ประชุมเพลงยาวสุภาพ

พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

บทที่ ๑

๏ สารสัญญาว่าไว้อย่าใหลหลง
ดังจดหมายบันทึกจารึกรง ให้สองคงคำสัตย์ปัฏิญาณ
ถึงมาดแม้นนานไปใครได้ปลื้ม ก็อย่าลืมเรื่องรักสมัคสมาน
ที่จริงใจนั้นจะให้จิรังกาล จึงสู้หาญหักสวาทในราชทัณฑ์
ไม่เกรงผิดคิดอายเสียดายพักตร์ เพราะว่ารักจะใคร่ร่วมภิรมย์ขวัญ
เศร้าฤทัยมิได้ชื่นสักคืนวัน แสนกระศัลย์โศกสมรอาวรณ์ครวญ
ครั้นคิดยามเมื่อได้ยลวิมลโฉม ยิ่งเศร้าโทมนัสร่ำแต่กำศรวญ
ไม่วายตรึกนึกถึงคนึงนวล โอ้ประมวญเหมือนหนึ่งอุนากรรณ
ได้ภิเปรยเชยชิดสนิทแนบ จนอิงแอบเนื้อน้องประคองขวัญ
แต่จำจนจึงต้องขัดที่อัศจรรย์ ก็อย่างกันกับอกวิตกกรอม
ถึงจะมีอิสัตรีเปนที่ชื่น ก็ไม่รื่นเหมือนกลิ่นประทิ่นหอม
ยิ่งคิดยิ่งกำสรดแต่อดออม สู้ถนอมใจฝืนทำชื่นพักตร์
อันรสสลาซองยังปองถวิล ครั้นคืนกินสลาพานต้องหาญหัก
ให้รนร้อนรุมอุราหนักหนานัก เพราะว่ารักมิได้สมอารมณ์ปอง
จะเปรียบปรายเล่าก็คล้ายอุเซนสวาท เขาองอาจไปภิรมย์ประสมสอง
ทุกราตรีสนิทแนบแอบประคอง ถึงเจ็ดปีป่วยปองประคองเชย
จนเขาจับตัวได้ให้สังหาร ไม่วายปราณก็ได้ร่วมเรียงเขนย
ช่างอดความเสน่ห์ได้กระไรเลย นิจจาเอ๋ยอกเรียมก็เทียมนิทาน
ถึงจะต้องโพยภัยก็ไม่ว่า แต่ขอให้ได้สุดามาสมสมาน
จะสู้รักษาสัตย์ปัฏิญาณ ทนทานทุกข์เทวษเจตนา
อันร้างนางก็พอห่างอารมณ์หัก แต่ทนรักนี้เห็นสุดต้องมุสา
อย่าเคืองเลยเครื่องเคยเปนธรรมดา ใช่จะว่าล่อเล่นเช่นชายพาล
แม้นน้องเห็นใจบ้างจะยังชั่ว ไหนจะกลัวความฉาวแลร้าวฉาน
ไหนจะผิดด้วยคิดมิควรการ ไหนจะทานทนรักสลักทรวง
เปนหลายทุกข์เข้าประทะอุระพี่ เพียงจะตีตนตายให้หายห่วง
ถึงกระนั้นแล้วยังเห็นว่าแกล้งลวง มิควรหน่วงก็มาเหนี่ยวให้เหี่ยวใจ
นี่แน่มิตร์เจ้าจงคิดถึงคำพร้อง แม้นได้ช่องเกลือกจะติดที่พิสมัย
เหมือนแกล้งพี่จะให้มีแต่กรมฤทัย ด้วยจะใคร่เชยชิดเปนนิจกาล
กำหนดในสามเดือนพี่เตือนสมร ขอเชิญจรจากคู่ไปสู่สถาน
อย่าลืมเลยเฉยเพลินให้เนิ่นนาน อย่ากลับพาลกลับภ้อกันพอแรง
อกเอ๋ยเมื่อเคยเห็นเช่นประจักษ์ อันรักพ้องสองรักนี้มักแสลง
ครั้นคิดคืนคำสัตย์ก็ดัดแปลง จึงแสดงรักร้อนไว้สอนใจ
แม้นชาตินี้ไม่เสร็จสมอารมณ์มาด จะขอปองครองสวาทในชาติใหม่
จะพากเพียรไปกระนั้นคุ้งบรรไลย กว่าจะได้สมคิดเหมือนจิตต์จง
เมื่อไรน้ำบางกอกแห้งเปนแปลงปลัก อันความรักจึงจะเชือนเลือนหลง
แม้นชายใดได้เปนคู่ครองอนงค์ นั่นและคงขาดสวาทชาตินี้เอย ฯ

