๏ มหาฤกษ์จะนิราสสวาทศรี ไปบังคมพระบรมเจดีย์ จะร้างที่ถิ่นเรือนเพื่อนที่นอน เหลืออาไลยใจหายไม่วายห่วง เสียดายดวงสุมาลีศรีสมร เคยรวยรื่นชื่นอุราสถาวร จะจำจรจากไปเสียไกลกัน ดูเย่าเรือนเหมือนจะพาน้ำตาตก ให้เย็นอกอ่อนฤดีไม่มีขวัญ โอ้แต่นี้ที่ถนอมเคยหอมจันทน์ จะนับวันว่างเว้นสวาทเชย โอ้ยามเห็นมิได้เห็นเมื่อเย็นเช้า จะแลเปล่าเปลี่ยวอุรานิจจาเอ๋ย ถึงตัวไปใจหวังเหมือนยังเคย ไม่ละเลยเสนหาสุมาไลย ทุกนารีที่มากสวาทหวัง อยู่ลับหลังมิได้ลาน้ำตาไหล เจ้ารู้เรื่องเคืองคอยจะน้อยใจ เพราะมิได้เยือนหากันช้านาน จึงคิดคำร่ำสั่งเปนสังวาส แรมนิราสเรื่องอนงค์ให้สงสาร จนจวนย่ำจำลาสุดามาลย์ จากสถานสู่ท่าน้ำตากรัง ฯ

๏ แสนวิบากจากงามเมื่อยามดึก อนาถนึกหนาวทรวงเปนห่วงหลัง จนเรือคล้อยถอยมาละล้าละลัง เฝ้าแลสั่งสายใจอาไลยลา เห็นหมอกมัวมืดตกยิ่งอกช้ำ เห็นฟ้าคล้ำก็ยิ่งครวญรำจวนหา ดูดาวเคลื่อนเดือนดับไปลับฟ้า เหมือนลับหน้าน้องน้อยลอยโพยม หนาวน้ำค้างพร่างพรมเมื่อลมตก สงสารอกอภิรมย์เคยชมโฉม มานิราสคลาศเคล้าประเล้าประโลม ทรวงจะโทรมเสียเพราะช้ำระกำตรอม โอ้หน้าหนาวแล้วหนาเจ้าข้าเอ๋ย เมื่อไรเลยเทวดาจะพาถนอม เฝ้าชักเชือนเหมือนกับมดให้อดออม แต่หวนหอมโหยหามาช้านาน ฯ

๏ นาวาว่องล่องมาถึงหน้าวัด นามสุทัศน์เทพธามหาวิหาร จึงรั้งรอยอหัดถ์นมัสการ นึกสงสารคราวครั้งยังเปนเณร พระครูบาพาพรากจากกรุงเก่า มาฝากเราศึกษามหาเถร อยู่วัดนี้มีธุระท่านกะเกณฑ์ ให้เข้าเวรแปลประโยควิโยคใจ ด้วยคิดเห็นเปนชีถึงมีศักดิ์ ใจไม่รักแท้แท้มาแต่ไหน เห็นผิดกิจสมณะพระวินัย ท่านขืนใจก็ต้องตามเพราะความกล้ว จึงเปนไปในแผ่นดินปิ่นสยาม ทรงพระนามพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนสมบทบวชสนองไม่หมองมัว พอครองตัวตามประสาวิชาคุณ สิ้นแผนดินสิ้นชตาอำลาพรต แสนกำสรดสิ้นทรัพย์สนับสนุน ขอถวายพระกุศลผลบุญ ให้เจือจุนบารมีทวีไป โอ้ตัวเรายังอยู่เหมือนสู้โศก แสนวิโยคยากเย็นเปนไฉน ใครว่าโง่ก็ต้องรับเพราะคับใจ เหมือนบ้าใบ้นอนฝันต้องกลั้นกลืน ระดูฟ้าฝนพร่ำน้ำจึงมาก ขึ้นท่วมปากเหลือปัญญาจะฝ่าฝืน เหมือนหลับตามาทางในกลางคืน ถูกติดตื้นตกค้างปิ้มปางตาย อ้ธ้ไม่เหมือนเพื่อนเขาแล้วเรานี้ เพราะไม่มีเครื่องปลูกผูกเหล็กหลาย ถือสวดมนต์เหมือนแต่ก่อนบห่อนคลาย สงสารกายเกิดมาเวลาเลย ต้องก้มหน้าหามองแต่ช่องน้อย พอตัวคล้อยเคลื่อนคลานิจจาเอ๋ย โอ้คนึงถึงครั้งยังเสบย มีคนเคยปฏิบัติไม่ขัดเคือง ได้จองจับกะจาดใหญ่ไข่ขนม ทั้งได้ดมดอกดรุณยี่สุ่นเหลือง พี่ปลูกไว้ในกระถางที่กลางเมือง เปรียบเหมือนเครื่องบูชาเวลาเดิร เมื่อลมเชยเคยถนอมหอมระรื่น ทุกค่ำคืนเคียงข้างไม่ห่างเหิร สุมาไลยในสวนก็ชวนเชิญ ได้เพลิดเพลินพร้อมให้เวียนไปมา ทั้งสองชื่นสองชมประสมสอง ไม่หมางหมองมาดหมายเหมือนซ้ายขวา แต่สาหร่ายสายทองเจ็าหมองรา ว่าพี่ยามิใคร่รักมักระแวง จึงยุยงย่ายายหมายขจัด จนต่างพลัดต่างพรายถึงหน่ายแหนง เปนบุญนำกรรมแปลกมาแซกแซง โอ้เสียแรงรักใคร่ถึงใหญ่โต อันใจพี่นี้ก็โหดเหมือนโฉดเฉา น้ำใจเจ้าก็เหมือนใบไม้โสน เคยเก็บไม้ร่วมชมแต่ร่มโพธิ์ จะโอ้โอ๋เอาใครเพราะใจเร็ว ฯ

๏ โอ้อนาถคลาศคู่ชูเฉลิม เสียประเดิมก็มาซ้ำถลำเหลว ล้วนชั่วซาพาตนเหม่อนคนเลว ดังหนึ่งเปลวเขม่าปลิวติดผิวกาย ที่จริงใจใช่ตัวจะชั่วช้า แต่พวกหม่ามุ้ยปากมันมากหลาย เห็นใครดีอยู่มิได้ไม่สบาย คอยปองร้ายครหาอิจฉาคน โอ้เกิดมาด้วยเขาชาติอนาถนัก จะปลูกรักก็ไม่เห็นว่าเปนผล ที่รักยิ่งสิ่งรักมักวิกล แต่ต้องทนทุกข์รักมาหนักครัน น่าน้อยใจเจ้าดรุณยี่สุ่นแสน ไม่ควรแค้นฤามาขุ่นทำหุนหัน ยังขอบใจในสวนนวลอำพัน จนทุกวันก็ยังทักทั้งรักเรียม เรือมาตามลำคลองทั้งสองฝั่ง พี่แลตั้งตาชม้ายนึกอายเหนียม เสียดายโฉมสร้อยฟ้ามณฑาเทียม ไม่เห็นเยี่ยมเยือนบ้างสักครั้งเลย ฯ

