ความแทรก "คำให้การ" เกี่ยวกับสมัยพระนครศรีอยุธยาตอนปลาย

จึงตรัสห้ามพลทั้งนั้น ว่าใครอย่าออกไปรบพุ่ง ไว้พนักงานกูตามที ให้มันเข้ามา ครั้นประจุพระแสงปืนแล้ว พระองค์เสด็จขึ้นยืนอยู่ต่อสู้ อันเหล่าราชศัตรูทั้งนั้น ก็กรูกันข้ามมาสะพานใหญ่จึ่งทรงยิงด้วยพระแสงมหาไชย ก็ถูกอกอ้ายธรรมเถียรเข้ากระเด็นตกลงไปบันที อันผู้คนทั้งนั้นก็กระจัดพลัดพรายบ้างล้มตายบ้างก็วิ่งหนี ชาวกรุงจึ่งไล่ตามตีก็จับตัวได้ บ้างก็วิ่งหนีซุกซนไป ที่เป็นไพร่ก็ไม่ตายแต่ตัวนายจึ่งฆ่าเสีย ให้ถึงแก่มรณา อันพระสุริเยนทราธิบดีนั้น องอาจมีอำนาจหนักหนา ทั้งทรงทศพิธราชธรรม มิได้เที่ยวรบพุ่งบ้านเมืองใด จนถึงพระยาสามนต์อันเป็นใหญ่ อยู่ในกรุงศรีสัตนาคนหุตก็เลื่องลือชาไปว่าพระองค์นี้ ตั้งอยู่ในธรรม ทั้งมีกฤตยาอาคม ทั้งพระเดชเดชาก็กล้าหาญนักหนา จึ่งแต่งพระราชธิดา มีพระนามเรียกว่า พระกรัดนางกัลยาณีมาถวาย อันพระบุตรีนั้นมีโฉมประโลมโสภางามนักหนา พระชันษาได้สิบห้าปี กับพระราชสาส์นแลเครื่องบรรณาการเปนอันมากมาถวายด้วยใจจงรักภักดี ทั้งสวามิภักดิ์สมัครสมาคม จักเปนที่พึ่งโพธิสมภารสืบไปเบื้องหน้า ครั้นมาถึงจึ่งถวายพระราชธิดาทั้งเครื่องบรรณาการและราชสาส์น อันพระองค์นั้นก็ทรงพระยินดีปรีดา จึ่งแต่งรับพระธิดาแล้วตั้งไว้เปนที่พระมเหษี ตามที่ตามเมืองน้อยใหญ่ พระองค์ก็ประพฤติตามโดยดี ตามสวัสดีอันเปนธรรมอันดี แต่บรรดาพระยาแสนท้าวเหล่าลาวเมืองล้านช้าง ซึ่งมาเปนการราชไมตรีนั้น แต่บรรดาอำมาตย์ราชเสนาที่มาทั้งสิ้น แล้วไพร่พลทั้งนั้น ทั้งเหล่าผู้คนข้าไททั้งหญิงชาย อันเปนบริวารของพระบุตรีทั้งสิ้น พระองค์ก็ประทานบำเหน็จ รางวัล ทั้งเงินทองเสื้อผ้า สิ่งของปวงเปนอันมากประทานให้ครบตัวกันทั้งสิ้น แล้วจึงตอบเครื่องบรรณาการโดยราชประเพณี แล้วให้ไปกับพระเจ้าล้านช้างเปนอันมาก อันพระราชบุตรีนั้น พระองค์ปลูกตำหนักแลเรือนหลวงให้อยู่ตามถิ่นฐาน จึ่งเรียกว่าเจ้าตำหนักใหม่ อันบรรดาสมัครพรรคพวก ผู้คนข้าไทของพระบุตรีทั้งสิ้น พระองค์ให้ถิ่นฐานเย่าเรือน ทั้งวัวควายไร่นาแลเรือกสวน อันที่บ้านนั้นเรียกว่าม่วงหวาน ครั้งนั้นพระเกียรติยศปรากฏฟุ้งเฟื่องเลื่องลือไปทุกประเทศเขตขันธ์ก็ชื่นชม พระสมภารของพระองค์ยิ่งนัก.

อันพระสุริเยนทราธิบดีนั้น พระองค์พอพระทัยเล่นกาพย์โคลง ฉันท์ ทั้งพระราชนิพนธ์ของพระองค์ก็ดี จึ่งมหาดเล็กคนหนึ่งเปนนักปราชญ์ช่างทำกาพย์โคลงฉันท์ดีนัก พระองค์โปรดปรานแล้วประทานชื่อเสียงเรียกว่า ศรีปราชญ์ เปนสำหรับได้ทำโคลงหลวง ครั้นอยู่มาศรีปราชญ์นั้นทำโคลงให้กับพระสนมข้างใน ครั้นพระองค์ทราบก็ทรงพระโกรธ แต่ไม่ลงโทษฑัณฑจึ่งส่งไปไว้เมืองนคร ศรีปราชญ์จึงต้องไปอยู่เมืองนครตามรับสั่ง ศรีปราชญ์จึ่งไปทำโคลงให้กับภรรยาน้อยเจ้าเมืองนคร ครั้นเจ้าเมืองนครรู้ว่าศรีปราชญ์นี้ ทำโคลงให้กับเมียน้อยของตัวนั้น จึ่งขึ้งโกรธแล้วจึ่งเอาตัวศรีปราชญ์ไปฆ่าเสีย เมื่อจักฆ่าศรีปราชญ์นั้น ศรีปราชญ์จึ่งว่าเรานี้เปนนักปราชญ์หลวง แล้วก็เปนลูกครูบาอาจารย์ แต่องค์พระมหากษัตริย์ยังไม่ฆ่าเราให้ถึงแก่ความตาย ผู้นี้เปนแต่เจ้าเมืองนครจักมาฆ่าเราให้ตาย เราก็จักต้องตายด้วยตามเจ้าเมืองนคร สืบไปเมื่อหน้าขอให้ดาบอันนี้คืนสนองเถิด ครั้นศรีปราชญ์ว่าแช่งไว้ดังนั้นแล้ว ศรีปราชญ์ก็ตายด้วยตามเจ้าเมืองนครสั่ง ที่ศรีปราชญ์เขียนแช่งไว้นั้นเปนคำโคลง เขียนกับแผ่นดินให้เปนทิพยพยาน ครั้นอยู่มาพระองค์มีรับสั่ง ให้เรียกหาตัวศรีปราชญ์ ก็ไม่ได้ดังพระประสงค์ เสนาจึงกราบทูลว่าพระยานครฆ่าเสีย อันว่าตัวศรีปราชญ์นั้นถึงแก่ความตาย แล้วพระองค์จึงตรัสถามเสนาว่า ศรีปราชญ์มีโทษประการใด จึ่งฆ่ามันเสีย เสนาจึ่งทูลว่า ศรีปราชญ์ทำโคลงให้กับภรรยาน้อยเจ้าเมืองนคร ครั้นเจ้าเมืองนครรู้ก็โกรธ จึ่งฆ่าศรีปราชญ์เสีย พระองค์ก็ทรงพระโกรธ แล้วจึ่งตรัสสั่งว่า อันศรีปราชญ์นี้เปนนักปราชญ์ แล้วก็เปนสำหรับเล่นกาพย์โคลงกับกู โทษมันแต่เพียงนี้ แต่กูยังไม่ฆ่ามันให้ตาย อ้ายเจ้าเมืองนครมันไม่เกรงกู มันฆ่าศรีปราชญ์เสียให้ตาย มันทำได้จึงมีรับสั่งกับเสนาให้เร่งออกไป แล้วให้เอาดาบเจ้าเมืองนครที่ฆ่าศรีปราชญ์นั้นฆ่าเจ้าเมืองนครเสียให้ตาย เสนาก็ถวายบังคมลา แล้วจึงออกไปถึงเมืองนคร ครั้นถึงจึงเอาดาบที่เจ้าเมืองนครฆ่าศรีปราชญ์นั้น ฆ่าเจ้าเมืองนครเสียตามมีรับสั่งอันเจ้าเมืองนครนั้นก็ถึงแก่ความตายด้วยพระราชอาญา

อันพระสุริเยนทราธิบดีนั้นได้เสวยราชสมบัติมาช้านาน อันชาวกรุงเทพมหานครทั้งสิ้น แลอานาประชาราษฎรทั้งปวงก็อยู่เย็นเปนสุขทั้งสิ้น อันพระสุริเยนทราธิบดีนั้น วัน ๓ ได้เสวยราชสมบัติมาแต่เมื่อจุลศักราชได้ ๑๐๖๒ ปีมะโรงโทศก พระชนม์ได้ ๔๙ ปี อยู่ในราชสมบัติ ๗ ปี เปน ๕๖ ปี สวรรคตเมื่อจุลศักราช ๑๐๖๙ ครั้นพระสุริเยนทราธิบดีสวรรคตแล้ว พระราชโอรสาอันชื่อพระสุรินทรกุมารอันเปนเชษฐานั้นได้ผ่านพิภพธานีสืบไป ในเมื่อจุลศักราชได้ ๑๐๖๙ ปีกุนนพศกจึ่งทำราชาภิเศกตามประเพณี จึ่งถวายนามเรียกว่า พระภูมินทราชาก็เรียก พระบรรยงก์รัตนาก็เรียก ทรงเบ็ดก็เรียก อันพระมเหษีนั้นพระนามเรียกเจ้าท้าวทองสุข จึ่งมีพระราชบุตรและพระราชธิดา ในเจ้าท้าวทองสุขนั้นหกองค์ พระราชโอรสองค์ใหญ่นั้นพระนามเรียกเจ้าฟ้านเรนทร์ ถัดมาซื่อเจ้าฟ้าอภัยแล้วถัดมาชื่อเจ้าฟ้าปรเมศร์ ถัดมาชื่อเจ้าฟ้าทัต พระกุมารสี่องค์ ยังพระราชธิดาสององค์ องค์หนึ่งนามเรียกเจ้าฟ้าเทพ พระธิดาสุดพระครรภ์นั้นชื่อเจ้าฟ้าปทุม ในพระครรภ์เจ้าท้าวทองสุขนั้นทั้งพระราชบุตรีเปนหกองค์ด้วยกัน แล้วมีในสนมเอกนั้นองค์หนึ่งพระนามเรียกพระองค์เจ้าเชษฐาเปนกุมาร ยังพระราชนัดดาชื่อหม่อมเจ้าเพชรหนึ่งเปนกุมาร ยังบุตรีสี่องค์นั้น ชื่อหม่อมเจ้าฝรั่งหนึ่ง หม่อมเจ้าปุกหนึ่ง หม่อมเจ้าหงส์หนึ่ง หม่อมเจ้าอึ่งหนึ่ง อันราชกุมารทั้งนัดดาแลบุตรีทั้งสี่องค์ด้วยกัน ทั้งพระราชบุตรแลพระราชธิดาทั้งพระนัดดาสิ้นทั้งเจ้าฟ้าพระองค์เจ้าทั้งสิ้น เปนสิบเบ็ดองค์ด้วยกัน พระองค์จึงตั้งพระอนุชาอันชื่อพระวรราชกุมารนั้น ให้เปนที่พระมหาอุปราช อันเจ้าฟ้านเรศร์เชษฐานั้น พระมหาอุปราชขอเอามาเลี้ยงไว้เปนพระราชโอรส อันสมเด็จพระบิดานั้นเสน่หาในพระราชโอรสสององค์ยิ่งนัก พระองค์หมายจักให้ครอบครองสมบัติแทนพี่ พระองค์จึ่งสร้างวัดมเหยงอารามหนึ่ง จึ่งสร้างพระพุทธไสยาศพระองค์ใหญ่ที่ปากโมกของค์หนึ่ง ยาวได้เส้น ห้าวา

ครั้นอยู่มาในเมื่อครั้งจุลศักราชได้ ๑๐๗๖ ปีมะแมฉศก ญวณใหญ่จึงยกทัพมานักหนา อันตัวนายที่เปนใหญ่มานั้น ชื่อนักพระแก้วฟ้า มารบเมืองเขมร กษัตริย์เมืองเขมรจึงหนีเข้ามาพึ่งพระเดชในกรุง อันที่ชื่อนักเสด็จนั้น ผู้เปนท่านธานี หกนางมเหษี อันนักองเอกนั้นเปนอนุชานักพระศรีสุธรรมาราชานั้น เปนที่มหาอุปราช อันพระโอรสในมเหษีนั้นชื่อพระรามาธิบดีองค์หนึ่ง พระศรีไชยเชษฐาองค์หนึ่ง ชื่อพระสุวรรณกุมารองค์หนึ่ง นักพระองค์อิ่มองค์หนึ่ง นักพระองค์ทององค์หนึ่ง นักพระอุทัยองค์หนึ่ง กุมารของบุตรีสององค์คือพระสุภากษัตริย์องค์หนึ่ง พระศรีสุดาองค์หนึ่ง ทั้งบุตรแลธิดาเปนแปดองค์ด้วยกัน ยังหลานสององค์คือนักองปาน นักองตน อันเหล่ากษัตริย์ยังเสนาสองคือฟ้าทะละหะนั้นฝ่ายขวา ฝ่ายซ้ายนั้นฟ้ากลาโหม เปนต้น บรรดาอำนาจทั้งปวงน้อยใหญ่เปนหลายคนกับพลห้าร้อยปลาย กับช้างเผือกพังตัวหนึ่งชื่อบรมรัตนากาศไกรลาศคีรีวงศ์ อันช้างพังตัวนี้นักเสด็จก็พาเอามาแล้วจึงถวายกับพระภูมินทราชา แล้วกับตัวนักเสด็จกับพี่น้องลูกหลานทั้งสิ้น ก็เข้ามาพึ่งโพธิสมภารอยู่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ก็ทรงพระเมตตา แล้วสงสารกับนักเสด็จยิ่งนัก จึ่งแต่งกองทัพกรุงแล้วให้ออกไปช่วย ครั้นทัพช้างกรุงยกออกไปรบ ฝ่ายญวณใหญ่ก็แตกหนีมอดม้วยฉิบหายบ้างจับได้บ้างหนีเร้นบ้างล้มตาย ทัพกรุงไล่รบไปจนถึงเมืองอันตัวนักพระแก้วฟ้านั้นเมื่อขณะรบกันหนีไปได้ แต่บรรดากษัตริย์เมืองเขมรนั้น พระองค์แต่งรับทั้งเครื่องอุปโภคบริโภค ก็ประทานครบครัน ทั้งที่อยู่ที่กินก็ตกแต่งให้ตามที่ แต่พระราชวงษาลงไปจนพลทัพพระองค์แต่งให้ทั้งสิ้น แล้วก็เลี้ยงดูให้กินอยู่บริบูรณ์ครบครัน ให้เข้าเฝ้าในท้องพระโรงในพระองค์ทรงพระปราณีมิได้มีความรังเกียจเดียดฉันท์ ทั้งพระองค์แลทั้งพระมเหษีทั้งพระราชบุตรี ก็ได้ออกมาปราศรัย ฝ่ายกษัตรียเมืองเขมรนั้นพระองค์ทำนุบำรุงมิให้อนาทร อันกิริยานั้นเหมือนพระญาติวงษา ทั้งพระองค์ทั้งพระมเหษีนั้นก็มีความเสน่หาอาวร จนเครื่องเสวยก็ประทานออกไป

ครั้นราชการสงครามสงบสงัดเรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงสั่งให้เทียบทัพใหญ่จักไปส่งนักเสด็จให้ถึงเมืองกำพูชาธิบดี อันว่านักเสด็จนั้นก็กราบลง แล้วจึ่งทูลกับพระองค์ว่า ไม่อาลัยแล้วกับเมืองกำพูชาธิบดี จักขออยู่ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทไปจนตาย พระองค์จึงตรัสปลอบโยนกับนักเสด็จเปนนักหนา อันนักเสด็จนั้น มิได้เงยหน้าขึ้นดู ก้มพักตร์แล้วกอดพระบาทไว้ น้ำตาก็หลั่งไหลลงที่พระบาทพระองค์สงสารกับนักเสด็จยิ่งนัก ด้วยความสวามิภักดิ์ด้วยจงรักภักดี พระองค์จึงมีสีหนาทราชโองการว่า เพราะเรารักท่านจึ่งจักให้ไป เราเสียดายกรุงกำพูชาธิบดีด้วยว่าเปนเมืองใหญ่ จักสูญชื่อสุริยวงศ์กษัตริย์ไป เราจึ่งว่าด้วยใจเราเมตตา เมื่อนักเสด็จจักมิใคร่ไปก็ตามใจเถิด เราไม่หักหาญ พระองค์จึงสั่งเสนาให้ไปรักษากรุงเขมรไว้ กับนักเสด็จเขาก็ยังอยู่ ให้เสนาช่วยป้องกันดูแลเอาใจใส่ แล้วจึ่งแต่งม้ารายไว้ตามทางทุกแห่ง ถ้าญวนใหญ่จักมาย่ำยี ก็ให้เร่งรีบบอกเข้ามา เราจักแต่งทัพออกไปช่วยให้ทันที อันการนี้เปนธุระเรา อันกษัตริย์กรุงขอมก็กราบเกล้าบังคมลา เพราะฉนี้เมืองขอมกับกรุงศรีอยุธยาจึ่งไปมาเข้าออกมิได้แคลงใจกัน เปนเสน่หายิ่งกว่าทุกเมือง แต่แรกเริ่มพระประทุมสุริยวงศ์ลงมา อันเมืองเขมรกับกรุงศรีอยุธยาจึ่งเปนไมตรีกันมา จะรำเรื่องถึงเมืองขอมนี้ เปนหลายครั้งหลายทีอยู่นักหนา ลางทีออกไปแล้วก็คืนกลับมา เปนหลายครั้งหลายครามานักหนาแล้ว อันองค์กษัตราตามเกณฑ์มีชื่อที่เมืองเขมรไปมาเข้าออกอยู่กับเมืองกรุงนี้ เปนหลายองค์มาแล้ว จึ่งจะรวบรัดเอาแก่ตัวนายที่มีชื่อที่เข้ามาถวายบังคมกับพระองค์

ครั้นอยู่มาพระภูมินทราชาประชวรหนักลง จึ่งพระโอรสาสององค์ คือ เจ้าฟ้าอภัย กับเจ้าฟ้าประเมศร์สององค์นี้อยู่ในที่พระราชวังนั้น จึ่งคิดอ่านกันทั้งสององค์ ที่จะทำสงครามกันกับพระมหาอุปราช ซึ่งเป็นปิตุลา จึ่งมีรับสั่งให้ตั้งค่ายตามทิศตะวันออกนอกวัง ตั้งแต่วัดราชประดิษฐาน ไปจนตามคลองประตูข้าวเปลือกมา อันฟากคลองทิศตะวันตกนั้นฝ่ายของวังหลวง อันฟากตะวันออกนั้นฝ่ายของวังหน้า จึ่งตั้งค่ายสองฟากน้ำ ฝ่ายข้างวังหลวงนั้นตั้งหน้าชิงชัยรบพุ่ง อันโรงช้างรายปากตะกล้อนั้นตัดจั่วเสีย แล้วจึงขันช่อเอาปืนใหญ่ขึ้นใส่ ข้างวังหลวงจะระดมปืนยิงไป ฝ่ายข้างวังหน้า ก็มิได้รบพุ่งต่อตีแต่ตรวจตราสารวัตรกันไว้ทุกเวลา ต่อใครล่วงข้ามเกินหน้าที่มา จึ่งสั่งให้ประหารชีวิตเสียให้ตาย ด้วยว่าพระองค์ก็รักษาความสัจอยู่ในธรรม สิว่าพระเชษฐาประชวรหนักอยู่ ยังไม่ประจักษ์ว่าสวรรคต เกลือกว่ายังดีอยู่ยังไม่นิพพาน ที่ทำสัจไว้ต่อกันก็จักเสียไป เพราะพระองค์ทรงดำริอย่างนี้จึ่งรั้งรออยู่ไม่รบพุ่ง แล้วทรงพระปรารมภ์ว่าซึ่งจักมาชิงชัยกันบัดนี้ พฤฒามาตราษฎรทั้งปวงก็จักล้มตายลงไม่ควรที่ จำจักคิดอ่านผ่อนผันให้ได้ที่ เปนทีอุบายกลศึกกลชิงชัย

ครั้นทรงพระดำริดังนั้นแล้วจึ่งเรียก ขุนชำนาญบริรักษอันเปนเสนาผู้ใหญ่ ที่ร่วมรักไว้พระทัยจึ่งให้เข้ามาในที่ แล้วจึ่งปรึกษากันที่ในการสงคราม ทั้งชิตภูบาล ชาญภูเบศร์ จ่านิต จ่าเนตร แต่บรรดาเสนาห้าคนด้วย พระองค์จึ่งให้ตีฆ้องร้องเป่าให้เร่งหาทหารคนดี มีความรู้แล้วอยู่คง ที่ผู้ใดจักรับอาสาได้ ให้พามาที่พลับพลาไชย พระองค์จึ่งตรัสเปนกลในที ไม่ช้าก็ได้คนดีเข้ามา จึ่งให้เข้ามาที่หน้าฉานแล้วตรัสถาม เหล่าทหารบรรดาที่จักอาสานั้น จึ่งว่าใคร่รู้อันใดที่ในวิชาการ ข้างอยู่คงกะพันทั้งคาถามนต์ดนก็ดี ทั้งอยู่คงด้วยว่านยาก็ดี ลางคนก็ทูลว่า ข้าพเจ้านี้อยู่ยงคงกะพัน ด้วยมนต์ดนคาถา ลางคนก็ทูลว่า ข้าพเจ้านี้คงด้วยกินว่านยาผลาหาร ลางคนก็ทูลว่าหายตัวได้ แต่ทูลดั่งนั้นต่างๆ นานากันทั้งสิ้น พระองค์จึ่งตรัสว่าจะลองให้เข้าทีละคน จึงลอบลองที่ในพระราชฐาน แล้วพระราชทานรางวัลเปนหนักหนา บ้างก็ได้เสื้อผ้าเงินทอง บ้างก็ได้ช้างม้า บ้างก็ประทานชื่อเสียงแล้วเอาพระแสงทรงออกประทาน แต่บรรดาเหล่าทหารทั้งนั้นแจกทั่วกันสิ้น อันกิติศัพท์นั้นลือไปว่า ทหารวังหน้านี้ลองได้ทุกตัวคน ก็รู้ทั่วกันไปทั้งกรุง ฝ่ายข้างวังหลวง ก็เลื่องลือระบือว่า วังหน้านี้มีคนดีเปนหนักหนาว่าจะมารบพุ่งชิงชัย แล้วจะมารบราญหักหาญ ฆ่าฟันเข้ามาปล้นเอากรุงแลวังให้ได้