บทที่ ๒

๏ เปนน่าแค้นแสนวิตกโอ้อกเอ๋ย
ช่างระกำช้ำฤทัยกระไรเลย ก็ย่อมเคยหรือไม่เข็ดขยาดความ
นี่ควรคิดพิสมัยอย่างไรหนอ ก็ได้ขอเสียแล้วใจที่ไม่ขาม
ยังแค่นขืนฝืนพักตร์ไปรักงาม พยายามอย่างนี้ชะดีจริง
แต่ยังเยาว์สิเขลาปัญญาคิด ได้คลั่งจิตต์จนเขาเยาะก็เพราะหญิง
ต้องหักห่างทางเสน่ห์ประเวประวิง จนสู้นิ่งเกรียมกรมระทมใจ
อนิจจาอกเอ๋ยเมื่อเคยเจ็บ อันแผลเล็บยังอยู่นิดหาคิดไม่
ต่อการเกินจึงได้เหินห่างอาไลย ยังอายใจอายหน้าระอารัก
สงสารใจเมื่อยามครวญรัญจวนหา แล้วชังใจหนอที่กล้าเข้าหาญหัก
เสียดายเพียรที่อุส่าห์สาพิภักดิ์ น่าแค้นนักหนอใจยังไม่เจียม
เออก็เปนชายชาติฉลาดเฉลียว แต่ครั้งเดียวก็ควรจำไม่งำเสงี่ยม
นี่กระไรมิได้จักกระดี้กระเดียม แต่เวียนเลียมเล่นไฟแพ้ภัยตัว
ใช่จะขัดสัตรีเปนที่ชื่น นี่สิ้นอื่นแล้วหรือไรน่าใคร่หัว
จะเอาแต่ใจรักเข้าหักกลัว เหมือนชายชั่วใช่ชาติปราชญ์ปรีชา
แต่นางหนึ่งพึ่งจะคลายกำสรดเศร้า มาซ้ำเข้าเปนสองสามเอองามหน้า
รู้ว่าขมก็ยิ่งหวานพานทยา เหมือนร้อนมาไม่อาบน้ำซ้ำผิงไฟ
เมื่อยังทานทุกข์ทนกมลหมอง ด้วยที่ปองไม่สมคิดรื้อติดใหม่
เปนสองร้อนแรมรึงตรึงฤทัย ชะกระไรใจเอ๋ยชเลยลาม
มีแต่ตรอมออมไว้อาไลยคิด อยู่เปนนิตย์ก็เพราะใจไม่ฟังห้าม
ที่เห็นได้สิมิไปพยายาม มามูมมามมุ่งสมัคไม่รักกาย
แม้นมาดสวาทอื่นจะชื่นบ้าง ไม่เมินหมางแล้วคงสมอารมณ์หมาย
นี่ยิ่งรักก็ยิ่งจักจะดิ้นตาย ได้แต่อายกับแต่ออมกรอมใจเอง
ก็ยังแต่จะเหมือนเช่นครั้งเปนไข้ เห็นนานไปคงเขาเยาะไม่เหมาะเหมง
จงเวียนสอนใจตัวให้กลัวเกรง เปนนักเลงสิเสียได้ไม่รู้ที
ดั่งหนามเหน็บเจ็บยอกอยู่ในอก ความวิตกก็อย่างกันกับปันหยี
เมื่อจำจากจินตหราไปราวี พระก็มีแต่กำสรดสลดใจ
ครั้นปองนุชบุษบาหนึ่งหรัดเล่า ก็ซ้ำเศร้าโศกนักเพียงตักษัย
จึงคิดการหาญหักลักนางไป ได้ชื่นฤทัยสมน้องสองราตรี
เวรวิบัติให้พลัดพรากจากสมร สู้สัญจรแสวงหายาหยี
ทุกค่ำเช้าเกรียมกรมไม่สมประดี จนเข้าบุรีกาหลังตั้งแต่กรอม
ยังซ้ำไปเสนหาธิดาปะหมัน ก็โศกศัลย์จนผิดรูปซูบผอม
ก็อย่างกันกับวิตกในอกออม พึ่งคลายกรอมด้วยเพราะแหนงแคลงใจ
ควรหรือช่างกล้าเข้าฝ่ารัก ก็ทุกข์นักหนักจิตต์ด้วยพิสมัย
ถึงได้เชยก็พอชื่นรื้อคืนไกล ก็เศร้าใจอยู่ทุกวันเพราะรัญจวน
ยังมิหนำซ้ำหาญในการสวาท มาหมายมาดกนิษฐ์น้องประคองสงวน
เปนสองทุกข์สองเศร้าเข้าประมวญ เออนี่ควรแล้วหรือใจช่างไม่คิด
เอาแต่รักแลออกตั้งเปนดั้งหน้า ยิ่งกว่าว่ายังเด็กกระจิหริด
เห็นไม่สมอารมณ์ปองทั้งสองมิตร์ อันชอบผิดก็ได้รู้ไว้เต็มใจ
แต่คำบุราณท่านว่าอุส่าห์ตรึก จะสมนึกมั่นคงอย่าสงสัย
จึงจะสู้ทุกข์กรอมออมฤทัย เพียรไปอิกสักครั้งเช่นหลังเอย ฯ

