๏
๏ นิราสร้างปางธุระไปปถวี | |
ไหว้พระฉายหมายพระคุณจอมมุนี | เปนเจดีย์ปาฎิหารบันดาลดล |
ด้วยชาตินี้มีกรรมแสนลำบาก | มาอดอยากยากเย็นไม่เปนผล |
ทั้งญาติมิตรคิดเหมือนกับเพื่อนชน | ครั้นยามจนจืดเปรี้ยวไม่เหลียวแล |
จะหาซึ่งพึ่งพาก็หาไม่ | เที่ยวเลื่อนไหลลอยระลอกเหมือนจอกแหน |
ให้ง่วงเหงาเศร้าเสียวอยู่เดียวแด | สุดจะแปรพักตรหาพึ่งพาใคร |
จะพึ่งตนตนก็มาอนาโถ | เที่ยวเซโซใส่ปากถลากไถล |
ให้จนจิตต์คิดมาก็สาใจ | มาเกิดไยยามมหาอนาทร |
แต่กุศลจนยากไม่อยากละ | ไปไหว้พระรัศมียังศีขร |
ศิโรตม์ราบกราบกรานพระมารดร | ท่านอวยพรเพิ่มซ้ำแล้วล่ำลา |
ขอพระคุณจุณเจิมเฉลิมเกศ | ให้พ้นเภทภัยทุกข์เปนสุขา |
พอย่ำสามยามเบิกได้ฤกษ์พา | ลงนาวาหวั่นหวาดอนาถทรวง |
ยามประดาษขาดผู้ที่คู่คิด | ไม่มีมิตรหมายปองประคองหวง |
ที่ปลูกรักชักชุ่มเปนพุ่มพวง | มีแต่ร่วงโรยรสไม่งดงาม |
พอผลิดอกออกหอมได้น้อมโน้ม | มาลองโลมเลยกระดากเหมือนขวากหนาม |
เสียดายเอ๋ยเคยอุส่าห์พยายาม | คิดถึงความหลังหลังแทบคลั่งใจ |
จึงจำจดบทบาทนิราสรัก | ไว้ต่างพักตรเพื่อนมิตรที่พิสมัย |
ให้เห็นอกตกยากจะจากไกล | ยังอาไลยลับหลังได้สั่งลา |
ออกคลองน้อยลอยล่องมาคลองใหญ่ | ดูแจ่มใสแสงดาววาวเวหา |
น้ำค้างย้อยพรอยพรายพระพายพา | อนาถน่าหนาวใจกระไรเลย |
โอ้ยามนี้ที่สนิทเคยชิดโฉม | ได้น้อมโน้มนัดมานิจจาเอ๋ย |
เพราะหมองหมางจางใจจึงไกลเชย | ที่เคยเคยคิดหมายไม่วายครวญ |
แรมเดือนยี่นี้ก็คราวหนาวน้ำค้าง | ได้หมอนข้างเคียงกายไม่วายหวน |
ไม่เหมือนโลมโฉมหอมถนอมนวล | แสนรำจวนจับใจอาไลยลาน |
พอนาวาคลาคล่องเข้าคลองลัด | นามชื่อวัดพรหมสุรินท์ที่ถิ่นฐาน |
เขาฦๅข่าวเล่ามาก็ช้านาน | ว่าชายชาญเชิงวิชาข้างหากิน |
คิดโสฬสหมดเม็ดสำเร็จทั่ว | แทงโปถั่วถูกได้ดังใจถวิล |
สร้างอารามนามสมพรหมสุรินทร์ | ตามฐานถิ่นที่ตนเปนคนรวย |
โอ้ตัวเราเขลาจิตต์แม้นคิดได้ | เหมือนเขาไซร้สมถวิลจะหิ้นหวย |
ให้มั่งมีดีกว่ามหาละลวย | จะชุ่มชวยชูชื่อเลื่องฦๅลอย |
ทั้งสาวแส้แม่หม้ายจะหมายง้อ | มาแค่นขอหวยให้เราใช้สอย |
ไรจุกเก็บเล็บยาวสาวน้อยน้อย | จะหมอบชม้อยเมียงชม้ายคล้ายขุนนาง |
นี่จนจิตตคิดอะไรเขาไม่เห็น | ให้แสนเข็ญสารพัดจะขัดขวาง |
มิได้มีที่รักแต่สักปาง | ต้องเคว้งคว้างคว้าหาเลือดตากระเดน |
แม่ผิวขาวสาวทึมทึกพี่นึกหวัง | แต่รุ่นยังอยู่ใกล้เคยได้เห็น |
มาอยู่นี่พี่เสียดายไม่วายเว้น | มาเที่ยวเล่นหลายหนไม่ยลพักตร |
จะพึ่งบุญคุณพี่อยู่ที่บ้าน | เปนตะพานพาดเดิรก็เหิรหัก |
ไม่ผันผ่อนหย่อนนิยมพอสมรัก | น้อยใจนักหนอที่บุญไม่คุ้นเคย |
จนนวลนางกลางคนยลยังสาว | เดชะท้าวเทวดาเจ้าข้าเอ๋ย |
อย่าให้น้องของฉันขึ้นคานเลย | ให้ได้เชยโฉมผกาเหมือนปรารมภ์ |
พอออกลัดตัดมาตามหน้าวัด | โสมนัสน้อมนบขอสบสม |
เข้าคลองเปรมประชากรสท้อนระทม | ให้งายงมง่วงเหงาเศร้าฤทัย |
ถึงบ้านน้าขุนวิจารณ์ของหลานรัก | อนาถนักนึกน่าน้ำตาไหล |
เมื่อก่อนนั้นฉันก็ดูไม่สู้กะไร | จวนบรรไลยแล้วจึงรักฉันหนักครัน |
ฉันหมายพึ่งถึงกระนั้นไม่ทันพึ่ง | ไปหลงคลึงเคล้าเคลียเหี้ยสวรรค์ |
มันทำเล่นเช่นกับเขายำเต่ามัน | จนอาสัญสูญยศถึงหมดตัว |
ข้างฝ่ายว่าน้าสะใภ้ก็ไม่หาญ | ไม่เชื่อหลานเลยชวดน่าปวดหัว |
มันรวยเอาเข้าของยังตรองกลัว | พาฉันมัวหมองหน้าเปนราคิน |
ทั้งนี้นั้นก็เพราะฉันนี้อาภัพ | จะลาลับแล้วนะจ๋าอย่าถวิล |
เขาแจวจ้วงล่วงมาในวาริน | พอได้ยินยิงปืนเสียงครืนโครม |
พระพายผ่าวหนาวอุรานิจจาเอ๋ย | เมื่อไรเลยเล่าจะคืนมาชื่นโฉม |
เสียงระฆังหงั่งง่วงเพียงทรวงโทรม | จะลาโลมลับเหมือนกับเดือนแรม |
เคยชมสถานบ้านเมืองที่เรืองรุ่ง | จะชมทุ่งแถวกระท่อมที่หรอมแหรม |
เคยชมเรื่องเครื่องประดับวับแวม | จะชมแขมคาแฝกที่แปลกปลอม |
เคยดูสาวชาวในวิไลยล้ำ | ที่คมขำขาวแต่ล้วนแป้งหอม |
ไปดูสาวชาวนาหน้ามอมมอม | เหลือจะตรอมตรมถวิลไม่ยินดี |
ดูดวงดาววาววับลับไศล | พอใสใสแสงทองผุดผองศรี |
อรุณรุ่งพุ่งผาดทั้งธาษตรี | ยลแต่ที่แถวคลองกับท้องนา |
ตามริมคลองสองข้างห่างห่างบ้าน | ระยะย่านยังดูไม่สู้หนา |
เขาต้มหุงปรุงสรรพรับกระยา | แล้วลีลาล่วงเลยเสบยสบาย |
มาย่านท้ายปลายคลองสามเสนชื่อ | จนบางซื่อบางซ่อนแดดร้อนสาย |
มีเรือนบ้านร้านโถงปลูกโรงราย | ต่างซื้อขายสินค้านานานอง |
พวกแม่ค้าหน้าแปลกมาแลกเข้า | จับเขม่าหมึกมอมินหม้อหมอง |
ที่รุ่นเนื้อเจือขมิ้นดินสอพอง | ไม่เหมือนน้องในเมืองเนื้อเหลืองเอง |
ถึงวัดชีมีแต่สงฆ์องค์เดียวโดด | กุฎีโบสถ์เครื่องไม้ไผ่โหรงเหรง |
มุงจากคาฝาโถงดูโกรงเกรง | ไม่เหมาะเหม็งเหมือนกะป่าไม่น่าเนา |
โอ้อาวาสพาสนายังอาภัพ | ใครจะรับเริ่มเรียมขึ้นเทียมเขา |
สัมหาว่าแต่คนเหมือนตนเรา | จะมิเศร้าโทมนัสกว่าวัดวา |
ขาดที่ซึ่งพึ่งพาแสนอาภัพ | ทั้งไร้ทรัพย์ซ้ำประดาษวาสนา |
เหมือนลอยคว้างกลางทเลทุกเวลา | ใครจะมามุ่นหมกยกพยูง |
ถึงท้ายช่องคลองบางตนาวสี | ดูเจดีย์วัดเฉลิมช่างเสริมสูง |
เขาหยุดทอดจอดเสือกผูกเชือกจูง | ขึ้นฝ่าฝูงเพื่อนโยงตะโพงเดิร |
ถึงสองห้องตรองตรึกให้นึกแหนง | ใครช่างแต่งตั้งนามไม่ขามเขิน |
ฤๅห้องหอขอสู่กันอยู่เพลิน | ฤๅประเมินมาประสมพอกลมเกลียว |
เหมือนเราไซร้ไร้คู่ที่อยู่สอง | สักสิบห้องเห็นไม่อุ่นไม่ฉุนเฉียว |
แม้นได้แอบแนบน้องสักห้องเดียว | จะทราบเสียวแสนสุขสนุกครัน |
ถึงท้ายทางบางตลาดอนาถจิตต์ | เคยชมมิตรมาตลาดขาดรับขวัญ |
เห็นร้านโถงโรงนาพวกรามัญ | เขาพูดกันก็แต่เขาเราไม่เจน |
ผู้หญิงนุ่งถุงถกเมื่อยกย่าง | แลสว่างวาบตาเหมือนท่าเขน |
ผู้หญิงไทยใช้โหย่งโจงกระเบน | ถึงโอนเอนอ่อนอ้าไม่น่าอาย |
ข้างขวาคลองท้องที่นั้นมีหลัก | ร้อยเส้นปักเปนสำคัญเหมือนมั่นหมาย |
มีศาลาอาศรัยให้สบาย | ทั้งหญิงชายชาวเรือเหลือประมาณ |
พระราชทรัพย์นับพันสรรค์สละ | ทรงสร้างพระบารมีอภินิหาร |
ให้ขุดคลองท้องที่นี้เปนทาน | แสนสำราญราษฎรสัญจรไป |
