ตอนที่ ๓๓ แต่งงานพระไวยพลายงาม

๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงเดช มงกุฎเกศอยุธยามหาสถาน
สถิตแท่นแว่นฟ้าโอฬาฬาร พร้อมขนานพระสนมประนมกร
ครั้นสุริยงลงลับเมรุมาศ พระจันทร์ผาดเผ่นจำรัสประภัสสร
ทรงพระแสงเพชรประดับสำหรับกร บทจรออกท้องพระโรงคัล
แสงประทีปโคมแก้วแววสว่าง พวกขุนนางหมอบเฝ้าเป็นเหล่าหลั่น
พระตรัสความตามอย่างเป็นทางธรรม์ แม่นมั่นตามระเบียบโบราณมา
เบือนพระพักตร์มาพบพระกาญจน์บุรี ก็ยิ่งมีพระทัยให้หรรษา
ด้วยต้องการประทานนางสร้อยฟ้า จึงตรัสว่าฮ้าเฮ้ยอ้ายกาญจน์บุรี
อ้ายหมื่นไวยกูก็ให้มียศศักดิ พร้อมพรักข้าไทเป็นถ้วนถี่
ยังเสียอยู่แต่เมียมันไม่มี จะยกอีสร้อยฟ้าให้แก่มัน
จะให้สมกับที่มีความชอบ ให้ประกอบยศยิ่งทุกสิ่งสรรพ์
เป็นขุนนางไม่มีเมียก็เสียครัน จะให้มันมีเมียเสียสักคน ฯ
๏ ครานั้นจึงพระกาญจน์บุรี อัญชลีกราบงามสามหน
จึงกราบทูลภูวไนยไปบัดดล พระคุณเป็นพ้นคณนา
แต่ซึ่งจมื่นไวยใช่ตัวเปล่า ข้าพระพุทธเจ้าไม่มุสา
เมื่อไปทัพได้กับศรีมาลา ลูกยาพระพิจิตรบุรี
แต่รักใคร่ยังมิได้ทำงานการ เขาผ่อนผัดนัดงานมาเดือนสี่
ได้ทำหมั้นกันไว้ตามประเพณี ขอจงทราบธุลีพระบาทา ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงธรรม์ ได้ฟังขุนแผนนั้นมาทูลว่า
เมียจมื่นไวยมีชื่อศรีมาลา เป็นลูกยาพระพิจิตรบุรี
จึงตรัสว่าอ้ายพลายงามเป็นหมื่นไวย มีเมียมากสักเท่าไรก็ควรที่
ได้สักสิบคนนั้นมันยิ่งดี จึงสั่งพระยาราชสีห์ด้วยทันใด
จงมีตราหาตัวพระพิจิตรนั้น ทั้งลูกสาวมันมาจงได้
จะให้แต่งงานกับอ้ายไวย ให้รีบรัดเร่งไปในวันนี้
สั่งเสร็จพระเสด็จขึ้นข้างใน ขุนนางน้อยใหญ่ลุกจากที่
ฝ่ายท่านเจ้าพระยาจักรี ออกมานั่งสั่งคดีที่ศาลา
แต่งตราส่งให้นายสวัสดิ เอ็งรีบรัดขึ้นไปพิจิตรหวา
นายสวัสดิกราบกรานรับสารตรา ลงเรือกัญญาโยนยาวไป
ครั้นว่ามาถึงเมืองพิจิตร สมคิดวางตราหาช้าไม่
พระพิจิตรต้อนรับฉับไว กรมการน้อยใหญ่มาฟังตรา ฯ
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุรี ฟังตราพระราชสีห์ว่าให้หา
รู้แจ้งว่าจะแต่งศรีมาลา จึงบอกบุตรภรรยาให้เตรียมการ
พร้อมพรักผู้คนบ่าวข้า ลงนาวาถอยออกมาจากบ้าน
ล่องตรงลงทางบางคลาน พ้นผ่านบ้านเมืองเนื่องเนื่องมา
ถึงกรุงจอดบ้านท่านผู้ใหญ่ พระพิจิตรคลาไคลขึ้นไปหา
เจ้าพระยาราชสีห์ผู้ปรีชา บอกกิจจาพระพิจิตรให้แจ้งใจ
บัดนี้มีรับสั่งให้หามา เพราะว่าจะจัดแจงแต่งงานให้
ศรีมาลาลูกท่านกับจมื่นไวย จงรีบไปพบปะพระกาญจน์บุรี ฯ
๏ พระพิจิตรรับคำแล้วอำลา ตรงมาหาขุนแผนขมันขมี
ขุนแผนกราบไหว้ด้วยยินดี เชิญนั่งที่หอนั่งสั่งสนทนา
เล่าความตามกระแสแก่พระพิจิตร ว่าพระองค์ทรงฤทธินั้นตรัสว่า
จมื่นไวยไม่มีภรรยา จะประทานสร้อยฟ้าแก่หมื่นไวย
ลูกทูลว่าเมียมีชื่อศรีมาลา รับสั่งว่ามีอิกก็มีได้
ให้มีตราหาเจ้าคุณมากรุงไกร จะโปรดให้แต่งงานศรีมาลา
มาเกิดเป็นเมียสองไม่ต้องใจ จะทานทัดขัดพระทัยก็ไม่กล้า
คุณพ่อขอจงได้เมตตา อย่าว่าลูกกลับกลอกทำนอกใจ ฯ
๏ ครานั้นจึงท่านพระพิจิตร ว่าพระองค์ทรงฤทธินั้นเป็นใหญ่
เราเป็นข้าโปรดมาประการใด ก็ต้องแล้วแต่พระทัยพระทรงธรรม์
ว่าแล้วสองข้างต่างปรึกษา ไปบอกพระไวยมาขมีขมัน
