นิราศพระแท่นดงรัง
(ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๖๖ ต่อไปนี้ ปัจจุบันเข้าใจว่าเป็นนิราศพระแท่นดงรัง สำนวนนายมี ดูเพิ่มเติม นิราศพระแท่นดงรัง ของสามเณรกลั่น - บ.ก.)
๏ นิราศรักหักใจอาไลยหวน | |
ไปพระแท่นดงรังตั้งแต่ครวญ | มิได้ชวนขวัญใจไปด้วยกัน |
ด้วยอยู่ห่างต่างบ้านนานนานปะ | เหมือนเลยละลืมนุชสุดกระสัน |
แต่น้ำจิตรคิดถึงทุกคืนวัน | จะจากกันทั้งรักพะวักพะวน |
ในปีวอกนักษัตรอัฐศก | ชตาตกต้องไปถึงไพรสณฑ์ |
ลงนาวาน่าวัดพระเชตุพน | พี่ทุกข์ทนถอนใจครรไลจร |
เหลืออาไลยเหลียวหลังจะสั่งน้อง | เฝ้ามองมองมุ่งเขม้นไม่เห็นสมร |
เห็นวัดโพโสภาสถาพร | สง่างอนงามพริ้งทุกสิ่งอัน |
โอ้วัดโพเปนวัดกระษัตริย์สร้าง | ไม่โรยร้างรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์ |
แต่ตัวเรียมร้างนุชสุดรำพรรณ | สักกี่วันจะได้คืนมาชื่นชม |
ขอเชิญเทพรักษามาระศรี | อย่าให้มีอันตรายเท่าปลายผม |
ถึงคนอื่นขืนแขงมาแต่งลม | ขออย่าให้ทรามชมนั้นยอมยิน |
พี่สั่งพลางโศกพลางมากลางน้ำ | ถึงน่าตำหนักแพกระแสสินธุ์ |
เห็นนางในใสสดหมดมลทิน | ทำดีดดิ้นดัดจริตสกิดกัน |
พี่ชมโฉมนางงามเมื่อยามโศก | แสนวิโยคถึงนุชสุดกระสัน |
ทำเมินเฉยเลยลับไปฉับพลัน | พี่กลืนกลั้นอาไลยไว้ในทรวง |
มาตะบึงถึงคลองบางกอกน้อย | ยิ่งเศร้าสร้อยเสียใจเปนใหญ่หลวง |
โทมนัศกลัดกลุ้มถึงพุ่มพวง | จนเลยล่วงครรไลเข้าในคลอง |
เห็นตลาดท้องน้ำประจำขาย | บ้างแจวพายอึงอื้อมาซื้อของ |
เห็นสาวสาวแม่ค้าน่าประคอง | พี่มองมองปะตาน่าเอ็นดู |
ช่างงามเหมือนโฉมเฉลาเยาวยอด | ยังไม่ถอดกำไลใส่ตุ้มหู |
น่าสงสารคอนพายมาขายพลู | ถ้าได้อยู่กับพี่จะดีครัน |
พี่จะได้ครอบครองเปนสองฝ่าย | ไม่หนีหน่ายแก้วตาจนอาสัญ |
โอ้ว่าจิตรคิดไปไม่ได้กัน | รักเท่านั้นเถิดอย่ารักเขานักเลย |
ถึงวังหลังเห็นวังสงัดเงียบ | เย็นยะเยียบรกรานิจาเอ๋ย |
แต่ก่อนเปรื่องเรืองฟ้าสง่าเงย | พระคุณเคยเย็นเกล้าชาวบุรี |
สามพระองค์ทรงชำนาญในการศึก | ออกสอึกราญรบไม่หลบหนี |
แต่ครั้งพวกพม่ามาราวี | พระต้อนตีแตกยับอัปรา |
ทุกวันนี้มีแต่พระนามเปล่า | พระผ่านเกล้านิพพานนานหนักหนา |
เสียดายองค์พงศ์กระษัตรขัติยา | ชลนานองเนตรสังเวชวัง |
แล้วหวนคิดถึงนุชยิ่งสุดหมอง | พี่มิได้อยู่ครองเหมือนแต่หลัง |
จะร่วงโรยแรมร้างเหมือนอย่างวัง | อนิจจังจากมายิ่งอาไลย |
ถึงบ้านบุบุขันสนั่นก้อง | เขาหลอมทองเทถ่ายละลายไหล |
ทรวงพี่ร้อนเหมือนหนึ่งทองในกองไฟ | ทำกระไรร้อนเร่าจะเบาบาง |
ถึงวัดทองทองทาบอยู่ปลาบเปล่ง | พี่แลเลงเนื้อทองยังหมองหมาง |
คิดไปถึงแหวนทองของน้องนาง | เคยสำอางใส่อวดประกวดกัน |
พี่เคยขอแหวนยอดน้องถอดให้ | มาสอดใส่นิ้วขวับแล้วรับขวัญ |
โอ้อกเอ๋ยเคยชื่นทุกคืนวัน | คิดถึงขวัญไนยนาให้อาวรณ์ |
มาถึงวัดชีปะขาวให้เศร้าสร้อย | นาวาลอยลับไปไกลสมร |
พี่กล้ำกลืนโศกาอนาทร | สท้อนถอนจิตรใจไม่สบาย |
ถึงตำบลบางระมาดอนาถจิตร | เหมือนพี่คิดมุ่งมาดสวาดิหมาย |
ก็ได้สมชมน้องประคองกาย | แล้วกลับกลายพลัดพรากไปจากทรวง |
มาถึงวัดไก่เตี้ยยิ่งเสียจิตร | พี่นิ่งคิดเสียดายไม่หายห่วง |
ยิ่งแลลับแก้วตาสุดาดวง | ครรไลล่วงล่องลอยนาวามา |
มาถึงวัดพิกุลให้ฉุนชื่น | หอมระรื่นดอกดวงพวงบุบผา |
ดอกพิกุลหล่นกลาดดาษดา | ถ้าน้องมาเห็นจะเก็บไว้ร้อยกรอง |
น่าถนอมหอมกรุ่นพิกุลเอ๋ย | แมลงภู่เชยคลึงเคล้าเปนเจ้าของ |
แต่ตัวเรามิได้อยู่เปนคู่ครอง | ทิ้งให้น้องโหยหนอยู่คนเดียว |
สักเมื่อไรจะได้กลับมารับขวัญ | เห็นหลายวันยังจะไปถึงไพรเขียว |
เปนทุกข์ถึงน้องยิ่งจริงจริงเจียว | พี่ก็เปลี่ยวเปล่าใจอาไลยครวญ |
ดูเพื่อนกันที่เขามาเปนผาศุก | ไม่มีทุกข์ทัศนาพฤกษาสวน |
บ้างก็ชี้ชมพวงมะม่วงพรวน | บ้างก็ชวนชักชี้ให้พี่ดู |
เห็นต้นไม้ชื่อพ้องกับน้องรัก | เพื่อนเขาทักถูกชื่อให้ครือหู |
พี่ก้มหน้านิ่งเฉยไม่เงยดู | กลัวเขารู้เรื่องราวจะฉาวไป |
เห็นไม้โศกเปนดอกออกระดะ | โศกปะทะสองซ้ำจะทำไฉน |
โอ้โศกต้นเข้าระคนกับโศกใจ | ทำกะไรโศกเราจะเบาลง |
เห็นดงรักริมคลองทั้งสองฟาก | ยิ่งรักมากมัวจิตรพิศวง |
พี่รักดอกรักจูบรักรูปทรง | รักจนหลงเหลือรักหนักอุรา |
