ศกุนตลา

ช้า ๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทุษยันต์นาถา บรรทมร่มไม้ในพนา ศุขาภิรมย์ฤดี เมื่อยล้าล่าเนื้อตลอดวัน แรมกลางไพรสัณฑ์ศุขี จนจวนจะสิ้นราตรี ภูมีพลิกฟื้นตื่นนิทรา ฯ ๔ คำ ฯ

แขกมอญ ๏ แลดูอรุณไขแสง แสงแดงเรื่อเรืองเวหา ดูแชล่มเหมือนแก้มกัญญา โสภาแรกรุ่นดรุณราม ดาวเดือนเลื่อนลับเวหน สุริยนผ่องพื้นภูมิสาม แสงจับยอดไม้ใบงาม วาม ๆ น้ำค้างเคลือบใบ แสงจับรถแก้วแวววับ แสงจับเกราะทหารน้อยใหญ่ ดูพลสพรั่งพร้อมไป ผ่องใสราวพลเทวัน ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย ๏ จึ่งแต่งองค์ทรงเครื่องเรืองอร่าม แง่งามดังหนึ่งจอมสวรรค์ กรกุมศรงามด้ามสุวรรณ ผายผันมาขึ้นรถทรง ฯ เสมอ ๒ คำ ฯ

๏ ตรัสสั่งเสนาทั้งหลาย ให้แยกย้ายกันเข้าไพรระหง ไล่ต้อนมฤคในพง มาให้ทรงยิงเล่นเช่นวันวาน ทรงรถจรดเลี้ยวไป ตามทางที่ในไพรสาณฑ์ ออกกลางทุ่งแจ้งแหล่งลาน เปนที่สำราญวิญญา ฯ เชิดฉิ่ง ๔ คำ ฯ

(สัตว์ต่าง ๆ วิ่งผ่านไป ท้าวทุษยันต์ยิงตายบ้าง หนีรอดไปบ้าง ในที่สุดมีกวางดำวิ่งออกมา)

กาเรียนทอง ๏ เหลือบเห็นกวางขำดำขลับ งามสรรพสพรั่งดังเลขา งามเขาเปนกิ่งกาญจนา งามตานิลรัตน์รูจี คอก่งเป็นวงราววาด รูปสอาดราวนางสำอางศรี เหลียวหน้ามาดูภูมี งามดังนารีชำเลืองอาย ยามวิ่ง ๆ เร็วดังลมส่ง ตัดตรงทุ่งพลันผันผาย ปิ่นกษัตริย์เร่งรัถพรรณราย กระทั่งถึงชายไพรวัน ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย ๏ พระศะศิพงศ์ลงจากรถราช ยูรยาตร์ตามไปในไพรสัณฑ์ กวางล้าราชาดำเนินทัน กางกั้นหวังจับมฤคิน ฯ เชิดฉาน ๒ คำ ฯ

(ท้าวทุษยันต์ตามกวาง รถสมมตว่าขับตามหลังพระราชานั้นไปห่าง ๆ เมื่อจบน่าพาทย์ลงลา ฤษีตน ๑ ออกมากับศิษย์อีก ๒ คน ฤษียกมือห้าม)

เจรจา

ฤษี – มหาบพิตร์ อย่า อย่า ข้าขอเสียที กวางตัวนี้ได้หนีเข้ามาจนถึงที่เคยพึ่งพำนัก ถ้าทรงศักดิ์จะแผลงศรต้องมฤคนี้ไซร้ ก็เหมือนหนึ่งว่าวางเพลิงลงไปบนกองสำลี เปลวอัคคีคงจะลุกลามไหม้ไปในพริบตาฉันใด กวางอันอ่อนตัวนี้ไซร้แม้ถูกศรก็จะต้องม้วยมรณ์ไปฉันนั้น เก็บลูกศรเสียเถิดทรงธรรม์เอาไว้สังหารเหล่าร้าย เอาไว้ปราบผู้มุ่งหมายทำอันตรายแก่พราหมณาจารย์ ดีกว่าที่จะใช้เพื่อสังหารสัตว์อันหาผิดมิได้

ทุษยันต์ – ข้าขอไหว้พระทรงพรต ลดศรลงตามวาที

ฤษี – ดีแล้วเทวะ เออฉนี้ละชื่อว่าสมเปนบรมกษัตร์ ควรเปนเชื้อปุรุรัตน์ชาติอาชาไนย ขอพระองค์จงทรงมีไชยเจริญอิศริยยศ จงมีโอรสทรงคุณธรรมเปนจักรพรรดิครองปัถพี

ทุษยันต์ – ข้าขอรับพรด้วยยินดีไว้เหนือเกศา อนึ่งขอพระคุณจงกรุณาชี้แจงให้แจ้งใจ พระคุณนี้อยู่แห่งใด ใครเปนคณาจารย์

ฤษี – อาตมะนี้อยู่สำราญณอาศรมในป่านี้ โน่นลำน้ำมาลินีเปนที่โสดสรงองค์พระดาบส นามกัณวะจอมพรตกาศยปพันธุ์ เธอกรุณาแก่สัตว์ทั้งนั้นไม่เลือกหน้า นิ่มนางศกุนตลายอดสงสาร พระมุนีท่านเลี้ยงมานานรักเหมือนดวงใจ นางเอาใจใส่แก่ฝูงสัตว์ที่ในป่า จนนางนั้นเหมือนมารดาเปนที่นิยมรักใคร่ ถ้าแม้พระองค์ไม่มีกิจอันใดก็ขอเชิญสู่อาศรม คงจะได้ต้อนรับตามนิยมอย่างประเพณี เมื่อพระภูมีทอดพระเนตรเห็นแน่ชัด ว่าบริษัทพระดาบสนั้นล้วนสัมมาจารี ก็จะมีพระกมลสันดานเบิกบานเปนยิ่งนัก ว่าพระองค์เปนผู้พิทักษ์รักษาข้าแผ่นดินอันประพฤติงาม

ทุษยันต์ – ดูกรมหาพราหมณ์ ข้าขอถามอีกสักคำ พระมุนีผู้เลิศล้ำในพราหมณวิไสย ท่านอยู่อาศรมฤาไฉน ข้าจะได้รีบไปนมัสการ

ฤษี – พระกัณวาจารย์ผู้ณานกล้าหาอยู่ไม่ เธอได้ไปบูชาพระเปนเจ้าณโสมเตียรถ์ เพื่อบำเพ็ญเพียรเสดาะเคราะห์ร้ายอันจะมากล้ำกลายนางศกุนตลา แต่พระมุนีได้มีบัญชาสั่งนางไว้ให้คอยต้อนรับแขกตามประเพณี ขอเชิญพระภูบดีเสด็จไปยังอาศรมร่มไม้ใหญ่ ฝ่ายตูข้ามีกิจจะตัดไม้ไปทำฟืนเพื่อกองอัคคี ขอทูลลาไปทางนี้เพื่อทำกิจให้สำเร็จ (เข้าโรง)

(ท้าวทุษยันต์ขึ้นทรงรถ)

ร่าย ๏ เมื่อนั้น พระปิ่นโปรพรังสรรค์ ให้เคลื่อนรถทองผ่องสุวรรณ มิชำพลันก็ถึงขอบไพร ฯ ๒ คำ ฯ

โยนดาบ ๏ แลดูที่อยู่พระดาบส งามงดหาที่ติมิได้ ดูน่าภิรมย์ร่มไม้ น้ำใสไหลเย็นเปนขวัญตา โน่นเข้าปลูกไว้ใช้พลี ริมนี้สนามตัดหญ้า ควันไฟที่กูณฑ์บูชา หอมชื่นนาสากลิ่นสุคันธ์ ฝูงกวางย่างเยื้องชำเลืองเห็น ไม่หลีกเร้นเฉยอยู่ดูไม่พรั่น ดูน่าสบายใจครัน ทุกสิ่งสรรพ์ควรแก่พระมุนี ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย ๏ ชมพลางทางสั่งให้หยุดรถ เผยพจน์แด่นายสารถี เข้าเขตร์สถิตย์โยคี ควรมีเคารพแด่มุนินทร์ จำกูจะเปลื้องเครื่องทรง ถ่อมลงซึ่งยศศักดิ์สิ้น เหมือนกูเคารพพรหมินทร์ คงสมถวิลจินดา ว่าพลางลงจากรถราช ยาตร์สู่ร่มไม้ใบหนา ปลดเปลื้องเครื่องทรงอลงการ์ แล้วมาอาศรมพระโยคี ฯ เสมอ ๖ คำ ฯ (ทุษยันต์และสารถีเข้าโรง) ฯ

(นางศกุนตลาและนางพี่เลี้ยงทั้ง ๒ ออก นั่งตามที่)