ลงไปเรือเชื้อเชิญแม่ยายนั้น พากันไปยังบ้านจมื่นไวย
พระพิจิตรบุษบากับลูกรัก ก็ขึ้นพักอยู่ที่บ้านประทานใหม่
จัดครัวชุลมุนกันวุ่นไป ข้าไทอึกทึกทำการงาน ฯ
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงสว่างกระจ่างฟ้า พระหมื่นศรีลีลามาถึงบ้าน
ขึ้นบนเรือนพระไวยมิได้นาน ก็คิดอ่านจัดแจงแต่งเรือนพลัน
เอาพรมเจียมเสื่อสาดมาลาดปู หมอนอิงพิงอยู่ดูเป็นหลั่น
ทั้งเครื่องแก้วแถวถั่งตั้งอัฒจันทร์ ม่านกั้นแกพับประกับกาง
อัจกลับใส่ตะเกียงแขวนเรียงไว้ ค่ำจะได้จุดไฟให้สว่าง
ทั้งกระโถนขันน้ำประจำวาง พอกลางวันพร้อมเสร็จในทันใด
พระพิจิตรว่าแก่พระหมื่นศรี ท่านปรานีฉันด้วยช่วยแก้ไข
จะซัดน้ำวันนี้ไม่มีใคร วานโปรดให้สาวสาวสักสิบคน
หล่อนแต่ล้วนชาวในได้เคยเห็น แต่พอเป็นเพื่อนสาวกันสักหน
ได้หุ้มห่อออกไปนั่งฟังสวดมนต์ ให้มากมายหลายคนค่อยอุ่นใจ
พระหมื่นศรีว่าได้เป็นไรมี บ่ายวันนี้ดีฉานจะจัดให้
สาวสาวบ้านฉันนั้นถมไป คุณตาอย่าได้เป็นกังวล ฯ
๏ ฝ่ายพระไวยอยู่บ้านพระนายศรี เลือกมหาดเล็กรูปดีอยู่สับสน
เอามาเป็นเพื่อนบ่าวได้เก้าคน แล้วจัดแจงแต่งตนให้แยบคาย
จึงอาบน้ำชำระแล้วประแป้ง นุ่งยกก้านแย่งดูเฉิดฉาย
ห่มกรองทองเรืองประเทืองพราย ให้พระนายเสมอใจเป็นบ่าวนำ
เสร็จแล้วออกจากบ้านพระนาย ผันผายตามถนนคนดูคล่ำ
ครั้นถึงก็ขึ้นนั่งฟังพระธรรม พระสงฆ์สวดมนต์ร่ำขึ้นพร้อมกัน ฯ
๏ จะกล่าวถึงวันทองผ่องโสภา แต่อยู่กับขุนช้างมาไม่เดียดฉันท์
เป็นใหญ่ในบุรีศรีสุพรรณ วันนั้นได้ยินข่าวเขากล่าวมา
ว่าลูกชายพลายงามมีความชอบ ได้ประกอบยศศักดิขึ้นหนักหนา
โปรดปรานประทานนางสร้อยฟ้า แล้วจะแต่งศรีมาลาด้วยคราวนี้
เป็นผู้ใหญ่จำจะไปช่วยเขาบ้าง ให้ขุนนางรู้จักเป็นศักดิศรี
คิดแล้วก็มาลาสามี พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปในเมือง
พระนายพลายงามเขาแต่งงาน ฦๅสะท้านทั่วกรุงฟุ้งเฟื่อง
จะไม่ไปมิดีเป็นทีเคือง ไพร่บ้านพลเมืองจะนินทา ฯ
๏ ขุนช้างได้ฟังนั่งยิ้มแต้ เออแม่เจ้าจะไปผัวไม่ว่า
เขาเป็นนายมหาดเล็กเด็กชา เบื้องหน้าจะได้พึ่งเขาขุนนาง
แม่อย่าไปมือเปล่าเอาเงินทอง ข้าวของไปด้วยช่วยเขาบ้าง
ผัวไม่นิ่งได้เจ้าไปพลาง ตัวพี่จะขี่ช้างเข้าไปตาม
ร้อยชั่งผัวจะสั่งไปหน่อยนะ ถ้าพบปะอ้ายขุนแผนมันไต่ถาม
อย่าพูดจาปราศรัยไอ้บ้ากาม ถ้าลวนลามแล้วจงด่าให้สาใจ ฯ
๏ วันทองบอกว่าอย่าพักสั่ง ฉันหานั่งพูดจากับเขาไม่
แล้วสั่งข้าหาของข้าวไวไว นางเข้าห้องจ้องไขกำปั่นพลัน
หยิบผ้ายกอย่างดีสีชมพู แหวนงูแหวนประดับจับจัดสรร
เลือกทองลิ่มเอามาสี่ห้าอัน ทองนั้นจะได้ให้พระหมื่นไวย
ผ้ายกอย่างดีสีชมพู แหวนงูแหวนประดับไปรับไหว้
ตามมีตามจนคนละใบ อย่าให้ลูกสะใภ้เขาเย้ยเยาะ
แล้วให้ขนฟักแฟงแตงร้าน ข้าวเม่าข้าวสารลูกตาลเฉาะ
ทั้งฟักทองเนื้อดีที่กูเพาะ อีเจาะไปตัดจัดเอามา
ให้ข้าคนขนของลงเรือใหญ่ บ่าวหลามตามไปอยู่พร้อมหน้า
วันทองลงเรือได้ไพร่จ้ำมา โยนยาวฉาวฉ่าสนั่นไป
เข้าลัดตัดทางบางยี่หน ประเดี๋ยวด้นออกบ้านเจ้าเจ็ดได้
ถึงกรุงจอดตะพานบ้านวัดตะไกร ให้บ่าวไพร่ขนของขึ้นฉับพลัน
วันทองเดินหน้ามาตามถนน ขึ้นบนเรือนใหญ่พระไวยนั่น
พระนายน้อมคำนับต้อนรับพลัน แล้วเชิญทั่นมารดาเข้าเรือนใน ฯ