เห็นรักหักเหมือนรักพี่เริศร้าง | จะเว้ว่างเชยชิดขนิษฐา |
ยิ่งคิดถึงงามชื่นกลืนน้ำตา | แล้วรีบมาในวนชลธาร |
ถึงบางกรวยให้ระทวยระทดทอด | แทบม้วยมอดมรณังสิ้นสังขาร |
พี่แขงขืนกลืนกล้ำที่รำคาญ | ทำชื่นบานแย้มเยื้อนกับเพื่อนกัน |
มาตะบึงลุถึงบางอ้อยช้าง | ไม่วายว่างวิโยคยิ่งโศกศัลย์ |
นั่งคนึงถึงนุชสุดรำพรรณ | แล้วผายผันรีบมาในวาริน |
กระทั่งถึงบางขนุนให้ขุ่นจิตร | นั่งพินิจนึกในน้ำใจถวิล |
เห็นขนุนหนามหนาไม่น่ากิน | แต่รศกลิ่นภายในชอบใจคน |
เหมือนรูปชั่วใจดีเจ้าพี่เอ๋ย | ไม่เลือกเลยสุดแท้แต่กุศล |
ที่รูปดีใจชั่วตัวซุกซน | ไม่เปนผลคบยากลำบากใจ |
แต่ตัวของพี่นี้ดีพร้อม | ควรถนอมแนบชิดพิศมัย |
งามประเสริฐเพริศพริ้งทุกสิ่งไป | ทั้งน้ำใจดีนักน่ารักจริง |
โอ้อาไลยใจหายเสียดายโฉม | เคยประโลมเลียมกอดแม่ยอดหญิง |
มาพลัดพรากจากนุชสุดประวิง | อนาถนิ่งหนาวใจอยู่ในเรือ |
มาถึงบางขุนกองให้หมองหมาง | ระยะทางที่จะไปยังไกลเหลือ |
โอ้แต่นี้มีแต่จะหนาวเนื้อ | ไม่ได้เสื้อมาห่มยิ่งตรมใจ |
สุดรำพรรณอั้นอกวิตกนัก | ด้วยความรักเหลือล้นพ้นวิไสย |
แต่โศกเราเซ้าซี้พิรี้พิไร | จนครรไลล่วงทางมากลางชล |
ถึงบ้านจีนจีนมีที่นี่ฤๅ | จึงเรียกชื่อจีนจามให้ความฉงน |
ชื่อบ้านจีนแล้วทำไมให้ไทยปน | โอ้ตำบลนี้วิบัติอัศจรรย์ |
มาถึงบ้านนายไกรฤไทยหมอง | คิดถึงเรื่องไกรทองยิ่งโศกศัลย์ |
เขาเรืองฤทธิคิดฆ่าชาลวัน | แล้วชมขวัญโฉมศรีวิมาลา |
เมื่อกลับเปนจรเข้เที่ยวเร่ร่อน | ไกรทองนอนคนเดียวเปลี่ยวนักหนา |
คิดถึงน้องร้องไห้ฟายน้ำตา | อุปมาเหมือนเรานี้เศร้าใจ |
มาถึงวัดอุทยานรำคาญจิตร | แล้วเพ่งพิศพฤกษาบุบผาไสว |
เหมือนสวนสวรรค์ชั้นฟ้าสุราไลย | หอมดอกไม้น่าดมลมรำเพย |
ถ้าน้องมากับพี่จะชี้บอก | ว่าโน่นดอกสารภีเจ้าพี่เอ๋ย |
รสสุคนธ์คนชมภิรมย์เชย | เหมือนพี่เคยชมน้องที่ห้องนอน |
เรียมครวญพลางห่างพ้นตำบลวัด | โทมนัศน้อยใจอาไลยสมร |
พระสุริยงทรงรถบทจร | ก็รีบร้อนเรือมาด้วยเร็วพลัน |
ถึงบางระนกบางโคเวียงเคียงกันอยู่ | เหมือนอย่างคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ |
ทั้งสองบางปากบางไม่ห่างกัน | อัศจรรย์บ้านนี้ดีสุดใจ |
แต่ตัวพี่ผู้เดียวมาเที่ยวท่อง | ให้ห่างน้องห่างมิตรพิศมัย |
เฝ้าครวญคร่ำรำพึงตะบึงไป | ดังเปลวไฟเผาอกวิตกมา |
ถึงโรงหีบเห็นเขาหีบแต่น้ำอ้อย | ดูหยดย้อยรองได้ไว้นักหนา |
พี่รักน้องถ้าจะรองเอาน้ำตา | คงมากกว่าน้ำอ้อยแล้วกลอยใจ |
ชรอยรักโฉมฉายมาหลายชาติ | เปนบุพเพสันนิวาศฤๅไฉน |
ยิ่งคิดถึงแก้วตาสุดอาไลย | ในจิตรใจพี่นี้ไม่มีสบาย |
ถึงบางม่วงเห็นพวงมะม่วงห้อย | คิดจะสอยก็ไม่สมอารมณ์หมาย |
จะปีนต้นเล่าก็ยากลำบากกาย | พี่นึกอายนิ่งอดเหมือนมดแดง |
อดมะม่วงอดได้พี่ไม่อยาก | เปนแต่ปากพูดแยบให้แอบแฝง |
แต่อดชมพี่นี้ตรมอุราแรง | ไม่รู้แห่งที่จะอดซึ่งรศชม |
ชมอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนชมน้อง | ประสมสองสมจิตรสนิทสนม |
ถึงจะได้ดอกฟ้าลงมาดม | ในอารมณ์พี่ก็ยังไม่ยินดี |
ไม่ชอบเหมือนทรามเชยพี่เคยชิด | พี่ยิ่งคิดถึงน้องให้หมองศรี |
ไม่เห็นกันวันหนึ่งเหมือนครึ่งปี | หัวอกพี่ร้อนเริงดังเพลิงกอง |
อนาถจิตรคิดไปแล้วใจหาย | ไม่เว้นวายกำสรดสลดหมอง |
พี่เหลียวกลับลับคุ้งเฝ้ามุ่งมอง | เรือก็ล่องลอยมาในสาคร |
ถึงบางใหญ่ใหญ่แต่ชื่อเขาฦๅเล่า | ไม่ใหญ่เท่าทุกข์พี่ที่จากสมร |
พี่ทุกข์เท่าฟ้าดินคีรินทร | ไม่หยุดหย่อนโศกาน้ำตาคลอ |
มาตามทางบางใหญ่ไกลหนักหนา | ไม่เห็นหน้าน้องแก้วพี่แล้วหนอ |
มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือรอ | แล้วเลยต่อไปในวนชลธาร |
มาถึงวัดส้มเกลี้ยงพอเที่ยงสาย | สกลกายร้อนเริงดังเพลิงผลาญ |
เห็นส้มเกลี้ยงน่าจะกลืนให้ชื่นบาน | เปรี้ยวฤๅหวานก็ไม่รู้ดูแต่ตา |
อันส้มสูกลูกไม้ทั้งหลายหมด | ไม่เหมือนรศมิ่งมิตรขนิษฐา |
ครรไลเลยหลีกเลี่ยงส้มเกลี้ยงมา | ไม่รอรารีบรัดตัดตำบล |
ไม่รู้จักชื่อบ้านรำคาญจิตร | นั่งพินิจแนวทางมากลางหน |
จนออกทุ่งมุ่งดูพระสุริยน | เมฆหมอกมลหมองมัวเหมือนตัวเรา |
โอ้สงสารสุริยาฟ้าพยับ | จะเลื่อนลับยุคุนธรศิงขรเขา |
