วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ น

ตำหนักปลายเนิน คลองเตย

วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๘๑

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทราบฝ่าพระบาท

ลายพระหัตถ์เวรลงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ได้รับประทานแล้ว

พระพุทธรูปที่พระปรางค์วัดพุทไธสวรรย์ ซึ่งเรียกกันว่ารูปพระเจ้าอู่ทองนั้น เกล้ากระหม่อมก็เคยเห็น และพระยาโบราณก็ได้บอกเหมือนกัน ว่ากรมหลวงเทพทรงสร้างไว้เป็นของแทน องค์เดิมนั้นเชิญลงไปกรุงเทพฯ เมื่อเกล้ากระหม่อมได้ทราบว่าเป็นของแทนทั้งเห็นเป็นพระพุทธรูปต้นๆ ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก

ตามลายพระหัตถ์ตรัสอ้างถึงร่างจารึก เรื่อง“ปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามเมื่อรัชกาลที่ ๓ เกล้ากระหม่อมจะได้เคยอ่านหรือไม่ก็สงสัย กรรมการพุทธรัตนสภาเคยตีพิมพ์แจกคราวหนึ่ง ฉบับนั้นได้อ่าน แต่จะตีพิมพ์ออกจากต้นฉบับอันเดียวกันหรือมิใช่ก็ไม่ทราบ แต่ถึงจะได้อ่านแล้วก็ลืมหมด เพราะกาลนานมาแล้ว จึ่งได้ไปขอยืมฉบับก็ตรัสอ้างถึงนั้นจากหอสมุดมาอ่านดู แต่ก็ได้เรื่องพระเทพบิดรน้อยไปกว่าพระดำรัสเล่าในลายพระหัตถ์นั้นเสียอีก

เรื่องพระเทพบิดร หรือพระเชษฐบิดรนั้น ได้เคยพบในพระราชกำหนดใหม่แห่งกฎหมายซึ่งหมอปลัดเลตีพิมพ์ ได้เปิดขึ้นตรวจดูครั้งนี้อีก อยู่เล่ม ๒ หน้า ๕๐๒ บทที่ ๔๐ กล่าวเลเพลาดพาดเป็นใจความว่าคนแต่ก่อนเมื่อครั้งกรุงเก่า เวลาถือน้ำตรุษสารทก็ไปไหว้พระเชษฐบิดรก่อนคนเดี๋ยวนี้ก็ทำตาม เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง ทั้งนี้เป็นด้วยพระเจ้าแผ่นดินหลงมัวเมายกพระองค์ ทำให้คนขาดพระไตรสรณาคม แต่นี้ต่อไปถึงเพลาถือน้ำตรุษสารท ให้นมัสการพระรัตนตรัยแล้วแผ่เมตตาจิต พระราชกำหนดนี้ตราไว้ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๒๘ (เสวยราชย์ได้ ๔ ปี)

พระราชกำหนดนี้ “อิน” มากเต็มที่ แปลว่าท่านผู้แก่วัดแต่งไปเที่ยวเมืองเขมรดูปราสาทหินต่างๆ สังเกตเห็นเป็นเทวสถานโดยมาก ที่เป็นพุทธสถานมีน้อย ซ้ำถูกแกล้งแปลงเป็นเทวสถานเสียก็มี เห็นได้ว่าเวลาโน้นพุทธศาสนกับไสยศาสตร์แข่งแย่งกัน พระพุทธศาสนาออกจะแพ้ พระเจ้าอู่ทองอยู่ในยุคที่ศาสนาแข่งแย่งกัน คนครั้งนั้นแม้ไหว้รูปเทวดาอารักษ์ก็ควรจะอภัย จะปรับว่าขาดพระไตรสรณาคมและมหากษัตริย์มัวเมาเห็นจะหนักมือเกินไป

ตามพระราชกำหนดใหม่บทที่ ๔๐ นั้น เป็นอันฟังได้ว่ารูปพระเจ้าอู่ทองนั้นเดิมเป็นเทวรูป ใน พ.ศ. ๒๓๒๘ ได้เชิญลงมาไว้ในกรุงเทพฯ แล้ว เพราะเห็นว่าไหว้ขาดพระไตรสรณาคมจึงได้แก้เป็นพระพุทธรูป ข้อนี้เป็นหลักอันหนึ่งแน่ และในการแก้นั้นต้องว่าหล่อใหม่ ถ้าบวชเทวรูปเป็นพระพุทธรูปก็คงเห็นปรากฏอยู่