นึกโมทนาสาธุสะพระกุศล | จงเพิ่มผลผ่านพบสบสมัย |
เขาโยงยุดฉุดเรือมาเหนือไกล | ยิ่งร้างไร้เรือนสถานแลร้านโรง |
คิดถึงมิตรติดพันกระสันเสียว | ไหนจะเหลียวแลทางกลัวช้างโขลง |
เขาบุกแฝกแหวกเฝือจนเหลือโยง | ต้องชะโลงลากส่งกันลงเรือ |
พอบ่ายคล้อยค่อยแจวตามแนวเนื่อง | ถึงดอนเมืองเหมือนจะอ้อมคดค้อมเหลือ |
ตลิ่งแขมแซมกกขึ้นรกเรื้อ | น่ากลัวเสือสุ้มมองต้องระแวง |
จนเลยไกลให้ประทับรับอาหาร | เสพย์สำราญริมไม้เงาไผ่แฝง |
สุริยนสนธยาทองฟ้าแดง | บรรลุแขวงบางหลวงล่วงลีลา |
ยิ่งไกลแดนแหงนชะแง้ยิ่งแลเหลียว | คิดยังเปลี่ยวเปล่าใจอาไลยหา |
โอ้ป่านนี้ที่หมายสายสุดา | เจ้าเคยมามิได้เห็นจะเย็นทรวง |
มาลเลิงเชิงรากจนจากรัก | ต้องมาหนักอกครางอยู่บางหลวง |
สุริยงค์ลงลับจะดับดวง | เหมือนพี่ล่วงเลยลับจะดับแด |
เดือนมืดมัวทั่วหล้าท้องฟ้าคลุ้ม | ยุงก็ชุมช่วยกันปัดฉวัดแฉว |
ไม่เห็นหนอนธการลลานแล | ทั้งสองแควซ้ายขวายิ่งอาดูร |
ไม่มีเรือนเพือนเรือเหลือจะเปลี่ยว | เหมือนมาเดียวดูอนาถช่างขาดสูญ |
เห็นดาราฟ้าคล้ำไม่จำรูญ | เหมือนจะพูลเพิ่มซ้ำให้ช้ำใจ |
จนดื่นดึกพฤกษพร้อยหิ่งห้อยแพร้ว | จักระจั่นแจ้วจังหรีดหวีดหวีดไหว |
ยิ่งเย็นเยียบเซียบเสียวเหลือบเหลียวไป | เหมือนแสงไฟวามวับแล้วกลับแดง |
เขาว่าสีผีโขมดมันโลดหลอน | คนแจวจรเจรจาว่าน่าแสยง |
ต่างโห่เห่เฮฮาพอพาแรง | แต่เรียมระแวงหวังสวาทไม่คลาศคลาย |
ถ้าขวัญตามาเห็นเหมือนเช่นนี้ | จะกอดพี่ผินผันมิ่งขวัญหาย |
เรียมจะยอบปลอบน้องประคองกาย | ให้เจ้าวายโศกโทรมแล้วโลมเลียม |
นี่แก้วตามิได้มาเปนเพื่อนรัก | เห็นแต่พักตรเพื่อนชายน่าอายเหนืยม |
หนาวน้ำค้างพร่างพรมยิ่งกรมเกรียม | ในใจเจียมจะระงับไม่หลับลง |
จนออกคลองมองลำแม่น้ำกว้าง | ดูอ้างว้างหวั่นใจให้ไหลหลง |
พระพายผ่าวหนาวอกอยู่งกงง | ให้เอ้องค์อาทวาลล้าลลัง |
เสนาะสำเนียงเสียงนาฬิกาเกราะ | สองยามเคาะระฆังให้อาไลยหลัง |
ถึงเกาะบางนางอินดูถิ่นวัง | งามเหมือนดังทิพยสถานพิมานแมน |
ฟากหนึ่งสร้างอารามนามนิเวศน์ | ธรรมประวัติวิเศษสนุกแสน |
มีหอคอยลอยเด่นเห็นเขตแดน | ทุกแว่นแคว้นขวัญตาได้มาชม |
เข้าจอดเรือเหนือเกาะจำเพาะพุ่ม | ไม้วัดจุมพลชิดสนิทสนม |
พอรุ่งเช้าเขาก็ฟื้นตื่นรงม | ก็แจวรดมด่วนไปใจวิงวิง |
ถึงบ้านพาดพาดแต่ชื่อฤๅว่าบ้าน | เคยเปนตะพานพาดทอดถึงยอดหญิง |
ขอบุญบ้านวานสวาทไปพาดพิง | พอได้อิงแอบชมเมื่อลมชิว |
เห็นน้ำเจิ่งเวิ้งวุ้งดูทุ่งกว้าง | ให้นึกวางเวงใจไหวไหวหวิว |
ทุกแขวงแควแลวิเวกหมอกเมฆปลิว | ละลิ่วลิ่วลิบฟ้าดูน่าเพลิน |
เห็นริ้วริ้วทิวไม้รำไรรอบ | จนเขตขอบลำเนาภูเขาเขิน |
ฝูงปักษาหากินลงดินเดิร | ทุกแถวเทินทุ่งท่าวนาแนว |
นกเป็ดน้ำดำมุดแล้วผุดโผล่ | ปักหลักโด่โดดน้ำลงต้ำแผลว |
นกกดก๋าตามองดูบ้องแบว | นกแซงแซวซุ่มซุกอยู่ชุกชุม |
นกกวักรอนช้อนหอยนั้นคอยฉก | กับฝูงนกดอกบัวเที่ยวมั่วสุม |
หัวเปนมันนั้นวิหคนกตะกรุม | เห็นคุ่มคุ่มทิวไม้รำไรตา |
กาไล่ล้อมตอมรุ้งกะทุงทอง | อิลุ้มล่องลอยสูงฝูงกระสา |
นกยางขาวก้าวสับคอยจับปลา | อุปมาเสมือนตนของคนร้าย |
ข้างนอกล้วนนวลวิลัยแต่ใจเผือด | คอยกินเลือดเนื้อได้น่าใจหาย |
เห็นคนตะคุ่มคลุมหัวเลี้ยงวัวควาย | ทั้งหญิงชายชาวนาน่าอิดโรย |
ตรำแดดฝนทนเหงื่อไม่เบื่อหน่าย | เที่ยวเรี่ยรายริ้วริ้วน่าหิวโหย |
บ้างขับนกยกเหวี่ยงเสียงโวยโวย | แสนลำโบยลำบากเพราะยากเย็น |
ว่าแต่เขาเราหนาก็อาภัพ | แสวงทรัพย์สารพัดจะขัดเข็ญ |
อยู่บางกอกดอกจะหาเลือดตากระเด็น | ยิ่งกว่าเปนบ้านนอกจนออกเกรียม |
ถึงเกาะเรียนเรียนอะไรก็ไม่เห็น | ชื่อยังเปนไปได้ไม่อายเหนียม |
เราก็เพียรเรียนบ้างแต่ยังเจียม | รู้ไม่เรี่ยมเปนแต่รู้งูงูปลา |
ไม่ทันเขาเหล่าผู้ที่รู้มาก | ต้องหุบปากประหนึ่งหอยคอยหุบฝา |
จึงยากแค้นแสนทุพลจนชรา | ไม่มีหน้านามเพราะเหมือนเกาะเรียน |
พอยินเสียงว่าเสบียงยังอยู่น้อย | ยิ่งโศกสร้อยเศร้าจิตต์ตะขวิดตะเขวียน |
ให้ข้ามเข้าเหล่าช่องคลองตะเคียน | เที่ยวเยี่ยมเยียนญาติสหายเปนหลายวัน |
จนคลองเมืองเยื้องจะย่างกลางเดือนสาม | จะคิดความก็จะซ้ำไม่ขำขัน |
นิราสทวาราวดีก็มีครัน | ทางนี้ฉันคิดไว้เคยไคลคลา |
ครั้นมิลัดตัดบทจะหมดสมุด | ต้องจำหยุดยั้งบ้างอย่ากังขา |
พอได้เสบียงเลี้ยงท้องก็ล่องมา | เข้าจอดอารามอ้างพระนางเชิง |
หยิบธูปเทียนดอกไม้แบ่งให้เขา | ชวนไปเข้าโบสถ์ชะแง้สูงแลเหลิง |
ที่พระประธานท่านอยู่ดูดำเกิง | สูงใหญ่เทิ่งทองแจ่มแอร่มเรือง |
แต่ตัวเราก็ไม่เท่าพระกนิษฐา | ชนคณานับถือออกฦๅเลื่อง |
ก่อนกรุงตั้งฝั่งนี้ที่เปนเมือง | มีในเรื่องจดหมายไม่ป่ายปีน |
ก่อนอู่ทองครองสมบัติกษัตริย์หลาย | พระเจ้าสายน้ำผึ้งซึ่งมีศีล |
ไม่รับนุชบุตรสาวเจ้ากรุงจีน | มาอยู่ตีนท่าทำเชิงร่ำไป |
จนอาสัญภรรดามาบุรณะ | ชื่อวัดพระนางเชิงถเกิงใหญ่ |
พวกจีนเขาที่เข้ามาภาราไทย | เขาจึงไหว้ว่าพระเจ้าเท้าวันนี้ |
จึงซายิดติดมาประสาเจ๊ก | ทำกงเต๊กตามชนิดทุกดิดถี |
จะเท็จจริงสิ่งนั้นสำคัญมี | เขาเล่ากันฉันนี้ก็เล่าตาม |
แต่พระนี้เปนที่เสี่ยงทายชัด | ดูก็อัศจรรย์น่าหวั่นหวาม |
ใครใจบุญกรุณามาประนาม | ไม่คิดขามเข้าใกล้เหมือนใจตัว |
ใครใจบอบหยาบช้ามาคำนับ | กลัวจะทับขนพองสยองหัว |
แต่ก่อนนั้นฉันมายังน่ากลัว | ทุกวันหวังยังชั่วไม่เช่นเดิม |
ปิดทองคำทำใหม่พึ่งได้เห็น | เขาว่าเปนมาแต่วันที่สรรค์เสริม |
นึกนิยมชมบุญกระตุ้นเติม | ตามเฉลิมเลื่อมใสในใจตน |
แล้วตั้งจิตต์คิดถึงพระพุทธเจ้า | พลางก้มเกล้ากราบงามลงสามหน |
จุดเทียนธูปบุบผาประสาจน | แล้วสวดมนต์มอบกายถวายพระ |
ขอนิสัยให้ถึงซึ่งวิมุติ์ | เดชะพุทธบูชาอุสาหะ |
ขอฉันได้พบพระไตรรัตนะ | กว่าจะละเกลสเสร็จเด็ดกระเด็น |
ซึ่งยากแค้นแสนประดาษเหมือนชาตินี้ | ขออย่ามีมาพบประสบเห็น |
ให้ชนม์ยืนชื่นชูทั้งอยู่เย็น | อย่ารู้เปนโรคไภยเหมือนใจจง |
ขออย่าคบพบพาลสันดานเขลา | คบแต่เล่าพงศ์ปราชญ์ดังราชหงส์ |
