ชุดที่ ๓
ฉากอย่างเดิม แต่เครื่องแต่งขยับเขยื้อนไปบ้าง คือโต๊ะเล็กตั้งริมหน้าต่างข้างขวา ใช้เป็นโต๊ะเขียนหนังสือ โต๊ะกลางลากค่อนไปข้างขวา มีแผนที่วางบนนั้น กับมีเตียงผ้าใบอันหนึ่งตั้งริมฝาข้างขวา
(เมื่อเปิดม่าน ผู้บังคับการทหารศัตรูนอนอยู่บนเตียงผ้าใบ เครื่องสนามของเขานั้นได้ถอดแขวนไว้ที่หลังเก้าอี้ตัวหนึ่ง เกือกขี่ม้าถอดวางอยู่หน้าเตียง มีทหารยามถือปืนยืนอยู่ที่ประตูหลังที่เฉลียง เปิดม่านแล้วครู่หนึ่งปลัดกรมทหารศัตรูจึงเดินเข้ามาจากทางประตูซ้าย)
ปลัดกรม : | ท่านจะโปรดไต่สวนพวกไทยหรือยัง |
ผู้บังคับการ : | เอาสิ พาตัวเข้ามา |
ปลัดกรม : | ใครก่อน |
ผู้บังคับการ : | เอาตาแก่กับอ้ายบ่าวเข้ามาก่อน (ปลัดกรมออกไป แล้วพาพระภิรมย์กับอ้ายสีเข้ามาทางซ้ายมีทหารคุมเข้ามา ๒ คน ผู้บังคับการลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ริมโต๊ะเขียนหนังสือ ปลัดกรมนั่งที่ริมโต๊ะวางแผนที่ จดคำให้การไปพลาง) |
ผู้บังคับการ : | (ถามอ้ายสี) นี่แน่ะ เอ็งเข้าใจหรือเปล่าว่าเอ็งทำผิด |
อ้ายสี : | ฉันเข้าใจตรงกันข้าม ฉันเข้าใจว่าฉันทำถูก |
ผู้บังคับการ : | เอ็งจะทำถูกอย่างไร เอ็งทำร้ายทหารของข้าไม่ใช่หรือ |
อ้ายสี : | ฉันไปทำอะไรที่ไหน ยังไม่ได้ทำอะไรเลย |
ผู้บังคับการ : | ก็เองถือลูกปืนอยู่หรือเปล่า |
อ้ายสี : | ถือ |
ผู้บังคับการ : | ก็นั่นอย่างไรเล่า ยังจะไม่มีความผิดอีกหรือ |
อ้ายสี : | อุว๊ะ ก็ลูกปืนเปล่าๆ ไม่มีตัวปืนด้วย จะยิงแย็งอะไรใครได้ หรือแกจะหาว่าฉันเอาลูกปืนขว้างพวกแกตาย |
ผู้บังคับการ : | เอ็งไม่ต้องเล่นสำนวน เอ็งถือลูกปืนไว้ทำไม |
อ้ายสี : | ฉันอยากถือฉันก็จะถือ แกไม่ใช่นายฉัน |
ผู้บังคับการ : | เอ็งถือลูกปืนไว้ให้นายเอ็ง จริงไหม |
อ้ายสี : | จริงน่ะสิแก |
ผู้บังคับการ : | แล้วเอ็งยังจะยืนยันอยู่อีกหรือว่าไม่มีความผิด |
อ้ายสี : | ฉันไม่เห็นเป็นความผิดอะไร ฉันจะเก็บเอาปลอกลูกปืนไปเลี่ยมตะพดเล่นบ้างไม่ได้เจียวฤๅ |
ผู้บังคับการ : | เลี่ยมตะพดอะไรยังมีลูกตะกั่วอยู่ด้วย |
อ้ายสี : | ตะกั่วน่ะฤๅ ฉันเก็บไว้ให้พวกของแก เพราะเห็นใช้ออกยุ่งไปกลัวจะหมดเสีย ฉันจึงหาไว้ให้ |
ผู้บังคับการ : | อ้ายนี่พูดกวนโมโหจริงๆ ฟังไม่ได้เลย |
อ้ายสี : | ฉันก็ฟังแกพูดไม่ใคร่ได้เลยหมั่นไส้เหลือเกิน |
ผู้บังคับการ : | เฮ้ยนี่แน่ะ ข้าจะพูดให้ฟัง ในเวลานี้ชาติต่อชาติเขารบกันพวกทหารของข้าไม่ได้อยากที่จะทำร้ายราษฎรเมืองไทยเลย แต่ถ้าพลเมืองคนไหนทำผิด ขืนทำร้ายต่อทหารของข้า ข้าก็ต้องเอาโทษ เข้าใจไหม |
อ้ายสี : | แล้วก็อย่างไรเล่า |
ผู้บังคับการ : | ก็ตัวเอ็งทำผิด ฐานเป็นผู้ช่วยพระภิรมย์ทำร้ายพวกของข้าเพราะฉะนั้นโทษเอ็งผิด ข้าจะเอาไปยิงเสียก็ได้ |
อ้ายสี : | ก็แน่ละสิ หรือถึงฉันไม่มีผิดแกจะเอาไปยิงเสียก็ได้อีกเหมือนกัน เพราะแกมีกำลังจะทำอะไรๆ ก็ได้ |
ผู้บังคับการ : | นี่แน่ะ เอ็งอยากรอดตายไหม |
อ้ายสี : | ก็แน่สิ เป็นธรรมดา |
ผู้บังคับการ : | ดีละ ถ้าเช่นนั้นบอกข้าทีหรือ ว่ากำลังเสือป่าที่รักษาตะพานอยู่โน่นมีเท่าไร |
อ้ายสี : | อุว๊ะ เรื่องอะไรจะไปบอกแก พิลึกแฮะอ้ายหมอนี่ |
ผู้บังคับการ : | (โกรธ) อ้ายนี่ไม่กลัวตายหรือ |
อ้ายสี : | ก็ไม่กลัวน่ะสิวะ กลัวกูมิมุดหัวหนีไปเสียแล้วฤๅ แกไม่ต้องดูถูกคนไทยน่ะ |
ผู้บังคับการ : | อ้ายนี่พูดอวดดีจริง |
อ้ายสี : | ก็ใครอวดดีก่อนละพ่อเอ๋ย แกน่ะสิอ้ายตัวอสุรยักษ์ จะมากินตับคนไทยฤๅกูไม่กลัวเลย ทำอะไรก็ทำสิ ยิงเสียเดี๋ยวนี้ก็เอาสิกูไม่ต้องกลัวมึงเลยให้ตายโหงสิ |
ผู้บังคับการ : | พูดกับอ้ายนี่เปลืองปาก เอาตัวมันไป อีกประเดี๋ยวยิงเสียพร้อมกับนายมัน |
อ้ายสี : | เอาสิ เอาสิ ยิงเดี๋ยวนี้ก็เอาสิวะ อ้ายอสุรยักษ์ (ทหารลากตัวอ้ายสีออกไป) |
ผู้บังคับการ : | (ถามพระภิรมย์) นี่แน่ แกรู้ไหมว่าแกน่ะได้ทำผิดแบบธรรมเนียมการสงครามอย่างร้ายกาจ |
พระภิรมย์ : | ฉันไม่เข้าใจ |
ผู้บังคับการ : | แต่ต้องพยายามเข้าใจหน่อย ทำไมแกจึงยิงทหารของฉัน |
พระภิรมย์ : | เพราะเป็นข้าศึก |
ผู้บังคับการ : | แกไม่รู้หรือว่าแกน่ะไม่มีหน้าที่อะไรที่จะยิง |
พระภิรมย์ : | ฉันเข้าใจว่า ฉันมีหน้าที่ยิงพวกนายได้เท่ากันกับคนอื่นๆ |
ผู้บังคับการ : | เพราะเหตุไร |
พระภิรมย์ : | เพราะพวกของนายบุกรุกเข้ามาในเมืองไทย ฉันเป็นคนไทยคนหนึ่ง ฉันก็มีหน้าที่ต่อสู้ศัตรูของชาติไทย |
ผู้บังคับการ : | แกเป็นทหารฤๅ |
พระภิรมย์ : | เปล่า |
ผู้บังคับการ : | เป็นเสือป่าฤๅ |
พระภิรมย์ : | ไม่ได้เป็น |
ผู้บังคับการ : | ถ้าเช่นนั้นแกจะมีหน้าที่ต่อสู้กับพวกฉันได้อย่างไร |
พระภิรมย์ : | ฉันได้บอกนายแล้ว ฉันมีหน้าที่ต่อสู้เพราะเป็นคนไทย ฉันยิงพวกนายเพื่อป้องกันบ้านเมืองของฉันตามหน้าที่ผู้ชายชาวไทย |
ผู้บังคับการ : | เมื่อแกปรารถนาจะมีหน้าที่เป็นผู้ป้องกันชาติ ทำไมแกไม่เข้าเป็นทหาร |
พระภิรมย์ : | เพราะมีพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ฉันรับราชการพลเรือนอยู่แล้ว และอย่างไรๆ ก็ดี อายุฉันก็มากเกินที่จะเป็นทหารได้แล้ว |
ผู้บังคับการ : | ถ้าเช่นนั้นทำไมแกไม่เป็นเสือป่า |
พระภิรมย์ : | เพราะฉันเป็นบ้า ไม่รู้สึกประโยชน์ของเสือป่า จนเกิดสงครามขึ้นแล้วฉันจึงแลเห็นประโยชน์ |