ฝ่ายคนทั้งวังหลวงก็คร้ามเชิงสงครามในฝีมือของวังหน้า แต่เรรวนป่วนปั่นกันอยู่ไปมา มิได้ตั้งหน้าทำการสงครามด้วยจำใจ ขุนนางลางคนก็คืนกลับ จึ่งลอบเขียนหนังสือลับ แล้วให้ออกมาถวายวังหน้านั้นก็เปนหนักหนา จนมหาดเล็กทั้งคนใน ทั้งหมื่นเสมอใจและสุดจินดาก็สอดส่งหนังสือลับแล้วลอบให้ออกมาถวาย จึ่งปริยายความเชษฐานั้นถ้วนดี ว่าพระองค์สวรรคตแต่เวลาวานนี้ในปฐมราตรี แล้วบอกความลับข้างวังหลวง ว่าบัดนี้เสนาทั้งปวงคอยจะหนี มิได้เปนใจด้วยราชไพรีมีสารในบัญชีทุกตัวคน ที่เปนใจด้วยที่ในสององค์นั้น ก็รายชื่อแล้วส่งมาแจ้งความถวายกับวังหน้า ครั้นพระองค์ทราบในหนังสือลับแล้ว ก็เร่งให้โยธารบพุ่งชิงชัย ด้วยพระเดชเดชาอานุภาพ จักได้ทันรบพุ่งปราบปรามก็หามิได้ แต่พอส่องสว่างแสงพระอาทิตย์ขึ้นมา จึ่งมีม้าขาวใหญ่ตัวหนึ่งไม่มีคนขี่ เป็นม้าแหล่งในโรงขวา จึ่งหลุดจากแหล่งแล้ววิ่งแผลงฤทธามา แล้วไล่ตีไล่ชกผู้คนวุ่นวาย แล้ววิ่งไปตามถนนหนทางน้อยใหญ่ทั้งปวง ก็ตระหนกตกตื่นทั้งหญิงชาย ว่าวังหน้าแกล้งปล่อยม้าร้ายมา อันคนดีนั้นมีมนต์กำบังแล้วหายตัวได้ อันกิติศัพท์ก็ดังไปหนักหนารู้ทั่วกัน ทั้งกรุงฝ่ายทัพข้างวังหลวงก็แตกมาจนกระทั่งหน้าวัง อันองค์เจ้าฟ้าอภัยกับเจ้าฟ้าปรเมศร์นั้น รู้เหตุก็พลั่นพระทัยหนักหนา ให้ทหารที่จักต้านทานรบพุ่งชิงชัยได้ ให้ต้านทานไว้ก็กลับเข้าในปราสาททันที จึ่งเอาพระขรรค์ไชยศรี กับพระธำมรงค์วงดีอันมีราคาค่ากรุง กับเงินทองที่ในคลังเป็นอันมาก กับสมัครพรรคพวกผู้คนทั้งนั้นก็เร่งหนีไปทันที ต่างคนต่างกระจัดกระจายพรัดพรายกันไป แต่ตัวนายพี่น้องทั้งสองกับนายบุญคงผู้มีความภักดีกับพลไพร่ จึ่งลงเรือลำหนึ่งแจวพายหนีไป จึ่งเอาพระธำมรงค์กับพระขรรค์ไชยศรีนั้นทิ้งเสียที่ในแม่น้ำใหญ่ ตรงหน้าตลาดหัวแหลม ก็พายหนีไปตามแม่น้ำตาลาน จึ่งขึ้นบกหนีแยกกันไป เหล่าไพร่ทั้งปวงก็แตกกันไปทั้งสิ้น มีแต่นายบุญคงผู้ภักดีคนหนึ่งอยู่ด้วยจักสู้ตายด้วยเจ้าพี่น้องสององค์ด้วยกัน

ครั้นเหตุรู้ไปถึงวังหน้า พระองค์จึงให้แต่งทัพบกไปไล่จับตัว ไม่ช้าก็ไปพบเข้าทันที จึงจับตัวนายบุญคงได้แล้วก็ไถ่ถามด้วยกุมารทั้งสองนาย บุญคงให้การว่าซ่อนอยู่ที่สุมทุมอันนั้นๆ ครั้นนายบุญคงให้การชี้ที่สองกุมารที่ซ่อนอยู่นั้น ทหารทั้งปวงจึงล้อมสุมทุมไว้แล้ว จึงเข้าไปเชิญเสด็จพระกุมารทั้งสองพี่น้อง ว่ามีพระโองการให้มาจับแล้วก็ทูลขอพระแสงที่พระกุมารทั้งสองถือไว้นั้น อันสองกุมารก็ทิ้งพระแสงให้ จึ่งเข้าจับสองกุมารแล้วก็เอาตัวมาถวาย พระองค์จึงให้ไถ่ถามตามความ กับพระขรรค์ไชยศรีกับพระธำมรงค์วงดี ครั้นพระองค์ทราบว่าเอาไปทิ้งเสียที่ในแม่น้ำอันใหญ่ พระองค์จึงมีบัญชาว่าถ้าใครประดาน้ำดำได้ จะให้ทองร้อยชั่งตามราคา อันผู้คนทั้งนั้นก็ลงประดาน้ำแล้วก็หาไม่ได้โดยตามพระทัยปราถนา คือว่า พระขรรค์องค์นี้ของพระยาแกรกก็มาสูญสิ้นเสียด้วยพี่น้องสองกุมาร อันมงกุฎพระยาแกรกนั้น ยังอยู่จนเสียกรุง อันกุมารทั้งสองนั้น พระองค์ให้สังหารชีวิตตามกฎพิพากษา อันชัยสุรินทรอินอภัยนั้น ก็มาพลอยตายด้วยไม่ตรง อันพระยาอภัยราชา กับพระยายมราชหนีไปบวชเป็นสงฆ์ เป็นกรรมที่จักตายนั้น จึ่งแต่งแขกอาสาออกไป ครั้นเวลาค่ำแขกอาสาจึ่งเข้าไปแทงเสียทั้งสองคน อันพระยาอภัยกับพระยายมราชก็ถึงแก่ความตาย อันเจ้าพระองค์แก้วนั้น พระองค์โปรดปรานว่าเป็นอนุชา อันความที่เจ้าฟ้าอภัยกับเจ้าฟ้าปรเมศร์นี้ก็พลอยล้มตายเป็นอันมาก อันสมรรคพรรคพวกนอกนั้นลงแต่โทษไม่ล้มตาย อันนายบุญคงนั้นพระองค์มีรับสั่งว่าอย่าฆ่าฟันมันให้ตาย มันเป็นคนกตัญญูต่อเจ้า มันรักษาเจ้ามัน มันตรงต่อเจ้า มันจักตายด้วยเจ้า ได้ให้เลี้ยงไว้ ที่มีภักดีทั้งหญิงชายคือถวายลับ พระองค์ก็ประทานพูนบำเน็จให้ตามที่แต่ตัวนายไปจนคนที่ใช้ แล้วจึ่งประทานให้คนที่จับสองกุมารมาถวาย

อันพระภูมินทราชานั้น วัน ๔ ได้เสวยราชสมบัติมา แต่เมื่อครั้งจุลศักราชได้ ๑๐๖๙ ปีกุน นพศก พระชันษาได้ ๓๐ ปี อยู่ในราชสมบัติได้ ๒๔ ปี เป็น ๕๔ ปี สวรรคตเมื่อจุลศักราชได้ ๑๐๙๓ ปีกุนตรีนิศก พระมหาอุปราชครั้นปราบไพรีเสร็จสรรพแล้ว เสด็จขึ้นครอบครองกรุงแทนที่พระเชษฐาสืบไป อันพระมหาอุปราชนั้นพระนามเดิมนั้นชื่อเจ้าฟ้าอาภร ครั้นอยู่มาพระบิดาจึ่งประทานพระนามเรียกพระวรราชกุมาร อันมหาเสนาบดีทั้งปวงและปุโรหิตทั้งแปดคน จึ่งตั้งการปราบดาภิเษก ตามเยี่ยงอย่างประเพณีกระษัตรแต่ก่อนมา จึ่งถวายพระนามว่า พระมหาบรมราชาก็เรียก พระบรมโกฏก็เรียก อันอัครมเหสีขวานั้นมีพระนามเรียกว่า พระพันวสาใหญ่ อันเจ้ากรมนั้นเรียกว่า กรมหลวงอภัยนุชิต อันพระราชมเหสีนั้นพระนาม พระพันวสาน้อย อันเจ้ากรมนั้นชื่อ กรมหลวงพิพิทธมนตรี อันพระมเหสีซ้ายนั้นพระนามเรียกว่าเจ้าฟ้าสังวาลย์ พระนามตามที่ ชื่อ อินทสุดาวดี อันอัครมเหสีนั้นมีพระราชธิดาหกพระองค์ กุมารองค์หนึ่ง เป็นเจ็ดองค์ด้วยกัน อันพระราชธิดาเดิมนั้นพระนามเรียกเจ้าฟ้าบรม อันเจ้ากรมนั้นชื่อกรมขุนเสนีนุรักษ์ แล้วถัดมาจึ่งเจ้าฟ้าอิ่ม อันชื่อประทานนั้นชื่ออินทประชาวดี ถัดจึ่งเจ้าฟ้าสุริยวงศ์ ถัดมาจึ่งเจ้าฟ้าธิดา แล้วถัดมาจึ่งเป็นพระกุมาร ชื่อเดิมเจ้าฟ้ากุ้ง พระบิดาจึ่งประทานพระนามเรียกว่า เจ้าฟ้านราธิเบศไชยเชษสุริยวงศ์องค์ราชกุมาร อันเจ้ากรมนั้นชื่อกรมขุนเสนาพิทักษ์ แล้วถัดจึ่งพระราชธิดาพระนามเรียกเจ้าฟ้าสุริยา ถัดมาจึ่งเจ้าฟ้ารัศมีนั้นสุดพระครรภ์

อันสมเด็จพระพันวสาใหญ่นั้นมีพระบุตรี ๖ องค์ มีพระกุมารองค์หนึ่ง จึ่งเป็นเจ็ดองค์ด้วยกัน อันสมเด็จพระพันวสาน้อยนี้คือพระราชมเหสีกลางนั้น มีพระธิดาเดิมพระนามเรียกว่าเจ้าฟ้าไม้กลัดพระบิดาจึ่งให้เรียกพระชีประชา แล้วถัดมาจึ่งเจ้าฟ้าชีน้อย ชื่อชีพัมพา ถัดมาเรียกเจ้าฟ้าเรไร พระบิดาจึ่งประทานพระนามให้เรียกเจ้าฟ้ากษัตรี แล้วถัดมาจึ่งเจ้าฟ้าพิน พระนามเรียกพินทวดี แล้วถัดมาจึ่งพระราชกุมาร พระบิดาจึงสมมุตินามประทานเรียก เจ้าฟ้าเอกทัศน์ อันเจ้ากรมนั้นให้เรียกกรมขุนอนุรักษ์มนตรี แล้วถัดมาอีกจึ่งพระบุตรีพระนามเรียกเจ้าฟ้าจัน แล้วถัดมาเรียกเจ้าฟ้านุ่ม อันเจ้ากรมนั้นเรียกกรมขุนยิสารเสนีย์ แล้วจึงสุดพระครรภ์นั้น เป็นพระราชกุมาร พระบิดาจึ่งสมมดินามเรียกเจ้าฟ้าดอกเดื่อ อันเจ้ากรมนั้นชื่อกรมขุนพรพินิจ อันสมเด็จพระพันวสากลางนั้น พระราชธิดาหกพระองค์ พระราชบุตรเป็นราชกุมารสององค์ จึ่งเป็นแปดองค์ด้วยกันทั้งสิ้น ยังฝ่ายมเหสีซ้ายนั้น มีพระราชธิดาเดิมนั้น เจ้าฟ้ากุณฑล แล้วถัดมาเป็นกุมารชื่อเจ้าฟ้าอาภรณ์ แล้วถัดมาจึ่งเป็นบุตรีชื่อเจ้าฟ้ามงกุฎ แล้วถัดมาเป็นกุมารชื่อเจ้าฟ้าสังขีต พระบุตรีสององค์ พระกุมารสององค์ เป็นสี่องค์ด้วยกัน อันพระราชบุตรและราชธิดาในพระมเหสีทั้งสามองค์นั้นมีสิบเก้าองค์ด้วยกันทั้งสิ้น อันพระราชนัดดาเป็นกุมารองค์หนึ่ง ชื่อเจ้าฟ้าจิต อันเจ้ากรมนั้นชื่อ กรมขุนสิรินทรสงคราม ถัดมาจึ่งเจ้าฟ้าสังวาลย์แล้วถัดมาจึ่งเจ้าฟ้านิ่ม พระนัดดาทั้งบุตรีเกณฑ์เจ้าฟ้าสามองค์ด้วยกัน ยังพระราชบุตรในพระสนมเอกนั้นจัดเอาแต่เกณฑ์ที่มีกรม คือเจ้าแขกนั้น กรมหมื่นเทพพิพิท เจ้ารดนั้นคือ กรมหมื่นจิตรสุนทร อันเจ้าเจ้าแมงคุดนั้น คือ กรมหมื่นสุนทรเทพ เจ้าปานนั้น คือ กรมหมื่นเสพภักดี เจ้าไตรนั้น กรมหมื่นรักษนรินทร์ อันพระราชบุตรในพระสนมเอก ที่มีกรมนั้นมีห้าพระองค์ด้วยกัน ยังอยู่พระสนมทั้งนั้นมีเป็นอันมาก จึ่งมีพระราชบุตร ๒๒ พระองค์ มีพระราชธิดา ๒๐ พระองค์ จึ่งเป็น ๔๒ พระองค์ทั้งเจ้าฟ้าและพระองค์เจ้าเข้ากันทั้งสิ้นเป็น ๖๔ พระองค์ด้วยกัน ทั้งล้มทั้งตายเป็น ๑๐๐ หนึ่งกับ ๙ องค์ด้วยกัน

พระองค์จึ่งตั้งราชโอรสในพระอัครราชมเหสีขวานั้นให้เป็นที่พระมหาอุปราช พระนามเรียกว่าเจ้าฟ้านราธิเบศไชยเชษสุริยวงศ์องค์ราชกุมาร อันเจ้ากรมนั้นชื่อกรมขุนเสนาพิทักษ์ได้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล อันวังนั้นชื่อวังจันทเกษม มีพระมเหสีพระนามเรียกเจ้าฟ้านุ่ม อันเจ้ากรมชื่อกรมขุนยี่สารเสนีย์ อันพระมเหสีซ้ายนั้น ชื่อเจ้าฟ้าฉิม จึ่งมีพระมเหสีเดิมองค์หนึ่ง ชื่อเจ้าฟ้าเทพ จึ่งมีพระธิดาทับเจ้าฟ้าเทพนั้นองค์หนึ่ง ชื่อเจ้าฟ้าศรี แล้วมีในพระสนมนั้น ๔ องค์ ชื่อหม่อมเจ้าอาทิตย์องค์หนึ่ง อันเจ้ากรมนั้นชื่อกรมหมื่นพิทักษ์ภูเบศ ถัดมาหม่อมเจ้าเสสังข์ ถัดมาชื่อหม่อมเจ้าฉัตร ถัดมาชื่อหม่อมเจ้ามั่ง กุมาร ๔ องค์ ยังบุตรีชื่อหม่อมเจ้ามิตรองค์หนึ่ง หม่อมเจ้าหาดองค์หนึ่ง หม่อมเจ้าฉิมองค์หนึ่ง หม่อมเจ้าดาราองค์หนึ่ง บุตรี ๔ องค์ทั้งสิ้น จึงเป็นแปดองค์ด้วยกันทั้งเจ้าฟ้า อันพระมหาอุปราชนั้นได้ครองกึ่งพิภพ ก็อยู่เย็นเป็นสุขมาช้านาน ครั้งหนึ่งจึ่งสมิงทัวจีนมอญ เป็นศึกยกมาจักตีกรุง พระองค์จึงให้ยกทัพไปปราบปราม อันราชไพรีก็แตกแล้วหนีไปทั้งสิ้น

อันพระองค์นั้นมีบุญญาธิการ อยู่ในทศมิตราราชธรรม พระองค์จึ่งได้ช้างเผือกผู้ตัวหนึ่ง ชื่อบรมคชลักษณ์อคเชนทรเรนสุประดิษฐสิทธิสนธยา มหามงคลเลิศฟ้า ตัวนี้มีศรีสุทธิดีต่างๆ เจ้าพระยานครศรีธรรมราชาเอามาถวายแต่เมืองนคร ครั้นอยู่มาอีกครั้งหนึ่ง จึงได้ช้างเผือกผู้กระดำตัวหนึ่ง ชื่อบรมราชไกรสรบวรเศวตร เดชอัคณียวงศ์ สมพงศ์ถนิมพรรตเอกทันตะไอยรา ตัวนี้นักอุไทยเมืองกัมพูชาธิบดี เอามาถวายพระบรมราชาแต่เมืองขอม ครั้นอยู่มาพระองค์ จึงได้ช้างเผือกพังอีกตัวหนึ่ง จึงให้ชื่อวิเชียรหัสดินทรกระวินชินราชกิริณี ศรีสุนทรลักษณ์อัครเชนทรวเรนเลิศฟ้า อันช้างเผือกพังตัวนี้นักพระแก้วฟ้าเมืองกัมพูชาธิบดี เอามาถวายพระบรมราชา ครั้นอยู่มาอีกครั้งหนึ่ง จึ่งได้ช้างอันเป็นช้างสพังถนิมพันธุเกณฑ์เผือกอีกตัวหนึ่ง มาเข้าเพนียด พระองค์เสด็จออกไปจับได้นั้นครั้งหนึ่ง อันช้างเผือกเกณฑ์เผือกนั้นเป็นสี่ช้างด้วยกัน ครั้นอยู่มาอีกครั้งหนึ่ง พระองค์จึ่งได้ช้างนิยัมตัวหนึ่ง จึ่งให้ชื่อบรมราชนาเคชนทรวเรนทรมหันตอนันคุณวิบูลยเลิศฟ้า อันช้างนิยัมตัวนี้ มีมูลหนักแลเบากินได้เป็นยาแก้โรคต่างๆ พระยาเพชรบุรีเอามาถวายพระบรมราชา ครั้นอยู่มาอีกครั้งหนึ่ง จึ่งมีช้างนิยัมตัวหนึ่งมาเข้าเพนียดในกรุง พระองค์เสด็จออกไปจับ ครั้งจับได้จึ่งประทานชื่อเรียก พระบรมกุญชร ครั้นอยู่มาอีกครั้งหนึ่ง จึ่งมีช้างนิยัมตัวหนึ่งมาเข้าเพนียด พระองค์เสด็จออกไปจับได้ จึ่งประทานชื่อว่าพระบรมจักรพานท์ ครั้นอยู่มามีช้างนิยัมมาเข้าเพนียดอีก พระองค์เสด็จออกไปจับ ครั้นได้ประทานชื่อเรียกพระบรมประทุม ต่อยกงวงขึ้นจึ่งเห็นงา พระองค์ได้ช้างเผือกบ้างเกณฑ์เผือกบ้างเป็น ๔ ช้างด้วยกัน ยังช้างนิยัมนั้นก็ห้า ช้างเผือกเกณฑ์เผือก ทั้งช้างนิยัมเข้ากันทั้งสิ้น เป็น ๙ ด้วยกัน