ให้ปราชญ์เปรื่องเรืองวิชาปัญญายง | ทั้งรูปทรงสวยเสน่ห์เหมือนเทวดา |
ที่สำอางนางไหนฉันหมายมั่น | ให้นางนั้นนึกสวาทเหมือนปราถนา |
ทั้งสาวแส้แม่หม้ายพอชายตา | ให้ตามมาสอสอเฝ้าง้องอน |
อันแพศยากาลีฤๅขี้หึง | ขออย่าพึงผูกพันร่วมบรรจฐรณ์ |
เสร็จเคารพนบพระชินวร | ก็ลาจรจากโบสถ์ลิงโลดใจ |
ดูภูมิฐานลานเลี่ยนเตียนสอาด | รุกชาติช่อชุ่มพุ่มไสว |
ระรื่นร่มลมพาสุมาไลย | มาทราบในนาสาน่ารำจวน |
โอ้รินรินกลิ่นพิกุลมาฉุนชื่น | เหมือนเมื่อคืนเคียงถนอมให้หอมหวน |
หอมบุหงาสารภีมายียวน | เหมือนแป้งนวลนางร่ำพร่ำคนึง |
หอมกระถินกลิ่นเกลี้ยงเพียงกระแจะ | เหมือนจะแนะน้ำจิตต์ให้คิดถึง |
โอ้บุบผามาลีก็มีอึง | เปนที่ผึ้งภุมรินได้บินตอม |
แต่มณฑาสาหรีเปนที่ชื่น | รสรวยรื่นรัญจวนควรถนอม |
เสียดายดวงหวงรสสู้อดออม | จนหายหอมโหยหาเหลืออาไลย |
คนึงพลางทางดูกุฎีวัด | แปลกถนัดนึกน่าน้ำตาไหล |
แต่ปางหลังครั้งเรายังเยาว์ไวย | พระวินัยธรอยู่อุ้มชูฟัด |
พามาเลี้ยงเพียงบุตรรักสุดอย่าง | ว่าฉันช่างพูดจานี้สาหัส |
มิทันใหญ่ไพล่เพลินพเอิญพลัด | ไปอยู่วัดเชิงท่าหน้าบ้านเรา |
ยังมิหนำซ้ำร้างไปบางกอก | ไปแห้งกรอกกรอบเกรียมไม่เทียมเขา |
ขึ้นมาบ้านพานอดสูเขาดูเบา | ไม่อาจเข้าเคียงใครเหมือนไม่คุ้น |
โอ้อาลัยพระวินัยธรอยู่เอ๋ย | เมื่อก่อนเคยขาดเหลือท่านเกื้อหนุน |
น้าป้าป่วยช่วยรักษาเพราะการุญ | มาสิ้นบุญเสียเมื่อไรก็ไม่รู้ |
ท่านยังไม่ได้สอนเพราะอ่อนหัด | ซ้ำเคืองขัดคุณป้าว่าลาหนู |
ถึงกระนั้นฉันก็ยังกตัญญู | พระคุณอยู่เกศาประนามัย |
ซึ่งฉันเพียรเรียนร่ำธรรมรส | อุโบสถศีลทานที่สานต์ใส |
ขอแผ่ผลาอานิสงส์นั้นส่งไป | ให้ท่านได้ดลสวรรค์ชั้นวิมาน |
หนึ่งอักษรกลอนเกริ่นที่เยินยศ | ให้เจนจดใจเจนสืบเหลนหลาน |
แล้วลาตรงลงเรือด้วยเหลือนาน | จากสถานถิ่นท่าพว้าพะวัง |
เห็นน้ำวนชลกระแสแลละห้อย | ดูวนน้อยมิได้วนเหมือนหนหลัง |
แต่ก่อนเอ๋ยเคยเสียงสำเนียงดัง | ได้นอนฟังเสียงน้ำทุกค่ำคืน |
โอ้น้ำเอ๋ยเคยฦกยังตื้นหลาย | เพราะตมทรายสมมาเหลือฝ่าฝืน |
เหมือนตัวเราเล่าหวังไม่ยั่งยืน | จะต้องตื้นตามรทมที่ถมทรวง |
แต่จากสถานนานช้าขึ้นมามั่ง | ก็น่าสังเวชใจเปนใหญ่หลวง |
ที่รุ่นราวคราวกะฉันนั้นทั้งปวง | ดูก็ล่วงลับจากไปมากครัน |
เห็นกรุงเก่าเศร้าอกดูรกเรื้อ | เสียดายเหลือเหลือจะคิดจิตต์กระสัน |
ฟังผู้เฒ่าเล่ามาสาระพัน | เมืองดีนั้นน่าเพลินเจริญใจ |
โอ้เรานี้นี่ก็ชาวกรุงเก่าชัด | โทมนัสน้อยจิตต์คิดสงไสย |
มากำเหนิดเกิดมิทันเปนฉันใด | จึงมิได้ดูชมสมคะเน |
พอคนท้ายบ่ายแฉวเข้าแควประสัก | นึกถึงรักที่จะร้างไปห่างเห |
ให้ดิ้นโดยโหยหวนอยู่รวนเร | จวนโพล้เพล้พลบค่ำยิ่งคร่ำครวญ |
เห็นสาวสาวชาวแพแลสลอน | เหมือนกินรน่าประโลมโฉมสงวน |
ดูคมขำทำทีก็ยียวน | ทั้งสำนวนวาจาก็น่าฟัง |
จะนุ่งห่มก็พอสมแก่ศักดิสาว | ไม่เหมือนชาวบ้านนอกที่ลอกหนัง |
เปนชาวเมืองเหลืองขาวเหมือนชาววัง | ถึงเมืองรั้งราศียังมีเชื้อ |
เหมือนของคร่ำน้ำทองเปนของเก่า | จะเคียงเข้าของใหม่ก็ไม่เฝือ |
โอ้เรานี้นี่ก็ชาวกรุงเก่าเจือ | แต่ใกล้เกลือกินด่างหมางฤทัย |
จะคืนหลังก็เหมือนดั่งน้ำเต้าแก่ | ใครจะแลเหลียวคิดพิสมัย |
โอ้บุญน้อยน้อยหน้าขอลาไกล | จะขอบใจบ้างไหมนั่นที่ฉันชม |
ถึงสองแควแม่น้ำลำแชวก | โอ้โอ๋แยกอย่างนี้ยังดีถม |
แต่นิสัยใจน้องสองอารมณ์ | แม้นหลงงมคบค้าแล้วพางอม |
ตัดตำราปาน้ำจำใส่จิตต์ | ไม่ขอชิดชาติเชื้อพวกเนื้อหอม |
ถึงบ้านไผ่ดูไผ่มิได้ตรอม | แต่เรียมผอมไผ่กว่าหนักหนานัก |
ถึงปากจั่นจั่นนี่ฤๅเขาฦๅอยู่ | คอยดักผู้มีฤทธิมาติดกัก |
เหมือนฉันนี้เล่าก็มีแต่ฤทธิรัก | ใครจะดักไปให้นุชแม่พุทโธ |
ถึงบ้านเสื่อเหลือจะคิดถึงมิตรมิ่ง | เมื่อพาดพิงผูกรักเรียมอักโข |
สู้หอบเสื่อเมื่อตามทั้งยามโซ | ยังพาโลลากลับให้อัประมาน |
ถึงบางระกำไม่ระกำช้ำแต่ชื่อ | อันเรียมฤๅรักนุชสุดสงสาร |
แสนระกำช้ำมานั้นช้านาน | ยังพบบ้านบางระกำให้ช้ำใจ |
ร่ำคนึงถึงพระนครหลวง | ให้งงง่วงเหงาจิตต์คิดสงไสย |
ในหลวงสร้างปางหลังแต่ครั้งใด | เมืองมิใหญ่อยู่ฤๅชื่อจึงดัง |
เดี๋ยวนี้ไฉนไยมาชตาตก | สุดจะยกหยิบยุบลแต่หนหลัง |
โอ้เราหนาน่าคิดอนิจจัง | แต่เมืองยังอย่างนี้ย่อมมีมา |
ถึงแม่ลาเมื่อจะมาน้ำตาคร่ำ | มิได้ล่ำลามิตรขนิษฐา |
จึงจดหมายรายทางไว้ต่างลา | ทุกถิ่นแถวแนวท่าล่ำลานาง |
เข้าหยุดทอดจอดที่กุฎีตรุ | พอล่วงลุยามสองให้หมองหมาง |
ยิ่งทุกข์แถมแรมร้อนมานอนทาง | ไม่มีนางเนื้ออ่อนมานอนเคียง |
หนาวน้ำค้างพร่างกระเซ็นให้เย็นเยียบ | ดูเงียบเซียบสิงสัตว์สงัดเสียง |
เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไม้เรไรเรียง | เหมือนสำเนียงนวลน้องเจ้าร้องลำ |
นิจจาเอ๋ยเคยได้ไปบอกบท | ได้ฟังรสคารมที่คมขำ |
มาฟังเสียงเรไรใจระกำ | ไม่เหมือนน้ำเสียงรักในสักระวา |
ให้โหยหนจนสว่างกระจ่างแจ้ง | เขาจัดแจงจับปรุงทั้งหุงหา |
รับประทานแล้วแผ้วศรีสุริยา | ก็ล่องมาเขตขัณฑ์อรัญญิก |
เปนพวกลาวชาววิลัยมิใช่เจ๊ก | แต่ตีเหล็กเหลือสนุกเสียงกรุกกริก |
ผู้หญิงลาวสาวใหญ่ทำไพล่พลิก | ดูตุกติกเต่งตั้งอลั่งงาม |
ถ้าเปนไทยแล้วที่ไหนจะเปลื้องปลด | ย่อมปิดหมดไม่ออกนอกสนาม |
นึกถึงของต้องประสงค์ของนงค์ราม | มาเขตคามตะเคียนด้วนหวนเสียดาย |
มองเขม้นก็ไม่เห็นตะเกียนด้วน | เห็นแต่ล้วนเหล่าสวาทนั้นขาดหลาย |
ยิ่งตรองตรึกนึกแค้นแสนเสียดาย | ด้วยเจ้าสายสุดสวาทที่ขาดลอย |
มาถึงศาลาลอยพลอยอนาถ | เหมือนพี่มาดหมายมิตรสู้ติดสอย |
แม้นชายไหนใครจะปองสบร่องรอย | เกรงจะพลอยหลุดเลื่อนเหมือนศาลา |
ขอกุศลดลจิตต์ของมิตรมิ่ง | ให้เห็นจริงใจเทวษของเชษฐา |
ถึงใครปองอย่าให้น้องเจ้านำพา | ให้เมตตาก็แต่ฉันจนวันตาย |
ถึงบ้านขวางขวางบ้านรำคาญหู | ไม่อยากรู้เรื่องขวางให้ห่างหาย |
ถึงท่าเรือเรือเคียงอยู่เรียงราย | ออกเหลือหลายหลามจอดตลอดคุ้ง |