พระอาทิตย์ดวงเดียวเปลี่ยวเหมือนเรา | กำสรดเศร้าโศกมาเอกากาย |
ถึงมีเพื่อนเหมือนพี่ไม่มีเพื่อน | เพราะไม่เหมือนนุชนาฎที่มาดหมาย |
มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตาย | มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนกับเพื่อนชม |
ถึงจะมีวิมานสถานทิพ | ให้ลอยลิบเลิศมนุษย์สุดปฐม |
ถ้าไม่มีคู่เคียงเรียงภิรมย์ | จะเกรียมตรมตรึกหาเปนอาจิณ |
มาตะบึงลุถึงหัวโยงเชือก | เปนโคลนเทือกท้องนาชลาสินธุ์ |
คลองก็เล็กน้ำก็ตื้นเห็นพื้นดิน | ไม่น่ากินน้ำท่าระอาใจ |
ต้องจ้างโยงโยงเรือเหลือลำบาก | ให้ควายลากเรือเลื่อนเขยื้อนไหว |
ผูกระนาวยาวยืดเปนพืดไป | ทั้งเจ๊กไทยปนกันสนั่นอึง |
ไม่พักแจวพักถ่อให้รอรา | เปนราคาจ้างประจำลำสลึง |
ควายก็เดินดันดังกันกังกึง | พอเชือกตึงเรือตามกันหลามมา |
จนพลบค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย | พระจันทร์ลอยเด่นดวงช่วงเวหา |
ดาวประดับวับวามอร่ามตา | ดูท้องฟ้าอ้างว้างกลางอัมพร |
แลดูทุ่งทุ่งก็กว้างเปนว่างเปล่า | เหมือนอกเราว่างเว้นไม่เห็นสมร |
เห็นแต่ทุ่งกับป่ายิ่งอาวรณ์ | อนาถนอนนิ่งนึกคนึงนาง |
ไม่มีมุ้งยุงกัดสบัดหนาว | ทั้งลมว่าวพัดต้องยิ่งหมองหมาง |
เห็นเพื่อนเรือเมื่อจวนจะรุ่งราง | มีมุ้งกลางกอดเมียอยู่เคลียคลอ |
แสนอาภัพก็แต่เราช่างเปล่าปลอด | ไม่ได้กอดเหมือนอย่างเขาหนอเราหนอ |
นอนก็อัดอุดอู้คุดคู้งอ | ในใจคอคับแคบแทบจะตาย |
ทั้งคับใจคับที่เจ้าพี่เอ๋ย | ไม่หลับเลยจนสว่างกระจ่างฉาย |
เขาโยงเรือรีบรุดไม่หยุดควาย | มาจนสายจึงพ้นตำบลโยง |
มาถึงด่านบ้านนอกออกแม่น้ำ | ดูฦกล้ำน่ากลัวจรเข้โขง |
พี่นั่งขืนเรือไว้มิให้โคลง | แจวชะโลงล่องน้ำมาลำเดียว |
มาถึงลานตากฟ้าเวลาเช้า | ยิ่งโศกเศร้าเสียใจอาไลยเหลียว |
เปนทุ่งนาหญ้ารกวิหคเกรียว | กะทุงเที่ยวเลียบหนองคอยมองปลา |
ถ้าแม้นพี่เปนนกผกโผผิน | จะโบยบินไปรับขนิษฐา |
นี่ตัวพี่เปนมนุษย์สุดปัญญา | จะไปมาสารพัดขัดกันดาร |
ทำกะไรขวัญใจจะได้รู้ | พี่คิดอยู่ถึงนุชสุดสงสาร |
เชิญพระพายพัดพาเอาอาการ | ให้ข่าวสารทราบจิตรวนิดา |
ยิ่งรำพรรณตันจิตรให้คิดถึง | แทบประหนึ่งจะเด็ดดิ้นสิ้นสังขาร์ |
เรือก็ล่องตามคลองแม่น้ำมา | ไม่รอรารีบรัดผลัดกันแจว |
ถึงงิ้วรายหมายคุ้งมุ่งเขม้น | พี่แลเห็นต้นงิ้วเปนทิวแถว |
แต่ตัวน้องพี่มองไม่เห็นแล้ว | เห็นแต่แนวแม่น้ำนั้นร่ำไป |
มาถึงบ้านประทวนหวนละห้อย | น้ำเนตรย้อยซึมโซมชะโลมไหล |
ให้หิวหอบบอบช้ำระกำใจ | พลางครรไลล่องลอยนาวามา |
ถึงนครไชยศรีมีโรงเหล้า | เปนของเมาตัดขาดไม่ปราถนา |
ไม่เมาเหล้าเมาแต่รักหนักอุรา | เมายิ่งกว่าเมาเหล้ายิ่งเศร้าใจ |
อันเมารักมักหลงพะวงรัก | ใครจะชักฉุดไว้ก็ไม่ไหว |
กำลังมืดเมามัวไม่กลัวใคร | คงจะไปหารักที่พักพิง |
อันทุกข์โศกโรคร้อนนอนไม่หลับ | เกิดสำหรับร่างกายทั้งชายหญิง |
ด้วยรักกันฟั่นเฝือเหลือประวิง | อนาถนิ่งนอนนึกรำฦกกัน |
พี่พลัดพรากจากรักมาพักนี้ | แทบชีวีเชษฐาจะอาสัญ |
ดังศรศักดิ์ปักอกวิตกครัน | ให้อัดอั้นอิดใจครรไลจร |
ถึงบางแก้วมองเขม้นไม่เห็นแก้ว | เห็นแต่แนวคงคาพฤกษาสลอน |
มีวัดหนึ่งโตใหญ่ใกล้สาคร | สง่างอนช่อฟ้าศาลาตะพาน |
ดูเบื้องบนอาวาศก็ลาดเลี่ยน | ต้นตะเคียนร่มรกปกวิหาร |
มีทั้งสระโกสุมภ์ประทุมมาลย์ | บ้างตูมบานเกสรอ่อนลออ |
พี่คิดถึงบัวทองของน้องแก้ว | ยังผ่องแผ้วพรรณรายเสียดายหนอ |
กำลังสดมิได้เศร้าน่าเคล้าคลอ | พี่เคยขอชมเล่นไม่เว้นวัน |
ตั้งแต่พี่พลัดพรากมาจากน้อง | มิได้ต้องบัวทองประคองขวัญ |
ชมแต่บัวริมน้ำยิ่งรำพรรณ | แสนกระสันโศกเศร้าจนเข้าคลอง |
พระสุริฉายสายแสงขึ้นแขงกล้า | รีบเรือมามิได้หยุดพี่สุดหมอง |
ยิ่งร้อนแดดแผดพยับอับลออง | ไม่ผุดผ่องผิวคล้ำระกำใจ |
โอ้อกเอ๋ยเคยอยู่แต่ร่มร่ม | ได้เชยชมชิดน้องไม่หมองไหม้ |
ถึงจะร้อนก็คงเย็นไม่เปนไร | แม่ดวงใจเคยพัดให้พี่นอน |
เมื่อยามหนาวแนบกายพี่หายหนาว | ไม่ขาดคราวเปนศุขสโมสร |
เมื่อไรอีกจะได้แอบอุระนอน | จะอาวรณ์วุ่นวายไปหลายวัน |
โอ้ปานนี้แก้วพี่จะเปนไฉน | สำราญใจฤๅว่าน้องจะโศกศัลย์ |
พี่จากเจ้าเยาวมาลย์มานานครัน | ยังไม่ทันสั่งความแม่ทรามเชย |
เปนแต่ลอบชมชิดไม่สิทธิ์ขาด | แรมนิราศร้างมานิจาเอ๋ย |
