่งเหนือหลังคเชนทร พรั่งพร้อมนิกรยักษี
ไล้ฤกษ์เลิกโห่สามที เคลื่อนคลี่โยธาคลาไคลฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงเห็นนาวี ยักษีเสียดายนํ้าลายไหล
จึงพักพวกพหลพลไกร ปักธงลงไว้ดังจินดาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองสุริย์วงศ์พงศา
มุ่งเขม้นเห็นยักษ์หนักมา วิญญาไม่เป็นสมประดี
สวมสอดกอดน้องแล้วร้องไห้ ยักษ์ใหญ่มาแล้วนะแก้วพี่
จะผันแปรแก้ไขฉันใดดี พี่นี้ขัดสนพ้นปัญญาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพอภิวันท์รำพันว่า
กลัวไยกับอ้ายอสุรา เหมือนแมงเม่าเข้ามาในเพลิงกาล
ว่าพลางทางชวนพระโฉมยง แล้วขึ้นทรงอาชากล้าหาญ
เหาะเหินเดินโดยโพยมมาน ร่อนลงตรงด่านทันใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เข้ายืนตรงหน้าท้าวกุมภัณฑ์ ไม่คะนึงพรึงพรั่นหวั่นไหว
จึงร้องถามไปพลันทันใด มาไยหนักหนานึกน่ากลัว
รูปร่างโตใหญ่ทั้งไพร่นาย กลัวตายขนพองสยองหัว
คิดจะเข้าเกลี้ยกล่อมยอมตัว ก็นึกกลัวจะฟัดกัดกินฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระยายักษ์โกรธาบ้าบิ่น
น้อยฤๅค่อนว่าเป็นราคิน เล่นลิ้นล่อยักษ์ออกศักดา
เอ็งฤๅคนดีมีฝีมือ ด้านดื้อเหิมฮึกศึกอาสา
จะเคี้ยวเล่นเช่นหมูปูปลา จงเร่งมารบสู้ดูดี
รูปร่างจิ๋วหลิวเท่านิ้วก้อย จะมาพลอยเป็นภักษ์ยักษี
เหวยเหวยอำมาตย์มนตรี เร่งจับอ้ายไพรีมัดมาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หมู่มารทหารซ้ายขวา
คำนับรับสั่งอสุรา แผลงอิทธิ์ฤทธาเข้าราญรอนฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพน้อยคอยแกว่งแสงศร
รับรองป้องกันฟันฟอน ม้วยมรณ์วินาศขาดไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระยายักษ์โกรธเหลือจนเหงื่อไหล
เห็นพวกพลกุมภัณฑ์นั้นบรรลัย ผาดแผลงฤทธิไกรเป็นโกลา
โลดโผนโจนจับสัประยุทธ์ ด้วยกำลังฤทธิรุทรแกล้วกล้า
ลั่นเลื่อนสะเทือนพสุธา เงื้อง่าตะบองจ้องตีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพหลบเลี่ยงเบี่ยงหนี
ผัดผันหันล่อรอรี ต่อตีประจญประจัญบาน
แกว่งศรรอนรันฟันฟาด ด้วยอำนาจเดชากล้าหาญ
ตัดกรซ้ายขวาพญามาร ตกพื้นสุธาธารทันใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระยายักษ์ไม่พรั่นหวั่นไหว
ดำรงกายร่ายเวททันใด กรติดสนิทได้ดังจินดาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ผาดแผลงสำแดงฤทธิรงค์ เหาะตรงขึ้นไปในเวหา
โลดโผนโจนจับอาชา สองตาแดงดังอัคคีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อาชากล้าหาญชาญชัยศรี
เผ่นผกหกหันผันอินทรีย์ ชกกัดอสุรีพัลวัน
หันเหียนเวียนวนคำรนร้อง เคล่าคล่องเร็วแรงแข็งขัน
หางฟัดปากกัดกุมภัณฑ์ เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นเป็นโกลาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพเหนื่อยพักหนักหนา
จึ่งก่งศรพาดสายหมายตา มิช้าก็ผาดแผลงไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ศรทรงต้ององค์อสุรินทร์ ตกต้องปัถพินหวั่นไหว
แล้วขว้างพร้าอาจารย์ชาญชัย ตัดเศียรยักษ์ใหญ่ทันทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น โยธาบรรดายักษี
แลเห็นเจ้านายวายชีวี อสุรีกลัวกราบราบไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพชื่นแช่มแจ่มใส
จึงรีบชักมิ่งม้าคลาไคล ลงไปยังด่านชานชาลาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงทูลพระภูมี อสุรีสุดสิ้นสังขาร์
พระองค์จงลืมนัยนา ดูศพอสุราที่บรรลัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงโฉมประโลมพิสมัย
ได้ฟังยังแหนงแคลงใจ ยังสวมสอดกอดไว้ไม่วางกร
เนตรหลับขยับขยิกกอด แอบหลังนั่งทอดฤทัยถอน
ต่อมาณพรบเร้าเฝ้าวอน ภูธรจึงลืมนัยนา
เห็นศพราพณ์ร้ายก่ายกัน คิดคะนึงพรึงพรั่นหนักหนา
จะเผ่นโผนโจนจากอาชา ก็อายมาณพน้อยกลอยใจ
จึงถามว่ามาไยที่นี้ อสุรียังอยู่ดูไม่ได้
เมตตาจงพาพี่ไป ส่งในนาวีพี่ชายฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ฟังบัญชา นึกน่าอดสูไม่รู้หาย
ยิ้มพลางทางทูลบรรยาย ช่างกลัวตายยิ่งกว่านารี
กุมภัณฑ์บรรลัยได้บ้านเมือง จะฟุ้งเฟื่องงามพักตร์ศักดิ์ศรี
ยังแต่บ่าวไพร่ใช่ไพรี ภูมีจงทราบพระบาทา
ทูลพลางทางสั่งพวกกุมกัณฑ์ เร่งเกณฑ์กันพร้อมพรั่งหลังหน้า
เราจะไปในกรุงอสุรา กับทั้งพระเชษฐาชาญชัย

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กุมภัณฑ์กราบก้มประนมไหว้
ลนลานคลานคล้อยถอยไป มาเกณฑ์พลไกรพร้อมกันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
เชิญเสด็จพระองค์ทรงธรรม์ ผายผันเข้าสู่บูรีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงพักพลไกร ประทับกับเกยชัยเฉลิมศรี
ทั้งสององค์ลงจากพาชี เข้าพระโรงรูจีทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์ชัชวาล พร้อมข้าราชการน้อยใหญ่
หมอบเมียงเคียงกันเป็นหลั่นไป ไม่มีใครกังขาราคีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์มิ่งมเหสี
แจ้งว่าอสุราสามี พ่ายแพ้ฤทธีบรรลัย
โฉมยงทรงโศกโศกา ปิ้มประหนึ่งชีวาจะตักษัย
กอดสองพระธิดายาใจ ทรามวัยโศกาจาบัลย์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ แล้วเอื้อนอรรถตรัสปลอบบุตรี บัดนี้บิดาก็อาสัญ
ทั้งสองกษัตริย์ทรงธรรม์ ผายผันมาอยู่พระโรงชัย
จำจะฝากกายถวายตัว เกรงกลัวพระอาญาไม่ฆ่าได้
ว่าพลางทางชวนนางกำนัลใน นำสองทรามวัยลีลามาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงคลานเข้าไป บังคมไทธิราชนาถา
หมอบเรียงเคียงคอยบัญชา ก้มหน้านิ่งอยู่ไม่ดูไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพผู้มีอัชฌาสัย
จึงทูลพระโฉมยงทรงชัย ซึ่งในเขตแดนอสุรา
น้องเป็นชาวดงพงไพร มิได้มุ่งมาดปรารถนา
เสร็จสรรพจะกลับพนาวา ขอถวายผ่านฟ้าทุกประการ
ตัวข้าจะลาไปแดนดง โดยจิตจำนงเกษมสานต์
จึงตรัสกับนางกษัตริย์จัดการ โดยแบบบุราณสืบมาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองฟังน้องเสน่หา
จึงไถ่ถามตามจิตกิจจา นางพระยาอย่าร้อนฤทัย
เราไม่คิดฉันทาพยาบาท อย่าหวั่นหวาดพะวงสงสัย
จะพักพอสบายคลายใจ จะลาไปมิถิลาธานีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสร้อยสุมณฑามารศรี
น้อมกายถวายอัญชุลี เทวีจึงทูลทรงธรรม์
ข้าน้อยตกต่ำกำพร้า พระสามีชีวาอาสัญ
ขอถวายพระธิดาวิลาวัณย์ ทั้งเขตขัณฑ์นิเวศเวียงชัย
พระองค์จงทรงพระเมตตา ประทานศพยักษาที่ตักษัย
ทำผิดชีวิตจึงบรรลัย เผาเสียอย่าให้เวทนาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองสุริย์วงศ์พงศา
ฟังคำชำเลืองนัยนา ดูสองพระธิดานารี
ทรวดทรงโสภาน่ารัก ผิวพักตร์ผุดผ่องทั้งสองศรี
พระแย้มยิ้มพริ้มพักตร์พาที ลูกเมียเรามีมากมาย
มาตรแม้นโฉมยงจงจิต จะใคร่คิดเป็นเนื้อเชื้อสาย
จะขอบุตรีสองให้น้องชาย ให้สืบสายสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์
ซึ่งซากศพอสุราสามี เรานี้ไม่รังเกียจเดียดฉันท์
เผาเสียวันนี้จะดีครัน จะได้คิดผ่อนผันสืบไป
ตรัสพลางทางชวนอนุชา ทั้งเสนานับร้อยน้อยใหญ่
สามนางทางตามเสด็จไป นางในพรั่งพร้อมล้อมลีลาฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ห้าองค์ทรงรถเรียงรัน พลขันธ์แห่แหนแน่นหนา
ออกจากวังในไคลคลา บ่ายหน้าสู่ด่านชานบุรีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงพักพลไกร ตรงหน้าด่านใหญ่ชัยศรี
นางกษัตริย์ตรัสชวนบุตรี มายังศพสามีทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ แลเห็นศพอสุรินทร์ กลิ้งกลางดินดอนตักษัย
สามนางต่างทรงโศกาลัย วิ่งไปสวมกอดทอดกายาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว ทิ้งลูกเมียเสียแล้วทั้งวงศา
มาสิ้นบุญสูญร่างกลางสุธา ยิ่งกว่าคนผู้ทั้งบุรี
เสียแรงเรืองฤทธาสามารถ องอาจดังไกรสรสีห์
ควรฤๅมาเป็นเช่นนี้ เทวีร่ำพลางทางโศกาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นค่อยคลายโศกศัลย์รันทด จึงกราบเบื้องบงกชยักษา
สามนางต่างง้อขอสมา โศกาไม่เป็นสมประดี
ทั้งหมู่แสนสาวชาวใน ร้องไห้กราบศพท้าวยักษี
ญาติวงศ์พงศาเสนี โศกีอื้ออึงคะนึงไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพผู้มีอัชฌาสัย
กรก่งศรสิทธิ์ฤทธิไกร แล้วน้าวสายแผลงไปฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บังเกิดขึ้นเป็นพระเมรุทอง แสงประเทืองเรืองรองเฉิดฉัน
จึงสั่งให้ยกศพท้าวกุมภัณฑ์ วางเหนือเมรุสุวรรณทันทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์พระมเหสี
จึงชวนสองธิดานารี เสนีสาวสรรกำนัลใน
ต่างจุดธูปเทียนชวาลา ถวายเพลิงอสุราแล้วร่ำไห้
แซ่เสียงโศกาอาลัย ทั่วในบริเวณเมรุทองฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงทรงศรีไม่มีสอง
ชวนมาณพน้อยนวลละออง แผลงศรไปต้องศพมารฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ศรชัยเป็นไฟลามลน ไหม้ศพกุมภัณฑ์ที่สังขาร
รุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาล ไหม้ศพขุนมารเป็นจุณไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สามนางต่างทรงกันแสงไห้
เก็บธาตุพระยามารชาญชัย ใส่ในโกศสุวรรณบรรจง
แล้วทูลพระพี่น้องสองรา เชิญเข้าพาราดังประสงค์
ทั้งธิดาข้าพเจ้าเผ่าพงศ์ ขอเป็นทาสบาทบงสุ์ทรงธรรม์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพดุษฎีขมีขมัน
ตัวข้าจะลาจรจรัล ทรงธรรมจงสุขสถาพร
ถิ่นฐานบ้านเมืองอสุรา ถวายพระผ่านฟ้าทรงศร
มาช่วยชนม์พอพ้นม้วยมรณ์ เสร็จแล้วจะจรเข้าพงพีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อนรินทร์พินทองผ่องศรี
ฟังองค์อนุชาพาที ภูมีสวมสอดกอดไว้
ตรัสว่าแก้วตาจะลาจร จะมีความอาวรณ์ก็หาไม่
รักเจ้าเท่าดวงฤทัย จะชวนไปธานีพี่ยาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังตรัส ชุลีหัตถ์ทูลเหตุเชษฐา
น้องนี้มีกิจด้วยสิทธา อยู่ช้าจะโกรธติโทษทัณฑ์
ไปแล้วน้องแก้วไม่อยู่ช้า จะตามไปมิถิลาเขตขัณฑ์
ครั้งนี้ปล่อยให้ไปอารัญ สิบห้าวันจะติดตามไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังน้องรัก ทรงศักดิ์ทอดถอนใจใหญ่
จึงมีพระบัญชาด้วยอาลัย สายใจพ่อจะจรลี
จงนำสองธิดายาจิต ไปเป็นมิ่งมิตรจำเริญศรี
อย่าขืนขัดตัดอาลัยไมตรี ควรแล้วแก้วพี่จะครองกันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองว่องไวใจหาญ
ว่ากับนางพระยาไม่ช้านาน อย่ารำคาญขุ่นข้องหมองใจ
จะขอสองพระธิดานารี เทวีจะว่าเป็นไฉน
เมียของเรานี้มีถมไป ขอให้กับพระอนุชาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางกษัตริย์บังคมก้มหน้า
สุดจิตสุดจนพ้นปัญญา ตรึกตราแล้วทูลทันที
เป็นสุดแล้วแต่องค์พระทรงฤทธิ์ จะทรงคิดโปรดเกล้าเกศี
ข้าเป็นเกือกทองรองธุลี ทั้งนี้ไม่ขัดบัญชาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองสุริยวงศ์พงศา
ฟังนางสนองต้องวิญญา จึงตรัสกับอนุชาชาญชัย
แก้วตาจงพาพระบุตรี ไปเพื่อนองค์พงพีตามวิสัย
