ธรรมรัตนกถา
ของพระอมราภิรักขิต (เกิด) วัดบรมนิวาส
นมตฺถุ สุคตสฺส
----------------------------
ขอความเจริญจงมีแก่ท่านผู้อ่านผู้สดับ
ถามว่าธรรม ๆ นั้นอะไรเปนธรรม สิ่งที่ดีก็กล่าวว่าธรรม สิ่งที่ชั่วก็กล่าวว่าธรรม สิ่งที่ไม่ดีไม่ชั่วก็กล่าวว่าธรรม ดังบาลีว่า กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา ฉนี้ อะไรเปนธรรมในธรรมรัตนนี้
แก้ว่าความดีจริงเปนธรรมในธรรมรัตน ความดีแต่ไม่จริงไม่เปนธรรม ความจริงแต่ไม่ดีก็ไม่เปนธรรม ความไม่ดีไม่จริงก็ไม่เปนธรรม ความเห็นว่าผลแห่งบุญแลบาปไม่มี และอิธโลกปรโลกไม่มี ดังนี้เปนต้นไป ชื่อว่าความไม่ดีไม่จริง ความเห็นว่าอาทิตย์เปนของส่องโลกให้สว่าง ดินน้ำลมไฟเปนที่อาศรัยของสัตว แล้วแลกราบไหว้บูชาของเหล่านั้น อย่างนี้ชื่อว่าความจริงแต่ว่าไม่ดี ปรนิบัติของบุทคลบางจำพวกดังนี้ เมื่อเวลาราคโทสเกิดขึ้นในจิตต์ เห็นว่าราคโทสเปนของไม่ดี แล้วหันหน้าสู้ด้วยอุบายดังนี้ ว่าพระเปนเจ้าผู้สร้างโลกอยู่ในที่ทั้งปวง รู้เห็นอยู่ในกาลทั้งปวง ท่านเห็นเราลุอำนาจราคโทส ไม่ข่มขี่เสีย ท่านจะจดบาญชีเราไว้ แล้วแลปรับโทษในภายหลัง ใช้อุบายดังนี้แล้ว แลข่มราคโทสเสีย อย่างนี้ชื่อว่าความดีแต่ไม่จริง เพราะหันหน้าสู้ข่มราคโทส ซึ่งเปนกิเลสเปนความดี แต่พระเปนเจ้าเช่นนั้นไม่มีจริง ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ที่บุทคลทำให้มีให้เปนขึ้นด้วยอุบายที่จริงที่แท้ ใช่ความไม่โลภไม่โกรธไม่หลง ที่มีในเวลานอนหลับเปนต้นนั้นก็ดี ฤๅความเปนเองที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เพราะไม่มีสังขารเปนที่ตั้งก็ดี ชื่อว่าความดีจริง ถามว่าความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ที่บุทคลทำให้มีให้เปนขึ้น ด้วยอุบายที่จริงที่แท้ ชื่อว่าความดีจริงนั้นอย่างไร แก้ว่าเหมือนอย่างบุทคลคิดเห็นว่าร่างกาย ที่มีวิญาณครองแลรู้สุขรู้ทุกข์ ชื่อว่าสัตวนี้ จะเปนมนุษย์ก็ตาม ดิรัจฉานก็ตาม ย่อมเกลียดทุกข์ รักสุขทั่วทุกตัวตน แลไม่เบียดเบียนสัตวอื่นให้ได้ความทุกข์ด้วยกายแลวาจาตน คิดความสุขให้แก่สัตวอื่น ข่มความโลภ ความโกรธ เสียด้วยอุบายดังนี้ ด้วยเห็นว่าการประพฤติเช่นนี้ เปนความดีจะให้ได้สุขข้างหน้า ชื่อว่าความดีจริง อนึ่งรำพึงถึงความตายให้ได้ความสลดใจก็ดี ฤๅรำพึงถึงว่ากองกายนี้ เต็มด้วยเครื่องโสโครก มีผมขนเล็บฟันเปนต้น มีปฏิกูลสัญญาบังเกิดขึ้น รงับเสียซึ่งความกำหนัด ความโกรธ ความหลงได้ก็ดี ฤๅเห็นลเอียดลงไปว่า สรรพสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงเปนทุกข์ใช่ตนด้วยเหตุนี้ ๆ แล้วแลไม่มีความโกรธ ความโลภ ความหลง ด้วยเห็นว่าปฏิบัติอย่างนี้จะให้ตนได้สุขภายหน้าแลพ้นทุกข์ทั้งปวงดังนี้ก็ดี นี่แลชื่อว่าความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง มีขึ้นเปนขึ้นด้วยอุบายที่แท้ที่จริงชื่อว่าความดีจริง ทานคือจาคเจตนาก็ดี ศีลคือทุจจริตวิรัติ ภาวคือความที่ยังกุศลให้มีให้เปนขึ้นก็ดี เปนความดีจริงดังนี้ก็ดี ฤๅระเบียบถ้อยคำที่ประกาศความดีจริงนั้นก็ดี ชื่อว่าธรรม
ถามว่า ธรรม ๆ แปลว่ากะไร
แก้ว่าธรรมแปลว่าของทรงไว้ ซึ่งสัตวที่ทรงไว้ซึ่งตนอย่างหนึ่งว่าของบุทคลพึงทรงไว้ ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ที่บังเกิดขึ้นด้วยอุบายที่จริงที่แท้ดังกล่าวมาแล้วนั้น บุทคลผู้ใดทำให้มีให้เปนขึ้นในตน ผู้นั้นชื่อว่าธรรมธารีผู้ทรงไว้ซึ่งธรรม ธรรมนั้นและย่อมจะทรงผู้นั้นไว้ คือมิให้ตกไปในที่กอปด้วยความทุกข์มีนรกเปนต้น เพราะเหตุนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงภาสิตไว้ว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารี ความว่าธรรมนั้นเทียวใช่อื่นย่อมรักษาไว้ คือว่าทรงไว้ซึ่งบุทคลผู้ประพฤติซึ่งธรรม ธรรมอันบุทคลประพฤติดีแล้วย่อมนำมาซึ่งสุข อันนั้นเปนอานิสงส์ ในธรรมอันบุทคลประพฤติดีแล้ว คือผู้ประพฤติซึ่งธรรมย่อมไม่ไปยังทุคคติ ซึ่งแปลว่าของอันบุทคลจะพึงทรงไว้นั้น ได้ในปริยัติธรรมอันประกาศซึ่งความดีจริงนั้น เพราะปริยัติสัทธรรมเปนระเบียบบท อันบุทคลจะพึงเล่าท่องจำทรงไว้ อนึ่งปริยัติสัทธรรมแปลว่าทรงไว้ซึ่งตนด้วยก็ได้ เพราะว่าพระปริยัติสัทธรรมผู้ใดทรงท่านไว้ ด้วยหวังปฏิบัติตาม ท่านย่อมทรงผู้นั้นไว้ด้วย ให้ได้ความเจริญด้วยพาหูสุต แล้วแลพ้นจากที่กอปด้วยทุกข์มีอบายเปนต้น ได้ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ซึ่งเปนความที่จริงนั้น ที่ยั่งยืนก็มี ที่ไม่ยั่งยืนก็มี ที่ไม่ยั่งยืนนั้นคือเกิดขึ้นแล้วดับไป มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดขึ้นได้อิก ได้แก่โลกิยะกุศลธรรมซึ่งเปนไปในภูมิ์ ๓ คือ กามาวจร ๑ รูปาวจร ๑ อรูปาวจร ๑ ระเบียบถ้อยคำอันประกาศซึ่งปฏิปัตติสัทธรรม แลปฏิเวธสัทธรรม ชื่อว่าเปนปริยัติสัทธรรมนั้น ๆ จัดโดยบุคคลกล่าวเปน ๔ คือ พุทธภาสิต สาวกภาสิต อิสิภาสิต เทวตาภาสิต ธรรมที่พระพุทธเจ้า ทรงภาสิตแสดงไว้ ชื่อว่าพุทธภาสิต ได้แก่วินัย สุตันต อภิธรรม ธรรมนั้นสาวกนับเนื่องในบริษัท ๔ ภาสิตแสดงไว้ มีอนังคณะสูตรเปนต้น ชื่อว่าสาวกภาสิต ธรรมอันฤๅษีปริพพาชกภายนอก ซึ่งรู้ภูมิ์แห่งธรรมภาสิตแสดงไว้แล้ว ดังปริพพาชกวรรคเปนต้น ชื่ออิสิภาสิต ธรรมที่เทพยดามารพรหมภาสิตแสดงไว้แล้ว ชื่อว่าเทวตาภาสิต ได้แก่ระเบียบแห่งคำในเทวตาสังยุตเปนต้น ที่เปนคำอันเทวดาเทวบุตรแลมารพรหมกล่าว ปริยัติสัทธรรมซึ่งจัดโดยภาสิตทั้ง ๔ นั้น มีองค์อวะยะวะ เปนที่กำหนด ๙ คือ สุตต ๑ เคยย ๑ เวยยากรณ ๑ คาถา ๑ อุทาน ๑ อิติวุตตก ๑ ชาตก ๑ อัพภูตธรรม ๑ เวทัลล ๑ ระเบียบคำที่แสดงเนื้อความได้เรื่อง ๑ ควรชักเอามาสาธกได้แต่บาลีประเทศนั้น ๆ ดังนี้ ชื่อว่าสุตต เหมือนอย่างคำที่เปนอุเทศวารดังนี้ว่า ปฺจิมานิ ภิกฺขเว พลานิ กตมานิ ปฺจ เปนต้นดังนี้ ชื่อว่าเปนสุตต ก็ระเบียบคำที่เปนจุณณิยบทบ้าง คาถาบ้างปนกันอยู่ ดังธชัคคสูตรเปนต้น ชื่อว่าไคย