ผู้บังคับการ : | เมื่อแกไม่ได้เป็นทหาร และไม่ได้เป็นเสือป่าทั้งสองอย่างเช่นนั้น ต้องแปลว่าแกได้สละอำนาจอันชอบธรรมของแกที่จะรบ เพราะฉะนั้น แกไม่มีอำนาจอันชอบธรรมหรือหน้าที่จะยิงพวกฉันเลย |
พระภิรมย์ : | ทำไม ฉันเป็นคนไทยคนหนึ่งเหมือนกัน จะไม่มีอำนาจอันชอบธรรมที่จะต่อสู้ศัตรูแห่งชาติไทยฤๅ ฉันไม่มีอำนาจอันชอบธรรมที่จะป้องกันบ้านเมืองของฉันฤๅ |
ผู้บังคับการ : | คนอย่างแกไม่มีอำนาจอันชอบธรรมแม้แต่จะป้องกันชาติของแก แกเท่ากับไม่ใช่คน แกเหมือนปศุสัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น |
พระภิรมย์ : | (โกรธมาก) เอ๊ะ! นายนี่ ทำไมต้องดูถูกฉันอย่างนี้ |
ผู้บังคับการ : | เพราะแกมีโอกาสแล้วที่จะทำตนให้เป็นผู้มีอำนาจอันชอบธรรมที่จะป้องกันชาติได้ แต่แกไม่ถือเอาโอกาสนั้น ถึงแกไม่มีโอกาสรับราชการเป็นทหาร แกก็ควรจะเข้าเป็นเสือป่าได้ นี่ทหารแกก็ไม่ได้เป็น เสือป่าแกก็ไม่ได้เป็น แกละทิ้งโอกาสหมดแล้ว ดังนี้ แกก็ควรจะเว้นจากการจับอาวุธขึ้นรบ นี่แกบังอาจจับอาวุธขึ้นรบโดยไม่มีอำนาจอันชอบธรรมเช่นนี้ ฉันไม่เห็นว่าแกจะมีทางแก้ตัว ให้พ้นความผิดไปได้อย่างไร |
พระภิรมย์ : | ข้อความที่นายกล่าวมานั้น ฉันยอมรับว่าเป็นความจริงอยู่มากฉันเป็นคนที่มีความคิดสั้น เพราะเห็นแก่ตัวมากเกินไป แต่เมื่อฉันเลยมาเสียแล้วจะทำอย่างไรได้ ส่วนข้อที่นายว่าฉันไม่มีหน้าที่จะต่อสู้พวกของนายนั้น ฉันยังรู้สึกอยู่ในใจว่าฉันไม่ได้ทำความผิดในข้อนี้ เพราะฉันเห็นว่าฉันเหมือนพวกเจ้าของบ้านที่ถูกโจรมาปล้น การที่ฉันจะต่อสู้โจรที่ปล้นที่บ้าน ฉันไม่รู้สึกเป็นความผิดอันใด |
ผู้บังคับการ : | แกจะเปรียบพวกฉันกับโจรไม่ถูก เพราะฉันมาโดยเปิดเผยตามแบบธรรมเนียมการสงคราม ส่วนแกเองนั้นแหละประพฤติเหมือนผู้ร้ายที่ลอบฆ่าคนโดยเจตนา ตามกฎสงครามแกไม่ควรได้รับความกรุณาอย่างหนึ่งอย่างใดเลย |
พระภิรมย์ : | ก็แล้วอย่างไรเล่า |
ผู้บังคับการ : | ถ้าฉันจะให้เอาตัวแกไปยิงเสียทันทีก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร |
พระภิรมย์ : | ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่เอง เพราะฉันอยู่ในเงื้อมมือนายแล้วเหมือนลูกนกจะบีบเสียก็ตายเท่านั้น |
ผู้บังคับการ : | แกเข้าใจเช่นนั้นก็ดีแล้ว แต่นี่แน่ะฉันจะบอกอะไรให้ ฉันเป็นศัตรูก็จริง แต่ฉันก็มีใจกรุณาได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นฉันจะให้โอกาสแกรอดตายได้ทางหนึ่ง แต่แกต้องให้อะไรฉันเพื่อแลกกับชีวิตของแก |
พระภิรมย์ : | ฉันจะมีอะไรให้นายได้ ฉันไม่ใช่มหาเศรษฐีมีทรัพย์ฝังไว้ที่ไหน มีก็แต่พอกินเท่านั้น ส่วนของในบ้านนี้ก็เท่ากับเป็นของนายหมดแล้ว พวกของนายค้นเสียออกกระจัดกระจายทั่วบ้านแล้วตั้งแต่ห้องนอนถึงครัวไฟ |
ผู้บังคับการ : | ก็ไม่เห็นสู้เป็นประโยชน์อะไรหนักหนา ในครัวไฟของแกก็มีแต่อาหารที่พวกแกกินได้ แต่พวกฉันแม้ได้กลิ่นก็แทบรากแตก เช่นปลาเน่าเป็นต้น |
พระภิรมย์ : | ก็พวกฉันกินกันอย่างนั้น กะปิปลาร้าที่นายเรียกว่าปลาเน่านั้นมันเป็นอาหารสำคัญของพวกฉัน ฉันก็หาไว้อย่างนั้น ถ้าฉันรู้ล่วงหน้าว่านายจะมาหาฉันก็จะได้หาของชนิดที่นายกินได้เตรียมไว้ให้พร้อม |
ผู้บังคับการ : | แล้วบางทีจะโรยสารหนูไว้พร้อมในของกินนั้นด้วยกระมัง (หัวเราะ) แกนี่เป็นตาแก่ที่ออกจะช่างพูดอยู่บ้าง ฉันก็ไม่ใคร่อยากยิงแกเสียดอก เอาไว้ฟังแกคุยเล่นก็จะสนุกดี แต่นี่แน่พูดธุระกันต่อไปเถอะ ที่ฉันต้องการแลกเปลี่ยนกับชีวิตแกคือความรู้บางอย่าง |
พระภิรมย์ : | ความรู้นายคงมีมากกว่าฉันอยู่แล้วเป็นแน่ ฉันจะมีอะไรไปสำแดงให้แก่นายได้ |
ผู้บังคับการ : | มีการบางอย่างที่แกอาจจะรู้ได้ดีกว่าฉัน เช่นข่าวคราวอันเกี่ยวด้วยเรื่องกองทหารหรือเสือป่าเป็นต้น |
พระภิรมย์ : | นายก็รู้อยู่เองแล้ว ว่าฉันไม่ได้เป็นทั้งเสือป่าทั้งทหาร จะให้ฉันรู้เรื่องทหาร เรื่องเสือป่าได้อย่างไร |
ผู้บังคับการ : | ถ้ารู้ได้บ้างจะดี |
พระภิรมย์ : | จริงสินาย แต่ถ้าฉันไม่รู้จริงๆ จะทำอย่างไร |
ผู้บังคับการ : | ถ้าเช่นนั้นเป็นอันจนใจอยู่เอง แต่ฉันจะเลือกถามแต่ข้อที่แกควรจะรู้ได้ |
พระภิรมย์ : | ฉันเห็นว่าถ้าจะถามดูก็จะเสียเวลาเปล่า เพราะฉันไม่รู้อะไรเลย |
ผู้บังคับการ : | คงจะต้องรู้บ้าง เป็นต้นว่า ทหารที่จะยกมาช่วยกรมที่อยู่มณีบูรณ์นี้ จะมาทางไหนได้บ้าง |
พระภิรมย์ : | มีทางๆ ไหนเขาก็คงมาทางนั้น |
ผู้บังคับการ : | จริงของแก แต่แกเดาไม่ถูกบ้างเลยหรือว่าจะมาทางใด |
พระภิรมย์ : | ฉันไม่ใช่แม่ทัพ จะรู้ได้อย่างไร |
ผู้บังคับการ : | แกไม่เคยดูเขาซ้อมรบบ้างฤๅ |
พระภิรมย์ : | เคย |
ผู้บังคับการ : | ก็เมื่อซ้อมรบเขาเดินทางไหน |
พระภิรมย์ : | เดินตามทางเกวียน |
ผู้บังคับการ : | ทางเกวียนไหน |
พระภิรมย์ : | ทางเกวียนที่เกวียนเดิน |
ผู้บังคับการ : | รู้แล้ว แต่ทางไหน |
พระภิรมย์ : | ก็แล้วแต่นายทหารเขาจะเลือก |
ผู้บังคับการ : | เออก็เขาเลือกทางไหนเล่า |
พระภิรมย์ : | บางทีก็ทางโน้น บางทีก็ทางนี้ |
ผู้บังคับการ : | เอ๊ะ! แกนี้พูดด้วยลำบากจริง |
พระภิรมย์ : | นายก็เหมือนกัน ฉันพูดกับนายก็รู้สึกลำบากมาก |
ผู้บังคับการ : | เอาเถอะเรื่องการทหารแกจะว่าไม่รู้ก็ตามที แต่เรื่องเสือป่าแกคงจะรู้มากกว่ากระมัง |
พระภิรมย์ : | เปล่า คงเหลวเท่ากันอีกนั่นแหละ |
ผู้บังคับการ : | นี่แปลว่าแกจะไม่ตอบอย่างนั้นฤๅ |
พระภิรมย์ : | นายจะแปลอย่างไรก็ตามใจนายสิ |