เจ้าจงสวัสดีมีชัย อย่าได้มีเหตุเภทพาลฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพคำนับรับบรรหาร
แล้ววันทาลาองค์นางมาร ทำอาการแย้มพรายชายตาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระบุตรีพี่น้องเสน่หา
ต่างองค์ทรงโศกโศกา กราบกับบาทาชนนี
ครั้นจะถ่วงหน่วงหนักชักช้า ก็คิดเกรงอาญาพระโฉมศรี
แข็งขืนฝืนใจจรลี มิทันได้พาทีประการใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงลงในสัดจอง ทั้งพี่น้องครวญคร่ำร่ำไห้
มาณพชักยนต์ลิ่วปลิวไป พระพินทองกลับเข้าในพาราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงศาลาอาศรม พระโคดมทรงญาณฌานกล้า
ร่อนลงตรงพื้นพสุธา นำสองกัลยาเข้ากุฎีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงกราบลงกับบาท อัยกาธิราชฤๅษี
ทูลความตามจริงทุกสิ่งมี แล้วกลายเป็นนารีฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ กอดกุมอุ้มองค์พระลูกรัก โลมลูบจูบพักตร์เกษมสันต์
ให้เสวยนมนางพลางรำพัน รับขวัญกล่อมให้ไสยาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ขวัญอ่อนนอนเถิดจะกล่อมเจ้า ขวัญช้าวอย่าทรงกันแสงหา
ป่านนี้องค์ทรงฤทธิ์บิดา ครองกรุงอสุราสำราญใจ
ขวัญแก้วแววตายาจิต จงสถิตอู่ทองผ่องใส
อย่าเที่ยวชมพนมพนาลัย ดวงใจจงสุขสวัสดีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นโอรสระงับหลับแล้ว ผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ชวนสองธิดานารี ราตรีระงับหลับไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นรุ่งรางสร่างแสงสุริยง โสรจสรงลูกรักให้ผ่องใส
จึงหยิบรูปหน้าม้ามาบัดใจ แล้วโฉมยงทรงใส่กายาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ กลายเป็นนางแก้วสัปดน วิปริตผิดคนหนักหนา
แล้วว่ากับพี่น้องสองธิดา นี่แลคือว่าเป็นเจ้านาย
พบปะที่ไหนไม่คำนับ จะเสี่ยงสับรื้อริบให้ฉิบหาย
ผ่าอกสาวไส้เสียให้ตาย วางวายชีวิตเหมือนบิดาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางประนมก้มเกศา
กราบแล้วกราบเล่าเฝ้าวันทา วิญญาไม่เป็นสมประดีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วยิ้มแย้มแจ่มศรี
แล้วอุ้มองค์โอรสธิบดี เข้าไปอัญชุลีพระอาจารย์
ทูลว่าตัวข้าจะไปส่ง สองนางโฉมยงยังสถาน
ขอฝากลูกยาไม่ช้านาน บ่ายสนธยากาลจะกลับมาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระมหาดาบสพรตกล้า
รับเอาพระกุมารหลานยา พระสิทธาถวิลยินดีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางแก้วปรีดิ์เปรมเกษมศรี
จึงถอดรูปเสียพลันทันที เลยจำแลงอินทรีย์ทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ กลายเป็นมาณพแน่งน้อย ทรงสร้อยโสภาจะหาไหน
ชวนสองพระธิดายาใจ ขึ้นเรือน้อยลอยไปยังพาราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครู่หนึ่งถึงกรุงอสุรี จึงสั่งสองบุตรีเสน่หา
สิ่งใดอย่าได้พูดจา ชีวาจะม้วยวายชนม์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางต่างแจ้งอนุสนธิ์
กราบพลางทูลความตามยุบล ข้าทั้งสองคนไม่แพร่งพราย
เบื้องหน้าถ้าแม้นไม่เหมือนคำ จึงค่อยทำโทษริบให้ฉิบหาย
จะขอพึ่งบุญญากว่าจะตาย พระโฉมฉายอย่าพะวงสงกาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพสรวลสันต์หรรษา
จึงย่นวนแวะนาวา ลีลาสู่ท้องพระโรงธารฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงชวนสองนารี ลงจากนาวีเกษมสานต์
กรายกรย่างเยื้องบทมาลย์ เข้าปราสาทสุริย์กาญจน์ทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อนรินทร์พินทองผ่องใส
แลเห็นอนุชามาแต่ไกล พระวิ่งไปต้อนรับฉับพลัน
จูงกรมาณพนวลละออง มานั่งบนแท่นทองเฉิดฉัน
จึงถามว่าพาสองแจ่มจันทร์ ไปแล้วผายผันมาไยฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพนบนิ้วสนองไข
สองนางต่างทรงโศกาลัย ไม่สมัครรักใคร่น้องนี้
ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ สุดรู้ที่จะโลมโฉมศรี
คืนถวายทรงธรรม์พันปี น้องนี้จะลาไปอารัญฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังเอยฟังน้องรัก ทรงศักดิ์สำรวลสรวลสันต์
จึงตรัสว่าหนุ่มสาวคราวกัน ไม่ผูกพันพูดจาว่าวอน
เช่นนี้จะมีที่ไหนได้ ไม่เอาใจนารีฟังพี่สอน
เมื่อไม่รักจักส่งองค์บังอร ขวัญอ่อนจะรักสิ่งอันใด
จงเลือกตามประสงค์จงจิต เว้นแต่ดวงชีวิตปลิดไม่ได้
นอกนั้นไม่ขัดตัดอาลัย จะตามใจน้องแก้วแววตาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มาณพยิ้มพลางทางว่า
น้องไซ้มิใช่เจตนา ปรารถนาเข้าของสิ่งใด
สารพัดทรัพย์สินจินดา แม้นไม่ม้วยมรณาหาได้
จะขอทำไมตรีพระพี่ไว้ สืบไปจนตายวายปราณ
จะรับเอาเข้าของไม่ต้องที่ ไมตรีจะห่างทางสมาน
ไปเบื้องหน้าถ้าน้องจะต้องการ จึงจะมารับพระทานภูมีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อนรินทร์พินทองผ่องศรี
ยิ้มพลางทางตอบวาที พี่นี้รักเจ้าเท่าชีวา
จะชวนน้องไปครองพระนิเวศ ได้ต่างเนตรพี่ชายทั้งซ้ายขวา
คุณเจ้าเท่าพื้นแผ่นพสุธา จะรักร่วมชีวาจนวันตายฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังบัญชา วันทาทูลไปดังใจหมาย
ซึ่งรักน้องปองเลี้ยงเคียงกาย คงสมหมายสักวันมั่นคง
กลัวแต่นานไปจะไม่รัก ด้วยต่ำศักดิ์เหมือนกาฝ่าฝูงหงส์
ว่ารักดังชีวิตจิตจง ข้อนี้อย่าหลงลืมสัญญา
เชิญเสด็จภูวไนยไปก่อน แล้วน้องรักจักจรไปหา
ครั้งนี้จำใจครรไลลา ผ่านฟ้าจงอยู่สวัสดี
ว่าพลางทางก้มกราบกราน แทบเบื้องบทมาลย์พระโฉมศรี
ลงจากแท่นรัตน์รูจี จรลีมายังสัดจองฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ชักสายยนต์น้อยลอยเลื่อน คล้อยเคลื่อนเหาะหันผันผยอง
ทักษิณครบสามตามทำนอง ลอยล่องดั้นกลีบเมฆาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงกุฎีที่อาศัย อโณทัยบ่ายบังพฤกษา
โฉมยงลงจากนาวา ลีลาเข้าเฝ้าพระมุนีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงก้มกราบกราน องค์พระอาจารย์ชาญชัยศรี
แปลงกายกลายเพศเป็นนารี สวมรูปหน้าพาชีฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ กราบลงตรงพักตร์พระสิทธา หลานรักจักลาไปเขตขัณฑ์
พรุ่งนี้แต่รุ่งสุริยัน ทรงธรรม์จงอยู่สถาพรฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระนักสิทธ์กล่าวความตามนุสรณ์
ผัวเจ้าเขาจะคืนนคร รีบจรไปให้ถึงจึงจะดี
โอนอ่อนผ่อนผันกันเถิดหวา อย่ารักรูปหน้าม้าบัดสี
ให้ลูกน้อยพลอยยันอัปรีย์ คนดีทำบ้ากูน่าชัง
ตรัสพลางทางส่งโอรส แล้วดาบสอวยพรสอนสั่ง
ลูกรักเติบใหญ่อย่าไว้วัง กูจะสั่งสอนให้คงได้ดีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วประณตบทศรี
รับพรพระคุณมุนี มายังกุฎีที่นอน
ผูกเปลเห่กล่อมพระลูกแก้ว หลับแล้วมีจิตสโมสร
ลีลาสู่ท่าชโลทร หาบคอนนํ้าท่าให้อาจารย์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ จัดสรรสรรพเสร็จสำเร็จแล้ว ผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
กอดกุมอุ้มองค์พระกุมาร นงคราญระงับหลับไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ใกล้รุ่งสุริยาการ้อง แสงทองไตรตรัสจำรัสไข
จึงวันทาอาจารย์ชาญชัย ทรามวัยอุ้มองค์พระลูกยา
จูบกระหม่อมจอมเกล้าเมาลี รีบออกจากที่ด้วยหรรษา
นั่งลงตรงกลางนาวา ชักสายยนต์พาปลิวไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เบี่ยงบ่ายชายแสงทินกร ลุถึงพระนครหาช้าไม่
ร่อนลงตรงนอกพระเวียงชัย ซ่อนนาวาไว้ให้ลับตา
โอบอุ้มโอรสยศยง เล่นองค์ไม่น้อยเดินลอยหน้า
เข้าในบุรีด้วยปรีดา ตรงมานิเวศบวรฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงวังในดังใจจง ขึ้นปราสาทมาตุรงค์ทรงศร
อุ้มองค์โอรสบทจร ขึ้นเฝ้าพระมารดรทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงก้มกราบกราน วางองค์พระกุมารไว้ให้
ยอกรวันทาแล้วคลาไคล ออกไปเที่ยวเล่นเช่นเดิมมาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ชาววังนั่งเล่นพอเห็นหน้า
ถามอึงมึงไปข้างไหนมา กูคิดว่าม้วยมอดวอดวายฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วตอบไปดังใจหมาย
กูไปทำลูกไว้ให้เจ้านาย พูดพลางยิ้มพรายไปมาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สาวสาวชาววังฟังว่า
ต่างคนสรวลสันต์จำนรรจา ลูกยาอยู่ไหนไม่เห็นมี
หาคล่องจริงจริงหญิงฤๅชาย ง่ายดายนักหนาเจียวฟ้าผี่
พ่อมันอยู่ไหนไม่เห็นมี ไพร่ฤๅผู้ดีประการใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วตอบมาหาช้าไม่
รูปร่างช่างงามทรามวัย กลัวจะหามาไม่เหมือนเรา
พ่อมันไม่รู้ดูแต่ลูก จะบอกให้ไม่ถูกเสียแล้วเจ้า
กลัวไปจะไม่เหมือนเช่นเรา คนอย่างหน้าเจ้าอย่าเจรจา
พูดพลางลดเลี้ยวเที่ยวเล่น โลดเต้นอื้ออึงประหนึ่งบ้า
ทิ้งลูกจนค่ำไม่นำพา วิ่งไปวิ่งมาเป็นสิงคลีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวมงคลราชเรืองศรี
ทั้งนางนันทานารี จิตใจไม่มีปรีดา
แลเห็นนางแก้วสัปดน ร้อนรนฤทัยหนักหนา
กรุงกษัตริย์จึงมีบัญชา ตรองตรึกปรึกษานางเทวี
อีแก้วสัปดนคนจังไร สูญกายหายไปจากกรุงศรี
คิดว่าล้มตายวายชีวี บัดนี้กลับมาน่ารำคาญ
เอาลูกของใครที่ไหนมา โสภารูปทรงสงสถาน
ตรัสพลางทางดูพระกุมาร เทวัญบันดาลดลใจ
สององค์ทรงพิจารณา ให้มีจิตเมตตารักใคร่
กุมารนี้ลูกเต้าเหล่าใคร จึงเฉิดฉันวิไลลาวัณย์
ต่ออีอัปลักษณ์พักตร์อาชา จะขโมยเขามาเป็นแม่นมั่น
รูปร่างจริตจึงผิดกัน มิใช่ลูกของมันเป็นแน่ใจฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมนางนันทาอัชฌาสัย
ตรึกพลางทางทูลฉลองไป ข้าประหลาดหลากใจเป็นพ้นนัก
เนื้อนมมันมิใช่สาว เรื่องราวอย่างไรไม่ประจักษ์
แต่คิดเห็นไม่เป็นฉุดลัก ฤๅพ่อดีมีศักดิ์ดอกกระมังฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น กรุงกษัตริย์ตรัสไปดังใจหวัง
รูปนั้นชั่วช้าน่าชัง ใครบ้างรักษาช่างพาที
คิดมาก็น่าใคร่สงสาร แต่กุมารแน่งน้อยมีศรี
เกลียดอีแพศยากาลี จะมาเฝ้าเซ้าซี้สืบไป
ตรัสพลางลูบไล้ไปมา สองกษัตริย์เมตตารักใคร่
เรียกเหล่าสาวสรรกำนัลใน มาผูกเปลเห่ให้ไสยาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วแสร้งซํ้าทำบ้า
เย็นรอนอ่อนแสงสุริยา รีบเข้ามาเฝ้าพระชนนีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางกษัตริย์สะบัดเบือนหนี
เสือกลูกให้พลันทันที เทวีเมินพักตร์ไม่นำพาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วยิ้มละไมในหน้า
แลดูรู้ทีด้วยปรีชา รับเอาลูกมาทันใด
อุ้มให้ทรามเชยเสวยนม เชยชมตามจิตพิสมัย
แล้ววันทาลาสองท้าวไท กลับไปห้องหับหลับนอนฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองสุริย์วงศ์ทรงศร
เนาในสามัญพระนคร ภูธรเกษมเปรมปรีดิ์
เนิ่นนานประมาณเดือนเศษ ทรงเดชคะนึงถึงกรุงศรี
คิดจะใคร่ไปสู่บูรี พระจึงมีสุนทรวาจา
สั่งนางสร้อยสุวรรณจันทร จงแจ้งการมารดรเสนหา
จะครรไลไปกรุงมิถิลา สุริยาฤกษ์รุ่งเร็วพลันฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พี่น้องสองนางสาวสรร