บทที่ ๓

๏ แสนเทวษถวิลถึงคนึงสมร
ให้ด่าวดิ้นวิญญาด้วยอาวรณ์ จะนั่งนอนถอนฤทัยไม่รู้วาย
ครั้นคิดความเมื่อยามรื่นก็ชื่นจิตต์ ครั้นคืนคิดข้างโพยภัยก็ใจหาย
อุราร้อนรุมสวาทไม่คลาดคลาย แต่ไกลสายสมรพี่ปิ่มปีเกิน
มิได้พานพบน้องสนองถ้อย ต้องม้วนม่อยพักตรหมางระคางเขิน
เพราะเกรงความจึงต้องจำทำสเทิน เห็นการเกินแล้วจึงก่อรังเกียจกัน
เมื่อแรกรักก็ได้ว่าสัญญามิตร คงจะคิดให้เสร็จสมภิรมย์ขวัญ
ถึงฉาวเรื่องก็จะรับในราชทัณฑ์ แต่อย่าหันเหิรห่างระคางเคือง
พี่อุส่าห์เพียรพากสู้ยากจิตต์ เห็นชอบผิดจึงภิปรายขยายเรื่อง
ก็รับรวยว่าจะช่วยทุกข์ประเทือง ค่อยปลดเปลื้องร้อนฤทัยตั้งใจเตือน
พอเปนเคราะห์เพราะเวรสร้างแต่ปางหลัง ความชอบลับกลับชังจึงกลายเกลื่อน
ทั้งต้องเมินหมางเมียงเบี่ยงเบือน เห็นความเชือนก็กลับช้ำระกำใจ
โอ้อกเอ๋ยอนิจจาน่าสงสาร แต่ก่อนกาลเราได้ทำกรรมไฉน
เคยพรากสัตว์ให้พลัดกันหรือฉันใด จึงเปนไปได้ดั่งนี้เพื่อมีกรรม
เมื่อจวนเสร็จสมปองประคองชื่น หรือคงคืนมาได้ทุกข์ถึงความขำ
สารพัดจะเปนพิษจนผิดระยำ ทุกเช้าค่ำมีแต่กรอมออมอาลัย
ครั้งนี้นะชะช้าอิกสักนิด ก็จะได้สมคิดที่พิสมัย
แต่นี้ตั้งแต่โศกวิโยคใจ เหมือนหมายไม้สุดมือจะถือชม
จะเปรียบปรายคล้ายอิเหนาเยาวลักษณ์ เมื่อแรมรักร้อนฤทัยจะใคร่สม
แต่วันเห็นพระน้องนึกตรึกนิยม จะนั่งนอนร้อนอารมณ์ไม่สมฤดี
วันไหว้พระบนกุหนุงก็มุ่งหมาย ได้แนบกายกนิษฐายาหยี
เอาคำมั่นสัญญาพาที มะดีหวีก็รับสัตย์ปัฏิญาณ
ว่าจะช่วยกว่าจะสมอารมณ์มุ่ง ครั้นกลับกรุงก็แกล้งล่อแต่พอหวาน
แต่ตักเตือนเลื่อนผัดจนนัดการ แล้วกลับรานรอนสวาทขาดอาลัย
พระยังหม่นหมองหมางไม่ห่างเหือด ก็พ่างเลือดตากระเด็นจนเปนไข้
ประหนึ่งเรียมเกรียมกรมระทมใจ จะพึ่งใครไม่หยั่งเห็นจะเปนการ
ยิ่งสลดฤทัยอาลัยรัก ด้วยแหล่งหลักก็เปนคาวร้าวฉาน
สงสารน้องจะต้องทิ้งไว้นิ่งนาน จะมีแต่ทานทนทุกข์ฉุกใจกรอม
โอ้อกเราสองรานิจจาเอ๋ย ได้ชื่นเชยสามสี่ราตรีถนอม
ยังจำท่วงทีเคารพนบประนอม อันกลิ่นหอมนั้นยังติดนาสารวย
แม้นเบื้องหน้าถ้าได้พบพานบ้าง เจ้าอย่าหมางหมองเมินเขินขวย
อย่าลืมที่คำชอ้อนอ่อนรทวย อย่าลืมสัตย์ซึ่งจะม้วยด้วยรักแรง
อันฝ่ายพี่นี้มิลืมถ้อยคำพร้อง เปนความจริงสิ่งนี้น้องอย่านึกแหนง
แม้นแจ้งประจักษ์พจมาลในสารแสดง เจ้าอย่าแพร่งพรายความไม่งามพักตร์
สงวนกายสายสมรไว้ก่อนนะเจ้า ถ้าบุญเราคงจะได้สมานสมัค
ทุกวันนี้พี่คนึงถึงน้องนัก อาลัยรักสมรมิตรเปนนิจเอย ฯ