๏ ครานั้นพระพิจิตรบุษบา ตะวันบ่ายได้เวลาหาช้าไม่
บอกเพื่อนสาวที่หาเอามาไว้ ได้สิบคนถ้วนล้วนสำอาง
ให้อาบน้ำทาแป้งแต่งกาย นุ่งลายห่มแพรสีต่างต่าง
ศรีมาลาผัดหน้าเป็นนวลปราง นุ่งลายนอกอย่างห่มสีจันทร์
จัดแจงผู้ใหญ่ให้เดินหน้า พวกเพื่อนสาวตามมาเป็นหลั่นหลั่น
เอาหนามส้มเสียดผ้ามาคนละอัน สำหรับได้ป้องกันเจ้าหนุ่มกวน
หุ้มห่อกันออกนอกเคหา หอมผ้ากลิ่นอบตลบหวน
ศรีมาลาเดินกลางอย่างกระบวน แต่ละหน้าหน้านวลดังนางใน
ครั้นถึงน้อมนั่งฟังพระธรรม พระสดำจับมงคลคู่ใส่
สายสิญจน์โยงศรีมาลามาพระไวย พอฆ้องใหญ่หึ่งดังตั้งชยันโต
หนุ่มสาวเคียงคั่งเข้านั่งอัด พระสงฆ์เปิดตาลปัตรซัดน้ำโร่
ปรำลงข้างสีกาห้าหกโอ ท่านยายโพสาวนำน้ำเข้าตา
อึดอัดยัดเยียดเบียดกันกลม เอาหนามส้มแทงท้องร้องอุยหน่า
ที่ไม่ถูกเท้ายันดันเข้ามา ท่านยายสาออกมานั่งบังกันไว้
มหาดเล็กโลนโลนโดนกระแทก โอยพ่อขี้จะแตกไม่ทนได้
ท่านยายสาเต็มทีลูกหนีไป จนพระไวยศรีมาลามาชิดกัน
ท่านขรัวหัวร่อซัดต่อไป พวกผู้ใหญ่หนาวครางจนคางสั่น
อย่าเติมน้ำอิกเลยเฮ้ยตาจัน เต็มทีเท่านั้นเถิดเจ้าคุณ ฯ
๏ ท่านขรัวหยุดยั้งนั่งนิ่ง พวกผู้หญิงต่างลุกเข้าเรือนวุ่น
แม่ยายจัดผ้าถักตาชุน ปักทองสละปะตุ่นกับผ้ายก
ใส่พานวางไว้ไปจัดแจง เครื่องแป้งอย่างดีหวีกระจก
พัดจันทน์ตลับทองของแถมพก ให้คนยกมาให้พระหมื่นไวย
พวกเจ้าบ่างผลัดผ้ามาแต่งตัว ท่านขรัวยถาสัพพีให้
ครั้นเห็นได้เวลาก็คลาไคล ต่างองค์ต่างไปยังกุฎี
พวกเจ้าบ่าวเข้าไปในหอนั่ง ผู้คนยกโต๊ะตั้งไว้ตามที่
ทั้งของเคียงเรียงเรียบเทียบไว้ดี มีกระโถนขันน้ำประจำพาน
ล้วนแต่พานเงินงามรองชามข้าว แล้วเชิญท่านเพื่อนบ่าวกินอาหาร
ครั้นบริโภคอิ่มหนำสำราญ แล้วยกโต๊ะของหวานส่งเข้าไป
ล้วนแต่ของดีดีเทียบสี่ชั้น แกล้งประจงจัดสรรขึ้นซ้อนใส่
อิ่มสำเร็จยกสำรับกลับเข้าไป ข้างในตั้งพานหมากล้วนนากทอง
สั่งให้ยกสำรับเลวไปเลี้ยงไพร่ อิ่มสำราญบานใจสิ้นทั้งผอง
จุดประทีปแสงประเทืองเรืองรอง มโหรีแซ่ซ้องประสานซอ
ขับกล่อมซ้อมเสียงสำเนียงนวล โหยหวนโอดพันสนั่นหอ
ฆ้องวงหน่งหนอดสอดเสียงซอ ระนาดตอดลอดล้อบรรเลงลอย
แสนเสนาะเสียงสนั่นสนุกสนาน วิเวกหวานคร่ำครวญหวนละห้อย
พระไวยฟังวังเวงเพลงทยอย ละเลิงลืมตัวม่อยผอยหลับพลัน ฯ
๏ ครั้นอุทัยไขประเทืองเรืองจำรัส ส่องสว่างกระจ่างจัดแจ่มสวรรค์
พวกคนงานต่างลุกขึ้นปลุกกัน บ้างจัดสรรเทียบเคียงของเลี้ยงพระ
บ้างผ่าฟืนตักน้ำตำพริกขิง ชุลมุนวุ่นวิ่งออกเอะอะ
บ้างซาวหม้อก่อไฟใส่ก้นกะทะ บ้างยกกระบะหยิบกระบวยล้างถ้วยชาม ฯ
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงภพ ดิลกลบล้ำเลิศโลกทั้งสาม
สถิตแท่นสุรกาญจน์ตระหง่านงาม หมื่นหม่อมหมอบตามลำดับไป
ทรงคะนึงถึงพระไวยจะแต่งงาน พร้อมข้าราชการทั้งน้อยใหญ่
อีสร้อยฟ้านั้นจะช้าไว้ทำไม เอาส่งไปให้มันเสียวันนี้
ให้พร้อมหน้าขุนนางกลางสนาม จะได้งามเป็นสง่าราศี
ดำรัสสั่งคลังในไปทันที ให้เบิกผ้ามายี่สิบสำรับ
หวีกระจกเครื่องแป้งแต่งให้ครบ แหวนมรฑปนพเก้างูประดับ
พานหมากนากทองสองสำรับ กับเงินห้าชั่งทั้งโต๊ะพาน
มันจะไปให้ขี่วอม่านลาย เจ้าขรัวนายช่วยไปส่งให้ถึงบ้าน