พวกสัปรุษสุดใจไปไหว้พระ | ดูระดะดาษระดมทั้งต้มพุง |
พวกร้านขายรายของกองกะบุง | เห็นคนมุงเหมือนตลาดไม่ขาดคราว |
ให้จอดเรือริมแพพอแลเห็น | ได้ดูเล่นหลากชุมทั้งหนุ่มสาว |
เขมรไทยใหญ่เด็กแลเจ๊กลาว | อิกทั้งชาวบ้านนอกแลขอกนา |
ต่างบำรุงนุ่งหุ่มพอกลมเกลี้ยง | แต่สำเนียงนั้นแลออกบอกภาษา |
ที่สาวสาวชาวเมืองเนื้อเหลืองมา | ดูแช่มช้าเฉิดฉายกรีดกรายกรุย |
ล้วนผัดหน้าทาจันทน์กระแจะแป้ง | ซัดสีแสงแสดย้อมออกหอมฉุย |
ที่สาวสาวชาวสนุกพวกรุกรุย | ทำใบ้บุ้ยบอกขบวรให้ชวนเชย |
แม้นพบเพื่อนเหมือนใจแล้วไม่ละ | เสียงจ๋าจ๊ะจ๊ะจ๋านิจจาเอ๋ย |
โอ้ตัวเราเฝ้าถวิลสิ้นเชลย | นั่งแหงนเงยงุ่มง่ามคร้ามตัวเมีย |
ไม่ออกตัวกลัวใครเขาไม่ทัก | ไม่เห็นพักตรที่ผู้จะซูเอี๋ย |
ทั้งอายเหนียมเจียมตัวไม่ปัวเปีย | ต้องยอมเสียค่ารักหักชรา |
แค้นแต่ใจในตานิจจาเอ๋ย | ไม่ยอมเลยเหลือวิสัยเจียวใจจ๋า |
พบสีแสงแดงฉาดให้บาดตา | ยิ่งค้อนมาเหมือนกะศรยอนฤทัย |
ถึงต้องศรถอนหลุดพอฉุดคร่า | ถ้าต้องตาแลค้อนไม่ถอนไหว |
แต่มืดเหมือนเดือนแรมไม่แจ่มใจ | สุดจะใฝ่แฝงเงาเฝ้าประจง |
ดัวยทางท่าคลาเคลื่อนไม่เหมือนเก่า | ให้โฉดเฉาชั้นเชิงลเลิงหลง |
เหมือนนกเขาเข้าเพนืยดรังเกียจกรง | เกรงจะงงจิกปีกต้องหลีกลา |
สงสารจนตนเดียวแต่เที่ยวท่อง | แสวงร่องรอยรักมานักหนา |
ทั้งแก่สาวชาวมนุษย์อยุธยา | ไม่ปะหน้านึกสท้อนถอนฤทัย |
คิดถึงความยามปฐมที่สมมาด | เพราะประมาทหมางมิตรพิสมัย |
จึงเหินห่างร้างราที่อาไลย | มาจำใจเจ็บอุราอยู่อาจิณ |
ยังจะไปไกลสถานกันดารแสน | ถึงด้าวแดนดงใหญ่ไพรพฤกษิน |
ต้องซื้อของตรองตริปฏิทิน | พอไปกินเก็บงำไว้สำรวม |
หยิบเหรียญใช้ให้เขาก็เจ้าเคราะห์ | มันจำเพาะตกน้ำไปต้ำป๋วม |
ให้เขาดำคลำหาจนตาบวม | ก็ไม่สวมสบพานเหลือทานทน |
ต้องหยิบใช้ให้เขาเล่าอิกบาท | มาซ้ำขาดทุนรองถึงสองหน |
โอ้นึกมาแล้วก็น่าน้อยใจตน | มันยิ่งจนแล้วมิหนำมาซ้ำจัน |
ต้องจำลาท่าเรือเหลือขยาด | พอบ่ายคลาศคล้อยศรีสุริยฉัน |
ให้แสนโศกมาถึงโคกมะนาวพลัน | เสียดายขวัญความหลังทุกครั้งคราว |
เมื่อยามรักมักจะชื่นทุกคืนค่ำ | เปนน้ำฉ่ำชุ่มชื่อไม่อื้อฉาว |
เมื่อยามหมางจางจืดไม่ยืดยาว | เหมือนมะนาวไม่มีน้ำช้ำอุรา |
มาถึงบ้านจำปานิจจาเอ๋ย | ให้ระเหยหวนหื่นชื่นนาสา |
สไบนางอย่างดีสีจำปา | เสนหาหอมวิไลยมิได้ลืม |
เมื่อนัดกันวันพบประสบพักตร | เฝ้าฉุดชักชายชมให้ดมดื่ม |
น่าน้อยจิตต์มิได้คิดจะขอยืม | เหมือนปลิดปลื้มปลุกปล้ำช้ำฤทัย |
ถึงท่างามงามอื่นสักหมื่นแสน | ไม่งามแม้นเหมือนน้องที่ผ่องใส |
ดังอับสรร่อนฟ้ามายาใจ | จะดูไหนงามนั่นเปนขวัญตา |
นิจจาเอ๋ยเคยเห็นทุกเย็นเช้า | คอยฟังข่าวคอยแลชะแง้หา |
มาแลลับกลับไกลอาไลยลา | เห็นแต่ท่างามเขม้นไม่เห็นงาม |
แต่เขตแคว้นแสนสนุกทุกหน้าท่า | เรือสินค้าเคียงจอดตลอดหลาม |
พี่น้องเราเขาอุส่าห์พยายาม | มาอยู่คามเขตนี้มีเงินทอง |
เขาเห็นฉันพันจะไร้เขาไปล่าง | เขาไม่ย่างเหยียบบ้านพานจองหอง |
มาถิ่นเขาเราก็เจียมจะเยี่ยมมอง | เขาไม่ร้องเรียกหากลัวหน้าพัง |
ให้ข้ามตัดจอดวัดพระนอนนะ | ขึ้นชมพระสูงกว่าฝาผนัง |
ท่านผู้สร้างค้างไว้ไม่อินัง | ฉันน้อมบังคมข้องหมองกมล |
โอ้แต่พระปฎิมายังราร้าง | เราก็บุญหนุนสร้างมาปฏิสนธิ์ |
ให้เปนมนุษย์แต่ว่าสุดที่แสนจน | นับว่าคนตกค้างหมางฤทัย |
เห็นพระโตโอ้ว่านิจจาเอ๋ย | คนก็เคยพบเห็นเปนไหนไหน |
ที่คนดีมีศรัทธาประนามัย | โดยเลื่อมใสบริสุทธิว่าพุทโธ |
ที่รุกรุยรุงรังเคยหยั่งเห็น | หล่อนอมเล่นเหมือนกะอมขนมโก๋ |
เมื่อกระนั้นฉันก็ปะพระโตโต | แม่สาวโซสวยปลั่งเขายังอม |
ฉันออกตัวกลัวกรรมไม่ทำได้ | ต้องใส่ใจจำปิดสนิทสนม |
เลยกราบลามาสถานบ้านยางนม | ฉันนึกชมชื่อชัดที่ฟัดครือ |
โอ้นมยางอย่างไหนไม่ประสบ | ฉันขอพบพอระงับได้จับถือ |
ถึงไม่มากหากสักนิดพอติดมือ | ได้ขึ้นชื่อว่าได้ชมเจ้านมยาง |
ไม่ปะตาพอเวลาขมุกขมัว | ถึงบ้านหัวหินให้ใจขนาง |
อันหัวแขงมักตะแคงไม่เข้าทาง | เอาแก่ข้างเข้าดันแล้วฉันกลัว |
ถึงท่าช้างช้างมีที่นี่ฤๅ | พอยินชื่อฉันก็พองสยองหัว |
ด้วยมืดค่ำคล้ำคลุ้มชอุ่มมัว | ไม่เห็นตัวเต็มยากจะบากเบือน |
เขากลัวข้างช้างพลายว่าร้ายแท้ | ฉันกลัวแต่พังพากันหาเถื่อน |
ที่ท่าช้างบางกอกก็ออกเฟือน | มักหลงเลือนเหลือขยาดไม่อาจรอ |
ถึงเริงรางโอ้พี่ร้างเสนหา | ไม่อาจร่าเริงรางสักอย่างหนอ |
แม้นได้ชมสมหมายจะกรายกรอ | ประโลมล่อลอยเหลิงร่าเริงรมย์ |
ถึงบ้านหมากบ้านม่วงในทรวงช้ำ | คิดถึงน้ำรักนางปางปฐม |
ที่ไปสวนนวลนางที่บางพรม | ชมหมากส้มสวนมะพลับผลทับทิม |
เขาไปห้างกลางวันฉันกับน้อง | อยู่เฝ้าห้องหับเซียบเงียบเงียบหงิม |
มะม่วงหวานฝานเรี่ยมให้เรียมชิม | ยังนึกอิ่มอกหวานปานชะเอม |
เรียมประมาทคลาศแคล้วเสียแล้วเจ้า | ไม่อยู่เล้าโลมลูบแม่รูปเหม |
จนนวลน้องหมองศรีไม่ปรีดิ์เปรม | สิ้นเกษมสิ้นสุขสนุกสบาย |
เปนเคราะห์กรรมทำแขนงเสียแรงริ | อโหสิเสียเถอะน้องอย่าหมองหมาย |
เมื่อชาติหน้าอย่าหมางจนวางวาย | ให้กอดสายสุดสวาทอย่าคลาศคลา |
ถึงท้ายสระบุรีไม่มีชื่น | ยิ่งดึกดื่นดิ้นรนกระหนหา |
ให้จอดเข้าเหล่าที่มีนาวา | ประจำท่าเทียบแฝงผ่อนแรงโรย |
เขาแจวเหนื่อยเมื่อยอ่อนลงนอนกลาด | เรียมอนาถนั่งครวญกระหวนโหย |
ดูดาวเกลื่อนเดือนหงายพระพายโชย | น้ำค้างโปรยปรายฝอยลงปรอยเปรย |
หอมบุบผาสารพัดที่วัดชุ้ง | จนค่อนรุ่งรื่นอุรานิจจาเอ๋ย |
คิดถึงความยามสุขสนุกเสบย | ที่เคยเคยคอยสนองไม่หมองมอม |
เฝ้าปรารภอบรมผ้าห่มนุ่ง | ให้บำรุงร่างกายไม่วายหอม |
มาเสื่อมหายคลายรสต้องอดออม | จนเผือดผอมผิวเนื้อตรำเหงื่อไคล |
เสียงเป็ดผีปี่แก้วแจ้วแจ้วร้อง | แม่หม้ายลองไนแหร่แหว่แหว่ไหว |
เหมือนพิณพาทย์ฆาฎเพลงวังเวงใจ | โอ้เคยได้ดูงารสำราญตา |
คิดถึงฟ้อนอ่อนหยัดเคยนัดหมาย | มาห่างหายโหยหวนให้ครวญหา |
อาลัยวรณ์พวกละคอนที่เคยมา | สักระวาวานเล่นไม่เว้นวาย |
นิจจาเอ๋ยเคยอยู่เคยดูเล่น | ที่เคยเห็นมิได้เห็นก็ใจหาย |