อันพระบรมราชานั้น พระองค์จึ่งให้มีพระมหากฐินบกแลเรือ แล้วจึ่งให้สร้างมหาพิไชยราชรถจัตรุมุขแล้วจึงสร้างวัดกุฎีดาววัดหนึ่ง วัดคูหาสวรรค์วัดหนึ่ง วัดราษฎร์บูรณะวัดหนึ่ง วัดพระรามวัดหนึ่ง จึ่งปฏิสังขรวัดวรเชษฐารามวัดหนึ่ง วัดบวรโพธวัดหนึ่ง จึ่งปฏิสังขรวัดภูเขาทองวัดหนึ่ง วัดเจ้าพระยาไทวัดหนึ่ง แต่พระองค์สร้างวัดแลปฏิสังขรทั้งสิ้น เป็น ๑๐ วัด ด้วยกันแล้วพระองค์จึ่งปฏิสังขรมณฑปพระพุทธบาทที่เศร้าหมองไปจึ่งทำใหม่ อันพระพุทธบาทนั้นมีอยู่บนยอดเขาสุวรรณบรรพตอยู่บนศิลาแห่งเดียว เป็นรอยพระบาทเบื้องซ้าย อันปลายพระบาทนั้นผันไปทิศตะวันตก มีพระมณฑปนั้นสูงประมาณได้ ๑๒๐ วา มีบันแลมุขทุกชั้น เป็นไม้ ๑๒ จึ่งมีพระมณฑปใหญ่อยู่กลาง อันหลังคามณฑปใหญ่นั้น ๑๑ ชั้น มียอดนั้น ๕ ยอดแล้วจึ่งมีพระมณฑปเล็กล้อมทิศนั้น ก็มียอด ๕ ยอด เหมือนกันทั้งสี่ทิศ แต่บรรดายอดพระมณฑปทั้งสิ้น จึ่งเป็น ๒๕ ด้วย อันเครื่องช่อฟ้าบราลีนั้น จำลักเป็นดอกเป็นลวดลายงามหนักหนา อันหลังคาพระมณฑปนั้นหุ้มทองคำจนถึงกันสาด อันพระบรมราชาหุ้มหลังคาพระมณฑปเมื่อครั้งนั้นสิ้นทอง ๙๐ ชั่ง ได้ ๙ ชั้น ครั้นมาถึงพระราชบุตรมาหุ้มเมื่อครั้งหลังสิ้นทองหนัก ๕๕ ชั่ง ได้ ๒ ชั้น ก็พอสำเร็จสิ้นทั้ง ๑๑ ชั้น เป็นทองทั้งสิ้นหนักได้ ๑๔๕ ชั่ง อันฝาพระมณฑปนั้น ดาดกระจกทั้งข้างนอกข้างใน อันพื้นข้างในนั้นดาดด้วยเงิน อันพระมณฑปสองข้างในนั้นรีกว้างได้ ๔ ศอก โดยสูงได้ ๑๐ ศอกหุ้มทองทั้งนั้น อันเพดานนั้นมีอัจกลับพู่แก้ว อันพระมณฑปใหญ่นั้น มีประตูสี่ประตู ทิศบูรพนั้น ๒ ประตู ทิศประจิมนั้นสองประตู จึ่งเป็นสี่ประตูด้วยกัน อันบานประตูนั้นประดับมุขทั้ง ๔ ประตู จึ่งพระราชบำเหน็จช่างมุกนั้นเงิน ๑๐ ชั่ง แล้วจึ่งมีกันสาด อันลับแลที่ติดเสานั้นปิดทองทิบ อันพื้นหลังคานั้นคาดดีบุก จึ่งมีกำแพงทั้งสี่ทิศ อันกำแพงแก้วนั้นหุ้มดีบุกแล้วปิดทองทึบ อันบนหลังกำแพงนั้นมีพระเจดีย์ ทำด้วยศิลาปิดทอง ทองทึบแล้วรายรอบ ห่างกันประมาณได้แปดนิ้ว แล้วจึ่งลดลงมาเป็นชานชั้น ข้างทิศทักษิณนั้น กว้างและยาวประมาณ ๑๒๐๐ วา จัตุรัสจึ่งมีกำแพงหุ้มดีบุกปิดทองทึบบนหลังกำแพงนั้น มีโคมดอกบัวทำด้วยทองแต่งปรุแล้ว ตั้งห่างกันประมาณ ๑๐๐ ศอก แล้วจึ่งมีพระอุโบสถ แลวิหาร ๑๕ ห้องแล้ว จึ่งมีวิหาร พระป่าเลไล มีคลังมหาสมบัติ มีขุนหมื่น ข้าพระสงฆ์ส่อผึ้งน้ำมันเป็นอันมาก แล้วจึ่งมีพระสงฆ์ราชาคณะเป็นเจ้าอธิการ ชื่อพระมหามงคลเทพ ได้ถือตลปัฐแฉกมีพระครูแลปลัด ชื่อพระวินัยธรพระวินัยธรรมสมุทรใบฎีกามีกระชิงคานหาม มีข้าพระแลโยมสงฆ์เป็นอันมาก อันบ้านข้าพระนั้นเรียกบ้านขุนโขลนเกณฑ์ส่งจังหันแลนิตย์พัดประจำเดือนอยู่อัตรา อันรอยรูปพระพุทธบาทนั้น คือ สัจจพันดาบส ทูลขออาราธนาพระองค์ จึ่งประดิษฐานไว้

๏ครั้นอยู่มาเมื่อจุลศักราชได้ ๑๐๙๖ ปีขาน ฉศก จึ่งพระเจ้าลังกา อันได้ครองศิริวัฒนบุรี จึ่งมีพระประสงค์ที่จะบำรุงศาสนา ในเมืองศิริวัฒนบุรีที่เศร้าหมองไป จึ่งให้แต่งพระราชสาส์นใส่แผ่นสุพรรณบัตรแลสำเนา จึ่งให้ศิริวัฒน์อำมาตย์เป็นราชทูต กาลอำมาตย์เป็นอุปทูต อันเครื่องบรรณาการนั้น คือ สังขทักขิณา วัดปากเลี่ยมทอง กับเครื่องบรรณาการทั้งปวงเป็นอันมาก จึ่งให้ราชทูตอุปทูตถือพระราชสาส์นคุมเครื่องบรรณาการทั้งปวง กับผู้คนอันมาก ลงสำเภาแล้วใช้ใบเข้ามากรุงศรีอยุธยาเป็นพระราชไมตรี ครั้นสำเภาเข้ามาจอดแล้ว ราชทูตอุปทูตจึ่งเข้ามาแจ้งความกับอัครมหาเสนาบดีผู้ใหญ่คือเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ฝ่ายกรมท่า ส่วนเสนาผู้ใหญ่ครั้นแจ้งความแล้ว ก็เข้าไปกราบทูลฉลองกับพระมหาบรมราชา พระองค์จึ่งมีพระราชโองการ ให้เบิกราชทูตเข้ามาในพระราชวังใหญ่ เสนาผู้ใหญ่รับพระราชโองการแล้วออกมา จึ่งสั่งกรมเมืองให้ตกแต่งบ้านเมืองให้งามให้สะอาด กรมเมืองจึ่งสั่งให้นครบาลไปป่าวร้องให้ทำทาง แล้วให้พ่อค้าทั้งปวงมาตั้งร้านค้าขายกัน ทั้งผ้าผ่อนแพรพรรณต่างๆ นานา ทั้งเครื่องสิ่งของอันดีๆ ครั้นแล้วให้มานั่งซื้อขายกันตามที่ถนนหนทาง ที่แขกเมืองจักเข้ามาเฝ้า แล้วให้เอาช้างลงน้ำทุกประตูเมืองตามทางที่แขกเมืองจักมานั้น ครั้นตกแต่งบ้านเมืองแล้ว ส่วนเจ้าพระยากรมท่านั้นจึ่งปลูกโรงรับแขกเมือง ตามที่ตามทาง แล้วก็เลี้ยงดูตามอย่างธรรมเนียมแต่ก่อนมาแล้วเจ้าพระยากรมท่าราชมณูเทพมณูนำแขกเมืองลังกาเข้ามา ครั้นแขกเมืองเข้ามาแล้ว จึ่งรับแขกเมืองรั้งไว้บนศาลาหลวง แล้วให้ล่ามแปลสำเนาราชสาส์นที่มีมาทั้งสิ้น พระองค์เสด็จออกแขกเมืองนานาประเทศ ตามอย่างธรรมเนียมที่มีในนี้ อันหน้าฉานซ้ายขวานั้นตั้งเศวตฉัตร อันคันนั้นหุ้มทอง อันยอดและกำพูขอบระบายนั้นทอง จึ่งตั้งตรงหน้าฉานนั้น ซ้าย ๔ คัน ขวา ๔ คัน แล้วรองมาจึ่งมยุรฉัตรตั้งซ้าย ๔ ขวา ๔ แถวแต่บรรดาเครื่องสูงนั้นคือ จามร บังสูรย์ อพิรุมพัชนี อันเครื่องสูงเหล่านี้ล้วนทองประดับทั้งสิ้น จึ่งตั้งตรงหน้าฉานซ้าย ๔ ขวา ๔ แถว อันหน้าเครื่องสูงนั้นจึ่งตั้งเตียงทองประดับกระจกแล้วปูสุจนีย์ทั้งซ้ายขวาสำหรับตั้งพานพระราชสาส์น อันที่พานรองพระราชสาส์นนั้นพานทองประดับอันที่พระมหาอุปราชนั่งนั้น ตั้งเครื่องมหาอุปโภคพานทองประดับใส่พระศรีแล้วพานพระศรีแล้วพระเต้าครอบทองคำประดับ พระพรรณศรีประดับ แล้วรองพระมหาอุปราชมา จึ่งถึงที่ลูกหลวงเอก คือเจ้าฟ้าเสด็จนั่งเฝ้าซ้ายขวา ตั้งเครื่องมหาอุปโภคนั้นลดลงมากับพระมหาอุปราช แล้วจึงถึงลูกหลวงโท คือพระองค์เจ้าต่างกรม อันเครื่องอุปโภคนั้นลดลงมากับเจ้าฟ้า แล้วจึ่งพระราชวงศาราชนิกูล คือพระพิเรนทรเทพ พระเทพวรชุน พระอภัยสุรินทร์เทพ พระอินทร์อภัย แล้วจึ่งถึงที่อัครมหาเสนาบดีผู้ใหญ่คือเจ้าพระยามหาอุปราชแล้ว เจ้าพระยาจักรีกลาโหมที่อัครมหาเสนาบดีผู้ใหญ่จึ่งนั่งซ้ายขวากัน แล้วถึงพระยาสุระเสนา พระยามหาอำมาตย์ซ้ายขวา สองคนนี้รองจากเจ้าพระยาลงมา แล้วจึ่งพระอภัยราชา พระยาอภัยมนตรี เป็นซ้ายขวากันแล้ว จึ่งจตุสดมภ์ทั้งสี่ คือ กรมเมืองพระยายมราช กรมวังพระยาธรรมา กรมคลังพระยาราชภักดี กรมนาพระยาพหลเทพ แล้วพระยารัตนาธิเบศร พระยาธิเบศรบริรักษณ์สองคนนี้นั่งทั้งซ้ายขวากัน แล้วจึ่งเจ้าพระยาราชสงคราม พระยาเดโช นั่งซ้ายขวากัน แล้วจึ่งพระมหาเทพ พระมหามนตรีราชวรินทร์อินทรเดช อันสี่นี้กรมวังทั้งสี่ที่หัวหมื่นตำรวจใน ก็นั่งตามตำแหน่งเป็นซ้ายขวากัน แล้วพระเทพโยธา พระสมบัตยาธิบาล พระพิพัฒน์ พระอำมาตย์ พระบำเรอภักดี พระชำนิ พระกำแพงพระราชวังเมือง สองคนนี้กรมช้าง พระศรีเสาวพาหะ หลวงทรงพล อันสองคนนี้ กรมม้านั่งเฝ้าซ้ายขวากันตามที่ตามทางยังเหล่ามหาปโรหิตราชครูคือพระครูพิราม พระครูมโหสถ พระครูพิเชต พระครูเหธร พระครูสังขาราม พระครูกริศนา พระครูกริศนราช อันมหาปโรหิตนั้น ๘ คนนี้ ก็นั่งเฝ้ากันอยู่ ซ้ายขวาตามที่ แต่บรรดาเจ้าพระยาและพระยา และราชนิกูล หลวงขุนหมื่น ทั้งขุนนาง พราหมณ์ ขุนนางแขก ขุนนางฝรั่ง ขุนนางเจ๊ก ขุนนางมอญ ขุนนางลาว และทั้งเศรษฐี คหบดีทั้งปวงนั่งเฝ้าตามที่ตามตำแหน่ง ซ้าย ๘ แถว ขวา ๘ แถว เบ็ดเสร็จ เป็นมุขอำมาตย์ ๔๐๐ อันเจ้าพระยาแลพระยานั้น ตั้งเครื่องอุปโภคนั้นพานทองเจียดทองแลเครื่องทั้งปวง เป็นชั้นเป็นหลั่นกันลงมาตามที่ อันพระหลวงขุนหมื่นนั้นไม่มีเครื่องบริโภค อันชั้นหน้าพลานหน้าฉานนั้น ตั้งกลองโยน ๑๐๐ หนึ่ง มีฆ้องแต่งสำหรับเสด็จอันหน้าพระลานซ้ายขวา มีทหารข้างละ ๑๐๐๐ ใส่หมวกทองใส่เสื้อเสนากุฎสรรพสรรพ์อาวุธครบมือกันทั้งสิ้น อันข้างปราสาทซ้ายขวานั้นมิได้โกลา อางบังสรรพ์ผูกช้างต้นช้างเผือกแสน ช้างนิยาม อันเครื่องช้างนั้นทองประดับอย่างฝรั่งเศส มีข่ายทองปักหน้าภู่ผ้าปักหลังคองเชิงประดับสีท้าว อันเครื่องกินนั้นแต่ของทองเงิน มีฝาใส่หญ้ากล้วยอ้อย แล้วมีสับประทนแสกตั้งคันเงิน มีเครื่องกินกระยาหารเงิน อันเหล่าช้างจลุงรายซ้าย ๘ ขวา ๘ เชือกนั้นตกแต่งประดับประดาเป็นหลั่นกันตามที่ อันม้าต้นช้างขวานั้น ผูกอานมหาเนาวรัตน์ อันเครื่องกินนั้นมีตะคองน้ำทอง มีถาดเงินรองหญ้าถั่ว เข้า แล้วสับประทน แลไม้เตือนคันเงิน อันเหล่าม้าที่นั่งรองซ้าย ๘ ขวา ๘ นั้น ผูกเครื่องทอง รองเป็นหลั่นกันตามที่ อันฝ่ายบนพระที่นั่งนั้น มีเครื่องราชอุปโภค มีพานพระขันหมาก ๒ ชั้น เชิงครุฑถมยาราชาวดี ประดับตั้ง ซ้าย ๔ ขวา ๔ แล้วมีพานพระสุพรรณราช พระคนทีทองประดับ พระเต้าครอบทองประดับ จึ่งตั้งซ้าย ๔ แถว ขวา ๔ แถว แล้วจึ่งตั้งเครื่องเบญจราชกุกกุพรรณทั้ง ๕ คือ คือพระมหามงกุฎ พระขรรค์ พระแส้ ธารพระกร ฉลองพระบาท ตั้งเครื่องมหาพิชัยสงครามทั้ง ๕ คือ พระมาลา พระแสงศร พระแสงง้าว พระแสงหอก พระแสงซอ เป็น ๕ สิ่งด้วยกัน จึ่งตั้งซ้ายขวา แล้วจึ่งหัวหมื่นมหาดเล็กเกณฑ์นั่งหลัง เครื่องสูงหน้าราชบัลลังก์นั้น คือจหมื่นสรรเพชรภักดี จหมื่นศรีสรรักษณ์ จหมื่นไววรนารถ จหมื่นเสมอใจราช อันสี่คนนี้เป็นนายมหาดเล็กทั้งสิ้น แล้วจึ่งบำเรอภักดี หมื่นจง อันสองคนนี้เป็นปลัดวัง รองหัวหมื่นมหาดเล็กลงมา จึ่งนั่งซ้ายขวากัน จึ่งหลวงศักดิ์หลวงสิทธิ หลวงฤทธิ หลวงเดช อันสี่คนนี้เป็นรองหัวหมื่นมหาดเล็ก เป็นนายเวรมหาดเล็กทั้งปวง จึ่งนั่งซ้ายขวาตามที่ ยังเหล่ามหาดเล็กหุ้มแพรนั้น คือจ่าเรศ จ่ารง จ่ายง จ่ายวด นายกวด นายชัน นานจันมีชื่อ นายจิต นายสนิท นายเสน่ห์ นายเล่ห์อาวุธ นายสุดจินดา นายชัยขรรค์ นายสรรค์วิชัย นายพลไพล่ นายพลพัน อันมหาดเล็กหุ้มแพรนี้ ถือดาบทองประนมมือแล้วนั่งเฝ้าอยู่ข้างบัลลังก์ เป็นซ้ายขวากันตามที่ ยังเหล่าเกณฑ์คลังและชาวที่ ๔ คนนี้ คือหลวงรักษาสมบัติ หลวงทิพย์สมบัติ หลวงเทพสมบัติ ขุนวิสูตร อันชาวคลังและชาวที่สี่คนนี้ นั่งเฝ้าอยู่ริมเครื่องอุปโภค แต่บรรดามุขอำมาตย์ราชเสนาทั้งสิ้นนั้น แต่งตัวนุ่งห่มสองปักใส่ลำพอกมีเกี้ยวดอกไม้ไหวทั้งสิ้น

ครั้นพร้อมแล้ว พระองค์จึ่งสระสรงทรงเครื่อง แล้วจึ่งทรงพระภูษาพื้นแดงปักทองทรงจีบโจงแล้ว ทรงฉลองพระองค์ซับในอย่างน้อยพื้นทอง แล้วทรงฉลองพระองค์ซับนอกอย่างเทศ แล้วทรงตาบทิพทาบนาบประดับ แล้วสังวาลย์ประดับเพชร แล้วทรงพระมหามงกุฎประดับเพชร แล้วทรงพระธำมรงค์ราคาค่ากรุง แล้วจึ่งทรงถือพระแสงดาบตราใจเพชร จึ่งเสด็จทั้งพระมเหสีสามพระองค์ ทั้งพระสนมกำนันอันพรึดพร้อม แวดล้อมตามเสด็จออกมาเป็นอันมาก ครั้นได้เวลาสัญญาแล้ว จึ่งประโคมแตรงสังข์ ฆ้องกลองมโหรีปี่พาททั้งปวงแล้ว จึ่งชักม่านทองสองไข ครั้นเสด็จออกจึ่งหยุดประโคม กรมมาลาการนั้น คือราชมณูเทพมณูนั้น ชูดอกไม้ทอง แล้วจึ่งนำแขกเมือง เข้ามาในพระราชวัง แล้วจึ่งนำกราบสามครั้ง จึ่งถึงที่เฝ้าจึ่งตรัสเรียกหมากกลาง ขนทินบรรณารับสั่ง ขุนทานกำนันตั้งหมาก แล้วพระอาลักษณ์ จึ่งรับพระราชสาส์นนั้น เชิญขึ้นไว้บนเตียงประดับกระจก จึ่งตั้งไว้บนพานทองสองชั้น แล้วพระองค์จึ่งปราศัยตามอย่างตามธรรมเนียม ถ้าเป็นแขกเมืองใหญ่ ทรงพระราชประดิษฐาน ๗๙ นัด ถ้าเป็นแต่แขกเมืองน้อย พระราชประดิษฐาน ๓๕ นัด พระองค์จึ่งประดิษฐานตามเมืองใหญ่ ๗ นัด จึ่งทรงพระปราศัยเจ็ดคำ ว่ากรุงลังกานั้นพระศาสนารุ่งเรืองอยู่ฤๅคำหนึ่ง ข้าวปลาอาหารบริบูรณอยู่ฤๅสองคำ อันฝนฟ้านั้นบริบูรณอยู่ฤๅสามคำ พ้นจากโรคภัยอยู่ฤๅสี่คำ อันบ้านเมืองนั้นพ้นจากโจรผู้ร้ายเบียดเบียฬอยู่ฤๅห้าคำ พระมหากษัตริย์เป็นธรรมอยู่โทหกคำ อันเสนาอำมาตย์นั้นอยู่ในธรรมอยู่โทเจ็ดคำ อันนี้ทรงพระปราศัย เป็นตามอย่างธรรมเนียม ทูตจึงกราบทูลตามมีพระสีหนาถราชโองการตั้ง ๗ นัด แล้วอาลักษณ์จึ่งอ่านถวายว่า พระเจ้ากรุงศิริวัฒนบุรีนั้น มีพระราชสาส์นแลเครื่องบรรณาการเข้ามาถวายเป็นทางไมตรี อันพระเกียรติยศนั้น ฦๅไปถึงกรุงศิริวัฒนบุรี... (ความขาดหายไป)

ศาสนา ทั้งพระศาสนาก็รุ่งเรืองแจ่มใส อันพระเกียรติยศ.....ก็เลื่องฦๅไปถึงเมืองกรุงศรีอยุธยา พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา......ก็มีพระทัยรักใคร่เมตตายิ่งนัก ด้วยว่าเป็นกรุงสัมมาทิษฐิด้วยกัน จึ่งให้ราชสาส์นแลบรรณาการขึ้นมา เป็นทางพระราชไมตรีเพื่อจะใคร่เป็นทอง.........ด้วยสองกรุงนี้เป็นกรุงใหญ่กว่ากรุงทั้งปวง แล้วจะได้ช่วยกันทำนุบำรุงพระศาสนาจะได้เป็นเพดานทองกั้นกางในโลกยพิภพ ทั้งสองกรุงจะได้เป็นตะพานเงินตะพานทองแผ่นเดียวกันทั้งสองกรุง แลอานาราษฎรทั้งปวงก็จะได้ไปมาค้าขายถึงกันสืบไป ตราบเท่าจนสิ้นพระศาสนาฯ

ส่วนพระบรมราชา ครั้นแจ้งที่ในลักษณะพระราชสาส์นทั้งสิ้น ก็ทรงพระยินดียิ่งนักจึ่งประทานบำเหน็จรางวัลกับราชทูตทั้งสองคน ทั้งเงินทองเสื้อผ้าต่างๆ ทั้งสิ่งของก็ประทานเป็นอันมาก แต่บรรดาพม่าที่มาทั้งสิ้นก็ประทานบำเน็จรางวัลให้ครบตัวกันทั้งบ่าวนาย แล้วเลี้ยงดูให้กินวันละสามเวลา มิได้อนาทรสิ่งหนึ่งสิ่งใด ครั้นเมื่อทูตทั้งสองทูลลากลับ ก็แต่งบรรณาการให้ไปเป็นอันมาก ครั้งนั้นกรุงรัตนะบุระอังวะกับกรุงศรีอยุธยาไปมาถึงกันเป็นหลายครั้ง ฯฯ

