ตอนที่ ๘

หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมอาลักษณ์ ฝ่ายพระราชวังบวรฯ แต่ง

๏ จะกล่าวถึงนางแขกแปลกชาติต่ำ กายาดำมิดหมีเหมือนสีหมึก
ชื่อว่านางบาบีดูพิลึก ชายเห็นแล้วไม่นึกจะเชยชม
เกศาหยิกยุ่งเหยิงดังเชิงฟัก เป็นสีจัก
เวียนขวาที่หน้าผม
อีกหน่วยตาทั้งสองก็พองกลม ฟันขาวราวกับอมเอาเบี้ยไว้
ริมฝีปากหนาเหลือแคมเรือมาด ดูประหลาดไม่น่าชิดพิสมัย
สองถันยาวย้อยห้อยลงไป จะหาสิ่งชอบใจก็ไม่มี
นุ่งห่มตามประเทศข้างเพศแขก ดูก็แปลกตาละม้ายคล้ายภูตผี
อยู่กับผัวสุขสบายมาหลายปี ในแว่นแคว้นบุรีพาลุกา
ครั้นสามีมอดม้วยด้วยโรคร้าย นางเป็นม่ายแสนรำคาญนานนักหนา
ต้องวิโยคโศกเศร้าเปล่าอุรา ระลึกถึงภัสดายิ่งอาวรณ์
โอ้พ่อคุณทูนหัวของเมียเอ๋ย มาละเลยน้องไว้หนีไปก่อน
ดั่งชีวิตเมียจะปลิดลงขาดรอน นางสะท้อนถอนใจพิไรครวญ
ยามนอนพ่อเจ้าเฝ้ากอดกก ไว้แนบอกมิได้วางห่างสงวน
ถนอมเมียมิให้หมองละอองนวล พ่อมาด่วนปลดปลิดชีวิตไป
เมื่อยามกินน้ำท่าอีกอาหาร ได้ชื่นบานเห็นผัวก็ผ่องใส
ตั้งแต่นี้จะผินพักตร์ไปพึ่งใคร นางร่ำไรนอนหลับระงับลง
ไม่สนิทนิทราเวลาดึก นางนิ่งนึกหลากจิตพิศวง
พอแจ่มแจ้งแสงศรีสุริยง ก็เดินตรงรีบออกมานอกชาน
แล้วลงจากเคหาเหมือนบ้าหลัง เที่ยวเซซังไปทั่วทุกสถาน
ให้คิดถึงสามีที่วายปราณ แต่งุ่นง่านหาคู่อยู่หลายปี ฯ
๏ จะกล่าวกลับจับความตามประสงค์ ถึงเอกองค์สุริยพันธุ์อันเรืองศรี
เมื่อกัปตันปล่อยไว้ไม่ไยดี ในเขตแดนธานีพาลุกา
ไม่รู้จะเดาด้นไปหนไหน ก็ร่ำไรดิ้นโดยไห้โหยหา
โอ้เวรกรรมปางหลังได้สร้างมา เห็นชีวาจะไม่รอดตลอดไป
แล้วครวญคิดถึงมิสกอปเปอ ให้พร่ำเพ้อเศร้าสร้อยละห้อยไห้
พี่จากเจ้าดังใครล้วงเอาดวงใจ ทำไฉนจะได้พบประสบกัน
โอ้เนื้อเย็นนงเยาว์ขวัญข้าวเอ๋ย เมื่อไรเลยจะได้กลับไปรับขวัญ
พึ่งเชยชิดโฉมงามได้สามวัน กรรมมาทันต้องพรากจากน้องยา
หรือชาติก่อนเราสองได้พรากสัตว์ ให้คู่เคล้าเขาพลัดกระมังหนา
เวรนั้นตามสนองเราสองรา จึงบิดาของน้องข้องเคืองใจ
แกล้งพรากพี่มิให้อยู่เป็นคู่ชิด ช่างปลดปลิดมาปล่อยก็เป็นได้
ปรารถนาให้ชีวิตพี่บรรลัย อยู่ที่ในเมืองป่าพนาวัน
แล้วหวนคิดถึงบิดามาตุเรศ เคยปกเกศเป็นสุขเกษมสันต์