มาจำพรากจากแดนแสนเสียดาย | ก็เอนกายกอดหมอนลงนอนยาว |
อ้ายเรือหนึ่งอึงร้องออกก้องหน | ว่ามีคนเข้ามาหาลูกสาว |
แม่ยายตีหนีโร่ซ้ำโห่กราว | แกบ่นปาวไปจนตรู่สูริยา |
จนผู้คนบนเรือนมาเยือนข่าว | บ้างก็กล่าวกลอนหยันขันนักหนา |
สงสารเจ้าจุ๊บแจงแกล้งมารดา | แม่เลี้ยงมายากใจกระไรเลย |
หมายได้กินขันหมากมากกว่าร้อย | มันปลอดปล้อยเข้าไปแล้วจุ๊บแจงเอ๋ย |
พวกเรือเราเขาก็พาฮาเสบย | แล้วก็เลยล่วงมาตามวารี |
เห็นสาวสาวลาวมาออกคลาคล่ำ | บ้างตักน้ำนวลลอองผุดผ่องศรี |
ดูก็งามตามประสาน่าปราณี | มิรู้ที่ทำไฉนจะไว้วาง |
พอเรือชายถามว่าขายละไรขา | ฉันบอกว่าเรือฉันพันขัดขวาง |
ข้อยมาหมายขายรักให้สักนาง | เขาว่าอย่างไรซั้นสันบเคย |
ข้อยย่านข่าวบ่าวไทยว่าใจชั่ว | มักขายหัวกินซ้ำแล้วทำเสย |
ข้างพวกเราเล่าก็หัวอย่ากลัวเลย | เขาก็เย้ยหยักเยาะหัวเราะเรา |
ถึงสาวไห้เดิมใครมิรู้ว่า | ว่าคนมาเมืองไกลตัดไม้เสา |
มีนางไม้วิลัยล้ำโฉมลำเพา | เปนสาวเศร้าโศกาออกมาพลัน |
จึงได้นามตามลาวซึ่งสาวไห้ | ดูก็ไม่เห็นสาวเหมือนกล่าวขวัญ |
ฤๅที่หมายสายสมรเจ้าจรจรัล | มาคอยฉันช้าหายฟายน้ำตา |
หมายจะปลอบลอบแลเห็นแต่ตลิ่ง | ไม่เห็นหญิงยอดสร้อยละห้อยหา |
ฤๅสี่เสาร์เจ้าเคราะห์เลียบเลาะมา | ยามชตาตกอับถึงคับแค้น |
ถึงภูมิสี่เสาร์ที่เจ้าเคราะห์ | มาภายหลังยังเสดาะได้ดีแสน |
เหมือนเคราะห์เราเล่าก็ร้ายมาถ่ายแทน | ไม่เหมือนแม้นสี่เสาร์ที่เบาบาง |
ยิ่งเสดาะก็เหมือนเคราะห์นั้นน้อยมาก | น้ำท่วมปากสารพัดจะขัดขวาง |
พูดไม่ออกบอกใครได้แต่คราง | จะเกิดร่างรูปกับเขามาเอาธะไร |
แสนอนาถมาถึงหาดพระยาทศ | เปนชื่อยศเจ้าพระยาครั้งคราไหน |
ได้ชื่อชูอยู่นานเพราะชาญไชย | เหมือนเราไซร้เสนเข็ญอยู่เช่นนี้ |
ถึงวางวายกายก็ลับชื่อดับสูญ | แม้นบุญหนูนสนองเหตุเปนเศรษฐี |
ได้ฦๅอึงถึงจะตายวายชีวี | ชื่อคงมีปรากฎไม่หมดเร็ว |
สมบัติบ้ามาครู่ก็รู้สึก | เห็นเต็มฦกยิ่งกว่าครั้งสังข์ตกเหว |
เห็นอยู่แลแต่กรรมจะซ้ำเลว | แต่ชั้นเปลวก็จะหมดซึ่งรสมัน |
เห็นหญิงลาวสาวแก่เขาแก้ผ้า | เมื่อเวลาอาบน้ำนั้นทำขัน |
พอถกแผลวแววไวดูไม่ทัน | ผ้านุ่งนั้นเหนี่ยวขึ้นหัวแต่ตัวเปลือย |
ยามจะขึ้นหยิบผืนผ้าสวมหัว | สอดถึงตัวเต็มผืนลุกยืนเรื่อย |
พวกเรือเราเขาเขม้นไม่เห็นเฟือย | เขาทำเฉื่อยเฉยไปจนใจจริง |
ถึงท่าราบราบไหนไม่ราบคาบ | ไม่เหมือนระเบียบเรียบราบสุภาพหญิง |
ตลิ่งนั้นชันสูงเห็นฝูงลิง | มันวุ่นวิ่งวนโลดกระโดดโจน |
แม่ลิงคุ่มอุ้มลูกทั้งหน้าหลัง | บางพวกผังเผ่นโลดกระโดดโผน |
พานรผัวตัวใหญ่ไอ้ทะโมน | มันทำโลนแล่นออกมาหลอกซ้ำ |
ริมท่างอกออกแอ่งเปนแก่งหิน | มิใช่ดินเดิรยากถลากถลำ |
กลัวเรือโดนโจนท่องหาร่องน้ำ | เขาประจำจูงลากลำบากใจ |
ถึงเขาแก้วไม่เห็นแก้วที่แพร้วศรี | พระเจดีย์ดูตระหง่านปานไศล |
นึกถึงแก้วแววฟ้าสุมาไลย | สักเมื่อไรฤๅจะเรียงมาเคียงคลอ |
ถึงบ้านอ้อยอ้อยนี้ก็มีมาก | แต่ยามยากอยากจะได้น้ำลายสอ |
มองเขม้นก็ไม่เห็นอ้อยสักกอ | เห็นแต่อ้อต่างอ้อยน่าน้อยใจ |
ดูใต้เหนือมีเรือสองลำจอด | ช่างเปล่าปลอดสัปรุษสุดสงไสย |
เลยไปศาลาแดงยิ่งแคลงใจ | เรือก็ไม่มีประจำสักลำเดียว |
แต่พวกลาวชาวนั้นมันขันนัก | มานั่งชักชวนเราแลกเข้าเหนียว |
ต้องเลยแหล่งแก่งมาจอดท่าเพรียว | พลางเหลือบเหลียวแลไปไกลไกลตา |
เห็นคนผู้ดูก็น้อยกรองกรอยกร่อง | มีบ้านช่องปึกแผ่นไม่แน่นหนา |
มีร้านรายขายชำธรรมดา | ดูเคหาห่างไกลต้นไม้เกร็ง |
โรงกงษีมีประจำก็คร่ำคร่า | พวกขายอาเพี่ยนมีขี้ฉำเฉ็ง |
ไม่สนุกสุกล้ำเหมือนสำเพ็ง | มีตึกเก๋งนางฟ้าน่าสำราญ |
ตวันรอนอ่อนอับลงลับไม้ | เสียงนกไพรพร้องเรียกกันเพรียกขาน |
บ้างว้าว่อนร่อนร้องซร้องสำนาน | ต่างขนานเนื่องประนังมารังเรียง |
ที่มีคู่อยู่เคล้าเฝ้าชอ้อน | เอาปากป้อนปีกประคองแล้วซร้องเสียง |
ที่ไร้คู่อยู่เดียวก็เที่ยวเมียง | ทำเลี่ยงเลี่ยงหลีกหลบแล้วซบเซา |
โอ้ตัวพี่นี้ก็อกเหมือนนกเปลี่ยว | ด้วยอยู่เดียวดาลทรวงให้ง่วงเหงา |
ไม่มีคู่สู่สมเที่ยวงมเงา | อายกับเขาคู่นกที่กกรัง |
โอ้แลดูสุริยาจะลาทวีป | ไม่รอรีบรอดวงเปนห่วงหลัง |
แต่น้ำในใจมนุษย์สุดระวัง | ไม่เหมือนดั่งสุริยาที่อาวรณ์ |
จนพลบค่ำคล้ำฟ้าพนาสณฑ์ | น้ำค้างหล่นลมระบายชายศิงขร |
ศศิแสงแจ้งฟ้าดารากร | คนึงนอนหนาวทรวงให้ง่วงงม |
แลดูเดือนเหมือนดวงพักตรพวงแก้ม | กระต่ายแต้มตละไฝวิไลยสม |
โอ้ยามค่ำน้ำค้างลงพร่างพรม | ไม่ลอยลมลิ่วฟ้าลงมาทรวง |
โอ้กระต่ายหมายแขไม่แลเปล่า | พระจันทร์เจ้าแจ้งความไม่ห้ามหวง |
สู้รับเงาเข้าประทับไว้กับดวง | ให้ทั้งปวงเห็นรักประจักษ์ตา |
แต่ใจมนุษย์สุดจะเห็นไม่เช่นนั้น | จะรักกันก็แต่ที่มีวาสนา |
แม้นขัดเข็ญเห็นต่ำไม่นำพา | ดูแต่หน้าน้ำใจมิได้ดู |
จนดึกดื่นชื่นฉ่ำด้วยน้ำฟ้า | เสียงคณานกร้องออกก้องหู |
ไม่แจ้งนามถามใครก็ไม่รู้ | ผิดกับอยู่ยังสถานในบ้านเมือง |
ที่รู้บ้างดุจดั่งบุหรงร้อง | อากาศก้องเกริ่นกู่สุดหูเหือง |
นกกะเตนเบญจวรรณสนั่นเนือง | แลดูเบื้องบนพนัสก็ชัฏชื้อ |
ที่นกร้ายร่ายร้องคนองมี่ | ฮูกวิหคนกผีกระพือหือ |
เค้าแมวแมกแสกขวัญผันกระพือ | นกทึดทือทิ้งทูดมันพูดพึม |
เสียงสัตว์เหล่าเขาโขดโขมดป่า | ทั้งคณานางไม้ให้กระหึม |
ตามสุมทุมพุ่มพฤกษ์ดูครึกครึม | สงัดงึมเงี่ยฟังให้วังเวง |
ดึกสงัดบริษัทก็หลับหมด | ฉันรทดรทวยอ่อนลงนอนเขลง |
เสียงเรไรไก่ขันมาบันเลง | นีกว่าเพลงเพลินหลับด้วยจับใจ |
พอเต็มตาพากันตื่นแต่ดื่นดึก | ประกายพฤกษ์พราวพร่างกระจ่างใส |
บริษัทจัดแจงแต่งจะไป | แต่อ้ายไหร่โคราชมันชาติโกง |
เพราะบ่าวเราเจ้ากรรมมันทำชั่ว | จ้างแทนตัวตามนายอ้ายตายโหง |
หมายไปด้วยจะได้ช่วยกันชักโยง | กลับหนีโด่งโดดลับไปกับตา |
เหลือแต่บ่าวสองชายกับยายแก่ | ต่างเหลียวแลแล้วก็นึกนั่งปฤกษา |
มันหนีไปใช่จะลับคงกลับมา | เพราะรู้ว่าเงินมีอยู่ที่เรือ |