ผู้บังคับการ : | ฮือ! นี่แกเห็นจะไม่รักชีวิตกระมัง |
พระภิรมย์ : | พุทโธ่! ชีวิตใครจะไม่รัก |
ผู้บังคับการ : | ก็ถ้าเช่นนั้นทำไมแกไม่พยายามถ่ายชีวิตแก |
พระภิรมย์ : | นี่แน่นาย ฉันจะขอถามอะไรนายตรงๆ สักหน่อย ถ้าต่างว่าจะกลับกันเสียละ ต่างว่าพวกนายจับตัวนายไปได้ แล้วถามนายอย่างนายถามฉันบ้าง นายจะตอบไหม (ผู้บังคับการแลดูพระภิรมย์นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเรียกปลัดกรม ปลัดกรมลุกไปที่ผู้บังคับการนั่ง ผู้บังคับการกระซิบสั่งอะไรอันหนึ่ง ปลัดกรมพยักหน้าแล้วออกไปทางซ้าย สักครู่หนึ่งจึงพาแม่แย้มกับแม่อุไรเข้ามาทางซ้าย) |
ผู้บังคับการ : | (ลุกยืนขึ้นคำนับ แล้วยกเก้าอี้ไปให้แม่แย้ม) เชิญนายผู้หญิงนั่ง (ยกอีกตัวหนึ่งไปให้แม่อุไร) เชิญหล่อนนั่ง ฉันต้องขอโทษในการที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยต่อหน้าท่านทั้งสอง แต่รองเท้าฉันได้สวมอยู่สี่สิบแปดชั่วโมงแล้ว พึ่งจะได้ถอดเมื่อเข้ามาถึงบ้านของท่านนี้เอง ต้องขอโทษนะจ๊ะ |
อุไร : | (ก้มหัว) คุณแม่กับฉันไม่ถือ |
ผู้บังคับการ : | ขอบใจ ขอบใจมาก (นั่ง) ฉันมีความเสียใจจริงๆ ที่ต้องมาพบกันในหน้าที่เป็นอมิตรต่อกันเช่นนี้ เชื่อว่าถ้าแม้ได้พบกันในเวลาที่สงบเรียบร้อย คงจะถูกอัธยาศัยกันเป็นแน่ นายผู้หญิงเป็นภรรยาท่านพระภิรมย์ไม่ใช่ฤๅ |
แย้ม : | จ้ะ |
ผู้บังคับการ : | หล่อนเป็นบุตรสาวของท่านไม่ใช่ฤๅ |
อุไร : | จ้ะ |
ผู้บังคับการ : | ฉันมีความเสียใจมากที่จะต้องบอกแก่ท่านทั้งสอง ว่าท่านพระได้ประพฤติผิดต่อกฎสงครามเป็นข้อฉกรรจ์ คือได้จับอาวุธขึ้นต่อสู้โดยไม่มีหน้าที่ควรจะทำได้เลย เพราะท่านไม่ได้เป็นทหารหรือเสือป่า ตามแบบธรรมเนียมการสงครามผู้ที่จะนับได้ว่าเป็นพลรบต้องมีเครื่องแต่งตัวอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งสังเกตเห็นได้ถนัด นี่ท่านพระไม่มีเครื่องแต่งตัวอย่างทหารหรือเสือป่าเลย แต่งเหมือนราษฎรธรรมดาซึ่งไม่มีหน้าที่รบเลยท่านทั้งสองเข้าใจไหม |
อุไร : | เข้าใจแล้ว |
ผู้บังคับการ : | ฉันไม่ใคร่จะอยากพูดต่อไปเลย แต่เห็นว่าถึงอย่างไรๆ ท่านทั้งสองก็คงจะต้องรู้เวลาหนึ่ง เพราะฉะนั้นบอกให้รู้ตัวเวลานี้ดีกว่า |
พระภิรมย์ : | ขอโทษเถอะนาย อย่าบอกเลย ขอความกรุณาจัดการให้บุตรภรรยาฉันได้ไปเสียให้พ้นจากที่นี้ก่อน แล้วท่านจะทำอย่างไรๆ กับฉันก็ตามใจทั้งสิ้น |
ผู้บังคับการ : | ฉันมีความเสียใจจริงๆ ที่จะปล่อยนายผู้หญิงทั้งสองไปไม่ได้ เพราะท่านต้องเข้าใจว่าฉันก็ต้องระวังไม่ให้พวกทหารฝ่ายท่านรู้เรื่องราวข้างฝ่ายฉันเหมือนกัน ฉันมีความเสียใจที่ต้องประพฤติกิริยาไม่ดีต่อนายผู้หญิงเช่นนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ การสงครามต้องระวังรอบข้างอยู่เป็นธรรมดา |
พระภิรมย์ : | การสงครามเป็นกิจระหว่างผู้ชายต่อผู้ชาย ทำไมจะต้องให้ผู้หญิงต้องพลอยเดือดร้อนด้วย |
ผู้บังคับการ : | ฉันไม่ชอบเลยในการที่จะทำให้หญิงต้องรับความเดือดร้อน และถ้าผ่อนผันได้เพียงใดแล้ว ฉันก็อยากจะผ่อนผันเพียงนั้น แต่ท่านพระต้องเข้าใจว่าผู้หญิงก็มีปากเหมือนกัน อาจจะเก็บข้อความอะไรๆ ไปเล่าได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าฉันจะกักขังไว้ตลอดงานสงคราม พอพวกฉันไปพ้นที่นี่แล้ว นายผู้หญิงทั้งสองจะไปไหนก็ไปได้ |
พระภิรมย์ : | ถ้าผู้หญิงเขาสัญญาว่าจะไม่พูด จะไม่พอฤๅ |
ผู้บังคับการ : | ชอบกลอยู่ นี่แน่ะท่านพระ ฉันจะบอกอะไรให้ ถ้าท่านจะยอมตามที่ฉันขอเมื่อแต่กี้นี้แล้วละก็ฉันจะยอมใจดีให้มากๆ ไม่ใช่แต่จะยกโทษตัวท่านพระ ทั้งนายผู้หญิงทั้งสองคน ฉันก็จะปล่อยให้ไปได้ตามปรารถนาทันที |
พระภิรมย์ : | เลิกกัน ไม่ต้องพูดอีก |
ผู้บังคับการ : | อ้าวๆ ก็อย่างนี้เสียนี่นะ ฉันผ่อนผันให้ดีๆ ไม่เอา ฉันอยากจะกรุณาก็ไม่ชอบ |
พระภิรมย์ : | ฉันไม่ต้องการความกรุณาของท่าน |
อุไร : | คุณพ่อคะ เขาจะทำอะไร |
พระภิรมย์ : | เขาจะให้พ่อขายชาติ |
อุไร : | อะไรอย่างนั้น |
ผู้บังคับการ : | ท่านพระก็พูดรุนแรงเกินไปกว่าที่จำเป็น |
อุไร : | ท่านต้องการให้ทำอย่างไร |
ผู้บังคับการ : | ฉันถามปัญหาอะไรสองสามข้อ ขอให้ท่านพระตอบ ท่านพระไม่ยอมตอบ |
พระภิรมย์ : | ก็ถามถึงทหารถึงเสือป่าฝ่ายเรา จะให้พ่อตอบอย่างไร |
อุไร : | ที่คุณพ่อไม่ตอบนั่นควรอย่างยิ่ง (พูดกับผู้บังคับการ) แล้วก็อย่างไรกันต่อไป |
ผู้บังคับการ : | ฉันได้ชี้แจงแล้วว่า โทษพ่อหล่อนฉกรรจ์มาก ตามกฎสงครามพ่อต้องถึงตาย |
อุไร : | อุ๊ยตายจริง คุณแม่ (จับมือแม่กำไว้ ทั้งแม่ทั้งลูกท่าทางตกใจมาก) |
ผู้บังคับการ : | ถ้าพ่อหล่อนตอบสองสามคำเท่านั้นพอแล้ว ฉันจะยอมยกชีวิตให้ หล่อนช่วยพูดจากับพ่อหล่อนสักหน่อยไม่ได้ทีเดียวฤๅ |
อุไร : | (พูดเสียงเครือ) ไม่ได้ ดิฉันเป็นหญิงก็จริง แต่ดิฉันเป็นคนไทย ถึงจะเสียพ่อคนหนึ่งก็ดีกว่าจะเสียความเป็นพลเมืองดี |
ผู้บังคับการ : | (พูดกับแม่แย้ม) นายผู้หญิงจะว่าอย่างไร นายจะปล่อยให้ผัวตายฤๅ จะไม่ช่วยพูดจาว่ากล่าวบ้างฤๅ (แม่แย้มสั่นหัวแล้วก้มหน้าร้องไห้ ผู้บังคับการนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อไป) ท่านพระไม่สงสารลูกเมียของท่านบ้างฤๅ |