บทที่ ๔

๏ หวังวิโยคโศกสร้อยละห้อยโหย
ได้เห็นกันเมื่อวันเสด็จโดย เจ้าเซ็นโอยอกอ้อนอาดูรแด
ได้นัดนวลว่าจะชวนไปเปนเพื่อน ยังอ้ำเอื้อนอยู่ไม่วางอารมณ์แน่
ถึงวันไปไปเตือนก็เชือนแช ช่างคิดแก้ว่าจับไข้มาหลายวัน
ยิ่งถามเจ็บก็ยิ่งเจ็บนั้นสุดจิตต์ เห็นโรคผิดใจจริงทุกสิ่งสรรพ์
ยิ่งวอนว่าก็ยิ่งว่าไม่รักกัน จะไปนั้นไม่ได้แล้วอย่าวอนชวน
พอขาดคำจำลาเจ้ามาบ้าน เร่งทยานยวนใจให้โหยหวน
พอพานพบเพื่อนชายภิปรายชวน ให้ดูขบวรแห่มาแล้วพาจร
ดาดาษด้วยราษฎรมี่ รัศมีเพลิงสว่างกระจ่างสมร
ประชาชายลอยชายกรายกร เห็นเจ้าจรเจียนถือข้อมือชาย
ถามข่าวได้แต่ตาประสารัก นี่ไข้หนักจริงหรือพึ่งรื้อหาย
จะใคร่เคียงเข้าไปถามเอาความชาย เกรงจะกลายเปนวิวาทใช่ชาติพาล
เออก็ควรหรือจะชวนให้ชื่นรัก ไม่คิดศักดิ์เลยว่าศักดิ์นั้นสมสถาน
รักจะทำก็อย่าทำทุราจาร นี่สันดานหรือจึงดานฤดีเปน
ใช่ว่าชายนั้นจะเชยแต่พอชื่น ไม่ขาดคืนไยจึงคืนมาให้เห็น
หรือจะลองดูที่คลองวารีเย็น ถึงจะเปนก็ไม่เปนให้ลับตา
ได้เห็นใจแล้วที่ใจอาลัยนัก ไม่เห็นรักพารักมาใส่หน้า
พอใจชมก็ได้ชมกิริยา อันสัจจาสัตย์จริงทุกสิ่งแสดง
ถึงเสียรู้ก็ได้ดูประหลาทเนตร หวังเทวษก็ได้เวทนาแหนง
ไม่แคลงใจทีนี้ใจจะจำแคลง จะเอาเหล็กสักแทงไว้ดูรอย
มาดแม้นหญิงใดประไพพิศ อย่าควรคิดเร่งคิดขยั้นถอย
จงเจียมใจอย่าเศร้าใจอาลัยลอย อย่าน้อยใจใช่ชายจะหมิ่นชาย
นี่ถือเยี่ยงอย่างดุเหว่าหรือเยาวลักษณ์ จะไข่ให้กาฟักอย่าพักหมาย
เสียแรงรักไม่ควรรักจักเคลื่อนคลาย แสนเสียดายเพียรพากสู้ยากเย็น
ชะกะไรเชื่อถ้อยชรอยจิตต์ ไหนจะย้อนซ้อนคิดไม่คิดเห็น
ถึงเสียชู้ก็ได้รู้เชิงชู้เร้น ชื่อว่ามิตรมิดเม้นเช่นนี้เจียว
ประหนึ่งหงส์หลงเล่นชลาสินธุ์ มุจลินท์สระสนานไม่ดาลเฉลียว
เที่ยวซอกซนจนกาเข้ากลมเกลียว ทั้งหนามเหนี่ยวเกี่ยวขนหล่นหลุดยับ
ก็ยังแต่จะรบัดผลัดขนใหม่ จะงามวิลัยคมขำดำขลับ
ถ้าใครโยนเหยื่อตรงก็คงรับ จึงจะนับแล้วว่าหงส์นี้วงศ์กา
หรือใจหวังดั่งโฉมอนงค์นาฏ กากีศรีวิลาสเสนหา
เมื่อหน่ายในกรุงกษัตริย์ภัศดา จึงตามพญาเวนไตยไปฉิมพลี
ครั้นได้รู้รสภิรมย์สมสนิท ก็เบื่อจิตต์จางรักในปักษี
พอเห็นนายนาฏกุเวนก็ยินดี แสร้งทำทียียวนชักชวนเชย
ในเวลาทิวาวันคนธรรพ์สม ปางปฐมยามครุฑร่วมเรียงเขนย
ไม่จางใจในรสสังวาสเลย นิจจาเอ๋ยช่างมาเหมือนนิทานพาล
หรือจะเห็นดีแก่ใจอย่างไรอยู่ ก็ย่อมรู้อยู่ทีเดียวว่าเปรี้ยวหวาน
เมื่อมิเศร้าแล้วก็สรวลไม่ควรการ แต่อย่าประจานพักตรน้องให้หมองนวล
ไม่รักตัวเลยว่าบัวบงกชรัตน ในจังหวัดสินธุวงศ์ไว้จงสงวน
จะคลี่คลายขยายแย้มต่อยามควร อรุณจวนจะส่องแสงจึงแบ่งบาน
มิได้เลือกเลยอุบลทุรนแบะ ให้ร่านบุ้งมุ่งแทะเปนอาหาร
แมลงภู่นั้นว่ารู้รสสุมาลย์ ก็ควรบานกลีบรับสำหรับเชย
เออเมื่อกบหลบร้อนเข้าอาศรัย จะแย้มให้กบกลั้วหรือบัวเอ๋ย
มาเลียนเล่นเช่นนี้ยังมิเคย จะดมเตยต่างดอกรสสุคนธ์
เห็นว่าจะเปนแล้วกลับหาย คล้ายคล้ายเหมือนจะชังแล้วยังฉงน
นี่เพราะรักร้อนร่านเหลือทานทน จึงนิพนธ์สารแสดงมาแจ้งเอย ฯ