เร่งรีบไปพลันให้ทันการ ของประทานให้คนขนตามไป
แล้วตรัสว่าสร้อยฟ้าอย่าเป็นทุกข์ ถ้าเฉินฉุกเบื้องหน้าหาทิ้งไม่
ไปเลี้ยงกันให้ดีอย่ามีภัย เมื่อทุกข์ยากอย่างไรมาบอกกู ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมนางสร้อยฟ้า รับพระราชบัญชาก้มหน้าอยู่
น้ำตาไหลหลั่งลงพรั่งพรู แข็งใจจำสู้บังคมลา
เจ้าขรัวศรีสัจจาพาครรไล จึงสั่งให้จัดวอมารอท่า
นางสร้อยฟ้าขึ้นวอลออตา เจ้าขรัวนายนำหน้ามาจากวัง
พวกนางสาวสาวเหล่าโขลนจ่า ก็แบกของตามมาข้างภายหลัง
นางไหมเดินเมียงเคียงระวัง เจ้าสร้อยฟ้านั้นนั่งมาในวอ ฯ
๏ บ้านพระไวยคนผู้อยู่คับคั่ง พระสงฆ์นั่งสวดมนต์อยู่บนหอ
พวกขุนนางน้อยใหญ่ไปช่วยปรอ เจ้าเณรตั้งบาตรรออยู่เรียงรัน
ท่านผู้หญิงวันทองร้องเรียกบ่าว ให้คดข้าวขาวขาวสักค่อนขัน
เอาทารพีตะทองมาสองคัน ช่วยกันยกไปวางกลางนอกชาน
พระหมื่นศรีเข้าเรือนเตือนศรีมาลา ออกมาธารณะเสียหน่อยหลาน
ศรีมาลาอายคนพ้นประมาณ แฝงม่านหน้าม่อยไม่ออกมา
นางวันทองร้องเรียกลูกสะใภ้ แม่แข็งใจไปหน่อยนะแม่หนา
ทำบุญอย่าให้สูญเสียศรัทธา แม่จะเป็นเพื่อนพาเจ้าออกไป ฯ
๏ ครานั้นนารีศรีมาลา ได้ยินแม่ผัวว่าไม่ขัดได้
สำลีพันไม้สอยเช็ดรอยไร สอดใส่สร้อยทรงกะทัดรัด
รู้จัดแจงแป้งผัดพอเรื่อเรื่อ ดังนวลเนื้อในผิวใช่นวลผัด
ใส่แหวนมรฑปนพรัตน์ ห่มผ้าอัตลัดนุ่งริ้วทอง
งามทรงสมหน้าสง่างาม เดินตามแม่ผัวออกนอกห้อง
นางเม้ยรับเคียงข้างคอยประคอง นางเยื้องย่องประจงทรงกายา
เดินออกนอกชานสะท้านใจ พระหมื่นไวยตักข้าวไว้คอยท่า
แล้วส่งคันทารพีให้ศรีมาลา พอสบตาเจ้าก็ม่อยละมุนลง
ศรีมาลาอายใจมิใคร่จะรับ วันทองจับข้อศอกคอยเสือกส่ง
แต่พอกุมเข้าด้วยกันให้มั่นคง ประคองค่อยเทลงในบาตรพลัน ฯ
๏ ศรีมาลากับพระไวยยังใส่ค้าง พอวอวางเข้ามาขมีขมัน
พระหมื่นไวยเรียกหาบิดาพลัน ให้เชิญทั่นท้าวนางไปข้างใน
เจ้าสร้อยฟ้าถึงบ้านแหวกม่านมอง เห็นผัวเมียเขาประคองขันข้าวใส่
ให้เคืองขุ่นงุ่นง่านทะยานใจ แล้วกัดฟันมั่นไว้ไม่วุ่นวาย ฯ
๏ พระกาญจน์บุรีมารับเจ้าสร้อยฟ้า กับเถ้าแก่โขลนจ่าสิ้นทั้งหลาย
นำหน้าพานางย่างเยื้องกราย เชิญขรัวนายไปนั่งข้างหลังโน้น
ใส่บาตรแล้วศรีมาลาเข้ามาเรือน พระไวยเตือนสำรับเลี้ยงจ่าโขลน
ชุลมุนแม่ครัววิ่งหัวโดน จัดสำรับจับกระโถนขันน้ำวาง
ข้างฝ่ายในไว้ธุระพระกาญจน์บุรี จัดแจงมิให้มีที่ขัดขวาง
พระหมื่นศรีคอยระวังข้างขุนนาง พระพิจิตรจัดข้างเลี้ยงพระเณร
ครั้นพระสงฆ์ฉันแล้วลูกศิษย์ถ่าย ถวายจีวรเนื้อดีย้อมสีเสน
พระพิจิตรจัดกระจาดอังคาสประเคน พอจวนเพลพระก็ลาไปอาราม ฯ
๏ จะกลับกล่าวถึงเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง พอเรื่อรางแสงทองผ่องอร่าม
สั่งให้ผูกช้างงาสง่างาม เชือกพวนล้วนดามผ้าแดงดี
สั่งแล้วอาบน้ำชำระกาย เยื้องกรายเข้าไปจับกระจกหวี
ให้คิดแค้นใจตัวหัวอัปรีย์ วิ่งไปสีเอามินหม้อมาพอแรง
ปนเข้ากับน้ำมันแล้วปั้นปีก ยังไม่ดำซ้ำอีกออกเป็นแสง
แต่สิ้นมินหม้อกว่าฝาหอยแครง แล้วลุกมาทาแป้งเข้าเป็นฟาย
นุ่งยกอย่างโบราณก้านแย่ง ห่มส่านสีแดงดูเฉิดฉาย
ดูตะวันพอสว่างขึ้นช้างพลาย บ่าวไพร่มากมายตามพรูมา ฯ
๏ ขุนช้างไสช้างมาเงิ่นเงิ่น โด่งเดินชิดเฉียดเข้าชายป่า