พระภิรมย์ : | ก็สงสาร แต่จะทำอย่างไรได้ ถึงคราวเคราะห์แล้วก็ต้องเป็นไปตามยถากรรม (เดินไปหาเมียกับลูก) แม่แย้ม แม่อุไร ฉันมันถึงอายุขัยแล้ว ต้องก้มหน้าไปตาย อย่าเสียอกเสียใจไปเลย คนเราเกิดมาก็ต้องตายทุกคน ผิดกันแต่ตายร้ายตายดีเท่านั้น คราวนี้ฉันไม่เสียดายชีวิตเลย นึกว่าสละเลือดเนื้อถวายเป็นราชพลี ขอให้จำไว้ว่าฉันตายโดยมั่นอยู่ในความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงชุบเลี้ยงมา มีพระเดชพระคุณหาที่เปรียบมิได้ ไม่มีอะไรที่จะถวายเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวีอีกแล้วนอกจากชีวิต |
แย้ม : | โธ่คุณ! (ร้องไห้) |
พระภิรมย์ : | แม่แย้ม อย่า อย่าร้องไห้ ทำใจดีไว้ ไม่ช้าก็จะได้พบกันอีกในโลกหน้า สิ่งใดที่ฉันได้พูดหรือทำล่วงเกินหล่อนแล้ว ฉันขอสมาลาโทษเสียเถิด สิ้นฉันไปแล้วหล่อนเป็นผู้ใหญ่ช่วยปกครองวงศาคณาญาติด้วยนะ |
อุไร : | คุณพ่อ! |
พระภิรมย์ : | อุไรลูกรักของพ่อ ตั้งแต่เล็กๆ มาแล้ว หล่อนเคยบ่นอยู่เสมอว่าอยากเป็นผู้ชาย คราวนี้ถึงเวลาแล้วที่หล่อนจะต้องทำใจกล้าหาญอย่างผู้ชาย เวลาต่อไปเมื่อหล่อนเองจะได้มีลูกมีเต้าแล้วสอนลูกหล่อนให้มันรู้สึกด้วยว่าตาของมันเกิดมาไม่เสียชาติ ได้ยอมสละชีวิตดีกว่าที่จะยอมเอาใจออกหากจากเจ้าข้าวแดงแกงร้อน สอนให้ลูกหล่อนมีความมั่นคงจงรักภักดีในพระเจ้าอยู่หัวของเรา ให้รู้จักรักบ้านเมืองของเราถือมั่นคงอยู่ในพระพุทธศาสนา ยอมตายเสียดีกว่าที่จะบกพร่องในข้อเหล่านี้ (ผู้หญิงทั้งสองไหว้พระภิรมย์ แล้วร้องไห้ ผู้บังคับการศัตรูลุกขึ้นเดินไปยืนมองที่หน้าต่างสักครู่หนึ่ง แล้วยักไหล่ หันหน้าพยักเรียกปลัดกรมมาพูดกระซิบกันอีก ปลัดกรมออกไปทางซ้าย แล้วพานายสวายกับเน้ยเข้ามา ทั้งสองนี้ท่าทางดูกลัวมาก) |
ผู้บังคับการ : | (พูดกับเน้ย) แม่คนนี้ใคร |
เน้ย : | ดิฉันเป็นเมียคุณพระภิรมย์ |
ผู้บังคับการ : | ท่านพระได้ประพฤติผิดต่อกฎสงครามอย่างร้ายแรงรู้ไหม |
เน้ย : | ทราบแล้ว พี่ชายฉันเล่าให้ฟัง เขาว่าเขาห้ามคุณพระแล้วไม่ให้ยิง คุณพระก็จะขืนยิง |
ผู้บังคับการ : | อ้อ ถ้าเช่นนั้นพี่ชายหล่อนได้บอกด้วยหรือเปล่าว่าท่านพระนั้นโทษถึงตาย |
เน้ย : | บอก |
ผู้บังคับการ : | ก็แล้วหล่อนจะว่ากระไร |
เน้ย : | ดิฉันจะไปว่ากระไรได้ ดิฉันเป็นผู้หญิงจะทำอะไรได้ |
ผู้บังคับการ : | ถ้าหล่อนทำประโยชน์ให้แก่ผัวก็พอจะทำได้ |
เน้ย : | จะทำอย่างไร |
ผู้บังคับการ : | ตอบคำถามอะไรนิดเดียวเท่านั้น คือเสือป่าที่ยึดตะพานอยู่นั้นมีกำลังประมาณสักเท่าใด |
เน้ย : | ดิฉันจะทราบอย่างไรได้ |
ผู้บังคับการ : | หล่อนพอจะคะเนได้ เพราะกองเขามาตั้งอยู่ที่นี่ก่อนไม่ใช่ฤๅ |
เน้ย : | ดิฉันคะเนไม่ถูก |
ผู้บังคับการ : | แน่ฤๅ |
เน้ย : | ดิฉันคะเนไม่ถูก |
ผู้บังคับการ : | (ยักไหล่ แล้วหันไปพูดกับสวาย) ก็แกเล่า |
สวาย : | อะไร |
ผู้บังคับการ : | แกจะคะเนกำลังเสือป่าถูกไหม |
สวาย : | ฉันไม่ทราบ |
ผู้บังคับการ : | ลองคะเนดูทีเถอะ |
สวาย : | คะเนไม่ได้ |
ผู้บังคับการ : | นี่แน่ะ ถึงแกจะไม่รักชีวิตพ่อแก ชีวิตของแกเองแกคงจะรักบ้างกระมัง |
สวาย : | (สะดุ้ง) ฉันมีความผิดอย่างไร |
ผู้บังคับการ : | แกเป็นพลเรือน ไม่ควรจะเกี่ยวข้องในการรบ แกได้รบ เพราะฉะนั้นแกมีความผิด |
สวาย : | ฉันไม่ได้รบเลย ให้ฟ้าผ่าสิ |
ผู้บังคับการ : | ไม่ได้รบทำไมถือปืนอยู่ในมือเมื่อพวกฉันเข้ามาในบ้านนี้ |
สวาย : | ปืนของเสือป่าที่ถูกอาวุธ เขาฝากให้ถือไว้ให้เขา |
ผู้บังคับการ : | แกจะให้ฉันเชื่อฤๅ |
เน้ย : | ความจริงเป็นเช่นนั้น |
พระภิรมย์ : | ฉันไม่เชื่อเลย (ตบมือ นายร้อยตรีเข้ามาจากเฉลียง) เอานักโทษคนนี้ไปยิงเสียเดี๋ยวนี้ (นายร้อยตรีคำนับ แล้วตรงไปจะไปจับตัวนายสวาย เน้ยร้องกรี๊ดเข้าไปกอดไว้ พระภิรมย์ แม่แย้ม แม่อุไร ตะลึงแลดู ผู้บังคับการยิ้มกับปลัดกรม) |
เน้ย : | พ่อสวาย จะดื้อไปทำไม ตอบท่านผู้บังคับการเสียก็แล้วกัน |
พระภิรมย์ : | นางเน้ย นั่นกงการอะไรของมึง |
เน้ย : | พุทโธ่ ยังหนุ่มๆ แน่นๆ จะมาตายเสียเปล่าๆ ทำไม |
พระภิรมย์ : | นางเน้ย นี่มึงเป็นชู้กับอ้ายสวายฤๅ |
เน้ย : | จะมาซักไซ้เอาถ้อยเอาความอะไร อีกประเดี๋ยวคุณพระก็จะต้องตายอยู่แล้ว |
พระภิรมย์ : | (โกรธใหญ่) มึง! อีกากี! อีกากี! (จะถลันไปแต่ทหารยึดตัวไว้) |
ผู้บังคับการ : | (พูดกับนายร้อยตรี) อย่างไรไม่เอาตัวไป (นายร้อยตรีเข้าจับแขนนายสวาย) |
สวาย : | ประเดี๋ยวก่อน นายขอรับ นายอยากจะทราบอะไร |
ผู้บังคับการ : | กำลังเสือป่าที่รักษาตะพานนั้น มีประมาณสักเท่าใด ถ้าบอกดีๆ ฉันจะปล่อยตัวไป |
สวาย : | ประมาณสักกองร้อยหนึ่ง |
พระภิรมย์ : | (โกรธ) อ้ายอกตัญญู! อ้ายชาติเดียรัจฉาน! อ้าย-(เดินจะไปทหารรั้งไว้อีก) |
ผู้บังคับการ : | อย่าอึง! ฉันกำลังอยากฟังข้อความสำคัญอยู่ ท่านพระก็มาส่งเสียงอึงไปได้ (หันไปพูดกับสวาย) กองร้อยหนึ่งประมาณพลเท่าใด |
สวาย : | เดิมมีราว ๑๒๐ คน แต่ทิ้งไว้ที่นี่บ้าง ตายเสียแล้วบ้าง คงจะเหลือราวร้อยคน |
ผู้บังคับการ : | ขอบใจ ขอบใจมาก (พูดกับปลัดกรม) จัดให้ไปเท่าที่กะกันไว้เดิมก็พอแล้ว |
ปลัดกรม : | ให้ไปเดี๋ยวนี้หรือขอรับ |
ผู้บังคับการ : | ก็ได้ จะได้ไม่ต้องรีบร้อน |
ปลัดกรม : | ผมจะไปสั่งเดิน (ออกไปทางหลัง) |
ผู้บังคับการ : | นายสวาย แกเป็นคนฉลาดกว่าพ่อ และยอมตอบปัญญาของฉันตามปรารถนา เพราะฉะนั้น ฉันยอมยกชีวิตให้แก (พูดกับนายร้อยตรี) พาคนๆ นี้ไปปล่อยนอกแนวของเรา |
เน้ย : | ดิฉันเล่า |