ได้ร่มเกล้าเช้าเย็นเป็นนิรันดร์ พระคุณนั้นเหลือล้นคณนา
โอ้ป่านนี้จะคะนึงถึงลูกน้อย ตั้งแต่คอยอยู่ไม่เว้นเคยเห็นหน้า
ได้ขึ้นเฝ้าเบื้องบาทมิคลาดคลา ลูกจากมาพระจะเศร้าเปล่าฤทัย
ยามสรงยามเสวยจะเลยละ พระโรคจะบังเกิดเพราะโหยไห้
แม้นทราบว่าลูกยากลำบากใจ จะร่ำไรเพียงชีวันสวรรคต
โอ้ว่าพระทูลเกล้าของลูกแก้ว นับวันแล้วชีวิตคงปลิดปลด
ไหนจะได้สนองคุณพระทรงยศ ยิ่งกำสรดให้สะอื้นกลืนน้ำตา
แล้วคิดถึงจันทรพงศ์ผู้เพื่อนเข็ญ น้ำตากระเด็นซึมชาบลงอาบหน้า
ตั้งแต่วันเรือแตกแยกกันมา ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายหรือดี
โอ้เพื่อนยากของพี่นิจจาเอ๋ย เราได้เคยเห็นพักตร์กันสองศรี
มาพลัดพรากจากไปในวารี ขออย่ามีอันตรายถึงวายปราณ
จะได้นำข่าวไปแจ้งแถลงเหตุ แก่องค์พระบิตุเรศให้ทราบสาร
ว่าพี่นี้สูญสิ้นชนมาน ถึงแก่กาลมรณาชีวาลัย
พระครวญพลางย่างเยื้องยุรยาตร แสนอนาถเวทนาน้ำตาไหล
อดอาหารอ่อนระหวยงงงวยไป จะผินพักตร์พึ่งใครก็ไม่มี
เดินพลางทางทรงกันแสงไห้ ยิ่งเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจในวิถี
ไม่รู้แห่งจะไปหนใดดี พอถึงที่โรงร้างห่างผู้คน
จะเหลียวซ้ายแลขวาให้ว้าเหว่ ยิ่งรวนเรอ้างว้างอยู่กลางหน
ทั้งแดดผ่าวเผาร้อนอ่อนกมล เหนื่อยเหลือทนหยุดพักพอเย็นใจ ฯ
๏ ฝ่ายว่านางบาบีนารีแขก ตั้งแต่แรกผัวรักนั้นตักษัย
ไม่มีสุขโศกเศร้าเปล่าฤทัย ก็เที่ยวไปหาคู่อยู่เป็นนิตย์
เมื่อวันหนึ่งเผอิญไปใกล้ฝั่งน้ำ นางแขกดำค่อยคลายสบายจิต
เห็นโรงร้านร่มแฝงแสงอาทิตย์ ในใจคิดหยุดรอพอสบาย
นางเดินตรงเข้าไปจนใกล้ชิด เห็นทรงฤทธิ์งามเลิศโฉมเฉิดฉาย
ยืนพินิจพิศทั่ววรกาย นึกมั่นหมายสมจิตที่คิดไว้
จึ่งเอื้อนโอษฐ์พจนาภาษาแขก นี่พ่อแปลกหน้ามาแต่หนไหน
ช่างมาอยู่ผู้เดียวน่าเปลี่ยวใจ อยากจะใคร่แจ้งความแต่ตามจริง
หรือพลัดพรากบ้านเมืองได้เคืองเข็ญ หรือเนื้อเย็นมาเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง
ข้าสงสัยใจจิตติดประวิง อย่านั่งนิ่งจงแจ้งแสดงความ ฯ
๏ ฝ่ายองค์สุริยพันธุ์ผันพระพักตร์ พระรู้จักภาษานางแขกถาม
เพราะพูดได้หลายชนิดไม่คิดคร้าม จึงตอบตามคำแขกให้เข้าใจ
ตัวเราเป็นพ่อค้านาวาล่ม เจียนจะจมคงคาไม่คืนได้
กับน้องรักร่วมครรภ์พลัดกันไป ก็เล่าให้นางฟังแต่หลังมา ฯ