๏ โอ้หน้าหนาวดาวกระจายพระพายพัด เหมือนเมื่อนัดหมายมานิจจาเอ๋ย คิดถึงครั้งรุ่นหนุ่มได้ชุ่มเชย ปานเสวยยาทิพย์หยิบดาวเดือน แต่ละคำดุจอำมฤตรส มาย้อยหยดยาใจไหนจะเหมือน พี่หลงใหลใฝ่ฝันจนฟั่นเฟือน แต่เวียนเยือนเยี่ยมเจ้าทุกเช้าเย็น ถ้าวันไรไม่พบประสบพักตร์ กำเริบรักโรคเบียนสักเกวียนเข็ญ ถ้าเห็นหน่อยค่อยฟื้นเหมือนคืนเปน เคยไปเล่นสงกรานต์ที่บ้านโน้น ควรเปนหม่อมจอมพระยาน่าสวาท มารยาทยศอย่างเหมือนนางโขน ทั้งสารแนแง่งอนทั้งอ่อนโยน สะเอวโอนอ้องแอ้งเหมือนแกล้งกลึง จะพูดจาเหน็บแนมแหลมฉลาด ถึงนักปราชญ์ยิ่งกว่าเราไม่เท่าถึง ยังมิทันรู้ตัวมัวรำพึง คิดว่าดึงหยวกปลียังมีใย พอลมฉิวปลิวชื่นไปอื่นเฉย เรียมเสวยเวทนาน้ำตาไหล จะคิดถึงความหลังบ้างเปนไร ให้เรียมได้ลำบากยากเสียพอ เมื่อค่ำคืนดื่นดึกไม่นึกขาม คนนั่งยามระวังดูอยู่ออกสอ บ้านขุนนางบุญหนักล้วนหลักตอ สู้ลอยตอล่องน้ำตามลำคลอง เห็นผู้คนกล่นกลาดไม่อาจใกล้ เขาจับได้แล้วก็ยุบทั้งทุบถอง สงสารแต่หม่อมพี่ปราณีน้อง มาด้อมมองคอยรับกลัวจับกุม แล้วโดดน้ำดำผุดมายุดแขน พาลอยแล่นแฝงฝั่งไม่ดังปุ๋ม สู้ทนหนาวอยู่กับน้องประคองคุม จนสี่ทุ่มเศษเซียบค่อยเงียบคน พาหลีกลัดกองตระเวนลุยเลนเปื้อน ระดูเดือนมืดเขม้นไม่เห็นหน ประตูปิดติดกุญแจเที่ยวแลจน ปีนขึ้นบนทวารได้จึงไคลคลา หม่อมพี่จูงกรส่งที่ตรงห้อง นวลลอองเห็นฉันก็หรรษา ให้อายน้ำหอมระรินประทิ่นทา แล้วพักพาสู่ห้องประคองนอน ถ้าใครเห็นก็บรรไลยยังไม่คิด เอาชีวิตแลกกายสายสมร ต่อจวนแสงสุริยาจึงลาจร สู้ปลิ้นปล้อนบุญปลอดจึงรอดมา ถึงอย่างนี้ศรีสวัสดิ์ยังตัดได้ ไม่มีใยเยื่อเสน่ห์เท่าเกศา ควรจำนงปลงจิตต์อนิจจา สังขาราหลีกเลี่ยงไม่เที่ยงจริง มาถึงบ้านพระยาศรีที่สนิทเคยนิมิตมากมายทั้งชายหญิง ฉันฝากกายไว้หวังไม่ชังชิง หมายพึ่งพิงพาสนาบารมี เต่ปางหลังครั้งท่านยังบุญน้อย หมายจะคอยบุญมากได้ฝากผี เคยพูดเล่นเจรจาทุกราตรี ที่ลางทีเจ็บไข้ท่านใช้วาน ไปไม่ทันท่านก็มักจะควักค้อน สู้อดนอนนั่งยามความสงสาร ที่ใจรักอักษรกาพย์กลอนการ มาเขียนอ่านศึกษาจินดามณี แล้วให้สัตย์สัญญาว่าตรงฉัน จะผูกพันไปจนตายไม่หน่ายหนี ข้อบาดหมางสิ่งไรก็ไม่มี ใครได้ดีฉันก็ช่วยอำนวยไชย บัดเดี๋ยวนี้ท่านก็มีบุญตะบะ ล้วนหลวงพระเพลินจิตต์พิสมัย ครั้นพบหน้าตาฝาดประหลาดใจ เหมือนเห็นใบ้บ้าเบือนไม่เหมือนเคย ถึงจะทักซังกะตายเหมือนขายหน้า อนัตตาสูญเปล่าแล้วเราเอ๋ย ที่ความหลังหวังนิยมจะชมเชย เห็นจะเลยเสียแล้วเราเฝ้าเลมอ ไม่ไปหาฤาก็ว่าหยิ่งจองหอง ครั้นไปลองดูก็เปล่าเราก็เก้อ ต้องหลีกทางห่างไกลมิใช่เกลอ จะว่าเผยอเฉียดชิิดชีวิตยุง จะตั้งวอนไปใหม่ไม่จองหอง แต่แสบท้องแล้วจะได้อะไรหุง ท่านกินหมูขนมกงจนลงพุง ฉันผักบุ้งน้ำปลาร้าตาจึงฟาง ถ้าแม้นท่านโอภาฤๅปราไสย จะได้ไปปฏิบัติไม่ขัดขวาง นี่ท่านหับปากมิดปิดหนทาง ไม่มีนางนายหน้าจะพาจูง แม้นปะคราวออกแขกฉวยแปลกหน้า ก็จะพาพักตร์เฝื่อนใช่เพื่อนฝูง ไม่เจียมจนตนกาไปฝ่ายูง เหมือนใฝ่สูงเกินศักดิจะหักราน ถ้าที่อื่นเช่นนี้แล้วที่ไหน คงจะได้พึ่งพักสมัคสมาน ถึงคบฉันใช่จะชักให้รักพาล เห็นมานานน้ำเนื้อที่เกื้อกูล ยามประดาษพาสนานิจจาเอ๋ย กะไรเลยมิตรญาติมาขาดสูญ วาสนาอาภัพลับเหมือนปูน มาอาดูรจมดิ่งเสียจริงเจียว จะเหลียวซ้ายแลขวาไม่ผาสุก เมื่อยามทุกข์ยามไข้ใครไม่เหลียว เมื่อบรรไลยใครจะมาช่วยยาเยียว ฟืนดุ้นเดียวฤๅจะได้ใส่อัคคี ควรสอนจิตต์คิดถึงตนให้มากมาก ถึงจนยากก็อุส่าห์ประสาประสี หาใส่ท้องมิใคร่ทันทุกวันนี้ กลัวเปนนี่สินเขาเฝ้ารำพึง ถึงกระนั้นท่านอย่าคิดตะขวิดตะเขวียน ไม่ไปเบียนดอกให้เปลืองเฟื้องสลึง ถ้ามีจิตต์คิดถึงฉันนั่นแลจึง ไม่ให้พึ่งฉันจะนอนกัดก้อนเกลือ ไม่ไปรบกวนใครให้ลำบาก ถึงอดอยากก็ยังรักซึ่งศักดิ์เสือ โอ้เสียแรงรักสนิทถึงชิดเชื้อ จะคอยเผื่อก็พอกายจะวายวาง ถ้าจริงใจได้ฟังอย่านั่งแช่ง ว่ามันแกล้งลับปากมาถากถาง ไม่คุมแค้นขอษะมาอย่าระคาง พอเสื่อมสร่างทุกข์ระทดตามบทเพลง ยังขอบคุณขอบคำน้ำขุ่นขุ่น ถึงมีบุญท่านก็ไม่ได้ข่มเหง ฉันไม่ถือดอกว่าฉันเปนกันเอง ทั้งกลัวเกรงอาญาทั้งอาไลย ทุกวันหวังยังคิดพระคุณท่าน ด้วยเปนบ้านไปมาเคยอาไศรย แต่เดี๋ยวนี้มีกรรมจึงจำไกล เพราะความในข้องขัดเข้าฟัดครือ เมื่อเมตตาการุญมาก่อนกี้ บัดเดี๋ยวนี้นะจะให้ยังไรหรือ ไม่จองหองหมองปากกระดากมือ แม้จะถือโทษาก็ถ้าจน ถึงกระนั้นฉันก็ไม่ได้โกรธตอบ จะไปน้อมไม่ถนัดจึงขัดสน แม้ให้พึ่งบุญบ้างกำลังจน ได้น้อมตนนอยนบประจบตาม อย่าพยาบาทไปเลยใช่ที่ เวรจะมีพันผูกเหมือนปลูกหนาม ถ้าใจบุญกรุณาจึงพางาม ถึงสามง่ามเลี้ยวเรือข้างเหนือจร ฯ

๏ ทัศนาอาวาสราชบพิธ งามวิจิตรแจ่มจรัสประพัศสร พระจอมพงศ์ทรงสร้างกลางนคร ให้ถาวรเพิ่มพระยศรจนา ขอเดชะบุญญาอานิสงส์ ทั้งเทพทรงสิทธิศักดิ์ช่วยรักษา ให้พระองค์ยงยืนพระชนมา ผ่านมหามไหศวรรย์เหมือนจันทน์เจิม ขอพระยศรุ่งเรืองกระเดื่องเดช ทุกขอบเขตข้าศึกไม่ฮึกเหิม ทั้งโภไคไอสูรย์ประมูลเติม ให้พูลเพิ่มบารมีทวีไป ได้ดับเข็ญเย็นธุราประชาราษฎร์ ทั้งข้าบาททูลลอองให้ผ่องใส นึกภิญโญโมทนาแล้วคลาไคล หวนอาไลยถึงสุดาจะลาลิบ ดูดาวเคลื่อนเหมือนกะพลอยที่คล้อยจาก เมื่อเปนนาคแสนสนุกวันสุกดิบ เสียดายเอ๋ยเลยล่องเปนของทิพ สุดจะหยิบยกชมให้สมใจ มาแถวทางวังหน้าสาธุสะ ถวายพระพรฉลองให้ผ่องใส จนออกช่องคลองหลอดทอดฤไทย นับจะไกลกลอยสวาทประพาสทาง เห็นหมอกมัวทั่วหล้าท้องฟ้าเหลือง ระเรื่อเรืองแสงอุไรขึ้นใสสาง เขาแจวจัดตัดข้ามไปท่ามกลาง ให้อ้างว้างโงงเงงวังเวงทรวง เฝ้าเหลียวหลังสั่งลาน้ำตาไหล เหลืออาไลยนุชน้องที่ปองหวง เสียดายทั้งธานินถิ่นทั้งปวง ให้งงง่วงเงียบเหงาซึมเศร้าเซ็ง เสียดายเอ๋ยเคยรักสมัคสมาน ทุกถิ่นฐานที่พักสำนักเก๋ง ได้พบกันผันแปรมาแลเล็ง ที่ตัวเต็งต้องใจมิได้ลืม เคยตอบรสพจมานหวานเสนาะ เคยฉอเลาะทอดทิ้งให้ดิ่งดื่ม เคยแลกเปลี่ยนเวียนง้อเคยขอยืม ล้วนปลอบปลื้มปลุกในน้ำใจจง เพราะตกอับดับเข็ญไม่เปนสุข จึงต้องทุกข์ทิ้งมิตรพิศวง ไปชมนกชมไม้ในไพรพง พอลืมหลงโศกเศร้าเบาอุรา อรุณรุ่งเรืองแสงแจ้งกระจ่าง เข้าคลองบางกอกน้อยละห้อยหา ฉันเจ็บใจไข้จิตต์นั้นติดมา จะหายาหมอกอกช้ำชอกกาย ฉันอยู่บางกอกใหญ่ยังไม่ถอย บางกอกนอ้ยฤาจะให้ไข้ใจหาย แม้เอวบางนางกอกดอกจะคลาย บางไม่คล้ายเอวบางไม่สร่างครวญ ฯ