ระเบียบคำที่เปนจุณณิยบทล้วนไม่มีคาถาปนดังธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเปนต้น ชื่อว่าไวยากรณ์ ระเบียบคำที่ท่านประพันธ์ผูกเปนคาถาล้วน ไม่มีจุณณิยบทปนดังกามสูตรเปนต้น ชื่อว่าคาถา ระเบียบคำที่พระผู้มีพระภาคอาศรัยโสมนัสญาณเปล่งออก ชื่อว่าอุทาน ดังคำว่า ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา เปนต้น อุทานนี้เปนคาถาก็มี เปนจุณณิยบทก็มี ระเบียบคำที่พระพุทธเจ้าตรัสเปนอุเทศวารขึ้นก่อน แล้วแสดงอุเทศวารนั้น ๆ แล้วจึงกล่าวนิคมภายหลังอิก ชื่อว่าอิติวุตตก เหมือนคำว่า อิมา ฉ ธาตุโยติ ภิกฺขเว มยา ธมฺโม เทสิโต อนิคฺคหิโต ฯลฯ วิฺูหีติ อิติ ยนฺตํ วุตฺตํ อิทเมตํ ปฏิจฺจ วุตฺตํ ระเบียบคำที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงบุรพจริตที่กอปด้วยคำว่า ภูตปุพฺพํ ภิกฺขเว ดังนี้ ชื่อว่าชาดก ดังทีฆาวุชาดกเปนต้น ระเบียบคำที่กอปด้วยอัจฉริยอัพภูตธรรม ดังคำว่า จตฺตาโรเม ภิกฺขเว อจฺฉริยา อพฺภูตธมฺมา เปนต้น ชื่อว่าอัพภูตธรรม ระเบียบคำที่ผู้ถามได้ความรู้แจ้งแลความยินดีถามต่อ ๆ ขึ้นไป ชื่อว่าเวทัลล ดังจุฬเวทัลลสูตรเปนต้น ๙ นี้ชื่อว่า เปนองค์แห่งปริยัติสัทธรรม
ปริยัติสัทธรรมนี้ เมื่อพระสังคีติกาจารย์ยังไม่ได้ทำสังคายนา แลจะทำสังคายนานั้น ท่านเรียกว่าธรรมวินัย ๒ ชื่อดังนี้ ระเบียบคำซึ่งประกาศข้อปฏิบัติในกายวาจา ที่พระพุทธเจ้าแต่งตั้งไว้เปนพุทธอาณา เปนอาณาเทศนาชื่อว่าวินัย ระเบียบคำซึ่งประกาศข้อปฏิบัติที่เปนไปในกายวาจาใจ ที่พระพุทธเจ้ามิได้แต่งตั้งเปนอาณา เปนแต่ทรงแสดงด้วยโวหารเทศนาบ้าง ปรมัตถเทศนาบ้าง ชื่อว่าธรรม อนึ่งในเวลาเมื่อทำสังคายนานั้น ส่วนวินัยท่านเรียกว่าอุภโตวินัย แปลว่าวินัยโดยส่วน ๒ คือภิกขุวินัย ภิกขุนีวินัย ส่วนธรรมนั้นท่านเรียกว่าปัญจนิกาย แปลว่านิกาย ๕ คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตระนิกาย ขุททกนิกาย อนึ่งปริยัติธรรมนี้ ตั้งแต่ทำสังคายนาแล้วมาท่านเรียกว่า เตปิฏกํ พุทฺธวจนํ เปนโวหารปรากฎอยู่ในคัมภีร์อรรถกถา เตปิฏกํ พุทฺธวจนํ แปลว่าคำแห่งพระพุทธเจ้าคือหมวดแห่งปิฎก ๓ ท่านจัดเอาอุภโตวินัยเปนวินัยปิฎก จัดนิกาย ๕ เปน ๒ ปิฎก ส่วนระเบียบคำซึ่งประกาศธรรมที่สุขุมละเอียดบ้าง ที่ไม่สุขุมละเอียดบ้าง ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เปนไคยบ้าง เปนไวยากรณ์บ้าง เปนคาถาบ้าง เปนอุทานบ้าง เปนอิติวุตตกบ้าง เปนชาดกบ้าง เปนอัพภูตธรรมบ้าง เปนเวทัลลบ้าง แลพระสังคีติกาจารย์เจ้า ท่านจัดไว้เปนระบียบ คำมีนิทานบ้าง ไม่มีนิทานบ้าง ประดับด้วยองค์คือสุตตมากบ้างน้อยบ้าง ดังนี้ ชื่อว่าสุตตันตปิฎก ท่านจัดระเบียบคำที่ประกาศธรรมสุขุมละเอียดไม่มีนิทานแลประดับด้วยองค์ ๒ คือสุตตแลไวยากรณ์ดังนี้ชื่อว่าอภิธรรมปิฎก เพราะเหตุดังนั้น พระอรรถกถาจารย์เจ้า ท่านจะชี้พระปริยัติสัทธรรมท่านจึงกล่าวว่า ปิฏกตฺตยสงฺคหิตํ สพฺพํ พุทฺธวจนํ ปริยตฺติสทฺธมฺโม นาม แปลว่าคำแห่งพระพุทธเจ้าที่ท่านสงเคราะหด้วยหมวด ๓ แห่งปิฎก ชื่อว่าปริยัติสัทธรรม อนึ่งปริยัติสัทธรรมนี้ ท่านจัดโดยขันธ์เปนหมวด ๆ มีอยู่ ๘๔๐๐๐ ขันธ์ จึงได้เรียกกันมาว่า ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ปริยัติสัทธรรมนี้ แต่เดิมท่านทรงไว้ด้วยปาก เรียกว่ามุขปาฐ เมื่อประดิษฐานอยู่ในพระอริยเจ้าผู้มีสันดานอันบริสุทธ พระปริยัติสัทธรรมก็เปนของบริสุทธใสสอาด ปราศจากสัทธรรมปฏิรูปกคำเปนธรรมปลอมดังทองในท้องพระคลังหลวง ซึ่งบริสุทธปราศจากของปลอม ครั้นนานมาพระพุทธสาสนกาลล่วงแล้ว ๔๐๐ ปีเศษ พระเถรเจ้าทั้งหลายในลังกาทวีปเห็นกุลบุตรมีปัญญาน้อย ไม่อาจทรงไว้ได้ด้วยปาก จึงให้จารึกเปนอักษรไว้ในใบลาน ครั้นนานมากุลบุตรมีปัญญาน้อยลง ท่านจึงแต่งคัมภีร์อรรถกถาแก้เนื้อความในบาลี แต่งคัมภีร์ฎีกาแก้อรรถกถา
พระปริยัติสัทธรรมนี้ เมื่อประดิษฐานอยู่ในบุถุชนผู้มีสันดานไม่บริสุทธดังพระอริยเจ้า บุคคลบางจำพวกเปนกัลยาณปุถุชน มีสันดานอันซื่อตรงเคารพในปริยัติสัทธรรมมาก บางจำพวกมีสันดานไม่ซื่อตรงเคารพในปริยัติสัทธรรมน้อย เพราะเหตุนั้น สัทธรรมปฏิรูปกของปลอมสัทธรรม บุคคลบางจำพวกแต่งขึ้นแล้วแลอ้างว่า เปนพุทธวจนะนั้นก็มี ดังกุลุมพสูตร ราโชวาทสูตร เปนต้น ปรากฎชื่ออยู่ในพระอรรถกถา แต่สูตรเหล่านั้นในกาลทุกวันนี้คัมภีร์คนที่เปนนักปราชญ์แต่งขึ้นอ้างไว้ว่า พุทธภาสิตบ้าง สาวกภาสิตบ้าง มีอยู่มากดังอคารวตาสูตร วิสัชชานสูตรแลคัมภีร์อื่น ๆ เมื่อเปนเช่นนี้ กุลบุตรผู้ปรีชา เมื่อเห็นคัมภีร์แลปาฐที่ท่านอ้างว่าเปนพุทธภาสิต แลสาวกภาสิตใด ๆ ก็ดี ถ้ามีความสงสัยแล้วไซร้ ก็พึงปรนิบัติตามมหาประเทศ ๔ ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ เปนเครื่องตัดสินธรรมวินัย แล้วตรองตามพยัญชนะแลอรรถ ถ้าวิบัติแล้วอย่าพึงเชื่อ ถ้าไม่วิบัติแล้วไซร้ ควรเชื่อ อนึ่งพยัญชนะสมบูรณ์แต่อรรถวิบัติเล่าก็ไม่ควรเชื่อ ระเบียบคำอันใดชี้อรรถคือข้อปรนิบัติไม่เปนไปเพื่อวินัย นำเสียซึ่งอกุศลสังกิเลสมีราคเปนต้น ไม่รำงับความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ แลไม่เปนไปเพื่ออภิญญา ความรู้ยิ่งของจริง ๔ คืออริยสัจจ ระเบียบคำเช่นนี้ชื่อว่าวิบัติ โดยอรรถไม่ควรเชื่อ ระเบียบคำอันใดแสดงอรรถ คือข้อปฏิบัติเปนไปเพื่อวินัย นำเสียได้มละเสียได้ ซึ่งราคโทสโมหะ อันเปนอกุศลสังกิเลสแลเปนไปเพื่ออภิญญาความรู้ยิ่งรู้จักสัจจของจริง ๔ ระเบียบคำเช่นนี้ชื่อว่าสมบูรณ์ด้วยอรรถสมบัติเปนของควรเชื่อ อนึ่งตัดสินปริยัติสัทธรรม ด้วยโอวาทที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแก่นางมหาปชาบดี ซึ่งจักกล่าวในปฏิปัตติสัทธรรมนั้นด้วยเถิด ปริยัติสัทธรรมนี้ แปลว่าสัทธรรมคือ ระเบียบคำอันบุคคลพึงถึงรอบ คือเล่าเรียนศึกษา ให้รู้อรรถาธิบายในสำนักอาจารย์ อนึ่งปริยัติสัทธรรมนี้ เปนของอาศรัยเหตุภายใน คืออุตสาหะกับปัญญา ๒ ประการ อาศรัยเหตุภายนอกคือกาลสมบัติ จึงเปนไปสมบูรณ์บริสุทธ์ ปริยัติสัทธรรมกถาจบเท่านี้.