ช้า ๏ เมื่อนั้น โฉมศกุนตลามารศรี ถึงยามรุ่งแจ้งแสงระวี พลิกฟื้นจากที่ไสยา ฯ ๒ คำ ฯ

หรุ่ม ๏ กลางไพรไก่แก้วแจ้วเสียง ส่งศัพท์สำเนียงก้องป่า ฝูงนกต่างตื่นนิทรา โกกิลากู่ก้องกังวาฬ แก้วกู่เรียกคู่ที่พลัดพราก จากระวากส่งเสียงสำเนียงหวาน กระเวนไพรเริงร้องก้องพนานต์ เสียงนกประสานเสนาะกรรณ แหวกม่านมองดูเวหา เห็นแสงอุษาฉายฉัน แสงอ่อนไม่ร้อนเหมือนตวัน สมกันกับผิวนวลลออง ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย ๏ ลงจากเตียงน้อยค่อยไป ปลุกพี่ทรามไวยทั้งสอง ล้างหน้านุ่งผ้าคากรอง เดินออกจากห้องที่นิทรา ฯ เพลงช้า ๒ คำ ฯ

(เมื่อน่าพาทย์ลงลา ท้าวทุษยันต์ออก ท้าวทุษยันต์ในตอนนี้ถอดชฎา คงมีแต่ผ้าโพกกับเครื่องแต่งผมและมาไลยดอกไม้สด ในระหว่างที่ท้าวทุษยันต์ชมโฉม นางทั้งสามต่างรดต้นไม้)

ร่าย ๏ เมื่อนั้น พระจอมหัสดินนาถา แลเห็นโฉมเฉลาเยาวพา ดูไม่วางตาจับใจ ฯ ๒ คำ ฯ

ชมโฉม ๏ นี่ฤาบุตรีพระดาบส งามหมดหาใครจะเปรียบได้ อนิจจาบิดาท่านแสร้งใช้ มารดต้นไม้พวนดิน ดูผิวสีนวลลอองอ่อน มลิซ้อนดูดำไปหมดสิ้น สองเนตร์งามกว่ามฤคิน นางนี้เปนปิ่นโลกา งามโอฐดังใบไม้อ่อน งามกรดังลายเลขา งามรูปเลอสรรขวัญฟ้า งามยิ่งบุบผาแบ่งบาน ควรฤามานุ่งคากรอง ควรแต่เครื่องทองไพศาล ควรแต่เปนยอดนงคราญ ควรคู่ผู้ผ่านแผ่นไผท ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย ๏ เมื่อนั้น โฉมเยาวนารีศรีใส เดินชมบุบผาทั่วไป อรไทยเรื่อยร้องรำพรรณ ฯ ๒ คำ ฯ

ลมพัดชายเขา ๏ รื่น ๆ ชื่นกลิ่นมัลลิกา หอมชื่นนาสาเกษมสันต์ รื่นๆสุระภีผสมกัน กลิ่นสุคันธ์เย็นฉ่ำช่ำใจ เรื่อย ๆ ลมพัดมาอ่อน ๆ โชยกลิ่นเกษรเข้ามาใกล้ เรื่อย ๆ รศเร้าเย้าฤทัย พาให้ปลื้มเปรมฤดี งามเอยบุบผชาติสอาดครัน ถึงยามวสันต์เปล่งศรี ต่างศุขเกษมเปรมปรีย์ ประหนึ่งว่ามีกิจวิวาห์ ฯ ๖ คำ ฯ

เจรจา

ปิยวาท (พี่เลี้ยง) – นี่แน่ะหล่อนรู้ไหม ว่าเหตุไรแม่ศกุนตลาจึงร้องลำเล่นเช่นนั้น

อนุสูยา (พี่เลี้ยง) – ทำไมเล่าจ๊ะ

ปิยวาท – หล่อนนึกอยู่ในใจ ว่านี่ก็เปนยามวสันต์อันเปนฤดูน่ายินดี ดูแต่ดอกไม้ยังมีวิวาห์กันได้ เหตุไฉนตัวหล่อนเองจะไม่ได้พบได้เห็นคู่รักร่วมใจ

ศกุนตลา – (พูดสอด) นี่หล่อนพูดวุ่นอะไรกันก็ไม่รู้ได้ ช่างกระไรไม่มียางอาย

ปิยวาท – ก็ที่นี่ไม่มีผู้ชาย จะต้องอับต้องอายทำไมกันนะน้องเอ๋ย อันที่จริงก็น่าเสียดายเสียนี่กระไรเลยละเจ้าประคุณ ผู้หญิงงาม ๆ กำลังรุ่นเหมือนแม่ศกุนตลา มาตกค้างอยู่กลางป่า ในหมู่ฤษีชีพราหมณ์ มีแต่สิงห์สาราสัตว์ได้ชมความงามของแม่สาวน้อย

อนุสูยา – จริงนะหล่อน ฉันคอย ๆ อยากให้ใครมาเห็นน้องเรา ฉันเชื่อว่าพอเห็นเข้าคงจับใจ

ปิยวาท – อุ๊ยหล่อนจ๋า นั่นอะไรอยู่หลังพุ่มไม้ เสียงสวบสาบอยู่ตรงนั้น (นางทั้งสามต่างตกใจทำท่าจะหนี)

ร่าย ๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทุษยันต์แกล้วกล้า ออกจากที่แฝงกายา แล้วมีวาจาว่าไป ฯ ๒ คำ ฯ

ขอมกล่อมลูก ๏ ข้าขอโทษอย่าโกรธเลยสาวศรี ความมุ่งร้ายจะมีก็หาไม่ ตูข้าเดินมาหนทางไกล หมายใจจะเข้ามาขอพัก มาเห็นโฉมนางสำอางองค์ คิดชรอยเผ่าพงศ์ผู้มีศักดิ์ แต่ครั้นจะกล่าวถามทัก เกรงว่านงลักษณ์จะรำคาญ ตูข้าเปนเชื้อชาติกษัตริย์ อยู่หัสดินไพศาล ตัวนางผู้ยอดเยาวมาลย์ มีนามขนานฉันใด ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย ๏ บัดนั้น นางอนุสูยาอัชฌาไศรย เห็นศกุนตลายาใจ นิ่งอยู่มิได้ตอบความ จึ่งพูดแทนนางสอางค์ศรี อันที่ท่านมีกระทู้ถาม ข้าจะอธิบายขยายความ เล่าเรื่องนงรามตามท่านซัก ฯ ๔ คำ ฯ

เขนง ๏ นางชื่อศกุนตลา เปนธิดาเกาศิกทรงศักดิ์ กับนางเมนะกายอดรัก จงรู้จักไว้เถิดกำเหนิดดี พระวิศวามิตร์บำเพ็ตพรต ร้อนหมดกระทั่งโกศี จึงใช้เมนะกาเทวี มาทำลายพิธีทรงธรรม์ พะเอินประจวบฤดูกาล บุบผชาติเบิกบานยามวสันต์ เมื่อเห็นนางฟ้าวิลาวรรณ์ ราชันชื่นชมสมฤทัย เมนะกาไม่ช้าคลอดบุตรี ราษีนวลลอองผ่องใส พระกัณวะมุนีเลี้ยงไว้ เทวีกลับไปฟากฟ้า ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย ๏ เมื่อนั้น องค์พระโสมพันธุ์นาถา ชื่นชมสมถวิลจินดา ทราบว่านางเปนกษัตรี สมควรจะเปนคู่ครอง ร่วมห้องวนิดามารศรี จำจะรั้งยั้งใจไว้ที จนมีโอกาสอีกสักวัน คิดพลางทางลานิ่มอนงค์ ตรงกลับเข้าไปในไพรสัณฑ์ เข้าประทับพลับพลาพนาวัน เพื่อผันพักผ่อนอ่อนใจ ฯ เชิด ๖ คำ ฯ

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงพราหมณาจารย์น้อยใหญ่ ตั้งแต่ดาบสเธอไกล มิได้เปนศุขสำราญ ปิศาจชล่ากล้าแขง รุนแรงสามารถอาจหาญ ตั้งหน้าล้างกิจพิธีการ รุกราญข่มเหงคะเนงร้าย จึงปฤกษากันว่าจำเรา ไปเฝ้าภูวนารถฦๅสาย ทูลปิ่นโปรพยอดชาย มอบถวายอาศรมทรงครอง คิดพลางทางแต่งกายา ครองผ้าเรียบร้อยทั้งผอง รีบรัดตัดไปดังใจปอง ถึงที่พลับพลาทองผ่องพรรณ ฯ เชิด ๘ คำ ฯ