อ้ายเถ้าบัวหัวล้านเป็นควาญมา บ่าวข้าตามแน่นแล่นปะเลง
ข้ามหนองขึ้นเนินดุ่มเดินหรับ เหงื่อซับโซมตัวหัวใสเหน่ง
อ้ายเถ้าล้านควาญท้ายย้ายตามเพลง คร่อมท้ายตะโพ้งเก้งตีตะโพง
ขุนช้างขี่คอกรายขอเกราะ ไสช้างเหยาะเหยาะยักเอวโหยง
ตัดลงตรงกรุงออกทุ่งโทง หัวเป็นเงาโง้งโงกเงกมา
ตัดลงกบเจาเอาช้างข้าม เข้าบ้านมหาพราหมณ์เลี้ยวข้างขวา
ตรงเข้าภูเขาทองเดินท้องนา ถึงกรุงศรีอยุธยาพอกลางวัน ฯ
๏ ขุนช้างวางขึ้นบนหอกลาง พร้อมหน้าขุนนางอยู่ที่นั่น
ขุนนางที่รู้จักทักทายกัน พระไวยผันหน้าค้อนด้วยคิดอาย
ตั้งสำรับเรียงรอบนหอกลาง เลี้ยงขุนนางมหาดเล็กสิ้นทั้งหลาย
ทั้งของเคียงเรียงรินสุราราย ขุนช้างซัดส่านกรายนั่งสุดคน
วางใหญ่ใส่ซ้ำล้วนสามทับ จับตาซ่าซ่านทุกเส้นขน
ปะหมูไก่ใส่สิ้นกินออกซน กระดูกกระเดี้ยวเคี้ยวป่นเป็นแป้งไป
พวกขุนนางเขายุว่าจุ้นจ้าน ยิ่งทะยานยงโย่ยกโถใส่
ฉวยกระโถนปากแตรแร่ออกไป ครอบหัวเข้าไว้เดินเก้กัง
มือปิดก้นป้องหน้าทำตาปรือ เฮ้ยใครดูกูคือท้าวกุฏฐัง
พระนายอายหน้าว่าไม่ฟัง ลุกขึ้นซัดเซซังสิ้นสมประดี ฯ
๏ วันทองได้ยินฮาออกมาดู แสนอดสูดังจะแทรกแผ่นดินหนี
ออกจากห้องร้องตวาดชาติอัปรีย์ ช่างทำได้ไม่มีละอายใจ ฯ
๏ ขุนช้างฟังเมียว่าทำตาปรือ อออือเออข้าหาอายไม่
ลุกขึ้นเต้นตึกตักทำหนักไป แม่เจ้าไวยช่วยมาเป็นวานรินทร์
พี่จะเป็นเจ้าขรัวหัวละมาน หางพานตีนหดไปหมดสิ้น
พี่เคยเป็นตัวนายหลายแผ่นดิน แล้วแลบลิ้นเกาขาคว้าวันทอง ฯ
๏ วันทองผลักไสพระไวยด่า มาเรียกข้าว่าเจ้าไวยไอ้จองหอง
นี่คิดอยู่ข้างหนึ่งจึงลำพอง หาไม่กูกดคอถองให้แทบตาย ฯ
๏ ขุนช้างกำลังเมายืนเกาก้น ทุดอ้ายหมาด่าคนเล่นง่ายง่าย
จองหองจะถองกูฤๅอ้ายพลาย ฤๅเชื่อเช่นว่าเป็นนายมหาดเล็ก
อ้ายชาติอกตัญญูไม่รู้คุณ คือใครแคะค่อนขุนมาแต่เด็ก
ด่าทอพ่อได้อ้ายใจเจ๊ก เมื่อเล็กเล็กใครเลี้ยงมึงเป็นตัว ฯ
๏ พระไวยได้ฟังขุนช้างด่า โกรธาตัวสั่นให้คันหัว
อ้ายล้านจะประจานให้เจ็บตัว วาจาชั่วถอดชื่อกูขุนนาง
เอาละเป็นไรก็เป็นไป ขัดใจกำหมัดซัดปากผาง
วันทองร้องหวีดวิ่งเข้ากลาง ขุนช้างล้มคว่ำคะมำไป ฯ
๏ พวกขุนนางเข้ายึดอยู่อึดอัด พระไวยขัดใจด่าไม่ปราศรัย
วันทองร้องไห้งอว่าพ่อไวย อย่าถือใจคนเมาเลยเจ้าคุณ
ประทานโทษโปรดเถิดพ่อทูนหัว ไม่รู้ตัวเต็มประดาจึงว้าวุ่น
พ่อเงือดงดอดใจจะได้บุญ จงอย่าหุนหันเห็นแก่มารดา ฯ
๏ พระไวยขัดใจว่าเพราะแม่ ทำอย่างนี้มีแต่จะขายหน้า
นี่หากจิตคิดถึงซึ่งมารดา หาไม่ไม่คารนากับฝีมือ ฯ
๏ พระกาญจน์บุรีชี้หน้าว่าวันทอง อ่อน้องเจ้าเป็นวานรินทร์ฤๅ
ช่างไม่อายไม่เจ็บเท่าเล็บมือ แค่นมาโลมให้เขาฦๅเล่นกลางคน
ผัวเจ้าดูถูกด่าลูกข้า ช่างไม่ว่าห้ามปรามกันสักหน
เขาทำผัวตัวเต้นเป็นชักยนต์ แต่ลูกชายอายคนนั้นทำเนา ฯ
๏ วันทองแค้นขัดสะบัดหน้า เอาจะฆ่าก็ฆ่าเสียเถิดเจ้า
หลับหูหลับตามาว่าเดา คือใครเล่าเขาโลมให้คนฦๅ
คะข้าแลอีวานรินทร์โขน เป็นคนโลนเคยเล่นไม่เห็นฤๅ
พูดเหมือนลูกเล็กเล็กเด็กอมมือ นี่คนดีเจียวยังดื้อเป็นคนเมา
ซึ่งว่าชังลูกนักรักสามี ข้าเห็นดีด้วยเจ้าช้างเมื่อไรเล่า
มิควรหมิ่นเขาก็หมิ่นเพราะกินเมา เขาต่อยเอาก็พอสมกับหน้าคน ฯ
๏ ฝ่ายนายขุนช้างค่อยสร่างมึน ลุกขึ้นถกเขมรเพียงง่ามก้น