๏ ดูชาวแพแซ่ซ้องขนของขาย ที่เรือพายขึ้นล่องนั้นของสวน ทั้งเรือหุ่นเรือทอดจอดเปนพวน ตลาดล้วนจ่ายจัดออกอัดแอ ทั้งสองแถวแจวไปมิใคร่ตลอด ต้องเลี้ยวลอดหลีกลัดฉวัดแฉว ทั้งไทยเจ๊กจีนแขกแปลกแปลกแล พวกชาวแพสารพันจะบรรจง ขายเครื่องแก้วเครื่องทองของทั้งหลาย ทั้งผ้าหลายม่วงแพรแลระหง เสื้อกะเป๋าขาวม้าผ้าสบง ที่รูปทรงสำอางเปนช่างเย็บ ล้วนสาวสาวน้อยน้อยนั่งร้อยเข็ม ฝีมือเม้มมิดเม้นไม่เห็นตะเข็บ ไม่เจ็บหลังนั่งเพียรทั้งเจียนเล็บ ประกอบเก็บไรจุกเหมือนตุ๊กกะตา พอเรือฉากปากหวานทำขานไข ซื้ออะไรดูก่อนสิหล่อนจ๋า ฉันหวนฮึกนึกคนองลองวาจา จะหาผ้าอย่างนอกที่ดอกลอย เขายิ้มเยื้อนเบือนหน้าทำตาค้อน โอ้ยามร้อนใจฅอก็ท้อถอย จะก้มพักตร์ไปป่าหาดอกกลอย ไม่ขอคอยดอกขจรเหมือนก่อนไร ฯ

๏ ที่ลางแพผู้ดีมั่งมีทรัพย์ เพ็ชร์ประดับตุ้มหูดูไหวไหว แหวนสายสร้อยทองปลั่งทั้งวะไลย น่าชื่นใจห่มนุ่งสอดถุงตีน เหมือนเมื่อเรารุ่นเปลี่ยวมันเขี้ยวเข็ญ พบแต่เช่นนี้หนาจึงลาศีล หมายได้อยู่คู่เคียงบนเตียงจีน จนเลยปีนตลิ่งล้มไม่สมคะเน ฯ

๏ ถึงบางหว้าว้าใจอาไลยสมร เหมือนเรียมจรจากนางมาห่างเห ให้ว้าทรวงห่วงหลังอยู่ลังเล มาว้าเหว่อ้างว้างอยู่วังเวง ถึงบ้านบุบุขันเขารันค้อน เหมือนพี่ข้อนทรวงคนึงดังผึงเผง เขาหลอมทองเทถ่ายละลายเลง พี่ร้อนเร่งในอุรายิ่งกว่าทอง ถึงทองร้อนร้อนเพลิงถะเกิงก่ำ พอถูกน้ำเย็นทั่วไม่มัวหมอง อันร้อนพี่นี้ถึงน้ำทั้งลำคลอง อย่ามาลองลูบชะโลมไม่โสมนัส ฯ

๏ ถึงวัดทองหมองคล้ำสลำสลาย ไม่เหมือนสายสร้อยทองผ่องจำรัส จากแม่ผิวทองคำเพราะกรรมซัด ชมแต่วัดทองสร้างเถิดต่างทอง ดูแม่ค้ามาขายก็หลายเหลือ ทั้งบกเรือเรียงรายล้วนขายของ น้ำเต้าแตงแฟงฟักแลผักดอง เที่ยวเร่ร้องตามตลาดไม่ขาดคราว เข้าเหนียวเหลืองเครื่องขนมดูถมฐาน กินไม่หวานสักว่าหน้าขาวขาว ไม่เหมือนเทียบโต๊ะพานทั้งหวานคาว ของเจ้าสาวน้อยนางที่ช่างทำ วัดชีปะขาวขาวชีก็มีเหลือ ไม่เหมือนเนื้อนวลสาวที่ขาวขำ จะแลไหนก็วิไลยวิลาศล้ำ ดังหนึ่งน้ำทิพสุรามายาทรวง โอ้พูเอกเมขลาจะหาไหน แต่จากไปมิได้คืนมาหื่นหวง ที่ริมน้ำทำรอเหมือนฬ่อลวง รอให้ง่วงตำตอสิรอตาย โอ้ที่ยุบบุบไถลนั้นไม่หัก เช่นที่รักมิได้ชมเหมือนสมหมาย บางผักหนามยามยากหากเสียดาย ได้ตั้งกายมาเพราะปามผักหนามดอง บางบำหรุเรียมบำเรอเสนอพักตร์ โอ้ทรามรักเจ้าก็มุ่งบำรุงสนอง เพราะต่างศักดิ์มิได้สมนิยมปอง แต่ลอบลองแลเหลียวไม่เปรี้ยวเค็ม ต่างระกำลำบากด้วยขวากหนาม พยายามยอกระบมเหมือนคมเข็ม แต่พากเพียรเวียนแวะเข้าและเล็ม ก็เห็นเต็มที่จะสมยิ่งตรมตรอง โอ้มณฑายาหยีของพี่เอ๋ย เมื่อไรเลยจะได้ชมประสมสอง แม้ดอกฟ้าคลาเคลื่อนลงเหมือนปอง ก็ไม่ต้องขวายขวนเที่ยวซนซุก เพื่อเข้าที่ปฏิพัทธปัจฐรณ์ จะกล่าวกลอนกล่อมเล่นให้เปนสุข บางขุนนนพี่ต้องทนเหมือนนนทุก สุดจะปลุกปล้ำใจให้สบาย ฯ

๏ บางระมาดเหมือนพี่มาดสวาทหวัง ไม่สมดังพิศวาสเหมือนมาดหมาย ที่ได้ชมสมมาดยังคลาศคลาย เพราะหลายรายหลายรักหนักอารมณ์ เหมือนแม่น้ำลำคลองเปนสองแยก สุดจะแจกจักใจออกให้สม สงสารสาลิกานางที่บางพรม ระดูลมล่องหาวจะหนาวใจ ไม่เห็นมาเยี่ยมเยือนเหมือนก่อนกี้ โอ้ป่านนี้ขวัญอ่อนจะนอนไหน เมื่อมืดค่ำคล้ำคลุ้มที่พุ่มไม้ เคยอาไศรยจับบ้างเปนครั้งคราว ลมพระพายชายพัดมาย่อนย่อน เจ้าจะร่อนตามลมไปชมหาว ได้เพื่อนรักชักเชือนชมเดือนดาว แต่เพื่อนหนาวนี้เท้าไม่อาไลยเลย วัดไก่เตี้ยไก่ใครก็ไม่รู้ คิดถึงอยู่เคหานิจจาเอ๋ย เมื่อไก่ขันพลันตื่นชื่นเสบย โอ้ไก่เคยขันกู่เหมือนรู้ฅอ ฯ