(ท้าวทุษยันต์ออกนั่งเตียงเครื่องแต่งผมคงอยู่อย่างเดิม มีเสนาเฝ้าพร้อมตามระเบียบ พราหมณ์พากันวิ่งเข้ามา)

เจรจา

พวกพราหมณ์ – โปรดก่อนเจ้าข้า เจ้าข้าโปรดก่อน ฯลฯ

ทุษยันต์ – อะไรกัน ขอท่านทั้งหลายจงชี้แจงให้เราแจ้งคดี

หัวน่าพราหมณ์ – ข้าพระองค์ทั้งปวงนี้มีความเดือดร้อนเหลือประมาณ ด้วยพระกัณวะคณาจารย์เธอจากสถานนี้ไป พวกอสุรีผีไพรมันทนงองอาจ สามารถมารบกวนเหล่าข้าในเวลาทำพิธี ขออัญเชิญจอมปัถพีผู้ทรงศักดิ์ เสด็จเข้าไปครองสำนักที่พึ่งพักของข้าทั้งหลาย พอให้รากษสใจร้ายยำเกรงพระบารมี ไม่เหิมหาญทำลายพิธีเหล่าข้านี้อีกต่อไป

ร่าย ๏ เมื่อนั้น พระจอมหัสดินรังสรรค์ ได้ฟังระบอบชอบครัน ทรงธรรม์จึ่งตอบวาที อันพราหมณ์ทั้งหลายเชิญเรา เข้าไปช่วยคุ้มกันผี ตัวเรารับเชิญด้วยยินดี สนองคุณมุนีทรงญาณ ว่าพลางทางจับศรทรง ฤทธิรงค์สามารถอาจหาญ พร้อมด้วยพวกพราหมณาจารย์ ไปสู่สถานพระมุนี ฯ เพลงช้า ๖ คำ ฯ

(พราหมณ์เดินเปนกระบวนนำหน้าท้าวทุษยันต์ กับเสนาสนิทรวม ๔ คนเดินตามหายเข้าโรง)

(นางศกุนตลากับพี่เลี้ยงทั้ง ๒ ออกรำพอสมควร แล้วลงลา)

เจรจา

อนุสูยา – แม่ศกุนตลา ดูท่าทางหล่อนจะเหนื่อยกระมัง มาเถิดหล่อนมานั่งเล่นใต้ร่มไม้ พี่ทั้งสองจะโบกพัดให้เย็นสบายดี (สองนางพี่เลี้ยงพัดศกุนตลา)

ศกุนตลา – ฉันขอบใจละคะพี่ทั้งสอง ช่างเอาใจใส่ในตัวน้องดีเหลือใจ แต่ตัวน้องนี้เหมือนเปนไข้ไฟมาสุมอยู่ในอุรา ยามนอนไม่เปนอันนิทราราวกับจะเปนบ้าในครั้งนี้ น้องเคราะห์ร้ายโรคมีดูอกใจไม่อยู่กับตัว ใจหรือสั่นระริกระรัวสุดที่จะพรรณา ถึงจะหาหยูกยามากินมาทาก็ไม่รู้หาย ก็ได้แต่นั่งคอย ๆ จนกว่าจะถึงเวลาตายไปเท่านั้น (โอด)

(ในระหว่างโอด ท้าวทุษยันต์ออกมาแฝงอยู่ที่ต้นไม้ แอบดูและแอบฟังนางทั้งสาม)

ปิยวาท – (พูดกับอนุสูยา) หล่อนจ๋า น้องเรามีอาการป่วยไข้ ฉันมีความสงไสยว่าไม่ใช่โรคธรรมดา เจ้าศกุนตลาเห็นจะต้องศรพระกามเทพเปนแน่แท้

อนุสูยา – อุ๊ยแน่ละหล่อน ฉันเห็นเปนแน่อย่างหล่อนว่า ตั้งแต่ได้ประสบพบพระราชาเจ้านายของเรา แม่น้องน้อยนั่งแต่เศร้าโศกสร้อยละห้อยไห้ ถามหล่อนดูเองเปนไรให้รู้แน่กันเสียสักที (พูดกับศกุนตลา) นี่แน่แม่ศกุนตลาหล่อนบอกพี่จริง ๆ สักหน่อยเถิด โรคของหล่อนนี้บังเกิดแต่ความรักจริงฤาไม่จริง หล่อนจะมานิ่งอยู่ทำไมไม่เปนการ ถ้าเปนจริงพี่จะได้ช่วยคิดอ่านช่วยน้องให้ได้สมถวิลยินดี

ร่าย ๏ เมื่อนั้น เกาศิกสุดามารศรี ได้ฟังทั้งสองนารี จึงตอบพาทีด้วยจริงใจ ฯ ๒ คำ ฯ

พัดชา ๏ พอได้ประสบพบเนตร ทรงเดชโปรพเปนใหญ่ เหมือนศรศักดิ์มาปักกลางหทัย ดวงใจจอดอยู่ที่ภูบาล งามทรงเหมือนองค์เทวราช องอาจสมชายชาติทหาร ซ้ำเสนาะเพราะรศพจมาน อ่อนหวานชื่นใจไม่จืดจาง นึก ๆ ก็อยากเข้าชิด แต่จิตคิดอายอางขนาง ดูไปไม่แลเห็นหนทาง จำใจต้องห่างเหินรัก ทำไฉนจะให้รู้ได้ ถึงดวงหฤทัยทรงศักดิ์ บางทีพระจะไม่จงรัก พระจะไม่พักนำภา ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย ๏ เมื่อนั้น พระปิ่นพงศ์จันทร์หรรษา จึ่งค่อยดำเนินออกมา เผยพจน์วาจาตอบไป ฯ ๒ คำ ฯ

ลินลากระทุ่ม ๏ โฉมนางแน่งน้อยช้อยชด งามหมดหาที่ติมิได้ ฤทธิ์รักจู่จอดยอดใจ คือไฟเผาดวงหัทยา กามเทพทนงองอาจ ผาดแผลงศรแกมบุบผา ศรศักดิ์ปักอยู่แทบอุรา หอมชื่นนาสาน่ายินดี ตั้งแต่ประสบพบสมร จิตพี่นี้ร้อนดังไฟจี้ กลัวแต่เจ้าจะไม่ใยดี พี่จึ่งไม่กล้ามาวอน ถ้ารู้ว่าน้องรักสมัคบ้าง ที่ไหนพี่จะห่างดวงสมร ขอเชยพอวายหายร้อน บังอรอย่าตัดอาไลย ฯ ๘ คำ ฯ

เจรจา

อนุสูยา – ขอเชิญเสด็จประทับ พักผ่อนพระกายให้สบายก่อน พอให้คลายความร้อนในพระวรกาย บนแท่นสิลานั่นแน่เพคะสบาย เย็นไม่มีที่ไหนจะสู้ จึงได้จัดให้เปนที่แม่โฉมตรูมานอนพักอยู่ที่นี้

ทุษยันต์ – (นั่งบนแท่น แล้วพูดยิ้ม ๆ) ขอบใจ จริงของหล่อนสบายดีทั้งร่มทั้งเย็น แต่ทำไมถึงต้องล้อเล่นเช่นนี้ให้น้องหล่อนอาย หล่อนเองก็ยังสาวแส้ แต่ไม่เคยรักผู้ชายบ้างฤาอย่างไร

อนุสูยา – อุ๊ยที่นี่ไม่มีใคร มีแต่พวกฤษีชีป่า ดูแต่แม่ศกุนตลาสิเพคะยังไม่เคยรักผู้ชาย จนพระองค์สิเสด็จกล้ำกลายเข้ามาที่นี้ นางก็จับไข้ไปทันทีจนไม่มียาจะรักษา เห็นอยู่แต่พระจอมภารานั่นแหละจะเปนแพทย์พิเศษพอรักษาได้

ปิยวาท – หล่อนละก็พูดมากเกินไปไม่เข้าเรื่อง ประเดี๋ยวเจ้านายเราก็จะทรงขุ่นเคืองกริ้วเราไม่เข้าการ ที่จริงเราก็มีงานที่ยังจะควรทำต่อไป ไปเถอะหล่อน ไปรดต้นหมากรากไม้กันทางโน้น (สองนางพี่เลี้ยงพากันเข้าโรง)

ร่าย ๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงฤทธิ์อดิศัย นั่งแนบแอบองค์อรไทย ภูวนัยรับขวัญกัลยา ฯ ๒ คำ ฯ