ชี้หน้าว่าเฮ้ยอ้ายทรชน ต่อยกูปากป่นเพราะตึงตัว
มึงเหมือนทรพีอ้ายขี้ข้า มาไล่ขวิดบิดาบังเกิดหัว
เมื่อน้อยน้อยยังจะนึกรู้สึกตัว กูจิกหัวมึงไปควั่นเอาขอนทับ
มิเชื่อพ่อก็อ้ายพลายคลำท้ายทอย ที่ริมไรนั้นเป็นรอยไม้ซีกสับ
กูคิดว่าจะฉิบหายตายลี้ลับ มิรู้กลับมาได้ทำดุดัน ฯ
๏ ครานั้นพระไวยครั้นได้ฟัง ลำเลิกถึงความหลังแค้นตัวสั่น
ษมาแม่แร่ขึ้นบนหอพลัน ดิฉันบอกกล่าวท่านทั้งปวงไว้
อ้ายใจยักษ์หักคอคนทั้งเป็น เพราะบุญมีหนีเร้นจึงรอดได้
เหน็บรั้งจังก้าเรียกข้าไท เอาหวาอย่าไว้ชีวิตมัน
พวกทนายหนุ่มหนุ่มเข้ารุมถอง เอาจนร้องไม่ออกศอกกลุ้มสัน
ถีบตกลงดินดิ้นยันยัน พวกขุนนางกางกั้นเกะกะไป ฯ
๏ วันทองโผนโจนจากหอนั่งมา วิ่งผวากอดผัวทอดตัวไห้
นิ่งแน่แลเห็นไม่หายใจ นางร้องไห้โฮโฮโอ้พ่อคุณ
ทั้งนี้รักเมียจึงมาช่วย จนมาม้วยบรรลัยอยู่ใต้ถุน
เขาทุบดังทุบปลาไม่การุญ พ่อสิ้นบุญเสียแล้วกระมังนา
ให้คนหามไปวางไว้กลางบ้าน บ้างทะยานขึ้นเหยียบสองต้นขา
จะนวดฟั้นเท่าไรไม่ลืมตา วันทองทอดกายากับสามี
โอ้พ่อร่มโพธิเตี้ยของเมียแก้ว พ่อตายแล้วเมียเห็นจะเป็นผี
อันจะหาน้ำใจในบุรี เห็นสิ้นดีอยู่เพียงพ่อโพธิทอง
แต่อยู่มาเป็นสิบห้าสิบหกปี คำน้อยหนึ่งไม่มีให้เมียหมอง
เมื่อคลอดลูกหนุนหลังนั่งประคอง เห็นเมียร้องพ่อก็ร่ำพิไรวอน
เมื่อคราวเมียจับไข้ไม่กินข้าว พ่อนั่งเฝ้าเคียงคอยตะบอยป้อน
เห็นเมียไม่หลับใหลก็ไม่นอน ครั้นหน้าร้อนพ่อก็พัดกระพือลม
หน้าหนาวหนาวแล่นตลอดอก พ่อกอดกกให้นอนซ้อนผ้าห่ม
ครั้นหน้าฝนฝนฝอยลงพรอยพรม ให้อยู่ร่มปิดรอบหน้าต่างเรือน
อันชายใดในพื้นปัถพี การรักเมียแล้วไม่มีเสมอเหมือน
ถึงรูปชั่วใจช่วงดังดวงเดือน นี่กรรมเตือนให้ตามเมียมาตาย
อนิจจาเมื่อมาผัวเป็นเพื่อน กลับไปเรือนแต่ตัวดูผัวหาย
ร่ำพลางกลิ้งเกลือกลงเสือกกาย ดังจะวายชีวังไปทั้งเป็น
ครั้นโศกคลายคลำผัวตัวยังอ่อน เทพจรเบื้องหลังยังริกเต้น
ทรวงอกอุ่นคลายค่อยหายเย็น เอ๊ะเห็นฤทธิเมาค่อยเบาบาง
สั่งบ่าวให้เอาน้ำร้อนรด ลูบหมดไปทั้งกายให้หายสร่าง
จะกรอกปากไม่ถนัดคัดลูกคาง ประเดี๋ยวครางออกมาได้หายใจแรง ฯ
๏ ขุนช้างฟื้นพลันกัดฟันเกรี้ยว โกรธาตาเขียวร้องเสียงแข็ง
เฮ้ยที่กูจะไม่ว่ามึงอย่าแคลง จะสู้ซนชนกำแพงกว่าจะตาย
ถึงตัวกูบรรลัยกระดูกร้อง อันจะถองเล่นเปล่าเปล่าเจ้าอย่าหมาย
มึงพวกมากฝากไว้เถิดอ้ายพลาย ถ้าเจ้านายไม่เลี้ยงก็แล้วไป
ตัวสั่นเทาเทาเรียกบ่าวข้า จูงมือเมียมาจากบ้านใหญ่
แม่กลับบ้านก่อนอย่าร้อนใจ ผัวจะไปคอยเฝ้าเจ้าชีวิต
วันทองร้องไห้พิไรห้าม จะเกิดความเพ็ดทูลไม่กลัวผิด
คราวนี้เขาโปรดปรานเชี่ยวชาญชิด จงหยุดยั้งชั่งจิตให้จงดี
ขุนช้างว่าถ้าพี่ไม่เมาแล้ว น้องแก้วอย่าปรารมภ์ที่ตรงพี่
ให้เมียมาสุพรรณในทันที ฝ่ายขุนช้างวางรี่เข้าวังใน ฯ
๏ ครานั้นพระไวยวรนาถ ครั้นเสื่อมคลายวายวิวาทค่อยผ่องใส
พวกขุนนางต่างคนต่างลาไป พระไวยมานั่งที่ท้าวศรีสัจจา
เจ้าขรัวนายว่าองค์พระทรงเดช โปรดเกศตรัสใช้ให้พวกข้า
พานางนารีศรีสร้อยฟ้า ออกมาส่งให้พระนายไวย ฯ
๏ ครานั้นพระไวยเจ้าพลายงาม ฟังความยินดีจะมีไหน
น้อมกายกราบถวายบังคมไป แล้วสั่งให้ตอบแทนพวกท้าวนาง
คุณท้าวเจ้าขรัวศรีสัจจา ให้ผ้าส่านขาวดอกกับนอกอย่าง