ครั้นอยู่มาเมื่อครั้งจุลศักราช ๑๑๑๐ ปีมะโรงสำเร็จธิศก จึ่งมีสมิงธอคนหนึ่ง เป็นชาติกวยมีบุญญาธิการยิ่งนัก ได้ราชสมบัติในกรุงหงสาวดี จึ่งคิดอ่านให้อำมาตย์มาทูลขอพระราชธิดา เมืองกรุงศรีอยุธยา ครั้นพระบรมราชาแจ้งเหตุ ทรงพระโกรธจึงตรัสว่า มันเป็นแต่ชาติกวย มันมาขอลูกสาวกู ครั้งทรงพระโกรธดั่งนั้นแล้ว ก็มิได้ว่าขานประการใด ครั้นอยู่มาเมื่อจุลศักราชได้ ๑๑๑๐ ปี ในปีมะโรงสำเร็จธิศกนั้น เจ้าเมืองมัตมะทั้งผัวเมีย กับผู้คนบ่าวไพร่ทั้งปวงเป็นอันมาก ทั้งเจ้าเมืองทวายด้วยกันกับบ่าวไพร่ผู้คนหนีมาจากเมืองมัตมะ แลเมืองทวายเข้ามาในแดนกรุงศรีอยุธยาข้างด่านทางพระเจดีย์สามองค์ นายด่านชื่อขุนนราขุนละคร จึ่งพาเอาตัวเจ้าเมืองมัตมะเจ้าเมืองทวายทั้งสองนายเข้ามาแจ้งกับเจ้าพระยาชำนาญบริรักษณ์ๆ ซักไซร้ไต่ถาม จึ่งแจ้งความว่า ตัวข้าพเจ้าผู้เป็นเจ้าเมืองมัตมะนี้ ชื่อแมงนราจูสูเมียข้าชื่อแมงสันเป็นมอญ เรียกชื่อภาษามอญนั้นว่านางเหมยมิดฉาน อันเจ้าเมืองทวายนั้นชื่อ แมงแลกแอซอยคอง หนีมาจากเมืองทวายแลเมืองมัตมะ จะมาพึ่งโพธิสมภารพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา ตัวข้าพเจ้าผัวเมียกับผู้คนสมกำลังบ่าวไพร่ทั้งปวงด้วยกันทั้งสิ้นจักขอเข้ามาอยู่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อันเจ้าเมืองทวายก็ให้การตามที่มีมาทั้งสิ้น แล้วให้การว่าเจ้าอังวะ ตั้งให้ข้าพเจ้ามาเป็นเจ้าเมืองมัตมะ เป็นผู้รักษาแดนมัตมะแลแดนทวาย บัดนี้มอญชื่อพระยากรมช้างพระเจ้าอังวะตั้งลงมาให้เป็นเจ้าเมืองหงสาวดีคิดกบฏต่อพระเจ้าอังวะ แล้วต่อสู้รบกันเป็นอันมาก ข้าพเจ้าจะยกทัพไปช่วยตีเมืองหงษาจึงเกณฑ์ผู้คนเมืองมัตมะ มอญเมืองมัดมะจึ่งเป็นกบฏ แล้วไล่จับตัวข้าพเจ้าจักฆ่าเสีย ข้าพเจ้าจึงหนีไปอยู่เมืองกลิอ่องแดนทวาย จึงไปพบเจ้าเมืองทวายเข้าที่เมืองกลิอ่อง ข้าพเจ้ากับเจ้าเมืองทวายจึงคิดอ่านกันแล้ว ก็เกณฑ์ผู้คนชาวเมืองกลิอ่องจะขึ้นไปช่วยอังวะ ชาวเมืองกลิอ่องจึงแข็งเมืองเอา แล้วไล่ข้าพเจ้าจักฆ่าเสีย ข้าพเจ้าจึงหนีเข้ามาพึ่งพระโพธิสมภาร จักอยู่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา ไปจนตราบท้าววันตาย

แล้วยกแมงนราจอสูให้การว่า ข้าพเจ้าไปเรียกสมิงธอนั้นๆ ว่าขานท้าทายมาดังนี้ ฝ่ายกรมช้างคิดครั่นคร้ามกลัวทางสมิงธอจะขึ้นมา จึ่งให้ไปปลอบโยนมาแต่โดยดี แล้วจึ่งเอานางคุ้งผู้เป็นลูกสาวนั้นยกให้เป็นเมีย แล้วจึ่งยกราชสมบัติให้กับสมิงธอ กรมช้างจึงทำการราชาภิเศกให้สมิงธอครอบดรองกรุงหงสาวดี ในปีนั้นจึงตั้งนางคุ้งให้เป็นที่มเหสี ครั้นสมิงธอไต้ครองเมืองหงสาวดี ก็มีบุญญาธิการยิ่งนัก จึ่งได้ช้างด่างกระดำตัวหนึ่ง จึ่งให้ชื่อรัตนาฉัตทัน ครั้งอยู่มาสมิงธอจึ่งให้ราชสาส์นไปถึงพระเจ้าหงส์ดำอันเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ ส่วนพระเจ้าเชียงใหม่นั้นก็กลัวบุญญาอานุภาพสมิงธอ จึงยกลูกสาวอันชื่อนางเทพลิลานั้นให้เป็นเมียสมิงธอ สมิงธอจึงตั้งนางเทพลิลาอันเป็นลูกสาวพระเจ้าเชียงใหม่นั้นให้เป็นที่มเหสี อันนางคุ้งลูกสาวกรมช้างนั้นให้เป็นที่มเหสีขวา อันสมิงธอนั้นรักใคร่ ลุ่มหลงไปแต่ฝ่ายนางเทพลิลา มิได้ทำนุบำรุงกับนางคุ้งที่เป็นมเหสีขวา ฝ่ายกรมช้างผู้เป็นพ่อตานั้นก็น้อยใจ ว่าสมิงธอนี้ไม่รักใคร่ลูกสาว กรมช้างจึ่งคิดอ่านทำการทั้งปวง ครั้นอยู่มากรมช้างจึ่งบอกข่าวช้างเผือก ว่ามีช้างเผือกผู้ตัวหนึ่ง อยู่ในป่าแดนเมืองตองอู มีรูปอันงามยิ่งนัก สมิงธอครั้นแจ้งว่าช้างเผือก จึ่งยกทัพไปตามช้างเผือกที่ในป่า ครั้นสมิงธอไปตามช้างเผือก พระยากรมช้าง จึ่งซ่อมสุมผู้คนแล้วจึ่งปิดประตูเมือง ให้ขึ้นหน้าที่เชิงเทิน จึ่งเกณฑ์ทัพไปรบพุ่งสมิงธอ สมิงธอนั้นสู้รบต้านทานพระยากรมช้างมิได้ จึ่งพาเอานางเทพลิลาผู้เป็นมเหสีนั้นไปส่งเสียเมืองเชียงใหม่ แล้วจึ่งยกทัพกลับมาสู้รบกับพระยากรมช้าง สมิงธอรบ... ต้านทานพระยากรมช้างมิได้ก็แตกหนี จึ่งเข้ามาพึ่งโพธิสมภารพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา ครั้นสมิงธอให้การดั่งนี้ เจ้าพระยาพระหลวงจดหมายเอาคำที่ให้การนั้นเข้าไปทูลฉลองกับพระบรมราชา______ครั้นทราบจึ่งตรัสว่า อ้ายสมิงธอนี้มันเป็นชาติกวย เมื่อครั้งมันได้นั่งเมืองหงสาวดีนั้น มันจัดให้มาขอลูกสาวเราใจมันกำเริบมันไม่คิดถึงตัวมันว่าไม่ใช่เชื้อกษัตริย์ มันจองหองมาขอลูกสาวเราจึ่งมีโองการตรัสสั่งให้เอาใส่คุกไว้ แล้วให้จองจำตัวมันไว้ เจ้าพระยากรมท่าจึ่งเอาตัวสมิงธอนั้นมาใส่คุกไว้แล้วจองจำตามรับสั่ง อันสมิงธอนั้นเป็นคนดีมีความรู้ ฝ่ายข้างวิปัสนาธุระคันถธุระแผ่เมตตาดีนัก ผลที่สมิงธอแผ่เมตตานั้น อันผู้คุมแลนายคุก ก็มีเมตตาแล้วมิได้จำจองก็ลดลาให้อยู่ดีๆ แล้วเลี้ยงดูให้กินอยู่บรบูรณ มิได้ลำบากยากใจ ครั้นกิติศัพท์นั้นรู้ไปถึงเจ้ากรมหมื่นจิตรสุนทรผู้เป็นพระราชบุตรว่าสมิงธอนี้ เป็นคนดีมีวิชา ความรู้ดียิ่งนัก จึ่งมาเรียนความรู้แล้วจึ่งทำนุบำรุงเลี้ยงดูให้กินอยู่มิได้อนาทรร้อนใจ แล้วจึงทูลเบี่ยงบ่ายแก้ไขให้สมิงธอได้ออกจากคุก

ครั้นอยู่มาพระยากรมช้างซึ่งเป็นเจ้าเมืองหงสาวดีรู้ไปว่าสมิงธอหนีเข้าไปอยู่ในเมืองกรุงศรีอยุธยา จึ่งให้เสนาถือหนังสือเข้ามากราบทูล กับพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาว่าอย่าให้พระเจ้ากรุงศรีอยุธยารับตัวสมิงธอไว้ มันเป็นคนไม่ตรงอกตัญญู ให้พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาส่งตัวมันมาจักฆ่ามันเสีย พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาก็มิได้ส่งตัวสมิงธอไป จึ่งฝากสำเภาจีนส่งไปเสียเมืองจีน เมื่อครั้งจุลศักราชได้ ๑๑๑๘ ปีชวดอัฐศก เมื่อพระบรมราชาจักใกล้สวรรคต ส่วนเจ้าสำเภาจีนรับเอาตัวสมิงธอไปสำเภาแล้ว จึ่งปล่อยเสียที่กลางทางแล้ว สมิงธอจึ่งตรงไปเข้าแดนเมืองเชียงใหม่ไปหานางเทพลิลาอันเป็นลูกเจ้าเชียงใหม่ผู้เป็นบิดา แล้วจึ่งให้ทูลขอกองทัพจักไปรบเมืองหงษา พระเจ้าเชียงใหม่ก็มิให้เกณฑ์ทัพ ตามใจนางเทพลิลาทูลขอ ครั้นสมิงธอให้นางเทพลิลาทูลขอกองทัพไม่ได้ดั่งใจ จึ่งลักเอานางเทพลิลาได้แล้วก็พาหนีจากเมืองเชียงใหม่ กับผู้คนสมกำลังเป็นอันมาก ครั้นมาถึงกลางทาง จึ่งมาพบมังลองยกทัพออกไปรบเมืองหงสามังลองจึงจับเอาตัวสมิงธอได้แล้วก็ส่งขึ้นไปเมืองอังวะ ครั้นมังลองได้เมืองหงสาแล้ว มังลองจึงยกทัพไปรบกรุงไทย เมื่อครั้งจุลศักราช ๑๑๒๒ ปีมะโรง โทศก ฯฯ

อันพระบรมราชานั้น พระองค์มีเมตตาแก่สัตว์ทั้งตั้งอยู่ในยุติธรรม ถ้าใครชอบพระองค์ก็ตอบรางวัล ถ้าใครผิดก็ให้ลงทัณฑโทษา ที่ควรเลี้ยง พระองค์ก็เลี้ยงตามศักดิ์ ที่ควรฆ่าก็ฆ่าให้บรรลัยจนพระราชบุตรแลพระราชธิดาพระองค์ก็มิได้ไว้หน้า อันพระราชอาชญาของพระองค์นี้ดั่งขวานชัยของรามสูร จนแต่พระมหาอุปราชที่รักใคร่เสน่ห์หา ครั้นไม่อยู่ในยุติธรรมแล้ว พระองค์ก็มิได้ไว้หน้าพระองค์ก็สังหารให้ถึงแก่พิลาไลย ยังพระราชบุตรสององค์พระองค์ก็ปลงชีวิตให้ถึงแก่ความตายแล้วพระองค์จัดตั้งเจ้าฟ้าดอกเดื่อเป็นที่มหาอุปราชแทนที่ด้วย เดิมทีเมื่อแรกจะมีพระครรภ์เจ้าฟ้าดอกเดื่อนั้น พระองค์ก็ทรงพระสุบินนิมิตรฝันว่าพระองค์ได้ดอกมะเดื่อ พระองค์ก็ทรงทำนายฝันพระองค์เอง อันว่าดอกมะเดื่อนี้ไม่มีหายากนัก ก็มาได้ดอกมะเดื่อนี้เป็นลาภใหญ่ดีหนักหนา เป็นที่ยิ่งอยู่ในโลก พระองค์จึงคิดจะให้ครอบครองราชสมบัติสืบไป จึ่งตั้งเจ้าฟ้าดอกเดื่อให้เป็นที่มหาอุปราช เพื่อเหตุว่าทรงพระสุบินนิมิตรดั่งนี้ จึงตั้งให้เป็นกรมราชวังสถานมงคล อยู่วังจันทะเกษมได้ครองกึ่งพิภพภารา พระบิดาจึ่งสมมุตินามเรียกพระอุทุมพร เมื่อครั้งจุลศักราชได้ ๑๑๑๙ ปีฉลูนพศก ฯฯ

พระอุทุมพรได้เป็นที่พระมหาอุปราช รององค์สมเด็จพระบิดาให้ว่าราชการกึ่งพิภพอันพระบรมราชานั้น ได้เสวยราชสมบัติมาช้านานหนักหนา แต่เป็นที่มหาอุปราชมาก็ช้านานได้ถึงยี่สิบปี พระชนม์ได้เจ็ดสิบพระวะษา เมื่อกาลจะมาถึงที่ด้วยพระองค์เป็นอธิบดีได้เป็นใหญ่อยู่ในพิภพแลนคร จึ่งมีวิปริตด้วยเทพสังหรต่างๆ อันกะลาบาตนั้นก็ตกลงมาที่ในเมือง ทั้งฟ้าก็แดงดูดั่งแสงเพลิง อันน้ำที่ในแม่น้ำนั้นก็บรรดาลในเดือดแดงเป็นสีเลือด ประทุมเกศก็ตกถูกปราสาท ทั้งกละพฤกษใหญ่ก็ขึ้นมาทั้งอินทนูลำภู่กันดาวหางก็ขึ้นมา ทั้งคลองช้างเผือกก็ขวางขึ้นมาตามโดยอากาศ ทั้งตรีกาลกลาจักร์ก็ขึ้นมา ทั้งดาวก็เข้าในพระจันทร์ ทั้งพระอาทิตย์ก็ให้มืดเย็นเยือกไปทั่วทุกทิศ ทั้งพระจันทร์ก็แดงเหมือนแสงเพลิง ก็พากันเงียบเหงาเศร้าใจไปด้วยกันทั้งสมณแลชีพราหมณ์ ทั้งเสนาแลอาณาราษฎรชายหญิง แลเด็กใหญ่เถ้าแก่ ทั้งกรุงแลขอบขันธเสมาของพระองค์ทั้งสิ้น ด้วยนิมิตด้วยพระองค์จะนิพพาน อันพระบรมราชานั้นวัน ๗ ได้เสวยราชสมบัติมาช้านาน แต่เมื่อครั้งจุลศักราชได้ ๑๐๙๓ ปีชวดตรีนิศก พระชนมายุศมได้ ๕๑ ปี อยู่ในราชสมบัติ ๒๗ ปี เป็น ๗๘ ปี จึ่งสวรรคต เมื่อปีสวรรคตนั้นจุลศักราชได้ ๑๑๒๐ ปีขาลสำเร็จธิศก เดือนเก้า แรมหกค่ำ วันพุธ เพลาได้ ยามเศษ ฯ

พงศาวดานทอดหลัง นับตั้งแต่พระอุทุมพรได้ราชสมบัติไปจนถึงเมื่อสิ้นกรุงสิ้นเรื่อง สิ้นสมุดยุติแต่เท่านั้น

เมื่อจุลศักราช ๑๑๒๐ ปีขาล สำเร็จธิศก วันพุธ เดือนหก แรมห้าค่ำ พระบรมราชาสวรรคตแล้ว พระอุทุมพรราชาได้ว่าราชการกรุงทั้งปวง จึ่งคิดอ่านกันกับพระเชษฐาธิราช ที่จะแต่งการพระบรมศพสมเด็จพระบิดา จึ่งมีรับสั่งให้เรียกบรรดาพระญาติวงศ์ทั้งปวงเป็นอันมาก ฝ่ายพระญาติวงศ์น้อยใหญ่ทั้งสิ้นก็เข้ามาถวายบังคมพร้อมกันทั้งสิ้น แล้วมีพระโองการรับสั่งให้ถือน้ำพระพิพัฒสัจจาตามประเพณีตามอย่างแต่ก่อนมา บรรดาพระราชตระกูลเสนาอำมาตย์น้อยใหญ่เป็นอันมากก็ถือน้ำพิพัฒสัจจาตามอย่างธรรมเนียมแต่ก่อนมา ฝ่ายกุมารทั้งสามนั้นคือกรมจิตรสุนทร กรมสุนทรเทพ กรมเสพภักดี กุมารทั้งสามนั้นพระโองการให้ไปเรียกก็มิได้มาตามรับสั่ง ขัดรับสั่งแลซ่องสุมผู้คนแลศัตราอาวุธเป็นอันมากมิได้ปกติตามอย่างธรรมเนียมแต่ก่อนมา

ฝ่ายพระสังฆราชานั้น มีเมตตาแก่สัตว์ทั้งปวงกลัวจะเกิดเหตุ จะมีอันตราย แก่สัตว์ทั้งปวงจึ่งไปเรียกกุมารทั้งสามองค์มา ฝ่ายกุมารทั้งสามองค์นั้นก็เข้ามาตามพระสังฆราช จึ่งเข้าไปกราบพระศพแลกราบพระอุทุมพรราชาแล้ว ก็ถือน้ำพิพัฒสัจจาตามประเพณีตามอย่างตามธรรมเนียมแต่ก่อนมา แล้วก็คืนมายังบ้านหลวง อันเป็นที่อยู่แต่ก่อนมา ก็มิได้ปกติมิได้เลิกทัพ ที่ซ่องสุมผู้คนแลศัตราอาวุธทั้งปวงนั้น เสนาบดีก็ให้ผู้คนไปสอดแนมดู แลก็เห็นผู้คนแลศัตราอาวุธครบตัวกัน ซ่องสุมอยู่เป็นอันมาก ครั้นคนที่ไปดูนั้นเห็นแล้วจึงเอาความมาแจ้งเหตุแก่เสนาบดีผู้ใหญ่ ฝ่ายเสนาบดีผู้ใหญ่จึงปรึกษาโทษตามอย่างตามธรรมเนียมกฎพระอัยการก็เห็นว่าโทษผิดเป็นอันมาก โทษนี้ถึงตาย ครั้นปรึกษาพร้อมกันสิ้นแล้วบันดาเสนาบดีน้อยใหญ่แลราชบัณฑิตทั้งปวงจึ่งใส่ในกฎพระอัยการ จึงทำเรื่องราวกราบทูล ครั้นทำเรื่องราวแล้วเสนาบดีทั้งปวงพร้อมกันเข้าไปกราบทูลฉลองแก่สมเด็จพระอุทุมพรราชา ครั้นพระอุทุมพรราชาทราบแล้ว จึ่งมีพระโองการตรัสให้ทำตามบทพระอัยการตามโทษ ครั้นมีพระโองการตรัสออกมาแล้วฝ่ายเสนาบดีผู้ใหญ่ จึ่งจดหมายพระโองการมาตามมีรับสั่ง แล้วจึ่งให้อำมาตย์ผู้น้อยคุมผู้คนไปเรียกสามกุมารเป็นอันมาก ครั้นอำมาตย์ไปเรียกก็ยกผู้คนตามมามีศาสตราอาวุธเป็นอันมาก ครั้นมาถึงประตูพระราชวังแล้วฝ่ายผู้คนที่รักษาประตูพระราชวังนั้นจึงออกห้ามปรามมิให้ผู้คนทั้งปวงนั้นเข้าไป บรรดาผู้คนทั้งปวงที่ตามสามกุมารมานั้นก็หยุดอยู่ที่นั้นมิได้ตามไปในพระราชวัง ฝ่ายกุมารทั้งสามองค์นั้นก็เข้าไปในพระราชวังทั้งสามองค์ ฝ่ายเสนาบดีทั้งนั้นจึ่งจับกุมารทั้งสามนั้นล้างเสียให้ถึงแก่ความพิลาไลยทั้งสามองค์ ตามกฎพระอัยการที่มีมาแต่ตามอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน ตามมีพระโองการรับสั่งมา

ครั้งสิ่นเสี้ยนศัตรูแล้ว พระอุทุมพรราชา กับพระเชษฐาธิราชนั้น ก็คิดอ่านกันที่จะทำพระบรมศพ แล้วพระองค์จึงมีพระโองการให้มีตราพระราชสีห์ไปทุกประเทศราช ให้ชุมนุมกษัตริย์ทั้งปวงทุกหัวเมืองขึ้นแลบรรดาหัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งสิ้นให้มาปลงพระบรมศพสมเด็จพระบิดา แล้วจึ่งเอาน้ำหอมแลน้ำดอกไม้เทศแลน้ำกุหลาบน้ำหอมต่างๆ เป็นอันมาก มาแล้ว พระอุทุมพรราชาพระเอกทัตทั้งสองพระองค์ก็ทรงกรรแสงร่ำไร ด้วยคิดถึงพระคุณสมเด็จพระบิดาก็เศร้าโศรกร่ำไรทั้งสองพระองค์ พระราชบุตรแลพระราชธิดาพระญาติพระวงศ์ทั้งปวง แลพระสนมกำนัลทั้งปวงเป็นอันมาก เสนาบดีน้อยใหญ่แลราชนิกูลน้อยใหญ่ประเทศราชทั้งปวง เศรษฐีคหบดีพร้อมกันร้องไห้อื้ออึงไปในปราสาทด้วยความรักพระบรมราชาทั้งสิ้น ครั้นสรงน้ำหอมแล้ว จึ่งทรงสุคนธารส แลกระแจะจวงจันทน์ทั้งปวงแล้วทรงสนับเพลาเซิงงอนทองชั้นใน แล้วทรงพระภูษาพื้นขาว ปักทองชั้นนอก แล้วจึงทรงเครื่องต้นแลเครื่องทองแล้วจึงทรงฉลองพระองค์อย่างใหญ่ กรองทอง สังเวียรหยัดแลชายไหว ชายแครงตาบทิพแลตาบหน้า แลสังวาลประดับเพชร แล้วจึ่งทรงทองต้นพระกร แลปลายพระกรประดับเพชรพระมหาชฎาเดินหน มียอดห้ายอด แล้วทรงพระธำมรงค์เพชรอยู่เพลิงทั้งสิบนิ้วพระหัตถ์ แลสิบนิ้วพระบาท แล้วจึงเชิญเสด็จขึ้นบนฐานกาจับหลักแล้วจึ่งเอาไม้ง่ามหุ้มทองนั้นค้ำพระหนุเรียกว่าไม้กาจับหลัก จึ่งประนมกรเข้าแล้วเอาซรองหมากทองปากประดับในใส่พระหัตถ์ แล้วเอาพระภูษาเนื้ออ่อนเข้าพันเป็นอันมาก ครั้นได้ที่แล้วจึ่งเอาผ้าขาวเนื้อดีสี่เหลี่ยมเข้าห่อเรียกว่าผ้าห่อเมี่ยงตามอย่างตามธรรมเนียมมา แล้วจึงเชิญเข้าโกฎลองในทองหนักสิบสองชั่งแล้วจึงใส่ในโกฏทองใหญ่เป็นเฟืองกลีบจงกล ประดับพลอยมียอดเก้ายอด เชิงนั้นมีครุฑแลสิงอัดทองหนัก ๒๕ ชั่ง แล้วเชิญพระโกฎนั้นขึ้นเตียงหุ้มทอง แล้วจึงเอาเตียงที่รองพระโกฎนั้นขึ้นบนพระแท่นแว่นฟ้า แล้วจึงกั้นราชวัตตาไข่ปะวะหล่ำแดง แลราชวัตรฉัตรอันทำด้วยแก้ว มีเครื่องสูงต่างๆ แล้วจึงเชิญพระพุทธรูปมาตั้งที่สูงเป็นธิบดีแล้วจึงตั้งเครื่องราชบริโภคนานา ตั้งฐานพระสุภรรณปัต ถมยาใส่บนพานทองประดับสองชั้น แล้วจึ่งตั้งพานพระสำอาง พานพระสุพรรณศรี แลพระสุพรรณราช แลพระเต้าครอบทอง แลพระคณฑีทอง แลพานทองประดับแลเครื่องอุปโภคบริโภคนานา ตั้งเป็นชั้นหลั่นกันมาตามที่ซ้ายขวาเป็นอันดับกันเป็นอันมาก แล้วจึ่งตั้งมยุรฉัตรขวามียอดหุ้มทอง ระไบทอง แลคันหุ้มทองประดับทั้งแปดคันทั้งแปดทิศ แลมีบังพระสูรย์ แลอภิรุม แลบังแซกจามรทานตะวันแลพัดโบกสารพัดเครื่องสูงนานาตั้งซ้ายขวา เป็นชั้นเป็นหลั่นกันตามที่ตามทาง แล้วจึงปูลาดพระสุจนียี่ภู่ จึ่งตั้งพระแท่นประดับแว่นฟ้าในพระยี่ภู่เข้ามาแล้วจึ่งปูลาดที่บรรทม แล้วตั้งพระเขนยกำมะหยี่บักทองอันงาม แล้วจึ่งตั้งฝ่ายซ้ายขวาสำหรับสองพระองค์จะนั่งอยู่ตามที่กษัตราธิบดี แล้วจึ่งกะเกณฑ์ให้พระสนมกำนัลทั้งปวงมานั่งห้อมล้อมพระบรมศพ แล้วก็ร้องไห้เป็นเวลานาทีเป็นอันมาก แล้วมีนางขับรำเกณฑ์ทำมโหรี กำนัล นารีน้อยๆ งามๆ ดั่งกินร กินรีมานั่งห้อมล้อม ขับรำทำเพลงอยู่เป็นอันมาก แล้วจึ่งให้ประโคมฆ้องกลองแตรสังข์ แลมโหรีปี่พาทย์อยู่ทุกเวลา พระองค์จึ่งให้ตั้งที่อาสนสงฆ์ แล้วจึ่งให้ธรรมโกลิต ซึ่งเป็นพนักงานสังฆการีให้นิมนต์พระสังฆราชเป็นต้น แลราชาคณะอันมีชื่อตามตำแหน่งเป็นประธานแก่พระสงฆ้ทั้งนอกกรุงแลในกรุงแลบรรดาพระสงฆ์หัวเมืองเป็นอันมาก เวลาค่ำให้เข้ามาสดัปกรณ์แล้วสวดพระอภิธรรม