ผู้บังคับการ : | ถ้าหล่อนจะไปด้วยกับชู้รักของหล่อน ฉันก็อนุญาต |
พระภิรมย์ : | ท่านผู้บังคับการ ผมเองนี้ไหนๆ ก็จะต้องตายอยู่แล้ว ผมขอความกรุณาอะไรสักนิดจะได้หรือไม่ |
ผู้บังคับการ : | จะต้องการอะไร |
พระภิรมย์ : | อ้ายคนนั้นผมได้ให้กำเนิดมัน มันเป็นลูกที่ผมรักใคร่ไว้วางใจอย่างเอก มันก็ยังสมนาคุณผมโดยเป็นชู้กับเมียผมได้ ส่วนข้อนั้นผมก็ยังจะพอยกโทษมันได้ เพราะเป็นความผิดของผมที่แก่ป่านนี้แล้ว อยากจะสาระแนมีเมียสาว จะให้เขารักเขาใคร่อย่างไร แต่อ้ายคนนั้นมันมีความผิดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่มีข้อใดจะลบล้างได้คือมันได้เอาชาติของมันแลกกับชีวิตของมัน มันรักตัวมันยิ่งกว่าบ้านเมือง มันไม่ควรมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ผมขออนุญาตฆ่ามันด้วยมือของผมเองเดี๋ยวนี้ทีเดียว |
ผู้บังคับการ : | ท่านพระ การที่ท่านโกรธครั้งนี้ฉันก็เห็นด้วย ฉันเห็นอ้ายคนนั้นมันเลวกว่าหมา แต่ฉันจะยอมให้ท่านพระทำร้ายเขาเช่นนั้นไม่ได้เพราะผิดธรรมเนียม ฉันได้ลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะปล่อยเขา ฉันต้องปล่อย (พูดกับนายร้อยตรี) พาอ้ายกากมนุษย์นี่ไป กับอีหื่นนี่ด้วย ดูให้มันไปให้พ้น อย่าให้มันมาอยู่ในหมู่เรา คนอัปรีย์อย่างนี้ไม่ต้องการเอาไว้ รีบไล่ไปนะ |
นายร้อยตรี : | ขอรับ (พานายสวายกับเน้ยออกไปด้านหลัง) (ปลัดกรมกลับเข้ามา) |
ผู้บังคับการ : | ส่งกองไปแล้วฤๅ |
ปลัดกรม : | ไปแล้ว |
ผู้บังคับการ : | เออ มีคนอีกคนหนึ่งที่อ้างว่าได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่ฝ่ายเราไม่ใช่ฤๅ |
ปลัดกรม : | คอยอยู่ข้างนอก ไปตามตัวมาหรือขอรับ (ผู้บังคับการพยักหน้า ปลัดกรมออกไปทางซ้าย แล้วพานายซุ่นเบ๋งเข้ามา นายซุ่นเบ๋งในชุดนี้แต่งตัวนุ่งกางเกงและใส่เสื้ออย่างฝรั่ง ใส่เชิ้ตผูกผ้าผูกคอ อย่างแบบพวกจีนสมัยใหม่) |
ผู้บังคับการ : | (พูดกับนายซุ่นเบ๋ง) แกอ้างว่าแกได้ทำประโยชน์ให้แก่ฉัน แกได้ทำอะไร |
ซุ่นเบ๋ง : | (แลดูพระภิรมย์แล้วจึงตอบ) ผมเห็นว่าควรจะเรียนแก่ท่านผู้บังคับการโดยลำพัง |
ผู้บังคับการ : | พูดไปเถอะ ไม่เป็นไร ท่านพระนั่นแกจะเก็บเรื่องไปเล่าอีกไม่ได้เลย เพราะแกจะต้องตายอยู่แล้ว |
ซุ่นเบ๋ง : | ก็ผู้หญิงสองคนนั่นเล่าขอรับ |
ผู้บังคับการ : | ช่างเขาเถอะ จะเล่าอะไรก็เล่าไป ฉันยิ่งมีเวลาน้อยอยู่ |
ซุ่นเบ๋ง : | เมื่อพวกท่านยกข้ามทุ่งมานั้น นายหมู่เอกหลวงมณีราษฎร์บำรุง ผู้บังคับกองเสือป่า ได้ใช้ให้คนถือใบแจ้งเหตุไปบอกกองทหาร แต่คนถือหนังสือนั้นพอออกไปพ้นเรือนนี้แล้วหน่อยเดียวก็ถูกยิงตาย |
ผู้บังคับการ : | ก็แล้วอย่างไร |
ซุ่นเบ๋ง : | ผมเองเป็นผู้ยิง (ใครๆ ตะลึงกันครู่หนึ่ง) |
พระภิรมย์ : | อ้ายคนนี้เป็นผู้ร้ายยิงลูกฉัน ขอความยุติธรรม ต้องขอความยุติธรรม |
ผู้บังคับการ : | ท่านพระเงียบๆ หน่อย (พูดกับซุ่นเบ๋ง) แกยิงเขาเพราะเหตุไรประสงค์อะไร |
ซุ่นเบ๋ง : | ก็สำหรับที่จะไม่ให้ใครกล้าไปอีก กองของท่านจะได้ไม่ต้องลำบากมากไป |
ผู้บังคับการ : | ใครใช้ให้ยิง |
ซุ่นเบ๋ง : | ไม่มีใครใช้ ผมคิดถึงพระเดชพระคุณท่าน ผมจึงทำเพื่อฉลองพระเดชพระคุณ |
ผู้บังคับการ : | ฉันจะมีบุญคุณอะไรกับแกได้ ฉันยังไม่รู้จักแกสักที |
ซุ่นเบ๋ง : | ผมเป็นคนในบังคับท่าน |
ผู้บังคับการ : | อ้อ ลงทะเบียนที่ไหน |
ซุ่นเบ๋ง : | ที่ท่านกงสุลที่กรุงเทพฯ |
ผู้บังคับการ : | แกเป็นไทยทำไมไปลงทะเบียนเป็นคนในบังคับรัฐบาลของฉัน |
ซุ่นเบ๋ง : | พ่อผมเป็นจีนในบังคับท่าน |
ผู้บังคับการ : | อ้อ! แกเป็นคนในบังคับรัฐบาลฉันแน่ฤๅ |
ซุ่นเบ๋ง : | แน่ขอรับ ไม่มีข้อสงสัยเลย |
ผู้บังคับการ : | ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งดี เป็นการสะดวกแก่ฉัน (ตบมือ นายร้อยตรีเข้ามา) เอาอ้ายคนนั้นไปยิงเสีย |
ซุ่นเบ๋ง : | เอ๊ะ! นี่ผมมีความผิดอย่างไร |
ผู้บังคับการ : | มึงเป็นผู้ร้ายฆ่าคนโดยเจตนาอย่างทารุณร้ายกาจ โทษมึงไม่มีอย่างอื่นนอกจากต้องประหารชีวิต |
ซุ่นเบ๋ง : | ก็ยังไม่ได้ไต่สวนหรือพิจารณาในศาลจะลงโทษผมอย่างไร จะไม่ผิดกฎหมายฤๅ |
ผู้บังคับการ : | จะผิดอย่างไรได้ เพราะเวลานี้กูเป็นกฎหมายอยู่เองแล้ว อำนาจกูเต็มที่ ในที่นี้ไม่มีใครสูงกว่ากู เข้าใจไหม |
ซุ่นเบ๋ง : | ผมต้องขอความยุติธรรม |
ผู้บังคับการ : | ก็มึงจะได้รับความยุติธรรมอยู่แล้ว |
ซุ่นเบ๋ง : | อย่างน้อยควรฟ้องผมในศาลสนาม |
ผู้บังคับการ : | ทำไมมึงจึงเห็นว่าตัวควรจะได้ขึ้นศาลสนาม |
ซุ่นเบ๋ง : | เพราะตามกฎหมายนานาประเทศ ถ้าจะลงโทษเชลยศึกแม้แต่เล็กน้อย ก็ต้องตั้งศาลสนามชำระ |
ผู้บังคับการ : | ใครบอกว่ามึงเป็นเชลยศึก |
ซุ่นเบ๋ง : | ก็ผมถูกจับได้ในเวลาสงคราม จะไม่นับว่าเป็นเชลยศึกฤๅ |
ผู้บังคับการ : | มึงจะเป็นเชลยศึกได้อย่างไร ประการหนึ่งมึงไม่ใช่คนไทย อีกประการหนึ่งมึงไม่ใช่ผู้ทำสงครามตามกฎหมายสงคราม เพราะมึงไม่ได้แต่งเครื่องทหารหรืออะไร มึงเป็นพลเรือนในบังคับรัฐบาลของกูเท่านั้น |
ซุ่นเบ๋ง : | ก็ถ้าเช่นนั้นทำไมจะลงโทษผมอย่างพลรบหรือเชลยที่มีความผิดเล่า |
ผู้บังคับการ : | คืออย่างไร |
ซุ่นเบ๋ง : | ก็สั่งให้เอาผมไปยิง ต้องแปลว่านายยอมรับว่าเป็นพลรบหรือเชลย ถ้าผมไม่ใช่พลรบหรือเชลยจะใช้วิธีลงโทษอย่างนั้นได้หรือ ถ้าเมื่อเห็นว่าผมมีโทษก็ควรจัดการให้ถูกตามระเบียบสำหรับพลเรือนที่ต้องหาว่ามีโทษผิดสิ |