ให้พวกจ่าตานกแก้วกับขาวบาง พวกโขลนเลวลายฉลางกับริ้วญวณ
นางสาวสาวที่มาตามสามสิบห้า แพรผ้าให้จบจนครบถ้วน
ผู้น้อยผู้ใหญ่ให้งามตามสมควร แล้วก็ชวนกันลาเข้ามาวัง ฯ
๏ พระนายจัดแจงแต่งเคหา ให้สร้อยฟ้าอยู่ครองนั้นสองหลัง
มีม่านฉากชั้นกั้นกำบัง เตียงนอนเตียงนั่งห้องอาบน้ำ
แบ่งปันกันกึ่งครึ่งเคหา มิให้พวกศรีมาลามากรายกล้ำ
ทำฝารอบขอบชิดปิดงำ ให้อยู่จำเพาะพวกเจ้าสร้อยฟ้า
ครั้นงานเสร็จแล้วก็แจกพวกวิเสท ทั้งเงินตราผ้าขาวเทศถ้วนหน้า
มิให้เขาติฉินนินทา จนชั้นข้าในเรือนก็ให้ทาน ฯ
๏ ฝ่ายว่าพระพิจิตรบุษบา ครั้นงานแล้วจะลาขึ้นไปบ้าน
เข้ามาหาพระไวยไชยชาญ ว่าราชการบ้านเมืองนั้นมากมาย
จะไว้ใจหลวงปลัดกรมการ ครั้นนานก็จะพากันฉิบหาย
พ่อแม่ขึ้นมาลาพระนาย แต่ไม่วายทำวนด้วยศรีมาลา
แต่เกิดมาไม่เคยพรากจากอก มาตกอยู่เมืองใต้ไกลหนักหนา
ถ้าพลาดพลั้งยั้งคิดถึงบิดา อนาถาไร้ญาติขาดพงศ์พันธุ์
อนึ่งพระไวยเดี๋ยวนี้มีเมียสอง เห็นจะต้องหวงหึงเป็นแม่นมั่น
กลัวจะตั้งหัวคณะระรานกัน พ่อจงหมั่นตรองดูอย่าวู่วาม
อันจตุระเคหาภิริยาสอง ดูเห็นต้องสุภาษิตประดิษฐห้าม
ไหนจะมีความสบายพ่อพลายงาม ต้องว่าความเมียรักนั้นร่ำไป
ลูกข้าพร้าคัดปากพูดไม่ออก อยู่บ้านนอกไม่ทะเลาะกับใครได้
เพื่อนฝูงเขาด่าว่ากะไร ก็เอาแต่ร้องไห้ไม่เถียงเป็น
เหมือนช้างกล้าป่าเดียวมีสองตัว สองเมียร่วมผัวคงเกิดเข็ญ
ใครเงอะงั่งก็จะนั่งน้ำตากระเด็น พ่อจงเป็นตราชูดูให้ดี ฯ
๏ ครานั้นโฉมพระนายพลายงาม ฟังความประนมก้มเกศี
เจ้าคุณจงไปให้สวัสดี อันตรงที่ศรีมาลาอย่าพรั่นท้อ
ถึงลูกอ่อนไม่ฉลาดจะพลาดผิด ฉันคงคิดถึงคุณแม่แลคุณพ่อ
ฉันรักคนที่ไม่มากปากสอพลอ อันคนฉอดพลอดผลอไม่พอใจ
เจ้าประคุณการุญเป็นหนักหนา ฉันหาลืมวาจาที่ว่าไม่
ทั้งอุปถัมภ์พ่อแม่มาแต่ไร จะสนองคุณไปดังสัญญา ฯ
๏ เออพ่อกตัญญูรู้จักคุณ โมทนาบุญแล้วนะพ่อหนา
ค่อยอยู่เถิดแม่พ่อจะขอลา แล้วลุกมาหาลูกด้วยทันที
ครั้นถึงส้วมสอดกอดลูกแก้ว พ่อจะลาเจ้าแล้วอย่าหมองศรี
จงตั้งใจจงรักภักดี ฝากตัวสามีเจ้าสืบไป ฯ
๏ ครานั้นนารีศรีมาลา กอดตีนบิดาเข้าร้องไห้
ฉวยลำบากยากเย็นจะเห็นใคร พ่อแม่อยู่ใกล้ได้ดูแล
ถึงผัวจะรักสักเท่าไร ก็ยังไม่เหมือนคุณพ่อกับคุณแม่
ถ้าเธอไม่เป็นธรรม์จะผันแปร ตั้งแต่จะระกำทุกค่ำคืน ฯ
๏ ครานั้นท่านยายบุษบา ปลอบลูกสาวว่าอย่าสะอื้น
พ่อแม่ก็ได้สั่งไว้ยั่งยืน หม่อมหมื่นเธอก็รับปฏิญาณ
แต่ใจแม่นี้ยังกริ่งอยู่สิ่งหนึ่ง กลัวจะหึงกันวุ่นวายอายชาวบ้าน
อันเมียสองต้องห้ามตามโบราณ เป็นกับใครก็รำคาญไม่เว้นคน
แม่สอนเจ้ามาแต่น้อยกว่าร้อยพัน สุดสำคัญแต่เพียงอดนั้นเป็นต้น
อย่าทำชั่วเพราะว่าตัวของตัวจน เขาเปรียบเทียบจงสู้ทนต้องเกรงกลัว
ใครจะด่าเจาะจังก็ชั่งเขา จงอดเอาอย่าสำออยคอยฟ้องผัว
อันคนดีนานดอกจึงออกตัว ถ้าคนชั่วเขาคงเห็นเป็นไปเอง
จงอุตส่าห์เสงี่ยมค่อยเจียมตน อย่าให้คนทั้งปวงล่วงข่มเหง
จงซื่อตรงต่อผัวรู้กลัวเกรง อย่าครื้นเครงด่าว่ากับข้าไท
ปรนนิบัติอย่าให้ขัดน้ำใจเขา การเรือนการเหย้าเอาใจใส่
ข้าวของสารพันหมั่นเก็บไว้ ระวังระไวดูแลอย่าแชเชือน
สอนลูกแล้วบอกอีเม้ยรับ สั่งกำชับอีจูจงอยู่เพื่อน