ครั้นเพลาเข้าถวายพรพระแล้วฉัน ครั้นเพลาเพลให้มีเทศนาแล้วถวายไชยทานไตรจีวร ติจีวริกแลเครื่องเตียบเครื่องสังเขป ทั้งต้นกัลปพฤกษ์ อันมีสิ่งของต่างๆ ครบครันวันหนึ่งเป็นพระสงฆ์ร้อยหนึ่งทุกวันมิได้ขาด ครั้นแล้วจึ่งตั้งโรงงานการเล่นมโหรสพทั้งปวงให้มีโขน หนัง ละคร หุ่นแลมอญรำ ระบำทองทั้งมงคลุ่มผาลากุลาตีไม้ สารพัดมีงานการเล่นต่างๆ นานา แล้วทั้งสองพระองค์จึ่งแจกเสื้อผ้า เงินทองสารพัดสิ่งของนานา ครบครันให้ทานแก่อานาประชาราษฎรทั้งปวง ทั้งหญิงทั้งชายเด็กแลผู้ใหญ่เฒ่าแก่ก็แตกกันมารับพระราชทานเป็นอันมาก พระองค์ก็ให้ด้วยมีน้ำพระทัยศรัทธายินดี อานาประชาราษฎรก็ชื่นชมยินดี แล้วยอกรอัญชุลีเหนือเกล้าเกศา ถวายพระพรทั้งสองพระองค์ บ้างก็มาโศกาอาดูร รำไรคิดถึงพระธรรมราชา แล้วก็พากันไปดูงานเล่นทั้งปวงอันมีต่างๆ ทั้งเด็กแลผู้ใหญ่ก็พากันรื่นเริงไปทั้งกรุงศรีอยุธยา ทั้งสองพระองค์จึงมีรับสั่งให้ตั้งพระเมรุทองที่ท้องสนามหลวง แล้วตั้งพระเมรุใหญ่สูง แล้วปิดทองประดับกระจกผูกเป็นลวดลายต่างๆ แล้วมีเพดานรองสามชั้น เป็นหลั่นๆ ลงมาตามที่จึ่งมีพระเมรุใหญ่สูงสุดยอดพระสเดานั้น ๔๕ วา ฝานั้นแผงหุ้มผ้าปิดกระดาษปูพื้นแดง เขียนเป็นชั้นนาค ชั้นครุฑ ชั้นอิสูร ชั้นเทวดา ชั้นอินทร์ แลชั้นพรหม ตามอย่างเขาพระสุเมรุ ฝาข้างในเขียนเป็นดอกสุมณฑาทอง แลมณฑลเงินแกมกัน แลเครื่องพระเมรุนั่น มีบันแลมุข ๑๑ ชั้น เครื่องบนจำหลักปิดทองประดับกระจก ขุนสุเมรุทินราชเป็นนายช่างอำนวยการ พระเมรุใหญ่นั้นมีประตู ๔ ทิศ ตั้งรูปก็นร รูปอิสูร ทั้ง ๔ ประตู พระเมรุใหญ่นั้นปิดทองทึบจนเชิงเสากลางพระเมรุทอง ก่อเป็นแท่นรับเชิงตะกอน อันเสาเชิงตะกอนนั้นก็ปิดทองประดับกระจกเป็นที่ตั้งพระบรมโกษฐ แล้วจึงมีเมรุทิศ ๔ เมรุ แซก ๔ เป็น ๘ ทิศ ปิดทองกระจกเป็นลวดลายต่างๆ แล้วจึงมีรูปเทวดา รูปเพทยาธร คนธรรพ์ แลครุฑกินร ทั้งรูปคชสีห์ ราชสีห์ แลเหมหงส์ แลรูปนรสิงห์ แลสิงส์โต ทั้งรูปมังกร เหรา นาคา แลรูปทักธอ รูปช้างม้า เรียงผาสารพัดรูปสัตว์ทั้งปวงต่างๆ นานาครบครัน ตั้งรอบพระเมรุเป็นชั้นกั้นตามที่แล้วจึงกั้นราชวัตรสามชั้น ราชวัตรนั้นก็ปิดทอง ปิดนาค ปิดเงิน แล้วตีเรือกเป็นทางเดินที่สำหรับจะเชิญพระบรมศพมาริมทางนั้นจึ่งตั้งต้นไม้กระถางอันมีดอกต่างๆ แล้วประดับประดาด้วยฉัตรแลธงงามแล้วงามไสว ครั้นแล้วพระองค์ก็เสด็จเข้าในพระราชวัง

ฝ่ายข้างสมเด็จพระพันวษาใหญ่นั้นก็ประชวรหนักลง ก็เสด็จสู่สวรรคาไลยไปเป็นสองพระองค์ด้วยกัน พระเอกทัต แลพระอุทุมพรราชาทั้งสองพระองค์ก็ทรงพระกันแสงพิลาปพร่ำรำไรถึงสมเด็จพระชนนี แลพระบิดาทั้งพระราชบุตร แลพระราชธิดา ทั้งพระญาติวงศ์ทั้งปวง แลพระสนมกำนัล สาวสรรค์ทั้งปวง ทั้งเสนาบดีแลราชตระกูลเป็นอันมากก็พากันโศกาอาดูรดังอื้ออึง ครื้นเครงไปทั้งปราสาทศรี แล้วจึ่งสรงน้ำกุหลาบ น้ำบุปผาเทศน้ำหอมต่างๆ ครั้นสรงแล้วจึ่งประดับประดาเครื่องทั้งปวง ประดุจดังสมเด็จพระบิดา แล้วจึ่งเชิญมาใส่ในพระโกศทองสองชั้น แล้วจึ่งตั้งบนพระแท่นประดับแว่นฟ้า ตั้งไว้ฝ่ายซ้ายพระบิดา แล้วสดัปกรณ์แลสวดฉันแลทำการทั้งปวงประดุจดังสมเด็จพระบิดา แล้วพระองค์จึงมีรับสั่งให้ปลงพระบรมศพพระบิดาแลพระชนนี อันบรรดาพระญาติวงศ์ทั้งปวงแลพระสนมกำนันนารี แลพระยาประเทศราชแลราชนิกูล แลเสนาบดีใหญ่น้อย แลเศรษฐีคหบดีทั้งสิ้นให้แต่งตัวด้วยเครื่องขาวอันให้ครบตัวกันทั้งสิ้น บรรดาคนเกณฑ์แห่ทั้งปวงนั้นก็ให้แต่งเครื่องขาวใส่ลำพอกถือพัดไปซ้ายขวาเป็นอันมากแล้วมีฆ้อง แตร สังข์ ลำโพงแลแตรงอนแลปี่พาทย์ ตีแห่ไปดังครื้นเครงไปทั้งพระราชวังน่า ปี่พาทย์นั้นเครื่องชัยทานทั้งปวงเป็นอันมาก แล้วจึงเชิญพระมหาพิชัยราชรถ ทั้งสองเข้ามาเทียบแล้ว จึ่งเชิญพระโกฎทอง ทั้งสองนั้นขึ้นสู่พระราชรถทั้งสองแล้วจึ่งเทียมด้วยม้า ๔ คู่ ม้านั้นผูกประกอบรูปราชสีห์กรวมตัวม้าลงให้งามแล้วจึ่งมีนายสารถีขับรถ แต่งตัวอย่างเทวดาข้างละ ๔ คน อันรถที่นำหน้านั้น สมเด็จพระสังฆราชอ่านพระอภิธรรม ถัดมาถึงรถเหล่าพระญาติวงศ์ ถือจงกลปรายข้าวตอกดอกไม้ ถัดนั้นไปรถพระญาติวงศาถือผ้ากาษา มีปลอกทองประดับเป็นเปลาะๆ ห่างกันประมาณสามวาแล้วถือซองหมากทองโยงไปหน้า ถัดนั้นมาถึงรถพระบรมศพ ถัดมารถใส่ท่อนจันทน์ แลกฤษณากลำภักปิดทองรูปเทวดาถือกฤษณากระลำภักท่อนจันทร์นั้นถือชูไปบนรถด้วยกันจึ่งมีรูปสัตว์ ๑๐ อย่างๆ ละคู่เป็น ๒๐ ตัว มีรูปช้างสอง ม้าสอง คชสีห์สอง ราชสีห์สอง สิงโตสอง มังกรสอง ทักขธอสอง นรสิงห์ ๒ เหม ๒ หงส์ ๒ แลรูปภาพทั้งนี้สูง ๔ ศอกมีมณฑปบนหลังสำหรับใส่ธูป น้ำมันภุมเสน แลเครื่องหอมต่างๆ มีคนชักรถพระบรมศพแซงไปทั้งซ้ายขวา แต่งตัวอย่างเทวดาใส่กำไลต้นแขนแลกำไลมือ ใส่สังวาลทับทรวงใส่เทริดแล้วเข้าชักรถพระบรมศพไปซ้ายขวาเป็นอันมากชักด้วยเชือกหุ้มด้วยสักหลาดแดงไป ๔ แถว รถนั้นชักไปบนเรือกสองข้างทาง ประดับด้วยราชวัตรแลฉัตรธง เบญจรงค์ทองนาคเงิน แล้วไปฝ่ายหน้าหลังฝ่ายซ้ายขวามีเครื่องสูงกระบวนพยุหยาตราอย่างใหญ่ แลมีผู้ถือเครื่องราชาบริโภคครบครัน แล้วจึ่งถึงเกณฑ์แห่เสด็จขุนหลวงจึ่งมีเสนาบดีน้อยใหญ่นั้นแต่งตัวนุ่งขาว ใส่เสื้อครุยขาว ใส่ลำพอกขาว ถือพัดแล้วเดินแห่ไปซ้ายขวา แล้วจึ่งถึงเหล่าปุโรหิตราชครูถือพัดแห่ไปซ้ายขวาแล้วจึงถึงเหล่าราชนิกูล ถือพัดแห่ไปซ้ายขวาเป็นอันมาก แล้วจึ่งถึงเหล่าดนตรีกลองชนะ แลกลองโยน แลแตรสังข์ลำโพง แลแตรงอนนั้นก็เป็นอันมาก ซ้ายขวานั้นมีมหาดเล็กถือดาบทอง แห่ไปซ้ายขวาเป็นอันมาก แล้วจึ่งมีตำรวจในตำรวจนอกนั้นพนมมือเดินแห่ไปซ้ายขวาแล้วจึงถึงหัวหมื่นมหาดเล็กนั้น พนมมือเดินแห่ไปซ้ายขวา แล้วจึ่งมาถึงมหาดเล็กเกณฑ์ถือพาน พระสุพรรณศรีแลสุพรรณราช แลพระเจ้าครอบทอง แลพานทอง แลเครื่องทองทั้งปวงต่างๆ นั้นก็เป็นอันมาก แล้วเกณฑ์มหาดเล็กเหล่าถือพระแสงปืน แลพระแสงหอก แลพระแสงง้าว แลพระแสงกั้นหยั่น แลพระแสงประดับพลอย แลพระแสงดาบฝักทอง แลพระแสงต่างๆ เป็นอันมากเดินแห่เสด็จไปซ้ายขวา แล้วมีมหาดเล็กแลตำรวจใน แลมหาดไทยถือกระสุนเดินแห่ไปซ้ายขวาดูสูงต่ำเดินห้ามแหนไปตามทางเสด็จทั้งซ้ายขวา ครั้นพร้อมแล้วพระองค์จึ่งแต่งองค์ทรงเครื่องประดับประดาทั้งปวงล้วนเครื่องขาวแล้วเสด็จขึ้นสู่พระเสลี่ยงทองประดับกระจกมีพระกลดขาวยอดทองระบายทองคันหุ้มทองประดับ มหาดเล็ก ๔ คนเดินคั่นไปซ้ายขวา มีพระบุตรีแต่งองค์ทรงเครื่องประดับประดาด้วยสร้อยถนิมพิมพาภรณ์เป็นอันงาม นั่งบนพระเสลี่ยงสองหลังสององค์เป็น ๔ แห่แหนตามขบวนพยุหยาตราไปฝ่ายหลังพระบรมศพสมเด็จพระบิดาแลพระชนนี แล้วจึงพระญาติวงศ์พระสนมกำนันในทั้งปวง ก็ตามเสด็จไปเป็นอันมาก อันเหล่ามหาดเล็กแลขอเฝ้าเหล่าเศรษฐี คหบดีทั้งปวง แลอำมาตย์น้อยใหญ่ทั้งปวงเป็นอันมากพร้อมกันตามเสด็จไปฝ่ายหลังกระบวนพระพยุหยาตรา แล้วจึ่งทำลายกำแพงวังหว่างประตูมงคลสุนทรแลประตูพรหมสุคตต่อกัน ครั้นถึงพระเมรุใหญ่ที่ท้องสนามหลวงแล้วจึ่งชักรถ พระบรมศพทั้งสองนั้น เข้าในเมรุทิศเมรุแซก ทั้ง ๘ ทิศแล้วจึ่งทักษิณเวียนพระเมรุใหญ่ได้สามรอบ แล้วเชิญพระโกศทั้งสองนั้นเข้าในพระเมรุใหญ่ตามอย่างตามธรรมเนียม จึงไว้พระบรมศพ ๗ ราตรี แล้วจึงนิมนต์พระสังฆราชพระพิมลธรรม แลพระราชาคณะ คือ พระเทพมุนี พระเทพกวี พระเทพเมาลี พระธรรมโคดม พระอุบาลี พระสิมพะลี พระพุทธโฆษา พระมนเทปะนี พระธรรมถึกพระวินัยธร พระวินัยธรรม พระนาค แลพระสังฆราชหัวเมือง และพระสังฆราชนอกกรุงแลในกรุงเป็นอันมากก็เข้ามาสดัปกรณ์กัน ๗ วัน แล้วถวายผ้าไตรจีวรแลเครื่องชัยทานสังเคต แลเตียบ แลต้นกัลปพฤกษ์ อันมีสิ่งของทั้งปวงต่างๆ นานาครบครัน มีต้นกัลปพฤกษ์แขวนเงินใส่ในลูกมะนาวลูกหนึ่งต้นหนึ่ง ใส่เงิน ๓ ชั่ง มีทั้ง ๘ ทิศพระเมรุ ทิ้งทานวันละ ๘ ต้นทั้ง ๗ วัน เป็นเงิน ๑๓๔๔๐ บาท เท่ากับ ๑๖๘ ชั่ง แล้วพระองค์จึ่งให้ทานผ้าผ่อนแลสิ่งของทั้งปวงต่างๆ เป็นอันมาก แล้วจึ่งให้มีการมโหรสพครบต่างๆ นานา เหล่าไพร่พลเมืองทั้งกรุง ก็มารับทานเงินข้าวของต่างๆ ครั้นรับพระราชทานแล้วก็พากันไปดูงานการที่ท่านให้แต่งไว้ต่างๆ นานา แลเครื่องแต่งพระบรมศพทั้งปวงอันงาม มีรูปสัตว์นานา อันประดับประดาพระเมรุอันสูงใหญ่มีรทาดอกไม้เพลิง แลดอกไม้ต่างๆ ตั้งรายรอบพระเมรุเป็นอันมาก ครั้นเห็นที่ตกแต่งพระศพด้วยเครื่องนานาบ้าง ก็โศกาอาดูร พูนโศกคิดถึงพระบรมราชา แล้วก็พากันครื้นเครงไปด้วยงานการเล่นทั้งปวง อันประกอบไปด้วยเสียงดุริยางดนตรี มีงานมหรสพครบ ๗ ราตรี พระองค์จึงมีพระโองการตรัสสั่งให้ถวายพระเพลิงสมเด็จพระราชบิดา แลพระพันปีหลวงอันประเสริฐทั้งสองพระองค์