ผู้บังคับการ : | จริงของมึง กูผิดไป |
ซุ่นเบ๋ง : | (ท่าทางค่อยคึกคัก) ข้อนั้นก็ไม่อัศจรรย์เพราะนายเป็นทหาร ย่อมไม่สู้ชำนาญในทางกฎหมายอยู่เอง |
ผู้บังคับการ : | กฎหมายกูรู้พอสำหรับใช้ในเวลานี้ก็แล้วกันเถอะ ที่กูสั่งให้เอามึงไปยิงนั้นผิดไปจริง เพราะมึงเป็นอ้ายผู้ร้ายอย่างขี้ขลาดเลวทรามที่สุด แอบยิงคนข้างหลัง มึงไม่ควรจะได้รับเกียรติยศตายด้วยกระสุนปืน ซึ่งเป็นความตายสำหรับคนที่มีความกล้าหาญ (พูดกับนายร้อยตรี) เอาอ้ายคนนี้ไปแขวนคอเสีย |
ซุ่นเบ๋ง : | (ลงคุกเข่า) พุทโธ่! นายขอรับ ผมขอโทษที ผมตั้งใจดีจริงๆ พุทโธ่! กรุณาหน่อยขอรับ |
ผู้บังคับการ : | (พูดเสียงแข็งกับนายร้อยตรี) ทำไมไม่เอามันไป จะรออะไรอีก (นายร้อยตรีลากเอาตัวนายซุ่นเบ๋งไป ซุ่นเบ๋งร้องขอโทษไปจนสุดเสียง ผู้บังคับการกอดอกเฉยอยู่ คนอื่นๆ ก็นิ่งกันอยู่หมดจนเงียบเสียงซุ่นเบ๋งไปแล้ว ผู้บังคับการจึงหันไปทางพระภิรมย์) |
ผู้บังคับการ : | ท่านพระ ท่านเห็นหรือไม่ ว่าฉันนี้ถึงแม้เป็นข้าศึกก็จริง แต่ฉันก็เป็นยุติธรรมได้เหมือนกัน ถึงคนที่อ้างว่าเป็นพวกฉันเอง ถ้าทำผิดแล้วฉันก็ต้องเอาโทษให้เป็นตัวอย่าง หาไม่คนอื่นจะกำเริบ ต่อๆ ไปใครจะฆ่าฟันกันโดยมีสาเหตุส่วนตัว ก็จะพากันอ้างว่าทำสำหรับประโยชน์พวกฉัน จะทำให้ฉันพลอยเสียชื่อด้วยว่าคบโจรให้ช่วยทำสงคราม |
พระภิรมย์ : | ฉันแลเห็นแล้ว ว่านายเป็นยุติธรรมจริง การที่นายจะทำโทษฉัน ฉันก็แลเห็นเหมือนกันว่านายทำตามระเบียบ ฉันไม่มีความโกรธเคืองนายเลย อย่าให้เป็นเวรเป็นกรรมกันต่อไปเลย |
ผู้บังคับการ : | ท่านพระ ถึงแม้ท่านพระกับฉันเป็นศัตรูกันก็จริง แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าท่านพระเป็นคนกล้าหาญ ใจคอดีน่าชม ฉันจึงมีความยินดีที่ท่านพระไม่โกรธฉัน การลงโทษท่านพระฉันตกลงในใจว่าจะรอไว้ก่อน |
พระภิรมย์ : | ฉันขอบใจนาย แต่ไหนๆ จะต้องตายก็ให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเสียจะดีกว่า จะมารอเริดไว้อีกกี่วันก็ไม่รู้ |
ผู้บังคับการ : | ท่านพระจะอยากตายก็เป็นได้ แต่ฉันเชื่อว่าบุตรภรรยาของท่านพระคงจะไม่คัดค้านในการที่จะให้ท่านพระคงอยู่ต่อไปอีกเป็นแน่ ฉันจะต้องเอาตัวท่านพระคุมไว้ก่อน ท่านพระต้องอยู่ในบ้านนี้จนกว่าจะได้รับคำสั่งอย่างอื่น |
พระภิรมย์ : | อนุญาตให้ฉันอยู่ในห้องฉันเองหรือ |
ผู้บังคับการ : | อย่างนั้นสิ หรือจะอยู่ห้องไหนๆ ก็ตามใจ อย่าออกนอกประตูเรือนนี้ไปก็แล้วกัน ท่านไปได้ (คำนับพระภิรมย์ และผู้หญิงทั้งสอง พระภิรมย์กับภรรยาและบุตรออกไปทางซ้าย ทหารที่คุมพระภิรมย์จะตามไป ผู้บังคับการเรียกไว้) เฮ้ย! ช่างเถอะ ไม่ต้องคุมแกดอก คอยแต่ห้ามอย่าให้แกออกนอกเรือนนี้ก็พอแล้วไปได้ (ทหารออกไปทางด้านหลัง) |
ปลัดกรม : | ท่านโคโลเน็ล ดูจะอย่างไรๆ อยู่กระมังขอรับ เผื่อหนีหายไปได้ละก็- |
ผู้บังคับการ : | ฮือๆ จะทำอย่างไรได้ อกเขาอกเรานะท่านกับปิตัน มาดูแผนที่ด้วยกันดีกว่า (ไปที่โต๊ะวางแผนที่ ชี้แผนที่) ถ้าพวกเรายึดตะพานนี้ไว้ได้ละก็เกือบเท่ากับยึดจมูกข้าศึกทีเดียว กองส่งไปนานแล้วอย่างไรยังไม่ได้ข่าว |
ปลัดกรม : | ทางก็ไม่สู้ไกลนักนะขอรับ ต้องให้เวลาหน่อย |
ผู้บังคับการ : | ข่าวคราวทางกองพลไม่มีมาฤๅ |
ปลัดกรม : | ยังไม่เห็นมีใครมา (เสียงปืนยิงไกลๆ ปลัดกรมลุกไปดูที่หน้าต่าง) |
ผู้บังคับการ : | เห็นอะไรฤๅ |
ปลัดกรม : | ไม่เห็น |
ผู้บังคับการ : | บางทีข้าศึกจะมายั่วแนวยามเราก็เป็นได้ (นายทหารทั้งสองคนดูแผนที่ต่อไป ผู้บังคับการชี้แจงและปลัดกรมพยักหน้าบ้าง หรือปลัดกรมชี้แล้วผู้บังคับการพยักหน้าบ้างดูทีเข้าใจกันดี ปลัดกรมจดอะไรลงในสมุดพกเป็นครั้งคราว เสียงปืนถี่ขึ้น และใกล้เข้ามา นายร้อยตรีเข้ามาทางด้านหลัง นำใบแจ้งเหตุมาส่งให้ปลัดกรม แล้วกลับไป) |
ปลัดกรม : | ผู้บังคับหมวดอ่านรายงานว่า ทหารข้าศึกยกมาตีด่าน มีกำลังมากจะยึดอยู่หรือจะให้ถอย |
ผู้บังคับการ : | ส่งกองหนุนขึ้นไป ถ้ายึดอยู่ได้ให้ยึดอยู่ก่อน มิฉะนั้นกองที่ส่งไปที่ตะพานจะถูกล้อม ไปเดี๋ยวนี้ |
ปลัดกรม : | ขอรับ (ออกไปทางหลัง) (ผู้บังคับการจุดบุหรี่แล้วนั่งตรอง เสียงปืนยิงไกลๆ เรื่อยอยู่สักครู่หนึ่ง ปลัดกรมจึงกลับเข้ามา) |
ปลัดกรม : | ใบแจ้งเหตุมาอีกใบหนึ่ง บอกว่าทหารมีมาประมาณกองกรมหนึ่ง แต่มีเสือป่าสมทบมาด้วยอีกมากประมาณไม่ถูก เพราะอยู่ในรกโดยมาก พวกเราที่ส่งไปยึดตะพานกำลังถอยกลับมาอยู่แล้ว |
ผู้บังคับการ : | ฮือ! เราออกจะคะเนกำลังข้าศึกผิดเสียแล้วกระมัง |
ปลัดกรม : | กำลังทหารคะเนง่าย พอมีเกณฑ์ที่จะคะเน แต่เสือป่าคะเนยาก เพราะหาอะไรเป็นหลักยาก (นายร้อยตรีเข้ามาจากทางหลัง) |
นายร้อยตรี : | นายทหารนักบินมาคนหนึ่ง |
ผู้บังคับการ : | ให้เข้ามาในนี้ (นายร้อยตรีออกไปแล้ว นายทหารนักบินเข้ามาทางหลัง นักบินนั้นแต่งตัวมีกางเกงขาสั้น สนับแข้ง เสื้อดุมสองแถวปิดคอ คอเสื้อพับใหญ่ มีผ้าพันคอสวมหมวกแก๊ปมีปิดหู) |
ผู้บังคับการ : | มาจากกองพลฤๅ |
นักบิน : | ขอรับ ผมไปสืบข่าว บินข้ามลำน้ำไป เห็นข้าศึกกำลังยกมาจากตะวันตกเฉียงใต้ |
ผู้บังคับการ : | กำลังเท่าไร |
นักบิน : | ประมาณกองพลหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นแต่ที่เดินข้ามทุ่ง ที่เดินในป่าจะมีอีกเท่าใดก็ประมาณไม่ถูก |