พวกกรุงเก่าเขาใช้ให้ชั่งหนึ่ง | เงินนอกสามตำลึงก็ยังเหลือ |
อยู่เดียวมันจะเลี้ยวลงเรือเมือ | จะถุบเถือถองชิงวิ่งเข้าไพร |
ครั้นย่อท้อก็จะไม่ได้ไหว้พระ | นึกมานะมิได้กลัวตัวตักไษย |
หยิบเงินแบ่งให้เจ้าแฉ่งช่วยเอาไป | กับเราไซร้คนละครึ่งจนถึงดง |
ให้ยายเฒ่าเฝ้าเรือจอดเหนือแก่ง | ฉันกับแฉ่งสามชายทั้งอ้ายสง |
เจ้าแฉ่งมือถือพร้าง่าทนง | อ้ายสงหลงลักเข้าเอาไปกิน |
ฉันถือดาบจรดลขึ้นบนตลิ่ง | เห็นคนวิ่งวับไปไวไวถวิล |
ก็รู้ว่าอ้ายไหร่ใจทมิฬ | แอบได้ยินอยู่ว่าเราเอาเงินมา |
คงไปเยือนเพื่อนฝูงจูงมาปล้น | จะแฝงตนตามชิงยิงปืนผา |
ทั้งสองบ่าวเขาจะหนีรอดชีวา | แต่ตัวข้าคนเดียวนึกเสียวทรวง |
ก็ตั้งจิตต์อธิษฐานประสานหัตถ์ | คุณพระรัตนไตรยเปนใหญ่หลวง |
ขอคุ้มขังรวังรไวไภยทั้งปวง | กว่าจะล่วงลุพระฉายเหมือนหมายมา |
บุญทั้งนี้ที่จะไปหวังไหว้พระ | เหมือนสละชีวังไม่กังขา |
เพราะรู้อยู่ว่าศัตรูจะบีฑา | ยังตั้งหน้าน้อมไปมิได้คลาย |
ทั้งเทพยเจ้าเขาดงแลป่งป่า | ขอแผ่อานิสงส์ส่งถวาย |
พระธรณีทิพย์นี้อย่านิ่งดาย | ช่วยป้องกันอันตรายให้แขงแรง |
พอเสร็จกิจที่อุทิศค่อยคลายทุกข์ | นึกสนุกน้อมไปมิได้แหนง |
เห็นเงาไม้ไววับกลับรแวง | ยืนทแมงขมุกขมัวเหมือนตัวคน |
ครั้นเข้าใกล้ไม่เห็นให้เย็นชืด | ยังเช้ามืดมิดมัวอยู่ทั่วหน |
โอ้นิสัยใจมนุษย์ปุถุชน | มักกังวลหวั่นไหวมิใคร่ดี |
เสียงคนกู่หูสดับแล้วกลับหาย | นึกว่าอ้ายไหร่มาฤๅว่าผี |
ยิ่งสงไสยให้เห็นไปเช่นนี้ | จนสร่างศรีแสงทองส่องอัมพร |
ข้างซ้ายหัดถ์ทัศนาภูผาพืด | เปนเมฆมืดหมอกมัวทั่วศิงขร |
เห็นไทยลาวชาวป่าพนาดอน | บ้างหาบคอนเข้าขนไปบนเกวียน |
ครั้นแลลับกลับชมพนมมาศ | ศิลาลาดแลสล้างเหมือนอย่างเขียน |
แสนสนุกรุกขาลดาเดียร | บ้างกร๋อยเกรียนโกร๋นเกรงน่าเลงแล |
ทั้งสองข้างทางเตียนเฉวียนวุ้ง | เปนที่ทุ่งทางแยกแฉวกแฉว |
ไม่พบคนยลเสียวให้เปลี่ยวแด | ได้เห็นแต่ชาวบ้านนานนานคน |
ครั้นไปไปก็มิใคร่ประสบพบ | ให้ปรารภร้อนจิตต์คิดฉงน |
ทั้งสองบ่าวเราหนอก็ทรพล | จะคิดปล้นปล้ำเราปลิดเอาเงิน |
ไม่วางใจไปประเดี๋ยวเฝ้าเหลียวหา | คเนหน้าน้ำใจเขาไม่เจิ่น |
เขาหยอกกันนั้นเหนอพูดเออเอิน | เราไม่เลินเล่อหลังรวังรไว |
จนเลยมาศาลาที่หนึ่งนะ | มีบ่อสระน้ำท่าได้อาไศรย |
จนถึงศาลาสองก็ต้องใจ | ท่านสร้างไว้หวังกุศลเปนต้นเดิม |
นึกภิญโญโมทนาสาธุสะ | มาได้พะพึ่งพักเปนหลักเฉลิม |
ขอกุศลผลบุญให้จุนเจิม | เหมือนน้ำเติมเต็มบ่อได้พอครอง |
ครั้นเหลือบแลแต่ไกลก็กลับเห็น | ดูเหมือนเปนคนนั่งอยู่ทั้งสอง |
คนหนึ่งมาทีหลังนั่งยองยอง | ลงปรองดองไต่ถามกันสามคน |
อยู่ริมไผ่ใกล้ทางหว่างชวาก | ฉันแลหลากหลากจิตต์คิดฉงน |
นึกถึงบุญคุณพระสละตน | ถึงอับจนใจมั่นไม่พรั่นพรึง |
เดิรชแง้แลจับให้วับไหว | ก็หายไปเสียกระนั้นไม่ทันถึง |
จะบอกบ่าวเขาฤๅกลัวอื้ออึง | จะเห็นซึ่งขลาดเขลาไม่เข้าการ |
แต่ทำเมินเดิรดูแต่หมู่ไม้ | มะทรางไทรโศกสแกแสมสาร |
ไม้ทรากสนคณฑาทรงบาดาล | เมื่อลมพานพัดหนักกิ่งกวักไกว |
เหมือนเอนดูผู้เดิรดำเนิรหน | เมื่อร้อนรนเรียกมาให้อาไศรย |
ทั้งจิกแจงแทงทวยกร่างกรวยไกร | ข้างภายใต้เตียนร่มด้วยลมโชย |
ฝูงปักษามาสิงตามกิ่งไม้ | กระเวนไพรภูรโดกโหวกโหวกโหวย |
นกกินปลีอีแอ่นกระแวนโวย | กรอดโรยรับเสียงสำเนียงเพราะ |
นกหนึ่งนั้นมันสนองตามร้องบอก | ว่าแขนคอกเสือขบพอสบเหมาะ |
ข้างพวกฉันพรั่นตัวต่างหัวเราะ | แขนใครเคราะห์ร้ายคอกบอกโดยดี |
เจ้าสงแฉ่งแขงขันจะชันศูจน์ | ฉันไม่พูดผันพักตรชมปักษี |
เสียงค้อนทองป๋องปั๋งเหมือนดั่งตี | ทั้งโกกีลาร้องกึกก้องดง |
ค่อยลีลาศคลาศแคล้วตามแถวหลัก | เส้นหนึ่งปักเปนระยะตามประสงค์ |
ท่านศรัทธามาสร้างบอกทางตรง | ไม่ลุ่มหลงลีลาได้อาจิณ |
คิดยิ่งแสนแค้นเคืองแต่เรื่องรัก | หมายเปนหลักแล้วก็ไม่เหมือนใจถวิล |
ไม่มั่นเหมือนเขื่อนหลักที่ปักดิน | ให้หลงลิ้นลุมเล้าเฝ้าเสมอ |
เดิรคนึงจนถึงทวารป่า | มีศาลาลาวร้องซื้อของเหนอ |
มิใช่สาวลาวแก่แม่กะเซอ | เครื่องกเฌอเดิมป่าหยิบมาวาง |
เขาฦๅว่าประตูป่านี้มีบ้าน | แลไม่พานพบตาหน้าขนาง |
ครั้นถามไถ่ยายเฒ่าแกเล่าพลาง | มีอยู่กลางราวไพรไม่ใกล้เคียง |
แต่สระท่าวารีนั้นมีอยู่ | เสียงคนกู่โก่นรุดมาสุดเสียง |
ยายแก่รู้กู่รับตรับสำเนียง | เรายิ้มเมียงมองดูแกกู่คึก |
กลัวผีปอบลอบไปทำไม่รู้ | เข้าประตูป่ารหงล้วนดงดึก |
แลไสวไพรกรังสพรั่งพฤกษ์ | น่าพิฦกลานใจเสียไม่เบา |
แลดูพื้นพสุธาข้างหน้านั้น | ก็สูงชันเช่นกะเดิรขึ้นเนินเขา |
ครั้นเหลียวข้างหลังต่ำดูลำเนา | สูงหลายเท่าแต่ท่าขึ้นมาดอน |
ริมวิถีมีไผ่ไรลำลอก | ขึ้นซ้อนซอกแซกซับสลับสลอน |
ดูชัฏชื้ออื้อฉอ่ำทิฆัมพร | น่าสยอนเยือกเห็นให้เย็นใจ |
พ้นพฤกษาป่าไผ่ล้วนไม้สูง | ตะเคียนยูงยางเยียดเบียดเสียดไสว |
ดูครึ้มครึกพฤกษาพนาไลย | ขึ้นบดใบบังสีสุริยงค์ |
รกฟ้าเขลงเตงรังเหมือนดั่งฉัตร | ดูรกชัฏร่มชื้นรื่นรหง |
ลดาวัลย์พันพุ่มชอุ่มพง | ไม่เคยดงดูก็สุขสนุกพอ |
ทั้งรอกแย้ตุ่นกระแตกระต่ายเต้น | ไก่เถื่อนเร้นรกเลี้ยวล้วนเปรียวปร๋อ |
นกเขาไฟไก่ฟ้าพระยาลอ | เขาขันคลอคู่เคล้าเขาชวา |
เสียงแก้วสาลิกาพลอดฉอดฉอดเพราะ | เหมือนฉอเลาะลมเล่ห์เสนหา |
โอ้เช่นนี้ที่หวังตามหลังมา | ไม่อายหน้านกพลอดฉอดฉอดชม |
โอ้คิดไปใจหายเสียดายนัก | ที่เคยรักเคยเรียงเคยเคียงสม |
มาเหิรห่างร้างราให้ปรารมภ์ | จนตรึกตรมเตรียมตรอมผอมกริงกริว |
ดูเบื้องซ้ายชายทางหว่างชวาก | เสียงกรากกรากมิใช่คนยลหวิวหวิว |
เหมือนย่างเท้าเข้าไปใบไผ่ปลิว | ฉันยืนพลิ้วพลางชงักไม่ทักทาย |
ดูสองเข่าเล่าก็ล้าพอมาถึง | ฉันคนึงนิ่งไว้ไม่ขยาย |
แผ่กุศลผลไปให้สบาย | ทั้งภูตพรายพฤกษาพนาวัน |
โอ้ยามยากจากบุรีไม่มีเพื่อน | มาทางเถื่อนแทบชีวาจะอาสัญ |
ถึงป่วยไข้ใครจะมารักษาทัน | ข้างบ่าวนั้นก็ขนางมิวางใจ |
ถึงสามคนจรดลมาแดนเปลี่ยว | เหมือนมาเดียวดั่งจะพาน้ำตาไหล |