ทั้งอีมีอีรักช่วยตักเตือน เอ็งเป็นคนต้นเรือนมาแต่ไร
แล้วเรียกข้าผู้ชายที่ใช้ชิด ชื่ออ้ายทิดกับอ้ายเต่าเอาไว้ให้
เฮ้ยพลัดบ้านเมืองมาอย่าไว้ใจ ฉวยเกิดเหตุเภทภัยอย่าทิ้งนาย
ว่าพลางส้วมสอดกอดลูกแก้ว แม่จะลาเจ้าแล้วตะวันสาย
แล้วลุกลงเรือนมาทั้งตายาย พระนายก็ตามส่งลงนาวา
พระกาญจน์บุรีศรีมาลามาส่งพ่อ น้ำตาคลอไหลซาบลงอาบหน้า
นั่งชะแง้แลตามจนสุดตา ลับแหลมแล้วก็มายังห้องนอน ฯ
๏ ครานั้นจึงโฉมจมื่นไวย จำเดิมได้อยู่ครองสองสมร
น้ำใจช่วงตละดวงศศิธร สถาพรพูนสวัสดิ์ทุกเวลา
ครั้นสิ้นแสงสุริยงอัสดงดับ ลดลับเหลี่ยมพระเมรุภูผา
พระจันทรจรแจ้งกระจ่างตา ดวงดาราไพโรจน์จำรัสแพรว
เสียงเรไรหริ่งหริ่งนิ่งนอนวัน เสนาะนักจักจั่นสนั่นแจ้ว
หิ่งห้อยพรอยพราวดูวาวแวว อยู่ที่แถวไม้กระถางวางเป็นทิว
แมลงผึ้งคลึงเคล้าเอาเกสร ภุมรินบินร่อนมาลิ่วลิ่ว
เรณูฟูฟ่องละอองปลิว พระไวยฉิวฉุนคิดถึงสองนาง
โอ้ว่าปานฉะนี้ศรีมาลา จะนิทรานิ่งนึกคะนึงหมาง
ว่าพี่นี้คลายรักหักใจจาง จะระคางขุ่นแค้นไม่ขาดคิด
นึกฤๅหนึ่งเล่าเจ้าสร้อยฟ้า นิทราอยู่คนเดียวเปลี่ยวเปล่าจิต
อนึ่งนางยังไม่เคยชายเชยชิด จะไปก่อนเล่าก็คิดถึงศรีมาลา
วันเมื่อจะพรากจากพิจิตร เจ้าก็คิดขอสัตย์ไว้หนักหนา
แต่อักอ่วนป่วนใจอยู่ไปมา จนเวลาเยื้องเยี่ยมสองยามปลาย
พระจันทร์ตรงทรงกลดอยู่หมดเมฆ อดิเรกแพร้วพร่างกระจ่างฉาย
พระหมื่นไวยอาบน้ำชำระกาย แล้วผันผายเข้าห้องของศรีมาลา
เห็นขวัญอ่อนนอนนิ่งสนิทหลับ อัจกลับแสงส่องต้องนวลหน้า
งามทรงสมศรีกิริยา เป็นนวลปลั่งดังทาน้ำยาทอง
พระไวยคิดพิศวาสเพียงขาดจิต เข้าแนบชิดทรุดลงประจงต้อง
ลูบไล้ทั้งหลับประคับประคอง ไฉนน้องเจ้าจึงนิ่งสนิทนอน ฯ
๏ ครานั้นนารีศรีมาลา ลืมตาแล้วก็ลุกขึ้นจากหมอน
เห็นพระนายนึกแค้นด้วยแสนงอน คมค้อนเบือนหน้ามาพาที
หม่อมขามาไยจนค่อนคืน หลับได้ตื่นแล้วฤๅจึงมานี่
เมื่อจะมาลาหล่อนแต่โดยดี ฤๅหล่อนหลับลอบหนีมากระมัง ฯ
๏ อนิจจาแก้วตาของพี่เอ๋ย อย่างอนว่าไปเลยเจ้าร้อยชั่ง
จริงจริงนะจะเล่าให้เจ้าฟัง เมื่อกี้นั่งเล่นอยู่ที่หอกลาง
พระพายพัดหอมหวนรัญจวนใจ ก็เพลินชมมิ่งไม้ในกระถาง
ครั้นหาวนอนแล้วจึงจรมาหานาง ไม่ควรคลางแคลงคำระกำใจ
เมื่อจากมาวันนั้นได้สัญญา หาทำหยามข้ามหน้าของน้องไม่
นี่เปล่าเปล่าเดาว่าน่าน้อยใจ มาปรับไหมจูบนางข้างละที ฯ
๏ ไฮ้หม่อมอย่ามาเล่นฉันเช่นนั้น ไม่น่าขันมาปล้ำทำจู้จี้
นี่แลโจรจับได้ไม่เฆี่ยนตี ถ้าเบาไม้แล้วไม่มีที่จะรับ
กระนั้นสิหม่อมหมื่นจึงขึ้นหน้า เหตุว่าเขาขี้คร้านจะไปจับ
เชื่อว่าใครไม่เห็นเป็นที่ลับ จึงแกล้งกลับมาพาโลทำโพคลุม
หม่อมขาอย่ามาทำจำใจอยู่ ด้วยรูปฉันมันไม่สู้จะชวยชุ่ม
ที่น่าพูดจงไปพลอดนั่งกอดกุม ที่น่าจูบจงไปจุ้มอยู่จนจาง ฯ
๏ ชะคารมคารี้เจ้าศรีมาลา ช่างเจรจาตัดพ้อเล่นทุกอย่าง
พี่ยอมแพ้แล้วไม่แก้สำนวนนาง พลางก็กางมือกอดไว้กับกาย
เกิดโกลาฟ้าลั่นสนั่นเสียง เปรี้ยงเปรี้ยงอสนีคะนองสาย
พิรุณโรยโปรยสาดกระเซ็นปราย พระพายพัดพ่างเพียงพิภพพัง
ลั่นพิลึกครึกครื้นคลื่นละลอก แฉะกระฉอกฟองเฟอะขึ้นฟูมฝั่ง
ตลิ่งกระทบกลบกระแทกกระเทือนดัง พอฝนถั่งลมก็ถอยผอยนิทรา ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