ร่าย ๏ ศุภสาสนสุนทรพิเศศ โอนก่อนเกษอภิวาท ไตรโลกนารถสาสดา ทั้งธรรมาภิสมัย สูตร วินัยบรมัดถ อีกอัษฎางคิกสงฆ ทรงศีลสังวรวิสุทธิ โลกวิมุตไกลเกลศ น้อมศิโรเภทประนต บงกชบาทเจ้านคร อมรรัตนโกสินทร มหินทรายุทธเยศร มกุฎเกษกรุงสยาม แม้มีหนามเสี้ยนเศิก จงเพิกพ้นนรนารถ ค่อยไป่คาดคิดเหน ไผดับเข็ญไท้ท้าว ข้อยฟังข่าวทวยราษฎ์ มุขมาตยสยบสยอง โลมาพองทั่วผู้ บหาญกู้เวียงเจ้า จึ่งก้มเกล้าอธิฐาน นมัสการไตรย์แก้ว ขอคุณแผ้วสัตรู ริปูปองเข็ดขาม พระนามจงฦๅเลื่อง กระเดื่องด้าวแดนดิน อริอินเดียแพ้พ่าย ยุโรปร่ายเร่หนี เกรงบารมีจอมราช โดยอำนาจไตรย์รัตน ศรีสวัสดิวัฒนา ชาวประชาชนชาติ นิราศร้างแรมโรก นิราชโศกศุขเกษม เปรมปรีดาภิรมย์ อุดมด้วยธัญญา นานาธนาเนกเนื่อง ความฝึดเคืองอย่าเหน ความขัดเข็ญอย่ามี แด่ชาวบุรีทั่วหน้า ขออย่าเช่นข้า ยากไร้ใจตรอม ๚ะ

อวยพรพร้อมสิทธิข้อ คำไช
ฉฬาภิชาติพิไสย สบหล้า
สาธกยกแยกใน กูลหก เหล่าแฮ
เพื่อปราชปัญญากล้า กล่าวรู้ ธรรมเนียม
๏ กรรมเรียมบุรพชาติโพ้น พึงมี
ไร้บุตราบุตรี สืบเชื้อ
เถลิงลักษณวาที แทนเผ่า พันธุนา
แม้มอดสูญกดูกเนื้อ ชื่อนั้นคงทน
๏ ใครยลใครอ่านอ้าง ออกนาม
สารนิติ์สำนวนความ เรื่องนี้
สนองคุณบิตุเรศรตาม ตนยาก จนพ่อ
อนุชาตบุตรชี้ ชาติเชื้อพงษบวร
๏ นามกรหกเหล่านั้น บรรหาร
กระษัตรียพราหมณาจาริย เวชไซ้
สุทปุกกุสจัณฑาล ลำดับ กันนา
นามชาติตามกล่าวไว้ ดั่งนี้หกวงษ
๏ เผ่าใดจงรอบรู้ เรียนวิชา
ตามประเภทพาศนา เผ่านั้น
สมควรแก่อาตมา เลี้ยงชีพ ชอบแฮ
ประพฤติผิดพิไสยหั้น ห่อนได้เปนคุณ
๏ วิบุลยปราชบงกชเบื้อง บัญญัติ
สรรพสิ่งวิชาจัด แจกแจ้ง
เปนฉบับแบบบันทัด ทุกเหล่า
ล้วนแต่เปนประโยชน์แกล้ง กลั่นไว้สอนเสียม

ร่าย ๏ ธรรมเนียมหน่อนฤเบศร์ เมื่อบิตุเรศร์เจริญชนม์ ห่อนทำงลปากท้อง ห่อนหมองกมลเศร้า ห่อนหาเช้าเข้าเหลือ ห่อนหาเกลือเกลือล้น กอบลาภผลเนืองนิจ ด้วยบุญฤทธิ์ชนกนารถ เปรื่องปราชเปรมปรีดา ทั้งปัญญาปถมไวย กำหนดให้คล่องเคล้า ยังเยาวย่อมพึงเพียร เรียนรู้อักษรสาม ตามบทเบื้องบังคับ ฉบับแบบโบราณวาง สูงกลางต่ำตามหมู่ กำหนดรู้สำเนียง ผันเสียงสามเสียงห้า โดยตราพินธุมี เอกโทตรีจัตวา กัตติกาอย่าพลั้งพลาด ทัณฑฆาฎฆ่าคำตาย ไต่คู่หมายคำสั้น จำจงมั่นครันครบ จบในมณีจินดา ครั้นชันษาเจริญรุ่น อย่าหมกมุนเมา กาม เสาะสืบถามต่างพากย หลากหลากหลายภาษา แสวงหาผู้ประสิทธิ สังสกฤษฎแลมคธ พึงกำหนดพยายาม อีกภุกามกำพูชา พากยชวามลายู ตองสู่โยนกเขิน มังเรินแรมร่มขาว เตลงลาวลื้องิ้วเงี้ยว เที่ยวไต่ถามผู้รู้ จงหาครูสัมพันธ์ กาพยพากยฉันท์โคลงลิลิต อุส่าห์คิดสำนวน ขบวนถ้อยร้อยกรองกลอน อ่อนหวานขานคำเพราะ เสนาะรศพจนวาที ฤดีดาลการสังวาศ โดยมาตราพฤติวรรณพฤติ ยึดแบบครูดูเยี่ยง เลี่ยงแต่คำสำนวน ควรหาความตามประสงค์ จะจำนงนิพนธ์โคลง สำเหนียกโยงสำผัศ ควรฟัดจึ่งฟัดฟาด อย่าให้พาดแกงแนง อย่าแพลงเอกปักษี ที่ใดมีคงนั้น แม้โคลงดั้นดุจเดียว เพี้ยนแต่เกี่ยวสำผิศ ฟัดกันไปทุก บท จงกำหนดจดจำ ลำนำฉันท์นั้นเล่า คำหนักเบาจงประญัติ จำกัดถ้วนอักษร ระยะกลอนส่งรับ บังคับตามที่สถิตย์ กลอนลิลิตจำกัดห้า โดยตำรานั้นพึง รับที่หนึ่งสองสาม ตามเอกสำผัศเกอ เฉกโทสำผัศโท เรียนวุตโตเชี่ยวชาญ รู้เจนการกลกลอน ฝึกสอนโหราสาตร โดยสุริยาตรสารัมภ์ คำนวนเลขกรณฑ์ฉวาง รู้วางลักษณวางจันทร ผ่อนผันตามเวลา ผูกชะตาทายเคราะห์ ให้แม่นเหมาะอย่าคลาศ หลักอินทภาษบาทจันทร์ รู้สำคัญฤกษ์ยาม ตามทักษาพยากรณ์ พระเคราะห์จรเคราะห์กำเนิด พระเคราะห์เซิดมนภัก ให้รู้จักเกณฑ์โยค จตุรงค์โชคเกษตร พึงสังเกตดวงดารา นักขัดตายี่สิบเจ็ด ดาวโกเม็ดดาวพระเคราะห์ จงเสาะผู้แจกแจง ให้สำแดงลักษณชี้ คือดาวพระเคราะห์นี้ ชื่อนั้นพึงฟัง ๚

ครั้นกำลังกลั่นแกล้ว เกรียงหาญ
ฝึกขี่ขับคชสาร คล่องคล้อย
เพลงฃอเล่ห์หมอควาญ ไวว่อง
ขัดชนักนั่งเรียบร้อย รอบรู้เชิงสาร
๏ ทรมานอัศวเรื่อง รณรงค์
ถีบกระทืบโกลนลง เลศแส้
ควบขับใหญ่ให้ตรง ตรุยถิ่น ทางนา
สบัดย่างย่ำน้อยแหย้ ย่างย้ายหลายกล
๏ เจนผจญอย่าพลาดพลั้ง เพลงทวน
ควบชักยันตหันหวน หกห้อย
รอรับกลับกระบวน บทย่าง อยู่พ่อ
ยามประชิดติดเต้นน้อย เนตรนั้นปองผลาญ
การอาวุธดาบดั้ง โลห์เขน
ฝึกครบจบจำเจน จัดรู้
ควรแก่เผ่าพงษนเรนทร เรียนร่ำ ไว้นา
เปนประโยชน์สำหรับสู้ ศึกเสี้ยนดำเกิง
๏ ปืนเพลิงพิเสศสิ้น ศิลปแสง
ปากนกชนวนทองแดง เด็ดเป้า
ประทับเลงมุ่งสูญแผลง แผลหมึก หมายนา
อั้นอัดปราณออกเข้า ขดนิ้วเหนี่ยวไกย
สกดใจหมายมุ่งเขม้น สูญปลายไม่ส่ายเต้น
ลั่นต้องดวงดำ ๚ะ  
๏ อย่าทำใจสทกสท้าน หลบประกายนกล้าน
ส่ายเส้นเสียสูญ ๚ะ  