ถามว่าสิ่งใดเปนปฏิปัตติสัทธรรม
แก้ว่าไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ๓ สิกขานี้ ชื่อว่าปฏิปัตติสัทธรรม ศีลคือความสำรวมกายวาจา ตามสิกขาบทบัญญัติ ได้แก่ปาติโมกขสังวรศีล ซึ่งเปนเชฎฐกศีลสำเร็จด้วยอริยาสมมต แลวิรัติความเว้นจากวจีทุจจริต ๔ กายทุจจริต ๓ มิจฉาชีพ ๑ ซึ่งเรียกว่า อาชีวมัฏฐกศีล ๆ มีอาชีวเปนที่ ๘ อันเปนอาทิพรหมจริยกาสิกขา สำเร็จด้วยสมาทานเจตนาก็ดี ชื่อว่าสีลสิกขา สมาธิ ความตั้งใจอยู่ในอารมณ์อันเดียว คือกุสเลกัคคตา ความที่แห่งจิตต์มีอารมณ์อันเดียว เปนกุศลอันเกิดขึ้นด้วยสมถกรรมฐาน มีกสิณบริกรรมและอสุภบริกรรมเปนต้น ที่เรียกว่าอัปปนาสมาธิเพราะเปนสมาธิแอบแนบแน่นในอารมณ์ ฤๅเรียกว่าอัปปนาฌาน เพราะเปนของแอบแนบแน่นเพ่งอารมณ์ มีกสิณเปนต้นอยู่ก็ดี แลอุปจารสมาธิ ซึ่งเปนสมาธิยังไม่ถึงอัปปนาก็ดี ชื่อว่าสมาธิสิกขา ปัญญาความรู้เท่าซึ่งสังขาร คือนามรูปแลเบญจขันธ์เปนต้น ว่าเปนของไม่เที่ยงเปนทุกข์ใช่ตน ได้แก่วิปัสสนาปัญญา ตั้งแต่สัมมสนญาณจนถึงอนุโลมญาณ ซึ่งเกิดขึ้นด้วยวิปัสสนากรรมฐานนั้น ชื่อว่าปัญญาสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา ๓ นี้ชื่อว่าสิกขา เพราะเปนกิจการในสาสนา อันบุคคลผู้ประสงค์ความสิ้นทุกข์ จะพึงศึกษาสำเหนียกกระทำปฏิบัติตาม สิกขาศัพท์นี้ จะแปลว่าความศึกษาก็ได้ แปลว่าธรรมชาติอันบุคคลพึงศึกษาก็ได้ แต่ที่นี้ต้องแปลว่าธรรมชาติอันบุคคลพึงศึกษา เพราะศีล สมาธิ ปัญญา เปนธรรมชาติอันบุคคลจะพึงศึกษา ด้วยกล่าวไตรสิกขาเปนปฏิปัตติสัทธรรมนี้ ข้อปฏิบัติอันเศษ ซึ่งเปนอุปการแก่ไตรสิกขา คือวัตรประเพณีอันพระพุทธเจ้าแต่งตั้งไว้ในวินัยขันธก มีบรรพชาขันธ์แลอุโบสถขันธ์เปนต้นก็ดี แลข้อปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในพระสูตร มีอปัณณกปฏิปทาแลอริยวงศปฏิปทาเปนต้นก็ดี ข้อปฏิบัติเหล่านี้ก็เปนอันกล่าวว่าปฏิปัตติสัทธรรมด้วย ศีล สมาธิ นั้นดังกล่าวแล้ว แต่ปัญญานั้นในที่นี้เรียกว่าวิปัสนา เพราะท่านประสงค์ให้เห็นว่า ไตรสิกขาซึ่งจัดเปนปฏิปัตติสัทธรรมนี้ เปนโลกิยธรรม ไม่ใช่โลกุตตรธรรม ปฏิปัตติสัทธรรมนี้ เมื่อประดิษฐานอยู่ในพระอริยเจ้า ผู้มีสันดานอันบริสุทธ์ แลกัลยาณบุถุชน ผู้มีสันดานอันซื่อตรงกอปด้วยปัญญา แลอาศรัยกาลสมบัติด้วยก็สมบูรณ์บริสุทธ์ปราศจากโทษ คือสัทธรรมปฏิรูปก ดังทองเมื่อประดิษฐานอยู่ในมือแห่งคนที่ซื่อตรง ฉลาดดูรู้ของแท้แลเทียมฤๅอาศรัยกาลสมบัติด้วย ก็สมบูรณ์บริสุทธ์ปราศจากโทษ ชาตรูปปฏิรูปกของทำเทียม ปฏิปัตติสัทธรรมนี้ เมื่ออาศรัยกาลวิบัติก็ไม่สมบูณ์ แลอาศรัยบุถุชนผู้มีสันดาน ไม่ซื่อตรงกอปด้วยอคารวะมาก มุ่งต่อโลกามิษแล้ว ก็เปนของไม่สมบูรณ์บริสุทธ์ปราศจากโทษ คือปฏิปัตติสัทธรรมปฏิรูปกเกิดขึ้น ดังภิกษุวัชชีบุตร บัญญัติวัตถุ ๑๐ ประการในกาลก่อนนั้น เพราะเหตุนั้น ปฏิปัตติสัทธรรมเมื่อนำกันสืบ ๆ มา สิ้นกาลนานจนถึงกาลบัดนี้ ข้อปฏิบัติที่เปนของเท็จเทียมของปลอมที่ชื่อว่าสัทธรรมปฏิรูปก ก็เกิดขึ้นต่าง ๆ เมื่อเปนเช่นนี้ ผู้แสวงหาปฏิปัตติสัทธรรมที่จริงแท้ พึงทำตนให้เปนคนซื่อตรง แสวงหาในปริยัติสัทธรรมที่จริงที่แท้เถิด ก็คงจะรู้จะเห็น อนึ่งถ้ามีความเคลือบแคลงสงสัยในข้อปฏิบัติแลปริยัติบางแห่งแล้วไซร้ ก็พึงตัดสินด้วยธรรมที่พระผู้มีพระภาคสอนนางปชาบดีโคตมีดังนี้ว่า ดูกรนางโคตมี ท่านถ้ารู้ธรรมทั้งหลายใดว่า ธรรมทั้งหลายเหล่านี้เปนไปเพื่อความกำหนัดย้อมใจ ไม่เปนไปเพื่อความคลายกำหนัดฟอกใจ แลเปนไปเพื่อความประกอบไว้พร้อมด้วยทุกข์ ไม่เปนไปเพื่อความประกอบปราศจากทุกข์ แลเปนไปเพื่อสั่งสมกระทำขึ้นซึ่งวัฏฏะ ไม่เปนไปเพื่อความไม่สั่งสมทำขึ้นซึ่งวัฏฏะ แลเปนไปเพื่อความเปนผู้มีความอยากอันใหญ่หลวง ไม่เปนไปเพื่อความเปนผู้มีความอยากอันน้อย แลเปนไปเพื่อความไม่สันโดสยินดีด้วยวัตถุอันมีของตน ไม่เปนไปเพื่อสันโดส แลเปนไปเพื่อความเปนคนนับพร้อมเกี่ยวข้องในหมู่ ไม่เปนไปเพื่อความสงัดจากหมู่ แลเปนไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่เปนไปเพื่อความปรารภซึ่งความเพียร แลเปนไปเพื่อความเปนคนอันผู้อื่นเลี้ยงด้วยยาก ไม่เปนไปเพื่อความเปนคนอันผู้อื่นเลี้ยงด้วยง่าย เมื่อท่านถ้ารู้ดังนี้แล้วไซร้ ดูกรนางโคตมี ท่านพึงทรงไว้โดยส่วนอันเดียวเถิด ว่านั่นใช่ธรรมนั้นใช่วินัยนั่นใช่สัตถุสาสนคำสั่งสอนแห่งพระศาสดา ดูกรนางโคตมี ท่านถ้ารู้ธรรมทั้งหลายใด ว่าธรรมทั้งหลายเหล่านี้เปนไปเพื่อความคลายกำหนัดฟอกใจ ไม่เปนไปเพื่อความกำหนัดพร้อมย้อมใจ แลเปนไปเพื่อประกอบปราศจากทุกข์ ไม่เปนไปเพื่อประกอบไว้ด้วยทุกข์ แลเปนไปเพื่อความไม่สั่งสมกระทำขึ้นซึ่งวัฏฏะ ไม่เปนไปเพื่อความสั่งสมทำขึ้นซึ่งวัฏฏะ แลเปนไปเพื่อความเปนผู้มีความอยากอันน้อย ไม่เปนไปเพื่อความเปนผู้มีความอยากอันใหญ่หลวง แลเปนไปเพื่อความสันโดสยินดีด้วยวัตถุอันมีของตน ไม่เปนไปเพื่อไม่สันโดส แลเปนไปเพื่อความวิเวกสงัดจากหมู่ เปนไปเพื่อความปรารภซึ่งความเพียร ไม่เปนไปเพื่อความเกียจคร้าน แลเปนไปเพื่อความเปนคนอันผู้อื่นเลี้ยงด้วยง่าย ไม่เปนไปเพื่อความเปนคนอันผู้อื่นเลี้ยงด้วยยาก ดูกรนางโคตมี ท่านพึงทรงไว้เถิดโดยส่วนอันเดียวว่า นั่นธรรม นั่นวินัย นั่นสัตถุสาสนคำสั่งสอนแห่งพระศาสดา สุคโตวาทอันนี้ เปนแบบสำหรับตัดสินสัทธรรมที่จริงที่แท้ แลสัทธรรมปฏิรูปก ก็แลปฏิปัตติสัทธรรมนี้ แปลว่าสัทธรรมคือความไต่ไปดำเนิรไป ด้วยว่าไตรสิกขาเปนมรรคแห่งพระปรินิพพาน เมื่อกุลบุตรศึกษาปฏิบัติตาม ก็ชื่อว่าไต่ไปดำเนิรไปตามหนทางพระนฤพาน ก็แลปฏิปัตติสัทธรรมนี้ เปนของอาศรัยเหตุภายใน คือศรัทธากับปัญญา ๒ ประการ เกิดขึ้นสมบูรณ์บริสุทธดำรงอยู่ ปฏิปัตติสัทธรรมกถาจบเท่านี้ ฯ