บทที่ ๕

๏ สารสัตย์สุจริตไม่คิดแหนง
เห็นแล้วที่ว่าจริงทุกสิ่งแสดง ถึงมิแจ้งก็มาแจ้งว่ารักเรา
นี่ผีบอกดอกกระมังชาววังเอ๋ย เห็นเชิงเชยผิดกระบวรสำนวนเจ้า
ดูแหลมความออกที่ถามคดีเดา พี่มัวเมาเสน่ห์อยู่พึ่งรู้นาง
ก็น่าสรวลควรหรือน้องเปนสองพักตร์ ไม่ทันคิดเลยว่ารักจะเร็วหมาง
เมื่อหลายหูแล้วเขารู้เรื่องระคาง หาไม่ร้างรักน้องให้หมองนวล
อย่าเสแสร้งแกล้งกล่าวให้ฉาวเรื่อง ก็จะรื้อลือเลื่องเครื่องคนสรวล
เห็นสมศักดิ์สมนามทั้งงามกระบวร เห็นสมควรที่เปนชาติเชื้อชาววัง
เห็นสมทั้งคารมรับช่างกลับกลอก ดั่งระลอกกลิ้งกลบกระทบฝั่ง
เห็นสมคำสารพัดที่สัจจัง นี่สมหวังแล้วสิเจ้าจึงเมามัน
เสียดายชื่นเมื่อยามเคยเชยสมร เสียดายที่ทำชอ้อนให้รับขวัญ
เสียดายยศประดิพัทธจนอัศจรรย์ เสียดายชั้นเชิงกระบวรให้ยวนใจ
ยังไม่ทันจืดจางในทางเสน่ห์ สิกลับเร่ร่ายรักยักอย่างใหม่
ยิ่งดูก็ยิ่งเห็นยิ่งเปนไป เอออะไรยังมาก่อให้ต่อความ
ไม่รู้หรือว่ารักพ้องเปนสองรัก ไม่เห็นพักตรพี่หรือจึงรื้อถาม
พี่ติดเชยอยู่จึงชวดไปชมงาม ใช่จะขามเคืองใจหาไม่เลย
ก็จริงแล้วที่ว่าพี่นี้มีมาก เปนแต่หลากชมลองดอกน้องเอ๋ย
ที่มั่นหมายแลกลายไปเปนเตย พี่จะเชยไปกระนั้นสักพันนาง
กว่าจะต้องอารมณ์เราช่างเย้ายั่ว เช่นวันทองสองผัวเปนตัวอย่าง
จะถนอมแนบกายไม่วายวาง ถึงขุนช้างจะชิงเชยไม่เฉยแช
ถ้าอุปมาก็เหมือนลำแม่น้ำใหญ่ ร่วมรับชลาลัยได้หลายกระแส
เปนที่จอดทอดสำเภาแลเรือแพ ออกเซงแซ่ขวักไขว่ทั้งไปมา
คิดอย่างไรขึ้นหรือเจ้าจึงเดาถาม จะสมทบกลบความพองามหน้า
น้อยหรือถ้อยคำมั่นที่สัญญา จะต้องว่าเสียให้สิ้นสำนวนกลอน
แต่แรกเริ่มเดิมได้ภิรมย์รัก ถนอมนักมิให้ขัดมนัสสมร
สุดแสนสวาทคำที่ร่ำชอ้อน ให้พาจรปลอมประชาทุกราตรี
เมื่อครั้งฟังช้าหงส์ก็สงสัย เหมือนโกรธขึ้งจึงมิไปด้วยพี่
พอเลื่อมรู้ข่าวระคายว่าร้ายดี เขาบอกมี่ก็ไม่แหนงรแวงความ
เพราะเชื่อใจอยู่ว่าใจเจ้าจงรัก เห็นเกินนักจึงมิได้ออกปากถาม