น้อมกายถวายบังคมคัล ชวนกันเร่งรีบจรลีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงก้มกราบลง ต่างทรงโศกเศร้าหมองศรี
ทูลว่าเวลาพรุ่งนี้ พันปีจะคืนเวียงชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระชนนีศรีใส
ฟังสองพระธิดายาใจ อาลัยสวมกอดเอาลูกยาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ โอ้ว่าเจ้าดวงนัยน์เนตร บิตุเรศชีวังสังขาร์
เห็นแต่พักตร์พี่น้องสองรา ค่อยสว่างวิญญาอาวรณ์
เจ้าพลัดพรากจากไปไกลทรวง ดังเด็ดดวงชีวังสังหรณ์
ใครจะสังสการมารดร ทุกข์ร้อนขุกเข็ญจะเห็นใคร
ร่ำพลางทางทรงโศกา ประหนึ่งว่านงลักษณ์จะตักษัย
สวมสอดกอดสองธิดาไว้ ทรามวัยโศกศัลย์พันทวีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองราชธิดามารศรี
กอดบาทนฤมลชนนี โศกีครวญคร่ำรำพันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ โอ้ว่าอนิจจาพระแม่เจ้า พระบาทเคยปกเกล้ากระหม่อมฉัน
เลี้ยงลูกทั้งสองครองกัน เกษมสุขทุกวันเวลา
จนเติบใหญ่มาได้ถึงเพียงนี้ ไม่โบยตีแสนรักหนักหนา
จะจากไปไกลบาทมุลิกา ประหนึ่งเหยี่ยวเฉี่ยวคว้าพาจร
โอ้นับปีจะมีแต่ความทุกข์ ไปไกลถิ่นสิ้นสุขสโมสร
ใครจะอภิบาลเหมือนมารดร ทุกข์ร้อนยุคเข็ญไม่เห็นกัน
ร่ำพลางทางทรงโศกา เพียงดับดวงชีวาอาสัญ
สองกรข้อนทรวงรุมรัน แจ่มจันทร์ไม่เป็นสมประดีฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ครั้นค่อยเคลื่อนคลายวายโศกา พระมารดาลูบโลมโฉมศรี
กรรมแล้วลูกแก้วอย่าโศกี บุญมีไม่ตายคงกลายไป
สององค์จงฟังแม่สั่งสอน อย่าเง้างอนจงสมัครรักใคร่
พี่จงรักน้องครองใจ น้องไซร้จงมีอารีรัก
สั่งสอนผ่อนผันกันทั้งคู่ จงร่วมรู้ให้งามตามยศศักดิ์
ระวังผิดควรคิดสามิภักดิ์ เหมือนดำรงวงศ์ศักดิ์สืบไป
ตรัสพลางนางสอนพระบุตรี ออกจากปรางค์มณีศรีใส
พรั่งพร้อมสุรางค์นางใน ขึ้นไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงซึ่งปรางค์รัตนา ชวนสองพระธิดาสาวสรร
สามนางต่างขึ้นอัฒจันทร์ เข้าในห้องสุวรรณทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ นั่งลงตรงพักตรพระภูมี ทั้งสองพระบุตรีกราบไหว้
นั่งเรียงเคียงกันเป็นหลั่นไป คอยฟังภูวไนยบัญชาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองสุริย์วงศ์ทรงยศถา
ผันแปรแลเห็นนางพระยา จึงเลื่อนองค์ลงมาทันที
แล้วยิ้มพริ้มพักตร์สุนทร ขอวันทาลาจรจากกรุงศรี
จะขอสองนิ่มนุชบุตรี พาไปสู่บุรีด้วยกัน
ถิ่นฐานบ้านเมืองนี้ไซร้ มอบให้ท่านสิ้นทุกสิ่งสรรพ์
คงจะได้ไปมาหากัน จงครอบครองเขตขัณฑ์ให้ปรีดาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางอสุรีมียศถา
ฟังตรัสมธุรสวาจา จึงสนองพระบัญชาทันใด
ซึ่งพี่น้องสององค์นงลักษณ์ ถวายองค์ทรงศักดิ์ตามวิสัย
ซึ่งข้อพระจะพาคลาไคล ข้าไม่ขืนขัดทัดทาน
แต่จากอกตกต่ำกำพร้า พลาดพรากพาราถิ่นฐาน
ขอฝากโฉมยงนงคราญ ไว้ใต้บทมาลย์ภูมีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระฟันทองยิ้มแย้มแจ่มศรี
จึงปราศรัยไพเราะวาที ท่านอย่ามีพะวงสงกา
ซึ่งพี่น้องสององค์นงคราญ คิดพะวงสงสารหนักหนา
มิให้ฝูงนารินนินทา จะเลี้ยงตามวาสนานงเยาว์
จงอยู่ดีปรีดาถาวร อย่าทุกข์ร้อนวิโยคโศกเศร้า
พลั้งผิดจะคิดแบ่งเบา อย่าอาวรณ์ร้อนเร่าฤทัยฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังตรัส นางกษัตริย์ชื่นแช่มแจ่มใส
จึงกล่าวคำอำนวยอวยชัย ลาไปปราสาทรูจีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงทรงสวัสดิ์รัศมี
ครั้นสายแสงสุริยันทันที จรลียังท้องพระโรงธารฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ลดองค์ลงนั่งบัลลังก์อาสน์ พร้อมหมู่อำมาตย์กำแหงหาญ
จึงตรัสสั่งอสุรีปรีชาชาญ ตัวท่านจงอยู่ดูพารา
ตัวเรากับเหล่าพลไกร จะลาไปยังเมืองมนุสสา
ฤกษ์รุ่งพรุ่งนี้จะลีลา ยกพลเภตราคลาไคล
ตรัสพลางทางสั่งพระพี่เลี้ยง จงเรียบเรียงพหลพลไพร่
รีบรัดจัดสรรกันไว้ ให้เสร็จในเวลาราตรีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงบังคมก้มเกศี
คลานคล้อยถอยมาไม่ช้าที สั่งความตามมีบัญชาการ
บรรทุกเข้าของเสบียงกรัง อีกทั้งโภชนาอาหาร
ทั้งต้นหนคนท้ายนายงาน อลหม่านวุ่นวิ่งเป็นสิงคลีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระนรินทร์พินทองผ่องศรี
พวยพุ่งรุ่งหล้าราตรี มาเข้าที่โสรจสรงคงคา
ประดับองค์ทรงเครื่องเรืองรอง ชวนพระพี่น้องเสนหา
ทั้งหมู่สาวสรรกัลยา ออกจากมหาปราสาทชัยฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงลงนาวี พร้อมสนมนารีศรีใส
แซ่เสียงสำเนียงพลไกร นายไพร่วุ่นวิ่งพัลวันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ต้นหนคนงานแข็งขัน
ตรวจตราเร่งรัดจัดกัน จัดสรรชุลมุนวุ่นวาย
บ้างฉุดโซ่โล้ลากสายสมอ แข็งข้อดันดึงทึ้งสาย
บางวางใบถ้วนทั่วหัวท้าย เบี่ยงบ่ายหันเหเภตรา
ได้ฤกษ์อำมาตย์ฆาตฆ้อง โห่ร้องเกรียวกราวฉาวฉ่า
แล่นหลามตามกันเป็นหลั่นมา ออกอ่าวพาราฉับพลันฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงซึ่งกลางชเลลม พระทรามชมปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ชวนฝูงสุรางค์นางกำนัล ชมพรรณมัจฉาบรรดามีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บ้างล่องลอยคอยเคียงเคล้าคู่ บ้างแตกหมู่กลับกลายว่ายหนี
ปลาหมูดูเหมือนสุกรมี หางว่ายวารีมาไรไร
เงือกงูดูดังนาคราช วงวาดท่องเที่ยวเลี้ยวไล่
บ้างว่ายแวะแทะหินกินไคล เติบใหญ่เท่าลำเภตรา
เหล่าละเมาะเกาะเกิดกลางสมุทร สูงสุดเป็นเวิ้งเพิงผา
วุ้นสาหร่ายสายติดศิลา ผ่านฟ้าชมพลางทางถอนใจ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ หวนคะนึงถึงองค์นางมณี ป่านฉะนี้เนื้อเย็นเป็นไฉน
จะนึกนับวันท่าอาลัย ปางใดจะพบประสบกัน
ถ้าแม้นแก้วแววตามาด้วย จะชมชื่นรื่นรวยหฤหรรษ์
ครวญพลางย่างเยื้องจรจรัล ผายผันเข้าในห้องไสยาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระบุตรีพี่น้องเสน่หา
ทั้งเหล่าสาวสรรกัลยา ไม่เคยมานํ้ากว้างทางไกล
ชวนกันเยี่ยมช่องมองชม มีจิตภิรมย์แจ่มใส
เพลิดเพลินจำเริญหฤทัย ยั่วหยอกกันไปทุกนารีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ต้นหนคนงานชาญหน้าที่
ใช้ใบมาในวนชลธี ลมดีพัดส่งสะดวกดาย
โยธีไม่มีภยันต์ ทั้งกลางคืนกลางวันผันผาย
นั่งดูชูคอไม่ถ่อพาย ไพร่นายเกษมเปรมปรา
บ้างร้องละครมอญรำ บ้างร้องลำนำทำท่า
ลางทีตีกรับขับเสภา ทั้งดอกสร้อยสักรวาว่าเรื่อยไป
บ้างสูบฝิ่นกินบรั่นกัญชา สรวลเสเฮฮาทั้งนายไพร่
ได้ลมแล่นล่องคล่องใจ มาในห้วงมหาวารีฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เดือนหนึ่งถึงกรุงมิถิลา เภตราประทับทอดจอดที่
ทอดสมอรอรานาวี ตรงที่ตำหนักชโลธรฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองสุริย์วงศ์ทรงศร
แจ้งว่ามาถึงพระนคร ภูธรยินดีปรีดา
จึงชวนนางสร้อยสุรรรณจันทร สาวศรีนิกรพร้อมหน้า
พระโฉมยงลงจากเภตรา ลีลาเข้ายังวังในฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงกราบลงกับบาท สองกษัตริย์ธิราชเป็นใหญ่
หมอบเมียงเคียงแท่นอำไพ หฤทัยเกษมเปรมปรีดิ์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองกษัตริย์ชื่นแช่มแจ่มศรี
สวมกอดลูกยาแล้วพาที กว่าปีแต่พรากจากไป
พ่อนี้ตั้งแต่จะอาดูร เพิ่มพูนวิตกหมกไหม้
เมียมาด้วยฤๅหล่อนชื่อไร นั่นฤๅมิใช่เล่าลูกอาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโอรสกราบพลางทางว่า
ถึงลูกไปไกลเบื้องบาทา ทุกทิวาคะนึงถึงพันปี
เกลียดอีหน้าม้าไม่มาได้ จำใจอยู่โรมวิถี
ต่อพระองค์ส่งสาส์นไปครั้งนี้ ลูกจึงจรลีมาฉับพลัน
ลมซัดพัดเข้าในเมืองยักษ์ ลูกรักหวังว่าจะอาสัญ
ทูลตามความหลังครั้งนั้น ให้ทรงธรรม์แจ้งเหตุเภทพานฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองพระองค์ทรงโศกสงสาร
สวมสอดกอดองค์พระกุมาร ปิ้มปานจะสิ้นสมประดี
โอ้ว่านิจจาพระลูกแก้ว บุญแล้วเนื้อเย็นไม่เป็นผี
ซึ่งปลดปลอดรอดมาครานี้ จะจำเริญสวัสดีสืบไป
ดูดู๋ยักษาอาธรรม์ ดุดันหนักหนาอ้ายหน้าไพร่
คุณของมาณพลบแดนไตร ช่วยลูกข้าไว้จึงคงชนม์
ร่ำพลางต่างองค์ทรงโศกา ชลนาพรั่งพรายดังสายฝน
กอดลูกประทับกับสกนธ์ โศกาบ้าบ่นคะนึงไปฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วหน้าม้าอัชฌาสัย
รู้ว่าพระองค์ทรงชัย คืนยังวังในก็ยินดี
โอบอุ้มโอรสยศยง เดินตรงเข้าห้องมณีศรี
นั่งลงตรงพักตร์พระภูมี อัญชุลียิ้มพรายชายตา
แล้วนบนิ้วทูลพลันทันใด ข้าตั้งใจทำลูกไว้ท่า
สมเป็นลูกเต้าท้าวพระยา เชิญทอดทัศนาให้เต็มใจฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์ตรัสมาหาช้าไม่
ทำไว้ได้แล้วก็แล้วไป อีหน้าไพร่อย่ามาพาทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วยิ้มแย้มแจ่มศรี
วางลูกลงพลันทันที จรลีไปมองสองธิดาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางพี่น้องเสนหา
แลเห็นนางแก้วหน้าม้า จึงหมอบลงตรงหน้าทันใด
ต่างคนบังคมก้มพักตร์ กลัวหนักล้นเหลือจนเหงื่อไหล
ตัวสั่นขวัญหนีไม่มีใจ มิได้เงยหน้าพาทีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์ตรัสถามตามที
ดูกรพี่น้องสองนารี กราบอีหน้าม้าว่ากระไร
เจ้าเป็นสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ ตัวมันตํ่าช้าหน้าไพร่
ขายพักตร์หนักหนาน่าขัดใจ กลัวมันทำไมเร่งบอกมาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางประนมก้มหน้า
เห็นนางแก้วถลึงขึงตา วันทาแล้วทูลทันที
รูปร่างหน้าตาน่ากลัว เนื้อตัวผิดเพื่อนเหมือนหมี
ผิดกับคนผู้ทั้งบูรี ข้านี้จึงได้วันทาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางแก้วยิ้มละไมในหน้า
หลีกเลยเฉยไปไม่นำพา ออกมาวิ่งเต้นเล่นสบายฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์พริ้งเพริศเฉิดฉาย
เห็นนางแก้วเที่ยวไปไกลกาย จึงค่อยชายเนตรดูกุมารา
เฉิดโฉมแฉล้มแช่มช้อย แน่งน้อยน่ารักหนักหนา
ผิดกับอาการมารดา ผ่านฟ้ากินแหนงแคลงใจ
จึงทูลถามยุบลชนนี ลูกนี้นึกพะวงสงสัย
กุมารนี้ลูกเต้าเหล่าใคร มิใช่บุตรอีกาลีลามฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางกษัตริย์นิ่งนั่งฟังถาม
ยิ้มพลางทางแถลงแจ้งความ แต่ตามอนุสนธิ์ต้นปลาย
แต่วันเจ้าพรากจากนคร มันหนีออกซอกซอนสูญหาย
มาถึงเดือนนี้มีลูกชาย เหตุผลต้นปลายไม่แจ้งใจฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังมารดา ยิ่งตรึกตราพะวงสงสัย
เฝ้าผินดูกุมารชาญชัย มีใจเมตตาปรานี
จึงแลเห็นธำมรงค์วงสำคัญ ที่ให้นางแจ่มจันทร์มณีศรี
กับกัมพลภูษาค่าบุรี ภูมีตะลึงทั้งกายา
เข้าอุ้มองค์พระกุมารชาญชิด แลเล็งเพ่งพิศคิดกังขา
ผิวพักตร์ผุดผ่องดังทองทา พักตราคล้ายองค์นงคราญ
ท่วงทีอีแก้วสัปดน ซุกซนดั้นดึงไปถึงบ้าน
ลอบลักโฉมยงองค์กุมาร แหวนแก้วสุริย์กานต์จึงติดมา
คิดพลางทางทูลชนนี กุมารองค์น้อยนี้โอรสา
ทูลความตามครั้งแต่หลังมา ลูกข้าแน่นักประจักษ์ใจ
ท่วงทีอีแก้วสัปดน ซุกซนลักพามาได้