ถามว่าปฏิเวธสัทธรรมนั้นอย่างไร
แก้ว่ามรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ชื่อว่าปฏิเวธสัทธรรม มรรคแปลว่าหนทาง ธรรม ๘ ประการ คือ สมฺมาทิฏฐิ ความเห็นชอบคือเห็นสัจจ ๔ สมฺมาสงฺกปฺโป ความดำริห์ชอบ คือความดำริห์กอปด้วยเนกขัมม อัพยาบาท วิหิงสา สมฺมาวาจา ความกล่าววาจาชอบ คือความเว้นจากวจีทุจจริต ๔ สมฺมากมฺมนฺโต การงารชอบคือเว้นจากกายทุจจริต ๓ สมฺมาอาชีโว ความเปนอยู่ชอบ คือความละมิจฉาชีพเลี้ยงชีวิตด้วยความเพียรเปนเครื่องเปนอยู่ชอบ สมฺมาวายาโม ความพยายามชอบ คือสัมมัปปธาน ๔ สมฺมาสติ ความระลึกชอบ คือสติปัฏฐาน ๔ สมฺมาสมาธิ ความตั้งใจไว้ชอบคือฌาน ๔ เจตสิกธรรม ๘ นี้ชื่อว่าองค์แห่งมรรค ประชุมแห่งธรรม ๘ ที่เกิดขึ้นพร้อมกันทำกิจของตนนั้น ๆ ชื่อว่ามรรค เพราะเปนทางแห่งพระนิพพาน โดยโวหารบัญญัติแห่งพระพุทธเจ้า เพราะเหตุนั้น พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่ามรรค เปนของพระอริยเจ้าประกอบด้วยองค์ ๘ ผลนั้นแปลว่าความเผล็ดออก คือความแก่ความสุกมาแต่มรรค ได้แก่ความรำงับแห่งประโยคในการออกจากกิเลสแห่งสัมมาทฤษฐิเปนต้นนั้น ชื่อว่าผล ซึ่งว่ามรรคว่าผลนั้น คือโสดาปัตติมรรค คือโสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล ซึ่งมรรคผลเปนสิ่งละ ๔ ๆ นี้ตามนิยมที่มละกิเลสนั้น ๆ ได้ และคุณที่สำเร็จมาแต่การละกิเลส จะกล่าวด้วยกิเลสที่มรรคนั้น ๆ จะพึงมละได้ก่อน สังโยชน์ มี ๑๐ คือ สกฺกายทิฏฐิ ความเห็นว่ารูปโดยความเปนตัวตนเปนเรา ดังนี้เปนต้น ๑ วิจิกิจฺฉา ความเคลือบแคลงสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แลในกาลทั้งสาม ๑ สีลพฺพตปรามาโส ความลูบคลำคือว่าบริสุทธิ์ด้วยศีลแลวัตภายนอกสาสนา คือปรกติธรรมเนียมดังโคเปนต้น ๑ กามราโค ความกำหนัดความย้อมใจในกามคุณมีสิ่งที่ตาเห็นเปนต้น ๑ พฺยาปาโท ความปองร้ายโทษวิการ คิดการพินาศให้แก่สัตว์อื่น ๑ รูปราโค ความกำหนัดยินดีในรูป คือรูปาพจรฌาณแลรูปาพจรภพ ๑ อรูปราโค ความกำหนัดยินดีในอรูปาพจรฌานแลอรูปาพจรภพ ๑ มาโน ความสำคัญว่าเปนเรา ๆ ประเสริฐ เราเหมือนเขาเราต่ำกว่าเขาเปนต้น ๑ อุทฺธจฺจํ ความฟุ้งสร้านไม่สงบใจ ๑ อวิชฺชา ความไม่รู้แจ้งซึ่งสัจจของจริงสี่ ๑ กิเลส ๑๐ นี้ชื่อว่าสังโยชน์ เพราะเปนของประกอบเปนของสืบซึ่งขันธ์ด้วยขันธ์ แลสืบซึ่งกรรมด้วยผล อนึ่งเพราะเปนของประกอบสัตว์ไว้กับด้วยทุกข์ จึงได้ชื่อว่าสังโยชน์ สกฺกายทิฏฺฐิ วิจิกิจฺฉา สีลพฺพตปรามาส กามราค พยาบาท ๕ นี้ ชื่อว่าโอรัมภาคิยสังโยชน์ แปลว่าสังโยชน์เปนส่วนข้างล่างคือกามภพ เพราะเปนของทำสัตว์ให้เกิดในกามภพ ซึ่งเปนส่วนเบื้องต่ำ สังโยชน์เบื้องบน ๕ คือรูปราค อรูปราค มานอุทฺธจฺจ อวิชฺชา ชื่อว่าสังโยชน์เปนส่วนเบื้องบนเพราะเปนกิเลสอันละเอียด มีแก่สัตว์ที่บังเกิดในรูปภพแลอรูปภพ แลกระทำสัตว์ให้บังเกิดในรูปภพแลอรูปภพ จึงชื่อว่า อุทฺธมฺภาคิยสังโยชน์ โสดาปัตติมรรคฆ่าตายมละได้ซึ่งสังโยชน์ ๓ คือ สกฺกายทิฏฺฐิ วิจิกิจฺฉา สีลพฺพตปรามาส กับมละกามฺราคพยาบาท ที่เปนอบายคามิ เปนกิเลสกล้ายังสัตว์ให้ไปบังเกิดในอบายได้ กามราคพยาบาทสองนี้ ที่เปนส่วนหยาบ สกิทาคามิมรรคฆ่าตาย มละได้ เพราะสกิทาคามิมรรค ทำราคะ ทำโทส ทำโมหะให้บางเบา จึงมละกิเลสเช่นนั้นได้ กามราคพยาบาทสองสังโยชน์ ซึ่งเปนกิเลสอันละเอียดอันเหลืออยู่นั้น อนาคามิมรรคฆ่าตายมละได้ทีเดียว อุทฺธมฺภาคิยสังโยชน์เบื้องท้าย ๕ นั้น อรหัตตมรรคฆ่าตาย มละได้ ขาดไม่เหลือเลยสิ้นเชิง นี่แลซึ่งว่ามรรคมีเปน ๔ โดยนิยมแห่งกิเลสปหาน การมละกิเลสนั้นดังนี้ แลให้นักปราชญ์พึงรู้เถิด ส่วนผลซึ่งว่า ๔ นั้น ก็ตามนิยมแห่งมรรค เพราะว่าโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นสำเร็จกิจของตน คือฆ่าสังโยชน์ ๓ ขาดแล้วดับไป โสดาปัตติผลจึงเปนคุณ คือความรำงับแห่งความขวนขวายในที่จะฆ่าสังโยชน์อันนั้นอิก ก็เกิดขึ้นในลำดับแห่งโสดาปัตติมรรคนั้น แม้สกิทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผลก็เหมือนกัน เพราะว่าเปนคุณความรำงับแห่งประโยคในที่จะออกจากกิเลส ฆ่ากิเลสนั้น ๆ เกิดขึ้นในลำดับแห่งมรรคนั้น ๆ นี่แลผลซึ่งว่าเปน ๔ โดยนิยมแห่งประโยคปัสสัทธิ ความรำงับแห่งประโยคนั้นดังนี้ อนึ่งมรรคเปนเหตุ คือเปนโลกุตตรกุศล ผลเปนความแก่สุกแห่งมรรค คือเปนโลกุตตรวิบาก ผลมาแต่มรรค ๆ มาแต่โคตรภู ๆ มาแต่อนุโลม ๆ มาแต่อุปจาร ๆ มาแต่สังขารุเบกขาญาณ ๆ คือตัววิปัสนาปัญญา