ร่าย ๏ เรืองจำรูญวิชาการ ชำนาญเพลงอาวุธ สำหรับยุทธชิงไชย ว่องไวใจองอาจ สามารถดูตำหรับ ฉบับพิไชยสงคราม ตามเบาราณคติ ดำริห์เลศเล่ห์กล รู้ฤกษบนฤกษล่าง วางพยุหกระบวน ควรรู้ลักษณชำนาญ สกุณสังหารสองฝ่าย ปักษซ้ายย้ายปักษขวา รู้ตำราข่มนาม ตามพิธีกอง กูณฑ์ ยามสูริยจันทรกระลา เมฆาจัตรุทิศ แสดงนิมิตรลางหลาก เดินโดยนาควิถี รู้วิธีเมฆฉาย หมายเทพสังหรเหตุ สังเกตลมในนอก บอกยุบลร้ายดี ยายีนครฤกษ์ยาม อัฐนามถิ่นสถิตย พินิจพิจารณาดู มฤตยูราหูจร ผันผ่อนโดยการชอบ ประกอบกิจมงคล กลศึกยี่สิบเอด รู้สรรพเสรจตามบท นามปรากฎ โดยตำรา ชื่อว่ากลฤทธี หนึ่งกลสีหจักร หนึ่งกลลักษณซ่อนเงื่อน หนึ่งกลเถื่อนกำบัง หนึ่งกลพัง ภูผา หนึ่งกลม้ากินสวน หนึ่งกลพวนเรือโยง หนึ่งกลโพงน้ำบ่อ หนึ่งกลฬ่อช้างป่า หนึ่งกลฟ้างำดิน หนึ่งกลอินทรพิมาน หนึ่งกลผลาญสัตรู หนึ่งกลชูพิศม์แสลง หนึ่งกลแขงให้อ่อน หนึ่งกลหย่อนภูเขา หนึ่งกลเย้าให้ผอม หนึ่งกลจอมปราสาท หนึ่งกลราชปัญญา หนึ่งกลฟ้าสนั่นเสียง หนึ่งกลเรียงหลักยืน หนึ่งกลปืนพระราม ตามกลศึกยี่สิบเอ็ด มีกัลเม็ดหลายเลศ สุดพิเสศหลายสถาน แม้ดำนานที่หยิบยก สามก๊กราชาธิราช บ่คลาศจากทำนอง เดินโดยคลองบรรยาย อย่าหมายมีเล่ห์หลาก จากยุบลเหล่านี้ เปนแต่ชี้ให้ชัด คัดออกให้กระจ่าง โดยแบบอย่างพิศดาร แม้การจะเล่าท่อง ให้คล่องโดยสังเขป เสพยแต่เนื้อความย่อ ก่อสติปัญญา ศึกษาจำได้ง่าย หนึ่งตั้งค่ายพยูห์ รู้ลักษณจงมั่น ค่ายวิหลั่นปีกกา จงคณนานับพล คเณคนควรการ คูณหารหาขื่อแป อย่าเหลือแหล่แคบคับ ปรับค่ายคนควรกัน ปันน่าที่มีระยะ เปนจังหวะช่องปืน ยืนอาวุธแหลนหลาว ตาวจรีเรียงราย ปลายค่ายเคี่ยมเสี้ยมแหลม แซมขวากแขวงแทงลง ให้มั่นคงแขงแรง อย่าเหยาะแยงมักง่าย นอกค่ายรายขวากรับ ขวากกระจับเขาควาย ปลายเถือกทายาพิศม์ สี่ทิศค่ายตะล่อมล้อม ทำเช่นเปนอย่างป้อม ปิดป้องไพรี ๚

เรืองวิธีกลค่ายป้อม ปานแสดง
ชักรคับจับกลางแยง ยอเข้า
หักเหลี่ยมออกพลิกแพลง เพล่ไพล่ มุมเฮย
วงเวียดเช่นตะล่อมเล้า เลี่ยงลี้ทางปืน
๏ ครืนครืนเสียงศึกปล้น ปลอมตี
ปืนใหญ่ในป้อมมี มุ่งม้วย
ปืนป้อมต่อป้อมทวี ยิงช่วย กันแฮ
ทั้งกวาดน่าค่ายด้วย สี่ด้านดุจเดียว
๏ เฉลียวเลศกลค่ายป้อม บูรพเพรง
ป้อมแย่งยิงกันเอง วุ่นว้า
ยิงตรงศึกไปเกรง หลีกเลี่ยง ได้เฮย
กลัวแต่ยิงสกัดหน้า แน่ม้วยฉิบหาย
๏ รายพลกลแบบเบื้อง โบราณ
สามหอกเจ็ดหอกหาญ ห่างไท้
สุ้มเสือป่าคอยการ กลเหตุ มาฤๅ
กัณฐัศวหัสดินทรใกล้ เกลือกลี้ทันการ
๏ อย่าหาญหมื่นศึกเสี้ยน เสียผล
ยามประชิดกิจอื่นปน ป่นปี้
กลางศึกอย่าทำงน เหงาง่วง นอนนา
คิดล่าอย่านัดลี้ เหล่าแกล้วใจแสยง
๏แสดงพิไชยยุทธสิ้น เสรจความ
จะกล่าวโลกยวัตรตาม แต่รู้
จงอุสาหพยายาม ยลเยี่ยง กล่าวเทอญ
กอบสวัสดีเลิศผู้ ผ่องแผ้ว หฤไทย