๏ นางแขกดำสดับสารสำราญจิต ฤทัยคิดจะใคร่ร่วมเสน่หา
ให้ปลาบปลื้มลืมผัวที่มรณา ประหนึ่งว่าเสวยสวรรค์ชั้นวิมาน
แล้วจึงว่าแสนสมเพชพ่อทูนหัว เป็นบุญตัวรอดมาน่าสงสาร
เราจะพาไปไว้ให้สำราญ ยังสถานที่เหย้าของเรามี
จะถนอมมิให้หน่ายระคายข้อง เป็นคู่ครองร่วมภิรมย์ประสมศรี
ได้เป็นสุขทุกทิวาและราตรี จงปรานีเราบ้างอย่าหมางเมิน ฯ
๏ พระฟังคำนางแขกพูดแปลกหู ให้อดสูในจิตคิดขวยเขิน
ประเดี๋ยวนี้ก็จะใส่เสียให้เยิน อย่าเชื้อเชิญให้ยากไม่อยากไป
สัญชาติแขกแปลกนอกศาสนา ไม่คบค้าร่วมชิดพิสมัย
จะก้มหน้าสู้ม้วยชีวาลัย อย่าร่ำไรพูดล่อไม่ขอฟัง ฯ
๏ นางสดับน้ำถ้อยน้อยหรือนั่น ช่างรำพันจะให้ขาดสวาทหวัง
พ่อมาเกลียดผู้หญิงเสียจริงจัง เออใครมั่งเช่นนี้ไม่มีเลย
นับประสาว่าจะเที่ยวไปเกี้ยวชู้ นี่มาอยู่ใกล้ผู้หญิงยังนิ่งเฉย
ช่างตัดไมตรีได้ไม่หมายเชย พ่อคุณเอ๋ยอย่าเมินขวยเขินใจ
ว่าพลางขยับกายเข้าใกล้ชิด อย่าเบี่ยงบิดผินหน้ามาปราศรัย
ให้ข้าชมพอชื่นรื่นฤทัย จะมาตัดเยื่อใยไปข้างเดียว ฯ
๏ พระฟังคำน้ำถ้อยแล้วถอยหนี อย่าเซ้าซี้พูดมากไม่อยากเกี้ยว
มันไม่น่าชื่นชมจะกลมเกลียว ข้าเหม็นเขียวเหม็นขืนกลืนไม่ลง
จะหางามสักนิดก็ไม่ได้ นี่หรือใครจะปองต้องประสงค์
อีแขกดำต่ำชาติตระกูลวงศ์ ใครจะจงจิตรักสมัครมึง
ช่างหน้าด้านนี่กระไรไม่อดสู ใครจะสู้เอ็งได้ไม่มีถึง
อย่ากวนใจมาเฝ้าพะเน้าพะนึง ทำทะลึ่งไม่เสงี่ยมคิดเจียมตัว ฯ
๏ นางฟังคำชำเลืองค้อนแสนงอนแขก ดูท่าแปลกนักหนาน่าใคร่หัว
แล้วจึงตอบวาจาว่าอย่ากลัว ถึงรูปชั่วตัวดำน้ำใจดี
ซึ่งพ่อว่าหยาบคายข้าไม่ถือ จะดึงดื้อเฝ้าสำออยไม่ถอยหนี
ไปกว่าพ่อจะเมตตามีปรานี นางเข้าเบียดเสียดสีให้ยวนใจ ฯ
๏ พระเคืองแค้นแสนโกรธพิโรธนัก สองหัตถ์ผลักมิให้เข้ามาใกล้
จนสุริยนยอแสงลงไรไร ทำไฉนจะหนีด้นไปพ้นมัน
แล้วตรองตรึกนึกว่าถ้ามันโกรธ จะทำโทษตัวเราให้อาสัญ
ด้วยใจป่าดุร้ายหยาบคายครัน ต้องผ่อนผันพอให้รอดตลอดไป
จำจะต้องทำทีใจดีต่อ แล้วพูดล่อขอสัตย์ให้จงได้
พอเป็นสิ่งสำคัญที่มั่นไว้ ได้วางใจหายวิตกในอกเรา
จึงเอื้อนอรรถตรัสพลางแน่นางแขก เราก็แปลกภาษากับตัวเจ้า
จะพาข้าไปอยู่เป็นคู่เคล้า แม้นหนักเบาเบื้องหน้าอย่าฆ่าตี