สมเด็จบรมเอกทัศ และพระอนุชาธิราช แลพระราชบุตรบุตรี แลพระสนมสาวสรรค์กำนัลทั้งซ้ายขวา แลพระญาติพงศา ก็ห้อมล้อมพระบรมศพอยู่ จึ่งรับสั่งให้ถวายพระเพลิงด้วยไฟฟ้า แล้วจึ่งเอาท่อนกฤษณา กะลำภัก แลท่อนจันทน์อันปิดทอง บันดาเครื่องของหอมทั้งปวงนั้น ใส่ในใต้พระโกฏทองทั้งสองแล้ว จึ่งจุดเพลิงไฟฟ้า แล้วจึ่งสาดด้วยน้ำหอม แลน้ำดอกไม้เทศ แลน้ำกุหลาบแลน้ำหอมทั้งปวง อันมีกลิ่นหอมฟุ้งขจร ตลบอบไปทั้งพระเมรุทอง ฝ่ายองค์บรมเอกทัตราชา แลพระอุทุมพรราชา ทั้งสองพระองค์ก็ทรงพระกรรแสงพิลาปร่ำไรพระทัยคนึงถึงพระปิตุเรศพระชนนี ทั้งพระราชบุตรแลพระราชธิดา แลพระญาติวงศาทั้งปวง พระสนมสาวสรรกำนัลก็มากรรแสงไห้พิลาศร่ำไรไปสิ้น อันว่ากษัตริย์ประเทศราชทั้งปวงนั้น ก็ห้อมล้อมอยู่รอบพระเพลิง แล้วปรายข้าวตอกดอกไม้ บูชาถวายบังคมอยู่สลอน ทั้งอำมาตย์ราชเสนาบดีใหญ่น้อย ทั้งราชนิกูล เศรษฐีคหบดีทั้งปวง ก็นั่งห้อมล้อมพระเมรุทองอยู่ แล้วก็มาโศกาอาดูร ร่ำรักพระบรมราชาอยู่อึงคนึงไป ทั้งในพระเมรุหลวง ครั้นเพลิงสิ้นเสร็จสรรพ์ จึ่งให้ดับด้วยน้ำหอมแลน้ำกุหลาบ แล้วจึ่งแจงพระบรมรูป ทั้งสองพระรูปพระสังฆราชาแลพระสงฆ์ แลพระราชาคณะทั้งปวง ก็เข้ามาสดัปกรณ์ พระอัฐิทั้งสองพระองค์ อันใส่ในผอบทองทั้งสองพระองค์ ครั้นแล้วจึ่งเชิญพระอัฐิทั้งสองพระองค์นั้นใส่ในผอบทองทัง. สองจึ่งเชิญขึ้นสู่เสลียงทองทั้งสองแล้วแห่ออกไปตามทางออกประลูมะนาภิรม แล้วจึ่งตีฆ้อง กลอง แตร ลำโพง และแตรงอน แลกลองชนะกลองโยนแลปี่ภาทย์ ตั้งกระบวนมะหาพยุหะยาตราจึ่งให้กั้นราชวัตฉัตรธงไปตามมรรคา อันอนาประชาราษฎรนั้น ก็โปรยข้าวตอกดอกไม้ต่างๆ แล้วจึ่งแห่แหนไปจนถึงริมคงคา แล้วจึ่งเชิญผอบทองอันใส่พระอัษฐิทั้งสองพระองค์ขึ้นเรือพระธินั่งกิ่งแก้วจักระรัตน์เปนสองลำเปนหน้าหลังกันไป จึ่งมีเครื่องสูงต่างๆ บนเรือพระอิษฐินั้น ตั้งเปนชั้นๆ เปนลั่นๆ ตามที่แล้ว พระเอกกะทัศนั้นทรงเรือพระธินั่งเอกกะไชย มหาดเล็กนั้นกั้นพระกลดขาวข้างพระองค์ ซ้าย ๔ คัน ขวา ๔ คัน เปนแปดคัน พระอุทุมภรอนุชานั้น ทรงเรือพระธินั่งทองขวานฟ้า เปนหน้าหลังกันตามที่แต่บันดาเรือเกนแห่เรือนำ แลเรือรองแห่ไปซ้ายขวา หน้าหลังกันตามตำแหน่งตามที่ เรือพระธินั่งครุธ พระธินั่งหงษ เปนซ้ายขวากัน แล้วจึ่งถึงเรือนาคเหรานาคะวาสุกรี แล้วจึ่งถือเรือมังกรมะโหรนพมังกรจับสายสินธุ์ แล้วจึ่งถือโตมะโหรนพ โตจบภพพระไตร แล้วจึ่งถึงโตจบสายสินธุ์ แล้วจึ่งถึงเหิรหาวหลาวทองสิงหรัตนาวา สิงหาศนาวา นรสิงห์วิสุทสายสินธุ์ นรสิงห์วินอากาษ แล้วจึ่งถึงไกรสรมุขมณดพไกรสรมุซนาวา อังสระพิมาน นพเสกล่อกา จึ่งถึงเรือดั้งซ้ายขวานำร่อง แลเรือคชสีห์ราชสีห์ เรือม้าเลียงผาเรือเสือ แลเรือเกนรูปสัตว์ต่างๆ แลเรือดั้งเรือกันแห่ไปซ้ายขวา บันดาเครื่องสูงราชอุปะโภคทั้งปวงคือสัปะทนแลฉัตรขวา ภิรุมชุมสายพัดโบกจามรทานตวัน บังสูรบังแซกและเครื่องสูงนานาทั้งนั้นเหล่ามหาดเลกเกนถือ ขี่เรือพระธินั่งธรงบ้าง พระธินั่งรองบ้าง พายแห่ห้อมล้อมไปหน้าหลังบันดาเครื่องทองพานพระสุพรรณศรี แลสุพรรณราช พระเต้าน้ำครอบทองนั้น มหาดเลกถือลงเรือธรงข้างพระองค์ อันเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งปวงเปนอันมากนั้น มหาดเลกเวนหุ้มแพรถือขี่เรือธินั่ง รองไปซ้ายขวาเปนอันมาก บันดามหาดเลกเกนถือพระแสงประดับต่างต่างนั้น ลงเรือธินั่งธรงนั่งริมพระธินั่งเรียกว่ารายตีนทอง อันเกนมหาดเลก ถือพระแสงทั้งปวงเปนอันมากนั้นขี่ธินั่งรอง แล้วพายแห่ไปซ้ายขวาหน้าหลังนั้น เปนอันมาก อันพระราชบุตร พระราชธิดานั้นลงเรือศรีสักกลาดไปหลังพระธินั่ง อันเหล่าสนมพระกำนัลลงขี่เรือศรี ผ้าแดงตามเสด็จไปท้ายพระธินั่ง อันเจ้าพญาจักรีแลพญากลาโหมนั้นมีทานทองแลเจียดกระบี่ซ้ายขวา แลสัปะทนปักน่าเรือตามตำแหน่งแล้วขี่เรือคชสีห์แลราชสีห์มีกูปก้านแย่งแล้วพายซ้ายขวาแห่ไป อันพญายมมะราชาธิบดีสีโลกทันทาธรขี่เรือนรสิงห์มีพานทอง แลเจียดกระบี่สัปะทน ตามตำแหน่งบันดาจตุสดมทั้ง ๔ นำหน้าเสดจ์ดูน้ำฦกแลตื้นบันดาอำมาตย์ราชเสนาบดีทั้งปวงนั้น ขี่เรือดั้งแลเรือกันมีเครื่องอุปะโภคตามตำแหน่ง แล้วพายแห่ไปซ้ายขวาหน้าหลัง บันดาเหล่ามหาดเลกขอเฝ้าทั้งปวงนั้น ขี่เรือตามเสดจ์หลังกระบวนแห่ อันนายเพชฆาฏนั้น ขี่เรือเสือแล้วดาบแดงไปหน้าเรือตามเสดจ์ไปหลังพยุบาตตราตามตำแหน่ง อันเหล่าเกนฝีพายนั้น บ้างก็โห่ร้องพายแห่ไปฯ

บันดาเรือดั้งเรือกันนั้น ก็พายแห่แล้วร้องโยนยาวอื้ออึงไปในแม่น้ำ อันที่พายเรือพระที่นั่งเอกนั้น บ้างก็พายนกบินแลพายกราย แล้วทำเพลงร้องเห่เรือเปนลำๆ เสียงเพราะพร้อมกันต่างๆ บ้างโห่ร้องอื้ออึงแล้วพายไป ดังไปด้วยเสียงฆ้องกลอง แลปี่พาทย์ราดตะโพน แลเสียงดุริยางค์ดนตรีทั้งปวง บ้างก็ร้องรำทำเพลงพายไปเตมทั้งแม่น้ำเสียงอื้ออึงคนึง ครั้นแห่ไปถึงวัดไชยธนารามแล้วจึ่งห่อพระอัษฐิทั้งสองพระองค์นั้น ลงถ่วงน้ำแล้วเรียกว่าจรดพระอังคารตามอย่างตามธรรมเนียมแต่ก่อนมา ครั้นแล้วจึ่งแห่เสดจกลับมาประทับเรือพระที่นั่งที่น่าฉนวนน้ำ แล้วเสดจขึ้นบนท้องฉนวน จึ่งเข้าประตูฉนวนในพระราชวัง อันการพระบรมศพครั้งนี้เกินที่เกินทางแต่ก่อนมา เพราะแทนคุณพระมารดาแลพระปิตุรงค์ทั้งสององค์ ยินดีเปนหนักหนา ด้วยความสุจริตของพระราชา พระกรุณาไปทั้งกรุงศรี อันเหล่าพระญาติวงษ์ที่พระองค์เมตตา ชมแล้วก็วันทาอัญชุลีด้วยใจจงรักภักดี เพราะคิดถึงคุณพระภูมีอยู่อัตตราที่กุศลมีมาต่อกัน พระทรงธรรมก็พิทักธรักษา ที่ไม่รักก็ติเตียน พระพันปีเศร้าโศกโศกีแล้วค่อนว่านังตฤกนึกแล้วก็ถอนใจร่ำไรถึ บรมราชา กัลยาพางเพียงจะขาดใจ ว่าครั้งนี้มีกำม์ ณ อกเอ๋ย ใครเลยจะมาช่วยเราได้ มาต้องระกำช้ำใจโศการ่ำไรไปมา แล้วพระองค์จึ่งมีพระโองการ รับสั่งให้เอาพระโกษทองทั้งสอง แลเครื่องอุปะโภคบริโภคเครื่องทองทั้งปวง แลเครื่องประดับประดาทั้งปวงมา จึ่งเรียกบันดาช่างทั้งปวงเข้ามา แล้วจึ่งให้หล่อพระพุทธรูปทั้งสององค์ประดับประดาทรงเครื่อง แล้วจึ่งประดับพลอยเพชร์มรกฎแลทับทิมอันมีราคาค่ากรุงบ้าง ราคาร้อยชั่งบ้าง ราคาห้าสิบชั่งบ้าง ทั้งพลอยเพชร์แลมรกฎแลทับทิมแลพลอยต่างๆ เปนอันมาก แล้วให้ประดับประดาพระพุทธรูปทั้งสองพระองค์แทนที่ พระบิดาแลพระชนนีไว้เปนธิบดี แล้วจึ่งให้มีการสมโภชฉลอง จึ่งนิมนต์พระสงฆ์มีองค์พระสังฆราชเปนต้น แลมีพระราชาคณะทั้งปวงเปนอันมาก ก็เข้ามาในพระราชวังบนปราสาทที่นั่งสุริยามรินทร แล้วจึ่งตั้งบายศรีดอกไม้ แลบายศรีของกินต่างๆ แล้วจึ่งตั้งเครื่องแก้วใส่เข้าตอกดอกไม้ทั้งปวง แลธูปเทียนแลฉัตรทองธงทอง แลสิ่งของทั้งปวงต่างๆ แล้วพระสงฆ์ทั้งปวงจึ่งสวดถวายพรพระแล้ว จึ่งจุดธูปเทียนถวายเข้าตอกดอกไม้ บูชาพระพุทธรูปทั้งสอง แล้วจึ่งนมัศการบูชาพระสงฆ์ทั้งปวง จึงมีรับสั่งให้ประเคนของฉัน แล้วจึ่งถวายเครื่องไทยทานทั้งปวงเปนอันมากแล้วเวียนได้เก้ารอบ แล้วดับด้วยเทียนด้วยเครื่องหอม แลกะแจะจวงจันทน์ แล้วโบกควันเจิมกะแจะจวงจันทน์ตามเยี่ยงตามอย่างธรรมเนียม จึ่งทำมะโหรีตีปี่พาทย์ทั้งปวงต่างๆ นาๆ จึ่งมีนางขับรำมะโหรี ล้วนนางกำนันนารีที่น้อยๆ งามๆ ดีๆ ประดุจดังกินรีขับรำอยู่ตามเพลงเปนอันมาก

แล้วพระองค์จึ่งแจกเงินทองสิ่งของทั้งปวงเปนอันมาก ประทานกับพระญาติวงษา แลพระสนมกำนันแลเสนาบดีแลราชนิกุลทั้งปวงเปนอันมาก แล้วแจกทานแก่อาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงเปนอันมาก มีงานมะโหระศพครบเจดวัน แล้วจึ่งเชิญพระพุทธรูปทั้งสองนั้นเข้าไว้ในวัดพระศรีสรรเพช ตามอย่างธรรมเนียมมาแต่ก่อน ครั้นการพระบรมศพสำเรจแล้ว ฝ่ายข้างพระอุทุมพรราชา จึ่งเวนสมบัติถวายแก่พระเชษฐาธิราช ก็มิได้รับที่จะครองราชสมบัติ จึ่งตรัสว่าสมเด็จพระบิดาสั่งไว้ให้แก่องค์อนุชาธิราชครอบครองราชสมบัติสืบประเพณีต่อไป อันนี้มิควรเกินคำสมเด็จพระบิดา ฝ่ายองค์พระอุทุมพรราชานั้นขัดพระเชษฐามิได้ จึ่งครองราชสมบัติตามที่พระบิดาสืบไป จึ่งทำการราชาภิเศกโดยไนยตามวิไสยกระษัตริยแต่ก่อนมา พระองค์ก็ตั้งอยู่ในธรรมสิบประการ แล้วทำนุบำรุงพระศาสนาแลครองราษฎรทั้งปวงเปนศุขทั้งกรุง จึ่งสร้างวัดเรียกว่า วัดอุทุมพรรารามพระนามวัดหนึ่ง พระองค์จึ่งปฏิสังขรณหลังคาพระมณฑปพระพุทธบาทหุ้มทองสองชั้น หลังคาพระมณฑปสิ้นทองร้อยสี่สิบกับสี่ชั่ง ครั้นแล้วพระองค์จึ่งฉลองถวายไทยทานเปนอันมาก กับพระสังฆราชแลราชาคณะทั้งปวงแลสงฆ์ทั้งปวงเปนอันมาก แล้วแจกเงินทองสิ่งของต่างๆ ครบครันให้เปนทานกับราษฎรทั้งปวงเปนอันมาก แล้วพระองค์จึ่งหลั่งน้ำอโณทกแผ่กุศลไปกับพระบิดาแลพระชนนีแลเวไนยสัตวทั้งปวง ครั้นแล้วจึ่งว่าราชการงานกรุงทั้งปวง ดูผิดแลชอบตามกฎหมายพระไอยการ แลกฎหมายที่มีมาแต่ก่อน ตามเยี่ยงตามอย่างประเพณีกระษัตรยแต่ก่อนมา แล้วพระองค์จึ่งมาทรงดำริห์ว่า เรานี้เปนอนุชา อันว่าราชสมบัตินี้ควรแต่พระเชษฐาธิราช ที่จะครอบครองราชสมบัติแทนที่พระบิดาสืบไป พระองค์ตั้งอยู่ในราชสมบัติได้ ๓ เดือน แล้วพระองค์ก็ออกทรงบรรพชิตฯ อันพระอุทุมพรราชานั้น วัน ๔ ได้เสวยราชสมบัติมาเมื่อจุลศักราชได้ ๑๑๒๐ ปีขานสำเรจธิศกเดือน ๑๒ ขึ้น ๙ ค่ำ วัน ๖ พระชนม์ได้ ๒๘ ปี อยู่ในราชสมบัติได้ ๓ เดือน จึ่งออกทรงบรรพชาในปีนั้นฯ

เมื่อออกทรงบรรพชานั้น เดือน ๓ ขึ้น ๙ ค่ำ วัน ๔ เพลายามเสศ ครั้นพระอุทุมพรราชาออกทรงบรรพชิตแล้ว พระเอกะทัศอันเปนพระเชษฐาธิราช จึ่งเสวยราชสมบัติสืบสุริยวงษ์ต่อไป ในเมื่อจุลศักราชได้ ๑๑๒๐ ปีขานสำเรจธิศก เดือน ๓ ขึ้น ๑๐ ค่ำ วัน ๗ จึ่งอัคมหาเสนาแลมหาปะโรหิตทั้งปวง จึ่งตั้งการราชาภิเศกตามอย่างธรรมเนียม ครั้นได้วันเพชฤกษแล้ว จึ่งตั้งการพิธีครบครันอันการมะโหรศพนั้น มีงานการทั้งปวงเปนอันมาก จึ่งตั้งพิธีสรง ๓ วัน จึ่งสวดพระปริตแล้ว ถวายพรพระแล้วถวายไทยทานแล้วฉัน ครั้นแล้วจึ่งตั้งพิธีพราหมณ์ ๓ วัน แล้วเชิญเสด็จขึ้นบนเตียงทอง จึ่งมหาปโรหิตราชครูอันมีชื่อทั้ง ๘ คนคือ พระครูพิราม พระครูมเหธร พระครูวิเชฐ์ พระครูมโหสถ พระครูรามราชา พระครูสังขาราม พระครูกฤษนา พระครูกฤษณราชา ทั้ง ๘ คน จึ่งเข้ามาอ่านพระเวทแล้วจึ่งถวายพรทั้งแปดทิศ แล้วจึ่งเสด็จขึ้นเบญจาสนามอาสิภาคสรงสะทัศธาราน้ำดั้นน้ำดาษแล้วจึ่งเปลื้องเครื่องที่ทรงนั้น ออกให้แก่พราหมณ์ แล้วจึ่งเสด็จขึ้นบนภัทรบิฐอันทำด้วยไม้มะเดื่อ ราชครูทั้ง ๘ คน จึ่งร้องถวายพระพรทั้ง ๘ ทิศ แล้วตั้งอาหุระดี ชักสายสิญจน์ แล้วเสด็จขึ้นบนเตียงทอง จึ่งถวายเครื่องเบญจกุกกุธภัณฑ์ ทั้ง ๕ ทั้งเครื่องมหาพิไชยสงครามทั้ง ๕ แล้วมหาปโรหิตทั้ง ๘ คน จึ่งป่าวมหาสังข์ทักขิณาวัฏ จึ่งตีกลองอินทเภรี แล้วจึ่งลอยพระเคราะห์ ครั้นแล้วจึ่งคุมมหาเสนาบดีผู้ใหญ่และทั้งมหาปโรหิตราชครูทั้ง ๘ คน จึ่งร้องถวายอาณาจักรเวรภิภพ ให้เสดจขึ้นครอบครองราชาอาศน์แลราชบัลลังก์ตามที่ตามอย่างกระกษัตริยแต่ก่อนมา

พระองค์เสดจขึ้นสู่บนราชาอาศน์ราชบัลลังก์อันปูลาดพระยี่ภู่ บนพระยี่ภู่นั้น ปูหนังราชสีห์แล้วจึ่งมหาปโรหิตราชครูทั้ง ๘ คนนั้น ถวายพรที่น่าราชบัลลังก์มีเตียงตั้งเครื่องราชอุปะโภคแลเครื่องเบญจกุกกุธภัณฑ์ แลพานทองประดับสองชั้นใส่รองพระสุพรรณบัตรสมญาแล้ว มีพานพระขันหมากทองประดับเชิงครุธถมราชาวดี เครื่องในประมีพระเต้ากรอบทองพระคนทีทองแลพานพระสุพรรณะศรีและพระสุพรรณราชอุปโภคต่างๆ เป็นอันมากตั้งซ้ายสี่แถว ขวาสี่แถว แล้วมีพระเสวตรฉัตรซ้ายขวาข้างละสองคัน จึ่งมีกำภูฉัตรข้างละสี่คัน อันยอดแลระบายและคันนั้นหุ้มทองประดับตั้งซ้ายสี่แถวขวาสี่แถว แล้วจึ่งตั้งอภิรุมแลธงทองแลพัดโบกจามรทานตวัน แลบังสูริยบังแทรก แลพัดชะนีคันนั้นหุ้มทองทั้งสิ้น ตั้งซ้ายสี่แถว ขวาสี่แถว ตรงที่นั่งบัลลังก์มานั้น มีเตียงซ้ายขวาประดับแล้ว จึ่งปูสุจนีแล้วจึ่งตั้งพานทองสองชั้น ประดับสำหรับรองพระราชสาส์น ตามอย่างธรรมเนียมมา แล้วพระองค์จึ่งทรงภูษาพื้นแดงประดับทรงฉลองพระองค์อย่างน้อยชั้นใน จึ่งทรงทรับนอกอย่างเทศกรองทองประดับสังเวียนยก จึ่งทรงพระมหามงกุฎประดับเพชร แลตาบทิพยตาบหน้าประดับสังวาลประดับจึ่งทรงพระธรรมรงค์เพชรราคาค่ากรุง แล้วจึ่งทรงพระแสงบาตราใจเพชร

ครั้นได้เพลาก็เสด็จออก จึ่งประโคมฆ้องกลองแตรสังข์ชักม่านทองส่องไข ครั้นเสดจออกจึ่งหยุดประโคมแล้ว เสดจอยู่บนราชบัลลังก์ อันเหล่ามหาเสนาบดีแลอำมาตย์ราชครูน้อยใหญ่ จึ่งกราบถวายบังคมสามที แล้วจึ่งนั่งตามตำแหน่ง อันมหาราชครูแลหมู่ภิมุข อำมาตย์ราชเสนาบดีทั้งปวงนั้น ตั้งเครื่องอุปโภคพานทองแลเจียดตามบันดาศักดิ ตามตำแหน่งซ้าย ๘ แถว ขวา ๘ แถว ขุนนางประมาณสี่ร้อย ชั้นล่างลงมามีทหารซ้ายขวาข้างละพัน ใส่หมวกทองใส่เสื้อเกราะเสนากุฎ สรรพาวุธครบมือ ข้างปราสาทซ้ายขวานั้น มีโรงช้างสำอางบังสำหรับผูกช้างต้นแลช้างทรง เครื่องช้างนั้น ทองประดับเครื่องฝรั่งเสศ มีข่ายทองปกหน้าภู่ห้อยผ้าปกหลังกรองเชิงประดับสี่ท้าวแลทองรัดงา เครื่องกินนั้นตะข้องน้ำทอง ถาดเงินมีฝาใส่หญ้ากล้วยอ้อย มีสัปทนแลกระดักเงินขอทองรองหญ้าพานเงินช้างตลุงลายซ้ายแปด ขวาแปด ประดาประดับตามหลั่นกัน ม้าต้นซ้ายขวาน่าถานผูกมหาเนาวรัตน เครื่องกินตะค่องน้ำถาดเงินรองหญ้าถั่วเข้ามีสัประทนแส้ไม้คอนคันเงินมารองซ้าย ๘ ขวา ๘ ผูกเครื่องเปนหลั่นกันลงมาตามที่ ฝ่ายราชครูมหาปโรหิต แลเสนาผู้ใหญ่ จึ่งชูพานทองประดับใส่พระนามพระสุพรรณบัตรสมยาตามเรื่องกระษัตริยแต่ก่อนมา จึ่งอ่านพระนามถวายสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดีศรีสรรเพช บรมมหาจักรพรรดิราชาธิราชราเมศวรธราบดี ศรีสฤษฎิรักษสังหารจักรวาฬธิเบนทร หะริหะรินทราธาดาธิบดีศรีวิบุลย์คุณ อัคนิตวิจิตรรูจี ตรีภูวนาทิตยฤทธิพรหมเทพบดินทร ภูมินทราธิราชรัตนากาศ สมมุติวงษองคเอกาทษฐรถ วิสุทธิยโสตรบรมไตรยโลกนารถอาชาวไศรย สมุทยดะโรมรรตอะนันตคุณ วิบูลย์สุนทรธรรมมิกราชเตโชไชยไตรยโลกนารถ บดินทรอรินทราธิราชชาติพิพิธทศพลญาณ สมรรตะมะหรรตผาริตทวิไชยไอสุริยาธิปัต ขัตติยวงษองค์รามาธิเบศ โลกเชฐวิสุทธมกุฎรัตนโลก เมาลีศรีประทุมสุริยวงษ องค์สรรเพชพุทธางกูรสมเด็จบรมบพิตร พระเจ้ากรุงเทพยมหานคร บวรทวาราวดีศรีอยุธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อันนี้พระนามเรื่องกษัตริย์แต่ก่อนมาจึ่งสมมุตินามว่าพระบรมเอกทัศราชาอันประเสริฐ