ถ้าแม้นมาดคลาศเคลื่อนไม่เหมือนเคย | ไม่อยู่เลยจะสู้ตายด้วยอายคน |
ขอเดชะความรักเปนหลักแหล่ง | ช่วยตกแต่งให้เขาเห็นว่าเปนผล |
ขอเชิญเทพทุกสถานพิมานบน | ช่วยเข้าดลใจมิตรให้ติดตาม |
รำพรรณพลางทางมาถึงวัดสิงห์ | พี่นั่งนิ่งนึกไปฤไทยหวาม |
ประนมหัดถ์ทัศนาพระอาราม | แล้วมาตามคลองน้อยละห้อยใจ |
ถึงวัดท่าเปนท่าที่เรือจอด | ไม่เปล่าปลอดเรือแพแลไสว |
สิ้นหนทางคงคาชลาไลย | จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน |
สัปรุษหยุดเรืออยู่พร้อมหน้า | เสียงเฮฮาอึงอื้อหือฤๅหรรษ์ |
เปนพวกพ้องเข้าประสบสมทบกัน | จะผายผันพวกเดียวก็เปลี่ยวใจ |
ไปจ้างเกวียนชาวนาสิบห้าเล่ม | ประทุกเต็มพร้อมกันเสียงหวั่นไหว |
ทั้งหนุ่มสาวเถ้าแก่ออกแซ่ไป | จะเดินไพรให้สนุกไม่ทุกข์ร้อน |
เขาออกเกวียนพร้อมหน้าเวลาบ่าย | แลดูควายเดินระดับสลับสลอน |
เจ้าของหวดตะพดให้บทจร | เกวียนสะท้อนกงสะเทือนเขยื้อนดัง |
ดูดุมวงกงหมุนเปนฝุ่นฟุ้ง | คนเดินมุ่งมาดมาทั้งน่าหลัง |
ถืออาวุธกันไภยระไวระวัง | ไม่รอรั้งรีบมาเปนช้านาน |
ถึงบ้านธรรมศาลาพนาสณฑ์ | เปนบ้านคนใหญ่โตระโหฐาน |
เขาบอกว่าบ้านนั้นแสนกันดาร | ตำเข้าสารกรอกหม้อแต่พอกิน |
ดูเย่าเรือนเคหาน่าสังเวช | เต็มทุเรศรุงรังไปทั้งสิ้น |
ถึงยากจนทนสู้เขาอยู่กิน | ไม่ทิ้งถิ่นที่ทางให้ร้างโรย |
แต่ตัวเราร้างนุชมาสุดเนตร | แสนทุเรศร่ำไห้ไม่วายโหย |
ไม่มีความแช่มชื่นสอื้นโอย | มีแต่โกยกองทุกข์มาเดินทาง |
ดูคนอื่นชื่นแช่มเขาแย้มยิ้ม | ไม่เหงาหงิมเหมือนพี่ที่หมองหมาง |
พูดผู้หญิงหยอกเอินให้เพลินพลาง | มาตามทางหิมวันต์สนั่นมา |
ถึงพระโทณอารามพราหมณ์เข้าสร้าง | เปนพระปรางค์แต่โบราณนานนักหนา |
แต่ครั้งตวงพระธาตุพระศาสดา | พราหมณ์ศรัทธาสร้างสรรค์ไว้มั่งคง |
ประจุพระทนานทองของวิเศษ | พี่น้อมเกษโมทนาอานิสงษ์ |
จุดธูปเทียนอภิวันท์ด้วยบรรจง | ถวายธงแพรผ้าแล้วลาจร |
ดูสองข้างมรรคาล้วนป่าไผ่ | คนตัดใช้ทุกกอตอสลอน |
หนามแขนงแกว่งห้อยรอยเขารอน | บ้างเปนท่อนแห้งหักทลักทลุย |
ที่โคนไผ่ไก่ป่ามาซมซุก | บ้างกกกุกเขี่ยดินกินลุกขุย |
พอเห็นคนวนบินดินกระจุย | เห็นรอยคุ้ยรอบข้างหนทางจร |
บรรลุถึงพระประทมประทับหยุด | สัปรุษเซงแซ่แลสลอน |
แวะขึ้นไหว้พระประทมประนมกร | สโมสรโสมนัศนมัสการ |
ต่างระรื่นชื่นจิตรพิศวง | เที่ยวเวียนวงไหว้รอบขอบสถาน |
พระปรางค์ใหญ่มีอยู่แต่บูราณ | สูงตระหง่านยอดเยี่ยมเทียมอัมพร |
มีบันไดขึ้นไปถึงทักษิณ | แลเห็นสิ้นทุกทิศจิตรสยอน |
ดูต้นไม้ในป่าเหมือนหญ้าบอน | ระเนนนอนแนบชิดติดสุธา |
ดูแผ่นดินรายรอบเปนขอบคัน | เปนหมอกควันแลไปไกลนักหนา |
ข้างพื้นล่างกลางลานชานชลา | มีพฤกษาร่มรื่นเปนพื้นราย |
พี่ชมพลางทางนบอภิวาท | สุคนธชาติบุบผาบูชาถวาย |
สัปรุษพร้อมพรั่งทั้งหญิงชาย | กราบถวายวันทาแล้วลาลง |
เที่ยวเลี้ยวลัดทัศนาพระอาวาศ | ดูอนาถน้ำจิตรพิศวง |
บริเวณวัดวาเปนป่าดง | ดูงวยงงร่วงรามาช้านาน |
พระประทมของบรมกระษัตริย์สร้าง | เปนพระปรางค์ใหญ่โตระโหฐาน |
สูงเท่านกเขาเหินเกินทยาน | พระยาพานก่อสร้างไว้ล้างกรรม |
เธอหลงฆ่าบิตุรงค์ทิวงคต | เขารู้หมดเรื่องความไม่งามขำ |
เธอทำผิดคิดเห็นไม่เปนธรรม | จึ่งกลัวกรรมก่อสร้างพระปรางค์ทอง |
พี่ได้ฟังเรื่องราวเขาเล่ามาก | เมื่อยามยากนึกไปฤไทยหมอง |
ไหว้พระปรางค์ทางนึกรำฦกน้อง | ให้ตรมตรองเตรียมใจครรไลลา |
มาถึงเกวียนเจียนใจจะขาดหาย | เหลียวดูซ้ายแล้วก็แปรมาแลขวา |
เห็นผู้หญิงอื่นอื่นไม่ชื่นตา | แล้วรีบมาพร้อมกันสนั่นดง |
ข้ามห้วยหนองคลองบึงถึงอ้ายก้อง | สกุณร้องรัญจวนถึงนวลหง |
พอโพล้เพล้เวลาจะค่ำลง | ให้งวยงงง่วงเหงาเศร้าฤไทย |
เสียงจักรจั่นแจ้วๆให้แว่วหวาด | หนาวอนาถนึกน่าน้ำตาไหล |
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าพนาไลย | วังเวงใจจรมาในราตรี |
แล้วหยุดนอนในป่าเวลาดึก | คนึงนึกถึงน้องยิ่งหมองศรี |
หักใบไม้ปูลาดกวาดธุลี | กองอัคคีรอบเกวียนเวียนระวัง |
บ้างก็กินโภชนากระยาหาร | ต่างสำราญสู่สมอารมณ์หวัง |
บ้างหาร่มไม้ชิดให้ปิดบัง | พอยับยั้งกายตามยามกันดาร |
แต่ตัวพี่นอนกลางหว่างต้นไม้ | ยกมือไหว้เทวาพฤกษาสาร |