๏ ถึงสวนหลวงดวงงามให้ขามอก ต้องขอยกไว้เปนหลวงไม่ล่วงขอ แต่ของสาวชาวสวนนวลลออ จะของ้อขอรักขอชักชวน ด้วยบางกอกถึงจะอยู่กินหมูหัน ไม่หวานมันเหมือนมะพร้าวของชาวสวน ยิ่งเจือไข่ใส่หวานน้ำตาลกวน ยิ่งน้ำนวลเนื้อหมูไม่สู้เลย วัดพิกุลฉุนชื่นระรื่นรส เหมือนไม้สดหอมกรุ่นพิกุลเอ๋ย เจ้าร้อยพวงมาลีให้พี่เชย ได้เสียดเสยสวมกรแล้วช้อนชม โอ้พระพายชายกลิ่นมารินรื่น เมื่อยามชื่นมิได้เชยเหมือนเคยสม แสนรำจวนหวนหาในอารมณ์ มาได้ดมแต่ดอกไม้ที่ในบาง หอมบุหงาการะเกดวิเศษสม เหมือนเกศมมทรามเชยเจ้าเสยสาง นมสวรรค์นั้นไม่สมเหมือนนมนาง ผลมะปรางไม่เหมือนปรางสำอางนวล ดูลินจี่สีปลั่งก็ยังแหนง ไม่เหมือนแสงโอษฐแฉล้มเมื่อแย้มสรวล หอมสุคนธ์ผลจันทน์ที่รัญจวน ไม่หอมหวนเหมือนเนื้อที่เจือจันทน์ หอมลำเจียกจับฤดีแต่มีหนาม เหมือนเจ้างามงอนคะรมทั้งคมสรรค์ เถาสวาทเหมือนสวาทที่พาดพัน กาหลงนั้นเหมือนพี่หลงทรงพงา โอ้เต่าร้างเหมือนพี่ร้างมาห่างเคล้า สงสารเต่าร้างโรยให้โหยหา ถึงสวนแดนแสนเสียดายสายสุดา พสุธาเดียวจะห่างไปต่างแดน มาเปล่าเปลี่ยวเที่ยวทุเรศอยู่เขตสวน ให้โหยหวนห่วงนุชนี้สุดแสน ได้ชมแต่แพรบางไว้ต่างแทน ไม่เหมือนแม้นนอนแอบได้แนบแนม เห็นรักต้นปนเตยเลยไม่ทัก เกลอกว่ารักเจ้าจะเลยเปนเตยแหลม จากสละระกำขึ้นซ้ำแกม ทั้งโศกแซมซ้อนซ้ำช้ำฤไทย โอ้จากกอก็ไม่ยากเหมือนจากเจ้า สละเท่าเรียมสละฤาไฉน ระกำต้นไม่ระกำเหมือนช้ำใจ ถึงโศกไม้ไม่วิโยคเหมือนโศกมา เห็นซ่อนกลิ่นซ่อนชู้อดสูจิตต์ คิดถึงมิตรมักมากยากนักหนา ทำซ่อนชู้รู้ชัดตัดตำรา ไม่คบค้าสืบสายจนวายวาง ฯ

๏ ถึงบางขวางขวางอะไรที่ไหนนี่ บางไม่มีขัดข้องมาหมองหมาง อันตัวพี่นี้วิตกกว่าอกบาง ด้วยขัดขวางในอุราอยู่อาจิณ จนเข้าช่องคลองลัดวัดไชยพฤกษ์ แลพิฦกถิ่นฐานลานถวิล พฤกษาร่มลมโชยมาโรยริน หอมกระฐินอิกทั้งกระดังงา มลิซ้อนสุรภีมาลีตระหลบ เหมือนน้ำอบเจือกุหลาบทราบนาสา รื่นรื่นเสาวคนธ์สุมณฑา เหมือนกลิ่นผ้าแพรหอมย้อมมะเกลือ เห็นจำปีโอ้แต่นี้จะนานเห็น ต้องจำเปนจำไปอาไลยเหลือ จนเลยวัดทัศนาแม่ค้าเรือ มีเข้าเกลือแลกล้ำตามลำคลอง พวกชาวสวนสองฝั่งเขาตั้งบ้าน มีโรงร้านเรียงรายนั่งขายของ มาถึงด่านขุนด่านประหารฆ้อง เฝ้าแต่ร้องเรียกเรือเหลือระอา ฉันหลบพักตร์ลักลอบตอบสนอง ไม่มีของสิ่งขายดอกนายจ๋า เปนเรือรักรึงโศกวิโยคมา มีแต่อาดูรดองอยู่ท้องเรือ ฯ

๏ ขุนด่านฟังนั่งเฉยเลยหัวเราะ ฉันแก้เปลาะมาได้ดีใจเหลือ เห็นกล้วยกล้ายรายงามอร่ามเครือ เหลืองระเรื่อต้นลำดูสำรวย เมื่อลมพัดลัดโยนดูโอนอ่อน คิดถึงวรวรวงศ์ที่ทรงสวย เปนเชื้อช่ออรชรอ่อนระทวย เหมือนต้นกล้วยต้องลมไม่สมประดี เสียดายโฉมโลมตาหาไม่เหมือน จนฟั่นเฟือนเฟื่องฟุ้งทั้งกรงศรี ไฉนหงส์จึงไม่สรงโบกขรณี มาเกลือกที่ตมเลนระเนนนอน สิ้นผิวทองผ่องพักตร์ไม่รักศรี แต่ตัวพี่เท่าใช้ยังไถ่ถอน ขี้คร้านกล่าวมากมายเสียดายกลอน เขาแจวจรโดยด่วนพ้นสวนมา ลุถึงศาลากระทรวงในหลวงสร้าง ระยะทางทำไว้ไกลนักหนา ถึงร้อยเส้นแล้วจึงมีที่ศาลา ให้ประชาจำมั่นสำคัญจร ทั้งไปมาล้าเลื่อยเมื่อเหนื่อยนัก ได้หยุดพักภิญโญสโมสร โอ้ตัวเราเศร้าอุราให้อาวรณ์ ถึงหยุดนอนก็ไม่หายวายรำคาญ ถึงวัดร้างร้างชีร้างที่ไว้ ไม่มีใครสร้างสถิตประดิษฐาน ทั้งเจดีย์ที่ปรกก็รกราน นึกสงสารจริงจริงต้องนิ่งทน ถึงศรัทธาสารพัดจะขัดขวาง สุดจะสร้างเสริมต่อก่อกุศล โอ้อารามยามยับยังอับจน เราก็คนยามขัดเหมือนวัดวา ไม่แจ้งนามถามดูจึงรู้ชัด เขาเรียกวัดไผ่จันทน์น่าหรรษา เห็นแต่ไผ่ไม่เห็นจันทน์เปนขวัญตา โอ้พฤกษามีสิ้นทั้งดินแดน จะหาจันทน์กฤษณานั้นหายาก เหมือนคนมากมีดื่นนับหมื่นแสน จะประสงค์องปราชญ์ก็ขาดแคลน เสมอแม้นจันทน์แดงแรงราคา แต่จันทน์แดงเดี๋ยวนี้ไม่มีขวัญ จะอัศจรรย์อะไรที่ไหนหนา ด้วยมีถมทั่วเมืองตามเครื่องยา เขาซื้อหาใช้กันสนั่นฦๅ ลักจั่นปลอมได้ไม่เฉลียว แต่ปากเดียวจะสู้ปากมากได้ฤๅ จนจันทน์แท้แพ้กลิ่นสิ้นระบือ เปนสิ้นชื่อสูญไปใครไม่รู้ ดูทองคำน้ำเม็ดเพ็ชรรัตน์ พอรู้ชัดไม่ลำบากยากตาหู อันปัญญานี้ไม่แน่ด้วยแลดู แม้จะรู้ปรากฎเพราะทดลอง แต่เดี๋ยวนี้มิได้มีผู้ตราสิน ก็สุดสิ้นที่ผู้จะชูสนอง เหมือนมณีมิได้มีอุไรรอง ก็มัวหมองหมดวิชาพยายาม คลองมหาสวัสดีนี้มีใหม่ แต่ตามในลำคลองได้ร้องถาม ไม่มีใครร้องเรียกสำเนียกนาม จะหาความที่ประกอบไม่ชอบกล จนเลยศาลาสองยิ่งหมองไหม้ ระกำใจอ้างว้างมากลางหน กับบ่าวไพร่ศิษย์หาสี่ห้าคน มันซุกซนสารพัดจะขัดเชิง ที่สองฝั่งข้างคลองส่วนท้องทุ่ง ดูเวิ้งวุ้งแลหวิวละลิ่วเหลิง เห็นทิวไผ่ไม้พุ่มเปนซุ้มเซิง ที่สูงเทิ่งลมโยนโกร๋นกริงกริว เห็นเมฆหมอกออกรอยตามขอบป่า เหมือนตีนฟ้าตกไกลใจหวิวหวิว ลมพระพายชายพาพฤกษาปลิว เห็นแต่ทิวเขาไม้รำไรราย ดูทุ่งกว่างทางเปลี่ยวให้เสียวจิตต์ ทั้งจากมิตร์มาไกลยิ่งใจหาย เห็นวิหคนกเอี้ยงมันเลี้ยงควาย จับสบายบนฅอดูคลอเคลีย ฝูงกระจาบถาบบินลงกินเข้า เจ้าของเขาคอยไล่ให้ไปเสีย ที่ซุ้มรกนกกระเต็นเต้นยั้วเยี้ย ทั้งตัวเมียตัวผู้ดูเจริญ ฯ