ชาตรีใน ๏ โฉมเฉลา นงเยาว์ยั่วยวนเสนหา กามเทพแผลงศรบุษบา ต้องอุราเรียมไหม้ดังไฟกัลป์ ยามพี่แรกเห็นอนงค์นาง พี่เหมือนกวางต้องศรแทบอาสัญ ยืนนิ่งพินิจพิศพรรณ เลอสรรรูปเรี่ยมเอี่ยมอุไร หอมกลิ่นมัลลิกาจำปาทอง หอมสู้กลิ่นน้องพี่ไม่ได้ หอมกลิ่นบุหงาซาไป หอมกลื่นอรไทยไม่ลาลด รื่น ๆ ชื่นจิตร์ติดอารมณ์ มิได้ชมจิตร์ช้ำแสนกำสด ขอเชิญน้องน้อยช้อยชด เผยพจน์ให้เรียมได้ยินดี ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย ๏ เมื่อนั้น โฉมศกุนตลามารศรี ทำจริตกิริยาท่าที เชิงเช่นนารีผู้มีอาย ลุกจากที่แท่นแผ่นผา แล้วจึงตอบราชาฦๅสาย พระปิ่นโปรพยอดชาย ข้าหรือจะหมายเป็นคู่ครอง ในพระนิเวศน์เขตร์วัง พร้อมพรั่งพระสนมทั้งผอง รู้จักแต่งแป้งผัดนวลลออง เครื่องประดับแก้วทองวราภรณ์ ต่างตนรู้จักปรนิบัติ สารพัดชั้นเชิงเริงสมร ข้านี้ชาวป่าพนาคร ไหนจะสู้บังอรที่วังใน ฯ ๘ คำ ฯ

โอ้โลมใน ๏ ขวัญฟ้า ไฉนหล่อนแสร้งว่าฉนี้ได้ แสนสาวสุรางค์ช่างเปนไร ตัวพี่นี้ไซร้ไม่นำภา ขอแต่ภิรมย์ชมชิด จุมพิศแต่แก้วกนิษฐา เปนคู่สามีภิริยา จนกว่าจะสิ้นชีวัน เจ้าจะหนีพี่ใยไม่เมตตา เหมือนจะแกล้งเข่นฆ่าให้อาสัญ ขอเชิญนั่งเตียงเคียงกัน พอสันต์เกษมเปรมปรีย์ ช่างกระไรใจคอจะเพิกเฉย จะไม่ยอมให้เชยหรือโฉมศรี พี่เหมือนภุมรินขอยินดี ที่กลิ่นเกษรสุมณฑา ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย ๏ เมื่อนั้น นวลนางเยาวยอดเสนหา รศรักรึงรัดหัทยา ฟังคำราชาก็จับใจ ตอบว่าพระองค์ทรงภพ เธอช่างประจบหาน้อยไม่ อนิจจาราชาไม่เกรงใจ เหตุไฉนไม่รอขอมุนี มาลามลวนชวนชักสมัคชม ร่วมภิรมย์กันเองไม่ควรที่ เหมือนผู้หลักผู้ใหญ่นั้นไม่มี มาพูดเองเช่นนี้ไม่ควรการ ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จอมกษัตริย์ตรัสตอบคำหวาน อันองค์กัณวะสิทธาจารย์ พี่เชื่อว่าท่านไม่ขัดใจ ประเพณีคนธรรพ์ในชั้นฟ้า ก็เลือกคู่สู่หากันเองได้ แม้เราปรองดองต้องใจ ควรจะใช้อย่างเยี่ยงคนธรรพ์ น้องจะทำอิดเอื้อนเชือนไฉน ฤาว่าไม่เต็มใจเกษมสันต์ เสียแรงพี่สมัครักครัน น้องฤาจะยืนยันไม่ยินดี สังเกตนางท่าทางไม่ข้องขัด กรกระหวัดวนิดามารศรี ค่อย ๆ ประคองอินทรีย์ มาที่แผ่นผาน่าสำราญ ฯ ๘ คำ ฯ

บุล่ง ๏ คลึงเคล้าเล้าโลมโฉมยง อิงองค์กรกอดยอดสงสาร เหมือนแมลงภู่จู่ดมบุหงาบาน รักสร้านทราบทรวงดวงกมล ลมพัดกลิ่นผกามากลั้ว ฟ้ารั่วโปรยปรอยเปนฝอยฝน มาลินีน้ำใสไหลวน ทั่วทั้งสากลยินดี ฯ โลม แล้วตระนอน ๔ คำ ฯ

ร่าย ๏ เมื่อนั้น พระปิ่นโปรพเรืองศรี แสนศุขเกษมเปรมปรีย์ ภูมีภิรมย์ชมน้อง จนนึกถึงเวลาต้องคลาไคล จำไปเริศร้างห่างห้อง จุมพิศทรามสงวนนวลลออง ตระกองกอดไว้มิใคร่วาง ยากจริง ๆ ต้องทิ้งน้องไว้ ครั้นจะอยู่ต่อไปก็ขัดขวาง พี่ขอให้แหวนไว้แก่นวลนาง เพื่อดูต่างหน้าผัวผู้ตัวไกล เมื่อถึงกรุงแล้วพี่จะจัดแจง แต่งทูตมารับอย่าสงไสย ครั้นจะด่วนชวนเจ้าเข้าไป เหมือนสิ้นความเกรงใจสิทธาจารย์ ตรัสเสร็จรับขวัญกัลยา อนิจจาจำจากยอดสงสาร ค่อยจรจากมิ่งเยาวมาลย์ ภูบาลมาขึ้นรถทรง ฯ โอด แล้ว ทยอย ฯ ๑๐ คำ ฯ

(นางศกุนตลาเข้าโรง แล้วเขนและเสนาของทุษยันต์ออกมาตั้งแถวพร้อมด้วยรถ)

ร่าย ๏ ให้คลาขบวนพยุหบาตร์ ลีลาศเข้าสู่ไพรระหง ตวันรอนอ่อนแสงอัษฏงคต์ พระศศิพงศ์ว้าเหว่ในฤดี ฯ ๒ คำ ฯ

ม้าย่อง ๏ เดินทางมากลางป่าชัด จอมกษัตริย์คำนึงถึงโฉมศรี กลิ่นหอมกระหลบอบอินทรีย์ หอมไหนไม่มีจะเปรียบนาง ต้องมาคนเดียวเปลี่ยวอก หนาวสทกกลางไพรใหญ่กว้าง เจ้ามาด้วยจะได้ช่วยกันชมทาง พูดเล่นกันพลางพอสำราญ ยิ่งคิดยิ่งยอกทรวงโศก วิโยคใจจอดยอดสงสาร รีบเร่งพลไกรมิได้นาน คืนเข้าสถานธานี ฯ เชิด ๖ คำ ฯ (หายเข้าโรง)

(เสมอเถร พระกัณวะออกนั่งเตียง)

ช้า ๏ เมื่อนั้น พระกัณวาจารย์มุนีศรี สถิตย์ยังฝากฝั่งมาลินี พระโยคีนิ่งนึกตรึกไตรฯ ๒ คำ ฯ

ตามกวาง ๏ วันนี้ฤกษดีเปนศรีวัน สุริยันเรืองรองผ่องใส ควรศกุนตลายาใจ จะเข้าไปเฝ้าพระภัศดา นึกอาไลยลูกน้อยกลอยสวาดิ์ ไม่เคยคลาดแคล้วไปไกลเคหา สู้ถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมา คิดไปชลนาก็หลั่งริน ธิดาไกลใจพ่อจะโศกเศร้า จะเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวไปหมดสิ้น ครั้นจะหน่วงลูกไว้ดังใจจินต์ ก็เหมือนสิ้นเมตตาปราณี ธรรมดานารีต้องมีผัว จะมามัวหวงไว้ไม่ควรที่ จำเราจะส่งบุตรี ไปสู่ที่นัคเรศนิเวศน์วัง ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย ๏ คิดแล้วจึ่งเรียกโคตมี มาพาทีกำชับสรรพสั่ง ให้แต่งตัวธิดาอย่ารอรั้ง พาไปส่งที่ยังวังใน ฯ ๒ คำ ฯ

เจรจา

กัณวะ – (เรียก) โคตมี

โคตมี – (ขานจากในโรง) เจ้าขา

กัณวะ – ออกมานี่หน่อยเถิด

(นางโคตมีพราหมณี ออกมา)

กัณวะ – นี่แน่โคตมี วันนี้กูไปนั่งดูศิษย์บำเรอกูณฑ์ เอาท่อนฟืนเพิ่มพูนจนเปนควันกลุ้มไป แต่ถึงกระนั้นก็หยอดเปรียงลงได้เหมาะตรงกลาง กูคิดดูก็เห็นท่าทางเปนลางดี ไม่ควรให้ศกุนตลานารีเจ้าลห้อยคอยอีกต่อไป เจ้าจงพาเจ้าหล่อนเข้าสู่วังในให้ได้บำเรอพระภัศดา สมดังประเพณีการอาวาห์อย่างมหามงคล เจ้าจงไปแต่งตัวนฤมลให้งามงด ให้สมเปนนารีมียศผู้บริจาพระจอมไผท กูจะให้มิศระพราหมณ์คุมไปกระทั่งถึงมหานคร ไปเถิดไปอย่าเพ่อให้ทันร้อน จะได้เดินทางไปสบาย ฯ