จงให้สัตย์ปฏิญาณสาบานไว้ ข้าจะได้วางใจไม่หน่ายหนี
ถ้าแม้นเจ้าจงรักภักดีมี อย่าช้าทีนิ่งนานสาบานไป ฯ
๏ นางแขกได้สดับคำสำราญรื่น ความแช่มชื่นยินดีจะมีไหน
จะให้สัตย์สาบานในทันใด ถ้าข้าไม่นับถือไม่ซื่อตรง
ขอให้พระเป็นเจ้าของเรานี้ ผลาญชีวีข้ากระจุยเป็นผุยผง
อย่าให้รอดตลอดไปเหมือนใจจง ถ้าปลดปลงขอให้ไปนรก ฯ
๏ พระฟังคำนางแขกสาบานแล้ว ค่อยผ่องแผ้วเคลื่อนคลายวายวิตก
เหมือนคีรีทับอยู่มีผู้ยก ไปจากอกเสียได้หายรำคาญ
ต้องจำใจจำจนทนไปก่อน ค่อยผันผ่อนคืนหลังยังสถาน
ใช่เราจะอยู่ไปจนวายปราณ พอสำราญรอดตายวายชีวี ฯ
๏ ส่วนนางแขกให้สัตย์สำเร็จแล้ว ยิ่งผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมศรี
นางเข้ากอดเคล้าคลึงจึงพาที ขอเชิญพ่อจรลีสู่เรือนเรา
จะได้กินน้ำท่าอีกอาหาร ให้ชื่นบานหายวิโยคที่โศกเศร้า
จงหักใจเสียบ้างพอบางเบา นางก็เข้าจูงกรวอนปลอบไป ฯ
๏ ฝ่ายพระหน่อบพิตรให้คิดเขิน ค่อยดำเนินตามนางไม่ห่างได้
พอเพลาสิ้นแสงอโณทัย มาถึงบ้านทันใดในราตรี
จึงขึ้นสู่เคหาน้ำตาตก ให้ร้อนอกดังเอาไฟมาจ่อจี้
ยิ่งโศกเศร้าในอารมณ์ไม่สมประดี พระโศกีร่ำไห้อยู่ไปมา
นางแขกดำซ้ำปลอบให้ชอบจิต จงวายคิดโศกเศร้าฟังเราว่า
ขอเชิญพ่อดวงใจเข้าไสยา จะโศกาครวญคร่ำไปทำไม
อันเราท่านเกิดมาในหล้าโลก ทุกข์กับโศกมิได้สิ้นอย่าสงสัย
พระเป็นเจ้าดาลดลต้องทนไป ทำกระไรได้หนอนะพ่อคุณ
ว่าพลางเข้าเคลียคลอพระหน่อนาถ ไม่คลาคลาดกลมเกลียวยิ่งเฉียวฉุน
เหมือนฟืนฝอยต้องไฟไหม้เป็นจุรณ ก็หมกมุ่นเสียเล่ห์ประเวณี
เหมือนทารกเกลียดยาไม่เข้าใกล้ แต่ผู้ใหญ่ฝืนอารมณ์เข้าข่มขี่
ต้องจำใจจำกินไม่ยินดี จึงเสียทีเสียตัวเป็นผัวเมีย
ให้เกลียดเหลือเมื่อหน่ายอายอดสู ก็ไม่รู้ที่จะไปข้างไหนเสีย
ยิ่งร้อนอกหมกไหม้ดังไฟเลีย ให้ละเหี่ยแสนละห้อยเศร้าสร้อยใจ
ครั้นจะหนีก็จะได้แต่ความยาก แสนลำบากเพราะไม่มีที่อาศัย
ต้องจำจนทนสู้กัดฟันไป กว่าจะได้ท่วงทีจึงหนีเร้น ฯ
  1. ๑. สีจัก ลักษณะกาลกิณีของหญิง มี 3 อย่าง คือ สีจัก ยักหล่ม ถ่มร้าย สีจักคือมีขวัญที่แสกหน้า ยักหล่ม คือมีรอยบุ๋มที่สะบักทั้งสองข้าง และถ่มร้าย คือ น้ำลายมีกลิ่นเหม็นเน่า

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