ภูษาธำมรงค์วงนี้ไซร้ จำได้แน่นักประจักษ์ตาฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ ฟังลูกรัก นงลักษณ์ยิ่งพะวังกังขา
จึงกล่าวสุนทรวาจา มารดายังแหนงแคลงใจ
แม้นมันลักลูกเต้าเจ้านี้ เนื้อนมจะมีมาแต่ไหน
อย่าเพ่อเคืองขุ่นวุ่นไป คงจะได้เห็นเสร็จเท็จจริงฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงทรงฟังนั่งนิ่ง
นึกแหนงแคลงจิตคิดประวิง กริ่งกริ่งตรึกไตรไปมา
เฝ้าพิศดูกุมารชาญชัย ยิ่งรักใคร่ผูกพันพรรษา
เห็นนางแก้วดำเนินเดินมา พระวางองค์ลูกยาทันทีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ น้อมกายถวายอภิวาท แทบบาทท่านท้าวทั้งสองศรี
ชวนสองกัลยานารี จรลีมาสู่ปราสาทชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ นั่งเหนือแท่นแก้วแพรวพรรณ พรั่งพร้อมกำนัลน้อยใหญ่
คิดคะนึงถึงลูกผูกใจ พระนิ่งนึกตรึกไตรไปมาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วแสร้งซํ้าทำบ้า
เข้าอุ้มองค์ลูกแก้วแววตา ติดตามผ่านฟ้ามาทันที
วางลงตรงพักตร์ภูธร คมค้อนดำเนินเดินหนี
แฝงอยู่ดูองค์พระภูมี จะพูดจาพาทีประการใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงโฉมประโดมฟิสทัย
คิดว่านางหน้าม้าคลาไคล จึงลงไปอุ้มองค์พระลูกรัก
ยิ่งมีจิตเมตตาปรานี ภูมียกวางกลางตัก
เห็นโอรสแย้มยิ้มพริ้มพักตร์ ทรงศักดิ์สรวลสันต์จำนรรจา
เจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ดูเราทำไมเป็นหนักหนา
แม้เจ้าอยู่ไหนได้ลักมา อยู่กับอีหน้าม้ากาลี
ตรัสพลางเชยโฉมโลมลูล คิดจะจูบก็อายสาวศรี
เย้าหยอกถวิลยินดี เกษมศรีสำราญบานใจฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วยิ้มแย้มแจ่มใส
แลเห็นพระองค์ทรงชัย ลูบไล้ลูกยาด้วยปรานี
แกล้งทำกระแอมไอให้เสียง หลีกเลี่ยงหลบพักตร์พระโฉมศรี
ลับแลงแฝงฝาไม่พาที คอยดูภูมีไม่พูดจาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงทรงลักษณ์ดังเลขา
กอดกุมอุ้มองค์พระลูกยา เพลินพยักพักตราพาที
แว่วเสียงสำเนียงกระแอมไอ ตกใจขยดถดหนี
แลหาแห่งใดก็ไม่มี รอรีเข้ากอดเอากุมาร
ลูบไล้ไปทั่วทั้งกายา วิญญาพะวงสงสาร
เห็นลับตาข้าสาวนงคราญ ภูบาลกอดจูบลูบไล้ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วแสร้งซํ้าทำไถล
นาฏนวลด่วนเดินดำเนินไป แล้วแย้มยิ้มละไมไปมาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงโฉมโลมลูบเสนหา
เหลียวสบพบนางหน้าม้า พระขวยเขินเมินหน้าทันที
เสือกลูกออกไปให้ไกลกร เคืองค้อนสะเทิ้นเมินหนี
เสดูเฝืองฝาไม่พาที พระโอรสโศกีอึงไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
สวมกอดลูกยาแล้าว่าไป นี่ลูกเต้าเหล่าใครหนอราชา
รู้จักฤๅไม่อย่างไรนั่น น่าชมคมสันหนักหนา
เหมือนละม้ายคล้ายพ่อดังหล่อมา กลัวแต่ตาจะขาวร้องฉาวไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังพาที ภูมีเคืองขัดอัชฌาสัย
ชี้นิ้วกริ้วกราดตวาดไป ผัวมึงอยู่ไหนอีกาลี
เที่ยวทำตอแหลกระแตเต้น หน้าราตาเป็นไม่บัดสี
ทิ้งลูกเที่ยวเล่นทำเช่นนี้ ปรานีกลับว่าหน้าไม่อาย
ไสหัวมึงไปเสียให้พ้น จองหองพองขนไม่รู้หาย
อัปรีย์เวียงวังอีหลังลาย คบชายเป็นปีไม่มีตัวฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดสี อะไรนี่ค่อนว่านึกน่าหัว
ทำเขามีท้องร้องออกตัว เห็นรูปชั่วไม่รับกลับกลาย
เธอเป็นผัวข้าฤๅหาไม่ ได้รักใคร่ผูกพันมั่นหมาย
ข้านี้มิได้คบชู้สู่ชาย จะเฆี่ยนให้หลังลายด้วยอันใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ อีกาลี พาทีเกินตัวหากลัวไม่
ใครเป็นผัวมึงพูดอึงไป ว่าได้พล่อยพล่อยลอยหน้าตา
เสี่ยงสับขับไล่ไสหัวหู ยังขืนอยู่รังควานด้านหน้า
เอาลูกมึงไปอย่าได้มา ยังชดช้อยลอยหน้าว่าไรฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ พระองค์ ยืนยันมั่นคงก็เป็นได้
ลูกเต้าเขาอื่นใครขืนใจ ให้กอดจูบลูบไล้ใส่เพลา
เห็นอยู่แววแววกับแก้วตา ยังไม่ลับกลับด่าให้อีกเล่า
เพราะว่ามีวาสนาค้าสำเภา ด่าได้ด่าเอาไม่เกรงใจ
ว่าพลางทางชูพระกุมาร แกล้งดำเนินเดินผ่านเข้ามาใกล้
ช่วยทายให้ถูกว่าลูกใคร ใช่ฤๅมิใช่พระทรงธรรม์
รูปร่างจริตไม่ผิดพ่อ ปากคอแก้มคางเหมือนอย่างปั้น
พักตราตาคิ้วผิวพรรณ เหมือนกันฤๅไม่จะใคร่รู้ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ อีหน้าเป็น ล้อเล่นสดสดไม่อดสู
ยืนยันพันผูกว่าลูกกู ใครรู้เห็นบ้างฤๅอย่างไร
สงสารทารกยกมาดู เห็นอุ้มชูแต้มต่อล้อให้
หน้ามึงถึงจะฟันให้บรรลัย ก็ไม่ปรารถนาค้าคบ
แต่มาอยู่ร่วมวังยังนี้ ยังหลีกหนีท่องเที่ยวเลี้ยวหลบ
ยั่งยืนขืนเข้ามาเร้ารบ ตีตบไม่เจ็บเท่าเล็บมือฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ น่าขัน กอดกันคนผู้จะรู้หรือ
ดังเหมือนปืนใหญ่จะได้ฦๅ จึงกอดฉันดั้นดื้อซึ่งหน้าตา
รักเขาเข้าปลํ้าทำชำเรา จนถึงมีลูกเต้ามาขายหน้า
จูบลูกฟอดฟอดกอดกายา เห็นอยู่แก่ตาเป็นช้านาน
เกลียดตัวกินไข่ไม่เคยพบ คอยพาลตบค่อนว่าหน้าด้าน
ลูกคนนี้ฤๅคือพยาน เหมือนพระภูบาลฤๅเหมือนใคร
ว่าพลางทางอุ้มลูกชาย ผันผายกลับมาที่อาศัย
พลบค่ำคลํ้าแสงอโณทัย กอดลูกหลับไปทันทีฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมเฉิดเลิศฟ้าราศี
ครั้นค่ำย่ำปฐมราตรี บรรทมในที่ศรีไสยา
คิดคะนึงถึงองค์โอรส ทรงยศยิ่งพะวังกังขา
ลูกอีอัปลักษณ์พักตร์อาชา ฤๅจะเป็นบุตรานงคราญ
เนตรขนงวงพักตร์ผิวพรรณ ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนกันทั้งสัณฐาน
ไฉนหนอจะแจ้งแห่งอาการ ภูบาลตรึกพลางทางถอนใจฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ จำจะล่อลวงดูท่วงที ให้แจ้งข้อคดีให้จงได้
แม้นลักพามาจริงดังกริ่งใจ จะฆ่าฟันมันให้มรณา
เลี้ยงแต่โอรสยศยง แล้วจะไปรับองค์ขนิษฐา
ตรึกพลางทางเอนกายา หลับไปในราตรีกาลฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นรุ่งรางสางแสงทินกร ภูธรปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
นั่งเหนือแท่นรัตน์ชัชวาล พร้อมสนมนงคราญเรียงรายฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วตั้งจิตคิดหมาย
จะว่าพระโฉมงามตามสบาย แล้วโอบอุ้มลูกชายฉับพลัน
ออกจากห้องในไสยา ขึ้นสู่ปรางค์ปราขมีขมัน
แฝงอยู่ดูองค์ทรงธรรม์ เห็นพรั่งพร้อมพระกำนัลนารี
จึงอุ้มพระลูกยาฝ่าคน เข้าในไพชยนต์มณีศรี
นั่งลงตรงสองบุตรี อัญชุลีพระองค์ทรงชัยฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางนารีศรีใส
ต่างกราบกลัวตัวสั่นพรั่นใจ มิได้ผันแปรแลดู
งกงันขวัญหนีดังผีสิง หมอบนิ่งความกลัวเป็นตัวหนู
ต่างหลบลอบหมอบมุดคุดคู้ ไม่ผันแปรแลดูสิ่งใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองข้องขัดอัชฌาสัย
จึงถามสองนางนั้นทันใด คือใครบังคับบัญชา
ตัวเป็นผู้ดีมีศักดิ์ ไม่ขายพักตร์ยอมตัวเป็นขี้ข้า
กราบคนพิกลกิริยา สำมะย่ำต่ำช้ากาลี
ชั้นแต่ลูกเล็กเด็กดมมือ ก็ขี้นชื่อสำเหนียกเรียกอี
ตัวเป็นถึงหม่อมจอมนารี เห็นดีแล้วฤๅประการใดฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางต่างก้มประนมไหว้
มิรู้ที่ทูลสารประการใด นิ่งอยู่มิได้จำนรรจาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองข้องขัดสหัสสา
ครั้งนี้ยกไว้ยังไม่ว่า เบื้องหน้าถ้าเป็นเหมือนเช่นนี้
ขืนกลัวอีแก้วแล้วไม่ฟัง จะดุดันกันบ้างให้ป่นปี้
เหม่เหม่อีหน้าพาชี มาไยในนี้ใช่ที่ทาง
ไสหัวออกไปอย่าให้อยู่ สู่รู้หน้าเป็นเที่ยวเล่นหาง
ชดช้อยลอยพักตร์ชักลูกคาง แอบอ้างอวดตัวไม่กลัวตาย
ลูกเต้าอย่าเอามาไว้นี่ อัปรีย์เบื่อหูไม่รู้หาย
ขึ้นมาจะฆ่าให้วางวาย ให้หาคู่ผู้ชายให้ชอบใจฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ฟังภูธร คมค้อนตอบมาหาช้าไม่
หนวกหูหนวกหางช่างเป็นไร ใครใช่ทรงฤทธิ์เป็นบิดา
เมียมีถมไปมิให้เลี้ยง มาว่ากล่าวก้าวเฉียงเอาแต่ข้า
ว่าพลางทางส่งองค์บุตรา ให้แก่สองกัลยาทันที
แล้วว่าข้านี้ที่เมียหลวง ทั้งปวงย่อมรู้อยู่อึงมี่
เจ้าเป็นเมียน้อยอย่าคอยที มานั่งทำผู้ดีอยู่ว่าไร
เลี้ยงลูกของข้าอย่าให้อ้อน หาวนอนพาองค์ไปส่งให้
ว่าพลางทางทูลพระทรงชัย ฝากลูกน้อยไว้กับทรงธรรม์ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์เคืองขุ่นหุนหัน
ชี้นิ้วกริ้วกราดตวาดพลัน เชื้อวงศ์พงศ์พันธุ์กูฤๅไร
จองหองพองหัวอีตัวเอก โหยกเหยกพูดจาเหมือนบ้าใบ้
ตั้งตัวเป็นนายไม่อายใจ ล่วงใช้คนเล่นเช่นเชลย
ลูกเมียของกูรู้ฤๅไม่ ขู่ได้ขู่เอาแม่เจ้าเอ๋ย
ใช้ได้บ่อยบ่อยหน่อยจะเคย ลามเลยใช้เล่นไม่เว้นวัน
ลูกมึงอย่าไว้เอาไปเสีย ใช้เมียกูเล่นไม่เห็นขัน
วางเสียสาวน้อยสร้อยสุวรรณ ส่งให้แม่มันคืนไปฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางนารีศรีใส
ฟังตรัสขัดสนจนใจ กลัวองค์ทรงชัยพอประมาณ
กลัวนางสัปดนเป็นพันคิด สุดจิตสุดจักทำหักหาญ
โอบอุ้มจุมพิตพระกุมาร ด้วยแจ้งการทุกสิ่งจริงใจฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
นั่งลงตรงพักตร์ภูวไนย ทูลว่าข้าไซร้เป็นคนจน
รับหน้าว่าเมียจะเสียยศ ไม่งามงดเทียมเขาจึงเฝ้าบ่น
แต่เลือดเนื้อของเธอเออชอบกล ใช้คนก็ว่าน่าเจ็บใจ
เพียงเอ๋ยผีสางเทวดา ช่วยชุบอีหน้าม้าขึ้นเสียใหม่
ให้เนื้อหนังดังทองยองใย จะเล่นตัวเสียให้เต็มประดา
ถึงแม้นว่าจะวอนงอนง้อ จริงจริงไม่ขอเสนหา
นั่งไหนจะคอยลอยหน้าตา ไม่แต่งขันหมากมาไม่ไยดี
หน่อยหนึ่งจะไพล่เข้าไกล่เกลี่ย ว่าเนื้อเย็นเป็นเมียของพี่
ลูกถ่อยลอยฟ้าบิดามี อัปรีย์จะสาบสูญไป
ว่าพลางทางแกล้งเลียนล้อ ส่ายพักตร์ยักคอตามวิสัย
จะสิ้นเคราะห์สักวันมั่นใจ ชุบตัวเสียใหม่ดังว่ามาฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ อีหน้าเป็น พูดเล่นตามใจดังใบ้บ้า
เมืองนี้ไม่มีเทวดา อินทราอยู่ถึงชั้นตรึงษ์ไตร
อยากงามจงตามไปให้ถึง ยังพิภพดาวดึงส์จึงจะได้
ชุบรูปหล่อกูดูน้ำใจ จะรักมึงฤๅไม่ได้เห็นดี
บอกขาดไม่ปรารถนาคบ เกลียดมึงดังศพซากผี
ถึงจะงามลอยฟ้าดังวาที ชาตินี้เห็นกูจะสู้ตายฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ น้อยฤๅนั่น ประมาทหน้าว่ากันง่ายง่าย
เห็นเหาะมิได้ใช่ผู้ชาย จึงบ่นบ้าท้าทายสบายใจ
ว่าพลางทางเดินออกมา เทียวเล่นเช่นประสาบ้าใบ้
ร้องรำทำเพลงครื้นเครงไป มิได้มาดูพระกุมารฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองว่องไวใจหาญ
เห็นนางแก้วลีลาช้านาน จิตสงสารโอรสยศยง
พระจึงเสด็จดำเนินมา อุ้มเอาลูกยาโดยประสงค์
สั่งฝูงสุรางค์นางอนงค์ เร่งผูกอู่ให้องค์กุมารฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เถ้าแก่กำนัลถ้วนหน้า
เร่งรีบผูกเปลเห่ช้า แกว่งไกวไปมาเป็นสิงคลีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อนรินทร์พินทองผ่องศรี
เลี้ยงลูกผูกจิตคิดปรานี มิได้มีรังเกียจเกลียดอาย
นั่งเยี่ยมปากเปลช่วยเห่กล่อม ชาววังนั่งล้อมเหลือหลาย
ชิงกันอุ้มชูไม่ดูดาย ด้วยเจ้านายเมตตาอาลัยฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วหน้าม้าอัชฌาสัย
เที่ยวเล่นเป็นสุขสนุกใจ เนิ่นนานมิได้นำพา