ร่าย ๏ บัดนั้น โคตมีเคารพนบไหว้ กราบลาพระสิทธาคลาไคล เข้าไปหามิ่งนารี ฯ เสมอ ๒ คำ ฯ

(พระกัณวะเข้าโรง นางอนุสูยากับนางปิยวาทออกมานั่งจัดดอกไม้)

เจรจา

โคตมี – เออแม่สาว ๆ แม่ศกุนตลาอยู่ไหน

ปิยวาท – หล่อนไปไหว้พระภควดีที่ในกุฏิแน่ะคะป้า

โคตมี – ดีแล้ว หล่อนมีความศรัทธาเลื่อมใสในพระภควดี วันนี้พระมุนีท่านว่าฤกษดี ท่านว่าจะให้ส่งแม่ศกุนตลาเข้าไปในวังใน

ปิยวาท – (พูดกับอนุสูยา) อุ๊ยตายจริงหล่อน จะว่ากระไร กรรม ๆ จริงเจียวละ

โคตมี – หล่อนทำไมพูดเช่นนั้น น่าอัศจรรย์นักหนา แล้วก็ทำไมต้องทำหน้าตาตื่นเช่นนั้น มีเรื่องราวอะไรกัน เล่าให้ป้าฟังสักที

ปิยวาท – เรื่องนะมี แต่ไม่ใช่เรื่องของดิฉันดอกคะป้า ถามแม่อนุสูยาหล่อนดูดีกว่ากระมัง

อนุสูยา – เอาเถอะคะ ฉันจะเล่าให้ฟัง เพราะป้าก็เปนผู้หลักผู้ใหญ่ เมื่อพลาดพลั้งในข้อใดก็ขออภัยเถิด เมื่อหลายเวลามานี้ได้เกิดเหตุร้ายอันน่าหวาดหวั่น

โคตมี – เอ๊ะ เกิดเหตุการอะไรกัน ทำไมไม่มีใครรู้

อนุสูยา – เพราะเวลานั้นเปนเวลาเช้าตรู่ยังไม่มีแสงตวัน ตัวดิฉันกับปิยวาทถือกระจาดไปเก็บดออกไม้ เดินไปไม่ได้ถึงไหนก็ได้ยินเสียงสำเหนียก เสียงผู้ชายมาร้องเรียกที่น่าบรรณศาลา เวลานั้นแม่ศกุนตลาหล่อนเปนน่าที่รับรอง แต่หล่อนนอนอยู่ในห้องเพราะหล่อนไม่สบาย ใจดิฉันจึงรีบไปหมายจะต้อนรับแทนสักที ยังมิทันจะไปถึงที่ พระฤษีก็เปล่งสิงหนาท

โคตมี – ฤษีไหน ?

อนุสูยา – พระทุรวาส

โคตมี – อุ๊ยเจ้าประคุณร้อนราวกับไฟ

อนุสูยา – จริงละเจ้าคะ เมื่อดิฉันไปจนเกือบจะถึงที่ ได้ยินเสียงพระมุนีประกาศแช่งด้วยเสียงอันดัง

โคตมี – กรรมจริง!

อนุสูยา – ดิฉันได้ฟังก็ขนลุกขนพอง สงสารแม่นิ่มน้องนอนแน่วอยู่ห้องใน

โคตมี – พระมุนีท่านว่ากระไร หล่อนจำได้ก็จงว่ามา

อนุสูยา – ท่านแช่งว่า “แม้เวลานี้มึงใฝ่ฝันถึงผู้ใด ผู้ที่ใจมึงมัวพะวงหลงรักอยู่ณบัดนี้ จนไม่เอาใจใส่ไยดีต่อโยคีผู้ทรงพรต จนลืมหมดซึ่งน่าที่ต้อนรับแขกผู้แปลกมา ขอผู้นั้นจงลืมหน้าถึงแม่เห็นก็อย่าจำได้ เหมือนคนเมาสุราซึ่งพูดอะไรไว้เมื่อยามเมา รุ่งขึ้นเช้าส่างแล้วก็ลืมหมดฉนั้นเถิด”

โคตมี – อนิจจา ว่าตะพัดตะเพ็ดไปไม่คิดสงสาร แต่องค์พระสิทอาจารย์องค์นี้ท่านเจ้าโทโสหาที่สุดมิได้ เออก็แล้วหล่อนทำอย่างไร ?

อนุสูยา – ดิฉันก็รีบไปวิงวอน แต่เธอกริ้วโกรธเหมือนไฟฟอนเดินดุ่มไปไม่ดูหน้า ดิฉันสู้ตามไปวันทาขอโทษแทนแม่น้องรัก ในชั้นต้นเธอก็กึกกักจะไม่ยอมฟังเสียให้ได้ ดิฉันเข้ากอดตีนท่านไว้จนท่านค่อยวายหายโกรธลง

โคตมี – เออแล้วก็อย่างไร ?

อนุสูยา – ดิฉันเรียนตรง ๆ ว่าแม่ศกุนตลาโฉมตรู จะตั้งจิตร์ลบหลู่ดูแคลนก็หามิได้ หล่อนมีโรครักหนักใจแสนจะละห้อยสร้อยเศร้า ไม่ทราบเลยว่าพระผู้เปนเจ้ามาถึงบรรณศาลา ถ้ารู้แล้วคงออกมาวันทาด้วยความเคารพอย่างดี เพราะหล่อนนับถือองค์พระมุนีนั้นเปนยอดยิ่ง

โคตมี – เออหล่อนช่างพูดจริง ๆ และท่านตอบว่ากระไร

อนุสูยา – ว่า “ไม่แกล้งก็แล้วไป กูพอจะให้อภัยสักที แต่คำพูดของกูตะกี้ลั่นไปแล้วจะคืนมิได้ แต่เอาเถอะถ้าเมื่อใดนางไปพบกับสามี เมื่อเขาเห็นแหวนมณีที่ให้ไว้เมื่อจากกัน เมื่อนั้นแลให้เขารู้สึกรำฦกถึงเมื่อร่วมรัก แล้วก็รู้จักจำได้รักใคร่กันมั่นคง”

โคตมี – ก็นางได้พระธำมรงค์ของราชาไว้ฤๅเปล่า

อนุสูยา – ได้เจ้าคะ เดี๋ยวนี้นงเยาว์ก็สรวมอยู่ทุกคืนวัน

โคตมี – ถ้าเช่นนั้นจะเปนไรไป ไม่ต้องวิตกวิจารณ พอพระภูบาลเห็นพระธำมรงค์ก็คงทรงจำได้ แล้วศกุนตลานั้นอย่างไรรู้เรื่องหรือเปล่า

อนุสูยา – ไม่รู้เจ้าคะ ดิฉันไม่ได้เล่าให้หล่อนฟัง กลัวว่าทราบแล้วก็จะนั่งแต่วิตกวิจารณไม่เข้าที

โคตมี – ดีแล้ว ไม่รู้ก็ดี จะได้ไม่หนักอกหนักใจ แต่เมื่อเดินทางไปกลางไพรป้าจะคอยป้องกัน มิให้ธำมรงค์วงนั้นไปตกหาย จะเกิดความ เออก็นี่แม่โฉมงามเมื่อไรหล่อนจะมา

ปิยวาท – อุ๊ยคุณป้า แม่ศกุนตลาอายุจะยืนตั้งหมื่นปี พอพูดถึงก็มานี่ ดูหน้าตาก็เบิกบาน

(ศกุนตลาออกมา เห็นนางโคตมีก็ไหว้)

โคตมี – นี่แน่แม่หลาน ป้านำข่าวอันดีมา เดี๋ยวนี้องค์พระบิดาจะให้พาเจ้าเข้าไปวัง มาเถิดอย่ารอรัง รีบจัดแจงแต่งตัว ให้งามตลอดตั้งแต่หัวทั่วถึงเท้า จึงควรแก่พระผ่านเผ้าผู้เปนพระปิยสามี

ศกุนตลา – (ไหว้แล้วพูด) นี่ก็เห็นชัดว่าพระลักษมีทรงการุญ ตัวหลานนี้มีบุญจึงได้เปนบาทบวริจา พระจอมกษัตริย์ราชาปิ่นจันทรวงศ์ ดิฉันตั้งใจจะปรนิบัติพระองค์ให้สมที่ทรงเมตตา