ร่าย ๏ มงคลพิไสยหน่อกระษัตริย ย่อมอนุวัตรคดีโลกย โดยโฉลกบรรยาย ทำลายทิฐิกระด้าง ล้างจิตรให้สดใส สกดใจให้สุภาพ อย่ามัวลากเมายศ ถ่อมถดมารยาตร ยามบิตุราชเมตตา กอบพาศนา สถาพร เหล่านิกรประชาราษฎร์ มุ่งมาดพึ่งสมภาร นำลูกหลานมาถวาย หมายเปนข้าหาผล ต่างคนต่างเอาหน้า มักเจรจาสอพลอ ยกยอยศส่งเสริม อย่าเหิมตามปากไพร่ กำเริบไป่เปนคุณ ยามมีบุญเขาเปนข้า อับพาศนาเขาโจทยจับ กลับหานายมีอำนาจ อาจให้ใช้ไป่เลี่ยง เที่ยงเช่นนี้มีมาก เพื่อนยากนั้นมีน้อย นับสักร้อยสักพัน เลือกสรรได้สักคน รักเจ้าตนสุจริต สิ่งใดผิดทัดทาน โดยสันดานสัตยซื่อ ถือเจ้าไหนเจ้านั้น กตัญญูกัตเวที คนเช่นนี้พึงยกยอ คนสอพลอพึงทรมาน อย่าหลงหวานเชื่อเพราะ เขาประเหลาะหาผล ดูคนดูให้แน่ เขารักแท้รักตอบ เขาชอบชอบคุณเขา อย่าเบาจงหนักแน่น แกว่นรู้ด้วยปรีชา ที่ปฤกษาจะหาฤๅ หาทั้งซื่อทั้งฉลาด ห่อนพลั้งพลาดเสียที อย่ากลับดีเปนชั่วเล่า คนดีเศร้าโทมนัศ คนซื่อสัตยเสียใจ อย่าให้ไพร่ข่มยศ อย่าให้คดข่มตรง อย่าลุ่มหลงลิ้นพาล อหังการกำเริบจิตร ประกอบกิจการขบถ ทุรยศต่อกระษัตริย แม้เคืองขัดให้ลงโทษ อย่าถือโกรธบิตุเรศร์ ปางนฤเบศรโปรดปราน ประทานยศถาศักดิ จงบริรักษประชาราษฎร์ อย่ามาดสังเวยเลือด เชือดเนื้อไพร่หมายผล เถือหนังพลหมายลาภ โดยอานุภาพมีบุญ จงการุญประชาชน เล็งเหนจนคนไพร่ เล็ง เหนใจคนยาก เหลือลำบากใส่ปากท้อง อย่าพึงอองปลัยหาร โดยพลการกดขี่ คนมั่งมีสินดุลย คนจนทุนสิบมาศก ยกออกหนึ่งต่อหนึ่ง พึ่งโทรมเศร้าเท่ากัน อย่าสำคัญว่าน้อย ไม่ถึงร้อยถึงสิบ อย่าซุบซิบสินบน อย่าหวังผลบำรุงพาล การใดผิดว่าผิด กิจใดชอบว่าชอบ กอบสัตยตัดสินความ อย่าหยาบหยาม จาบจ้วง อย่าฬ่อลวงผู้น้อย จะกล่าวถ้อยจงตฤก นึกน่าหลังก่อนเยื้อน เอื้อนโอฐออกวาจา ดุจงาอัยราพรต ไม่เหี้ยนหดงอกงาม อย่าเย้ยหยามประมาท ปรามาทเยาะคนจน ตนชายอย่าหมิ่นชาย อย่านึกหมายเขาโง่ เขากลัวโอ่กลัวบุญ จำคุณอย่าคดตอบ ทำชอบอย่าติเตียน จะเล่าเรียนวิชาการ บูราณให้ดูครู แต่ตูว่าอย่าเลือก คัดแต่เปลือกแลกะพี้ จบครูนี้หาอื่น ชื่นใจจำคำประโยชน์ สิ่งเปนโทษอย่าเรียน เพียรร่ำไปจึงดี คบเมธีจึ่งฉลาด ปางราชลงอาญา เสวกาข้าทูลลออง ฤๅเคืองข้องเกรี้ยวกราด ไบมีราชวโรงการ บรรหารเฉพาะหน้า อย่ากล้าทูลใดใด แม้ไทมีสีหนาท ตรัสประพาศเฉพาะตน อย่าแต่งกลแต้มเติม เสริมใส่ซ้ำผู้น้อย ค่อยค่อยคล้อยผันผ่อน หย่อนหนักให้เปนเบา อย่าโดนเอาปจบประแจง ความใดแรงเร่งรงับ ความใดดับอย่าก่อ ขุดคุ้ยส่อต่อติด ปางบพิตรตรัสประพาศ จะประสาสนรางวัล พัสดุพรรณต่างตอบ ความชอบข้าบาทมูล อย่าควรทูลทัดทาน ด้วยใจพาลฤศยา วิหิงษาอาฆาฎ หนึ่งวรราชกัลยางค์ สนมนางแน่งน้อย งามชดช้อยพึงชม สาวสวยสมโสภาคย กำดัดราค ยวนใจ จงห่างไกลหลีกหลบ อย่าประสบพบพาน แม้ว่าการจำเปน อย่ามุ่งเขม้นเมียงมอง ด้วยคลองเนตรเนืองเนือง ชำเลืองเล็งเพ่งพิศ สำแดงจิตรหวังสวาศ ให้วรนาฎเสียวกาม ข้อนี้ปรามกวดขัน อย่าผูกพันธ์กามคุณ รศเมถุนสังวาศ อย่าหมายมาดลุ่มหลง ประสงค์เสพยพอตัว แม้เมามัวหมกมุ่น ห่อนมีคุณเกิดเข็ญ ชี้ให้เหนโทษร้าย มีมากมายหลายถ้า หญิงเปนข้าศึกสู้ ต่อความรู้แห่งปราช แม้ฉลาดก็เคลิ้มเขลา ไม่ควรเมาเมาลโมภ ไม่ควรโลภโลภหนา ไม่ควรหาหาให้ เอาแต่ได้ถ่ายเดียว ไม่คิดเฉลียวอายบาป ปัญญาหยาบเพราะกาม เสื่อมทรามฤทธิอำนาจ นักปราชจึงตรีชา ในกามาทีนพ พบบาฬีเรื่องความ ติเตียนกามแสดงโทษ อย่าเหี้ยมโหดมัจฉริยะ จงคาระวะคนเถ้า อย่าดูเบาคนชรา อย่าสำราญห้าวหาญ จงอ่อนหวานวาจา กิริยาให้สมชาติ มารยาตรให้สมเชื้อ จึ่งควรเปนหน่อเนื้อ กระษัตริยเจ้าธรณินทร์ ๚ะ

ผู้เรียนศิลปสาตรทั้ง โลกยวัตร
คราวเมื่อกาลสมบัติ ผ่องแผ้ว
เจริญผลเพียบภูลสวัสดิ์ เนืองนิจ
ประเสริฐดุจได้แก้ว ค่าล้ำเหลือประมาณ
๏ กาลเกิดวิบัติบ้าง บางที
สรรพทรัพยศุขศักดิศรี เสื่อมเศร้า
คงแต่วิชามี อยู่ติด ตนนา
ใช้ถูกทุกค่ำเช้า ช่วยเลี้ยงชนมาน
๏ ผู้ปรีชาญอย่าเศร้า โทมนัศ
กรรมแต่ปางหลังซัด ส่งให้
ตนเกิดเมื่อกาลวิบัติ บุรพบาป ตนแฮ
แม้ชาติหลังมีไซ้ ชาติหน้าไป่สูญ
๏ กรรมอนุกูลมาตรแม้ พึงมี
เปนต่อข้างการดี แน่แท้
ถึงกะไรไม่เสียที ทำชอบ ดอกนา
ทนเทวศชาติหนึ่งแล้ เท่านั้นสูญหาย
๏ แสนสบายในชาตินี้ เท่าใด
นับท่วนขวบไขยไวย ไม่ช้า
อย่าควรคิดอาไลย ศุขชาติ เดียวเลย
ประพฤติชอบเผื่อชาติหน้า ชอบนั้นตามสนอง
๏ ปราชควรต้องว่าครั้ง คราววิบัติ
รู้วิทยาสารพัด กอบเกื้อ
ไป่เทียมพระปริญัติ ธรรมท่าน แสดงแฮ
เปนประโยชน์บสูญเชื้อ ภาคหน้าเหนผล
๏ ทศพลวิมลเมธเจ้า อรหัง
เลงโลกเปนอนิจจัง อย่างนี้
ย่อมมีหฤทัยชัง โลกยกลับ กลอกนา
จึ่งประพฤติโมฆมรรคุลี้ แหล่งหล้าสงสาร
๏ บรรหารธรรมวัตรไว้ หวังผล
ควรแก่บุถุชน เสพยสร้อง
เจริญศรีสวัสดิมงคล สืบชาติ ไปเฮย
จงสดับพจนพร้อง เลิศล้ำวิทยา