แล้วจึ่งมหาประโรหิตทั้ง ๘ นั้นจึ่งอ่านพระเวทถวายพระพร แล้วจึ่งประโคมฆ้องกลองแลอินทเภรี แลแตรสังข์มะโหรีปี่พาทย์ทั้งปวงอันมากแล้ว จึ่งตีกลองโยนส่งเสด็จเข้าข้างในฝ่ายข้างในนั้นฉลองพระโอฐ ๔ คนคือท้าวทรงกันดาร ท้าวอินสรแสง ท้าวสมศักดิ ท้าววรจรร ทั้ง ๔ คนนี้จึ่งทูลถวายพระอรรคมเหษีแลพระสนมชาวแม่พระกำนันสิบสองกรม แล้วถวายผ้าทรง ถวายอาภรณถวายฤกษที่เสด็จออกเลียบพระนคร ครั้นได้ฤกษแล้วพระองค์เสดจออกเลียบพระนคร จึ่งมีพระโองค์การตรัสสั่งมหาเสนาบดีผู้ใหญ่ ให้กะเกณฑ์ผู้คนเกณฑ์แห่แหนให้ครบสิ่ง ฝ่ายมหาเสนาบดีกะเกณฑ์ให้ตั้งกระบวนทัพใหญ่เป็นกระบวนมหาพยุหบาทตรา ฝ่ายพระยายมราชกรมเมืองแลทำมรงก็ไปตรวจตราให้ทำทาง แลปราบที่ทางทั้งรอบกรุง ให้กั้นราชวัดปักฉัตรแลดอกไม้ แล้วสาดน้ำทั้งรอบกรุงจึ่งให้มีการมะโหรศพ ทั้งรอบกรุงให้ราชภูมินทแลโต่เสนดูกำกับ จึ่งตั้งกระบวนทับ น่านั้นปืนใหญ่แห่ไปซ้ายขวา คือมหาฤกษมหาไชยแลปราบหงษาชวาพ่ายพิรุณสังหารมารประไลย มหาจักร มหากาลแล้วพิรุณสังหารมารพินาศ แล้วพินาศสังหารมารวิไชย อันปืนใหญ่เหล่านี้ แห่เปนซ้ายขวากันอันว่านายปืนใหญ่นั้นคือกรุงพานิชฤทธิสำแดงได้คุมแห่ไปซ้ายขวา แล้วจึ่งถึงทับน่าแปดทับหลังแปดทับ ทับน่านั้นมีธงขาวเปนต้น แล้วธงแดงธงเหลืองแห่น่าไปเปนอันมาก แล้วจึ่งถึงทหารใส่เสื้อเสนากุฎแลใส่หมวกทองมือถืออาวุธหอกดาบโล่เขนธนูน่าไม้ แลปืนน้อยปืนใหญ่ แลปืนขานกยางแห่ไปเปนชั้น ๒ เปนหลั่น ๒ กันมาตามที่ตามทางแล้งจึ่งมีช้างแพนแลช้างเขน มีคนขี่ถืออาวุธแลขอ แต่งตัวใส่เสื้อเกราะกำมะหยี่แดงขลิบทอง ใส่หมวกทองบนหลังนั้น มีคนถือปืนแล้วแห่ไปตามที่

ในกระบวนทับมียกกระบัตรเกียกกายนายทับนั้น ผู้มีชื่อตามตำแหน่งน่าแปดทับหลังแปดทับแล้วจึ่งถึงทับ แสงนอกแสงในซ้ายขวานั้น คือม้าห้อแลม้าอาษาเกราะทองแลม้าเครื่อง ม้าไชยนั้นคนขี่แต่งตัวใส่เสื้อเกราะแลเสื้อแพรใส่หมวกมือถือทวนแลธนูแห่ไปซ้ายขวา แล้วจึ่งถึงม้าพระที่นั่งเกณฑ์ มีชื่อม้าที่นั่งเอกซ้ายขวา คือเจ้าพระยาอาชาไนยไชยชาติราชพาหะนะนั้น ผูกอานแลเครื่องมหาเนาวรัตนเกณฑ์ม้าพระที่นั่ง เหล่าม้าต้นอันดีที่นั่งรองทั้งเจดสี อันมีชื่อนั้นคือทินกรรัศมีมณีพรรณเหมบังยงหงษ์พิมาน โลหิศดางคสรรพางครัด อะตูลยรัตนปทมราช อันม้าแดงเหล่านี้ทรงวันอาทิตย์ สังขรัศมี ศรีประภาสร สะริสุธรเขจรจันดาริทรดาราพาหพิมล รัตนมาลารูปาภิราม อันม้าขาวเหล่านี้ทรงวันจันทร์ชามภูวนัศสหัศรังษีเพาวรัศมี ธรณีสุทธอุดม พิลาพโอกาพย์สพันวสุทธิโชควิโรคดะรุณ อันม้าตะโนดเหล่านี้ทรงวันอังคาร รูปาสวัดิติพัทวิสุตวิสุนทรโสภาสุททินทพ โอฬารพรรนามรืคยลรัศมีศรีสุทาง อันม้ากเรียวเหล่านี้ทรงวันพุฒ กฤษณรังดาลกาญจนวิจิตร ไหรญทรัตกรนกภูษา จาดูลยละรัตจามณีกรจามรรมาศ อันม้าเหลืองเหล่านี้ทรงวันพฤหัศ อนันตสิงหาศนนี้ทรงวันสุกร กาลาคีรีนิลาวันสยามพรรณอังชังโชค กาลอาชาวรนานิลสิงขริน รัตนทองม้าดำเหล่านี้ทรงวันเสาร์ ต่างต่างแล้วเดินเปนชั้นๆ หลั่นๆ กันมาตามที่ แต่บันดาม้าแซงนอกแลแซงในแลม้าอาษาเกราะทองแลม้าห้อแลม้าใช้แลม้าพระที่นั่งเอกรองบันดาม้าเหล่านี้ พระศรีเสาวภาคยแลหลวงทรงพล ได้คุมดูตรวจตราไปซ้ายขวาเป็นมากแล้ว

จึ่งถึงช้างต้นพระที่นั่งเอกนั้นคือ เจ้าพระยาไชยยานุภาพปราบไตรจักร ที่นั่งเอกนั้นผูกเครื่องทองประดับรังเสด มีข่ายทองแลพู่ผ้าปกหลังกรองเชิงประดับสี่ท้าว แลทองรัดงาทั้งสองเครื่องนั้นกำมหยี่ทองบ้าง คลุมข่ายทองบ้าง แล้วจึ่งนายปราบแลนายทรงบาตรนั้นสำหรับถือขอทองประดับขี่ไปท้ายพระที่นั่งตามตำแหน่งช้างพระที่นั่งเอก แลพระที่นั่งรองเกณฑ์ช้างมีชื่อตำแหน่ง คือพระยาไชยยานุภาพปราบไตรจักร สองช้างหัศดินทรวิไชยไกรสรเดชสองช้าง ดำรุงภูบาลสารภูธรสองช้าง เกณฑ์ช้างพระที่นั่งเอกหกช้างนี้แล้ว จึ่งถึงช้างที่นั่งรองลงมานั้นผูกเครื่องทองต่างๆ กันตามที่ตามทาง เปนซ้ายขวาแห่มาเปนชั้นๆ เปนหลั่น แล้วเกณฑ์ช้างระวางนอกระวางในช้างดั้งช้างกัน ช้างพลายช้างพัง แลเกณฑ์ช้างมีชื่อเหล่านี้เปนอันมากแห่ไปทั้งซ้ายขวาแล้วจึ่งถึงช้างเกณฑ์ผูกพระที่นั่งพุทตาลแลที่นั่งกระโจมแลพระที่นั่งมณฑปแลที่นั่งปราสาทที่นั่งเขน แลที่นั่งโถงที่นั่งสัปประคับทองแลที่นั่งกูบต่างต่าง ทั้งช้างพังแลช้างพลายทั้งหลายเปนอันมากนั้น คือพระกำแพงแลพระยาราชรองเมืองได้เปนใหญ่ว่ากล่าวดูตรวจตราให้แห่ไปซ้ายขวาเปนหน้าหลังตามอย่างธรรมเนียมแต่ก่อนมา

ถัดนั้นมาจึ่งถึงรถทรงครืรถพระที่นั่งวรรณกฤษดาแสวรรณพางคบุศบก แล้วจึ่งจักรรัศเบ็ญจาแล้ววิเชียรรัตนาศน ถัดมารถดั้งรถเขนแลรถแพนต่างต่าง เปนอันซ้ายขวาเปนอันมาก บันดาคนที่ขี่รถทั้งปวงนั้นแต่งตัวใส่เสื้อเกราะ แลเสื้อเสนากุฎใส่หมวกทองมือถือธนูแลหอกซัดดาบตะพายแล่งทุกตัวคนครบทั้งสิ้น จึ่งแห่ไปซ้ายขวาเปนอันมาก แล้วจึ่งถึงเกณฑ์ตีกลองชะนะแลกลองโยน แลกลองอินทเภรีแลกลองไชยแตรสังข์มีหวายทองนำหน้าแห่ไป เหล่าคนที่ตีกลองนั้นใส่เสื้อสักลาดแดงใส่หมวกฝักแคแล้วจึ่งถึงเหล่าถือเครื่องราชอุปโภค แต่งตัวใส่เสื้อแดงแล้วนุ่งลาย ใส่ลำพอกแล้วถือฉัตรไชย แลอภิรุมสัปทนพัดโบกจามรทานตะวันบังสุรยบังแทรกข้างละสี่คู่ แห่ไปซ้ายขวาตามที่ตามทาง แล้วจึ่งถึงเหล่ามหาดเลกหุ้มแพรแต่งตัวใส่เสื้อครุยนุ่งสมปักใส่ลำพอกมีดอกแลกระจังตามที่ตามตำแหน่ง ถือดาบทอง แห่ไปซ้ายขวาเปนอันมาก แล้วถึงเกณฑ์มหาดเลกรองนั้น ถือพระแสงหอกพระแสงดาบพระแสงปืนแลธนูพระแสงง้าวแลพระแสงต่างต่างเปนอันมาก แล้วมหาดเลกเกณฑ์มีชื่อนั้นแต่งตัวตามที่ตำแหน่งน้อยใหญ่นั้นถือพระแสงเหล่ามีชื่อคือพระแสงบาตราใจเพชร แลเจ้าพระยาแสนพลพ่าย แลพระแสงฝักดำแลพระแสงกั้นหยั่น แลพระแสงกฤษแลพระแสงต่างต่างเปนอันมาก เดินน่าพระที่นั่งแล้วจึ่งถึงหัวหมื่นมหาดเลกนั้นนุ่งห่มตามตำแหน่ง แล้วถือดาบทองกับพัดสี่คนถือเดินแห่ไปน่าพระยานนุมาศ แล้วจึ่งหัวหมื่นตำรวจในกรมวังทั้งสี่นั้นถือดาบทองประดับกับพัดเดินแห่ไปข้างริมพระที่นั่งสี่คนอันฝ่ายซ้ายขวานั้นจึ่งถึงมหาประโรหิตราชครูนั้นแต่งตัวนุ่งขาวใส่เสื้อขาวกรอมตีน ใส่ลำพอกขาวถือพัดกับสังข์เดินแห่ไปซ้ายขวาเปนอันมาก

แล้วจึ่งถึงเหล่าราชนิกุลนั้นก็แต่งตัวตามตำแหน่งพนมมือไปซ้ายขวาเปนอันมาก เหล่าเจ้าพระยาแลพระยาพระหลวงแลขุนหมื่นทั้งปวงนั้น ก็นุ่งห่มตามที่ตามตามตำแหน่งน้อยใหญ่ แล้วถือพัดแห่ไปซ้ายขวาเปนอันมาก แล้วจึ่งถึงมหาดเลกหุ้มแพรนั้นกั้นพระกรดขาวเดินไปริมพระยานนุมาศนั้นซ้ายสี่คนขวาสี่คน ฝ่ายหลังพระที่นั่งเหล่าตามเสด็จข้างหลังนั้น เหล่าตำรวจใน แลเกณฑ์ดาบทองแลหอกทองเดินแห่ไป ฝ่ายหลังพระที่นั่งเปนอันมากคือพระยาพระรามได้ดูแลตรวจตรา แล้วถึงทับพระราชธิดานั้น ทรงช้างกูบจำลองกูบทองประดับกระจก แล้วถัดมานั้นพระราชวงษาแลพระสนมกำนันทั้งปวงนั้นขี่กูบทองต่างต่างบ้างขี่สัปคับทองบ้างเปนชั้นหลั่นตามที่เปนอันมาก จึ่งมีขันทีมีชื่อคือราขารแลสังขสุรินได้ดูกำกับฝ่ายข้างกรม ฝ่ายแลขุนนางกรมฝ่ายในนั้นได้ดูแลข้างพระสนมกำนันทั้งปวงเปนอันมาก แล้วจึ่งถึงช้างเจ้าขรัวนายทั้งสี่คน จึ่งถึงเหล่าเจ้ากรมแลปลัดกรมแลขอเฝ้า มหาดเลกฝ่ายข้างในนั้นก็พฤกพร้อมกันตามเสดจไปเปนอันมาก แล้วจึ่งถึงเหล่าทับหลังแปดทับนั้นมีทั้งแห่แหนตีฆ้องกลองแลเครื่องสาตราวุธต่างต่างครบมือกันทุกตัวคน ช้างม้าแลรถแห่เป็นชั้นหลั่นกันตามไปเปนอันมากเปนน่ากันทั้งแปดทับยกเปนกระบวนตามไป ครั้นตั้งกระบวนแห่สำเรจแล้ว ฝ่ายมหาเสนาบดีจึ่งเข้าไปกราบทูลฉลอง ครั้นเสนาบดีทูลแล้วสมเด็จพระบรมเอกทัศราชาจึ่งเสดจเข้าสู่ที่ชำระสระสรงสรับเสรจเสด็จทรงพระภูษาพื้นทอง ประดับลายดอกก้านแย่ง ชั้นในนั้นทรงสนับเพลาทองเชิงงอนแล้วทรงพระภูษาห้อยน่ากรองทองประดับแล้วรัดบั้นพระองค์กรองประดับแล้ว จึ่งทรงคาดปั้นเหน่งทองประดับเนาวรัตนแล้วทรงฉลองพระองค์อย่างใหญ่กรองประดับแล้ว ทรงสังเวียนยกตรองทองประดับพลอย แล้วทรงพระมหามงกุฎประดับเพชรแลพระธำมรงค์ประดับเนาวรัตนแล้วจึ่งทรงพระแสงบาตราใจเพชรแลพระแส้แล้วจึ่งสอดใส่ฉลองพระบาทเชิงงอนปักทองประดับ แล้วเสดจออกจากสุรามรินทรประสาทไชย แลพระสนมกรมในทั้งปวงตามเสดจออกมาพฤกพร้อมกันมาเปนอันมาก แล้วเสด็จขึ้นสู่พระยานนุมาศทองประดับอันลาศปูพระยี่ภู่ทอง แลพระเขนยทองอันยิ่ง แล้วจึ่งมีพระราชบุตรีเชื้อพระวงษ์ อันเปนพรหมจารีแต่งองค์ทรงเครื่องประดับประดาอันงามดังนางเทพยธิดา นั่งประนมกรอยู่ฝ่ายน่าพระที่นั่งสององค์หลัง พระที่นั่งสององค์เปนสี่องค์ด้วยกันห้อมล้อมเปนยศบริวาร แล้วจึ่งมหาประโรหิตทั้งแปดคนนั้นจึ่งยืนถวายพระพรทั้งแปดคน ครั้นได้พิไชยฤกษแล้วจึ่งยิงปืนใหญ่ มหาฤกษมหาไชย แล้วก็คลี่คลายยกกระบวนทับแห่แหนไปเปนอันมาก จึ่งออกประตูพระราชวังฝ่ายทิศบูรพ์นั้นชื่อประตูมงคลสุนทรแล้วจึ่งแห่แหนไปออกประตูกรุงฝ่ายทิศบูรพ์นั้นชื่อท่ากระลาโหมแล้วแห่แหนไปทิศทักษิณมีที่ประทับร้อนทั้งสี่ทิศกรุง จึ่งตีฆ้องไชยกลองไชยแลอินทรเภรีแลกลองชะนะแลแตรงอนแลแตรลำโพงแลพิณพาทย์ทั้งปวง อันริมพระที่นั่งฝ่ายซ้ายขวานั้นมีมหาดเลกทำมะโหรีแห่ก็ดังคฤๅนเครงไปทั้งรอบกรุงเทพยฯ

อันสมเดจพระบรมเอกทัศราชานั้น พระองค์จึ่งโปรยปรายเงินแลสุวรรณให้ทานแก่อณาราษฎรทั้งปวง หญิงชายเดกผู้ใหญ่ เถ้าแก่อณาราษฎรทั้งปวงได้รับพระราชทานของพระองค์นั้น ก็ยอกรถวายบังคมกับพื้นปัถพี แล้วก็ร้องถวายพระพรต่างต่าง ครั้นเลียบพระนครไปรอบกรุงแล้วก็เสดจเข้าตามประตูทิศบูรพ์ยังเก่า แล้วก็เสด็จเข้าไนพระราชวัง อันสมเดจบรมเอกะทัศราชานั้น พระองค์จึ่งเสดจนั่งเหนือพระแท่นแว่นฟ้า แล้วจึ่งมีพระสิงหนาทราชโองการตรัสรับสั่งโปรดให้เลิกส่วยสาอากรสมพักศรแลขนอนตลาดแลค่าน้ำเชิงเรือนแลความเริศร้างค้างเก่าอย่าให้ว่าขานกัน แล้วให้ปล่อยคนโทษทั้งสี่คุกอันอยู่เรือนจำจองทั้งปวง มีรับสั่งให้ปล่อยทั้งสิ้นแล้ว พระองค์จึ่งมีพระโองการให้ตีฆ้องร้องป่าวทั้งนอกกรุงแลในกรุงให้อณาราษฎรทั้งปวง ให้อุส่าห์รักษาศีล ๕ แลอุโบสถศีลวันแปดค่ำสิบห้าค่ำ แล้วให้คำรพบิดาแลมารดาอย่าให้ฉ้อฉนฉกลักกัน ให้ตั้งอยู่ในศีลห้าแลศีลแปดแลเดือนหนึ่งสี่วันพระนั้น ทั้งนอกกรุงแลในกรุงบันดาจังหวัดกรุงเทพฯ นั้นมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดทำปาณาติบาต ถ้าแลผู้ใดฆ่าสัตว์ตัวเปนจำตายในวันอุโบสถนั้น ให้ลงโทษทัณฑ์ตามกฎพระไอยการ แล้วพระองค์จึ่งเอาเครื่องประดับประดาทั้งปวงแลเครื่องอุปโภคต่างๆ สั่งให้หล่อพระพระพุทธรูปทรงเครื่องประดับพลอยมณีมีค่าเปนอันมาก แล้วฉลองถวายไทยทานทั้งสามวัน แล้วเชิญพระเสดจเข้าไว้ในวัดพระศรีสรรเพชรตามอย่างธรรมเนียมกระษัตริย์แต่ก่อนมา

เดิมพระองค์มีพระอรรคราชชายาทั้งสองแต่ยังเปนกรมมาด้วยกันนั้น พระองค์จึ่งไว้เปนที่มเหษีพระอรรคราชชายาองค์หนึ่งนั้นมีพระราชบุตรีแลพระราชบุตราเปนสององค์ด้วยกัน องค์หนึ่งเปนพี่นางพระนามชื่อประพาฬสุริยวงษ องค์พระน้องยานั้นชื่อประไภกุมารเปนสองด้วยกัน พระอรรคราชราชาองค์หนึ่งนั้น มีพระราชบุตรแลราชธิดาสององค์ พระพี่นางนั้นพระนามชื่อรุจจาเทวีพระน้องยานั้นพระนามชื่อสุทัศขัติยะราชกุมาร พระอรรคราชชายาทั้งสองนั้น มีพระราชบุตรแลพระราชธิดาเปนสี่องค์ด้วยกัน พระองค์จึ่งตั้งพระราชชายาองค์หนึ่ง ในพระวงษาพระนามนั้นเรียกเจ้าแมงเม่า อันเจ้ากรมนั้นเรียกกรมหมื่นพิมลภักดี จึ่งมีพระราชบุตรีองค์หนึ่งพระนามชื่อศิริจันทาเทวี อันสมเด็จพระบรมเอกทัศนั้น มีพระราชบุตร แลพระราชธิดาสี่ห้าองค์ด้วยกัน พระองค์ทรงพระเมตตาเสมอกันทั้งห้าองค์ พระองค์จึ่งตั้งที่ทางให้เสมอกันทั้ง ๔ องค์ พระองค์จึ่งประทานเครื่องสูงนานาแลเครื่องประดับประดานานาต่างต่าง แลเครื่องอุปะโภคต่างต่างทั้งแก้วแหวนเงินทอง แลเครื่องต้นเครื่องทรงทั้งผู้คนช้างม้าแลเรือทรงพระองค์ จัดแจงแต่งพระราชทานให้เสมอกันทั้ง ๔ องค์ อันเหล่าพระสนมกำนัลนอกนั้นมิได้มีพระราชบุตรแลพระราชธิดากับพระองค์

ฝ่ายพระบรมเอกทัศจึ่งประพฤดิ์ตามอย่างธรรมเนียมกระษัตริย์แต่ก่อนมา พระองค์ก็บำรุงพระสาศนาครอบครองอณาประชาราษฎร์ทั้งปวงตามประเพณีมา อันว่ากรมหมื่นเทพพิพิธนั้นเปนที่ปฤกษากันกับวังน่านั้น ครั้นพระอุทุมพรราชาออกทรงบรรพซาแล้ว ก็ว้าเหว่อยู่หาที่พึ่งมิได้ กับพระองค์นั้นก็ไม่ปรกติริรองโดยสุจริตจึ่งทูลลาออกอุปสมบท ครั้นได้อุปสมบทแล้วใจนั้นแตกฉานจึ่งคิดความร้ายมิได้ตรงต่อพระองค์ ครั้นความลับนั้นแพร่งพรายกระจายไปรู้ถึงเสนาบดีผู้ใหญ่จึ่งลอบหนีออกจากอาราม เสนาบดีผู้ใหญ่จึ่งเข้าไปทูลฉลองพระองค์ จึ่งมีพระโองการให้ไปจับมา ครั้นตามไปก็จับได้ถึงนอกด่าน พระองค์จึ่งให้ใส่บทพระไอยการพิภากษา ลูกขุนในจึ่งใส่บทมาควรฆ่าอย่าให้เลี้ยงสืบไป พระองค์จึ่งขอโทษไว้อย่าให้ตายด้วยว่าอยู่ในพรต ไม่ควรจะปลงชีวิตรให้ฉิบหาย ครั้นจะเลี้ยงไว้ก็เหนใจกลัวจะคิดร้ายสืบไป จึ่งฝากนายสำเภาพ่อค้าชื่อโครติงอังกฤษให้ไปส่งเสียเมืองลังกาบูรี