ผู้บังคับการ : | ตรงมาทางนี้ฤๅ |
นักบิน : | ดูตั้งหน้ามาลำน้ำ น่ากลัวจะโอบปีก |
ผู้บังคับการ : | จริง น่ากลัวอยู่ นี่ท่านกับปิตันจะกลับไปกองพลละฤๅ |
นักบิน : | ขอรับ จะไปเดี๋ยวนี้ |
ผู้บังคับการ : | ดีทีเดียว ฝากรายงานนี้ไปด้วย (ปลัดกรมยื่นรายงานให้ผู้บังคับการ ผู้บังคับการยื่นให้นักบิน) แล้วโปรดรายงานท่านด้วยว่าฉันจะถอยจากที่นี้ ไปหาที่ตั้งมั่นใหม่ เพื่อป้องกันการที่ข้าศึกจะโอบปีกได้ |
นักบิน : | ขอรับ (คำนับแล้วออกไปทางด้านหลัง) |
ผู้บังคับการ : | (พูดกับปลัดกรม) สั่งเตรียมเดิน (ปลัดกรมออกไป ผู้บังคับการเก็บพับแผนที่และเก็บของต่างๆ ลงย่าม แล้วแต่งตัว คือสวมรองเท้าและเครื่องสนาม ในระหว่างนี้เสียงปืนใกล้เข้ามาทุกที นายร้อยตรีเข้ามาจากทางด้านหลัง) |
นายร้อยตรี : | ปลัดกรมให้รายงานว่า ข้าศึกกำลังมาก รุกพวกเราเข้ามาแนวด่านไม่ทันถอน แตกแล้วกำลังรีบถอยมาแทบไม่เป็นกระบวน ข้าศึกตามๆ ติดมา |
ผู้บังคับการ : | ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้ (ออกไปทางด้านหลัง) (เสียงปืนยิงใกล้เข้ามาทุกที แล้วสักครู่หนึ่งมีเสียงประหนึ่งว่าทางในเขตบ้านยิงโต้ตอบ อ้ายสีแง้มประตูดูข้างซ้ายมองเข้ามาในห้องแล้ว หันไปพยักหน้าและไหว้ พระภิรมย์เข้ามาทางซ้ายตรงไปดูที่หน้าต่าง อ้ายสีก็ไปเยี่ยมดูด้วย) |
พระภิรมย์ : | พวกเรามาแล้ว นั่นแน่ แหม! มาแยะเทียวทั้งเสือป่าทั้งทหาร แม่แย้ม! แม่อุไร! (แย้มกับอุไรวิ่งออกมาทางซ้าย) เสร็จเราแล้ว เสร็จเรา พวกเรารุกใหญ่ ข้าศึกถอยตะพัด ดูสิ! ดูสิ! (แย้มไปดูหน้าต่างเดียวกับพระภิรมย์) |
อุไร : | อ้ายสีหลีกไป ข้าจะดู (อ้ายสีหลีกจากหน้าต่างแล้วไปดูทางเฉลียง) แหม! คุณพ่อคะยุ่งกันใหญ่ รับพวกเราไม่อยู่แล้ว |
พระภิรมย์ : | ก็แน่ละสิ พวกเรามันใจเสือทั้งนั้นนี่นะ |
อุไร : | เตรียมประจัญบานแล้วค่ะ สวมดาบแล้ว |
พระภิรมย์ : | อุไรดูแน่ะ หลวงมณีของหล่อน แข็งแรงใหญ่ |
อุไร : | ไม่ต้องบอกดิฉันหรอกค่ะ ดิฉันดูอยู่แล้ว |
แย้ม : | คุณคะ นั่นพ่อเล็กไม่ใช่ฤๅ |
พระภิรมย์ : | จริงหล่อน นั่นอย่างไรเขาปล่อยให้มันอยู่ในหมู่นั้นด้วย ลูกเสือเขาไม่ได้ให้รบไม่ใช่ฤๅ |
อุไร : | พ่อเล็กรับอาสาถือหนังสือไปที่กองทหารแล้วก็เห็นจะเลยติดกลับมาด้วยอย่างนั้นเอง และลูกเสืออื่นๆ ก็มีมาอีกหลายคนดูเหมือนสำหรับรับใช้นะคะ (เสียงเฮข้างนอกอย่างประจัญบาน) |
พระภิรมย์ : | (เต้นและโบกมือ) เอามัน! เอามัน! อย่างนั้นสิ! เปิดหมดทนพวกเราที่ไหนได้ แม่แย้ม! แม่อุไร! จอดเรา เสร็จเราแล้วคราวนี้ (นายร้อยเอก หลวงเรืองฤทธิ์ราวี เข้ามาจากหลัง มีนายสิบพลทหารตามเข้ามาบ้าง จุกประตูอยู่บ้าง หลวงเรืองฤทธิ์แต่งเครื่องสนามพร้อมถือกระบี่) |
หลวงเรืองฤทธิ์ : | อ้อคุณพระ พวกข้าศึกยังเหลือในนี้บ้างไหมขอรับ |
พระภิรมย์ : | ไปหมดแล้ว เหลือที่ถูกอาวุธไปไม่ไหว ขุนรัตน์พยาบาลอยู่ |
หลวงเรืองฤทธิ์ : | เอาให้แน่กันดีกว่า (หันไปพูดกับนายสิบ) ไปด้วยกันสองสามคนค้นให้ทั่วเรือนนี้ (นายสิบไปกับพลทหารอีกสองสามคน หลวงเรืองฤทธิ์เก็บดาบลงฝักแล้วพูดต่อ) ผมยินดีที่พวกผมมาได้เร็วเช่นนี้ |
พระภิรมย์ : | จริงคุณหลวง ถ้ามิฉะนั้นก็เห็นจะเต็มที |
หลวงเรืองฤทธิ์ : | นายสวัสดิ์บุตรคุณพระเองไปตามพวกทหาร เขาเป็นเด็กที่กล้าจริงๆ คุณพระควรจะปลื้มมาก กล้ากว่าผู้ใหญ่บางคน ผมเห็นควรได้บำเหน็จให้เป็นตัวอย่างแท้ๆ ทีเดียว (จับมือกับพระภิรมย์) ผมต้องไปฟังคำสั่งต่อไป (ออกไปทางหลัง) |
พระภิรมย์ : | แม่แย้ม ฉันต้องขอโทษหล่อน ลูกรักของหล่อนจะเป็นผู้ที่ดำรงวงศ์สกุลของเราได้ต่อไป ฉันคาดหน้าเด็กผิดไปแท้ๆ ส่วนอ้ายเนรคุณอ้ายเดียรัจฉานที่ฉันหลงรักมานั้น ฉันไม่รู้จะด่ามันอย่างไรจึงจะพอ |
แย้ม : | ก็จะด่ามันทำไม เปลืองปากเปล่าๆ |
พระภิรมย์ : | จริงของหล่อน นึกเสียว่ามันสูญไปไม่มีเนื้อมีตัวเสียแล้วดีกว่า (นายกองตรี พระยาวิสูตรสงคราม เข้ามาทางด้านหลัง พร้อมด้วยหลวงมณีราษฎร์บำรุง หลวงมนูธรรมธุราธร กับสวัสดิ์ ทุกคนดูเสื้อผ้ามอมแมมไปหมด พระยาวิสูตรตรงไปจับมือกับพระภิรมย์ สวัสดิ์ไปหามารดา) |
พระยาวิสูตร : | คุณพระ ผมยินดีมากที่พวกผมมาทัน ก่อนที่คุณพระเป็นอันตราย |
พระภิรมย์ : | ขอรับ ผมก็ยินดี เชิญใต้เท้านั่ง ใต้เท้าคงเหนื่อยเป็นแน่ แม่อุไรไปจัดการหาน้ำหาท่ามาเลี้ยงหน่อยสิ คุณแม่หล่อนมัวตื่นลูกชายเสียแล้ว |
แย้ม : | เอาเถอะค่ะ ดิฉันจะไปช่วยแม่อุไร (ผู้หญิงทั้งสองพากันไปกับสวัสดิ์ทางซ้าย) |
พระภิรมย์ : | เชิญนั่งสิขอรับ คุณหลวง เชิญนั่ง (ต่างคนต่างนั่ง ในระหว่างที่พูดกันต่อไปนี้ อุไรกับนายสวัสดิ์นำของมาเลี้ยง คือน้ำร้อนน้ำเย็น หมากบุหรี่เป็นต้น) |
พระยาวิสูตร : | คุณพระ ผมได้ทราบเรื่องตลอดแล้ว นายหมู่ตรีเทพที่ถูกข้าศึกจับไว้แล้วแต่ไม่ทันพาไป ได้เล่าให้ผมฟัง ผมรักน้ำใจคุณพระจริงๆ เพราะฉะนั้น ผมจึงยินดีที่มาทัน ก่อนที่คุณพระเป็นอันตราย |
พระภิรมย์ : | ความประพฤติของผมเองผมไม่เห็นอัศจรรย์อันใด ถ้าไม่ทำเช่นนั้นก็ระยำเต็มที |
พระยาวิสูตร : | คุณพระถ่อมตัวเกินไป |
หลวงมณี : | น่าเสียดายที่คุณไม่ได้เป็นเสือป่า เพราะใจเป็นเสือป่าแท้ๆ |
หลวงมนู : | ถ้าเป็นเสือป่าแล้วก็จะไม่ต้องรับความเดือดร้อนเช่นที่เป็นมาแล้ว ข้าศึกคงไม่ปรับโทษได้ คุณพระก็จะได้ช่วยป้องกันบ้านเมืองได้สมใจ |
พระภิรมย์ : | ก็ผมจะสมัครเดี๋ยวนี้ไม่ได้ฤๅ หรือเกินเวลาเสียแล้ว |