๏ ฝูงวิหคนกกาเที่ยวว้าว่อน ระเร่ร่อนหากินแล้วบินเหิร นกกระสามาเปนหมู่พิศดูเพลิน นกยางเดิรซ่องซ่องเที่ยวมองปลา ดูคลองตรงโล่งลิ่วเปนทิวบ้าน ระยะย่านห่างไกลกระไรหนา ไม่มีเรือนโอ่โถงล้วนโรงนา มุงแฝกคาเขียวขำดูรำไร บ้างปลูกผักดักแร้วแพ้วจังหัน ลมพัดผันหมุนติ้วหวิวหวิวไหว ครั้นลมหวนทวนทับก็กลับไป เปรียบเหมือนใจคนเราเท่าทุกวัน พวกรุกรุยรุงรังที่บางกอก พูดกลับกลอกดังดังเหมือนจังหัน ลมพัดหนักทางไหนไปทางนั้น พูดไม่ทันเขาพร้อมต้องยอมกลัว พอชายแสงสุริยันตวันแผ้ว พวกคนแจวหิวกระหายทั้งท้ายหัว เห็นอ้อยขายรายวางตามข้างรั้ว เหมือนกับวัวเห็นหญ้าทำตาปรือ จึงจอดเข้าซื้อให้สองไพกึ่ง พอยื่นถึงกัดพลางไม่วางถือ เรือก็หนักราวกะหินสิ้นฝีมือ คนก็ดื้อคร้านใจมิใคร่แจว เรือกับคนสมกันขยันเหลือ จนเพื่อนเรือเลยไกลไปเปนแถว ทั้งไทยมอญหนุ่มสาวแลลาวแกว ที่ไปแล้วอยู่หลังก็ยังมา ที่จอดพักหน้าท่าศาลาสาม ล้วนงามงามดีดีห่มสีจ้า เห็นแต่ของเขาอื่นไม่ชื่นตา พอนาวาเลยไปยิ่งใจตรง ฯ

๏ เห็นเรือโกลนลำหนึ่งดูขึงขัง ทั้งเนื้อหนังก็ดีอยู่มีถม เจ้าของเข็นขึ้นคานอยู่นานนม เจียนจะจมดินเปล่าไม่เข้าการ ถ้าลงทุนทำใหม่ไว้ใช้เล่า ไม่เปลืองเปล่าคงจะจ่ายได้หลายสถาน เปรียบเหมือนคนอักดกยกขึ้นคาน นึกสงสารวาสนาผู้อาภัพ ที่ดีชั่วกลัวเกลือกไม่เลือกสรรค์ สารพันพิทยาจึงพาดับ ที่ผู้ทำของดีนั้นลี้ลับ เสร็ทธิศกยกสำรับได้หน้าตา ฝีประจบเดี๋ยวนี้ดอกดีมาก แต่ฝีปากนั้นมิได้มีใครหา การหนังสือฦๅกระฉ่อนเหมือนก่อนมา ย่อมได้หน้าได้ยศปรากฎนาม แต่เดี๋ยวนี้เปนไฉนมิได้ผล มีแต่คนคอยเอ่ยมาเย้ยหยาม รู้ก็ชามไม่รู้ดูก็ชาม ก็เหมือนความว่าเล่นเห็นกับตา สารพัดที่จะใส่ลงในหัว ยังเอาตัวมิใคร่รอดตลอดหนา โอ้เสียแรงพากเพียรเล่าเรียนมา เหมือนจะพายุบยับช่างกลับกลาย จนถึงศาลากลางไม่สร่างร้อน เด็กเด็กอ่อนหน้านิ่วหิวกระหาย ให้จอดพักหยุดร่มพอลมชาย ตวันบ่ายคล้อยงามสักสามโมง ฯ

๏ พวกเรือจอดทอดอยู่แลดูถม บ้างหุงต้มตามกันควันโขมง ที่พึ่งจอดทอดเสือกผูกเชือกโยง โดดน้ำโพล่งดำว่ายเปนก่ายกอง นางสาวมอญหนึ่งนั้นดูขันเหลือ ยุดแคมเรือนอนหงายว่ายตุ๊บป่อง แต่ผ้าถุงนุ่งถกขึ้นปกท้อง เด็กมันร้องนั่นแน่แลทมึน น้ำก็ใสไม่ระวังบ้างเลยหนา เขาเฮฮาสักเท่าไรก็ไม่ขึ้น ชาติใจดีมิใช่ไก่ใจบึกบึน ถึงติดครึนก็ไม่ดิ้นสิ้นตำรา พวกเด็กเรารุ่นหนุ่มได้ชุ่มชื่น ก็แตกตื่นพูดกันโดยหรรษา ว่ามอญขวางอย่างเขาที่เล่ามา เห็นกับตามันจะขวางไปอย่างไร เด็กอาบน้ำสำเร็จก็เสร็จโศก ให้บริโภคโภชนาอัชฌาไสย เสร็จแล้วออกนาวารีบคลาไคล แจวไม่ไหวไม่ติงนิ่งเนือยเนือย ถูกลมหวนทวนซ้ำน้ำก็เชี่ยว คนแจวเหนี่ยวสามเล่มจนเต็มเมื่อย ดูอิเหละเปะปะสวะเฟือย น่าเหน็ดเหนื่อยหนักเหลือเรือโป้งโล้ง ถึงตลิ่งเลี่ยนโล่งพอโยงได้ เด็กดีใจแลเห็นออกเต้นโหยง ผูกเชือกแล้วขึ้นตลิ่งวิ่งตะโพง พอเชือกโยงตึงเลื้อยแล่นเฉื่อยไป ถึงที่รกวกลัดฉวัดเฉวียน ถึงที่เลี่ยนก็ชะโลงโยงไปใหม่ ประเดี๋ยวรกประเดี๋ยวบ้านรำคาญใจ มันพิไรบ่นร่ำไม่สำรวม จนสุนัขเห่าโฮกกระโชกไล่ ต่างตกใจโจนถลำตกน้ำป๋วม ขึ้นไม่ได้ป่ายปีนจนตีนบวม ดูเนื้อน่วมนั่งนวดปวดระบม จนล่วงเลยศาลาที่ห้าแล้ว ให้เร่งแจวรีบไปยังไกลถม ดูสาวสาวชาวนาไม่น่าชม ตรำแดดลมเหลือดำด้วยทำนา ตะเบงมานขัดเขมนแทบเห็นทั่ว ไม่แต่งตัวสารพัดไม่ผัดหน้า ไม่สู้สาวชาวกรุงจรุงตา แต่ชั้นว่าเพื่อนสนุกพวกรุกรุย เมื่ออยู่ในท่านก็ใช้เหมือนเช่นครอก เมื่อออกนอกราวกะหม่อมดูหอมฉุย ล้วนห่มสีนุ่งลายเที่ยวกรายกรุย ดูปุกปุยไว้วางเหมือนนางระบำ ขมิ้นแต่งแข่งปรุงจรุงเครื่อง ล้วนขาวเหลืองแลไหนวิไลยขำ แต่นอกใสใจมิตรนั้นติดดำ มักจะทำถ่ายเทเจ้าเล่ห์กล ฯ

๏ แต่ชาวนานั้นฤาเขาซื่อดอก ถึงดำนอกน้ำรักยังพักผล ฉันอยากได้บ้านนอกดอกสักคน แต่ขัดสนสุดแสวงไปแห่งใด แต่นักเลงเหล่านิยมข้างสมพาส ที่รสชาตเขาจะเห็นว่าเปนไฉน ขาวจะชื่นฤาว่าดำจะฉ่ำใจ ที่ภายในท่วงทีเหมือนมีเคล็ด เขาว่าสาวขาวโศกโพรกปูนา ดำมละกาเหลือแสนแน่นตับเป็ด เนื้อสองสีนั้นมีกาละเม็ด จริงฤาเท็จเปนไฉนมิได้ลอง พอเรือแล่นเลยแลชะแง้ทั่ว เห็นแต่บัวหลวงงามที่ตามหนอง เปนดวงดอกออกเต่งเปล่งลออง เหมือนบัวทองตูมตั้งอลั่งดี ฯ

๏ แมลงภู่หมู่ภมรก็ร่อนร้อง อาบลอองเกสรแล้วจรหนี เหมือนหญิงร้ายชายลวงเสียท่วงที เปนราคีอายเขานั้นเท่าไร แต่เดี๋ยวนี้ดูใจเขาไม่ทุกข์ กลับสนุกเพลินจิตต์พิสมัย หนึ่งแล้วสองปองสามไม่ขามใคร จะหาไปกว่าจะเห็นว่าเปนตัว สาสนาก็ดูเรียวแล้วเดี๋ยวนี้ กุมารีพอจะพรากจุกจากหัว ดูคายคมหัวนมเท่าลูกบัว พูดถึงผัวชอบใจกะไรเลย ฯ