ที่มีกำลังกล้ากว่าวิปัสนาญาณทั้ง ๗ มีสัมมสนญาณเปนต้น มรรคกับผลบังเกิดในวิถีจิตต์อันเดียวกัน จิตต์ที่เปนกุศลก็ดี เปนอกุศลก็ดี เปนในขณะแห่งชวะนะคือความแล่นไปแห่งจิตต์ ชะวะนะจิตต์แล่นไปคือเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ๗ ครั้งเปนอย่างยิ่ง พระโยคาพจรเห็นสังขารไม่เที่ยงเปนทุกข์ใช่ตน ด้วยปัญญาอันแก่กล้าเพิกเฉยสังขารทั้งปวง ความเห็นดังนี้ชื่อว่าสังขารุเปกขาญาณ ๆ เมื่อมีกำลังกล้าแล้วในขณะมรรคจะเกิดขึ้นนั้น จิตต์อันสัมปยุตด้วยสังขารุเปกขาญาณลงสู่ภวังคแล้ว มโนทวาราวัชชะนะจิตต์ซึ่งเปนกิริยาเกิดขึ้นแล้ว ชะวะนะจิตต์แล่นไป ๗ ครั้ง ชะวะนะจิตต์ที่ต้นชื่อว่าบริกรรม ชะวะนะจิตต์ที่สองชื่อว่าอุปจาร ชะวะนะจิตต์ที่สามชื่อว่าอนุโลม ชะวะนะจิตต์ที่สี่ชื่อโคตรภู ชะวะนะจิตต์ที่ห้าเปนวาระแห่งมรรค ชะวะนะจิตต์ที่ ๖ ที่ ๗ ชื่อว่าผลปัญญาที่มีในจิตต์ขณะทั้ง ๓ คือบริกรรมอุปจารอนุโลมนั้นรวมกันเข้าเรียกว่าอนุโลมญาณ เพราะเปนของอนุโลมแก่วิปัสนาญาณทั้งแปด มีสัมมสนญาณเปนต้นในเบื้องต่ำ แลเปนของอนุโลมแก่โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ในเบื้องบน ปัญญาในขณะจิตต์ชื่อว่าโคตรภูนั้น เรียกว่าโคตรภูญาณ เพราะเปนปัญญาครอบงำเสียซึ่งโคตร คือภูมิ์แห่งบุถุชนจะหยั่งลงสู่อริยภูมิ์ ปัญญาในขณะมรรคจิตต์นั้น ชื่อว่ามรรคญาณ เพราะกระทำกิจ ๔ ประการ คือปริญญากำหนดรู้ทุกข์ ๑ ปหานมละกิเลส ๑ สัจฉิกิริยาเห็นพระนิพพาน ๑ ภาวนาให้มรรคเกิดขึ้น ๑ ปัญญาในขณะผลจิตต์นั้นชื่อว่าผลญาณ เพราะเปนความรำงับแห่งประโยคในที่จะมละกิเลส ก็อนุโลมญาณ ๓ นั้น เปนโลกิยกุศล โลกิยปัญญากระทำสังขารเปนอารมณ์ โดยความไม่เที่ยงเปนทุกข์ใช่ตน แลญาณที่สุดแห่งวุฏฐาคามินีวิปัสนา ซึ่งมีสังขารเปนอารมณ์ ว่าโดยนิราวเศษโคตรภูญาณเปนที่สุดแห่งวุฏฐาคามินีวิปัสนา แต่ทว่าเปนโลกิยปัญญา ปล่อยสังขารยึดพระนิพพานเปนอารมณ์ แลเปนญาณตั้งอยู่ในที่เปนอาวัชชนะแห่งมรรค โลกิยปัญญาอันเห็นพระนิพพาน ก็มีอยู่แต่โคตรภูญาณนี้สิ่งเดียว แต่ทว่ามละกิเลสไม่ได้ มรรคญาณเปนโลกุตตรกุศลโลกุตตรปัญญา กระทำพระนิพพานเปนอารมณ์ฆ่ากิเลสได้ จึงจัดเปนโลกุตตระกุศลโลกุตตระปัญญา ผลญาณก็เปนโลกุตตระปัญญากระทำพระนิพพานเปนอารมณ์ แต่ทว่าไม่ต้องฆ่ากิเลสเปนแต่อานิสงส์คือความรำงับแห่งความขวนขวายที่จะฆ่ากิเลสเท่านั้น จึงจัดเปนโลกุตตรวิบาก เปนผลสุกมาแต่มรรค อนึ่งผลจิตต์ในมรรควิถีนี้เปน ๓ ก็มี เพราะอนุโลมจิตต์เปนแต่ ๒ ไม่เปน ๓ ดังวารก่อน โคตรภูจิตต์เปนที่ ๓ มรรคจิตต์เปนที่ ๔ ผลจิตต์จึงเปนที่ ๓ ดังนี้ ก็แลผลจิตต์นั้นลงสู่ภวังคแล้ว มโนทวาราวัชชวนะจิตต์เกิดขึ้นแล้ว ต่อไปมรรคปัจจเวกขณะญาณคือปัญญาที่พิจารณามรรค ก็เกิดขึ้นวิ่งไป ๗ ครั้งเหมือนกัน แม้ถึงผลปัจจเวกขณะญาณ ปัญญาพิจารณาผล และปหีนกิเลสปัจจเวกขณะญาณ ปัญญาพิจารณากิเลสที่มรรคมละแล้วก็ดี แลอวสิฏฐกิเลสปัจจเวกขณญาณ ปัญญาพิจารณากิเลสที่เหลืออยู่ก็ดี แลนิพพานปัจจเวกขณะญาณ ปัญญาพิจารณาซึ่งพระนิพพานก็ดี เหล่านี้ก็เกิดตามลำดับโดยนิยมดังกล่าวแล้ว ในมรรคปัจจเวกขณะนั้น ปัจจเวกขณะญาณทั้ง ๕ นี้ ย่อมเกิดมีแก่พระอริยเจ้าเบื้องต่ำ ๓ คือพระโสดาบัน พระสกิทาคามิ พระอนาคามิ แต่พระอรหันต์นั้นมีแต่ ๔ ด้วยอวสิฏฐกิเลสปัจจเวกขณะญาณนั้นไม่มี ซึ่งกล่าวมานี้ไม่นิยมว่ามรรคนี้ไม่นิยมว่าผลใด เปนแต่กล่าวโดยสามัญ เพื่อจะให้รู้ลำดับวารแห่งมรรค แลวารแห่งผลจิตต์เท่านั้น ก็แลมรรคผลทั้ง ๔ ละสิ่ง ๆ เกิดในจิตต์วารอันเดียวทุกมรรค ๆ ไม่เกิดหลายครั้งเหมือนดังผล ส่วนผลทั้ง ๔ นั้นละสิ่ง ๆ ในมรรควิถีอันหนึ่ง ๆ เกิด ๒ ครั้งบ้าง ๓ ครั้งบ้าง ดังหนึ่งกล่าวมาแล้ว แต่ในผลสมาบัติวิถี คือคราวพระอริยเจ้านั้น ๆ จะเข้าสู่ผลสมาบัติ ตามผลนิยมแห่งตน ๆ ผลจิตรนั้นเกิด ๓ ครั้งบ้าง ๔ ครั้งบ้าง เพราะมรรคจิตต์นั้นไม่มีในวิถีแห่งผลสมาบัติ ด้วยว่ากิจที่จะฆ่ากิเลสที่มรรคนั้น ๆ ฆ่าแล้วนั้น ไม่มีอีกเลยแก่พระอริยเจ้าผู้ได้แล้วซึ่งผลนั้น อนึ่งพระอริยเจ้าผู้ได้ซึ่งโสดาปัตติผลแล้ว ชื่อว่าพระโสดาบัน ๆ นั้น บางองค์นั่งอยู่ในอาสนะที่ได้ผลนั้นเอง เจริญวิปัสนาต่อ ๆ ขึ้นไป ได้สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล แลอนาคามิมรรค แลอนาคามิผล แลอรหัตตมรรค แลอรหัตตผล โดยลำดับก็มี บางองค์ลุกจากอาสนะนั้นแล้ว ไปในสมัยอื่นเจริญวิปัสนาต่อ ๆ ขึ้นไปแล้ว แต่ได้ถึงซึ่งมรรคแลผลนั้น ๆ โดยลำดับก็มี ก็แลโสดาปัตติมรรค ก็แลโสดาปัตติผล แปลว่ามรรค แปลว่าผล แห่งพระผู้แรกถึงซึ่งธรรมชื่อว่าโสตะ คือมรรคโสตะศัพท์นี้ แปลว่ากระแสน้ำ แต่ในที่นี้โสตศัพท์นี้เปนชื่อแห่งมรรค เพราะว่ามรรคเปนประดุจหนึ่งว่ากระแสน้ำอันหนึ่งที่จะชักพาให้สัตวถึงพระนิพพาน เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า นิพฺพานนินฺนา ภิกฺขเว สมฺมาทิฏฺฐิ นิพฺพานโปณา นิพฺพานปพฺภารา ว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิษฐิ ความเห็นชอบ ซึ่งเปนประธานแห่งองค์มรรค ย่อมเปนธรรมอันลุ่มไปสู่พระนิพพาน เปนธรรมอันน้อมไปสู่พระนิพพาน