อย่าให้มีโภยไภยสิ่งใดพาน | นมัสการแปดทิศแล้วนิทรา |
จนดึกดื่นเดือนสว่างกระจ่างแจ้ง | จำรัสแสงส่องสอดลอดพฤกษา |
น้ำค้างพรมลมว่าวหนาวอุรา | พี่ห่มผ้าซ้อนผืนไม่ชื่นใจ |
ไม่อุ่นเหมือนแนบกายสายสวาดิ์ | โศกไสยาศน์เกลือกกลับไม่หลับใหล |
ลุกขึ้นนั่งหลังอิงแล้วผิงไฟ | ได้ยินไก่เถื่อนขันสำคัญยาม |
เสียงจังหรีดกรีดกริ่งระหริ่งร้อง | เย็นสยองเยี่ยมย่างเข้ายามสาม |
จนแสงทองส่องฟ้าสง่างาม | เรืองอร่ามรุ่งรางสว่างวัน |
ต่างคนต่างก็ตื่นขึ้นพร้อมหน้า | แล้วรีบมาเร็วไวในไพรสัณฑ์ |
ระยะทางกลางไพรยังไกลครัน | แรมอารัญทุเรศสังเกตมา |
หนทางเกวียนเตียนโล่งตลอดลิ่ว | สะพรั่งทิวแถวไม้ไพรพฤกษา |
ระบัดใบร่มรื่นพื้นสุธา | ดาษดาดอกดวงก็ร่วงราย |
บ้างทรงผลหล่นหนักเปนอักนิษฐ | ไม่พักปลิดก็ได้ดังใจหมาย |
ถ้าน้องมาเห็นจะพาพี่สบาย | จะชวนสายสุดที่รักให้ชมดง |
ถ้าเหาะได้พี่จะกลับไปรับน้อง | มาชมท้องทุ่งท่าป่าระหง |
ยิ่งคิดถึงมิ่งมิตรจิตรพะวง | แทบจะปลงชีวาลีลาจร |
๏ มาถึงลากหญ้าไซหัวใจหาย | ตวันสายเสียใจด้วยไกลสมร |
เห็นไฟป่าไหม้ป่ายิ่งอาวรณ์ | ทรวงพี่ร้อนเริงแรงดังแสงไฟ |
เห็นลมพัดปัดควันไปปั่นป่วน | เหมือนลมหวนโหยจิตรพิศมัย |
เห็นหนองน้ำน้ำขุ่นสนุ่นไคล | เหมือนน้ำใจที่พี่ช้ำระกำตรอม |
ไม่มีศุขทุกข์โศกด้วยโรครัก | อกจะหักเสียด้วยร้างห่างถนอม |
เดินก็เหนื่อยเมื่อยนักสบักสบอม | จนซูบผอมผิวคล้ำสิ้นน้ำนวล |
มาถึงโป่งลูกวัวน่ากลัวผี | เสียงชนีโหยไห้พิไรหวน |
พี่คิดว่าเสียงนางมาครางครวญ | ให้รัญจวนจรมาในอารัญ |
เห็นต้นไทรใหญ่โตระโหฐาน | สูงตระหง่านเงื้อมป่าพนาสัณฑ์ |
พี่หยุดยั้งนั่งนบอภิวันทน์ | พลางรำพรรณนึกในฤไทยปอง |
คิดถึงเรื่องอุณรุทกับอุษา | พระไทรพาอุ้มสมภิเศกสอง |
แล้วเทวาพาพรากมาจากน้อง | พระร่ำร้องหานางเหมือนอย่างเรา |
พี่จากนุชสุดใจมาไกลนัก | ไม่เห็นภักตรทรามประโลมโฉมเฉลา |
เห็นแต่ทิวทางเดินเนินลำเนา | พี่สร้อยเศร้าโศกาลาพระไทร |
ถึงหนองโพโพมีที่ริมหนอง | ต้นโพทองปากป่าคนอาไศรย |
ครั้นลมพัดกวัดแกว่งพลิกแพลงใบ | ที่ภายใต้ร่มรื่นชื่นอุรา |
พี่นั่งนบอภิวันท์แล้วผันผาย | ไม่เหือดหายโหยหวนรัญจวนหา |
เห็นนกไม้ในดงพงพนา | ไม่เห็นหน้านิ่มนวลยิ่งครวญคราง |
มาถึงห้วยหมอนทองมองเขม้น | แลไม่เห็นหมอนทองยิ่งหมองหมาง |
คิดถึงหมอนเคยนอนกับหมอนนาง | ทั้งหมอนข้างหมอนอิงเคยพิงกาย |
เจ้าเคยจัดปัดปูไม่รู้ขาด | พี่ไสยาสน์ด้วยทุกคืนไม่ตื่นสาย |
มาเดินป่าคราวนี้ไม่มีสบาย | ใบไม้รายรองนอนหมอนไม่มี |
โอ้สงสารอาตมานิจาเอ๋ย | ยังไม่เคยจากน้องจึงหมองศรี |
ช่างจำเภาะเคราะห์ร้ายเมื่อปลายปี | ไม่มีดีขัดสนพ้นประมาณ |
ด้วยราหูจู่จับเข้าทับลักษน์ | นิราศรักร้อนใจดังไฟผลาญ |
พี่รักน้องมิได้อยู่เปนคู่นาน | มาเกิดการกำจัดวิบัติเปน |
พระเคราะห์พามาไกลถึงไพรสัณฑ์ | สักกี่วันจะได้กลับมาเล็งเห็น |
โอ้ที่นอนหมอนข้างจะร้างเย็น | ใครจะเคล้นเคล้าน้องประคองนอน |
วิตกพลางทางเลยครรไลล่วง | ข้ามห้วยห้วงคงคามาสลอน |
บ้างโห่ร้องก้องป่าพนาดร | ทุเรศร้อนรีบรัดตัดตำบล |
ถึงห้วยกระบอกซอกธารสถานที่ | หนองจะมีคงคาต่อน่าฝน |
ฤดูแล้งแห้งหายสิ้นสายชล | มีแต่ต้นไม้สล้างข้างลำธาร |
ต้นซึกซรากโสกไทรมะไฟป่า | เคียมมะค่าคางแคแสมสาร |
กระเบียนกระบากหมากลิงมะพร้าวตาล | สุดประมาณหมู่ไม้ที่ในดง |
ขี้เกียจกล่าวราวป่าจะช้าถึง | รีบตะบึงมาในไพรระหง |
จนเบี่ยงบ่ายสายแสงพระสุริยง | อุส่าห์ทรงกายเดินดำเนินจร |
มาถึงห้วยปลากดเขาปลดเกวียน | เปนที่เตียนหยุดประทับสลับสลอน |
ลงอาบน้ำดำเกล้าบันเทาร้อน | เห็นสาครฦกซึ้งเปนบึงโต |
ทั้งสองฟากครึ้มครึกล้วนพฤกษา | มีตัวปลาพรั่งพรูอยู่อักโข |
ฝูงสวายว่ายเรียงเคียงเทโพ | ดุกชะโดโดดดิ้นเข้ากินไคล |
ตะเพียนทองล่องลอยขึ้นพ้นน้ำ | กระดี่ดำแหวกว่ายอยู่ไหวไหว |
ตะโกกกาปลาสร้อยก็ลอยไป | เข้าแฝงใบจอกกระจับให้ลับกาย |
ยิ่งชมปลาอาวรณ์ให้ร้อนจิตร | นึกถึงคู่ชีวิตรแล้วใจหาย |
ถ้าน้องมาถึงนี่กับพี่ชาย | จะชวนสายสุดที่รักลงสรงชล |
พี่จะชี้ให้ดูหมู่มัจฉา | ที่ว่ายมาเกลือกกลับอยู่สับสน |
แล้วจะชวนเก็บฝักหักอุบล | ให้นฤมลชมธารสำราญใจ |