๏ จนถึงศาลาหกวิตกนัก ไม่ยลพักตร์ขวัญตานิจจาเอ๋ย หวนสอื้นฝืนใจไม่เสบย ลมรำเพยเพลาก็สายัณห์ สุริยาเย็นรอนดูอ่อนร่ม พินิจชมหมู่นกบินผกผัน โจนจิกจับจอแจเซ็งแซ่กัน บ้างแบ่งปันเหยื่อป้อนประออนเอียง กางเขนพลอดนกกรอดกะเรียนร้อง เหมือนเสียงน้องพลอดเพราะเสนาะเสียง นกผู้เข้าเคล้าเคลียตัวเมียเมียง จับจำเรียงร่วมรังประนังนอน น่าอายพักตร์ปักษานิจจาเอ๋ย มาขาดเคยคู่เคียงร่วมเรียงหมอน แม่กกข้างอย่างนกที่กกคอน จะอุ่นอ่อนอิ่มกมลเมื่อสนธยา เห็นฟ้าแดงแสงอับพยับเผือด เหมือนแสงเลือดตาย้อยด้วยคอยหา ไม่เห็นนวลหวนสอื้นกลืนน้ำตา พระสุริยายังระย่อเหมือนรอคอย พอลับดวงดังทรวงจะโทรมหัก เหมือนร้างรักแรมนิราสเด็ดขาดผอย ขึ้นสิบสามค่ำเดือนไม่เคลื่อนคล้อย บุหลันลอยเลื่อนมหานภาไลย แหงนชะแง้แลดูพระฉันทร์แจ่ม เหมือนพวงแก้มนุชน้องอันผ่องใส ที่วงกลางหว่างดำดูรำไร เหมือนฝีไฝแต้มต่ำยิ่งขำคม ดูดาราดาดาษอนาถนัก นึกถึงรักรักกันนั้นก็ถม โอ้ยามค่ำน้ำค้างลงพร่างพรม ทั้งหนาวลมลมหวนให้รวนเร เห็นเรือจอดทอดท่าโรงนาหนึ่ง เขาอื้ออึงชักชวนกันสรวลเส บ้างถนอมกล่อมลูกที่ผูกเปล ฟังเขาเห่โหยกระแสงไม่แห้งเครือ เปนหลายบทจดจำได้คำหนึ่ง จะกล่าวถึงถูกสาวชาวเรือเหนือ ทำมิดีนั่งขี้ที่แคมเรือ อ้ายปลาเสือเจ้ากรรมพ่นน้ำรด น่าเสียใจไม่ระวังนั่งละห้อย ให้เสนโศกโคกน้อยนั้นเปียกหมด เขาร้องเล่นเห็นความไม่งามงด แต่ต้องจดจำไว้เพราะได้ฟัง มาถึงศาลาเจ็ดไม่เสร็จโศก ยิ่งวิโยคโหยให้อาไลยหลัง ถึงโรงเจ้าภาษีฆ้องตีดัง ตั้วโผนั่งแจ่มแจ้งด้วยแสงเทียน ไว้หางเปียเมียขาวสาวสล้าง เปนจีนต่างเมืองมาแต่พาเหียร ที่ความรู้สิ่งไรก็ไม่เรียน ยังพากเพียรมาได้ถึงใหญ่โต เห็นดีแลแต่วิชาขาหมูใหญ่ เราเปนไทยนึกมาน่าโมโห มิได้ทำอากรแลบ่อนโป มาอดโซสู้กรรมจะทำกระไร ด้วยเขียนวงจำตีที่จำเพาะ มิรู้จะเสาะหากินที่ถิ่นไหน ดูหน้าชื่นอกตรมระทมใจ หามิใคร่ทันกินพูดสิ้นอาย ซึ่งอุส่าห์คิดกลอนอักษรแถลง ใครไม่แจ้งก็จะว่าผาสุกหลาย ที่จริงไซร้ไม่มีที่สบาย ซังกะตายคิดความไปตามแกน ไม่มีดีฝีปากก็ผากเผิน คิดไม่เพลินน้ำใจเพราะไส้แขวน ทั้งธุระกังวลก็ข้นแค้น เปนสุดแสนอัประมาณส่งสารตน ฯ

๏ พอออกจากปากคลองได้ล่องน้ำ เห็นฟ้าคล้ำคลุ้มอับพยับฝน สุดสังเกตเทศสถานบ้านตำบล ให้มืดมนท์มุ่งมาในวารี ถึงงิ้วรายหมายงิ้วที่งอกหนาม ไม่ภานามฟุ้งเฟื่องเหมือนเมืองผี งิ้วนรกสิบหกองคุลี คมเหมือนตรีกรดกริบระริบริ้ว ใครสร้างกรรมทำชู้ด้วยคู่เขา ให้ร้อนเร่าร้างโรยอยู่โหยหิว ครั้นชีวันบรรไลยก็ไปล่ปลิว ไปขึ้นงิ้วยมบาลประหารแทง น่าพึงกลัวตัวฉันให้พรั่นจิตต์ แต่นั่งชิดเมียใครยังใจแสยง ทุกวันนี้ดูใครเขาไม่ระแวง กลับพลิกแพลงพูดเล่นเย็นเย็นใจ ว่าเมียเขาเรารักทำควักค้อน ขึ้นงิ้วอ่อนมือตีนปีนไม่ไหว แม้สมัครักเราไม่เปนไร จะปีนได้ทุกวันไม่ครั่นคร้าม ด้วยหนามวงิ้วเดี๋ยวนี้ไม่มีมาก เขาคอยถากอยู่ทุกวันอย่าหวั่นหวาม จะทำบุญเสียด้วยขวานตระหง่านงาม ไปถากหนามงิ้วบาดให้ขาดระยำ ยมบาลนั้นเหนอเกลอกับพี่ เธอปราณีว่าจะชุบอุปถัมภ์ ถ้าแม้นหญิงยิงยอมให้คร่อมทำ ที่บาปกรรมนั้นไม่มีดีสุดใจ ยิ่งเมียเจ๊กแล้วยิ่งดียิ่งมีผล ขึ้นแต่ต้นผักกาดไม่หวาดไหว บาฬีท่านเถนเท็จมีเม็ดไพร ฉันไม่ใช้บาฬีเช่นนี้เลย ฯ

๏ ถึงโรงหวดตรวจตรึกให้นึกถึง หม้อหวดนึ่งสังขยานิจจาเอ๋ย กะทะทองของชื่นกลางคืนเคย ได้ชดเชยไข่หวานสำราญแรง ถึงสำปะทวนหวนหาให้ปรารภ จะทวนทบกลับหลังก็ยังแหนง ข้างหลังหน่วงห่วงหน้าถ้าระแวง เปนเขตแขวงบ้านลาวเสียงกราว ฯ

๏ ยินเขาแอ่วแจ้วจ้าก็น่าเล่น แต่ต่างเช่นเข้าจ้าวกับเข้าเหนียว โอ้เราเคยได้ประสมก็กลมเกรียว ดูเหนียวเตียวแน่นตับสนับใน ที่รสชาตโอชาประสาเขา ถึงเข้าจ้าวก็จะดีกว่าที่ไหน แต่เข้าจ้าวเบาท้องดูว่องไว เหมือนพาใจให้ขยันมั่นทำการ อันเข้าเหนียวกินดีแต่ขี้เกียจ ลงนอนเหยียดแบหลาไม่ว่าขาน เมื่อยามอยากหากประสบได้พบพาน ก็มันหวานล่อฅอพอเสบย พอนาวาคลาคล่องเข้าคลองที่ ชื่อเจดีย์บูชานิจจาเอ๋ย ค่อยมีใจหมายจะมาบูชาเชย ด้วยไม่เคยยลพระปรางค์จะอย่างไร หวังจะถึงให้ทันตวันรุ่ง พอออกทุ่งเกิดกรรมจะทำไฉน เมฆพยับอับมิดทุกทิศไป พยุใหญ่พัดโหมมาโครมครืน ถูกเรือปั่นหวั่นยวบเสียงสวบสาบ พาขยาบขึ้นฝั่งไปทั้งผืน จนเรือเสยเกยฝั่งอยู่ยั่งยืน สุดจะฝืนฟ้าฝนต้องจนมุม ฉันนิ่งนึกภาวนานิจจาเอ๋ย กะไรเลยเมขลาไม่มาอุ้ม ให้ต้องฝนทนฟ้าน้ำตาฟูม เสียงฟ้าตูมตึงลั่นหวั่นวิญญา เด็กเด็กตกใจจริงออกวิ่งวุ่น เข้าประทุนคลุมหัวกลัวนักหนา ได้หยุดร่มสมถวิลที่จินดา เขาก็พากันหลับกลับสบาย เราผู้เดียวเปลี่ยวใจมิได้ม่อย เฝ้านั่งคอยบ้าบ่นให้ฝนหาย จนล่วงสองยามพ้นฝนจึงคลาย เด็กทั้งหลายหลับไหลไม่สเทื้อม แต่ปลุกสั่นงันงกหัวตกหมอน ยังมัวนอนขดคู้เหมือนงูเหลือม ที่ฟื้นบ้างนั่งโยกดูโงกเงื้อม ทำเซื่อมเซื่อมซ่องแซ่งเรี่ยวแรงโรย ต่ออื้ออึงจึงค่อยฟื้นครั้นตื่นแล้ว ออกเรือแจวหน้านิ่วทำหิวโหย ช่างเกียจคร้านนักหนานึกน่าโบย แต่หากโดยเวทนาเมตตาคุณ ด้วยขันตีมีมั่นจงผันผ่อน ให้เข้านอนเสียทั้งนั้นไม่หันหุน ฉันลุกขึ้นแจวบ้างหวังเอาบุญ ได้อุดหนุนในกุศลผลอนันต์ ฯ