โคตมี – ดีแล้วแม่ศกุนตลา ป้าก็พลอยดีใจ นี่แน่แม่เล็ก ๆ อย่าร่ำไรช่วยกันหยิบแป้งน้ำมันหอม

อนุสูยา – ดิฉันเตรียมไว้พรั่งพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง

โคตมี – ถ้าเช่นนั้นมาช่วยกันแต่งนางอย่าให้เนิ่นนานต่อไป

ชมตลาด ๏ ชำระสระสนานสำราญองค์ ขัดศรีโฉมยงผ่องฉวี สุคนธ์ทาลูบไล้อินทรีย์ หอมกลิ่นมาลีที่ปรุงปน จัดแต่งเกศาผกาแซม ผัดหน้าแชล่มด้วยแป้งป่น อัญชันทาคิ้วนฤมล ใครยลก็ย่อมพึงใจ นุ่งผ้ายกทองผ่องพรรณ ซึ่งนางฟ้าจัดสรรเอามาให้ ห่มผ้าปักทองผ่องอุไร วิไลยเหมือนอย่างนางฟ้า ประดับรัตนาวราภรณ์ ทองกรธำมรงค์มีค่า งามลม่อมพร้อมพรั่งทั้งกายา ดวงสุดาไปเฝ้าพระทรงพรต ฯ เพลง ๘ คำ ฯ (พระกัณวะออกมานั่งเตียง)

ร่าย ๏ เมื่อนั้น พระกัณวาจารย์ดาบส เห็นศกุนตลามาประณต จึ่งมีมธุรศวาที ฯ ๒ คำ ฯ

จีนขวัญอ่อน ๏ ดูก่อนเจ้าศกุนตลา ผู้ยอดเสนหามารศรี ขอเจ้าจงได้อยู่ดี ทั้งมีความสุขทุกคืนวัน ขอให้ปิ่นโปรพภพนารถ บำรุงเลี้ยงสุดสวาดิ์เกษมสันต์ จงมีโอรสเดชอนันต์ เปนจอมจักรพรรดิ์ฤๅไชย ดูก่อนเทวาทุกราษี พระพนัสบดีเปนใหญ่ ข้าขอฝากองค์อรไทย อย่าให้มีภัยแผ้วพาล จงคุ้มครองนางหว่างวิถี จนถึงธานีไพศาล ขอองค์ลักษมีนงคราญ ช่วยภิบาลเอื้อเฟื้อทุกเวลา ฯ ๘ คำ ฯ

พราหมณ์เข้าโบถ ๏ อนึ่งพึงจำคำสอน บังอรผู้ยอดเสนหา จงเฝ้าปรณิบัติภัศดา อย่าทำให้ข้องขัดใจ ถึงแม้เธอมีเมียอื่น สักพันหมื่นตัดหึงให้จงได้ อย่าปากจัดคัดง้างกับผู้ใด ตั้งใจมั่นอยู่ด้วยภักดี จงตั้งจิตรเมตตาแก่ข้าทาส อย่าตวาดอย่าบ่นจู้จี้ ใครผิดค่อยสอนค่อยตี ใครดีบำเหน็จให้ควรการ อย่าเห็นแก่ตัวมัวหาศุข ท่านทุกข์เจ้าทุกข์ด้วยกับท่าน เมียดีเปนที่ชื่นบาน เมียคร้านเปนเสนียดครอบครัว ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย ๏ เมื่อนั้น เยาวมาลย์นบนิ้วเหนือหัว อาไลยใจสั่นระรัว เนื้อตัวเยือกเย็นทั่วไป แขงใจกราบลาสิทธาจารย์ แสนสงสารชลเนตร์หลั่งไหล แขงขืนฝืนจิตรอรไทย ออกไปนอกบรรณศาลา ฯ โอดแล้วเสมอ ๔ คำ ฯ (พระกัณวะเข้าโรง)

ปราสาททอง ๏ โอ้อกเอ๋ยอกฟกอนาถ จำนิราศจากแหล่งเสนหา จำจากพี่รักหักอุรา จำจากเคหาที่เคยนอน ให้อาไลยกวางน้อยกลอยสวาดิ์ ไม่เคยขาดยามกินมาให้ป้อน โอ้อาไลยบุบผาอรชร มลิซ้อนสุรภีที่เคยชม เมื่อยามศุขเคยศุขด้วยสองพี่ ช่วยกันเก็บมาลีมาแต่งผม ที่เหลือผูกเปนช่อพอไว้ดม พอรื่นรมย์ริมฝั่งมาลินี ยิ่งคิดไปอาไลยไปทุกอย่าง จนไม่อยากเหินห่างไปจากที่ สร้วมสอดกอดสองภคินี แล้วตามโคตมีลีลา ฯ เชิดฉิ่งโอด ๘ คำ ฯ

(นางศกุนตลากอดนางพี่เลี้ยงทั้งสองล่ำลากัน แล้วนางศกุนตลาไปกับนางเถ้าโคตมี พรามณ์สองคนเดินนำทาง นางพี่เลี้ยงเข้าโรงไปก่อน แล้วพวกศกุนตลาเดินรอบ แล้วจึงหายเข้าโรง)

(ท้าวทุษยันต์ออกนั่งเตียง มีเสนาเฝ้าตามระเบียบ แล้ววาตายนผู้เป็นมณเฑียรบาลจึงคลานเข้ามาถวายบังคม)

เจรจา

วาตายน – ขอเดชะ บัดนี้มีพราหมณ์สองตนกับนารี ว่ามาจากสำนักนิ์พระมุนีที่ริมเขาหิมาลัย จะขอเผ้าพระภูวนัยโดยรับฉันทะพระกัณวาจารย์ ทั้งนี้สุดแท้แต่พระภูบาลจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า

ทุษยันต์ – เออ ก็บอกโสมราตปุโรหิตของเราให้ต้อนรับตามประเพณี แล้วเชื้อเชิญให้เข้ามาในนี้ รีบไปอย่าช้า

วาตายน – พิจะค่ะ (เข้าโรงไป)

(เสมอ วาตายนนำโสมราตปุโรหิต นางโคตมี นางศกุนตลา และมิศระพราหมณ์ทั้งสองมาสู่ที่เฝ้า)

ร่าย ๏ เมื่อนั้น พระจอมหัสดินนาถา ปราไสยสองพราหมณ์ตามอัชฌา แล้วมีวาจาถามไป ตัวท่านเปนทูตพระดาบส พระทรงพรตอยู่ดีหรือไฉน ฤาว่ามีเหตุเภทภัย ร้ายดีอย่างใดแจ้งคดี ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองพราหมณ์ตอบจอมบุรีศรี องค์พระกัณวะมุนี เธอนั้นอยู่ดีไม่มีภัย เธอให้พาธิดาโฉมฉาย มาถวายทรงฤทธิ์อดิศัย อิกทั้งสั่งทูลพระทรงไชย ขอให้ทรงสดับวาจา ฯ ๔ คำ ฯ

สามไม้ใน ๏ พระจันทรวงศ์ทรงขรรค์ กับนางนวลจันทร์เสนหา ได้ร่วมรักสมัคสมานมา พระสิทธายินยอมด้วยยินดี พระภูมินทร์เปนปิ่นโปรพ เกียรติกระหลบทั่วธรณีศรี โฉมศกุนตลานารี คือสัตรีผู้ยอดนงคราญ พระพราหมาเมตตาทั้งสองศรี จึงบันดาลสวัสดีสองสมาน ขอพระองค์จงรับเยาวมาลย์ ไว้ฐานชายาร่วมฤทัย ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย ๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทุษยันต์เปนใหญ่ ทอดพระเนตร์โฉมงามทรามไวย ภูวนัยฉงนสนเท่ห์นัก เดชะคำแช่งทุรวาส ภูวนารถพิศดูไม่รู้จัก จึ่งตรัสว่าโฉมยงนงลักษณ์ ผ่องภักตร์ผิวพรรณดังจันทรา แต่กษัตร์ฤาว่าจะเปนชู้ ชิงคู่ชายอื่นเสนหา ที่จริงนางงามครันเปนขวัญตา แต่จะเคยเห็นหน้านั้นไม่มี ตัวเราเปนเผ่าพงศ์กษัตริย์ จะรับนางเซซัดไม่ควรที่ ไฉนพราหมณ์ตู่เล่นกันเช่นนี้ ข้ามิใช่สามีของนวลจันทร์ ฯ ๘ คำ ฯ

เจรจา

ทุษยันต์ – นี่แน่พราหมณ์ ท่านมีพยานของท่านอย่างไร ว่าตัวเรากับนางนี้ไซร้ได้ร่วมรักสมัคกัน