เบี่ยงบ่ายชายแสงทินกร นึกถึงจึงย้อนเข้าไปหา
แอบมองตามช่องทวารา เห็นผ่านฟ้าเชิดชูกุมาร
แย้มสรวลด่วนเดินเข้าไปใกล้ นั่งยกมือไหว้แล้วว่าขาน
นี่บุตรของพระองค์ฤๅวงศ์วาน กระหม่อมฉันพึ่งรู้จักพักตราฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังถาม พระโฉมงามสะเทิ้นเมินหน้า
ทิ้งลูกลงพลันมิทันช้า กุมาราร้องอึงคะนึงไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วคอยขยับรับไว้ได้
รับขวัญลูกยาแล้วว่าไป ลูกคนเข็ญใจจึงอย่างนั้น
ทิ้งลงแม้นปลงชีวาลัย จะต้องทำลูกใช้ให้หม่อมฉัน
แล้วผินหน้าว่ากับสร้อยสุวรรณ เดี๋ยวนี้ไม่กลัวกันฤๅว่าไร
ฤๅลบหลู่ดูถูกว่าลูกเรา นี่เกิดกับเจ้าฤๅมิใช่
ถือตัวไม่กลัวเกรงใคร เลี้ยงไม่คุมร้องทั้งสองราฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองนางประนมก้มหน้า
ตัวสั่นขวัญหนีดังตีปลา ก้มหน้าไม่ตอบวาทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงทรงสวัสดิ์รัศมี
เห็นนางสร้อยสุวรรณอัญชุลี พระภูมีกริ้วตรัสขัดใจ
ดูดู๋สร้อยสุวรรณจันทร ไม่กลัวความม้วยมรณ์ฤๅไฉน
เราสิห้ามเจ้าเป็นเท่าไร ยังขืนไหว้กราบอีกาลีลาม
คิดเห็นเป็นไฉนอย่างไรนั้น นิ่งให้มันจ้วงจาบหยาบหยาม
ฤๅคิดถ่อมยอมตัวกลัวความ ให้มันลามล่วงหลู่ดูเบา
ยิ่งว่ากล่าวดูราวกับแกล้งยุ จะต้องดุสักครั้งบ้างแลเจ้า
กลัวอีหน้าม้ายิ่งกว่าเรา ใจเจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไรฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางอกสั่นหวั่นไหว
กราบพลางทางทรงโศกาลัย มิได้ทูลพิดกิจจาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วยิ้มละไมในหน้า
แล้วกราบทูลไปพลันมิทันช้า อนิจจารักเมียไม่เหมือนกัน
ข้าเป็นเมียหลวงมาล่วงด่า สอนให้เมียว่าทุกสิ่งสรร
ถือท้ายย้ายหัวตัวอาธรรม์ ดุดันด่าทอให้พอแรง
ชะนางคนโปรดเป็นโสดสบ ทรุดซบแอบองค์ทรงกันแสง
พระสามีโกรธาตาแดง ฟุบแฝงโศกาอยู่ว่าไร
ไม่ขึ้นหน้าด่าทอพ้อตัด คาดหมัดเข้ามาไม่ช้าได้
นั่งบีบน้ำตาช้าอยู่ไย ไวไวมาสู้ได้ดูดีฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางกราบนบซบเกศี
มิอาจตอบวาจาพาที โศกีไม่เงยพักตราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองข้องขัดตรัสว่า
ดูดู๋พี่น้องสองสุดา กลัวอีหน้าม้ากว่าเจ้านาย
แม้นไม่ด่ามันวันนี้ จะถึงที่เราริบฉิบหาย
ดื้อดึงหนักหนาพาเราอาย กลัวตายเร่งด่าให้สาใจฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วยิ้มแย้มแจ่มใส
ชดช้อยลอยหน้าแล้วว่าไป ฉาต้าหน้าไหนจะด่าทอ
อีแก้วสัปดนจะบนผี อวดดีด่ามาข้าไม่ขอ
บอกขาดชาตินี้ไม่มีง้อ ด่าทอเถิดคะไม่ละกันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางต่างกลัวจนตัวสั่น
กราบพลางทางทูลทรงธรรม์ ชีวันอยู่ใต้บาทา
จะใช้สอยสิ่งใดไม่ขัด ซึ่งตรัสจะให้ด่าว่า
ข้อนี้ขัดสนพ้นปัญญา ผ่านฟ้าได้โปรดปรานีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อนรินทร์พินทองผ่องศรี
ทรงฟังคั่งแค้นแสนทวี จึงมีสิงหนาทตวาดไป
ดูดู๋ไว้ตัวไม่กลัวตาย ขัดขืนเจ้านายก็เป็นได้
กลัวอีสัปดนคนจังไร ไม่อาลัยยศศักดิ์เสียพักตรา
มาตรแม้นไม่ด่าครานี้ ชีวีจะม้วยสังขาร์
แม้นสมัครรักตัวกลัวอาญา เร่งด่าให้สมอารมณ์มันฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางนารีไม่มีขวัญ
ก้มกราบบาทบงสุ์ทรงธรรม์ ตัวสั่นไม่เป็นสมประดี
ความกลัวนางแก้วหน้าม้า กลัวทั้งอาญาพระโฉมศรี
หมอบนิ่งไม่ติงอินทรีย์ โศกีกำสรดสลดใจฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วกลั้นยิ้มมิใคร่ได้
ครั้นจะทูลเลียนล้อต่อไป ก็สงสารทรามวัยทั้งสองรา
น้อมกายถวายอภิวาท อุ้มโอรสราชเสน่หา
ออกจากปรางค์ชัยมิได้ช้า กลับมาห้องหับฉับพลันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์เคืองขุ่นหุนหัน
ตั้งกระทู้ขู่สองแจ่มจันทร์ กลัวมันด้วยกิจประการใด
อีแก้วสัปดนคนนี้ เขาเรียกอีแซ่หูรู้ฤๅไม่
ใจจิตคิดเห็นเป็นอย่างไร เล่าไปให้แจ้งกิจจา
แม้นไม่ชี้แจงแพร่งพราย จะต้องวายชีวังสังขาร์
บอกความตามจริงอย่านิ่งช้า ก้มหน้าอยู่ไยเร่งให้การฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางทางทูลเฉลยสาร
เหตุลึกล้นพ้นประมาณ ภูบาลจงโปรดปรานี
ครั้นข้าจะทูลความตามจริง ก็เกรงกริ่งบรรดาทาสี
จะล่วงรู้กิจจาพาที ข้านี้จะเกิดอันตราย
พระองค์จงทรงพระเมตตา ขับฝูงกัลยาทั้งหลาย
จะกราบทูลข้อขันบรรยาย อย่าให้แจ้งแพร่งพรายสืบไปฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังวาจา ผ่านฟ้ายิ่งพะวงสงสัย
จึงขับฝูงสาวสรรทันใด ออกไปจากปรางค์รัตนา
แล้วทรงศักดิ์ซักไซ้ไถ่ถาม ข้อความไฉนให้เร่งว่า
แม้นย้อนยอกไม่บอกกิจจา ชีวาจะม้วยวายชนม์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางต่างทูลอนุสนธิ์
นางมีปัญญายิ่งกว่าคน จุมพลไม่แจ้งแห่งคดี
ซึ่งมาณพเรืองอิทธิฤทธา ผลาญชีพบิดาข้าเป็นผี
พระโปรดปรานประทานข้านี้ พาไปกุฎีแดนดง
กลายเป็นนารีมีโอรส อยู่ด้วยดาบสดังประสงค์
งามเลิศเฉิดฉันบรรจง ดังอนงค์นางฟ้ายาใจ
ผูกเปลเห่กล่อมพระลูกยา แล้วหยิบรูปหน้าม้าสวมใส่
แล้วกำชับกำชาข้าไว้ พบปะที่ไหนให้เกรงกลัว
แม้นมิวันทาจะฆ่าตี มิให้ทูลคดีพระอยู่หัว
แล้วจำแลงแปลงองค์ส่งตัว ข้าจึงได้เกรงกลัวกราบกรานฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองว่องไวใจหาญ
นิ่งนั่งฟังความตามอาการ ภูบาลอั้นอึ้งตะลึงไป
ถ้อยคำร่ำว่ามาทุกสิ่ง ยังตรึกกริ่งพะวงสงสัย
จึงซักสองนางงามทรามวัย รูปร่างอย่างไรเร่งว่ามา
ซึ่งสวมหน้าพาชีนี้เล่า จริงฤๅปดเรากระมังหนา
ที่แปลงเป็นรูปบุรุษสุดโสภา คือนางหน้าม้านี่ฤๅไรฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางต่างทูลเฉลยไข
มั่นคงองค์นี้ไม่มีใคร จำได้แม่นยำสำคัญ
เบื้องหน้าถ้าแม้นไม่เหมือนคำ พระจงทำโทษาให้อาสัญ
รูปทรงโสภาวิลาวัณย์ ทรงธรรม์จงทราบพระบาทาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังทูล เพิ่มพูนภิรมย์หรรษา
พระนิ่งนึกตรึกไตรไปมา อนิจจาไม่ควรเล่นเช่นนี้
น้อยฤๅยอกย้อนซ่อนกล แยบยลกลับกลอกหลอกพี่
ช่างผันแปรแก้เผ็ดเม็ดดี เพราะกระนี้จึงกล้าท้าทาย
กรรมเอยกรรมกรรมทำอย่างไร จะครอบเมียเกลี่ยไกล่ให้หาย
พระนิ่งนึกตรึกตราหาอุบาย พลางภิปรายกับสองกัลยา
การนี้ล่วงรู้อยู่แต่เจ้า จงคิดเอาความสบายภายหน้า
ทำคุณอย่าสูญซึ่งศรัทธา อาสาว่าวอนหล่อนสักที
ถ้าถอดรูปหน้าม้าเวลาไร จงลักเอาเผาไฟให้ป่นปี้
ทั้งพี่ทั้งน้องสองนารี จะให้ยศศักดิ์ศรีสืบไปฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางต่างทูลเฉลยไข
จะอาสาว่าวอนทรามวัย เห็นจะได้ดังจิตจินดา
แต่จะเป็นวันไรไม่รู้ ด้วยโฉมตรูไม่ไว้ใจข้า
แม้นเสร็จอารมณ์จินดา จึงจะมาทูลองค์ทรงธรรม์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ตรัสกับสาวน้อยสร้อยสุวรรณ จงพากันพากเพียรเวียนไป
รับองค์โอรสธิบดี มาเลี้ยงไว้ในนี้อย่าขาดได้
ราตรีจงพากันคลาไคล ปลอบให้ถอดรูปโฉมยง
แม้นมาตรยินยอมพร้อมใจ มาบอกให้รู้ความตามประสงค์
ตรัสพลางทางถอดธำมรงค์ ประทานทั้งสององค์ทันทีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางประณตบทศรี
คลานคล้อยถอยมาไม่ช้าที จรลีลงจากตำหนักจันทน์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงห้องนางสัปดน ต่างคนปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
จึงเข้าไปเคารพอภิวันท์ ชวนกันอุ้มองค์กุมารา
โลมลูบจูบพักตร์ด้วยรักใคร่ มิให้พะวังกังขา
ผูกเปลเห่ให้ไสยา แกว่งไกวไปมาอยู่สองคนฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วแค้นคั่งนั่งบ่น
ผัวเจ้าห้ามปรามตามยุบล ซุกชนเซ่อซ่าลงมาไย
หน่อยรู้จะขู่เข่นฆ่า อย่ามาเลยเราไม่ช่วยได้
สององค์จงชวนกันด่วนไป กลัวภัยผ่านฟ้าจะฆ่าตีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางพี่น้องสองศรี
กราบลงตรงหน้าแล้วพาที บัดนี้ทรงชัยเข้าไสยา
มีจิตคิดถึงพระกุมาร เคลื่อนคลาดราชการจึงมาหา
แม้นทราบถึงพระองค์ว่าลงมา จะสู้รับอาญาให้ฆ่าฟัน
เจ้านายของข้าจึงมาเฝ้า หนักเบาอย่างไรไฉนนั่น
ไม่อาลัยในดวงชีวัน จะก้มหน้าพากันตายไป
ว่าพลางทางทำมารยา นั่งบีบน้ำตาสะอื้นไห้
เพราะตกยากจากเมืองเคืองใจ จึงเกิดเข็ญเป็นไปดังนี้ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วตอบความตามที่
รักเจ้าเราว่าด้วยปรานี กลัวจะเสียชีวีวางวาย
เจ้าอย่าประมาทราชกิจ ทรงฤทธิ์มุ่นมุดุใจหาย
ขืนมาไม่ฟังหลังจะลาย วุ่นวายสมเพชเวทนา
บุญเรายังน้อยถอยศักดิ์ จงออมอดรักชีวีดีกว่า
แม้นวันใดได้ดีปรีดา จึงจะให้พึ่งพาสืบไปฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางวันทาอัชฌาสัย
กราบแล้วกราบเล่าเฝ้าพิไร ข้าไซร้ยอมกายถวายตัว
ขอเป็นข้าไทใต้บาท สิทธิ์ขาดสุดแต่แม่อยู่หัว
ทั้งรักทั้งยำเยงเกรงกลัว ฝากตัวเป็นข้ากว่าจะตาย
ว่าพลางต่างคนเข้ากอดบาท วิงวอนอภิวาทนางโฉมฉาย
เจ้าประคุณทูลเกล้าเจ้านาย พริ้มพรายเฉิดฉันขวัญตา
ข้าพระพี่น้องทั้งสองนี้ ยังถวิลยินดีอยู่หนักหนา
ทำไฉนจะได้ทัศนา พระแม่จงเมตตาปรานีฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วยิ้มแย้มแจ่มศรี
ตรึกพลางทางกล่าววาที สามีใช้มาฤๅว่าไร
บอกความตามจริงอย่านิ่งช้า เจ้ารับสินบนมาฤๅไฉน
รู้เท่าเจ้าดอกมาหลอกใคร โง่แล้วบรรลัยเพราะมือมารฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางนบนอบตอบสาร
แม่อย่าเพ่อกริ้วโกรธจงโปรดปราน พระภูบาลไม่แจ้งแพร่งพราย
ข้าบาทพี่น้องทั้งสองนี้ เฝ้าจงรักภักดีไม่รู้หาย
ก็หวังว่าข้าเจ้าบ่าวนาย จะม้วยมอดวอดวายด้วยอาญา
ว่าพลางสองนางเข้าวิงวอน กอดบาทบังอรทั้งซ้ายขวา
โฉมยงจะทรงพระเมตตา ถอดให้ทัศนาให้อิ่มใจฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วฟังวอนค้อนให้
น่าเบื่อหนักหนาว่าร่ำไร จงกลับไปห้องหับหลับนอน
สนธยาจงมาหาเรา ให้ผัวเจ้าระงับหลับเสียก่อน
อย่าตะบอยอ้อยอิ่งวิงวอน เห็นแล้วอย่าบอนทั้งสองราฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางสรวลสันต์หรรษา
เข้ากอดจูบลูบสองบาทา ลีลาจากห้องทั้งสององค์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงคลานเข้าเฝ้า น้อมเกล้าทูลความตามนุสนธิ์
ข้าไปอ้อนวอนผ่อนปรน นฤมลนัดมาว่าราตรี
แม้นพระองค์ทรงชัยไสยาสน์ ให้ข้าบาทพี่น้องทั้งสองศรี
ลอบออกไปหาดังวาที จะถอดหน้าพาชีฉับพลันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์สำรวลสรวลสันต์
จึงตรัสเรียกสุรางค์นางกำนัล จงพากันนั่งยามตามไฟ
เราวิงเศียรเวียนเกล้าเมามัว ครั่นตัวร้อนรนหม่นไหม้
อย่าพูดจาว่ากล่าวฉาวไป เราจะนอนหลับใหลให้สำราญฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางกำนัลคำนับรับบรรหาร
ออกไปสั่งกันมิทันนาน ภูบาลเข้าที่ไสยา
ใครใครอย่าได้อื้ออึง ทราบถึงจะลงโทษา
ทั่วทุกสาวสรรกัลยา บอกแจ้งกิจจาทุกคนไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อนรินทร์พินทองผ่องใส
ครั้นล่วงปฐมยามชัย หฤทัยเกษมเปรมปรีดิ์