๏ สองคนกับตาด้วงไม่ง่วงเหงา ร่วมในเราศรัทธาอุส่าห์ขยัน ทั้งมืดค่ำน้ำเชี่ยวเปล่าเปลี่ยวครัน แจวไม่ทันเพื่อนเรือเหลือระอา ทั้งสองฝั่งทางเลี่ยนดูเตียนโล่ง เปนที่โยงบ้านใหญ่ไกลนักหนา ถ้าแม้นขึ้นโยงได้แล้วไม่ช้า ผิดเวลาเสียแล้วต้องแจวไป จนเกือบสุดโยงย่านรำคาญนัก ต้องหยุดพักเหนื่อยแล้วแจวไม่ไหว แวะเข้าที่สุมทุมใต้พุ่มไม้ ตาด้วงได้เหนื่อยนักขอพักนอน ฉันผู้เดียวเปลี่ยวใจมิได้หลับ ให้รำสับรำส่ายถึงสายสมร เมฆพยับอับแสงศศิธร ยิ่งอาวรณ์หวั่นทรวงให้ง่วงงึม ฯ

๏ ดึกสงัดเงียบงอมทุกหย่อมหญ้า โขมดป่าโหยหวนครวญกระหึม เห็นเงาไม้ดำดำดูครำครึม เสียงพึมพึมน่ากลัวขนหัวชัน นกทึดทือทิ้งทูตมันพูดผิด เสียงพิทิดกี่ทีไม่มีขวัญ ทั้งเค้ากู่กู่โก่นตะโกนกัน ให้ไหวหวั่นหวาดกมลให้ขนพอง นิจจาเอ๋ยเคยสำราญอยู่ฐานถิ่น มาได้ยินสัตว์ป่าน่าสยอง แจ้วแจ้วจักรจั่นสนั่นร้อง เหมือนเสียงฆ้องแตรสังข์ดังบรรเลง ทั้งแม่ม่ายลองไนเรไรหริ่ง เหมือนกรับฉิ่งฉายเพราะดูเหมาะเหมง ประสายากหากฟังให้วังเวง นึกว่าเพลงกล่อมอกเมื่อตกไร้ แจ้วแจ้วแว่วเสียงจังหรีดกรีด เหมือนน้องหวีดวาบวับไม่หลับไหล ดูดาวเคลื่อนเดือนดับลับครรไลย สกุณไก่ขันกราวหนาวอุรา จวนจะรุ่งรางรางน้ำค้างตก คณานกเกริ่นร้องก้องเวหา พฤกษาชาติชื่นแช่มแย้มผะกา พระพายพาเกสรขจรจาย ฯ

๏ แส้สำเพียงเสียงดุเหว่าก็เร่าร้อง ดูแสงทองทิศบูรพ์จำรูญฉาย สุริยาแย้มดวงโชติช่วงพราย เด็กทั้งหลายตื่นชำระสระกายา ให้หุงต้มรับประทานอาหารแล้ว ออกเรือแจวไปพลันค่อยหรรษา ถึงสถานบ้านธรรมศาลา ที่ริมท่าโรงธรรมอยู่อำไพ คิดถึงเพียรเรียนร่ำพระธรรมเจ้า ได้บอกเล่าผันแปรแก้สงไสย ยังไม่พ้นตกอับแคบคับใจ เทพไทจงเห็นเปนพยาน ที่ตรองตรึกนึกผลกุศลไว้ ยังมิได้สมจิตต์อธิษฐาน อย่าให้ถึงยากยับอัประมาณ ขอบันดาลดูสักครั้งให้จังจริง พอเรือแล่นลมชวยระทวยอ่อน ด้วยอดนอนยังรุ่งไม่สุงสิง ให้ง่วงงมลมใส่ใจวิงวิง ลงเอนหมอนนอนนิ่งไม่ติงกาย หลับสนิทถึงไหนก็ไม่รู้ ตื่นขึ้นดูสุริยาเวลาสาย ถึงห้วยจรเข้คิดนามขามระคาย กุมภีล์ร้ายฤๅไฉนจึงได้ฦๅ ฯ

๏ โอ้ย้ามจนข้นขอดไม่ปลอดโปร่ง จรเข้จรโขงฮุบไปเถิดไม่ถือ แค้นแต่อ้ายปลาซิวเท่านิ้วมือ มันร่ำรื้อตอดตับหนุบหนับไป เที่ยวประจบสบแยบแล้วแอบแฝง มีทุกแห่งทุกหนทนไม่ไหว มีคนเลี้ยงคนรักมักให้ใจ มันจึงได้หน้าตาออกซ่าซ้อง เรือมาตามคามนิคมชมสถาน ดูเรือนบ้านแน่นหนาสินค้าของ พอถึงพระปฐมด้วยสมปอง เรือทั้งสองฝั่งฟากดูมากมี จะหลีกลัดเข้าใกล้ไม่ตลอด ต้องแวะจอดที่ท่าหน้ากงสี ขุนพัฒน์ใหญ่ใส่บ่อนละคอนมี เสียงเขาตีพิณพาทย์ระนาดรัว เห็นเกลื่อนกล่นคนผู้ออกพรูพรั่ง เรือประดังจอดก่ายทั้งท้ายหัว พบนางหนูชู้กันเคยพันผัว มาได้ผัวผู้ดีมั่งมีเงิน พอเรือเคียงเลี่ยงหน้าไม่ปราไสย ครั้นถามไถ่ต่อว่าทำหน้าเจิ่น ให้สบถก็ไม่รับกลับว่าเอิน ใช้ให้เลินเล่อไยใครจะคอย เจ้าสำนวนปรวนแปรต้องแพ้เขา โอ้ใจเราก็ไม่คิดจะติดสอย จะรีบไปไหว้พระไม่ตะบอย เรียกเด็กน้อยจัดแจงตกแต่งกาย ฯ

๏ จัดธูปเทียนคนธ์ธารสุมาลย์มิ่ง ขึ้นตลิ่งพากันรีบผันผาย ตามสถลยลสถานร้านโรงราย แม่ค้าขายมาคล่ำทุกตำบล นั่งเรียบร้อยคอยรับสัปรุษ อุตลุดจ่ายจับกันสับสน สนุกสนานลานดูล้วนผู้คน เหมือนถนนธานีน่าปรีดิ์เปรม พวกสัปรุษสุดใจไปไหว้พระ ที่สาวสระทรวดทรงดังหงส์เหม พักตร์แฉล้มแย้มยิ้มดูอิ่มเอม แสนเกษมเบียดเสียดได้เฉียดชิม ที่เจนจัดดัดจริตไม่ราบคาบ ที่สุภาพก็เจียมเสงี่ยมหงิม นึกเอ็นดูอยู่แต่ที่สีทับทิม ดูจิ้มลิ้มนวลลอองเหมือนทองทา เข้าในลานชานที่เจดียฐาน งามตระหง่านสูงเยี่ยมเทียมเวหา เปนเชิงชั้นหลั่นลดรจนา มีศาลารายรอยเปนขอบคัน มีพระพุทธไสยาศิลาอ่อน เปนอย่างก่อนเก่าสร้างช่างขยัน มาแต่เมืองหงสาคือรามัญ อยู่เบื้องบันบูรพาศาลายง ที่ชั้นสองมีระเบียงดูเรียงเรียบ ทั้งระเบียบโบสถ์รามงามรหง มีเจดีย์ที่สองจำลองทรง อิกทั้งองค์ปรางค์สนองจำลองไว้ ด้วยเดิมเห็นเปนที่เจดียฐาน พระยาภาณเสริมสร้างเปนปรางค์ใหญ่ เดี๋ยวนี้ถมเปนที่เจดีย์ไป หวังจะให้คนเห็นอย่างเช่นเดิม ที่พระปฐมทำต่อก่อด้วยอิฐ สวมสนิทใหญ่ประมูลโบกปูนเสริม กระเบื้องลายพรายระยับประดับเติม เปนที่เฉลิมศรัทธาสาธุชน แต่ยังสวมยอดปรางค์อยู่อย่างนั้น แสงสุวรรณแวววาวห้องหาวหน ที่บนฐานลานระเบียงเสียงสวดมนต์ ทั้งเสียงคนตีระฆังประดังกัน ทั้งคฤหัสถ์พระสงฆ์ทรงสิกขา ต่างบูชาปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ ด้วยบารมีไตรรัตน์มหัศจรรย์ เปนมหันตะสักการโอฬารตา ฉันเกิดความปรีดีเปนที่สุด ประจงจุดเทียนธูปทั้งบุบผา ถวายพระบรมธาตุศาสดา ด้วยศรัทธาเลื่อมใสในสันดาน ศิโรราบกราบลงด้วยลงค์ห้า พร้อมวาจากายจิตต์อธิษฐาน ถึงคุณพระพุทธองค์ผู้ทรงญาณ ซึ่งนิพพานสุขดับล่วงลับไป ยังประทานบรมธาตุสาสนา โปรดประชาบำเพ็ญเปนนิไสย ข้าเกิดกายภายหลังขอตั้งใจ เหมือนได้ไหว้บัวบาทพระศาสดา แล้ววันทาสมาทานการกุศล ทั้งสวดมนต์อภิวาทปราถนา พอยามเย็นยินดีชุลีลา ไปหาพระยาสุธรรมไมตรี หยิบเงินบาทน้อมนบจบเกศา ขอบูชาคุณพระชินศรี เปนส่วนสร้างปรางค์ปฐมเจดีย์ ท่านสุธรรมซ้ำมีกรุณา ครั้นไต่ถามนามฉันท่านรู้จัก เลยชวนชักพูดกันด้วยหรรษา ท่านเล่าความให้ฟังแต่หลังมา พระธาตุปาฎิหารบันดาลเปน พระรัศมีศรีอร่ามงามนักหนา ยิ่งศรัทธาเลื่อมใสอยากใคร่เห็น แล้วอำลามาเรือด้วยเหลือเย็น จนพวกบ่อนละคอนเล่นเขาเลิกนาน ฉันหาเขาว่าพรุ่งนี้จะมีประโยชน์ เล่นสมโภชในที่เจดียฐาน เขาบอกว่าจะรีบกลับไปรับงาร ด้วยราชการลอยกะทงประสงค์มา ก็จนจิตต์คิดน่าน้ำตาไหล แต่เลื่อมใสแล้วยังคลาดวาสนา ครั้นพลบค่ำจุดดอกไม้ไฟบูชา ยังลานมหาพุทธรูปสถูปทรง ครั้นรุ่งขึ้นเปนวันปัณรสี แสนยินดีตักบาตรอังคาสสงฆ์ จัดผ้าเหลืองน้ำหอมพร้อมทองธง ไปยังองค์พระปฐมด้วยสมปอง บังคมคัลวันทามหาสถูป จุดเทียนธูปปักธงจำนงสนอง โปรยน้ำอบสรงพระประลออง แล้วถือทองเที่ยวปิดทุกทิศไป ฯ