พระองค์จึ่งบำรุงพระสาศนาแล้วครอบครองบ้านเมืองก็อยู่เยนเปนศุขมา แล้วพระองค์ก็ส้างอารามชื่อวัดลมุด แล้วส้างวัดครุธราวัดหนึ่ง พระองค์จึ่งฉลองเลี้ยงพระสงฆ์พรรหนึ่ง จึ่งถวายไตรจีวรแลเครื่องสังเคดพรรหนึ่ง เครื่องเตียบสิ่งละพรร ต้นกัลปพกฤษก็พรรหนึ่ง จึงแจกทานสารพัดสิ่งของนาๆ สิ่งละพันแจกอนาประชาราษทั้งปวงเปนอันมาก จึงปรายเงินทองวันละสิบชั่งเจดวันเปนเจดสิบชั่ง จึงให้มีการมโหรศพทั้งปวงสรรพสิ่งต่างๆ เปนการใหญ่ท่วนเจดวันแล้ว พระองค์จึงหลั่งน้ำทักขิโณทกให้ตกลงเหนือแผ่นพสุธา จึงแผ่กุศลให้แก่สัตว์ทั้งปวง แล้วเสดจคืนเข้ายังพระราชวัง พระองค์ตั้งอยู่ในธรรมสุจริต บพิตรเสดจ์ไปถวายนมัศการพระศรีสรรเพช ทุกเพลามิได้ขาด พระบาทจงกรมอยู่เปนนิจบพิตรตั้งอยู่ในทศพิธสิบประการ แล้วครอบครองกรุงขันธสีมา ทั้งสมณพราหมณาก็ชื่นชมยินดี ปรีเปนศุขนิราศทุกขไภย ด้วยเมตตาบารมีทั้งฝนก็ดีบริบูรณภูลความศุขมิได้กันดาล ทั้งเข้าปลาอาหารแลผลไม้มีรศโอชา ฝูงอนาประชาราษฎรแลชาวนิคมชนบท ก็อยู่เยนเกษมสานต์ มีแต่จะชักชวนกันทำบุญให้ทานแลการมโหรศพต่างๆ ทั้งนักปราชผู้ยากผู้ดีมีแต่ความศุขทั่วทุกขอบขันธเสมา

ครั้นอยู่มาศักราชได้พันร้อยยี่สิบสองปีมะโรงโทศกนั้นเมื่อจะมีเหตุ คือสำเภาฝรั่งข้างอังวะนั้นซัดมาปะที่เมืองตะนาวสีที่ท่ามริดบูรีอรำมนีเปนนายสำเภามา ข้างกรุงเราเอานายกำปันไว้ สำเภาใหญ่ยังจอดอยู่ที่น่าท่า ก็เกบเบิกตามธรรมดา อันว่ากิติศับท์นั้นก็ฦๅไปถึงมังลองซึ่งครองกรุงพ้องอันเปนใหญ่ จึ่งให้ราชสาส์นส่งไปอันว่าใจความนั้นว่า สำเภาของเราอย่าเอาไว้ เร่งให้ส่งตัวนายกำปันมา อันว่าเมืองศรีอยุทธยาแต่ก่อนนั้น ก็ย่อมเป็นธรรมเปนทางพระราชไมตรี ถ้าแม้นไม่ส่งตัวอะรำมะนีให้เร่งแต่งบูรีไว้ถ้าฯ

เมื่อจุลศักราชได้พันร้อยยี่สิบสองปีมะโรงโทศกมังลองยกทับมาเปนคนหกหมื่น ก็ยกล่วงแดนเข้ามาแล้วจึ่งให้เกรี่ยงถือหนังสือเข้ามาให้กับนายด่านค่างมะริศ ฝ่ายนายด่านข้างมะริศนั้น ครั้นแจ้งเหตุแล้วก็เอาหนังสือเข้ามาแจ้งแก่เจ้าเมืองมะริศๆ รู้เร่งให้ม้าใช้รีบเอาหนังสือมาแจ้งแก่อรรคมหาเสนาผู้ใหญ่ มหาเสนาครั้นแจ้งเหตุที่ในหนังสือนั้นแล้ว ก็เข้าไปกราบทูลฉลองกับพระเจ้าอยู่หัวเอกะทัศราชา ครั้นพระองค์แจ้งเหตุในสาส์น จึ่งมีพระโองการตรัสให้คนเรวม้าใช้ เร่งเรวไปสืบข่าวดูว่าพม่ายกทับมาทางมะริศนั้นทางหนึ่ง ข้างทางท่ากะดานนั้นทางหนึ่งทางเชียงใหม่นั้นทางหนึ่ง ก็ให้กะเกณฑ์ผู้คนทหารทั้งปวงให้พร้อมให้เกณฑ์ทับแลยกระบัตรเกียกกายปีกซ้ายปีกขวาทั้งทับหนุนแลทับรองทับน่าทับหลัง กองร้อยกองเหตุนาๆ ทั้งเสือป่าแมวเซา เหล่าทับตัดเสบียงทับเหล่านี้เร่งเกณฑ์ให้ครบครันให้ไปกั้นไปจุกไว้ทั้งสามทาง แล้วให้อุทุมพรราชาศึกออกมาช่วยราชการเมือง ครั้นพระอุทุมพรราชาอนุชาธิราชนิราศจากบรรพชิตก็ช่วยกันคิดการบ้านเมือง กับพระบรมเชษฐาที่จักต้านทานพม่า จึ่งกะเกณฑ์ขุนนางที่จักตั้งให้เปนนายทับที่จักต้านทานพม่า จึ่งเกณฑ์ให้พระยาสงครามนามชื่อปลัดชูแลพระยารัตนาธิเบศร พระยาราชวังสมเสนี พระจุลาหลวงศรียศ หลวงราชพิมล ขุนศรีวรดน แลทหารอันมีชื่อออกมาอาษาที่จักแทนพระเดชพระคุณพระองค์นั้นเปนอันมาก แต่ล้วนคนอยู่คงกระพัน พระองค์จึ่งพระราชทานรางวัลเงินทอง เสื้อผ้าแพรพรันแลเครื่องสูงต่างๆ ตามตำแหน่งตามที่ แลให้เลื่อนที่เลื่อนทางชื่อเสียงตามตำแหน่งแม่ทับแม่กองให้สัประทนแลร่มแพรทอง แลช้างม้าเครื่องแต่งตัวครบครัน บันดาเกณฑ์ไพร่นั้น ก็ให้เงินทองเสื้อผ้าครบตัวกันทั้งสิ้นแล้ว จึ่งเกณฑ์พระยาราชสงคราม แลพระยาไชยาพระยามหาเสนา แลพระยาเพชรพิไชยพระยาสมบัติธิบาลพระยาตนาวพระยาตลุงแลหลวงไกร ขุนนางแปดคนนี้ให้คุมทับแปดทับ ทับหนึ่งคุมพันหนึ่ง จึ่งให้ส้องสุมเข้าปลาอาหารแล้วจึ่งเกณฑ์ทับสะเบียงให้ตามส่งทุกตำบลมิให้ไพร่พลอดอยาก ให้ตามไปส่งเปนอันมาก บันดาทับทั้งแปดทับนั้นเปนคนแปดพัน ให้ขุนนางแปดคนเปนนายทับแล้ว จึ่งให้พระยาอภัยราชาเปนแม่ทับใหญ่ แล้วยกไปจุกทางเชียงใหม่ แล้วจึ่งให้ราชามาตยราชาบาลทิพเสนาวิสุทธามาตยราชมะนู เทพมะนู หลวงศัก หลวงสิทธิ หลวงฤทธิ์ หลวงเดชเปนคนหมื่นหนึ่ง ตั้งทับสิบทับแล้วจึ่งให้พระยาอภัยมนตรีเปนแม่ทับยกไปจุกทางไว้ท่ากระดาน อันเชียงใหม่กับท่ากระดานนั้นพม่ามิได้ยกมา มาแต่ทางทวาย

ครั้งเมื่อมังลองยกมาเปนคนหกหมื่น ครั้นรู้ว่าตัวมังลองยกมา พระองค์จึ่งให้เพิ่มผู้คนแลทหารขึ้นอีกจึ่งเกณฑ์ให้หนุนสะเบียงแลข้าวปลาอาหารทั้งปวง เกณฑ์ผู้คนให้ยกทับสะเบียงตามส่งทุกตำบล แล้วจึ่งเกณฑ์พระวิพัทพระสินพระสรรพระวิไชยพระอินทามาตยพระเทพโยธา พระพิพิธพระสมบัติพระท้ายน้ำพระพิไชยรณฤทธิพระชิตณรงค์พระอินทรเทพพระศรีสุนทร พระพิธมนตรีเกณฑ์คนหมื่นหนึ่งกับสี่พันด้วยกันเปนทับสิบสี่ทับ ทับหนึ่งมีช้างสิบตัวช้างตัวหนึ่งมีปืนใหญ่หลังช้างสองบอก มีอาวุธถ้วนตัวช้างๆ ตัวหนึ่งมีคนสามคนมีอาวุธครบตัวกัน ทับหนึ่งมีม้าร้อยหนึ่ง เหล่าคนขี่ม้ามือถือทวนแลอาวุธครบตัวกัน เหล่าเกณฑ์ทับทั้งหลายนั้นมีสาตราอาวุธ หอกดาบปืนน้อยแลปืนใหญ่ นกสับคาบชุดเครื่องสัพยุทธเขนงลูกกระสุนดินประสิวครบตัวกันทั้งสิ้นเปนอันมาก ทั้งทับน่าทับหลังปีกซ้ายปีกขวา ทับน่าทับหนุนทับรองทั้งเสือป่าแมวเซาแลเหล่าทับตัดเสบียง แล้วจึ่งให้พระยาราชมนตรีเปนแม่ทับยกไปตั้งรับไว้ที่แกตุง จึงตั้งค่ายเขื่อนขันธเปนมั่นคงมีค่ายรายทั้งซ้ายขวา แล้วจึ่งเกณฑ์ทับหนุนไปอิกสิบทับ คือพระศรีสมบัติพระศรีไกรลาศราชภูมินทรพรหมธิบาล หลวงเทพราชาขุนศรีคชกัณ หมื่นหารจำบังหลวงราชรามกำแหงขุนโลกทีป ขุนนางสิบคนนี้ตั้งเปนนายทับๆ หนึ่งเปนคนพันหนึ่งมีช้างรบสิบช้าง มีม้ารบร้อยหนึ่งมีสาตราอาวุธครบตัวกันทั้งสิ้นเปนอันมาก ทั้งสิบทับนี้เปนหมื่นหนึ่งจึ่งให้พระยาธรรมราชาเปนแม่ทับยกไปตั้งเมืองราชบุรี แล้วจึ่งเกณฑ์พวกพลทหารอาทมาทเปนอันมาก ให้ยกไปตั้งไว้ที่เมืองเพชรบูรี แล้วตั้งค่ายรายรับโดยอันดับทางทุกช่องแคบขัน อันเหล่าผู้รั้งกรมการทุกหัวเมืองนั้นเกณฑ์ให้ส่งลำเลียงเข้าปลาอาหารมิให้ขาดได้ แล้วก็ให้จัดแจงแต่งบ้านเมืองค่ายคูปตูหอรบเขื่อนขันให้คงมั่น จึ่งเอาปืนใหญ่ขึ้นตั้งไว้บนน่าที่และเชิงเทินทุกช่องเสมาแล้วเกณฑ์ผู้คนเปนอันมาก กับเครื่องสาตราอาวุธทั้งปืนคาบชุดคาบศิลาทั้งขานกยาง ทั้งลูกกระสุนดินประสิว แล้วขึ้นอยู่รักษาน่าที่เชิงเทินทุกช่องเสมา อนึ่งมีคนรักษาสิบคน

อันพระอุทุมพรนั้นศึกออกมาดูแลตรวจตราน่าที่เชิงเทิน อันเสนาบดีนั้นก็ตามเสด็จมาพร้อมพรั่งเสนาทั้งปวงจึ่งมาบวงสรวงพระเสื้อเมือ แลเทวะดาอันรักษาพระศาสนาจงมาช่วยป้องกันอันตรายบ้านเมือง ฝ่ายทัพไทยที่ยกไปมะริต ก็พบกันกับทับพม่า ก็รบกันถ้อยทีถ้อยรบกัน ข้างไทยเข้าโหมหักตีกลางแปลงนักรบกันอยู่วุ่นวาย ข้างพม่าล้มตายเจบปวดอันมาก ฝ่ายข้างไทยก็ตายเจบปวด ทั้งสองฝ่ายแต่รบกันอยู่ประมาณได้สิบห้าวัน ข้างไทยนั้นเจบปวดลงมากมาย จึ่งยกทับเคลื่อนคลายมาประสมกันที่แก่งดุมทับละร้อย ทับละพันนั้นตั้งรับไว้ที่เมืองราชบุรี ครั้นพม่ายกมาก็รบพุ่งกันหนักหนา ฝ่ายพม่าก็ยกหนุนกันมากมาย ฝ่ายข้างไทยนั้นรบอ้ายญวนเจบปวดมากมาย ฝีมือรบไม่เหมือนกัน อันฝ่ายข้างกรุงนั้นจึ่งเกณฑ์คนห้าพัน ให้ยกไปตามทางพม่าก็ไม่ไหวบ้างก็ล้มตายเจบปวดเปนอันมาก แม่ทับทั้งปวงก็คิดอ่านกันแล้ว ก็ถอยทับเรือก็รับมาทุกตำบลจนมาตั้งรับที่บ้านกุ่มบางบาน ฝ่ายพม่ารุกรบเข้ามาถึงบ้านทุ่มบางบานแล้ว อยู่รอบกรุงเปนอันมาก ฝ่ายไทยก็ถอยเข้ารบในกรุงข้างกรุงจึ่งคิดกันให้พระราชประสิทธิเปนผู้ใหญ่ กับขุนทานกำนัน กับขุนศุภอักษรออกไปพูดจากันตามประเพณี ก็ไม่ตกลงกันตามที่ตามทาง ฝ่ายสามนายนั้นกลับมาสู่เมือง จึ่งขึ้นมาที่เชิงเทินรบกัน ประมาณได้เจ็ดราตรี ข้างพม่านั้นจึ่งยิงปืนใหญ่อยู่ได้สามวันแล้ว ก็พอมังลองเจบหนักลงจึ่งเลิกทับกลับมายกมาทางพิษณุโลกยแลทางระแหง พระอุทุมพรราชานั้นกลับคืนเข้าทรงบรรพชาอย่างเก่า ครั้นสิ้นอรินราชพระบาทก็อยู่เยน เปนศุขนิราษทุกขไภย ทั้งชาวกรุงไกรไม่มือันตราย ฝ่ายพระเอกทัศราชาก็ครองสมบัติอย่างแต่ก่อนมา พระองค์มาถือฝ่ายข้างปริยัติแลฝ่ายธุดงค์แล้วจำเริญเมตตาภาวนา ถือศีลมิได้ขาดเดือนหนึ่งสี่อุโบสถ

พระองค์เลี้ยงพระสงฆ์เช้าเพน มีเทศนาแลสวดมนต์แผ่ผลเมตตามิได้ขาดเปนนิจอัตรา อันเงินการบุญตักเข้าบาตรก็ตักอยู่อัตรา เกณฑ์จังหันนิตยภัตรก็ส่งอยู่อัตราทุกอารามมิได้ขาด แลเกณฑ์บุญที่ปฏิสังขรณวัดวาอารามที่สลักหักพังทุกอารามทั้งปวงทั้งนอกกรุงแลในกรุง แลเกณฑ์ข้าผ้าไตรจีวรที่ภิกขุสงฆ์อันอักกะฎกแลมีจีวรคร่ำคร่าก็ถวายมิได้ขาด ทั้งสังเค็ตแลการกะถินทั้งในกรุงนอกกรุงแลทั้งหัวเมืองก็มีทุกปี แล้วยังเกณฑ์เทียนพระวษาแลเครื่องบริขารครบครันก็มิได้ขาดเปนนิจทุกปี แล้วยังสมโภชพระศรีสรรเพช แลพระหัวเมืองก็ทุกปีมิได้ขาด ยังเกณฑ์ค่าโคเกวียนแลสมโภชพระพุทธบาทก็ทุกปี อันเงินเหล่านี้ทั้งสิ้นศิริเบ็จเสรจปีหนึ่งเปนเงินพันหนึ่งกับห้าร้อยชั่ง ยังเข้าเกณฑ์บุญนั้นปีหนึ่งเปนเข้าหมื่นหนึ่งกับห้าพัน ครั้นถึงเดือนแปดปถมาสาธวันเพ็ญสิบห้าค่ำนั้นพระองค์บวชนาคหลวงทั้งภิกษุและสามะเณรปีหนึ่งสามสิบองค์บ้าง สี่สิบองค์บ้างทุกปีมิได้ขาด ครั้นมีสูริยแลจันทรฆาฏ พระองค์ทรงแจกเงินทองเสื้อผ้า สรรพต่างๆ ก็เปนอันมาก แล้วพระองค์มีรับสั่งให้ตั้งศาลาฉ้อทานทั้งสี่ทิศกรุงก็ทุกปีมิได้ขาด ครั้นถึงเพ็ญเดือนสิบสองพระองค์ไห้ทำจุลกะถิน แลเครื่องเข้าตอกดอกไม้ธูปเทียนฉัตรธงทั้งปวงเปนอันมาก แห่ไปถวายพระทุกอารามนั้นก็มิได้ขาดปี ครั้นถึงเดือนสี่พระองค์เสดจไปนมัศการพระพุทธบาทตั้งเปนกระบวนพยุห์บาตราแห่ไป ครั้นถึงแล้วพระองค์จึ่งให้มีการสมโภชมีการมโหรศพมีโขนหนังทั้งระบำเทบทองมีละครแลหุ่น สารพัดต่างต่าง แล้วจึ่งตั้งรธาดอกไม้เพลิงหว่างช่องรธา ดอกไม้นั้นมีโขนหนังมงครุ่มผาลาระบำเทบทอง แลหกขะเมนสามต่อต่ายลวด รำแพนลวดบนปลายเสา แล้วพระองค์เลี้ยงพระสงฆ์ ๕ ร้อยองค์ฉันถ้วนเจ็ดวันแล้ว จึ่งถวายจีวรสังเค็ตแล้ว พระองค์จึ่งแจกทาน แก่อณาประชาราษฎร ให้เงินทองเสื้อผ้าสิ่งของครามครัน อณาประชาราษฎรที่มารับพระราชทาน ทั้งหญิงทั้งชายก็ชื่นชมยินดียอกรอัญชุลีเหนือเกล้าเกษา ถวายพระพรอยู่เซงแซ่แล้วก็พากันดูงานการมโหระศพต่างๆ เปรมปรีทั้งเด็กผู้ใหญ่ ครั้นเพลาค่ำก็จุดดอกไม้เพลิงรุ่งเรืองโอภาษประหลาดแก่ตาหญิงก็ภากันดูดอกไม้ต่างๆ ก็รื่นเริงบันเทิงใจ แล้วพระองค์เสดจขึ้นไปนะมัสการพระพุทธบาท เกณฑ์เห่แหนซ้ายขวาเปนอันดับกันเปนหลั่นๆ กันไปเปนพระประเทียบทั้งพระองค์และมะเหษี แลพระราชบุตบุตรีแห่งเปนที่ๆ ขึ้นไป ครั้นถึงแล้วพระองค์ก็เสดจพระดำเนินเข้าไปในพระมณฑป จึงถวายธูปเทียนทอง แลเครื่องบูชาเข้าตอกดอกบุบผาอันมีกลิ่นต่างๆ นาๆ แล้วโปรยปรายถวายบูชา พร้อมด้วยพระราชบุตรบุตรี และพระอรรคมเหษีแลพระสนมกำนัน ก็อภิวันทสพฤกพร้อมบังคมนมัสการ ครั้นแล้วพระองค์จึ่งโปรยปรายเงินทองให้เปนทาน แล้วก็ทิ้งทานต้นกัลปพฤกษวันละแปดต้น ต้นหนึ่งเปนเงินแปดชั่ง ให้ทิ้งทานทั้งเจ็ดวัน แล้วก็เสดจกลับมาอยู่ที่พลับพลา ครั้นมีการมะโหรศพสมโภช เสดจขึ้นไปนมัสการอยู่ครบเจ็ดวันแล้ว พระองค์ก็เสดจไปชมธารกระเษม เสดจทรงรถพระที่นั่งโถง อันพระมเหษีแลพระราชบุตรบุตรีนั้นทรงรถต่างๆ กัน เหล่าพระกำนันแลสนมสาวสันกัลยาทั้งปวงนั้นก็ขี่รถต่างๆ กันแล้วแห่แหนไปในไพรสณฑ์ ครั้นถึงจึ่งเสดจลงจากราชรถ ก็เสดจพระดำเนิน ดำเนินไปตามลำธารน้ำ อันพระสนมกำนันก็พฤกพร้อมตามเสดจไปตามธารน้ำ อันเหล่าพระกำนันนารีก็มีมะโนรื่นเริงใจ แล้วก็ชี้ให้ชมธารแลศิลาตรวจทราย อันมีศรีแดงแลศรีขาว บ้างก็เปนศรีเขียว ดังมรกฎอันดี ที่ดำนั้นดังศรีปีกแมลงทับมีศรีนั้นต่างๆ อันหว่างช่องศิลาในน้ำนั้นมีมัจฉาชาติว่ายเวียนเลี้ยวลอดไปตามช่องศิลาเปนคู่ๆ ยิ่งดูยิ่งเพลินใจ บนเนินคีรีมีภูผาเปนช่อช้อยลงมาต่างๆ บ้างก็เป็นภูกลีบห้อยย้อยลงมา บ้างก็มีน้ำดุดั้นไหลมาตามช่องศิลา อันพฤกษาสานที่บนคีรีมีดอกแลออกช่อมีศรีต่างๆ ฯ

  1. ๓. ข้อความตอนนี้ เปนสมุดข่อยได้มาจากกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ มีเนื้อความเล่าถึงแผ่นดินพระพุทธเจ้าเสือแทรกเข้ามา - บรรณาธิการ

  2. ๔. ต้นฉบับเป็น ๑๑๒

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