จึงตรัสชวนนวลนางพี่น้อง ลอบออกจากห้องปราสาทศรี
สามองค์ทรงเสด็จจรลี แฝงเงาอัคคีไคลคลาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงพระจึงหยุดอยู่ ริมประตูลับแลงแฝงฝา
สองนางต่างรีบลีลา เข้าห้องกัลยาทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงตรงเข้ากราบกราน แสนสำราญยิ้มแย้มแจ่มใส
บอกว่าวันนี้ดีสุดใจ ภูวไนยเข้าที่ไสยา
ไล่เหล่าสาวสรรกำนัลใน ข้านี้ดีใจเป็นหนักหนา
โฉมยงจงทรงพระเมตตา ถอดให้ทัศนาให้อิ่มใจฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วลุ่มหลงไม่สงสัย
ผินพักตร์ซักสองทรามวัย แกล้งใช้ให้มาหลอกดอกกระมัง
พลบลงเมื่อกี้ผิดทีนัก ฤๅจะลักบอกนายภายหลัง
มาตรแม้นไม่ซื่อถือสัจจัง จะต้องทำโทษทั้งสองราฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางบังคมก้มเกศา
เสแสร้งแกล้งกล่าววาจา ตัวข้าซื่อตรงจงรัก
ความนี้มิได้พรายแพร่ง ทูลแถลงพระองค์ทรงศักดิ์
ขอเชิญโฉมยงนงลักษณ์ นานนักจักได้ไสยาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วได้ฟังไม่กังขา
ยิ้มพลางทางกล่าววาจา จงเร่งปิดทวาราเร็วพลัน
ช่องคูอยู่ไหนจงไปปิด ดัดจริตอยู่ไยไฉนนั้น
ครั้งเดียวเจียวว่าสัญญากัน อย่ารำพันกวนก่อต่อไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางยินดีจะมีไหน
ชิงกันปิดบานทวารชัย เอาผ้าไปปิดป้องตามช่องคู
บ้างยกชวาลามาแต่ง จัดแจงเสียให้ไฟหรุบหรู่
ถอดแล้วจะได้ตั้งใจดู แกล้งจุดจู่เพลิงดับฉับพลัน
แล้วแกล้งทำตระหนกตกใจ เปิดมาหาไฟขมีขมัน
พระพินทองเข้าห้องเร็วพลัน นางนั้นจึ่งได้ไฟมาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงปิดทวารชัย จัดแจงจุดไฟไว้ท่า
นั่งยิ้มอิ่มใจอยู่ไปมา ผ่านฟ้าแฝงอยู่ดูเทวีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางแก้วห้ามปรามตามที่
เพราะเราคิดเมตตาปรานี จะถอดครั้งเดียวนี้ให้ชมเชย
ถอดแล้วนิ่งไว้ในอุรา อย่าพูดจาชูเชิดเปิดเผย
การนี้โด่งดังไม่ฟังเลย จะชวดเชยผัวขวัญมั่นคง
ว่าพลางวางองค์พระลูกแก้ว หลับแล้วชื่นชมสมประสงค์
แล้วดำเนินเดินไปให้ลับองค์ แล้วถอดรูปโฉมยงทันทีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ กลายเป็นนางงามทรามวัย ทรงลักษณ์วิไลเฉลิมศรี
นาฏกรอ่อนคอจรลี มายังสองนารีทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงนั่งลงตรงหน้า แย้มพรายชายตาแล้วปราศรัย
ทั้งคู่จงดูให้อิ่มใจ เบื้องหน้าอย่าได้รบกวนกันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางต่างเปรมเกษมสันต์
กราบลงตรงพักตร์แจ่มจันทร์ ชวนกันเข้ากอดเอาบาทา
เจ้าประคุณบุญสร้างไว้อย่างไร จึงเฉิดโฉมวิไลดังเลขา
สมควรเป็นเจ้าชาวพารา ใต้ฟ้าไม่เอี่ยมเทียมทรง
ว่าพลางลูบไล้ไปมา จูบสองบาทานวลระหง
พูดพลอดกอดกระหวัดรัดองค์ มิให้นางโฉมยงรู้ทีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองมองเห็นพระโฉมศรี
แม่นแท้อนงค์องค์มณี ภูมีรันทดสลดใจ
ขนงเนตรเกศกรอ่อนช้อย แน่งน้อยงามขำยังจำได้
ช่างยอกย้อนซ่อนกลเป็นพ้นไป ทำให้ด่าทอพอการ
ครั้งนี้ถึงที่จะงอนง้อ จะตัดพ้อผัวนักหักหาญ
ชลนัยน์ไหลหล่อดังท่อธาร คิดสงสารลูกน้อยกลอยใจ
พระครวญพลางทางนึกตรึกตรา จะเผารูปหน้าม้าเสียให้ได้
คิดพลางทางองค์พระทรงชัย ฉวยได้รูปรีบจรจรัลฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงหลงเปรมเกษมสันต์
เหลียวสบพบพักตร์พระทรงธรรม์ พารูปนางนั้นออกไป
ยังสุดแสนเสียดายไม่วายรัก พลิกผลักสองราไม่ปราศรัย
สองนางต่างรัดกระหวัดไว้ ทรามวัยวิ่งผลุนหมุนมา
ตรงเข้าอุตลุดฉุดชิง พระวางวิ่งหนีนางไปข้างหน้า
ทิ้งเข้าเพลิงพลันมิทันช้า รูปนางหน้าม้าก็สูญไปฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณีโกรธานํ้าตาไหล
จะโลดโผนโจนเข้ากองไฟ พระรวบรัดรับไว้ทันที
ต่างองค์อุตลุดฉุดคร่า สองนางต่างพากันหลีกหนี
พระโฉมยงกับองค์นางมณี ปล้ำปลุกคลุกคลีพัลวันฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณีเคืองขุ่นหุนหัน
ผินหน้าว่ากับพระทรงธรรม์ มาทำข่มเหงกันด้วยอันใด
เหตุเห็นเป็นเจ้าชาวบุรี ข้านี้จะทำอะไรได้
ฉกลักรูปเขามาเผาไฟ เหตุผลกลใดจงบอกมาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองยิ้มพลางทางว่า
รูปนี้ไม่มีอัธยา ปิดบังเมียข้าไว้ในนั้น
แค้นนักจึงลักมาจนได้ เผาให้สาสมที่คมสัน
จับได้ไม่โกรธปรับโทษทัณฑ์ เผาเสียอย่างนั้นสนุกใจฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ อดสู ไหนชู้เมียท่านน่าหมั่นไส้
พูดเล่นพล่อยพล่อยอร่อยใจ จะระคายอายใครก็ไม่มี
อีแก้วสัปดนคนสาธารณ์ มารกวังรังควานอยู่ที่นี่
เคืองขายบาทาพาอัปรีย์ พระตรัสดังอย่างนี้ทุกวี่วัน
เขาย่อมรู้อยู่ทั่วทุกตัวตน ว่าเป็นคนจังไรไอศวรรย์
ยุให้เมียด่าคิดฆ่าฟัน ลืมแล้วฤๅนั่นเร่งบอกมาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ น้องแก้ว ผิดแล้วอย่าถือโทษา
พี่นี้โง่เง่าเยาว์ปัญญา ชั่วช้าทุกสิ่งจริงจัง
พึ่งประจักษ์แจ้งใจได้เห็น แต่นี้ไปไม่เป็นเช่นแต่หลัง
อย่าเง้างอนค้อนติงชิงชัง จงปรานีพี่บ้างเถิดดวงใจ
ตรัสพลางทางโอบอุ้มกุมกร จะชำเลืองเคืองค้อนไปถึงไหน
พี่ขอเชิญโฉมงามทรามวัย ไปเนาในปรางค์ศรีให้ปรีดาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณียิ้มพลางทางว่า
กุ๋ยเก้อละเมอเจรจา นึกมาน่าอัปยศอดอาย
ตัวข้ากาดำต่ำศักดิ์ ไม่ควรเคียงเรียงพักตร์พระโฉมฉาย
แต่ร่วมวังยังแค้นแสนอาย หญิงชายชาววังจะเลื่องลือ
จะชวนให้ไปอยู่เป็นคู่เคล้า ไม่กลัวเขาหัวเราะเยาะเล่นหรือ
ว่าพลางสะบัดปัดมือ แย่งยื้อฉุดคร่าไว้ว่าไร
ลูกรักจักทรงโศกี ด้วยบิดาหามีเหมือนเขาไม่
ลูกทางกลางป่าพนาลัย เลี้ยงไว้ทุบเล่นเช่นปลา
ว่าพลางค้อนควักผลักกัด เบือนสะบัดสะเทิ้นเมินหน้า
คืนเข้าห้องในไสยา แกล้งปิดทวาราฉับพลันฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์เพราเพริศเฉิดฉัน
ตามนางย่างเยื้องจรจรัล ทรงธรรม์ผลักบานทวารชัย
แล้วตรัสปลอบโฉมยงนงลักษณ์ น้องรักผู้ยอดพิสมัย
เจ้าลั่นกลอนซ่อนตัวกลัวใคร ดวงใจจงรับเรียมรา
ข้อคิดผิดพลั้งแต่หลังนั้น จะทำขวัญมิ่งมิตรขนิษฐา
โฉมเฉิดจงเปิดทวารา อย่าโกรธาสลัดตัดรอนฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์มณีศรีสมร
ฟังตรัสมธุรสสุนทร นางยิ้มย้อนทูลองค์ทรงชัย
พระอย่าแกล้งแต่งข้อล่อลวง ซาบทรวงพี่แสนพิสมัย
ไม่เกลียดอีหน้าม้าฤๅว่าไร เชิญไปเมืองโรมบุรีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ แสนคม ลิ้มลมละเมียดเสียดสี
เรียมรักนักแต่แม่มณี การนี้ย่อมรู้อยู่ด้วยกัน
เดิมทีตัวพี่สัญญาไว้ จะรักใคร่แก้วตาจนอาสัญ
ก็สมหวังดังจิตคิดกัน สาวสวรรค์จงได้เมตตา
ว่าพลางทางผลักประตูห้อง เสียงพิลึกกึกก้องหนักหนา
คึกคักผลักไสกันไปมา ทวาราหักพับยับไปฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ โฉมยงจึงตรงเข้าหยิกตี จะมีความปรานีก็หาไม่
ค้อนเคืองเยื้องย่องเข้าห้องใน ผินหลังนั่งไกวพระกุมารฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองว่องไวใจหาญ
ต้องหยิกตีปี้ป่นสู้ทนทาน แล้วตามองค์นงคราญเข้ามา
ลงนั่งแนบแอบอิงพิงพาด เพราะความแสนพิศวาสหนักหนา
โฉมเฉิดเลิศลํ้ากัลยา อนิจจาขัดเคืองพี่เรื่องไร
จากเจ้าเศร้าทรวงเป็นห่วงหนัก จนเผือดพักตร์ตรมตรอมผอมไผ่
พึ่งพบแก้วแววตายาใจ ประหนึ่งได้ดอกฟ้ามณฑาทอง
จงคิดถึงความหลังครั้งนั้น อย่าดุดันขวยเขินเมินหมอง
ตรัสพลางเชยช้อนกรตระกอง นวลละอองจงได้เมตตาฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดสี ช่างพาทีง่ายง่ายไม่อายหน้า
ไม่เคยคู่รู้จักพักตรา พระอย่ามาโลมเล้าเคล้าคลึง
ชาติอีหน้าม้าตาจระเข้ เสเพลไม่เยี่ยมขึ้นเทียมถึง
ฟุ้งเฟื่องเลื่องลือออกอื้ออึง กูมึงทั้งเมืองเครื่องอัปรีย์
ความหลังอย่างไรไม่ประจักษ์ พระอย่าพักเกลี่ยไกล่ใส่สี
ทราบแต่ถึงวังครั้งนี้ พันปีกริ้วโกรธคุมโทษทัณฑ์
บัญชาว่าแม้นจะม้วยมิด ไม่ขอคิดปลักปลอมกับหม่อมฉัน
ถึงจะชุบตัวใหม่วิไลวรรณ ทรงธรรม์ก็ไม่อยากไยดี
ชาววังทั้งสิ้นได้ยินทั่ว เกลียดกลัวอับอายจนหน่ายหนี
มิทันล่วงเวลาราตรี มาเป็นเช่นนี้อนาถใจ
เขฬะพระถ่มลงจมดิน จะกลับคืนกลืนกินกระไรได้
เชิญเสด็จผ่านฟ้าคลาไคล คนจนจะได้ไสยาฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ แสนคม ลิ้นลมแหลมหลักหนักหนา
ใครใช้ให้แสร้งแปลงกายา อนิจจาไม่แจ้งแพร่งพราย
ผิดพลั้งครั้งก่อนมางอนง้อ ยังเคืองขัดตัดพ้อไม่รู้หาย
โฉมยงจงล้างให้วางวาย จะยอมอยู่สู้ตายไม่กลับไป
พี่กับทรามเชยเคยเป็นคู่ จะข่มขู่ตะบึงไปถึงไหน
ผัวเก่าเมียเขาเคยเข้าใจ เยื่อใยยังติดสนิทดี
ว่าพลางเลี้ยวลอดกอดรัด อะไรเจ้าเฝ้าสะบัดเบือนหนี
แต่พลัดพรากจากมากว่าปี แก้วพี่จงหย่อนผ่อนปรนฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ฟังบัญชา วันทาทูลความตามนุสนธิ์
น้องนี้สุดเสงี่ยมเจียมตน ยากจนขายเบื้องพระบาทา
จะละโบมโลมเลี้ยงเคียงพักตร์ ต่ำศักดิ์ไม่สมวาสนา
เมียรู้จะจู่จรมา ฝ่ายข้าสำหรับจะอับอาย
พระองค์จงยั้งหยุดคิด โดยระบอบชอบผิดทั้งหลาย
ข้าบาทไมอาจออกกาย ให้เคืองขายบาทาฝ่าธุลีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ยอดมิ่ง ความจริงไม่แจ้งแสร้งใส่สี
ถึงโฉมยงองค์พระบุตรี แต่เจ้ามียศถายิ่งกว่าคน
หนึ่งแก้วมีคุณแก่ผัวแก้ว ควรแล้วจะรักเป็นพักผล
นางอะไรหมื่นแสนแดนสกล ไม่เหมือนมิ่งนฤมลอย่าเจรจา
จะถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงเจ้า ประเทียบเท่าดวงเนตรเชษฐา
ขอเชิญโฉมอรไทไคลคลา ไปนิทราปรางค์ศรีกับพี่ชาย
ตรัสพลางทางอุ้มเอาลูกรัก พิศพักตร์สายใจพระทัยหาย
ชลนัยน์ไหลหลั่งพรั่งพราย รับขวัญบรรยายไปมา
โอ้ลูกน้อยกลอยใจนัยน์เนตร บิตุเรศโง่เง่าเขลาหนักหนา
ไม่รู้จักพักตร์แก้วแววตา ชั่วช้าทุกสิ่งจริงจัง
ว่าพลางทางอุ้มพระลูกชาย ด่วนเสด็จผันผายโดยหวัง
นางมณีโกรธเกรี้ยวเหนี่ยวรั้ง อื้ออึงตึงตังตามไปฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงซึ่งปรางค์รัตนา พระเรียกสองกัลยามาใกล้
ส่งลูกให้พลันทันใด จูงหัตถ์ทรามวัยเข้าห้องทองฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์ชัชวาลย์ แสนสำราญเกลียวกลมสมสอง
เอนแอบแนบเนื้อนวลละออง ต่างปรองดองระงับหลับไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ รุ่งรางส่างแสงสุริยง พระชวนองค์นางมณีศรีไส
มาโสรจสรงทรงเครื่องอำไพ นั่งในแท่นรัตน์รจนาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สาวสนมกำนัลถ้วนหน้า
ถึงเวลาเฝ้าก็เข้ามา หมอบเมียงเรียงหน้านารี
ผันแปรแลเห็นพระโฉมยง นั่งแนบแอบองค์มณีศรี
งามดังสุริยงทรงฤทธี เคียงองค์จันทรีในอัมพร
ต่างคิดพิศวงหลงใหล รักใคร่พุ่มพวงดวงสมร
ต่างเข้าน้อมกายถวายกร วิงวอนงอนง้อขออภัย
โฉมยงจงทรงพระเมตตา อย่าได้ถือโทษาบ่าวไพร่
ผิดพลั้งบังอาจประมาทใจ ทรามวัยจงโปรดปรานีฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์นางมณีศรี
ยิ้มพลางทางตอบวาที สาวศรีอย่าร้อนวิญญา