โอ้ว่าเหล่าเต่าปลานิจาเอ๋ย | อย่าผุดเลยหามีใครเขาชมไม่ |
น้องของเรามิได้ดูด้วยอยู่ไกล | ผุดให้ใครชมเล่านะเต่าปลา |
โอ้ว่าน้ำเอ๋ยน้ำในลำห้วย | น้ำไม่ช่วยล้างทุกข์ให้ศุกขา |
ดีแต่ล้างเหงื่อไคในกายา | กับล้างหน้าล้างร้อนให้ผ่อนเย็น |
จะล้างทุกข์ของพี่นี้สุดยาก | พี่ทุกข์มากอยู่ในใจใครไม่เห็น |
ชะตาตกอกเอ๋ยไม่เคยเปน | มิได้เว้นว่างวายคลายรำคาญ |
เห็นสิ่งไรใจหวนให้ครวญคร่ำ | ทุกย่านน้ำแนวหนองคลองละหาน |
ใครจะเปนเช่นพี่ไม่มีปาน | เหลือประมาณที่รักภักคินี |
ถึงงามขำทำผิดสักร้อยครั้ง | พี่ก็ยังรักใคร่ไม่หน่ายหนี |
ไม่หึงหวงล่วงว่าไม่ด่าตี | ด้วยปรานีอดออมถนอมกัน |
ถึงจะรักหญิงอื่นสักหมื่นโกฏิ | ไม่ปราโมชเหมือนนุชสุดกระสัน |
มักเบื่อหน่ายหายงามไม่ข้ามวัน | ไม่เหมือนขวัญไนยนาสัจจาจริง |
ถึงสุดสิ้นฟ้าดินไม่สิ้นรัก | จะฟูมฟักเฝ้าประคองแต่น้องหญิง |
ถึงยากเย็นเข็ญใจก็ไม่ทิ้ง | จะรักมิ่งนฤมลจนวันตาย |
ให้น้องรักรักพี่อย่างนี้บ้าง | อย่าเริศร้างรศรักให้หักหาย |
จงคิดถึงความเสบยเคยสบาย | อย่าลืมรายรศร่วมภิรมย์ชม |
รำพรรณพลางทางแลดูพวกเพื่อน | ออกกล่นเกลื่อนรายเรียงเสียงขรม |
ลงอาบน้ำดำมุดบ้างผุดจม | เอาโคลนตมขว้างกันสนั่นไป |
พวกผู้หญิงปลิงกัดสบัดร้อง | ขึ้นจากหนองปลดปลิงวิ่งไสว |
ที่ลางคนกล้าแขงแรงสุดใจ | ก็แล่นไล่เอาเถิดเกิดพนัน |
พวกผู้ชายว่ายจับอยู่สับสน | ได้นางคนหนึ่งแรงแขงขยัน |
ขยุ้มขยำคลำปะแล้วละกัน | เสียงสนั่นเฮฮาในวารี |
แล้วขึ้นจากคงคาเวลาบ่าย | ทั้งหญิงชายปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ก็ออกเกวียนพร้อมกันไปทันที | เกวียนของพี่ออกหน้าพากันจร |
ระรวยรื่นชื่นหอมพยอมสด | คันธรศโรยร่วงพวงเกสร |
ต้องพระพายชายช่ออรชร | แมลงภู่ฟอนเฝ้าเคล้าประคองชม |
แมลงภู่เปนคู่ของบุบผา | บุราณว่าเห็นจริงทุกสิ่งสม |
หญิงกับชายก็เปนคู่ชูอารมณ์ | ชั่วปฐมกับกัลป์พุทธันดร |
ใครมีคู่พลัดคู่ไม่มีศุข | มักเกิดทุกข์ใหญ่ยิ่งกว่าสิงขร |
เหมือนตัวเรียมร่ำรักหนักอุทร | ด้วยจากจรมิได้อยู่เปนคู่เชย |
โอ้แม่ดวงพวงพุ่มประทุมทิพ | ดูลิบลิบลอยฟ้านิจาเอ๋ย |
พี่ยังจำกลิ่นได้ไม่ลืมเลย | เปนคู่เชยชื่นจิตรชีวิตรเดียว |
ยิ่งคิดไปใจตื้นสอื้นไห้ | พลางครรไลเลยมาในป่าเขียว |
เห็นค่างลิงวิ่งโลดกระโดดเกรียว | บ้างกลับเหลียวหลังหลอกตะคอกคน |
ลางลิงก็เกาะกิ่งพฤกษาโหน | ลางลิงโจนจับคล้าผลาผล |
ขี้เกียจดูหมู่ลิงวิ่งซุกซน | ก็รีบร้นเร็วมาในป่าดอน |
พระสุริยายอแสงลงแฝงเฝือ | ถึงพยาพายเรือไม่หยุดหย่อน |
ที่ย่านนั้นดูสนุกน่านั่งนอน | เปนทรายอ่อนขาวสอาดปลาดตา |
แต่ปางก่อนเปนลำแม่น้ำกว้าง | ดูสองข้างยังเห็นเปนฝั่งฝา |
แต่น้ำแห้งเหือดหายสายชลา | เปนสุธารื่นราบดังปราบลาน |
ยิ่งพินิจคิดไปแล้วใจหาย | ก็ผันผายล่องลัดพนัศสถาน |
พระสุริยงลงลับโพยมมาน | ก็ข้ามบ้านโป่งมาเข้าป่ารัง |
ถึงพระแท่นแสนสนุกทุกข์ค่อยหาย | เห็นรังรายใจปลื้มจนลืมหลัง |
พวกหญิงชายสัปรุษก็หยุดยั้ง | เข้าแอบบังพฤกษาริมอาราม |
พอพลบค่ำทำที่จะอาไศรย | บ้างปักไม้เกะกะแล้วสะหนาม |
บ้างกองไฟจุดไต้ตะเกียงตาม | ดูอร่ามรายเรียงเคียงกันไป |
แล้วพักผ่อนนอนหลับระงับงีบ | จะแสงทองส่องทวีปสว่างไสว |
เอาธูปเทียนบุบผาสุมาไลย | ชวนกันไปไหว้พระแท่นแผ่นศิลา |
ในระหว่างนางรังทั้งคู่ค้อม | คำนับน้อมกิ่งก้านก็สาขา |
แต่ไม้รังยังรักพระศาสดา | อนิจาเราเกิดกันไม่ทันองค์ |
เห็นแต่แท่นแผ่นผายังปรากฎ | แสนกำสรดเศร้าจิตรพิศวง |
น้ำเนตรหยัดหยดย้อยเปนฝอยลง | คิดถึงองค์พระสัพพัญุตัญญาณ |
พระองค์โปรดเทวดาแลมนุษย์ | ให้สูงสุดสิ้นโอฆสงสาร |
พระชนม์ได้แปดสิบก็นิพพาน | โปรดประทานศาสนาไว้ห้าพัน |
พระองค์เกิดในบุรินกระบิลพัสดุ์ | เปนกษัตริยศรีศุขเกษมสันต์ |
มานิพพานในป่าสาลวัน | ถ้าเกิดทันแล้วจะทูลอาราธนา |
มิให้องค์ทรงญาณนิพพานก่อน | ให้ถาวรอยู่สืบพระศาสนา |
ยิ่งคิดไปใจหายฟายน้ำตา | แทบชีวาจะพินาศเพียงขาดใจ |
แลเห็นก้อนพระโลหิตประดิษฐาน | ยิ่งสงสารสังเวชน้ำเนตรไหล |
ประคองวางกลางเกล้าเฝ้าพิไร | แล้วกราบไหว้ตั้งวางไว้อย่างเดิม |
ดูพระแท่นแล้วก็แสนจะสังเวช | ถ้าเรืองเดชจะนิมิตรมณฎปเสิม |
