ตำนานเมืองธนบุรี

เรื่องความเป็นมาของเมืองธนบุรีนี้ มีในหนังสือภูมิศาสตร์ประเทศสยาม

ข้อความดังนี้

“เมืองธนบุรีเดิมตั้งอยู่ในคลองบางกอกใหญ่ ตรงวัดคูหาสวรรค์ หรือที่เรียกว่า วัดศาลาสี่หน้า เมื่อรัชกาลสมเด็จพระชัยราชาธิราช สมัยกรุงศรีอยุธยา โปรดให้ขุดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ปากคลองบางกอกน้อยเดี๋ยวนี้ มาถึงปากคลองบางกอกใหญ่ที่ตรงวัดอรุณราชวราราม คลองนั้นนานมากลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา จึงย้ายเมืองธนบุรีมาตั้งป้อมปราการขึ้นที่ตรงวัดอรุณราชวราราม หรือที่เรียกกันว่าวัดแจ้งเดี๋ยวนี้ ปรากฏในพงศาวดารครั้งรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์สมัยกรุงศรีอยุธยาว่า โปรดให้เจ้าพระยาวิชเยนทร์เป็นแม่กองสร้างป้อมขึ้นที่เมืองพิษณุโลกและเมืองธนบุรี ภายหลังเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าข้าศึกในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ พระเจ้าตากสินได้พยายามปราบปรามพม่า คืนความอิสรภาพมาได้อย่างเดิม และได้ยกเมืองธนบุรีขึ้นเป็นราชธานีในปลาย พ.ศ. ๒๓๑๐ นั้น ขนานนามว่า “กรุงธนบุรี” นับแต่นั้นมา กรุงธนบุรีจึงเป็นเมืองหลวงของประเทศสยามอยู่จน พ.ศ. ๒๓๒๕ นับได้ ๑๕ ปี พระราชวังเดิมของพระเจ้าตากสิน ซึ่งบัดนี้เป็นโรงเรียนนายเรือ

นั้น อยู่ติดกับวัดอรุณราชวราราม ซึ่งมีพระปรางค์อันสูงตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พระปรางค์นี้เดิมสูง ๑๖ เมตร มีอยู่แล้วก่อนสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี ครั้นรัชกาลที่ ๓ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างสวมพระปรางค์เดิมให้สูงใหญ่ขึ้นเป็นสูง ๖๗ เมตร นับว่าสูงกว่าพระปรางค์อื่น ๆ ในประเทศสยาม สถานที่นอกจากนี้ มีกระทรวงทหารเรือ และอู่เรือของรัฐบาล และวัดอันงดงามอีกหลายแห่ง

วัดศาลาสี่หน้าในครั้งโบราณกาล เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเทวปฏิมากร ครั้นถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้โปรดฯ ให้อัญเชิญมาเป็นพระธานในพระอุโบสถวัดพระเชตุพนฯ และได้พระราชทานนาม วัดศาลาสี่หน้า ใหม่ว่า วัดคูหาสวรรค์

วัดคูหาสวรรค์ อยู่ในคลองบางกอกใหญ่ แขวงคูหาสวรรค์ เขตภาษีเจริญ ถ้าจะลำดับวัดในคลองนี้ ตอนจากวัดคูหาสวรรค์ออกมาทางนอก หรือทางใต้ ก็มีวัดลำดับได้ดังนี้ คือ วัดคูหาสวรรค์ วัดกำแพง วัดทองศาลางาม วัดนวลนรดิศ วัดประดู่ฉิมพลี พอออกมาถึง ๓ แยก

ถ้าจะแยกไปทางใต้ก็ผ่านหน้าวัดปากน้ำ ออกคลองด่านหรือคลองบางขุนเทียน ตลอดไปจนถึงคลองมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร และข้ามไปยังคลองแม่กลอง หรือคลองสุนัขหอน จนถึงจังหวัดสมุทรสงคราม สมัยโบราณถ้วเดินทางเรือไปยังจังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดเพชรบุรี หรือจะไปจังหวัดราชบุรี จังหวัดกาญจนบุรี โดยมากก็เดินทางสายนี้

แต่ถ้าเมื่อถึง ๓ แยก (ข้างวัดปากน้ำ) แล้วจะเลี้ยวออกไปทางปากคลองบางกอกใหญ่ ก็จะถึงวัดบางยี่เรือ ซึ่งมีวัดเรียงลำดับออกไปดังนี้

๑. วัดบางยี่เรือในหรือวัดบางยี่เรือเหนือ หรือวัดราชคฤห์ ซึ่งได้รับพระราชทานนามนี้เมื่อรัชกาลที่ ๑

๒. วัดบางยี่เรือกลาง หรือวัดกลาง หรือวัดจันทาราม ซึ่งได้รับพระราชทานนามนี้ เมื่อรัชกาลที่ ๓

๓. วัดบางยี่เรือนอก หรือวัดบางยี่เรือใต้ หรือวัดอินทาราม ซึ่งได้รับพระราชทานนามนี้เมื่อรัชกาลที่ ๓

(จากหนังสือ ตำนานพระอารามหลวง)

อนึ่ง สมัยกรุงธนบุรี วัดบางยี่เรือนอกเป็นวัดสำคัญ เป็นวัดที่พระราชทานเพลิงพระศพเจ้านายและศพขุนนาง ดังปรากฏตามหมายรับสั่งนั้น เหตุผลเข้าใจว่า เพราะในบริเวณ ๓ แยกนั้น คงเป็นศูนย์การค้าทั้งสินค้าขาออก ทั้งสินค้าขาเข้า เป็นด่านเก็บภาษีอากรขนอนตลาด เป็นที่ชุมนุมชน เป็นทำเลทำให้เศรษฐกิจคล่องตัว โดยเฉพาะแยกทางบางยี่เรือก็คงเป็นเช่นเดียวกัน ฉะนั้น จึงเกิดมีวัดหลายวัด เป็นวัดใหญ่โต และเป็นพระอารามหลวง

  1. ๑. หนังสือภูมิศาสตร์ประเทศสยามนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้ขอร้องไปยังมณฑลต่าง ๆ ให้ช่วยรวบรวมตำนานของจังหวัดในมณฑลนั้น ๆ เมื่อกระทรวงได้ต้นฉบับมาแล้ว จึงมอบให้กรมตำรา ซึ่งมีหน้าที่จัดการตรวจแต่งและพิมพ์แบบเรียนเป็นผู้จัดทำ ครั้นเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เพื่อให้เรื่องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จึงได้นำถวายสมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงตรวจแก้ไขเพิ่มเติม หนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๘

  2. ๒. โรงเรียนนายเรือ ปัจจุบันนี้ (พ.ศ. ๒๕๒๓) เป็นที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพเรือ

  3. ๓. แต่บัดนี้เป็น ๔ แยก เพราะได้ขุดคลองภาษีเจริญขึ้นในรัชกาลที่ ๔ ปี จ.ศ. ๑๒๒๙ (พ.ศ. ๒๔๑๐) เปรดฯ ให้พระยาพิสณฑ์สมบัติบริบูรณ์ (ยิ้ม พิศลยบุตร) ครั้งยังมีบรรดาศักดิ์เป็นพระภาษีสมบัติบริบูรณ์ เป็นแม่กองขุดคลอง (จากประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๕)

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