ไม่ชิงชังรังเกียจเดียดฉันท์ จงเป็นพี่น้องกันไปวันหน้า
ข้ากรมเดียวกันไม่ฉันทา รักกันดีกว่าเป็นไรมีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สาวสรรบังคมก้มเกศี
ชื่นใจในรสวาที ต่างมีเสนหาอาลัย
พร้อมพรั่งนั่งพิศรูปโฉม แลประโลมเลิศลํ้าต่ำใต้
ชื่นชมสมภารสำราญใจ หฤทัยเกษมเปรมปรีดิ์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางพี่น้องสองศรี
เลี้ยงพระหน่อไทธิบดี อยู่ที่ห้องในไสยา
พวยพุ่งรุ่งแสงสุริยง โสรจสรงเสร็จพลันหรรษา
โอบอุ้มจุมพิตพักตรา พามาเฝ้าองค์ทรงธรรม์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงคลานเข้าไป กราบไหว้เทวีขมีขมัน
ทูลว่าข้ารับโทษทัณฑ์ ชีวันอยู่ใต้บาทา
เลี้ยงไว้จะได้เป็นเกือกทอง พี่น้องจะพ้นโทษา
แม้นมิเลี้ยงไว้ใต้บาทา เห็นว่าจะไม่ปลอดรอดตาย
มิทูลจำทูลพระทรงฤทธิ์ เพราะจะล้างชีวิตให้ฉิบหาย
ทูลพลางทางอุ้มพระลูกชาย ถวายนางโฉมฉายทันทีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมเฉลาเยาวยอดนารีศรี
รับโอรสาแล้วพาที เจ้านี้ประมาทอาจอง
เดิมเราสัญญาว่าไว้ มิให้ทูลความตามประสงค์
เจ้ารับคำสำคัญมั่นคง เหตุไรไม่คงสัจจา
ฤๅเห็นเราสถุลบุญน้อย ต่ำต้อยไม่มีวาสนา
พันปีเธอมีพระอาญา กลัวกว่าเราฤๅประการใดฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางอกสั่นหวั่นไหว
สุดคิดสุดจนเป็นพ้นไป มิได้โต้ตอบวาที
กราบแล้วกราบเล่าเฝ้ากราบกราน ตัวสั่นสะท้านดังลงผี
หมอบนิ่งไม่ติงอินทรีย์ ความกลัวชีวีวายชนม์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์ตรัสตอบอนุสนธิ์
ซึ่งนารีพี่น้องสองคน โทษใหญ่หลวงล้นจะรำพัน
ผัวรักจักขอชีวิตไว้ เจ้าอย่าได้เคืองขุ่นหุนหัน
เหตุเพราะพี่ยาจะฆ่าฟัน นางนั้นจึงแจ้งแห่งคดี
คุณโทษนั้นครึ่งกึ่งกัน จอมขวัญหยุดยั้งฟังพี่
แม้นทีหลังยังเป็นเช่นนี้ จะฆ่าตีไม่ห้ามตามใจ
ตรัสพลางทางอุ้มพระลูกรัก กอดจูบลูบพักตร์พิสมัย
แล้วตรัสสั่งท้าวนางข้างใน เร่งไปจัดสรรทันที
แม่นมพี่เลี้ยงเคียงประคอง อู่ทองอ่างสรงวารีศรี
ให้พี่น้องทั้งสองนารี ใหญ่กว่านารีทั้งวังใน
แล้วภูบาลประทานเครื่องทรง ตั้งเป็นจอมอนงค์น้อยใหญ่
ให้เป็นคนสำหรับรับใช้ อยู่ในโฉมยงนงคราญฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ท้าวนางคำนับรับบรรหาร
ออกจากไพชยนต์ลนลาน จัดการตามมีบัญชามาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองสุริย์วงศ์พงศา
นั่งแนบแอบชิดพนิดา ชูชื่นวิญญาพันทวี
คลึงเคล้าเฝ้าชมสมสวาดิ แอบอิงพิงพาดเกษมศรี
แล้วชวนแก้วกัลยานารี จรลีขึ้นเฝ้าท้าวไทฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงซึ่งปรางค์มรกต เข้าไปประณตประนมไหว้
อุ้มองค์พระกุมารชาญชัย ถวายสองท้าวไทฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองกษัตริย์ธิราชรังสรรค์
รับองค์นัดดามาพลัน ทรงธรรม์มุ่งมองป้องพักตรา
พิศดูรูปร่างนางมณี เลิศลํ้านารีในแหล่งหล้า
จึงเอื้อนอรรถตรัสถามลูกยา เมียมาตามฤๅประการใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโอรสยิ้มแย้มแจ่มใส
กราบพลางทางทูลฉลองไป มิใช่ชาวโรมบุรี
โฉมตรูอยู่กรุงมิถิลา ผ่านฟ้าไม่ทราบบทศรี
ทูลพลางทางถวายอัญชุลี ภูมีแย้มยิ้มพริ้มพรายฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองกษัตริย์ตรัสไปดังใจหมาย
อยู่นี่ที่ไหนไม่เห็นกาย โฉมฉายซ่อนซนอยู่หนใด
รูปทรงโสภายาจิต พักตร์พิศดังดวงแขไข
นี่ฤๅคือบุตรของทรามวัย เหมือนลูกอีจังไรสัปดนฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโอรสทูลแจ้งแห่งนุสนธิ์
สององค์ทรงภพจบสกล มิได้แจ้งยุบลต้นปลาย
ซึ่งนวลนางโฉมยงองค์นี้ เป็นที่ผูกพันมั่นหมาย
ทูลความตามขันบรรยาย ให้ทรงแจ้งแพร่งพรายทุกประการฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองกษัตริย์ปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
ลงจากแท่นที่ตะลีตะลาน สวมกอดเยาวมาลย์แล้วตรัสมา
ดูดู๋ยอกย้อนซ่อนรูปทรง พ่อนี้โง่งงเป็นหนักหนา
ได้ลบหลู่ดูถูกลูกยา อย่าถือผิดบิดาเลยดวงใจ
น้อยฤๅรูปราวสาวสวรรค์ น่าชมสมกันจะหาไหน
สวมรูปหน้าม้าไว้ว่าไร น้อยใจหนักหนาเป็นน่าชัง
มารดรกรกอดศรีสะใภ้ ทรามวัยกอดจูบลูบหลัง
น้อยฤๅดวงจิตช่างบิดบัง ลูกน้อยร้อยชั่งระกำกายฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณีทูลไปดังใจหมาย
รูปนี้เกิดกับสำหรับกาย จึงมีความเสียดายเป็นพ้นไป
ซึ่งข้อคิดปิดบังทั้งนี้ เพราะมีความสมัครรักใคร่
จึงลูกไม่ผูกโพยภัย ชีวิตอยู่ใต้พระบาทาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บิตุรงค์ทรงพระสรวลสำรวลร่า
แม่เจ้าเขาดีมีปัญญา ตรึกตราถูกต้องทำนองใน
บุญคุณของเจ้าเท่าแผ่นภพ ช่วยรบแก้ผัวเอาตัวได้
จะเลี้ยงแก้วแววตายาใจ เป็นใหญ่ยิ่งกว่าทุกนารี
ว่าพลางทางอุ้มพระนัดดา จุมพิตพักตราเกษมศรี
หลานเอ๋ยคิดมาน่าปรานี ปู่นี้ชั่วช้าสารพัน
ละเลยเจ้าไว้ให้ได้ยาก ที่ลำบากตกต่ำจะทำขวัญ
ทีนี้ประจักษ์จะรักกัน ตรัสพลางสรวลสันต์สนั่นไปฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อนรินทร์พินทองผ่องใส
จึงชวนโฉมนางงามทรามวัย ทูลลาคลาไคลยังปรางค์ปราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงเข้าในห้องทอง นั่งแนบแอบน้องเสนหา
กอดเกยเชยชมภิรมยา ถ้อยทีปรีดาสำราญฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระองค์ผู้ดำรงราชฐาน
เนาในปรางค์รัตน์ชัชวาลย์ เบิกบานในราชหฤทัย
คิดจะเสกเอกองค์โอรส ให้ลือนามงามยศเป็นใหญ่
ควรจะคิดไว้วางต่างใจ จึงปรึกษาทรามวัยทันทีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ จะเสกพระโอรสยศยง ครองกรุงกับองค์มณีศรี
ตัวเราแก่เฒ่าลงทุกที นับปีจะม้วยมรณา
จะฝากซากศพพระลูกรัก พร้อมพักตร์อยู่นี่ดีหนักหนา
ไปอยู่ต่างเวียงชัยไกลตา มารดาจะเห็นเป็นอย่างไรฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณฑาเทวีศรีใส
กราบพลางทางทูลทันใด พระตรึกไตรต้องอย่างทางธรรม์
ถึงนวลนางมณีนี้เล่า ใช่พงศ์เผ่ากษัตริย์รังสรรค์
บุญมีเป็นที่อัศจรรย์ กุมภัณฑ์ยังแพ้ฤทธา
ควรจะอภิเษกเอกฉัตร ผ่านสมบัติสืบวงศ์พงศา
ช่วยชีพกษัตริย์ภัสดา มีคุณลูกข้าเป็นพ้นไป
รู้ถึงเมืองโรมบุรี จะว่ากล่าวเรานี้ก็มิได้
คู่เสกเขารักกันร่วมใจ โอรสยศไกรเป็นประธานฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ฟังเมียรัก ทรงศักดิ์สรวลสันต์แล้วบรรหาร
ท่านแม่ผัวตัวดีปรีชาชาญ กล่าวการตามธรรมเนียมมา
หมื่นแสนแม้นจะเป็นสะใภ้ เห็นจะไม่มุ่งมาดปรารถนา
สมตรึกนึกไว้ได้หน้าตา ตรัสพลางผ่านฟ้าจรลีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงพระโรงเรืองรอง นั่งบนแท่นทองผ่องศรี
พร้อมหมู่อำมาตย์มนตรี ภูมีตรัสถามโหรา
วันใดจะได้ฤกษ์เอก เราจะอภิเษกโอรสา
สมโภชทั้งหน่อกษัตริย์นัดดา เร่งดูฤกษ์เวลานาทีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น โหรเฒ่ารับสั่งใส่เกศี
นิ่งนับจับยามตามคัมภีร์ แล้วชุลีทูลองค์ทรงธรรม์
ฤกษ์ยามสามค่ำเป็นกำหนด ปลอดปลดทักทินยมขันธ์
บ่ายเบิกฤกษ์ดีตรีจันทร์ ทรงธรรม์จงทราบพระบาทาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังทูล เพิ่มพูนภิรมย์หรรษา
จึงเอื้อนอรรถตรัสสั่งเสนา เร่งปลูกโรงมหาพิธีการ
แล้วชวนกันเร่งรัดจัดแจง ตกแต่งจงรอบราชฐาน
สั่งเสร็จเสด็จบทมาลย์ เข้าปราสาทสุรกานต์ทันใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีผู้มีอัชฌาสัย
ต่างเร่งรีบร้อนไม่นอนใจ มาเกณฑ์ไพร่ระดมสมทบ
ทำการอุตลุดไม่หยุดยั้ง กรมวังกรมนามาบรรจบ
แบ่งปันกันทำจนค่ำพลบ แต่งตามขนบธรรมเนียมมาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้งถึงกำหนดสยุมพร รีบร้อนมายังข้างหน้า
เร่งรัดจัดกระบวนโยธา เสื้อผ้าหลายอย่างต่างกัน
บ้างถือธงเทียวเขียวแดง สีแสงสลับขบขัน
พร้อมพรั่งหลังหน้าห้าพัน ชวนกันรอรับพระทรงชัย
บ้างเทียมรถสุรกานต์ยานุมาศ เกลื่อนกลาดคู่แห่แลไสว
คั่งคับสับสนปนไป นายไพร่พร้อมพรั่งระวังการฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพินทองว่องไวใจหาญ
ครั้งรุ่งรางสางแสงสุริย์กานต์ ภูบาลถวิลยินดี
จึงเอื้อนอรรถตรัสชวนนวลละออง เสด็จออกจากห้องมณีศรี
กรายกรย่างเยื้องจรลี มาเข้าที่โสรจสรงคงคาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ลูบไล้เครื่องต้นสุคนธ์ธาร หอมหวานซับซาบมังสา
พระสวมสอดสนับเพลาพราวตา นางนุ่งผ้าจัดกลีบจีบประจง
พระนุ่งยกกรองทองระยับ นางช่วยจับไว้วางหางหงส์
พระเสร็จสวมตาดทองฉลององค์ นางโฉมยงทรงสะพักอำไพ
พระเสร็จเจียระบาดคาดเข็มขัด นางทรงผัดพักตร์แลดังแขไข
พระทรงตาบทับทรวงดวงวิไล นางทรงนวมสวมใส่สังวาลวัลย์
พระทรงทองกรแก้วแววไว นางสอดใส่ธำมรงค์เฉิดฉัน
พระสวมทรงมงกุฎพรายพรรณ นางทรงรัดเกล้ากุดั่นจินดาดีฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ครั้นเสร็จเสด็จยุรยาตร นำองค์อัครราชนารีศรี
ออกจากห้องสุวรรณทันที จรลีขึ้นเฝ้าพระบิดาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น กรุงกษัตริย์ชื่นแช่มแจ่มใส
จึงตรัสกับลูกรักร่วมใจ พ่อไซร้ถวิลจินดา
โฉมยงองค์นางมณีนาฏ จะเป็นองค์อัครราชเสน่หา
ทั้งเกิดบุตรสุดสายกษัตรา ยายตาควรคงเป็นพงศ์พันธุ์
พ่อจะให้ไปรับเข้ามาด้วย จะได้ช่วยทำมิ่งสิ่งขวัญ
เพราะลูกหลานว่านเครือเจือกัน เจ้านั้นจะเห็นเป็นอย่างไรฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงโฉมประโลมพิสมัย
จึงนบนิ้วทูลพลันทันใด ซึ่งตรัสมานี้ไซร้เห็นควรนัก
พระองค์จงให้ไปรับมา ถึงแม้นว่าบุญน้อยถอยศักดิ์
บุตรีมีคุณการุญรัก ควรจักคำนับรับพรฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฟังโอรส ทรงยศมีความสโมสร
จึงตรัสสั่งสุรางค์นางนิกร รีบร้อนผายผันให้ทันที
จงนำวอช่อฟ้าคลาไคล ออกไปยังบ้านท่านเศรษฐี
พรายแพร่งแจ้งความตามคดี เชิญมาบัดนี้อย่านอนใจฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สาวสรรรีบสั่งไม่ยั้งได้
ชวนกันวันทาคลาไคล ออกไปเรียกวอจรจรัลฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ได้พร้อมก็ชวนกันด่วนจร รีบร้อนจากที่ขมีขมัน
เลี้ยวลัดรัถยามาพลัน บ้างหามวอสุวรรณตามมาฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงขึ้นบนบันได กราบไหว้เศรษฐีมียศถา
ท้าวนางต่างแจ้งกิจจา พระธิดาท่านไซร้ได้ดี
สองกษัตริย์สุริย์วงศ์ทรงชัย จะเสกให้เป็นมิ่งมเหสี
กำหนดจะทำขวัญวันนี้ ให้เชิญท่านจรลีทั้งสองราฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่าได้ฟังไม่กังขา
ชื่นชมสมใจได้หน้าตา ลุกเข้าเคหาทันใด
ท่านตานุ่งผ้าลายฉลาง ยายนุ่งตารางแกมไหม
ห่มผ้ามัสรู่ดูวิไล แล้วออกจากห้องในฉับพลัน
ยืนอยู่ดูวอช่อฟ้า ขึ้นหน้าเป็นเหมเกษมสันต์
เปรมปริ่มยิ้มเยื้อนเตือนกัน ให้นั่งในวอสุวรรณทันใด
ยองยองมองซ้ายมองขวา กอดอกตกประหม่าจนเหงื่อไหล
กลัวตกงกงันพรั่นใจ โขลนจ่าพาไปทันทีฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงลงจากวอทอง ทั้งสองมหาเศรษฐี