แสนวิตกรหกรเหิรสู้เดิรไพร | เอานกไม้มาเปนเพื่อนเหมือนเรือนรัง |
พอยินอึงผึงผางขึ้นข้างหน้า | ประมาณกว่าเส้นกึ่งเสียงกึ๋งกั๋ง |
เหมือนตัดไม้ไผ่ขอนกระดอนดัง | ฉันฟังฟังเฟือนถวิลนึกยินดี |
ชรอยเถรเณรคฤหัสถ์ลงตัดไม้ | เห็นเกือบใกล้ถึงพระปถวี |
ครั้นใกล้กลายหายพลันไปทันที | เสียงไปมีอยู่เหมือนว่าข้างหน้าไป |
เสียงนี้หรือชื่อผีมีผู้บอก | ฉันลืมไปไม่ออกไม่อาจไข |
ยังนานเนิ่นเดิรหนักอิกพักไกล | ก็ถึงในลานพระที่ชลา |
พวกร้านขายรายเพรียกมาเรียกรอบ | ฉันนึกขอบใจใครก็ไปหา |
เจ้าของร้านพานจะสาวขาวโสภา | ชื่อแม่ปลาตะเพียนนั่งเจียนตอง |
อันปากสาวชาวร้านถึงบ้านนอก | หวานไม่หยอกยกยอพอสนอง |
สำรับฉันพันจะมักมีผักดอง | ด้วยเปนของคนยากไม่พากภูมิ์ |
ฉันนึกชอบตอบความไปตามนุสนธิ์ | ฉันก็จนจนไม่มีที่จะอู้ม |
แต่ยามไร้ได้ชมส้มชอูม | คงจะมูมมามกินอย่านินทา |
เขายิ้มพลางทางยกสำรับตั้ง | ขอเชิญนั่งรับประทานเถิดท่านจ๋า |
สำรับบ่าวเขาก็พลันจัดสรรค์มา | ได้เวลาแล้วก็จับรับประทาน |
ครั้นอิ่มหนำช่ำใจก็ให้เขา | คือเงินตราค่าเข้าทั้งคาวหวาน |
ต่างไต่ถามตามมีไมตรีการ | ถึงถิ่นบ้านบอกนามกันตามควร |
แล้วซื้อทองของจะไปขึ้นไหว้พระ | จะลาละแล้วก็ให้อาลัยหวน |
มาสบตาปลาตะเพียนเมื่อเจียนจวน | ต้องจำด่วนเด็ดใจอาลัยลา |
ดูสัปรุษสุดใจมิใคร่หลาย | กลัวผู้ร้ายร้านร่อยไม่ค่อยหนา |
ข้างฝ่ายชีมีแต่สงฆ์ธุดงค์มา | ฉันก็พาพวกผันขึ้นบันได |
ถึงเงื้อมเขาเข้าชลาตรงหน้าพระ | สาธุสะมิได้เสื่อมที่เลื่อมใส |
น้อมประนมชมพระฉายพรายประไพ | อยู่ที่ในเงื้อมผาหน้าคิรี |
พระสัณฐานสูงประมาณหกศอกนะ | เปนแปดศอกทั้งพระรัศมี |
ก็สมควรส่วนมาในบาลี | ดูเหมือนทีอุ้มบาตรทรงยาตรา |
ตามพระองค์ดุจทรงกาสาวพัสตร | พระบาทหยัดเหยียบยืนกับพื้นผา |
เขาปิดทองผ่องทับแทบลับตา | แต่พระชาณุพระชงฆ์นั้นลงไป |
ข้างพื้นต่ำมีน้ำใสสนิท | ฉันพินิจทั่วพระองค์ไม่สงสัย |
แท้ว่าพระประดิษฐ์อุทิศไว้ | หวังปัจจัยแก่สัตว์ปัจฉิมา |
ฉันเพลิดเพลินเดิรผ่านตามชานเขา | เห็นเปนเงางามพรายทั้งซ้ายขวา |
คือฉายพระอรหันต์สุดพระณา | แต่บรรดาโดยเสด็จเสร็จดำเนิร |
ถึงประเทศเขตนี้เปนที่ป่า | พอเวลาฝนชุกก็ฉุกเฉิน |
พระพุทธองค์พาพระสงฆ์เสด็จเดิร | ขึ้นสู่เทินที่ประทับยืนยับยั้ง |
ที่เขานี้เดิมทีเขาเล่าพูด | ว่าสูงชลูดตละว่าฝาผนัง |
ก็อ่อนเอื้อมเงื้อมผาลงมาบัง | ดูเหมือนดั่งยินดีมีกมล |
รู้คุณพระพุทธองค์สงฆ์ทั้งหลาย | บังพระกายมิให้ต้องลอองฝน |
เปนอัศจรรย์ขวัญตาประชาชน | ได้ยืนยลอยู่ช้าชั่วฟ้าดิน |
แต่คิรีมิได้มีกมลจิตต์ | ยังรู้คิดคุณเห็นทั้งเปนหิน |
เราทั้งหลายกายเปนคนได้ยลยิน | ควรถวิลถึงพระคุณอดุลญาณ |
ใครพะวงสงสัยหรือไม่เชื่อ | ฉันพูดเผื่อมีบ้างจงฟังสาร |
ให้ตรึกตรองถ่องถ้วนที่ควรการ | อย่าเพ่อค้านคัดไค้ว่าไม่จริง |
ผู้เบาใจได้สดับจะกลับแหนง | จะเคลือบแคลงเคลื่อนคลายทั้งชายหญิง |
ฉันจึงทำคำกลอนไว้ค้อนติง | ขออย่าทิ้งทางกุศลที่ตนเคย |
แต่ไหว้รูปพระปฏิมาอุสาหะ | นึกถึงพระยังได้บุญเจ้าคุณเอ๋ย |
ถึงมิจริงก็อย่าทิ้งพุทโธเลย | คงเสวยส่วนกุศลไม่พ้นมือ |
ถึงพระธรรมคำพระเทศนา | เจตนานั้นเปนใหญ่มิใช่หรือ |
ถ้าของจริงยิ่งประเสริฐที่เลิศลือ | ใครนับถือผลก็เลิศประเสริฐครัน |
คุณพระรัตนไตรยผู้ใดคิด | ถึงดับจิตต์ก็จะได้ไปสวรรค์ |
พระชินศรีมีมาข้างหน้านั้น | น่าที่ทันทุกพระองค์อย่าสงกา |
ฉันนึกพลางทางมาข้างหน้าพระ | คารวะไหว้นบจบเกศา |
เอาทองติดปิดพระฉายพระพรายตา | เข้าสู่ศาลามีอยู่ที่ลาน |
จุดธูปเทียนเวียนสมาสักการะ | แล้วกราบพระพร้อมประดิษฐอธิษฐาน |
ข้าจำพรากจากแดนแสนกันดาร | ทรมานมาถึงในไพรพนม |
เขาว่าพระปถวีมีพระฉาย | สู้มุ่งหมายมาจนพบประสบสม |
โสมนัสศรัทธาบูชาชม | น้อมประนมนึกถึงพระรัตนไตรย |
ขอบุญญาอานิสงส์จงสำเร็จ | สรรเพ็ชญโพธิญาณโดยสานต์ใส |
ยังมิถึงซึ่งนิพพานณกาลใด | ขอเกิดไปเปนมนุษย์บุรุษชน |
ในมัชฌิมประเทศเขตสมัย | พบพระไตรรัตนรักทางมรรคผล |
ขอชนกชนนีมีกมล | เปนกุศลเลื่อมใสในไตรรัตน์ |
ญาติเมียบุตรที่สุดชั้นทาสา | ล้วนสัมมาทิฎฐิปฏิบัติ |
ขอภิญโญโภคาสารพัด | ชื่อว่าขัดเข็ญใจอย่าได้พบ |
ทั้งอาภัพคับใจพูดไม่ออก | กินน้ำในใต้ศอกไม่ขอสบ |
ขอเปรื่องปราชญ์เฉลียวฉลาดเลิศลบ | ให้เจนจบเจนจิตต์ทุกวิชชา |
รู้พระธรรมคัมภีร์ถึงที่สุด | ให้เรืองญาณปานพระพุทธโฆษา |
รู้อรรถแปลแก้ไขไวปัญญา | เฉลยคิดปฤศนาได้ลึกซึ้ง |
ใครคิดร้ายถ่ายเทด้วยเล่ห์ล้น | ให้ซ้อนกลแก้เขารู้เท่าถึง |
ใครสอพลอยอยกอย่าตกตลึง | ให้ทราบซึ่งสอพลออย่าพอใจ |
ให้รอบคอบรอบรู้ดูการกิจ | อย่าพลั้งผิดพองามตามวิสัย |
ให้แสนซื่อถือสัตย์ในหทัย | อย่าหลงใหลลำเอียงทั้งเที่ยงตรง |
ลัทธิใดภายนอกพระสาสนา | ขออย่ามามีใจลุ่มใหลหลง |
ให้รักแลแต่พระธรรม์อันดำรง | ล้วนเปนองค์โอวาทพระศาสดา |
ขอพบองค์หงส์เหมคือเปรมปราชญ์ | อันฉลาดแหลมลึกได้ศึกษา |
ที่หฤโหดโฉดเฉาเผ่าพาลา | ขออย่ามามอบมิตรสนิทนำ |
จะตกไปในทิศทุกแห่งหน | ให้มีคนคอยชุบอุปถัมภ์ |
ทั้งรักแรงแขงขอบโดยชอบธรรม | ให้เลิศล้ำลือเลื่องกระเดื่องดี |
เดชะทำคำกลอนอักษรถวาย | พระพุทธฉายจำรัสพระรัศมี |
ยกพระคุณบุญญาบารมี | ไว้เปนที่สาธุการเนิ่นนานไป |
ทั้งปิดทองปองถวายพระฉายฉัน | ขอผิวพรรณเพียงทองผุดผ่องใส |
อย่ารู้มีที่โศกแลโรคไภย | อายุไขยก็เหมือนหนุ่มกระชุ่มกระชวย |
ทั้งเทียนธูปบุบผาบูชาพร้อม | ขอเนื้อหอมเหมือนกะธูปทั้งรูปสวย |
ขอวาจาเปนมหาลมละลวย | ใครพูดด้วยก็ให้เขารักเราเอง |
จะประดิษฐ์คิดกลอนอักษรสรรค์ | ให้เร็วพลันไพเราะล้วนเหมาะเหม็ง |
ใครฟังสารอ่านลือชื่อบรรเลง | ให้วังเวงวับหวามติดตามมา |
กราบพระอธิษฐานสำราญรื่น | เขาชวนชื่นชมดูซึ่งภูผา |
สัปรุษสุดใจที่ไคลคลา | พูดชักพาพวกเราไปเขาลม |
ก็ลงชั้นบันไดครรลัยล่อง | จนถึงช่องเชิงผาก็สาสม |
จะขึ้นเขาเฝ้าระหวยให้งวยงม | เขารดมเดิรเหยาะหัวเราะครืน |