ร่าย ๏ สังวรรรณนากลกลอน อนุสรธรรมวัตร โดยบัญญัติคดีธรรม ประกอบกรรมก่อผล เปน กุศลสืบนิไสย นำตนไปสู่ศุข ปลุกใจชื่นด้วยปัญญา พิจารณาไตรยลักษณ ชักให้เหนอนิจจัง อีกทุกขังอนัตตา ธรรมดาว่ารูปนาม มีแต่ความแปรปรวน ไม่ควรจะชื่นชม นิยมด้วยร่างกาย อย่าหมายว่ามีศุข ความทุกข์ประจำตน ชื่อว่าชนเกิดมา พิจารณาดูเถิด ตั้งแต่เกิดจนตาย กลับกลายไม่ยืนยง คงมีทุกขไม่ ขาด คือ ชาติแลชรา พยาธิมรณะ ไม่ละหน้าผู้ใด เมื่อเปนไปดั่งนี้ จะชี้สั่งบังคับ ปรับรูปนามตามปราถนา หาแต่ศุขทุกวาร สังขารไม่ยอมให้ เพราะไม่ใช่ของตัว จึ่งไม่กลัวอำนาจ มัจจุราชตามรอยท้าว ทุกก้าวไม่ห่างไกล ควรเลียวใจสลดจิตร คิดแสวงหาที่พึ่ง ถึงสรณะละชั่ว รู้โทษตัวสารภาพ ทิ้งการบาปแสวงบุญ ไว้เปนทุนชาติหน้า ยอมเปนข้าไตรยรัตน สารพัดสิ่งอื่นอื่น ฟื้นทรงศักดาฤทธิ อย่าคิดว่าที่พึ่ง จงเปนหนึ่งอย่าวิมุติ ในพระพุทธธรรมสงฆ์ อย่าใหลหลงนมัสการ พฤกษาศาลเทพา รีบแสวงหาบุญพรต โดยกรรมบถคลองธรรม อย่าก่อกรรมสามสาย คือกายวาจาจิตร ที่ทุจริตเปนพาล มีสามประการกายกรรม จะแนะนำบรรยาย หนึ่งทำลายล้างสัตว ตัดชีพให้ตกไป หนึ่งเล่าไซ้ฉ้อลัก ทรัพยเขารักหวงแหน ดูแคลนทำกดขี่ นารีที่เขาหวง ลอบลักล่วงสังวาศ ฤๅสมพาศพพลการ เปนสามถานกายโทษ หนึ่งโสตเสพยสุรา พาใจเฟือนฟุ้งซ่าน ประกอบการหมิ่นประมาท นักปราชสงเคราะห์เข้า ในหมวดเหล่ากายกรรม อย่าควรทำลันผิด อีกทุจริตด้วยวจี กำหนดมีสี่อย่าง หนึ่งกล่าวอ้างคำเท็จ เพล็ดถ้อยไม่สัตยา หนึ่งวาจาหยามหยาบ จ้วงจาบท่านเจ็บใจ หนึ่งเล่าใช้เสียดส่อ สอพลอถ้อยยุยง ส่งเสริมเหตุลามปาม ใส่ความดีที่ตัว ใส่ความชั่วที่เขา หนึ่งอิกเล่าพูดเล่น กล่าวคำเช่นเดียรฉาน หาแก่นสารมิได้ คำกล่าวไป่เปนบุญ ไป่เปนคุณการดี ในชาตนี้ชั่วน่า เปนสี่วาจาโทษ อย่างหนึ่งโสดโทษใจ กำหนดไว้สามประการ หนึ่งสันดานกอบบาป บันลุลาภโลภเลง เพ่งทรัพยท่านใส่ตน ใจร้อนรนพยายาม ความคระหายหมายปลิด หนึ่งมีจิตรพยาบาท คิดอาฆาฎมาดมอง ปองท่านให้เสื่อมศุข ใส่ทุกขท่านด้วยโกรธ ใส่โทษท่านฉิบหาย ทำอุบายแยบยนต์ ด้วยเล่ห์กลตฤกตริ หนึ่งตำริห์เหนผิด มิจฉาจิตรคิดแน่ ไม่มีแม่แลพ่อ ก่อเกิดตามวิไสย รัตนไตรยไม่มีคุณ ไม่มีบุญแลบาป โดยอัตภาพเปนเอง ไม่เกรงกรรมชั่วช้า ผลชาติหน้าไม่มี ผลชาตินี้ไม่ให้ ใครห่อนได้มรรคผล ปุถุชนเสมอกัน มโนทัณฑ์ครบสาม ตามครองธรรมกรรมบถ โดยกำหนดสิบประการ ผู้ปรีชาญควรเว้น อกุศลเช่นกล่าว มา สามารถพาใจศุข ยามมีทุกขอย่างใหญ่ เมื่อมรณไภยถึงตัว ใจไม่กลัวหวาดเสียว เหนียวความชอบชื่นชื้น เพราะกุศลเปนพื้น พ้นภูมอบาย ๚

กายวจีจิตรชอบนี้ มีผล
เพื่ออุปนิไสยกุศล สืบสร้าง
ดั่งโชลมลูบทิพยสุคนธ เยนจิตร หอมนา
เปนปัจจัยละล้าง โทษร้ายราคิน
๏ สรรพศิลปสรรพสาตรแสร้ง สมพันธ์
เรียงเรียบระเบียบวรรณ วากยถ้อย
เสรจสิ้นทุกสิ่งสรรพ์ สังเขป ไว้พ่อ
เกลากล่าวสิ่งละน้อย หน่อไท้ควรจำ
๏ ปกรณำห่อนได้ พิสดาร
กล่าวแต่วิชาการ แนะให้
อยากจะใคร่รู้วิตถาร โดยถ่อง แท้ฤๅ
หาฉบับท่านแต่งไว้ เก่านั้นมาแสดง
๏ แถลงเรื่องราชสารสิ้น เสรจความ
โดยประเภทวิชาสยาม อย่างนี้
บัดกล่าวตระกูลพราหมณ พรหมเผ่า สืบเฮย
เรียงเหล่าตามก่อนกี้ กิจรู้ควรตน

ร่าย ๏ สกลพงษพรหมพิไสย กล่าวไปโดยตำนาน บุรพาจาริยแสดงมา นามชื่อว่าไสยสาตร คือผู้ฉลาดเล็งการ ประสมประสานไสยเวท ให้สมเหตุสมผล อำนาจตนไม่มีครู ถือสยัมภูเปนเจ้า ไม่มีเผ่าพงษพันธุ ท่านนั้นบังเกิดเอง เพรงนี้มีนามไสย สำแดงไปโดยเรื่อง บทเบื้องสยัมภูนั้น ครั้นเหนว่าเปนใหญ่ เสกนามใส่สมควร ชื่ออิศวรเปนเจ้า ท่านนั้นเล่าจึ่งอุเทศว วาจาเภทสาปสร้าง กอบยศอย่างจำลอง เปนที่สองอีกสาม มีนามนั้นยรรยาย นารายน์พิศณุพรหม อุดมศักดาฤทธิ แล้วนฤมิตรหมู่อมร เหล่านิกรทวยเทพย์ เสพยทพาศนพิมาน กอบศฤงฤๅรหลากหลาย เจ้านิกายเทพินทร์ ชื่ออินทราธิบดี โดยมีอัตโนมัติ เลือกสัตวเปนพาหนะ อิศวระทรงอุศภาศน กฤษณราชทรงสุบรรณ พิศณุนั้นมยุรา ธาดาให้ทรงหงษ อมรินทร์ทรงคชสาร อยู่จิรกาลอาเภท กมเลศจุติภาค จากทิพาศนพิมล สู่ธราดลสังวาศ จึ่งเกิดชาติทริชา พราหมณพฤฑฒาพรหมเผ่า บางเหล่านบนารายน์ บางนิกายถือสยัมภู บางหมู่นมัสการพรหม โดยนิยมต่างต่าง ถือเปนอย่างเปนนิกาย พวกนารายน์แลศิวา ยังหนาด้วยเบญจกาม บังเกิดความตริหลาก ไปโดยราคเจตนา ว่าศิวาจักรกฤษณ สถิตยอยู่ผู้เดียว ดูเปลี่ยวไม่สมควร จึ่งคำนวนนิติ์ปุรา มีอุมาลักษณ์มี เปนมหิษีเจ้าสกล กล่าวเหตุผลสิบปาง อ้างกาลไตรดายุค ทรนุกนิติราเมศร เหล่ากมเลศเล็งฌาน มีสันดานเบาราค อยากหาแต่สิ่งศุข แม้มีทุกขว่าเสนียด เกลียดชั่วกลัวจันไร จึ่งเกิดไสยกิจกรรม สรวมคุหร่ำประจำกาย เปนเครื่องหมายว่าผนวช ตรวจนับสายกำหนดศิล กินแต่ผลมูลโภชน์ บำบัดโทษอุบาทว์ สรรพไสยสาตรเวทมนต์ บันดาลดลให้ขลัง เพราะตทังคประหาน มีสันดานบริสุทธิ หลุดโทษด้วยอุปเทศน วิศณุเวทศักดิ์สิทธิ์ ประกอบกิจการทำ ประกอบกรรมเปนตรา พิธีทวาทศมาศ ตามไสยสาตรอนุวัตร คเชนทรัศวสนาน ในจิตรกาลกำหนด จรดนังคัลพิธี มีในไพศาขมาศ เคนทราชพิธีเวท เชฐมาศโดยนิยม พิธีปถมพรรษา นักษัตราสาธมาศ ราชพิธีวิบุลย วิรุฬหสาตระ มหาเมฆบูชา ในสาวนวิถี พิธีมัทธเย กษเตรสาตรำ พิธีกรรมภัทรกาล พาหนสนานสาตราวุธ วาหยุทธนาวี นทีธลียยำ กระทำในอัศธุชมาศ โดยไสยสาตราคม จองเปรียงปถมกฤติเก กรรติกมาเศพิธีธรรม ยัมพวายตรีปวาย ในเดือนอ้ายโดยแสดง เดือนยี่แผลงว่าวหง่าว ธานยะเพาะห์กล่าวเดือนสาม ตามลำดับพิธี เดือนสี่นามบัญญัติ ชื่อสัมพัจฉรฉินท์ จบกระบิลพิธีกรรม ประจำเดือนครบขบวน ถ้วนทวาทศมาศ ทวิชชาพึงชำนาญ ประกอบการสุจริต ประกอบกิจนิจศิล เปนอาจิณประพฤติตน วิศณุมนต์ไสยเวท จึ่งพิเสศศรีสวัสดิ์ ขจัดทุกขโศกโรคไภย เสนียดจันไรคลาศแล้ว อำนาจบริสุทธิแผ้ว โทษพ้นพงษพราหมณ ๚ะ