สู้แค่นขืนฝืนฝ่าพยายาม แต่ติดตามพากเพียรเจียนขวบปี
แล้วยังซ้ำทำไถลมาให้เห็น ว่าจะไปดูเจ้าเซ็นแล้วแสร้งหนี
ต่อตามพบจึงได้ล่วงรู้ท่วงที ทำหลบลี้เมียงเมินสเทินอาย
นี่หากกล้าฝ่าเข้าไปทักถาม จึงได้ความว่าเปนเนื้อในเชื้อสาย
ก็นึกอางขนางใจอยู่ไม่วาย ด้วยเชิงชายนั้นสนิทผิดทำนอง
ครั้นชวนเชิญเดิรเล่นอย่างเช่นหลัง ก็นิ่งนั่งเสียมิเยื้อนเหมือนหมางหมอง
จะให้สลาสิเคยเลือกก็เสือกซอง แกล้งต้องลองก็สบัดว่าขัดใจ
แต่หลีกเลี่ยงเบี่ยงเบือนทำเชือนเฉย เมื่อไม่เคยเลยเห็นผิดนี่คิดไฉน
เปนสองครั้งแล้วยังไม่สิ้นอาลัย จนวันไปผ้าป่าเคยพาจร
ได้นัดแนะว่าจะแวะมารับเจ้า อย่างไรเล่าเออไฉนจึงไปก่อน
ประหลาดใจหรือจะแค้นหรือแสนงอน หรือจะซ้อนกลคิดปกปิดความ
จึงรีบเรือตามมามหานาค ตั้งแต่ปากคลองเลี้ยวก็เที่ยวถาม
ได้กลิ่นร่ำอบอายก็พายตาม จนพบงามฟังกลอนครึ่งท่อนฮา
ให้แซกเรือเข้าไปชิดแล้วพิศทั่ว กำลังมัวอยู่เจียวหนอหัวร่อร่า
จึงกระแอมให้ประจักษ์เบือนพักตรมา ได้ทัศนาหน้าพี่เปนที่อาย
ให้ถอยเรือเสียไม่ฟังละช่างหยาบ พี่ก็ทราบเชิงเชือนในเงื่อนสาย
อุตส่าห์ฝ่าฝืนพักตรสู้ทักทาย ไม่ภิปรายตอบคำทำมึนตึง
เมื่อรู้เช่นเห็นครบคำรบสาม ซึ่งแหนงความมาแต่หลังพึ่งหยั่งถึง
คิดจะใคร่ฉาวชื่อให้ลืออึง ก็เหมือนหนึ่งสาวไส้ให้กากิน
พี่สู้อดออมฤทัยอาลัยสวาท เห็นว่าวาสนาสร้างค่อยห่างถวิล
นึกมานะในสันดานด้วยพาลทมิฬ อันแผ่นดินจะไร้หญ้านั้นอย่าคิด
ซึ่งความขำล้ำลึกนั้นนึกไฉน ก็แจ้งใจเสียแล้วเจ้าอย่าเฝ้าปิด
อันควันไฟใครห่อนจะงำมิด พอรู้ฤทธิรักซ้อนอย่าย้อนรอย
นี่สิ้นปลื้มหรือจึงลืมอารมณ์ภ้อ สิ้นอาลัยไฉนหนอจึงท้อถอย
เออก็ยังแต่จะเชิดให้เลิศลอย พี่ก็คอยชมวาสนาอนงค์
ทุกวันนี้มีแต่ยิ้มกระหยิ่มจิตต์ ด้วยว่าคิดไว้ก็สมอารมณ์ประสงค์
ฝ่ายเจ้าเหล่าเหมวราพงศ์ จะมาลงหนองน้อยเร่งถอยคืน
คิดเสียใหม่ไปสถานที่ธารลึก เล็บจะสึกสั้นซ้ำเพราะน้ำตื้น
จงบินร่อนกว่าจะอ่อนลงยั่งยืน อย่าได้คืนคิดหวังความหลังเอย ฯ