คำว่า “พระนาก” นั้น เอาเป็นแน่ความหมายว่าหล่อด้วยทองแดง ในตำนานสร้างวัดพระเชตุพนมีกล่าวว่า พระพุทธรูปเขาอินเมืองสวรรคโลกหล่อด้วยนาก เชิญมาตั้งในวิหารตะวันออกองค์ใหญ่มากจะต้องเป็นว่าทองคำเปล่าๆ ที่เข้าทองผสมนั้นเป็นการพิเศษเพื่อจะทำให้สีงามขึ้น จำจะต้องเป็นของเล็กๆ เพราะเหตุดังนั้นที่ได้ชื่อว่า “พระนาก” จึงมีมากองค์ คำโบราณก็มีปรากฏอยู่ว่า “ขอแหวนทองแดงผูกมือน้องข้า” คำนี้ยอมปรากฏว่า เครื่องอาภรณ์คนสามัญแต่ก่อนใช้ทองแดง ซ้ำไปได้ยินเขาเล่นเพลงกันที่เขตปักษ์ใต้ กล่าวว่า “พี่จะให้แหวนฮั่ง” ฟังไม่เข้าใจ เจ้าพระยาศิริธรรม (พระยาละคร) อธิบายว่า แหวนฮั่งคือแหวนงั่ง คำนี้ควรจะเข้าใจด้วยเหมือนกับ เฮิน ว่า เงิน แต่ญาณไม่แล่น และว่างั่งนั้นคือทองแดง คำบอกอันนี้ทำให้เข้าใจต่อไปอีกว่างั่งนั้นแปลว่าทองแดง อันนี้ก็ตรงกับคำร้องของเราชาวบ้านที่ใส่กำไลนากนั้น ก็ทำให้แปลออกขึ้นว่าเดิมใส่กำไลทองแดงแล้วมาเจือทองขึ้นภายหลังเพื่อให้มีสีงาม พานพระศรีและอื่นๆ อันเป็นเครื่องราชูปโภคซึ่งตั้งถวายในวันพระนั้นก็แปลว่าทำด้วยทองแดง เพราะปรารถนาจะหนีไม่ใช้เครื่องทองในเวลาทรงศีล แต่ก็กลับเอาทองเจือเข้า เหตุด้วยลืมหลักเดิม ที่จริงเอาทองเข้าเจือนั้นออกจะเสียทองไปด้วยไม่จำเป็น คำพระศรีของเราเห็นจะมาแต่คำมลายูซึ่งเขาเรียกว่าสิริ หมายความว่าพลู เขาเรียกกินพลู เราเรียกกินหมาก

นึกฉุนจะต้องทูลบ่นด้วยเรื่องเย็บหนังสือ กฎหมายฉบับหมอปลัดเล ซึ่งเอามาค้นดูพระราชกำหนดอันอ้างถวายมานี้เอง ได้ส่งไปเย็บหลังใหม่ เพราะหลังกระดาษเก่าเกิดเป็นตัวกินหนังสือทะลุไปด้วย ได้มาเมื่อเย็บหลังใหม่แล้วถูกตัดใบกระดาษเข้าไปเสียเกือบถึงตัวหนังสือ จดอะไรไว้ที่หัวกระดาษก็ขาดหายไปหมด กฎหมายสองเล่มนี้ได้เย็บใบปกใหม่ ๓ ครั้งแล้ว ถูกตัดอย่างโนคอมมันเซนส์เข้าไปทุกที ถ้าเย็บ ๑๐ ครั้งหนังสือจะต้องเป็นอ้ายหวือ ออกจะเข็ด คราวหลังถ้าใบปกเสียก็จะไม่เย็บใหม่ จะฉีกใบปกทิ้งเสียเท่านั้น หนังสือจะได้ไม่สูญ ฯ

ข้อต่อไปนี้จะทูลถามเพื่อเป็นการเรียนรู้ บุษบกไม้จันทน์ซึ่งสมเด็จกรมพระสวัสดิ์เอาไปตั้งไว้ที่ตำหนักนั้น ทราบแต่ว่าทูลกระหม่อมทรงทำ แต่จะทำสำหรับอะไรและตั้งที่ไหนก็หาทราบไม่ เคยเห็นพระพุทธสิหิงค์ (จำลององค์เล็ก) ตั้งในบุษบกที่พุทธมณเฑียร แต่จะเป็นบุษบกไม้จันทน์นี้หรือมิใช่ แมวเต็มทีจำไม่ได้ ฝ่าพระบาททรงทราบอย่างไรบ้างโปรดตรัสบอกให้ได้ทราบไว้ด้วย จะเป็นพระเดชพระคุณล้นเกล้า