พยายามเรียนรอบรู้ มนตรา
อุปเทศนเวทคาถา กิจเกื้อ
อนุวัตรเยี่ยงทวิชา บุรพแบบ ไสยเฮย
จึ่งนับว่าชาติเชื้อ เผ่าแท้ธาดา
๏ พรรณาพราหมณสาตรสิ้น สำนวน
เรียงเรื่องพอสมควร ย่อไว้
ลำดับเหล่าตามขบวน กูลหก นั้นนา
เผ่าเวชเพศแพทยไซ้ สืบนี้พึงยล

ร่าย ๏ นิพนธ์พันธ์แพทยพิชน โดยบุรพนิติอาเทศน สำแดงเหตุเปนปถม คือพรหมบำเพ็ญญาณ รู้สังฃารแห่งตน สิ้นกุศลพาศนา กอบเมตตาเปนอุกฤษฐ จึ่งคิดว่านรชาติ ย่อมมีพยาธิ์เบียดเบียน อาเกียรณด้วยโรคไภย บมีใครเยียวยา ถึงมรณาใช่กาล จึ่งสู่สถานกัมเลศ มีวจีเภทศักดิสิทธิ ฃอ มหิทธิวราพร โดยอนุสรเจตนา ธาดาจึ่งอนุญาต สิทธิประสาสนโดยใจ สิ้นนิไสยพรหมภาค จุติจากทิพยพิมาน สู่สถานมนุษยโลกย มีนามโรคมฤคินทร สรรพกระบิลว่านยา เจรจาบอกคุณให้ รู้แก้ไข้เชี่ยวชาญ ผู้ถึงการบ่ประสบ แม้ว่าพบก็บ่เหน สภาวเช่นพรพรหม อุดมด้วยวิทธยา ห่อนบอกวิชาผู้ใด ห่อนให้ใครอนุวัตร โกมารภัฏแต่งกล ประพฤติตนดุจไข้ ยอมให้ใช้กิจการ ปางอาจาริยประมาทจิตร ว่าสานุศิษยใบ้บ้า ใช้เก็บยาประสมประสาน ฤๅอาจาริยเยือนไข่ พาศิษยให้ไปด้วย พอได้ช่วยแสวงหา สรรพยาต่างต่าง ทุกอย่างทุกประการ ศิษยชาญในคุณยา ทั้งโรคาสารพัด ตั้งแต่สัตวปฏิสนธิ จนอวสานกาลมรณ์ อนุสรสาธยาย บ่เคลื่อนคลายวิปลาศ ด้วยสามารถปัญญา จึงเจรจาให้ประจักษ โดยลักษณาการ อาจาริยยินตกใจ พาศิษยไปแปดทิศ ให้ศิษยพิจารณา ซึ่งสรรพยาหลากหลาย ศิษยสาธยายถี่ถ้วน ในกระบวนกระบิลยา ทั้งโรคาเสรจสรรพ ครูกลับสู่พรหมโลก ตามโฉลกบูรพนิทาน มีประการดั่งนี้ โกมารภัฏจึ่งชี้ บอกไว้ตำรา ๚

๏ พงษพิทธยาเพชนั้น มีนาน
แต่ปถมกัลปบุราณ ก่อนกี้
โกมารภัฐพุทธกาล พึงเกิด
เปนแพทยเดิมคนนี้ ชื่อพ้องเยียไฉน
๏ แสดงไปตามบทเบื้อง ปางปถม
บราชอย่าเตียนว่างม โง่เพ้อ
เชื่อเหตุไม่เหนสม ห่อนตริ ตรองเลย
ยกเรื่องกล่าวเก้อเก้อ อวดรู้กาววาว
๏ จำกล่าวเพราะแพทยต้น แสดงมา
ผิบกล่าวตามตำรา ว่าไว้
ผู้รู้จะตรีชา ว่าไม่ รู้ฤๅ
สาธกแต่พอได้ เรื่องรู้ตามควร
๏ กระบวนฉันทสาตรนั้น อนุมาน
รอยว่านักสิทธ์ฌาน แก่กล้า
รู้จักลักษณาการ แห่งสัตว
จึ่งกล่าวตำราถ้า แพทยรู้เรียนตาม

ร่าย ๏ แถลงความไปตามเหตุ เดิมวงษเวทยจะมี คือฤๅษีสิทธา ประกอบยาบริโภค สังเกตโรคในกาย ยาทำลายซึ่งพยาธิ์ ไม่อาจจะบีธา กล่าวตำราเปนฉบับ ตำหรับชื่อฉันท์สาตร แพทยผู้ฉลาดศึกษา สืบต่อมาตามเหล่า เผ่าแพทยฟังชำนาญ ในการเวทวิธี โดยคำภีร์ปถม ชื่อพรหมปโรหิต จงพินิจใคร่ครวญ ถี่ถ้วนควรอนุวัตร ว่าด้วยสัตวปฏิสนธิ จนตั้งครรภ์มารดา รักษาบำรุงคัพภ์ สำหรับให้อภิบาล จนกุมารประสูตรจาก อุทรภาคนาภี วิธีโดยอนุกรม ชื่อปถมจินดา พรรณาหละแลทราง ทั้งเจ็ดอย่างอย่าเฟือน ทรางเจ้าเรียนทรางจร ค่อยถาวรเจริญไวย รักษาในกระบวนตาน ครั้นกุมารวรรฒนา ชนม์วษาควรสังวาศ จงดูธาตุวินิจไฉย ธาตุอันใดอ่อนกล้า พิจารณาให้รู้ ใช้ตีฤดูสังโยค อยู่ในโรคนิทาน จงชำนาญเยียวยา อีกมหาโชตรัตน สารพัดโทษโลหิต แก้ไข้พิศม์ดูฉบับ สำหรับตักกะศีลา หมั่นศึกษาให้ชาญ ชวดาลว่าด้วยลม นิยมรู้โดยประเภท สังเกตลักษณาพาธ อุจารธาตุพิการ ดูอติสารตำรา จะเปนห้าฤๅหกยก ยกตำหรับสอบสวน เบญจะชวนจงรู้ พิเคราะห์ดูโดยอาการ มรณญาณสูตรนั้น บอกสำคัญให้ประจักษ หลักเทพจรจงแจ้ง สำแดงอาการตาย ทำนายซึ่งเบญจขันธ์ วรรณทุโทษตรีโทษ หนึ่งโสตรรู้วางยา ตามเวลาสมุฐาน พึงชำนาญนวรศ กอยโอสถให้ควร รู้กระบวนกลเม็ด คำภีร์เตร็จทุกประการ จงเชี่ยวชาญสรรพคุณ แสวงบุญที่ปฏิบัติ ชีวิตรสัตวหายาก เหลือลำบากจะวัฒนา ตั้งเมดตาจิตรไว้ อย่ากดไข้หาโชค อ้างโรคหาสินบน ชีพตนตนรักเล่า ชีวิตรเขาเขารัก ยามไข้หนักอยากหาย หมายจิตรคิดปูนปอง แต่เงินทองหายาก คนจนมากกว่ามี จงปรานีสังเวช อย่าเทศน์ตามเนื้อผ้า พึงแพทยาอนุวัติ สารพัดวิชาการ จะเชี่ยวชาญศักดิ์สิทธิ อำนาจจิตรกรุณา โรคาท่านเปลื้องปลด ท่านคงทดแทนคุณ ตามทุนน้อยแลมาก ตามคนยากแลมี ลาภผลทวีเหลือหลาย นามขจายฟุ้งเฟื่อง วิทธยาเลื่องเล่าฦๅ ชนนับถือทั่วหน้า ทำโดยหาสินบน วิชาตนเสื่อมเสร้า คนขยาดเช็ดเข้า ขาดเบี้ยเสียผล ฯ

นิพนธ์พิทยแพทยไว้ ควรการ
กล่าวแนะฉบับอาจาริย ก่อนตั้ง
พอเปนประทัดถาน หยิบถูก
เหนโรคห่อนพลาดพลั้ง เพลี่ยงพล้ำตำรา
๏ พรรณาสังเขปข้อ พอควร
เรียบเรื่องเรียงประมวญ หมวดไว้
จักกล่าววิชาขบวน หัวปาก กิจเฮย
ชื่อว่าสูตรสืบให้ ปราชรู้โดยแสดง