๏ ขมาโทษโบสถ์รามตามวิหาร พระประธานปางก่อนพระนอนใหญ่ ปิดทองพระสระสรงทุกองค์ไป แล้วกราบไหว้อุทิศพิสดาร แล้วอำลามาไหว้พระลายลักษณ์ มีกงจักรประดับมุกสุกแสงฉาน ไหว้พระพุทธศิลาไสยาการ แล้วขึ้นฐานเจดีย์ที่ชุมชน จึงหยิบสามผืนผ้ากาสาวพัสตร์ น้อมมนัสพุทธคุณวิรุฬหผล จ้างเขาขึ้นไปพลันบนชั้นบน ห่มถึงจนฅอระฆังตั้งชุลี จึงจ้างพวกพิณพาทย์พิฆาฏโหม เสียงประโคมครื้นครั่นสนั่นมี่ แล้วทำประทักษิณด้วยยินดี ครบสามรอบชอบที่นิยมชม แล้วน้อมนบอภิวาทปราถนา เดชะข้าคารวะพระปฐม ด้วยกุศลล้นลบที่อบรม ขอให้สมเสร็จประโยชน์โพธิญาณ แม้วาสนาข้านี้ยังบกพร่อง ยังเที่ยวท่องอยู่ในวัฏสงสาร ขอเกิดในมงคลจักรวาฬ ขอพบพานสมเด็จพระพุทธองค์ พบทั้งพระปัจเจกโพธิ์ล้ำ พบพระธรรมพบพระอริยสงฆ์ ขอคบปราชญ์ปรีชาปัญญายง ขอซื่อตรงสัตยายบารมี หนึ่งบิดรมารดาสาโลหิต ทั้งเมียมิตรบุตรญาติทาสทาสี ให้ใจธรรมสัมมาทฤษฎี ร่วมไมตรีร่วมใจได้ทุกคน ขออย่าให้วิปลาศเหมือนชาตินี้ ได้เปนที่อุปถัมภ์ทำกุศล อันหญิงร้ายชายชาติทรซน ให้หลีกพ้นอย่าได้มาสมาคม ที่สิ่งไรทุจริตอย่าคิดสมัค ขอให้รักสุจริตสนิทสนม อย่าให้หลงโลกีย์ที่นิยม ให้อบรมไตรลักษณญาณ ทุกทุกชาติปราถนากว่าสำเร็จ สรรเพชญ์พ้นหลงในสงสาร แล้วแผ่ส่วนพระกุศลวิมลมาลย์ แก่สัตวทั่วทุกสถานทุกธาตรี ปราถนาเสร็จสบายแล้วผายผัน ขึ้นสู่ชั้นทักษิณพระชินศรี ไต่ตามแถวแนวตะพานนั่งร้านมี ถึงเจดีย์สูงเดี่ยวเสียวเสียวใจ พลางนั่งซุดหยุดดูแผ่นดินล่าง ยิ่งเวิ้งว้างแลลิ่วหวิวหวิวไหว เห็นริ้วริ้วทิวทุ่งถึงกรุงไกร ทั้งทิวไม้ทิวเขาลำเนาดง ต้นยางสูงยูงพยอมค้อมเรี่ยเรี่ย ดูต่ำเตี้ยกุฎีที่พระสงฆ์ ลมพัดพานปานจะตกให้งกงง ต้องรีบลงเร็วพลันมิทันช้า พาเด็กเด็กลดเลี้ยวเที่ยวออกนอก ตามเซาะซอกศีขรชง่อนผา เปนลดหลั่นชั้นช่องปล่องศิลา มีคูหาห้องรหงเที่ยววงเวียน รูปอาศรมสิทธาอยู่อาไศรย รูปวิไลยหลากหลากเหมือนฉากเขียน ท่านสร้างสรรค์โสภาดูอาเกียรณ์ รูปมณเฑียรกระษัตราพระยาภาณ เธอทรงช้างยกพหลพลพิฆาฏ พระบิตุราชพระยากงส์ปลงสังขาร ฆ่ายายหอมมารดาเลี้ยงมานาน ด้วยแจ้งการปกปิดซึ่งกิจจา อันเรื่องราวพระยาภาณนี้นานนัก คนรู้จักเล่ากันนั้นนักหนา ผิดกับพงศาวดารฉันอ่านมา สุดจะว่าให้ละเมียดละเอียดลออ ความไกลตาต่างกันกะนั้นกะนี้ จะเปนที่สงไสยอย่างไรหนอ สมุดสามสิบใส่ก็ไม่พอ ไม่มีข้อสำคัญนั้นอย่างไร แต่ที่นี้บัณฑิตเขาคิดเห็น เดิมจะเปนรามะคามพราหมณ์วิไสย จึงขุดได้ศิวลิงค์ที่พึงใจ ในต่ำใต้พระสุธาทั้งบาฬี เปนอักษรพราหมณ์เก่าเมื่อเขาเห็น แปลออกเปนคำพระชินศรี ซึ่งพระธาตุปาฏิหารบันดาลมี ที่ข้อนี้สำคัญมั่นแก่ใจ ด้วยผู้ญาณรู้เห็นเปนมหันต์ ควรอัศจรรย์ศรัทธาน่าเลื่อมใส อย่ากังขาพาบุญนั้นน้อยไป ควรกราบไหว้ปฏิบัติด้วยศรัทธา ค่ำวันนั้นฉันจุดดอกไม้เพลิงถวาย แล้วน้อมกายอภิวาทปราถนา จนยามเศษราตรีชุลีลา ลงนาวารีบกลับมาฉับพลัน ฉันไปไหว้พระปฐมบรมธาตุ แต่งนิราสไว้เปนกลอนอักษรสรรค์ ใครอ่านยลยินคำข้อสำคัญ ขอให้ปันส่วนกุศลทุกคนไป จงโมทนาแต่ที่จะมีผล แต่ข้างต้นอย่าผะวงคิดหลงใหล ซึ่งร่ำรักร่ำร้างมาอย่างไร ตามนิไสยนักกลอนแต่ก่อนกาล ไม่ติดสังวาสไว้ก็ไม่เพราะ เหมือนทองหยิบก็ต้องเหยาะน้ำตาลหวาน อ่านเล่นแต่พอหายวายรำคาญ อย่าประมาณหลงใหลในใจจง เปนเดียรัจฉานกถาวาจาเท็จ เบ็ดเตล็ดโลกีย์ที่ลุ่มหลง แม้โมหาก็จะพาให้ว่ายวง อยู่ในสงสารนานเหลือทานทน จะเกิดบาปแก่ฉันผู้พรรณา จงเลือกหาแต่สว่างทางมรรคผล ธรรมดาเกิดมาเปนตัวตน มิได้พ้นทุกข์อำนาจชาติชรา เมื่อเจ็บตายกายก็เหม็นเห็นประจักษ์ พระไตรลักษณ์นั้นแลจริงทุกสิ่งสา เปนอนิจจังทุกขังอนัตา เพราะตัณหาก่อทุกข์ให้ลุกลาม ด้วยรูปรสกลิ่นเกลี้ยงเสียงสำผัส เครื่องกำหนัดพาบาปล้วนหยาบหยาม ตัดตัณหาอย่าหลงผะวงกาม พยายามปฏิบัติตามอัษฎางค์ อาทิธรรมคือพระสัมมาทิษฐิ จนสัมมาสมาธิเร่งเสาะสาง จงทำตามคำพระอย่าละวาง เปนหนทางสู่สถานนิพพาน เอย.

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