โคตมี – – กระหม่อมฉันจะทูลเตือนพระองค์ บางทีจะค่อยคลายความงวยงงทรงจำได้ พระองค์เสด็จไปประพาศไพรริมฟากฝั่งมาลินี พระองค์ประสบพบแม่สาวนี้ก็ทรงเปนที่พอพระไทย

ทุษยันต์ – เอ๊ะ นี่อย่างไร ดูเรื่องราวน่าอัศจรรย์

มิศระพราหมณ์ผู้ ๑ – พระองค์ทรงธรรม์วายพระเมตตาต่อนางนี้ แล้วจะเลยขับไล่ไม่ใยดีไม่รับรอง ดูจะผิดทำนองคลองราชธรรมจริยา

ทุษยันต์ – ขออภัยเถิดพราหมณ์ ท่านพูดบ้าจะปราถนาผลอะไร

พราหมณ์ – เช่นนั้นสิ ผู้เปนใหญ่ก็มัวเมาแต่ในอำนาจ จนพระไทยก็สามารถจะพลิกจะหันไปรอบข้าง

ทุษยันต์ – เออ ท่านนี้พูดขวาง แต่ท่านเปนพราหมณ์เราต้องตามใจ ท่านจะพลิกแพลงแสร้งว่าอย่างไรก็ตามแต่ใจจะว่า

พราหมณ์ – – นี่แน่แม่ศกุนตลา หล่อนทูลเองบ้างเถิดเปนไร

ร่าย ๏ เมื่อนั้น เกาศิกานารีมีขวัญ เพ่งตรงองค์ท้าวทุษยันต์ รำพรรณตัดพ้อพาที ฯ ๒ คำ ฯ

คำหวาน ๏ โอ้ว่าทรงภพโปรพราช องอาจดังพระยาราชสีห์ เสด็จยังฟากฝั่งมาลินี แทบที่สำนักสิทธาจารย์ รื่น ๆ ชื่นจิตร์ติดนาสา หอมกลิ่นมัลลิกาอ่อนหวาน ภุมรินกลั้วกลิ่นสุคนธาร กลิ่นประสานรสรักสมัคกัน โอ้ว่าบุษบากลิ่นหอมโหย มาราโรยราวสิ้นยามวสันต์ โอ้รักหักได้ในเร็วพลัน ยังมิทันจะได้กี่เดือน ฯ ๖ คำ ฯ

โอ้ปี่ ๏ โอ้ศกุนตลานิจจาเอ๋ย กระไรเลยอาภัพยิ่งกว่าเพื่อน เสียแรงรักมั่นใจไม่แชเชือน รักมาเลือนลับไปไม่นำภา ฯ โอด ๒ คำ ฯ

ร่าย ๏ เมื่อนั้น จอมกษัตริย์ตรัสตอบคำว่า นางนี้ช่างพูดเต็มประดา กลางป่าใครฝึกฝนนาง ดูดู๋ชุลมุนวุ่นวาย ช่างไม่นึกลอายแก่ใจบ้าง ขอเลิกเพียงนี้ทีเถิดนาง จะเปนอย่างเยี่ยงชั่วต่อไป ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมงามจึ่งแจ้งแถลงไข ข้ามีธำมรงค์ทรงไชย ประทานไว้เพื่อเปนพยานรัก แต่ครั้นมองดูที่นิ้วหัตถ์ ไม่เห็นแหวนเพ็ชร์รัตน์ของทรงศักดิ์ หน้าเผือดเลือดหมดจากผิวภักตร์ นงลักษณ์ปิ้มว่าจะวายปราณ ฯ ๔ คำ ฯ

เจรจา

ศกุนตลา – ป้าคะ พระธำมรงค์หายเสียแล้ว จะทำอย่างไร

โคตมี – ป้ายังเห็นหล่อนใส่อยู่ตลอดเวลาที่เดินทาง มาตลอดเมื่อกลางป่าป้าคอยระวัง จนกระทั่งถึงศจิเตียรถ์ที่หยุดพักหล่อนวักน้ำพระยมุนาที่น่าเทวสถาน แหวนคงตกอยู่ที่ศักราวตารนั้นแน่ละหล่อน

ร่าย ๏ เมื่อนั้น พระทรงภพตบหัดถ์ฉาดฉาน ชะ ๆ เก่งแท้แม่ตัวการ องค์พยานของเจ้าลืมเอามา เจ้าอยากได้ราชาเปนสามี จึ่งแสร้งแต่งวาทีเหิมกล้า รูปร่างกระทัดรัดไม่ขัดตา เสียนแต่บ้ากามาไม่มีอาย ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วนิดากล่าวตอบพระฦๅสาย พระองค์เองไม่มียางอาย พูดง่ายย้อนยอกกลอกคำ มาหลอกชมดมเล่นเสียเปล่า ๆ ทิ้งข้าคอยสร้อยเศร้าทุกเช้าค่ำ เด็ดดอกไม้ไปดมชมจนช้ำ ไม่ต้องจดต้องจำนำภา เหมือนผู้ร้ายย่องเบาเข้าลักทรัพย์ กลัวเขาจับวิ่งปร้อไม่รอหน้า จงทรงพระเจริญเถิดราชา ช้าขอลาแต่บัดนี้ไป ฯ ๖ คำ ฯ

เจรจา

ทุษยันต์ – เออนางคนนี้วาจาจัดจ้านเกินประมาณเต็มที นี่แน่นางเถ้าพราหมณีและพราหมณ์ทั้งสอง นางนี้เรามิได้มุ่งปองปราถนาเอามาไว้ จงรีบพากันกลับไป ถ้าหาไม่จะเกิดเคืองกัน

โสมราต – ช้าก่อนพระทรงธรรม์ ข้าขอทูลเตือนพระภูบาล ด้วยราชครูโหราจารย์ได้กล่าวทำนายถวายไว้ ว่าพระองค์ผู้ทรงไชยจะมีพระราชโอรส อันฦๅชาปรากฏเปนจักรพรรดิครองปัถพี ข้าขอรับนางนี้ไปไว้ยังเรือนข้า บัดนี้นางศกุนตลาก็ทรงครรภ์ ถ้าแม้กุมารที่คลอดมานั้นต้องลักษณมหาบุรุษ มีลวดลายวงจักร์ผุดขึ้นที่หัดถ์และบาท ข้าจะถวายอภิวาทน์ยอมรับนางเปนเทวี จะอันเชิญมาด้วยดีจนกระทั่งมณเฑียรทอง แต่ถ้าแม้กุมารนั้นไม่ต้องด้วยลักษณพระจักรพรรดิ ข้าก็จะได้จัดส่งตัวนางนี้คืนไป

ทุษยันต์ – ทั้งนี้ก็ตามแต่ใจ แล้วแต่ท่านจะเห็นชอบ เราขอมอบให้ท่านจัดการตามแต่ท่านปราถนา

ร่าย ๏ บัดนั้น โสมราตธชีผู้ใหญ่ บังคมลาพระองค์ทรงไชย พานางไปจากปรางค์รัตนา ฯ พราหมณออก ๒ คำ ฯ (ท้าวทุษยันต์และคนอื่นๆ เข้าโรงหมด คงเหลือแต่โสมราตกับนางศกุนตลา)

เจรจาโขน ๏ โสมราตผู้มีปัญญาเห็นศกุนตลานั้นร่ำไห้ สงสารนางนี่กะไรแสนอาภัพอับจน ถ้าแม้นิ่มนฤมลนี้กล่าวมาเปนความสัตย์ ขอให้มีลางปรากฏชัดแก่นัยนาในครานี้ พอขาดคำเถ้าธชีก็เห็นถนัดมหัศจรรย์ เวหาคลุ้มชอุ่มควันเหมือนเมฆฝนบังทินกร แล้วมีเทพอับศรลงมาจากบนฝากฟ้า โอบอุ้มศกุนตลาขึ้นสู่สวรรค์ในทันใด บัดนั้น ฯ รัว ฯ (นางฟ้ามาอุ้มศกุนตลาไป โสมราตตกใจยืนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้ววิ่งเข้าโรง)

(คราวนี้มีตอนตลกเล่น ดำเนินเรื่องด้วยคำพูดต่อไป คือพอจบน่าพาทย์มีราชบุรุษ ๒ คน ลากตัวกุมภิลชาวประมงออกมา แลคำพูดต่อไปนี้ ถึงแม้ตัวลครจะจำไม่ได้ขึ้นใจ ก็ควรให้ได้เนื้อความ เพราะถ้ามิฉนั้นจะเสียเนื้อเรื่อง)

ราชบุรุษที่ ๑ – (ตีพลางลากพลาง) เดินเร็ว ๆ หน่อยไม่ได้

กุมภิล – โอย ไม่ต้องตีดอกพ่อเจ้าประคุณ ฉันจะไปดี ๆ นี่จะพาฉันไปไหน

ร,บ, ๑ – ก็พาไปหานายน่ะสิ (ตะโกน) นายขอรับ

เสนา (พูดจากในโรง) ใครมาร้องเรียก (ออกมาจากในโรง)