ร่าย ๏ แถลงสูทลำดับเรื่อง เบื้องพ่อครัวหัวปาก โดยภูมภาคเผ่าตน ประกอบกลกิจการ คาวหวานรู้สรรพเสร็จ กลเม็ดหุงต้มแกง ผัดพแนงทอดเจียวจี่ ฉู่ฏี่งบปิ้งขั้ว ม้าอั้วอั่วสะเออะอ่อม เจ่าจ่อมตำยำซร้า พล่าหมกเมี่ยงหนึ้งแนม แซมผักผลสดใส่ น้ำตาลไข่แป้งปน ระคนเข้าเคล้าประสม ทำขนมอเนกนาม ตามตำราแต่เดิม เพิ่มเติมประดิฐใหม่ ด้วยไข่น้ำตาลแป้ง แสร้งสรรโอชารศ ให้หมดจดงดงาม ขนานนามเพราะเพราพริ้ม แช่อิ่มลอยแก้วแกม แถมสุกห่ามทรามผล คเณคนควรสรรพ คเณทรัพยควรจ่าย อย่ามักง่ายจัดแจง แต่งรศให้โอชา เมตตามั่นสันทาน อาหารเลี้ยงชีพสัตว ให้วัฒนาร่างกาย อย่าหมายกำไรโลภ ลโมภมากเหลือการ ประมาณได้แต่ควร โดยขบวนสัตยซื่อ ถือให้มั่นดั่งนี้ อย่าบังทรัพยสับปลี้ ห่อนได้เจริญผล

สกลสูทเลี้ยงชีพนั้น ควรทำ
ใช่แต่การที่ประจำ จ่ายซื้อ
ประกอบกิจหัดถกรรม ควรสูท ด้วยแฮ
เปนกิจเบาบอึงอื้อ ห่อนใช้เรี่ยวแรง

ร่าย ๏ สำแดงการหัตถกิจ อันวิจิตรรจนา โดยปัญญาเฉลียวฉลาด พอแลผาดเหลือบเหน ทำเปนดีกว่าอย่าง วิชาช่างจงเพียร ปั้นเขียนกลึงแกะสลัก พิศจงหนักอย่าง่าย ลวดลายกระจายเส้น สดุ้งเต้นให้เด่นดวง ช่วงช่องไฟไว้ระยะ เปนจังหวะกะฉลุ รู้โปร่งปรุชิดห่าง กระจ่างชัดตัวลอย ใบช้อยช่อห้อยหา กระหนกภาพกาบกิ่ง ให้เพราะพริ้งอ่อนสลวย ระทวยทอดยอดน้อม อย่าคดค้อมหักวง ดูทรวดทรงสมรูป ไม่ทรูบผอมพ่วงพี ให้พอดีสูงต่ำ อย่าทำโดยสะเพร่า ให้เกลี้ยงเกลาสอาดตา หมั่นตรวจตราเพ่งพิศ จงพินิจถี่ถ้วน การช่างทุกอย่างล้วน เสรจด้วยความเพียร ๚

เรียนขบวนวิชาช่างให้ เหนงาม
การแห่งสูทประพฤติตาม กล่าวอ้าง
บัดแสดงกิจโดยนาม ปุกกุส นั้นนา
คือว่าเหล่าลูกจ้าง ต่อนี้สืบไป

ร่าย ๏ อันพิไสยปุกกุสกิจ เลี้ยงชีวิตรด้วยแรงตน ขุดขนแบกหามหาบ โดยอัตภาพกำลัง ดุจดังโคกระบือ รื้อก่อถ่อแจวพาย เลี้ยงวัวควายม้าช้าง รับจ้างด้วยแรงเรี่ยว ตัดเกี่ยวตำตำตัก สีเลื่อยชักปักลาก ไสถากถางถอนถม โดยนิยมการหยาบ ซึมซาบอาบเหงื่อไคร ห่อนอาไศรยปัญญา เปนวิชาทารุณ ยังเปนคุณสองข้าง ทั้งผู้จ้างผู้รับ ไป่เปนพับเปล่าตาย มีแยบคายต่างต่าง ตามผู้จ้างปราถนา อนึ่งวิชาการเล่น คือรำเต้นฟ้อนขับ ร้องรับดุริยดนตรี เครื่องดีดสีตีเป่า บางเหล่าเปนจำอวด ประกวดเล่นให้ขัน หารางวัลกลหก ตลกตลบเจรจา วิชาเหล่านี้ไซ้ อาไศรยปัญญาบ้าง ปัญญาอย่างเดียรฉาน เปนการประโยชน์ตน ดายผลแก่ผู้จ้าง โทษต่างแก่ผู้ดู เพลินอยู่เปลืองเวลา วิชาปุกกุสชาติ สกลปราชย่อมเกลียดชัง ยังชีพเปลืองเปล่าไซ้ ห่อนเหนประโยชน์ได้ แก่ผู้พึงนิยม

ชื่นชมเมื่อขับร้อง จำเรียง
งามเหมาะเพราะสำเนียง แจ่มแจ้ว
ยามเลิกก็สูญเสียง เสียทรัพย เปล่าเฮย
ท่าที่ฟ้อนครั้นแล้ว ลับลี้แลหาย
๏ กล่าวนิกายปุกกุสเกื้อ กอบการ
ประดุจดั่งบรรหาร เสรจสิ้น
ลำดับกิจจัณฑาล รี่สุด เหล่าเฮย
เลี้ยงชีพตนด้วยลิ้น เลี่ยงเลี้ยวหาผล

ร่าย ๏ เหล่าทุพลคนจัณฑาล เกียจคร้านซึ่งการกิจ ห่อนได้คิดการเหย้า ตื่นขึ้นเช้าฉวย กะตร้า เที่ยวไปมาตามสถล พบคนนั่งลงไหว้ ขอเขาได้จึ่งกิน แต่งลิ้นร่ำเจรจา ให้ศรัทธาบังเกิด สิ่งที่เลิศอวยพร พูดอ้อนวอนยกยอ สอพลอประจบประแจง แสวงยกเยี่ยงมาเปรียบ เทียบที่คนการุญ ท่านใจบุญทำทาน อยู่บ้านโน้นนามนั้น ให้แพรพรรณเสื้อผ้า ปราถนาให้มานะ สละทรัพยแก่ตน บางคนเต้นรำขับ ตีโทนรับกรับฉิ่ง ร้องอ้อยอิ่งพรรณา บ้างมารยาสาไถย ทำเจ็บไข้ง่อยงก ยกท้าวก้าวจดจ้อง พอเปนคลองสังเวช แต่ล้วนเลสเล่ห์ลับ แม้จะรับการจ้าง ก็แต่อย่างเฝ้าทวาร ไม่มีการอื่นปน สันดานตนเกียจคร้าน ไม่มีเรือนถิ่นบ้าน ค่ำค้างอาไศรย ๚

แสดงในกิจเสรจสิ้น หกถาน
เวชสูทปุกกุสจัณฑาล สี่ไซ้
แม้กุศลอดีตการ ตามส่งให้เฮย
เปนคฤหบดีได้ ทั่วทั้งสี่ตระกูล
๏ กล่าวมูลประมวญกิจให้ เหนผล
คือกิจการแห่งชน สี่นั้น
ทั้งห้าอย่างตามยุบล คุณยิ่ง หย่อนแฮ
ลำดับเปนหลั่นชั้น ปราชแจ้งโดย0ขบวน
๏ หนึ่งควรกิจแพทยนั้น คุณหลาย
แก้โรคบควรตาย ห่อนม้วย
บันเทาทุเลากลาย กลับรอด ชีพนา
แพทยก็มีบำเหน็ดด้วย ประโยชน์ได้ทั้งสอง
๏ สองคลองหัวปากเกื้อ อาหาร
เปนเครื่องเลี้ยงสังขาร ชุ่มชื้น
มีประโยชน์พอประมาณ สองฝ่าย แลนา
เพราะกิจนั้นเปนพื้น ไป่ซ้องเสียงขาน
๏ สามการหัตถกิจสร้าง สิ่งสรรพ์
ทุกอย่างพัสดุอัน ช่วงใช้
คุณสองฝ่ายด้วยกัน ดั่งกล่าว นี้แล
เปนประโยชน์แก่กายไซ้ ไป่เกื้อชีวี
๏ สี่มีกิจกอบด้วย แรงตน
คุณเทียบเปรียบปานกล ช่างนั้น
แต่เปนกิจทุพล หยาบยิ่ง นักนา
จึ่งสถิตยอยู่ในขั้น สี่เบื้องกิจการ
๏ ห้าถานการขับฟ้อน เสื่อมทราม
เปนเครื่องบำรุงกาม โทษแท้
มีคุณฝ่ายเดียวตาม ตนมุ่ง หมายเฮย
ประโยชน์ท่านบมีแล้ หลอกหล้าใหลหลง
๏ ประสงค์ตามลำดับเชื้อ ชาติตน
กล่าวส่วนสันดานชน หกด้วย
ชาติกษัตริย์ย่อมอดทน มานะ นักพ่อ
สุดยากสู้ยอมม้วย ห่อนง้อวอนใคร
๏ พราหมณใจทฤฐิดื้อ สันดาน
ตั้งอาตมเปนอาจาริย เลิศล้ำ
ไป่เรียนวิทธยาการ ภายนอก กูลเลย
ถือว่าชาติอื่นกล้า เกลือกกลั้วมลทิน
๏ กระบิลชาติเวชสูททั้ง สองพันธุ
ถัทธจิตรแต่ผิดกัน อ่อนกล้า
ว่าใครไป่เทียมทัน เท่าเผ่า ตนเลย
ไว้แต่ใจบ่ออกหน้า ห่อนให้ใครเสมอ
๏ อำเภอปุกกุสทั้ง จัณฑาล
เปนมิลักขุสันดาน โง่แท้
จะกล่าวซึ่งคุลิการ สองชาติ รคนเฮย
เรียกว่าประสมพงษแม้ ไม่รู้พึงยล