ดังกระแสแห่งน้ำไหลไปสู่มหาสมุททเลใหญ่ฉนั้น พระอริยเจ้าผู้ถึงมรรคผลที่ต้นนี้ ชื่อว่าเปนคนแรกลงสู่กระแสแห่งพระนิพพานคือมรรค สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล แปลว่ามรรค แปลว่าผล แห่งพระผู้มาคราวเดียว เพราะว่าพระอริยเจ้าผู้ถึงซึ่งผลที่ ๒ นี้ ย่อมจะมาเกิดในกามภพนี้อีกครั้งเดียว แล้วจักกระทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ คือถึงพระอรหัตตแล้วแลดับขันธ์ด้วยอนุปาทิเสสธาตุนิพพาน อนาคามิมรรค อนาคามิผล แปลว่ามรรค ว่าผลแห่งพระผู้ไม่มา เพราะว่าพระอริยเจ้าผู้ได้ซึ่งผลที่ ๓ นี้ ย่อมจะไปบังเกิดณพรหมโลกชื่อว่าสุธาวาส แล้วแลปรินิพพานในพรหมโลกนั้น มิได้กลับมาเกิดในกามภพนี้อิกเปนธรรมดา อรหัตตมรรค แปลว่ามรรคเปนที่มาแห่งความเปนพระอรหันต์ อรหัตตผล แปลว่าผลคือความเปนพระอรหันต์ พระอริยเจ้าผู้ได้ผลที่ ๔ นี้ ชื่อว่าพระอรหันต์ เปนผู้ไกลกิเลสดับขันธ์แล้วไม่มีภพใหม่ ก็แลมรรคนั้นเปนผู้ฆ่ากิเลส ดังพระมหากระษัตริย์กระทำศึกด้วยพระมหากระษัตริย์ ซึ่งเปนข้าศึกในพระราชธานีอื่น จับกระษัตริย์ซึ่งเปนศัตรูฆ่าเสีย ผลเปนอานิสงส์แห่งมรรคที่พระอริยเจ้าจะพึงได้จะพึงเสวย ดังราชสมบัติอันพระมหากระษัตริย์นั้นพิฆาฏฆ่าซึ่งกระษัตริย์ผู้เปนศัตรูแล้ว ได้เสวยเปนสุขสำราญฉนั้น ฯ
ถามว่า นิพพาน แปลว่าอะไร
แก้ว่านิพพานแปลว่าธรรมเปนที่ดับแห่งกิเลสัคคิ เพลิงคือกิเลส และทุกขัคคิ เพลิงคือทุกข์ ราคความกำหนัดโทสความประทุษร้าย โมหะความหลง ๓ นี้ชื่อว่ากิเลสัคคิ ชาติความเกิด ชราความแก่ มรณความตาย โสกความแห้งใจ ปริเทวความสอื้นอาลัย ทุกขความเจ็บกาย โทมนัสสความเสียใจ อุปายาสความคับแค้นใจ เหล่านี้ชื่อว่าทุกขัคคิ กิเลสัคคิแลทุกขัคคิเหล่านี้ เมื่อถึงพระนิพพานแล้วแลดับไป ไม่มีในพระนิพพาน เพราะฉนั้น นิพพานจึงแปลว่าเปนธรรมเปนที่ดับแห่งเพลิงคือกิเลสแลเพลิงคือทุกข์ ด้วยกล่าวว่าเพลิงทุกข์คือชาติ แลชรามรณดับไม่มีในพระนิพพานนั้น ให้นักปราชญ์พึงรู้เถิด ว่าขันธ์ทั้ง ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีในพระนิพพาน ด้วยเหตุว่าความบังเกิดนั้น คือมีขึ้นเปนขึ้นแห่งเบญจขันธ์ชื่อว่าชาติ ความแก่เก่าสุกรอบแห่งเบญจขันธ์ชื่อว่าชรา เมื่อกล่าวว่าชาติแลชราดับก็ได้ชื่อว่ากล่าวปัญจขันธ์ดับไม่มีในพระนิพพาน ด้วยพระนิพพานเปนวิสังขาร ปราศจากสังขารคือนามรูป เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสไว้ว่า เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ สพฺพสํขารสมโถ สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ตณฺหกฺขโย วิราโค นิโรโธ นิพฺพานํ แปลว่า เอตํ สนฺตํ ธรรมชาตินั้นเปนของรำงับเปนของละเอียด เอตํ ปณีตํ ธรรมชาตินั้นประณีตอุดม ยทิทํ อะไรนี้ คือว่า สพฺพสํขารสมโถ ธรรมเปนที่รำงับแห่งสังขารทั้งปวง สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ธรรมเปนที่สลัดซึ่งอุปธิทั้งปวง ตณฺหกฺขโย ธรรมเปนที่สิ้นไปแห่งตัณหา วิราโค ธรรมเปนที่หน่ายคายเครื่องย้อมสันดานคือกิเลส นิโรโธ ธรรมเปนที่เงียบ หาย นิพฺพานํ ธรรมเปนที่ดับ คำเหล่านี้เปนชื่อแห่งพระนิพพานทั้งสิ้น ด้วยคำว่า สพฺพสํขารสมโถ สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค นี้แสดงว่า สรรพสิ่งทั้งปวงซึ่งเปนเหตุภายใน คือกุสลากุสลแลกิเลสก็ดี แลผลภายในคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเปนวิบากขันธ์ก็ดี แลเหตุภายนอกมีระดูเปนต้นก็ดี แลผลภายนอกมีต้นไม้แผ่นดิน แผ่นฟ้าอากาศอาทิตย์จันทร์เปนต้นก็ดี ไม่มีในพระนิพพาน ด้วยว่าความเพียรก็ชื่อว่าสังขาร กุสลากุสลก็ชื่อว่าสังขาร สิ่งทั้งปวงที่เกิดด้วยเหตุภายใน คือกุสลากุสลดังปัญจขันธ์ก็ดี แลสิ่งที่เกิดด้วยเหตุภายนอกมีระดูแลต้นไม้แผ่นดินเปนต้นก็ดี ก็ชื่อว่าสังขาร สังขารทั้งปวงเหล่านี้ไม่มีในพระนิพพาน ๆ จึงชื่อว่า สพฺพสํขารสมโถ เปนที่รำงับแห่งสังขารทั้งปวง แลกิเลสก็ชื่อว่าอุปธิ กุสลากุสลก็ชื่อว่าอุปธิ ปัญจขันธ์ก็ชื่อว่าอุปธิ กิเลสกามแลวัตถุกามก็ชื่อว่าอุปธิ ๆ ทั้งปวงเหล่านี้ ไม่มีในพระนิพพาน ๆ จึงชื่อว่า สพฺพูปธิ ปฏินิสฺสคฺโค เปนที่สลัดคืนอุปธิทั้งปวง อนึ่งด้วยคำทั้ง ๒ นั้นแสดงว่าพระนิพพานไม่มีสีเขียวเหลืองเปนต้น แลสัณฐานยาวแลสัณฐานสั้นใด ๆ แลไม่มีที่ประดิษฐานณทิศใดณตำบลใด ไม่มีธรรมสิ่งใดเปนอารมณ์ แต่เปนอารมณ์แห่งอริยมรรคปัญญา เพราะเหตุฉนั้น พระผู้มีพระภาคจึงได้เปล่งอุทานวาจาว่า อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนอันนั้นมีอยู่ ยตฺถ ในอายตนไรเล่า เนว ปถวี ดินก็หาไม่เลย น อาโป น้ำก็หาไม่ น เตโช ไฟก็หาไม่ น วาโย ลมก็หาไม่ น อากาสาณฺจายตนํ อากาสานัญจายตนก็หาไม่ น วิฺาณฺจายตนํ วิญญาณัญจายตนก็หาไม่ น อากิฺจฺายตนํ อากิญจัญญายตนก็หาไม่ น เนว สฺานาสฺายตนํ เนวสัญญานาสัญญายตนก็หาไม่ นายํ โลโก โลกนี้ก็หาไม่ น ปโร โลโก โลกหน้าก็หาไม่ น อุโภ จนฺทิมสุริยา จันทร์แลอาทิตย์ทั้งสองก็หาไม่ ตทปหํ ภิกฺขเว เนว อาคตึ วทามิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนแม้นั้น