จะสร้างวัดจัดแจงตกแต่งเติม | ไว้เฉลิมโลกาสถาพร |
นี่จนจิตรฤทธีหามีไม่ | ยิ่งคิดไปก็ยิ่งทอดฤไทยถอน |
โอ้พระแท่นแผนผาอยู่ป่าดอน | แต่ปางก่อนที่นี้เปนที่เมือง |
ชื่อกรุงโกสินรายสบายนัก | เปนเอกอรรคออกชื่อย่อมฤๅเลื่อง |
ทั้งแก้วแหวนเงินทองก็นองเนือง | ไม่ฝืดเคืองสมบัติกระษัตรา |
มีสวนแก้วอุทยานสำราญรื่น | ดูดาษดื่นดอกดวงพวงบุบผา |
ปลูกไม้รังตั้งแท่นแผ่นศิลา | คือแผ่นผาอันนี้ท่านนิพพาน |
ของพระยามลราชประสาทไว้ | ย่อมแจ้งใจทุกประเทศเขตรสถาน |
ที่สำคัญมั่นหมายหลายประการ | สมนิพพานเรื่องเทศสังเกตฟัง |
แต่บ้านเมืองสูญหายกลายเปนป่า | พยัคฆาอาไศรยดังใจหวัง |
พระอุทยานร้างราเปนป่ารัง | อนิจจังอนาถจิตรอนิจา |
เดชะบุญได้นบอภิวาท | ไม่เสียชาติที่ได้พบพระศาสนา |
รำพรรณพลางทางก้มบังคมลา | ถอบออกมาเที่ยวชมพนมเนิน |
ขึ้นคิรีที่ถวายพระเพลิงเผา | บันไดเล่าลดหลั่นเปนคั่นเขิน |
ขึ้นถึงยอดทอดตาดูน่าเพลิน | เหมือนเหาะเหินเห็นรอบขอบมณฑล |
ดูทางทิศบูรพาน่าวิเวก | เห็นเทียมเมฆกลุ้มเกลื่อนเลื่อนเวหน |
ข้างทิศใต้ทิวไม้เปนหมอกมล | แลดูคนตัวนิดนิดติดสุธา |
เห็นเขาใหญ่ไกลตะคุ่มชอุ่มเขียว | ดูลดเลี้ยวหลายหลากชวากผา |
พยับลมกลมกลืนกับพื้นฟ้า | ทัศนานั่งแลอยู่แต่ไกล |
พินิจพลางทางเดินบนเนินผา | เห็นศิลาแวววามงามไสว |
พรรณรายพรายแพรวดูแววไว | แลวิไลยเลื่อมเลื่อมละลานตา |
บ้างเปนก้อนกลิ้งกลมบ้างคมแหลม | เปนแก้วแกมเกิดก้อนชง่อนผา |
เปนที่เทพนิมิตรด้วยฤทธา | พิจารณาสมความตามบาฬี |
เปนก้อนแก้วแวววาบปละปลาบแสง | คือเครื่องแต่งพระศพพระชินศรี |
จึงเกิดเปนบรรพตปรากฎมี | ด้วยเปนที่ถวายเพลิงเชิงตะกอน |
ยิ่งพิศดูภูผาน้ำตาตก | อยากใคร่ยกโยกยอดให้ถอดถอน |
มาปลูกฝังตั้งวางกลางนคร | ให้ถาวรวันทาบูชาชม |
ยกไม่ไหวจนใจไม่มีฤทธิ์ | สุดจะคิดขุดหินแผ่นดินถม |
แล้วลงจากเขาเขินเนินพนม | เที่ยวเชยชมบุบผชาติดาษดา |
เห็นลั่นทมลมพัดสลัดร่วง | เปนพุ่มพวงกลิ่นหอมทั้งจอมผา |
ต้นงอกขึ้นตามพื้นพสุธา | ดาษดาร่มรื่นด้วยพื้นทราย |
เห็นสายหยุดหยุดยืนค่อยชื่นจิตร | พี่ยิ่งคิดถึงนุชที่สุดหมาย |
ได้หยุดชมหยุดเชยเคยสบาย | ทั้งหยุดก่ายหยุดกอดแม่ยอดรัก |
มลิลาเหมือนพี่มาไม่ลาน้อง | ให้ขัดข้องอุทรดังศรปัก |
กระลำพักได้พบประสบภักตร์ | มาไกลนักนึกถึงคนึงครวญ |
เห็นนางแย้มเหมือนหนึ่งแก้มแม่แย้มยิ้ม | ดูเพราพริ้มสุดงามทรามสงวน |
อบเชยเหมือนพี่เชยเคยชมชวน | ให้นิ่มนวลนอนแนบแอบอุรา |
กาหลงเหมือนพี่หลงลานสวาดิ์ | เบ็ญมาดเหมือนพี่มาดเสนหา |
พี่ชมพรรณบุบผชาติหวาดวิญญา | แล้วชมป่าไม้รังสพรั่งไป |
ไม่มีไม้อื่นปนต้นสล้าง | ดูกิ่งกางคดค้อมน้อมไสว |
เปนดอกดวงร่วงผลัดสลัดใบ | ที่ภายใต้ราบรื่นด้วยพื้นทราย |
เสียงเรไรจักรจั่นสนั่นก้อง | สกุณร้องเพรียกหูไม่รู้หาย |
ประดุจเสียงขับรำบำเรอราย | ร้องถวายพระแท่นในแดนดง |
ฟังวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์ | อัศจรรย์จับจิตรพิศวง |
พี่เที่ยวทั่วบริเวณจังหวัดวง | จนเลยหลงลัดทางมากลางไพร |
เห็นพยอมยางยูงสูงสลอน | ดูซับซ้อนโศกสนต้นไสว |
ตลิงปลิงปริงปรางมะทรางไทร | ประคำไก่กันเกราสะเดาดง |
กระฐินกระทุ่มชุมแสงดังแกล้งดัด | เปนคันฉัตรชูเชิดระเหิดระหง |
ปริงประดู่ปรูเปรียงภุมเรียงดง | โลดทนงอินทนิลแลอินจันทน์ |
เปนพวงผลหล่นกลาดลงดาษดื่น | ระดะพื้นพสุธาวนาสัณฑ์ |
มะขามป้อมน้อมกิ่งลงชิงกัน | เสียงสนั่นเฮฮาในป่าดอน |
พี่เดินพลางทางดูหมู่วิหค | บ้างโผนผกบินจับสลับสลอน |
นกกะลิงจับกิ่งกาหลงนอน | กระจาบจรจากรังไปพรั่งพรู |
อีลุ้มเหล่าเขาชวากระทาขัน | เบ็ญจวรรณบินผวาเที่ยวหาคู่ |
นกนางนวลโนรีสีชมพู | น่าเอ็นดูแต่เจ้าสาลิกาทอง |
พี่คนึงถึงสาลิกาแก้ว | ค่ำลงแล้วใครจะอยู่เปนคู่สอง |
จะเศร้าทรวงง่วงงงอยู่กรงทอง | ฤๅจะล่องลอยบินไปกินไกล |
จวนจะค่ำร่ำตรึกนึกถวิล | นกขมิ้นเหลืองอ่อนจะนอนไหน |
มานอนเพื่อนพี่บ้างในกลางไพร | ให้ชื่นใจเชษฐาสักราตรี |
พิราบร่ำคร่ำครวญชวนละห้อย | พี่ก็พลอยคร่ำครวญถึงนวลศรี |
พระสุริยายอแสงแฝงคิรี | เสียงชนีโหยหวนรัญจวนใจ |
เห็นเสือด้อมทรายเดินเนินพนัศ | เล็มระบัดใบหญ้าที่อาไศรย |
วิ่งคนองลองเชิงละเลิงใจ | เห็นคนไปวิ่งซอกตอมตรอกเตริน |
หมีกระโดดหมูดุดเที่ยวมุดแฝง | แรดก็แรงกินหนามไม่ขามเขิน |
ชมดฉมันหันหาพากันเดิน | ละมั่งเมินมองเมียงฟังเสียงคน |
กะรอกกะแตแย้ตุ่นเที่ยวดุนดุด | บ้างคุ้ยขุดดินป่าพนาสณฑ์ |
พี่เที่ยวเดินดูสนุกทุกตำบล | ก็ต่างคนต่างสำราญบานฤไทย |
ครั้นเย็นย่ำค่ำมืดขมุกขมัว | พี่นึกกลัวกลับมาที่อาไศรย |
พระจันทร์ส่องท้องฟ้าพนาไลย | จุดดอกไม้เพลิงพลามตามตะเกียง |
ถวายพระแท่นอุทิศตั้งจิตรหวัง | จุดพลุดังก้องลั่นสนั่นเสียง |
กระจายฟุ้งพลุ่งใหญ่ไฟพะเนียง | ขึ้นสูงเพียงปลายรังดังสท้าน |
บ้างก็จุดอ้ายตื้อเสียงหวือวูด | กรวดก็ฉูดพุ่งปราดอยู่ฉาดฉาน |
มีคนดูกรูเกรียวเที่ยวสำราญ | ประกอบการบูชาประสาจน |
บ้างก็เล่นเต้นรำทำสมโภช | ด้วยปราโมชมุ่งหมายฝ่ายกุศล |
บ้างโกนเกล้าเข้าบวชแล้วสวดมนต์ | บ้างนั่งบ่นภาวนาหลับตาไป |
บ้างก็ร้องแก้เพลงกันเครงครื้น | คนฟังยืนยัดเยียดเบียดไม่ไหว |
เขาเล่นเรื่องขุนแผนแสนอาไลย | เมื่อจรไปรับน้องวันทองนาง |
บ้างก็ร้องสักรวาใส่น่าทับ | ลูกคู่รับเรียบรัดไม่ขัดขวาง |
ข้างเสภากุมกรับขยับพลาง | แล้วครวญครางถึงพิมนิ่มอนงค์ |
ปี่พาทย์รับขันขานประสานเสียง | ก็กลมเกลี้ยงกล่อมจิตรพิศวง |
คนมาฟังนั่งพร้อมล้อมเปนวง | บ้างขึ้นลงอัดแอเสียงแซ่เซง |
จนดึกดื่นครื้นครั่นสนั่นมี | ชวนกันตีแต่ระฆังดังหง่างเหง่ง |
สัปรุษพร้อมกันเมื่อวันเพ็ง | พระจันทร์เปล่งเปลื้องปลดหมดมลทิน |
ดารารายพรายพร่างน้ำค้างย้อย | หวนห้อยโหยจิตรคิดถวิล |
หักใบไม้ลงนอนกับดอนดิน | เขาหลับสิ้นเสียงเงียบยะเยียบเย็น |
พี่นอนโศกเศร้าจิตรพิศวง | พอค่ำลงวันนั้นก็ฝันเห็น |
ว่าโลมลูบจูบน้องประคองเคล้น | แม่เนื้อเย็นหยิกข่วนว่ากวนใจ |
พี่กล่าวคำร่ำปลอบให้ชอบชื่น | ระเริงรื่นชื่นจิตรพิศมัย |
สดุ้งตื่นรื่นรศสุมาไลย | น้ำค้างไพรพร่างพรมลมรำเพย |
โอ้น้ำค้างกลางหาวหนาวละห้อย | อย่าหยดย้อยหยุดบ้างน้ำค้างเอ๋ย |
โอ้ดอกดวงพวงพยอมอย่าหอมเลย | พี่อยากเชยชมชูเรณูนวล |
โอ้พระจันทร์อันสว่างกระจ่างแจ้ง | อย่าเข้าแฝงเมฆมลลมบนหวน |
ขอชมต่างหน้าน้องลอองนวล | อย่าเพ่อด่วนลับเหลี่ยมเมรุไกร |
โอ้ว่าดวงดาราในอากาศ | เดียรดาษแวมวามงามไสว |
ลอยประโลมเลื่อมฟ้านภาไลย | เหมือนดวงใจของพี่ที่เลื่อนลอย |
พี่อยากได้ดวงดาวอันวาววับ | นึกขยับแล้วขยาดไม่อาจสอย |
ชมแต่แสงสุกสว่างอยู่พร่างพร้อย | พี่บุญน้อยนึกปองไม่ต้องการ |
ครั้นแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้า | สกุณาร่ำร้องก้องประสาน |
ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับพโยมมาณ | ระวีวารส่องภพจบสกล |
ก็ชวนกันวันทาลาพระแท่น | พี่สุดแสนเสียดายฝ่ายกุศล |
ให้ครวญคร่ำร่ำรักพระทศพล | ก็ต่างคนต่างสอื้นกลืนน้ำตา |
พี่ปลดเปลื้องเครื่องภูษิตอุทิศถวาย | แล้วคลี่คลายคลุมพระแท่นที่แผ่นผา |
ก็ชื่นชมโสมนัศด้วยศรัทธา | แล้วก้มหน้ากรวดน้ำเปนคำไทย |
ขอเดชะภูษาอานิสงษ์ | เมื่อปลดปลงชีวิตรให้คิดได้ |
อย่ามีมารมาผจญเข้าดลใจ | เทพไทจงเห็นเปนพยาน |
ขอให้ข้าได้ตรัสตัดกิเลศ | จะข้ามเขตรแว่นแคว้นแดนสงสาร |
ให้สำเร็จประโยชน์โพธิญาณ | เข้านิพพานพ้นทุกข์ศุขสบาย |
ขอให้สมปราถนาอย่าช้านัก | สิ่งใดรักขอให้สมอารมณ์หมาย |
ให้พบพระทุกชาติอย่าคลาดคลาย | อย่าให้ตายกลางอายุศม์ปัจจุบัน |
ตั้งแต่ชาตินี้ไปจนได้ตรัส | อย่าข้องขัดทรัพย์สินทุกสิ่งสรรพ์ |
การสิ่งใดที่หยาบบาปทุกอัน | การสิ่งนั้นอย่าได้พบประสบเลย |
ครั้นกรวดน้ำสำเร็จเสร็จธุระ | พี่ลาพระแท่นทองนะน้องเอ๋ย |
ประดิษฐกลอนอ่อนใจด้วยไกลเชย | ไม่หยุดเลยเรื่องรักนี้หนักจริง |
ถึงฟ้าดินอิสินทรสิงขรเขา | ไม่หนักเท่าทุกข์พี่นี้สักสิ่ง |
เมื่อยามนอนนอนคิดจิตรประวิง | อนาถนิ่งนึกถึงตบึงไป |
ใช่จะแกล้งแต่งประกวดอวดฉลาด | ทำนิราศรักมิตรพิศมัย |
ด้วยจิตรรักกาพย์กลอนอักษรไทย | จึงตั้งใจแต่งคำแต่ลำพัง |
หวังจะให้ฤๅเลื่องในเมืองหลวง | คนทั้งปวงอย่าว่าเราบ้าหลัง |
ถ้าใครเปนก็จะเห็นว่าจริงจัง | ประดุจดังน้ำจิตรเราคิดกลอน |
ขอเดชะถ้อยคำที่ร่ำเรื่อง | ให้ฦๅเลื่องเลิศลักษณ์ในอักษร |
ขอเชิญไทเทวราชประสาทพร | ให้สุนทรฦๅทั่วธานีเอย |