ร่าย ๏ สกลชาติเวชสูทนั้น ทั้งสองพันธุเลือกคัด จัดเปนตระกูลดี แต่ว่ามีเล่ห์หลาก สภาวภาคยอ่อนกล้า ทั้งปัญญาถัทธจิตร ผิดกันบ้างเล็กน้อย ถอยลดลงตามเผ่า เหล่าชาติปุกกุสถาน จัณฑาลก็กลกัน ทั้งสองพันธุทุพลชาติ ไม่ฉลาดใจเกียจคร้าน มีสันดานหยาบคาย ขจายออกทางวาจา ทั้งกิริยาเหนประจักษุ ทุรลักษณโง่เง่า จัดเปนเผ่าพืชนทราม ตามตระกูลแห่งตน แม้กุศลส่งให้ ได้เปนคฤหบดี ทั้งสี่เหล่าเผ่าพงษ ชายเปนวงษ์ฝ่ายเวช หญิงมีเพศเดียวกัน บุตรนั้นเฉลียวฉลาด เปรื่องปราช เรืองปรีชา ทั้งปัญญาผ่องใส ว่องไวใจอาจหาญ ออนหวานทั้งวาจา กิริยาก็งดงาม เปนไปตามพงษ์เผ่า เหล่าสูททั้งสองฝ่าย บุตรนั้นคลายสักน้อย ห่อนได้ถอยขาดหลุด ชายปุกกุสจัณฑาล หญิงเผ่าปราณเดียวกัน บุตรนั้นอับปัญญา วาจาก็ห้าวหาญ ทำอาการส่อชาติ มารยาตรส่อชั่ว มักขลาดกลัวไม่อาจ ใจฉกรรจ์กาจคุกคาม หยาบหยามตามพืชนเผ่า อนึ่งเล่าประสมพงษ คือวงษสูทฤๅเวช อันพิเสศศุภชาติ สังวาศด้วยจัณฑาล ฤๅคุลิการปุกกุส สันดานบุตรเหมือนลม้าย ทั้งสองฝ่ายมั่นคง โลกยประสงค์ ข้างบิดา แม้ว่าตระกูลสูง จูงบุตรขึ้นตามตน บิดาคนต่ำทรุด โยงบุตรลงมาตาม เพราะความโลกยสังเกต เหตุชายถือมานะ เปนอิศระฝ่ายเดียว จึ่งไม่เหลียวข้างมารดา ยอมให้พาแต่ศักดิ ไม่ยอมชักสันดาน ถานที่สัตวปฏิสนธิ อาไศรยชนทั้งสอง โดยคลองความดั่งนี้ จะแสดงเรื่องเทียบชี้ ชักข้ออุปมา ๚

มีมหาสมุทเลิศล้ำ หลั่งไหล
ชลบริสุทธิเยนใส สอาดน้ำ
อีกแห่งหนึ่งชลาไลย ใหญ่เท่า กันนา
แต่อุทกดำคล้ำ ขุนข้นมนหมอง
๏ ขุดคลองให้ตลอดน้ำ ถึงกัน
น้ำที่กลางคลองอัน ขุดไว้
จะมีลักษณศรีสัณ ฐานดั่ง ฤๅพ่อ
ว่าขุ่นฤๅใสไซ้ ส่วนน้ำกลางคลอง
๏ ข้อสองขาวฝุ่นสิ้น ราคี
ตวงส่วนประสมสี หมึกแล้
กวนให้สนิทกันดี แล้วพิศ ดูเทอญ
เปนฝุ่นฤๅหมึกแท้ ที่เคล้ากวนผสม

ร่าย ๏ อย่านิยมแต่ฝ่ายเดียว จงเฉลียวด้วยปัญญา ท่านว่าสาโลหิต พินิจตามเหตุผล สันดานชนทั้งสองนั้น คือขวัญมรฎก ยกให้ไว้แก่บุตร เปนอุตรนิไสย บุตรรับไว้สองข้าง เหมือนพ่อบ้างแม่ด้วย สองช่วยกันอุปการ ซึ่งสันดานแห่งบุตร โดยยุติธรรมดา คำว่าโง่แกมหยิ่ง ได้แก่สิ่งประสมพงษ หยิ่งเนื่องวงษข้างโต โง่แนวพันธุข้างเตี้ย ห่อนได้เสียพืชนเดิม แม้บุญเติมส่งซ้ำ ดุจดั่งคำขวางลิ่ม บ่ได้นิ่มนุ่มนวน ชวนจะไปข้างทุพล คบคนมีพาศนา ทลึ่งหาแต่ที่สูง เข้าปนฝูงบริสุทธิ อยากให้ฉุดอาตมา ดั่งกิ้งก่าทาบทอง พาตัวพองอวดเพื่อน กลบเกลื่อนเงื่อนสลาย ก็บ่หายประสมชาติ ด้วยมารยาดเวรตน ให้ชาวชนประจักษ์ โดยลักษณาการ บ่ละลันดานทั้งสอง โดยคลองดุจบรรยาย ชนทั้งหลายเกิดมา ร่วมบิดาเดียวกัน เปนพืชนพันธุ์พงษเวช พิเศษด้วยเผ่าปราณ มีสันดานผิดแผก แปลกต่างกันพี่น้อง บุตรท้องภรรยาเอก สันดานเฉกหินชาติ บุตรเมียทาษฉลาดเฉลียว บิดาเดียวต่างไป ควรสงไสยเมียเอก เสกสันในศักดิเวช พิเศษชาติสองฝ่าย เหตุใดกลายไปฉนี้ จะชี้ให้เหนชัด ด้วยจัด หญิงเปนสาม ตามโลกยกัติกา ชื่อว่าเอกอนุทาษ โดยสันนิพาศนทั้งสอง ปองบริรักษภักดี สวามียกยอยศ ไม่กำหนดพืชนพันธุ บุตรนั้นจึ่งตามเผ่า อย่างหนึ่งเล่าเหล่าเวช อาเภทด้วยอกุศล ยากจนลงเปนทาษ ในประมาทบ่เกรงยำ คือคำบ่เปนถนิม แปดน้ำอิ่มผ่องใส เอาไปชุบแช่ส้ม ฤๅจะต้มด้วยเกลือ ห่อนตกเนื้อแปดน้ำ ไม่หมองคล้ำบริสุทธิ บุตรจึ่งเปนตามพันธุ คนทุกวันเกิดมา โดยธรรมดาตามเผ่า จะผ่าเหล่ามีน้อย ถึงคล้อยไม่ฃาดหลุด เปนชาติบุตรทั้งสาม ตามท่านกล่าวแต่ก่อน เพียงหย่อนบ้างยิ่งบ้าง เปนต่างเพราะบุรพกรรม สนองนำจึงผิดเพศ หนึ่งเวชจะสูญวงษ คือประสมพงษชาติต่ำ อกุศลซ้ำส่งให้ นิยมในหินชาติ เพราะหมายมาดมุ่งทรัพย นับหน้าบ่หาเหล่า จึ่งสูญเผ่าพงษ์พืชน จางจืดลงทุกชั่ว พาตัวต่ำลงด้วย หากทรัพยช่วยเกื้อหน้า ดูเหมือนว่าพงษเผ่า ห่อนเสร้าหมองข้องขัด ยามวิบัติทรัพย์ฉิบหาย กลับกลายเปนหินชาติ วิปลาศทั้งสันดาน จัณฑาลกลับเปนเวช ก็มีเลศดุจเดียว ปราชจงเฉลียวใจสลด จะกำหนดเผ่าพันธุ์ ก็แปรผันบ่มิเที่ยง เลี่ยงลงหาอนิจจัง ไม่ได้ตั้งยั่งยืน บ่ควรชื่นด้วยชาติเชื้อ แม้กุศลไป่เกื้อ อาจให้เสื่อมสูญ ๚