นึกถึงอ้ายไหร่พาลรำคาญแสน | ให้เมื่อยแขนแข้งขาอุส่าห์ขึ้น |
เหมือนปวดเศียรเวียนหัวให้มัวมึน | สู้นิ่งนึกบึกบึนไม่บอกใคร |
ถึงจอมเขาเหล่าชลามีสาโรช | ทั้งสระโบสถ์บรรพชาน่าเลื่อมใส |
โสมนัสศรัทธาประนามัย | พระวิลัยลายลักษณ์จักจำลอง |
แล้วก็เดิรเพลินชมพนมไม้ | แลไศลสูงลลิ่วเปนทิวท่อง |
ล้วนป่ารหงพงพีผีคนอง | เปนแดนดองดงป่าพระยาไฟ |
เห็นทุ่งสาลิกาพนาพฤกษ์ | แลพิลึกเหลือจะร่ำจำไม่ไหว |
เห็นทับลาวชาวกะเหรี่ยงเรียงรำไร | วิเวกใจเจียนจะพาน้ำตากระเด็น |
เมื่อตัวฉันบรรพชาเหมือนหาไม่ | เพราะมิได้มาธุดงค์ให้ปลงเห็น |
มาเห็นไพรใจฅอระย่อเย็น | ให้แสนเข็ญคิดไปล้วนไม่ควร |
เสียแรงพบสบบรมอุดมเพศ | มาหลงเลศเลยคิดจนผิดผวน |
มาแสนจนทนระเหอยู่เรรวน | ชมแต่ล้วนลิงค่างบ้างบ่นโบย |
เสียงสัตว์แซ่แต่ใกล้ในไพรศรี | เหล่าชนีเหนี่ยวไม้แล้วไห้โหย |
เหมือนเสียงนุชสุดถวิลให้ดิ้นโดย | พระพายโชยชายเขาผ่าวรำเพย |
หอมลั่นทมดมกลิ่นมารินรื่น | ให้หวนหื่นโหยหานิจจาเอ๋ย |
โอ้เทวดาอารักษ์ไม่ชักเชย | เมื่อไรเลยจะได้โลมเจ้าโฉมงาม |
เฝ้าเหิรห่างร้างรสให้อดอยาก | จนลำบากบุกมาพนาหนาม |
แม้นพี่หมายสายสุดาได้มาตาม | เรียมจะทรามเสื่อมโศกวิโยกทรวง |
จะกล่าวกลอนนอนเล่นเย็นเย็นร่ม | จะชี้ชมช่อไม้ไศลหลวง |
จะชื่นใจไหนจะชุ่มด้วยพุ่มพวง | ดั่งได้ดวงดอกฟ้ามายาเยียว |
นี่สุดแค้นแสนทวีไม่มีเพื่อน | มาทางเถื่อนทุกข์ใจอยู่ไพรเขียว |
ถึงมามากจากสุดาเหมือนมาเดียว | แล้วเดิรเลี้ยวลงล่างข้างคิริน |
เที่ยวเลียบแลชมชแง้ชง่อนง้ำ | บ้างวุ้งหวำเวิ้งว้างเหมือนอ่างสินธุ์ |
ที่ลางลายพรายพร้อยเหมือนพลอยนิล | ลางหลืบหินหุบแตกดูแยกเยอะ |
ที่ร่องน้อยมีจงอยจแง่เห็น | ดูเหมือนเปนปากถ้ำมีน้ำเฉอะ |
ต้นหญ้ารกปกแซมหรอมแหรมเรอะ | เปนคราบเคลอะคละคลุ้งพรุงพรัง |
สุริยฉายบ่ายจวนก็ชวนเพื่อน | ครรลัยเลื่อนเลี้ยวลับแล้วกลับหลัง |
เที่ยววกวงลงได้ระไวระวัง | ไม่หยุดยั้งย่างยาวก้าวตะโพง |
กลับขึ้นวัดทัศนาด้วยฝ่าฝัน | เห็นเณรฟันฟืนใส่ไฟโขมง |
ดูตวันนั้นจะชายได้สักโมง | ยังโก้งโค้งก่อไฟว่าไม่เพล |
ฉันก็เข้าเคารพนั่งนบไหว้ | ได้ปราไสยสนทนามหาเถร |
แล้วไต่ถามความรู้ไม่สู้เจน | จนพระเณรนิ่งนั่งฟังสำราญ |
แล้วถามว่าบาลีที่พระฉาย | ถ้ามีหมายจะใคร่พบประสบสาร |
ท่านยิ้มพลางทางยื่นผูกใบลาน | แล้วว่าอ่านจะไม่ออกดอกกระมัง |
ฉันยิ้มพรายหมายว่าบาลีอรรถ | พอรู้ชัดแปลร้อยก็ถอยหลัง |
ได้ความนิดจิตต์จำโดยลำพัง | ว่าพระยั้งหยุดประโยชน์โปรดพรานไพร |
ก็ส่งคืนยื่นให้เสียไม่อ่าน | กลัวจะนานนึกจะลาอัชฌาไสย |
ฝ่ายสมภารท่านก็เล่ากับเราไป | ปีนี้ไม่สู้สบายผู้ร้ายชุม |
เที่ยวตีปล้นชนบทแลบ้านป่า | ชาวประชาชักครัวเที่ยวมั่วสุม |
พวกร้านรับสัปรุษสุดจะคุม | ที่ชุมนุมน้อยไปไม่ไคลคลา |
แต่เดี๋ยวนี้มีคนขึ้นรายราย | เพราะผู้ร้ายหลบลี้เที่ยวหนีหน้า |
ด้วยท้องตราข้าหลวงล่วงขึ้นมา | พึ่งจะซาเสื่อมเลื่อนลงเดือนนี้ |
ฉันสดับซับทราบให้วาบวับ | เพราะจะกลับกลัวภัยในวิถี |
ไหว้สมาลาละจากพระชี | จรลีเลยมาเข้าหน้าลาน |
ศิโรตม์ราบกราบลงตรงพระบาท | อภิวาทวอนถวายพระฉายฉาน |
ตูข้ามาครานี้ก็มีมาร | แสนรำคาญเคืองขุ่นคิดวุ่นวาย |
นี่บุญช่วยจึงไม่ม้วยได้มาปะ | พระฉายพระพุทธองค์สงฆ์ทั้งหลาย |
ยังขากลับคับใจไม่สบาย | ขอพระฉายช่วยพิทักษ์รักการุญ |
ระวังโศกโรคภัยที่ในเถื่อน | ขอให้เคลื่อนแคล้วคลาศชาติสถุล |
ข้ามาหวังตั้งใจอยากได้บุญ | ขอพระคุณคุ้มได้เหมือนใจปอง |
แล้วกราบลาล่าลงตรงไปหา | พบแม่ปลาตะเพียนนางพลางสนอง |
ฉันขอบคำน้ำรักในผักดอง | ได้มาลองดูประเดี๋ยวไม่เปรี้ยวเค็ม |
จะลาลับกลับไปให้ใจหาย | หล่อนชม้ายเนตรส่องดังต้องเข็ม |
แล้วยิ้มว่ามาประเดี๋ยวจะเที่ยวเล็ม | ก็เห็นเต็มแต่จะหมายหรือนายเคย |
ได้ฟังคำฉ่ำใจกระไรนะ | แต่ธุระเต็มอุรานิจจาเอ๋ย |
เปนบุญน้อยน้อยใจไม่เสบย | ต้องจำเลยลาน้องล่องลงมา |
เดชะบุญทั้งคุณพระไตรรัตน์ | ช่วยป้องปัดปกปักตามรักษา |
ไม่มีโศกโรคภัยในวนา | จนถึงท่าเรือล่องคล่องคล่องใจ |
สองสามวันพลันถึงกรุงเทพแล้ว | พอผ่องแผ้วผ่อนทุกข์ค่อยสุกใส |
จึงจดหมายรายทางที่ร้างไป | เปนกลอนไว้หวังวิถารไปนานนม |
ใช่จะหวังตั้งจิตต์คิดเปล่าเปล่า | หมายจะเอาบุญบ้างจึงสร้างสม |
ที่คนดีมีศรัทธาในอารมณ์ | ได้อ่านชมชื่นในฤทัยทวี |
ที่สงสัยไม่เคยไปเคารพ | อยากได้พบพานพระปถวี |
คงขวนขวายผายผันไปอัญชลี | ฉันคงมีอานิสงส์เหมือนจงปอง |
ฉันคิดความตามประสาปัญญาไร้ | แม้นปราชญ์ใดดูอ่านสารสนอง |
บทไหนเขินเชิญคิดประดิษฐตรอง | อย่ายิ้มย่องเย้ยหยันฉันระอา |
ซึ่งร่ำไรในนิราสสังวาสนี้ | เช่นคดีโลกติดดำฤษณา |
ก็ตามศักดิ์นักกลอนแต่ก่อนมา | ย่อมลีลาโลมโลกโศกสำออย |
ใช่จะมีที่หวังดังประสงค์ | เหมือนหนมกงก็วิลัยเพราะใส่ฝอย |
จะครหาว่าคิดตะบิดตะบอย | ที่หยดย้อยก็ย่อมรู้อยู่ทุกคน |
ว่าโดยธรรมก็เปนคำขาดประโยชน์ | มีแต่โทษแท้เห็นไม่เปนผล |
ฉันขอบอกออกตัวด้วยกลัวตน | จะไม่พ้นบาปกรรมที่รำพรรณ |
ซึ่งร่ำไรให้ฟังสิ้นทั้งหมด | พื้นแต่ปดเปนเบืออย่าเชื่อฉัน |
ที่ข้อจริงเล่าก็จริงแต่สิ่งอัน | อย่าสำคัญว่าจริงทุกสิ่งไป |
ดีจริงแท้ก็แต่ไปที่ไหว้พระ | สาธุสะสุดตรงอย่าสงไสย |
แม้นชอบหูผู้ฟังจงตั้งใจ | ขอเชิญไปปฏิบัตินมัสการ |
ได้คิดถึงพุทธิคุณกรุณา | ทางพุทธานุสสติภินิหาร |
ก่อนิสัยไปสว่างทางนิพพาน | เปนแก่นสารสุดเล่ากันเท่านี้ |
จึงกำหนดจดตามซึ่งความชอบ | ได้ไปนอบนบพระปถวี |
ในเดือนสามสุกปักษ์โดยภักดี | แต่สุดที่จดหมายซึ่งรายวัน |
บันลุจุลศักราชมาดไม่น้อย | พันสองร้อยสามสิบเจ็ดเบ็ดเสร็จสรรพ์ |
ปีชวดอัฐศกตกเหมันต์ | เปนปีฉันไปพระฉายถวายตน |
ขอแผ่ผลส่วนกุศลให้สมหวัง | ทั้งผู้ฟังผู้อ่านสารนุสนธิ์ |
ฉันตั้งใจให้ทั่วทุกตัวคน | จงมีกมลโมทนาปลื้มอาลัย |
ทั้งนารีที่รักหรือลักลอบ | ยังนึกขอบคุณคิดพิสมัย |
จงโมทนาอานิสงส์เหมือนจงใจ | จบเรื่องไปปถวีเท่านี้เอย ฯ. |