บทที่ ๖

๏ คิดถึงแพรเลี่ยนแล้วเสียดายเหลือ
เปนฝีมือของหม่อมย้อมมะเกลือ ได้ห่มสนิทแนบเนื้อมานมนาน
เจ้าแล่งเพลาะเลาะให้เมื่อไปทัพ อุส่าห์หอบหิ้วกลับมาถึงบ้าน
ฝากไปอบพบมือคนจัณฑาล นึกประจานคนจนไม่อนิจจา
เมื่อคราวดีสิ่งดีก็มีมั่ง เมื่อคราวชังกะไรชังจนชั้นผ้า
ทำได้ดูเถิดไม่เวทนา ถึงผุราก็ยังรักเพราะรอยกาย
นี่ผิดชอบเปนกะไรไฉนหนอ จึงตั้งข้อเคืองแค้นไม่รู้หาย
ถ้าไปได้ก็จะไปให้ใกล้กาย จะหยิกตีเสียให้ตายก็ตามบุญ
สงสารหน้าที่ไปพาให้ผ้าขาด เหมือนตีวัวกระทบคราดคราวหันหุน
แม้นผ้าอยู่ก็เหมือนดูยังการุญ จงตั้งทุนรักรักให้แรมคลาย
ถึงสิ้นผ้าไปก็ดียังมีเล็บ ฉันกอดเก็บซ่อนไว้ยังไม่หาย
เมื่อทุกขระทมจะได้ชมไปต่างกาย หรือจะซื้อเล่าจะขายให้เต็มแพง
เพราะว่าเปนสำคัญมั่นกว่าผ้า ตามประสาภักดีไม่มีแหนง
นิจจาเอ๋ยทำเยียมิเสียแรง เหมือนจะแกล้งให้อัปมานคน
เสียดายนักอนิจจาผ้าเพื่อนยาก ได้ห่มตรากแดดน้ำกรำฟ้าฝน
แต่จะไปไหนนิดก็ติดตน มิให้คนอื่นต้องถึงสองเลย
เมื่อยามนอนก็เอาห่มชมถนอม ยังหวนหอมกลิ่นอายไม่หายระเหย
เหมือนจะนำความสนิทให้คิดเคย ถึงคราวช้ำก็ได้เชยเพราะชูใจ
ทีนี้สาบสูญแน่แล้วแพรดำ จะระยำย่อยยับเปนไฉน
จะถ่วงน้ำหรือเจ้าจะเผาไฟ กรรมอะไรของข้ามาตามทัน
ที่ให้ไปนั้นด้วยใจสุจริต คิดจะให้ดูผ้าต่างหน้าฉัน
ตามประสายากใจที่ไกลกัน ไม่สำคัญว่าจะคิดเคืองระคาย
เห็นเปลี่ยนผ้ามาให้ห่มสมคิด หรือจะผิดที่ของหม่อมนั้นหอมหาย
จึงตอบแทนทำได้จะให้อาย อนิจจาน่าเสียดายแพรดำเอย ฯ ๒๔ คำ ฯ