สี่ตระกูลบุญส่งให้ เจริญศรี
กอบยศคฤหบดี พ่อบ้าน
บริบูรณทรัพยมากมี บุญช่วย ตนแล
อย่าหลู่กุศลเกียจคร้าน ก่อซ้ำระนำถม
๏ สมบูรณเพราะพระเจ้า จอมสกล
ทรงทรนุกบำรุงตน แต่งตั้ง
ประทานยศจึ่งเกิดผล ภูลลาภ เนืองนา
คิดพระคุณอย่าพลั้ง ค่ำเช้าทุกวัน
๏ จงผูกพันธ์ซึ่งข้อ ปฏิบัติ
เจริญสุขศิริสวัสดิ์ ภาคหน้า
คือคหบดีนุวัตร ยลเยี่ยง เทอญพ่อ
เยนทั่วโลกตลอดหล้า ราษฎร์ไหว้สรเสริญ
๏ เชิญสดับอนุสาสนข้อ คำสอน
เรียงเรียบรเบียบกลอน กล่าวไว้
ควรขุนคิดสังวร เวียรวากย เทอญพ่อ
สำหรับข้าบาทไท้ ท่านท้าวทรงธรรม

ร่าย ๏ ขุนจงจำคำสอน ขุนผันผ่อนโดยชอบ ขุนประกอบการแกล้ว ขุนคิดแผ้วข้าศึก ขุนอย่านึกไม่สู้ ขุนรู้มีมานะ ขุนอย่าละองอาจ ขุนเปนชาติเชื้อชาย ขุนคิดอายแก่จิตร ขุนอย่าคิดครั่นคร้าม ขุนอย่าขามปฏิปักย ขุนอย่ารักชีวิตร ขุนอย่าคิดกลัวตาย ขุนอย่าเสียดายครอบครัว ขุนอย่ามัวรักกาม ขุนคำรามริปู ขุนจงชูเกียรติท้าว ขุนแสดงห้าวกล่าวชาญ ขุนแสดงหาญกล่าวกล้า ขุนรักษาอาณาจักร ขุนบริรักษ์ท่านได้ ขุนอย่าให้ศึกหมิ่น ขุนอย่ากินสองหม้อ ขุนอย่าก่อเท่ารึง ขุนรำพึงถึงเจ้า ขุนอย่าเกลาเสี้ยมเสี้ยน ขุนอย่าเหี้ยนอาณาเฃตร ขุนสังเกตเบาหนัก ขุนเปนหลักราชกิจ ขุนจงคิดเข้าแดง ขุนอย่าแขงต่อท้าว ขุนค่อยน้าวโน้มทูล ขุนประมูลราชทรัพย ขุนอย่ากลับฉ้อหลวง ขุนจงหน่วงทางผิด ขุนจงคิดซื่อสัตย ขุนอย่าขัดทางชอบ ขุนประกอบการเมือง ขุนอย่าเงื่องงมเซ่อ ขุนอย่าเพ้อพูดมาก ขุนอย่าอยากสิ่งแสลง ขุนอย่าแหนงนึกร้าย ขุนอย่าหน่ายราชกิจ ขุนจงคิดผดุงราษฎร์ ขุนอย่ามาดผดุงพาล ขุนสงสารพลไพร่ ขุนมีใจกรุณา ขุนสัจจาถ้อยคำ ขุนแม่นยำบังคับ ขุนจงดับคดี ขุนอย่ามีใจโลมภ ขุนอย่าโลภเล็งทรัพย ขุนอย่ารับสินบน ขุนอย่าค้นใต้ดิน ขุนจงกินแต่ควร ขุนประมวญเหตุตริ ขุนดำริห์ให้แม่น ขุนแกว่นให้มั่นคง ขุนอย่าหลงหญิงงาม ขุนอย่าตามใจเมีย ขุนคิดเสียคิดได้ ขุนอย่าไพล่ข้อคดี ขุนอย่ามีใจเมา ขุนอย่าเข้าคนผิด ขุนจำปิดความอำ ขุนอย่าทำใจร้าย ขุนอย่าหมาย ฉ้อราษฎร์ ขุนฉลาดพิจารณ์ความ ขุนกล่าวตามที่ถ่อง ขุนสอดส่องว่องไว ขุนอาไลยไพร่พล ขุนค้นด้วยปัญญา ขุนมองหาอุบาย ขุนยักย้ายผันผ่อน ขุนคิดหย่อนค่าเสบียง ขุนเลี้ยงราษฎรขื่น ขุนอย่ากลืนแต่ตัว ขุนอย่ามัวจมปลัก ขุนอย่าควักไข่หิน ขุนอย่ากินที่มืด ขุนหว่านพืชนหาผล ขุนเลี้ยงคนที่ฉลาด ขุนคาดด้วยปัญญา ขุนจงหาคนซื่อ ขุนจงถือคนตรง ขุนอย่าหลงปากเพราะ ขุนอย่าเพาะเข้าลีบ ขุนอย่าถีบกะตัก ขุนจงรับการชอบ ขุนประกอบการถูก ขุนอย่าปลูกต้นหญ้า ขุนแสวงหาชอบธรรม ขุนเชื่อกรรมเชื่อผล ขุนสร้างกุศลเปนทุน ขุนหาบุญใส่ตัว ขุนอย่ากลัวเปือกตม ขุนอย่าจมในมูล ขุน อย่าพูลเพิ่มบาป ขุนอย่าหยาบสำราก ขุนอย่าถากคนจน ขุนอย่าบ่นเย้ยเยาะ ขุนสงเคราะห์เพื่อนฝูง ขุนจงจูงเพื่อนข้า ขุนจงหาแต่แก่น ขุนจงแกว่นแต่เนื้อ ขุนอย่าเชื่อคนอสัตย ขุนจงคัดทิ้งเปลือก ขุนจงเลือกซึ่งกะพี้ ขุนประพฤติดั่งนี้ ท่านนั้นควรขุน ๚

กล่าวคุณหกชาติไว้ หวังเฉลิม
ประดับปัญญาปราชเติม สติบ้าง
ไป่เปนซึ่งคำเสริม สังวาศ กามนา
ล้วนแต่ความสัตยอ้าง ห่อนได้หันเหียน
๏ ปราชอย่าเตียนว่าถ้อย คำดาด
เปนแต่สำนวนตลาด เล่นลิ้น
ไม่สมที่พงษปราช สืบเผ่า กลอนเอย
ถ้อยที่เกลาบดีดดิ้น ไม่พริ้งเพราะเพรา
๏ เกลากลอนโดยถ่องถ้อย คำสยาม
ทรนุกกลอนแลความ เท่านั้น
เปนวิชาใช่คำกาม เสริมราค ยวนเฮย
ติดศัพท์นักมักอั้น อกผู้ประสงค์ความ
๏ พยายามกล่าวเรื่องไว้ โดยควร
เพื่อปราชใดไต่สวน อ่านอ้าง
คำสอนย่อมขวางขบวน แหล่งโลก นิยมนา
คงชอบมิชอบบ้าง เที่ยงแท้ทำนาย
๏ หมายเตือนสติให้ มีเจริญ
สุจริตย่อมสรรเสริญ ทั่วหล้า
แม้ไม่ชอบแล้วเชิญ ตามชอบ เทอญพ่อ
อย่าว่าเรื่องราวบ้า ว่านั้นบอเอง
๏ เพลงสาสนปราชติแล้ว เรียมกลัว
พาลกล่าวเตียนเรียมหัว เยาะให้
เรียมกล่าวผิดเตียนตัว เรียมชอบ แล้วนา
เรียมกล่าวชอบติไซ้ โทษแท้ผู้เตียน
๏ เพียรแต่งจบเสร็จสิ้น สำนวน
ที่กล่าวควรมิควร โปรดบ้าง
จงตรองตฤกตามขบวน ตลอดเรือง จบเทอญ
ฃออย่าโยนสมุดขว้าง สุขหล้าจักสูญ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