ว่ามีกิริยาอันมาดังมาจากบ้านโน้นมาถึงบ้านนี้ น คตึ เราย่อมไม่กล่าวว่ามีกิริยาอันไป ดังไปจากบ้านนี้ถึงบ้านอื่น น ฐิตึ เราย่อมไม่กล่าวว่ามีกิริยาอันหยุดอยู่ น จุตึ เราย่อมไม่กล่าวว่ามีความเคลื่อน น อุปฺปตฺตึ เราย่อมไม่กล่าวว่ามีความบังเกิดขึ้น อปฺปติฏฺฐํ อายตนนั้นเปนธรรมไม่ตั้งอยู่ณที่ใด ๆ ฤๅไม่มีที่ตั้ง ว่าอยู่ในทิศใดในตำบลใด อปฺปวฏฺฏํ เปนของไม่มีวัฏฏะความหมุนไป อนารมฺมณํ เปนของไม่มีธรรมชาติสิ่งใดเปนอารมณ์ เอเสว สนฺโต ทุกฺขสฺส นั่นแลเปนที่สุดแห่งทุกข์ พระสูตรอันนี้แสดงลักษณะแห่งนิพพาน ด้วยคำว่าดินน้ำลมไฟก็หาไม่ แสดงว่ารูปไม่มีในพระนิพพาน ๆ เปนอรูปธรรม ด้วยคำว่าอากาสาณัญจายตนเปนต้น ว่าไม่มีนั้นแสดงว่านามธรรม คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แม้ละเอียดสุขุม ประหนึ่งว่าจะไม่มีดังเนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่มีในพระนิพพาน พระนิพพานเปนอนามธรรม ใช่อารัมณิกนามธรรม ตัวนามกอปด้วยอารมณ์เปนเครื่องยึด ก็แลในประเภทแห่งธรรม แสดงนามรูปบางแห่งท่านจัดพระนิพพานเข้าในประเภทแห่งนามธรรมนั้น ประสงค์ว่าพระนิพพานเปนอารมณ์แห่งอริยมรรคปัญญาควรพระอริยเจ้าน้อมเข้ามาด้วยจิตต์อันสัมปยุตด้วยมรรคแลผลได้เท่านั้น ใช่จะแสดงว่าพระนิพพานเปนอารัมณิกนามธรรม คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญา สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็หาไม่ แลจะแสดงว่าเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีในพระนิพพานก็หาไม่ ด้วยคำว่าโลกนี้ ก็หาไม่เปนต้นนั้น แสดงว่าไม่มีที่ประดิษฐานอยู่ในทิศใดตำบลใด แลไม่ประดิษฐานดำรงอยู่ในทิศใดตำบลใด ด้วยคำนี้แลห้ามความเห็นผิดแห่งพาลชนทุกวันนี้ ถือว่าพระนิพพานเปนเมืองแก้วอันวิเศษเกษมไพศาลสำราญนิราสภัย แลห้ามความถือว่าพระนิพพานเปนดังรูปฟัก ฤๅดังรูปพรหม ไม่มีจิตต์สัญญา นอนนิ่งอยู่สิ้นกาลทั้งปวงด้วย ถามว่าถ้าอย่างกล่าวมานี้ ความสูญเปล่าไม่มีแห่งสรรพสิ่งทั้งปวง นั่นฤๅเปนพระนิพพาน แก้ว่าหาไม่ ถ้าว่าความสูญเช่นนั้นเปนพระนิพพานแล้วไซร้ พระนิพพานก็ชื่อว่าไม่มี คำที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อายตนคือพระนิพพานนั้นมีอยู่คำนั้นก็ผิด พระนิพพานเปนของมีแท้ จึงเปนทุกขนิโรธาริยสัจ ของจริงของพระอริยเจ้าส่วนหนึ่ง เปนอสาธารณธรรมไม่ทั่วไปแก่บุถุชน ๆ ไม่อาจเห็นได้ เพราะไม่มีดวงตาคืออริยมรรคญาณ ดังพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าท่านได้รู้แจ้งเห็นประจักษ์ด้วยอริยมรรคปัญญา ดังบุคคลผู้ได้เจโตปริญญาณรู้จิตต์วารแห่งผู้อื่นฉนั้น แลบุถุชนไม่เห็นธรรมสิ่งใดจะกล่าวว่า ธรรมสิ่งนั้นไม่มีนั้นไม่ได้ อนึ่งถ้าจะว่าพระนิพพานไม่มีแล้วไซร้ สัมมาปฏิปทา คือ อริยมรรคอันประดับด้วยองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเปนต้น ซึ่งสงเคราะห์ด้วยไตรสิกขานั้น ก็จะเปนหมันไป ไม่ออกผลคือให้ถึงพระนิพพานได้ อนึ่งจะว่าอริยมรรคไม่เปนหมัน เพราะให้ถึงความไม่มีแห่งปัญจขันธ์ ที่เปนที่ตั้งแห่งความทุกข์ในเบื้องหน้าเล่าไซร้ก็ไม่ชอบ เพราะความถึงพระนิพพาน ในความไม่เปนไม่มีแห่งปัญจขันธ์ ซึ่งเปนอดีต อนาคตนั้นไม่มี อนึ่งจะประสงค์ว่าความไม่เปนไม่มีแห่งปัญจขันธ์ที่เปนปัจจุบันนั้น เปนพระนิพพานเล่าก็ไม่ชอบ เพราะขณะแห่งอริยมรรคปัญญาบังเกิดขึ้นเห็นพระนิพพานนั้น ปัญจขันธ์ก็ยังมีปรากฎฉะเพาะหน้าอยู่ไม่สูญไป อนึ่งความถึงสอุปาทิเสสนิพพานเล่า ก็มีเปนในขณะมรรคอาศรัยซึ่งปัญจขันธ์ ซึ่งเปนปัจจุบันเกิดขึ้น อนึ่งประสงค์ว่าความไม่มีไม่เปนแห่งกิเลสเปนปัจจุบัน นั่นและเปนพระนิพพานเล่าไซร้ อริยมรรคก็จะเปนของไม่มีประโยชน์ เพราะว่าก่อนแต่อริยมรรคบังเกิด กิเลสก็ไม่มีไม่เปนไปอยู่แล้ว ด้วยอำนาจโลกิยวิปัสสนาปัญญา อนึ่งถ้าจะประสงค์ว่าความไม่มีกิเลส เปนพระนิพพานแล้วไซร้ นอนหลับสนิทก็จะเปนพระนิพพานได้ เพราะกิเลสไม่มีในเวลาหลับสนิทนั้น อนึ่งจะประสงค์ความสิ้นแห่งราคะ ความสิ้นแห่งโทสะ ความสิ้นแห่งโมหะ ตามชมพูขาทกสูตรเปนต้น ว่าเปนพระนิพพานแล้วไซร้ โทษก็มีมาก คือพระนิพพานก็จะเปนอิตรกาล มีกาลมีเวลานิดหนึ่งครู่หนึ่ง แต่เพียงสิ้นกิเลสไปเท่านั้น อย่างหนึ่งก็จะตกลงในลักษณะแห่งสังขตธรรม อย่างหนึ่งก็จะเปนของได้ด้วยง่าย ไม่พึงมีสัมมาวายามก็จะพึงถึงได้ ก็แลเมื่อตกลงในลักษณะแห่งสังขตธรรม เพราะมีกาลครู่หนึ่งแล้วไซร้ พระนิพพานจะนับเนื่องเข้าในสังขตธรรม เพราะเนื่องเข้าในสังขตธรรม ก็จะเปนของร้อนด้วยเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ เพราะเปนของร้อน พระนิพพานก็จะเปนทุกข์ อนึ่งราคาทิขัยความสิ้นราคเปนต้น เปนพระนิพพานแล้วไซร้ พระนิพพานก็จะมีมาก ความสิ้นราคะ โทสะ โมหะ ก็จะเปนพระนิพพานอันหนึ่ง ๆ อิกอย่างหนึ่งพระนิพพานก็จะเปนของหยาบ แม้คนพาลก็จะพึงรู้ได้ด้วยง่าย อย่างหนึ่งพระนิพพานก็จะไม่เปนอารมณ์แห่งโคตรภูญาณแลมรรคได้ อนึ่งจะประสงค์ว่า ตั้งแต่ความสิ้นกิเลสอันใดไป กิเลสอันนั้นไม่เปนต่อไปได้อีก ขยความสิ้นกิเลสเช่นนั้นเปนพระนิพพานเล่าไซร้ก็ไม่ชอบ เพราะขยความสิ้นเช่นนั้น ไม่มีไม่เปน ถ้าหากว่ามีเปนก็ไม่พ้นโทษดังกล่าวมาได้ อนึ่งอริยมรรคก็จะเปนพระนิพพานไป เพราะว่ามรรคแลผลพระผู้มีพระภาคกล่าวชื่อว่า ราคกฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย เหมือนชื่อพระนิพพานก็มีอยู่ ราคกฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย ถ้าเปนชื่อแห่งมรรค ต้องแปลว่าเปนธรรมเปนเหตุสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ เพราะฆ่ากิเลสเปนกิจแห่งมรรค ถ้าเปนชื่อแห่งผล ต้องแปลว่าความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ เพราะอรหัตตผลเกิดขึ้นในที่สุดแห่งความสิ้นกิเลส ถ้าเปนชื่อแห่งพระนิพพาน ต้องแปลว่าธรรมเปนที่สิ้นแห่งราคะ โทสะ โมหะ เพราะว่ากิเลสมาถึงพระนิพพาน ซึ่งเปนอารมณ์แห่งมรรคแล้วแลสิ้นไป ตั้งแต่อริยมรรคเปนเครื่องสิ้นไปแห่งกิเลสเกิดขึ้น กิเลสไม่เปนต่อไปอีกได้ อริยมรรคจึงเปนอนุปปัตตินิโรธ ดับทีเดียวแห่งกิเลสไม่เกิดอีก ส่วนพระนิพพานย่อมเปนอุปนิสัยแก่อริยมรรคนั้น คือว่าเปนอารมณ์อันปัจจัยมีกำลังแก่อริยมรรคนั้น โดยปริยายพระนิพพานนั้น พระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่า ราคกฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย ธรรมเปนที่สิ้นแห่งราคะ โทสะ โมหะ กล่าวดังนี้ด้วยผลูปจารโวหาร คือกล่าวเหตุด้วยผล ในที่นี้ประสงค์พระนิพพานเปนเหตุมรรคเปนผล เพื่อจะชี้อธิบายบทว่า ราคกฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย นี้เท่านั้น ถ้าจะกล่าวโดยเหตุผลตามอริยสัจจกถา มรรคเปนเหตุพระนิพพานเปนผล อนึ่งความว่างเปล่าแลความไม่มีไม่เปนแห่งปัญจขันธ์เปนต้น แลความสักว่าสิ้นไปแห่งกิเลสเปนพระนิพพานแล้วไซร้ ที่ไหนพระผู้มีพระภาคจะกล่าวว่าพระนิพพานเปนของลึก แลกล่าวว่าเปนอสังขตธรรมเล่า พระผู้มีพระภาคกล่าวพระนิพพานเปนของฦกไว้ดังนี้ว่า คมฺภีโร จายํ ธมฺโม ธรรมคือพระนิพพานนี้เปนของฦก ทุทฺทโส อันบุคคลเห็นด้วยยาก ทุรานุโพโธ อันบุคคลตรัสรู้ตามด้วยยาก สนฺโต เปนของรำงับ ปณีโต เปนของประณีต อตกฺกาวจโร ไม่เปนที่ลงเที่ยวไปแห่งความวิตก คือปุถุชนจะตรึกนึกคาดคเนเอาเองไม่ได้ นิปุโณ เปนของละเอียด ปณฺฑิตเวทนิโย เปนของอันบัณฑิตคือพระอริยเจ้าจะพึงรู้แจ้ง ปุถุชนไม่รู้แจ้ง ก็และพระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า เปนอสังขตธรรมนั้น โดยนัยหลายอย่าง อธิบายโดยสังเขปดังนี้ว่า ธรรมทั้งปวงกล่าวโดยย่อมีประเภท ๒ คือสังขตธรรมแลอสังขตธรรม สังขตธรรมแปลว่าธรรมอันปัจจัย คือรดูแลกุสลากุสล เปนต้น ตกแต่งให้มีให้เปนขึ้น ได้แก่สังขารทั้งปวง ดังรูปภายในภายนอกก็ดี แลอารัมมณิกนามธรรม อันเปนกุศลจนกระทั่งถึงมรรคถึงผลก็ดี แลอกุศลทั้งปวงก็ดี แลอพยากตธรรมซึ่งเปนอารัมมณิกธรรมก็ดี ชื่อว่าสังขตธรรม เพราะประกอบด้วยสังขตลักษณสามดังนี้ คือความเกิดขึ้นย่อมปรากฎอย่างหนึ่ง ความดับไปย่อมปรากฎอย่างหนึ่ง ความตั้งอยู่แปรไปเปนอย่างอื่นย่อมปรากฎอย่างหนึ่ง เพราะประกอบด้วยสังขตลักษณะสามดังนี้ จึงชื่อว่าสังขตธรรม อสังขตธรรมแปลว่าธรรมอันปัจจัยสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ตกแต่งให้มีขึ้น ให้เปนขึ้น ได้แก่พระนิพพานสิ่งเดียว เพราะพระนิพพานประกอบด้วยอสังขตลักษณะ ๓ ดังนี้ คือความเกิดขึ้นก็ไม่ปรากฎอย่าง ๑ คือความดับไปก็ไม่ปรากฎอย่าง ๑ ความตั้งอยู่แล้วแลแปรไปเปนอย่างอื่นก็ไม่ปรากฎอย่าง ๑ เพราะพระนิพพานประกอบด้วยอสังขตลักษณ ๓ ดังนี้ จึงชื่อว่าอสังขตธรรม ความสูญเปล่า ความไม่มีแห่งปัญจขันธ์ แลความสักว่าสิ้นไปแห่งกิเลสนั้น จะเปนของฦกของเห็นยากสักกี่มากน้อย จะเปนอสังขตธรรมอย่างใดได้ เพราะเหตุนั้น ผู้รู้ว่าความเกิดนี้เปนทุกข์แล้วคิดจะออกจากทุกข์ พึงให้ส้องเสพด้วยกับท่านผู้เปนสัปปุรุษแล้ว จะได้ฟังซึ่งธรรมโอวาทคำสั่งสอนของท่านผู้สัปปุรุษ และมากระทำในใจโดยแยบคายเห็นฉะเพาะตน ปฏิบัติซึ่งธรรมตามธรรมให้สมควร พึงศึกษาใน อธิศีล อธิจิตต์ อธิปัญญา สิกขาทั้งสามดังพรรณามานี้ ฯ อิกวาทหนึ่ง แปลนิพพานศัพท์ว่าดับ คือดับเครื่องร้อน เครื่องเผาเสีย ท่านผู้ทำเครื่องร้อน เครื่องเผาให้ดับได้แล้วเปน นิพฺพุโต สีติภูโต ผู้ดับแล้ว เปนผู้เย็นแล้ว อนึ่งท่านแยกเปน ๒ นิ ๑ วาน ๑ นิ ว่าออก ว่าไม่มี วาน ว่าผู้ร้อยไว้ ผู้เย็บไว้ คือตัณหา อาเทศ ว อักษรเปน พ สำเร็จรูปเปนนิพพาน ประกอบความว่า นิพฺพานํ ออกจากวานะ คือตัณหาแล้ว นิพฺพานํ ไม่มีวานะ คือตัณหา นิพฺพานํ เปนเหตุไม่มีวานะ เปนเครื่องไม่มีวาน คือตัณหา ดังนี้ เปนนัยวิธีหนึ่ง ก็แต่นัยว่า นิพพาน ดับคือดับเครื่องร้อน เครื่องเผานี้ ได้ยุติกว่านัยที่แยกเปน ๒ คือ นิ ๑ วาน ๑ ด้วยประการดังนี้ จบนิพพานกถาเท่านี้ ฯ
๏ ฦกลับคัมภีรพ้น | วิไสย |
นักปราชญ์ณภายใน | ยากรู้ |
เพียรคิดอย่าก่อใจ | ดูหมิ่น |
แสวงเถิดหวังจิตต์สู้ | เนิ่นช้าคุณเห็น ฯ |
๏ สัทธรรมประเภทล้วน | แก่นสาร |
สูงสุดก่อนฤพาน | ยากแจ้ง |
ลำดับเรื่องอาจารย์ | เรียงจัด |
โลกุตตรธรรมแกล้ง | ยกขึ้นสรรเสริญ ฯ |
----------------------------