บทที่ ๗

๏ สงสารตัวกลัวภัยในเบ็ญจขันธ์
เปนที่เกิดทุกข์เทวษเภทภยัน ทั้งโรคันอันตรายระคายเคือง
นักปราชญ์ปรีชาชาญย่อมหาญหัก มิได้รักรูปชีวิตสู้ปลิดเปลื้อง
เจริญเรียนวิปัสนาปัญญาเรือง บันลุเมืองอมรโมกข์ศิวาลัย
นิจจาเอ๋ยกระไรเลยโอ้เบ็ญจขันธ์ จะผูกพันตรากตรึงไปถึงไหน
ยามนอนก็ได้นอนสักอึดใจ ควรหรือไม่เห็นว่าขันธ์นั้นมิดี
ยังจะหลงหมักหมมด้วยสมบัติ ไม่หลีกละสละสลัดเอาตัวหนี
อันบาปมิตรสนิทต่อหน้าทั้งตาปี จะยินดีก็แต่ได้สมใจนึก
บุราณท่านย่อมว่าปัญญาปราชญ์ ควรฉลาดในทำนองจะตรองตรึก
ฉันใดจะได้ผลธรรมอันล้ำลึก จงรู้สึกสติตรองสอดส่องความ
ถึงจะเรืองด้วยบุญเดชาก็อย่าประมาท ยุงกัดดังมัจจุราชไม่เกรงขาม
แม้นตื่นอยู่จะดูเล่นให้เห็นงาม ถ้าหลับตาแล้วอย่าถามถึงใคร เอย ฯ
๏ พระนิพนธ์พระบาทไท้ ดำรง ไผทแฮ
ทูลกระหม่อมหม่อมฉันทรง สฤษฎิ์ไว้
พันร้อยศักราชตรง เก้าสิบสี่ เศษนา
เกล้ากระหม่อมจำได้ ประนตน้อมทูลถวาย ฯ

บทที่ ๘

๏ สดับสารสิ้นแสลงก็แคลงคิด
ทั้งพี่นางช่างปลอบให้ตอบกิจ นี่จริงจิตต์หรือประดิษฐประลองลวง
จะรักชู้ชูชีพชีวันไว้ ก็จนใจด้วยคำคมคารมหลวง
จะวานรักเหมือนจะหักให้โทรมทรวง พะหนักพะหน่วงเกรงกรรมเวรารอน
เปนมิรู้แห่งที่จะตอบกิจ ด้วยเจ้าคิดวิปลาศดังศาสตร์ศร
ไม่ยั้งจิตต์ด้วยประดิษฐมาวิงวอน เหมือนจะรอนราญชีพให้วอดวาย
อย่าใหลหลงตรงกิจให้ผิดที่ จงปราณีรงับจิตต์ให้ห่างหาย
ย่อมนับว่าเจ้าเลิศประเสริฐชาย จะหมายไหนได้เหมือนจำนงจง
ไยไฉนจึงมาคิดฉนี้นี่ ช่างพาทีเพี้ยนผิดเพราะจิตต์หลง
อันรักอื่นรักชื่นชีวาคง ที่เขาจงสิมิจงเจตนา
อย่าพิกลจริตให้ผิดผัน[๑] เคร่าครองชีวันไว้ดีกว่า
ยังกำดัดสันทัดยุพานพา ทั้งสักรวาก็ดีปรีชาชาญ
แล้วแหลมหลักในลักษณกลเลศ รู้จบไตรเพททหารหาญ
คนรู้มากนักได้ยากทรมาน สดับสารนึกน่าจะปราณี
แต่งตอบจะประกอบให้หายหลง อย่าพะวงในสัมผัสทั้งสี่
กลิ่นเสียงรูปรสวาที กระยาหารอันมีโอชารส
อิกทั้งดุริยางคดนตรี ทั้งนี้ให้พร่ำจำอด
จะเสียตัวก็เพราะกลั้วรักรส เปนเบื้องบทเร้าราคราคี
อย่าใหลหลงพะวงว่าสิ่งสุข คือกองทุกข์ใหญ่ไม่เอาตัวหนี
เพราะเมตตาจึงช่วยว่าให้ดีดี อย่าจู้จี้ให้พลอยรำคาญ เอย ฯ


[๑] เพลงยาวบทนี้ความตอนท้ายขึ้นต้นว่า “อย่าพิกลจริตให้ผิดผัน จงเคร่าครองชีวันไว้ดีกว่า” ท่านผู้ใหญ่แต่ก่อนชอบท่องจำกันไว้ กล่าวว่าเปนพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานสมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เมื่อครั้งยังเปนจมื่นไวยวรนาถ แต่มาพบเปนแต่สำนวน ๑ อยู่ในเพลงยาวเก่าบท ๑ ซึ่งพิเคราะห์ดูเห็นว่ามิใช่พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ซึ่งเคยได้ยินคำเล่าเรื่องเพลงยาวบทนี้เห็นจะยังมีอยู่ จึงคัดมาลงไว้เต็มบทพอให้ได้อ่านตัวเพลงยาวเดิม

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