ท้าวนางต่างนำจรลี เข้าเฝ้าพันปีฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ กราบลงตรงพักตร์ภูมี ท่ามกลางนารีสาวสรร
ไม่รู้จักธิดาลาวัณย์ ชวนกันหมอบนิ่งไม่ติงกายฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อกษัตริย์เพราเพริศเฉิดฉาย
ยกกรวันทาท่านตายาย โฉมฉายเข้ากราบกับบาทา
สองนางต่างอุ้มพระโอรส เข้าไปประณตตรงหน้า
นางโฉมยงรับองค์ลูกยา ส่งให้เจ้าขรัวตาทันทีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ยายตามหาเศรษฐี
ชูองค์พระหน่อธิบดี มิรู้ที่จะวางลงอย่างไร
เห็นธิดามายอบหมอบคลาน ลนลานพังพาบลงกราบไหว้
ทำเหลียวหลังเหลียวหน้าแล้วว่าไป แม่โฉมงามนามใดนะทรามเชย
เราเป็นคนยากเย็นเข็ญใจ มาวันทาข้าไยนะแม่เอย
ไหนออแก้วลูกข้าไม่มาเลย ชะแง้เงยแลหาตาเหลือกลานฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น กรุงกษัตริย์สรวลสันต์แล้วบรรหาร
นั้นและคือองค์นางนงคราญ พระกุมารหน่อกษัตริย์เป็นนัดดา
แล้วเล่าความตามต้นแต่หนหลัง ทรงพระสรวลเสียงดังร่าร่า
เราเป็นเกี่ยวดองกันนะท่านตา จงเชยชมธิดาให้อิ่มใจ
รูปหล่อนแต่ก่อนกับเดี๋ยวนี้ สองเศรษฐีจะเห็นเป็นไฉน
จะเสกสองให้ครองพระเวียงชัย เราจะได้ฝากชีพชีวันฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเศรษฐีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
สวมกอดธิดาวิลาวัณย์ ชวนกันกอดจูบลูบพักตร์
น้อยฤๅรูปร่างดังนางฟ้า จนมารดาแปลกไปไม่รู้จัก
ชิงกันชมพระกุมารหลานรัก เฝ้าสอบซักปราศรัยกันไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวมงคลราชนาถา
ครั้นเบี่ยงบ่ายชายแสงสุริยา จึงตรัสชวนสุนิสานารี
ทั้งนงลักษณ์อัคเรศโอรสราช พวกพระญาติเกี่ยวดองสองเศรษฐี
แห่ห้อมล้อมล้วนแต่นารี จรลียังเกยสุรกานต์ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ต่างองค์ทรงรถเรียงรัน นางกำนัลเชิญเครื่องเนื่องขนาน
สองเศรษฐีขี่วอชัชวาล แห่ออกนอกทวารวังในฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน

๏ ครั้นถึงซึ่งโรงพิธี ต่างลงจากรถมณีศรีใส
ดำเนินนำลูกยาคลาไคล เข้าในโรงสุวรรณทันทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงจูงพระพินทอง ให้นั่งยังกองมณีศรี
พระมารดาจูงกรนางมณี ขึ้นนั่งกองทองที่ธรรมเนียมมา
สองอนงค์อุ้มองค์พระกุมาร ขึ้นแท่นรัตน์ชัชวาลตรงหน้า
ให้ลั่นฆ้องร้องโห่ขึ้นสามลา พราหมณ์ชราจุดเทียนแล้วเวียนไปฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เวียนได้เก้ารอบชอบที พราหมณ์ก็ดับอัคคีเจิมให้
ต่างต่างอำนวยอวยชัย ต่อให้จำเริญชนมาน
พระบิดาว่าเจ้าจงครองเมือง ให้รุ่งเรืองสืบศักดิ์อัครฐาน
ชนนีว่าอย่ามีซึ่งภัยพาน ให้สำราญรวยรื่นทุกคืนวัน
สองเศรษฐีว่าจงมีเกียรติยศ ให้ปรากฏทั้งกุมารหลานขวัญ
ราษฎรยอกรบังคมคัล พร้อมกันอำนวยอวยชัยฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นเสร็จการวิวาห์พอราตรี ชนนีก็อวยพระพรให้
ชื่อมณีศรีเมืองเรืองฤทธิไกร ได้เป็นใหญ่ที่ทางนางพระยา
ซึ่งพี่น้องสองนางนารี ได้เป็นที่เอกสนมสมยศถา
สรรพเสร็จเสด็จยาตรา แห่ห้อมล้อมมาเข้าวังในฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น นางทัศมาลีศรีใส
แต่คอยคอยสร้อยเศร้าเปล่าใจ ไม่เห็นพระผัวนั้นมาธานี
ฤๅสมเด็จบิตุรงค์ทรงศักดิ์ ประชวรหนักจึงไม่กลับมากรุงศรี
จะนิ่งอยู่ก็ไม่รู้ซึ่งร้ายดี จำจะจรลีรีบไป
คิดพลางย่างเยื้องยุรยาตร ลงจากอาสน์มณีศรีใส
พรั่งพร้อมสุรางค์นางใน คลาไคลขึ้นเฝ้าพระบิดาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ ทูลองค์บิตุเรศนาถา
ลูกรักจักขอบังคมลา ไปยังเมืองมิถิลาธานีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น กรุงกษัตริย์ตอบความไปตามที่
ควรแล้วแก้วพ่อจะจรลี ด้วยบิดาสามีประชวรนัก
เนื้อเย็นเป็นที่ศรีสะใภ้ ควรไปเฝ้าองค์ทรงศักดิ์
เห็นหายแล้วแก้วตาอย่าช้านัก จงชวนชักภัสดากลับมาวัง
พระมารดรถอนใจไห้สะอื้น สู้กลํ้ากลืนกอดจูบลูบหลัง
กษัตราลีลาจากบัลลังก์ เสด็จยังพระโรงอันรูจีฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ จึงตรัสสั่งจตุสดมภ์กรมท่า เร่งตบแต่งเภตราทาสี
รอกเสาเพลาใบทำให้ดี ให้เสร็จวันนี้อย่านอนใจฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีผู้มีอัชฌาสัย
รับสั่งบังคมภูวไนย คลาไคลออกจากพระโรงธารฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ให้ถอยลำสำเภาออกจากอู่ คนผู้วุ่นจริงวิ่งพล่าน
จัดแจงแต่งตามพระโองการ มารอรับเยาวมาลย์ทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น นางทัศมาลีศรีใส
รุ่งรางสางแสงอโณทัย ทรามวัยจัดแจงแต่งกายา
พรั่งพร้อมสาวศรีพี่เลี้ยง บังคมเคียงเรียงรายทั้งซ้ายขวา
ออกจากปรางค์ทองห้องไสยา ลงสู่เภตราทันใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึงลงท้ายบาหลี นารีพรั่งพร้อมล้อมไสว
นายท้ายบ่ายลำแล่นไป ออกจากเวียงชัยฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โล้

๏ เดือนหนึ่งถึงกรุงมิถิลา ประทับทอดจอดท่าแม่น้ำนั่น
พวกต้นหนคนงานชำนาญครัน พัลวันเลื่อนลดปลดใบฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ขุนสมุทรกองด่านทหารใหญ่
เห็นนาวามาจอดทอดแต่ไกล จึงร้องทักถามไปด้วยทันที
เภตรานี้มาแต่ไหนนั่น จงบอกกันโดยกระบวนให้ถ้วนถี่
เป็นพ่อค้าฤๅมาเป็นไมตรี ร้ายดีจงแถลงให้แจ้งกิจจาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พวกขุนนางต่างบอกออกความว่า
บัดนี้โฉมยงองค์ธิดา อยู่พาราโรมราชบุรี
มาเฝ้าพระพงศ์นรินทร์พินทอง กษัตริย์สองจุณเจิมเฉลิมศรี
เอ็นดูด้วยช่วยทูลพระพันปี จะปรานีโปรดปรานประการใดฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ขุนสมุทรฟังแจ้งแถลงไข
ร้องเรียกบ่าวชาวด่านเป็นการไว ลงเรือบดแล่นไปในทันทีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงจอดทอดท่า ก็ขึ้นจากนาวาเกษมศรี
เสด็จออกท้องพระโรงอันรูจี จึงเข้าอัญชุลีฉับพลันฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงกราบบังคมทูล องค์พระนเรนทร์สูรรังสรรค์
บัดนี้พระธิดาวิลาวัณย์ มาตามองค์ทรงธรรม์ถึงเวียงชัย
เภตรามาจอดทอดอยู่ แต่เช้าตรู่นอกปราการด่านใหญ่
ให้ทูลเบื้องบาทบงสุ์ทรงชัย ภูวไนยจงทราบบาทาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระทรงโฉมประโลมเสนหา
ฟังทูลโดยมูลกิจจา พระนิ่งนึกตรึกตราในพระทัย
กรรมกรรมจะทำให้เกิดเข็ญ คงจะเป็นลุกลามความใหญ่
จึงตรัสสั่งนายด่านชาญชัย ไปบอกให้เข้ามายังธานี
เราจับไข้ไม่สบายมาหลายวัน สุดจะไปรับกันให้ถึงที่
ตรัสพลางย่างเยื้องจรลี เข้าที่ตำหนักในไสยาฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ นั่งแนบแอบองค์นางนงลักษณ์ ยิ้มละไมในพักตร์แล้วบอกว่า
บัดนี้เมืองโรมพารา ตามมาถึงท้ายเวียงชัยฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ฟังตรัส ชุลีหัตถ์ทูลความถามไถ่
เมียมาข้าพรั่นประหวั่นใจ จะเป็นรองต้องให้ดอกไม้กระมังฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เจ้าพี่ เจ้าว่าไรอย่างนี้นะร้อยชั่ง
เสน่ห์นุชสุดถนอมเป็นจอมวัง จะมานั่งน้อยหน้าว่ากระไร
นางอื่นหมื่นแสนแม้นจะเปรียบ จะเทียมเทียบแก้วตาไม่หาได้
แล้วจูงกรโฉมงามทรามวัย เข้าในแท่นที่ศรีไสยาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น ขุนสมุทรกองด่านทหารกล้า
รีบชวนเหล่าบ่าวไพร่ไคลคลา ลงลำนาวาทันใดฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงจอดทอดประทับ แล้วบอกกับเสนาหาช้าไม่
พระประชวรป่วนปวดพระเศียรไป ให้เชิญเสด็จเข้าในธานีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อำมาตย์เมืองโรมวิถี
ฟังบอกออกความตามคดี จรลีมาเฝ้าเยาวมาลย์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงน้อมศิโรเพฐน์ ทูลองค์อัคเรศยอดสงสาร
พระประชวรป่วนปั่นหลายวันวาร ให้ขุนด่านนำพาเข้าธานีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระธิดามารศรี
ได้ฟังจึงสั่งแก่เสนี ให้แล่นลำนาวีเข้าพาราฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อำมาตย์บังคมก้มเกศา
มาเร่งรัดจัดกันมิทันช้า พวกเภตราแล่นเรื่อยเฉื่อยไปฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โล้

๏ มาถึงจึงจอดทอดสมอ ตีม้าฬ่อเลื่อนลั่นสนั่นไหว
บ้างหย่อนสายเชือกลดปลดใบ นายไพร่วุ่นวิ่งเป็นสิงคลีฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระธิดามารศรี
จึงสั่งสองพี่เลี้ยงนารี ครั้งนี้ออกหน้าอย่าให้อายฯ
เร่งจัดแจงแต่งตัวจงทั่วกัน สารพันให้ประเสริฐเฉิดฉาย
สั่งพลางยุรยาตรนาดกราย ผันผายมาสรงพระคงคาฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

ชมตลาด

๏ นํ้ากุหลาบอาบอบตรลบฟุ้ง ทรงสุคนธ์ปนปรุงกฤษณา
ทรงภูษิตเยียรบับจับตา สะพักผ้าตาดทองรองเรือง
ทรงสร้อยนวมสวมสังวาลรัด พระพักตร์ผัดหนุ่มเนื้อเรื่อเหลือง
สวมกำไลลงยาวราเรือง ธำมรงค์ค่าเมืองเรืองรอง
ทรงรัดเกล้าวาวแววแก้วกุดั่น ห้อยสุวรรณมาลีไม่มีหมอง
พระพี่เลี้ยงเคียงข้างคอยประคอง เยื้องย่องลงจากเภตราฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงซึ่งสถานทวารวัง เห็นคนนั่งคึกคักอยู่หนักหนา
เจ้าขรัวยายผายผันมาวันทา นำมาเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงเห็นสองกษัตริย์ นั่งบนแท่นรัตน์นรังสรรค์
เคืองแค้นแน่นใจดังไฟกัลป์ ก็ลุยเหล่าสาวสรรนั้นเข้ามา
ลงนั่งแทรกแหวกกลางทางประชด ดูทรงยศผิดพักตร์ลงหนักหนา
ประชวรนั้นฉันใดในกิจจา พ่อนี้หนาองค์ร้อนดังนอนไฟ
ทั้งมดหมอสอนั่งสะพรั่งพร้อม เป็นเหล่าล้อมซ้อนซับไม่นับได้
ออกรอบข้างอย่างนี้จึงมิไป ทั้งหมอใหญ่หมอน้อยคอยอยู่งานฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ฟังพาที นางมณีเคืองใจดังไฟผลาญ
ยิ้มพลางทางว่าน่ารำคาญ มารุกรานคุมเหงไม่เกรงใจ
นี่ฤๅชาวเมืองโรมช่างโหมฮึก ไม่รู้สึกร้อนเย็นเป็นไฉน
พระพินทองของตัวฤๅผัวใคร มาลอยหน้าว่าได้ไม่อับอายฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ได้ฟัง ยิ่งแค้นคั่งเคืองหูไม่รู้หาย
ลุกสะบัดคัดค้อนย้อนภิปราย ซึ่งดีร้ายฝ่ายเราไม่เข้าใจ
พระพินทองของตัวเป็นผัวรัก ฤๅลอบลักได้ปันกันที่ไหน
เราเป็นคู่สู่ขอกับหน่อไท จะพาไปเมืองโรมบุรีฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ น่าหัวเราะ มาตามเกาะผู้ชายไม่อายผี
ช่างอวดงามข้ามวนชลธี มาเซ้าซี้ท่านก็ไม่พอใจดู
ผัวเจ้าอุ้มเอาไปกอดรัด ไม่ข้องขัดร้อนรนบนหัวหมู
เข้าผลักพระพินทองไปลองดู นั่นแลคู่อภิเษกเอกชัยฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ น้อยฤๅ เพราะเชื่อถือวิทยาจึงว่าได้
ผัวกูเขารู้ทั้งเวียงชัย จะเป็นไรเป็นกันในวันนี้ฯ

 

(หมดต้นฉบับเพียงนี้)



[๑] เนื้อความตอนนี้บรรยายรวบรัดไม่กล่าวรายละเอียดว่าพระพิณทองตรัสให้นางแก้วหน้าม้าทำลูกไว้คอย

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