พระยาวิสูตร : | ไม่เกินเวลาเลย ถ้าจะสมัครก็ได้ |
พระภิรมย์ : | ถ้าเช่นนั้นคุณหลวงมณีโปรดนำผมหน่อยได้หรือไม่ |
หลวงมณี : | ยินดีอย่างยิ่ง |
หลวงมนู : | ผมรับรองเอง |
พระยาวิสูตร : | ถ้าเช่นนั้นเรียกนายมาอีกสักสองคน พอให้เป็นองค์ประชุม (หลวงมนู ออกไปเรียกนายอินกับนายเทพเข้ามา) |
พระยาวิสูตร : | พระภิรมย์วรากรขอสมัครเข้าคณะเสือป่า นายหมู่เอกหลวงมณีราษฎร์บำรุง นายหมู่ตรีหลวงมนูธรรมธุราธรรับรอง ใครจะคัดค้านบ้างหรือไม่ (นิ่งกันครู่หนึ่ง) ถ้าเช่นนั้นตกลงเป็นยอมรับเข้าคณะของเราฤๅ (อีก ๔ คนตอบพร้อมกันว่ายอม) ถ้าเช่นนั้นเป็นอันตกลง พระภิรมย์วรากร คณะเสือป่ายอมรับท่านเป็นสมาชิกผู้หนึ่งแล้ว (ต่างคนต่างไปจับมือพระภิรมย์) เรื่องเครื่องแต่งตัวจะทำอย่างไร |
พระภิรมย์ : | ผมเตรียมไว้พร้อมแล้ว |
พระยาวิสูตร : | เอ๊ะอย่างไรกัน |
พระภิรมย์ : | พอผู้บังคับการศัตรูเขาชำระผมแล้ว ผมก็ออกไปที่ห้องพยาบาลขอยืมเครื่องแต่งตัวจากเสือป่าคนหนึ่งที่ถูกอาวุธแล้วสั่งแม่แย้มให้ทำใช้เขาใหม่สำรับหนึ่ง |
พระยาวิสูตร : | ขอยืมทำไม |
พระภิรมย์ : | ผมดูมีอะไรสังหรณ์ในใจว่าจะไม่ต้องตาย สังเกตดูข้าศึกเขาก็จะให้โอกาสให้ผมหลุดพ้นไป ผมเตรียมไว้ว่าถ้าได้พ้นตายไปแล้วจะแต่งเสือป่าเข้าไปสมัครที่กองเสือป่า โดยความหวังว่าเขาคงรับ |
พระยาวิสูตร : | ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว คุณพระไปแต่งตัวสิจะได้เข้าประจำกอง (พระภิรมย์ฯ รีบไปทางซ้าย นายอินกับนายเทพก็กลับออกไปทางหลัง) อย่างไรคุณหลวงมนู |
หลวงมนู : | ชอบกลมากขอรับ จนเกิดเหตุใหญ่แล้วแกจึงได้รู้สึกตัวว่าแท้จริงใจแกก็เป็นนักรบนั้นเอง แต่ก่อนนี้แกเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก ทั้งเป็นคนหัวดื้อด้วย |
หลวงมณี : | ผมเข้าใจว่าแกเสียเพราะอ้ายซุ่นเบ๋ง |
หลวงมนู : | จริง อ้ายคนนั้นเป็นผีร้ายที่เข้าสิงคุณพระภิรมย์ |
พระยาวิสูตร : | เราควรจะขอบใจผู้บังคับการทหารข้าศึก ที่จับมันแขวนคอเสีย |
หลวงมนู : | ขอรับ สาแก่ใจ มันยุ่งมาก ผมไม่ไว้ใจมานานแล้ว |
หลวงมณี : | คนชนิดนั้นไว้ใจยากอยู่สักหน่อย มันพลิกแพลงเปลี่ยนชาติของมันได้ง่ายนัก เข้าพวกไทยเป็นไทย เข้าพวกฝ่ายโน้นก็เป็นเสียอย่างหนึ่งทีเดียว ถ้าเมื่อจะเป็นอะไรก็เป็นเสียอย่างหนึ่งค่อยยังชั่ว เมื่ออยากจะเป็นเจ๊กก็เป็นไป นี่ไม่แน่ว่าเป็นอะไรเป็นค้างคาวอย่างไรอยู่ คบยาก |
พระยาวิสูตร : | ฉันเสียใจเรื่องนายสวายจริงๆ |
หลวงมนู : | เด็กคนนั้นมันชั่วมานานแล้ว ผมเตือนพระภิรมย์มาหลายหน แล้วแกไม่เชื่อผมเอง |
หลวงมณี : | ผมหวังใจว่าคงจะเลยมุดหัวมุดหูหายสูญไปทีเดียว (หลวงเรืองฤทธิ์เข้ามาจากทางหลัง ตรงไปที่พระยาวิสูตร) |
หลวงเรืองฤทธิ์ฯ : | ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๒๙ ให้มาเรียนว่าให้ใต้เท้าจัดเสือป่าเป็นกองขัดตาทัพระหว่างบ้านคูวัดถึงบ้านปากบึง และให้จัดการลาดตระเวนสืบข่าวข้าศึกต่อไปให้รู้ว่าถอยไปตั้งอยู่แห่งใด กรมทหารราบที่ ๒๙ จะไปสมทบกองพล แล้วจะส่งคำสั่งเขียนมาทีหลัง |
พระยาวิสูตร : | ดีแล้ว ฉันจะจัดการตามคำสั่ง (หลวงเรืองฤทธิ์คำนับแล้วออกไป) ต้องนอนกลางแจ้งกันอีกละ (ต่างคนต่างลุกขึ้นเตรียมตัว) (พระภิรมย์ แต่งเสือป่าเข้ามาทางซ้าย แม่แย้ม แม่อุไรกับนายสวัสดิ์ก็ตามเข้ามา) |
สวัสดิ์ : | อย่าลืมนะขอรับ ส้นติดกัน ปลายเท้าผายจากกันประมาณ ๔๕ องศา |
พระภิรมย์ : | เออน่ะ ข้าจำได้แล้ว (ทำวันทยาหัตถ์คำนับพระยาวิสูตร) |
พระยาวิสูตร : | พอดีทีเดียว กองกำลังจะยกไปอยู่เดี๋ยวนี้ |
พระภิรมย์ : | ไปรบอีกหรือขอรับ |
พระยาวิสูตร : | เปล่า ไปวางด่าน ถ้าคุณแย้มช่วยอุดหนุนส่งเสบียงบ้างจะขอบใจมาก |
แย้ม : | ได้สิเจ้าคะ จะไปส่งที่ไหน |
พระยาวิสูตร : | แล้วผมจะให้คนมาบอก ผมเองก็ยังไม่แน่จะต้องไปตรวจท้องที่ |
แย้ม : | ดิฉันจะรีบไปเตรียมข้าวของไว้ (ออกไปทางซ้าย) |
พระยาวิสูตร : | คุณหลวงมนู ผมมอบพระภิรมย์ไว้กับคุณนะ |
หลวงมนู : | ขอรับ คุณพระไปกับผม (พาพระภิรมย์ออกไปทางหลัง) |
สวัสดิ์ : | ใต้เท้าขอรับ ผมขอไปเป็นคนรับใช้ใต้เท้าอีกได้ไหมขอรับ |
พระยาวิสูตร : | ได้สิพ่อสวัสดิ์ ฉันยินดี เพราะแกคล่องกว่าผู้ใหญ่หลายคน |
อุไร : | ดิฉันออกอิจฉาพ่อสวัสดิ์ เสียใจที่เป็นผู้หญิง |
พระยาวิสูตร : | เวลาศึกสงครามผู้ชายกับผู้หญิงก็ต้องแสดงความกล้ากันคนละอย่าง ผู้ชายกล้าไปรบไปตาย ผู้หญิงกล้าไม่ทำให้เป็นที่ลำบากแก่ผัวหรือผู้รักใคร่ ทำให้ผู้ที่รักมีแก่ใจไปรบ (คำนับ) สวัสดิ์ ไปด้วยกันเถอะ (ออกไปทางหลังกับสวัสดิ์) |
หลวงมณี : | แม่อุไร (จับมืออุไร) พี่ลาที ถ้าเคราะห์ดีก็คงได้กลับมาเห็นหน้ากันอีก ถ้าเคราะห์ร้ายก็แต่นั่นแหละ หล่อนก็เป็นเชื้อชาติไทย ฉันไม่ต้องวิตกในส่วนหล่อน ลาที ขอให้อยู่สบาย (กอดกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วหลวงมณีออกไปทางหลัง) |
อุไร : | (อุไรไปยืนดูที่หน้าต่าง พิงกรอบหน้าต่าง เสียงคำสั่งข้างนอกบอกเตรียมเดิน แล้วอีกครู่หนึ่งมีบอกหน้าเดิน ทันใดนั้นได้ยินเสียงเสือป่าร้องลำฝรั่งรำเท้าบทอย่างที่ใช้แสดงตำนาน คือ “อันพวกเราชวนกันสวามิภักดิ์ จงรักร่วมชาติศาสนา ยอมตายไม่เสียดายชีวา เพื่อรักษาอิสระคณะไทย สมานสามัคคีให้ดีอยู่ จะสู้ศึกศัตรูทั้งหลายได้ ควรจะทนงจงใจ เป็นไทยจนสิ้นดินฟ้า”) |