คราวนี้จะทูลถวายของแห้ง อันความเป็นไปในเกาะบาหลีนั้นชีวิตอยู่ที่กำแพงและประตู ตะเกียกตะกายทำอวดอยู่เท่านั้น ส่วนเรือนที่อยู่นั้นอย่างไรก็ได้ นี้ก็เห็นได้ว่าต้องไม่มีงานรับแขกในเรือน มีงานจะโอ่อวดกันก็ไปอวดกันที่เทวาลัย เหมือนกับไทยเราที่มีงานก็ไปวัดดุจไหว้พระตรุษสงกรานต์และงานกฐินเป็นต้น กำแพงและประตูนั้นทำด้วยของสองอย่าง คือดินดานและอิฐ ของทั้งสองอย่างที่ใช้นั้นไม่ใช่ของดี เห็นมีที่ผุกร่อนเพราะน้ำฝนกัดไปได้ กำแพงบ้านโดยมากต้องเอาฟางโปะไว้ข้างบนเพื่อกันฝนชนิดที่เอามาก่อกำแพง ทั้งนี้ก็เป็นแนวเดียวกันกับตึกดินโคราช แต่เสียใจที่ตึกดินโคราชของเราคนภายหลังจะไม่ได้เห็น เพราะจะเปลี่ยนเป็นไม้กระยาเลยมุงสังกะสีอย่างกรุงเทพฯ ไปเสียหมด นี่แสดงว่าไทยเราแพ้ชาวบาหลี ไม่มีใจที่จะรักษาประเพณีเก่าของตน มีแต่เปลี่ยนแปลงไปตามความตื่นเต้นแห่งกาละ อันไม้กระยาเลย มุงสังกะสีนั้น มันเลวกว่าตึกดินเป็นไหนๆ ก็ยังทำที่เลวกว่า แล้วใช่ว่าราคาจะถูก และจะทำได้ง่ายเหมือนกรุงเทพฯ ก็หาไม่ ต้องประทุกไม้กระยาเลยกับสังกะสีขึ้นไป ต้องเสียราคาเป็นอันมาก ได้ไปเห็นสโมสรเสือป่าหรืออะไรเข้าที่นางรองก็ลืมเสียแล้ว เรือนนั้นมุงด้วยสังกะสี แปลว่าต้องบรรทุกสังกะสีโดยทางรถไฟขึ้นไปโคราช แล้วถ่ายบรรทุกเกวียนไปนางรอง จะเสียค่าบรรทุกแพงขึ้นสักเท่าไร เห็นเข้าก็อ่อนใจ ถ้าจะมุงคาอย่างปกติบ้าน หรือจะมุงกระเบื้องไม้เต็งรังอย่างโบสถ์วัดที่นั่น ก็จะดีกว่าถูกกว่าขนสังกะสีขึ้นไปเป็นไหนๆ ทั้งนี้เป็นด้วยเข้าใจผิดว่า มุงสังกะสีนั้นเป็นของประเสริฐเลิศแล้วเหมือนอย่างกรุงเทพฯ ไม่เข้าใจว่าที่กรุงเทพฯ ต้องมุงสังกะสีเพราะถูกห้ามไม่ให้มุงจาก ในเมืองชวาเกือบจะหาหลังคามุงสังกะสีไม่ได้เลยแม้แต่เพิงที่เลี้ยงแพะก็มุงกระเบื้อง การมุงกระเบื้องนั้นไม่ยาก ไม่จำเป็นจะต้องทำโครงด้วยไม้จริง ไม้ไผ่เครื่องผูกก็มุงได้ไม่ขัดข้องเลย เมื่อไปเที่ยวเมืองเขมรศาสตราจารย์เซเดส์พูดว่า เห็นหลังคาสังกะสีก็รู้ได้ว่าเข้าเขตเมืองไทยแล้ว เกล้ากระหม่อมนึกอายเต็มที แต่ก็จริงดังนั้น

(จะมีต่อไป)

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