ร,บ, ๑ – ผมเองขอรับ ผมจับผู้ร้ายมาได้คนหนึ่ง

เสนา – ผู้ร้ายอะไร

ร,บ, ๑ – นั่นแหละจะฉกชิงวิ่งราวหรือตัดช่องย่องเบาอย่างไรผมก็ทราบไม่ได้ถนัด แต่ข้อสำคัญคือจับของกลางได้คามือ นี่แน่ขอรับแหวนวงอ้ายกะโต เรือนเก็จเพ็ชร์ออกเป้ง แล้วมีพระนามเจ้านายของเราจาฤกอยู่ด้วยขอรับ

กุมภิล – ขอประทานโทษทีเถอะขอรับ กระผมไม่ได้ทำผิดคิดร้ายอย่างฉกรรจ์อะไรเลย

ร,บ, ๑ – อ้อ ท่านมหาพราหมณ์ ถ้าเช่นนั้นแกได้ทำความชอบอย่างไร เจ้านายจึ่งได้โปรดปรานถึงแก่ถอดพระธำมรงค์ประทานแก

กุมภิล – ฟังผมก่อนเถิดขอรับ ผมชื่อกุมภิล อยู่ที่บ้านศักราวตาร

ร,บ, ๒ – ก็นี่ใครไต่ใครถามถึงชื่อถึงเสียง หรือถิ่นถานบ้านช่องของแก

เสนา – ช่างเถอะ ปล่อยให้มันเล่าเรื่องของมันเอง ข้าอยากฟังดูที ว่าไปสิ อย่าปิดอย่าบังอะไรนะ

กุมภิล – กระผมเปนคนทำมาหาเลี้ยงบุตรภรรยาโดยทางจับปลา ทอดแห ตกเบ็ด ดักลอบ

เสนา – (หัวเราะ) ฮะ ๆ หากินดีจริงนะ ปาณาติบาตทั้งเรื่อง

กุมภิล – ใต้เท้าอย่าติเตียนกระผมเลยขอรับ การสิ่งใดที่ปู่ย่าตายายได้เคยกระทำมาแล้ว ลูกหลานจะละทิ้งเสียไม่เปนการสมควร และคนที่ฆ่าสัตว์ขายเลี้ยงชีพก็อาจจะเปนคนที่มีใจกรุณาได้เหมือนกัน

ร,บ, ๑ – หรือขะโมยก็ได้เหมือนกัน

เสนา – เล่าต่อไปสินา อย่าเสียเวลา

กุมภิล – วันหนึ่งผมจับปลาเทโพตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง พอชำแหละออกก็พบแหวนวงนี้อยู่ในท้อง ผมเอามาขายก็พอนายทั้งสองนั้นมาพบเข้า ก็จับเอาตัวมา จะว่าผมมีความผิดคิดร้ายอย่างไร ผมไม่ใช่ขะโมยขะโจรเลย เป็นความสัตย์จริงเช่นนี้แหละขอรับ

เสนา – (ดมแหวน) จริงอยู่ แหวนนี้ได้อยู่ในท้องปลา ยังมีกลิ่นคาวติด ข้าจะลองไปถามท่านกรมวังดูสักที คุมตัวชาวประมงนี้ไว้ก่อนนะ

ร,บ, ๑ – อย่ากลัวขอรับ ผมไม่ให้หนีได้ (เสนาเข้าโรง)

ร,บ, ๒ – นายเราน่ากลัวจะอีกนานกว่าจะกลับออกมา

ร,บ, ๑ – แน่ละ การเข้าเฝ้าเข้าแหนมิใช่จะเข้าไปถึงง่าย ๆ

ร,บ, ๒ – เบื่อจริง ๆ ต้องมานั่งคุมอ้ายตานี่อยู่ กูละคัน ๆ มืออยากจ้ำมันเสียให้เสร็จกันไปให้รู้แล้วรู้รอด

กุมภิล – โอ๊ย โอ๊ย อะไรนายจะฆ่าคนเล่นง่ายๆ ผมไม่มีความผิดเลย

ร,บ, ๑ – ดูเอาสิ ตานี่มารยาพิลึก ยังไม่ทันจะทำอะไรร้องเสียก่อนแล้ว

กุมภิล – ก็นายว่าจะฆ่าผมก็ร้องสิ

ร,บ, ๒ – ก็เอาไว้ให้ฆ่าเสียก่อนถึงค่อยร้องไม่ได้ฤา

กุมภิล – ตายแล้วจะร้องแร้งอะไรออกล่ะนาย

ร,บ, ๑ – เออ นี่ก็จริงของแก อ้อนันแน่นายกลับออกมาแล้ว เอาละพ่อตัวการ ประเดี๋ยวก็ได้รู้กันว่าแกจะได้กลับบ้านฤาจะต้องเปนเหยื่ออีแร้ง

เสนา – (ออก) เฮ้ย ตาประมงนั่นอยู่ไหน

กุมภิล – ตายกู ตายแน่ (สั่นเทิ้ม)

เสนา – แกไม่ต้องสทกสท้าน แกไม่มีความผิด (สั่งราชบุรุษ) ปล่อยตัวตาประมง เจ้านายของเรารับสั่งว่าข้อความที่เล่าเห็นจะเปนความจริง

ร,บ, ๒ – พ้นนรกไปทีหนึ่งละแก (แก้มัดกุมภิล)

กุมภิล – ใต้เท้าขอรับ ขอบพระเดชพระคุณจริง ๆ ถ้าไม่ได้ใต้เท้าผมก็คงไม่รอดตัวในครั้งนี้

เสนา – แกมันเคราะห์ดีมาก นี่แน่ะ โปรดเกล้า ฯ ให้กูนำเงินมาพระราชทานเท่าราคาค่าพระธำมรงค์ที่แกนำมา แกเลยมั่งมีใหญ่ละ (ส่งห่อเงินให้)

กุมภิล – แหม ผมดีใจจนพูดไม่ออก (นั่งลงถวายบังคมสามคาบ)

ร,บ, ๑ – แกน่ะมันเหมือนผู้ร้ายที่เขาเอาลงจากขาหยั่ง แล้วมิหนำซ้ำให้ขี่ช้างกูบทอง

ร,บ, ๒ – นายขอรับ พระธำมรงค์นั้นเห็นจะเปนของมีราคามากนะขอรับ

เสนา – ส่วนราคาค่างวดดดูเหมือนจะไม่สำคัญ แต่ดูเหมือนจะเปนของที่เจ้านายเราโปรดปรานมาก พอนำไปถวายทอดพระเนตร์เห็นดูทรงตลึงอยู่ครู่ใหญ่ ๆ แล้วจึงได้มีพระดำรัสให้กูนำเงินมาประทานตาประมง (พูดกับกุมภิล) แกจะไปก็ไปสิ (เสนาเข้าโรง)

ร,บ, ๑ – ชะๆ ตาช่างหาปลา มาวันเดียวได้เปนเสรฐี ทีกูทำราชการวันยังค่ำ จนกรอบอยู่อย่างนี้เอง

กุมภิล – นายอย่าโกรธอย่าขึ้งเลย วันนี้ฉันมีลาภแล้วก็อยากให้เพื่อนฝูงได้สนุกสบายด้วยเชิญนายทั้งสองไปหาเหล้ากินกันเล่นพอสบายบ้างประไร

ร,บ, ๑ – เออ พูดยังงี้มันค่อยน่าฟังหน่อย กันรู้จักที่ดีอยู่แห่งหนึ่ง มาไปด้วยกันเถอะ (เชิด เข้าโรง) ฯ

(ท้าวทุษยันต์ออกนั่งเตียง มีนางกำนัลนั่งเฝ้าตามตำแหน่ง ท้าวทุษยันต์ถือแหวนวง ๑)

ช้า ๏ เมื่อนั้น พระจอมอาณาจักร์เปนใหญ่ พิศธำมรงค์แก้วแววไว ภูวนัยโศกศัลพรรณา ฯ ๒ คำ ฯ

ปี่แก้วน้อย ๏ โอ้ศกุนตลาเมียขวัญ ยิ่งกว่าชีวันเสนหา เสียแรงรักสมัคสมานมา ควรฤาพี่ยาลืมอนงค์ ชรอยผีร้ายหมายรังแก จึ่งดลใจให้แลพะวงหลง แกล้งทำให้ลืมโฉมยง งวยงงเหมือนหลับสนิทนอน ป่านนี้เทวีจะอยู่ไหน ใครจะพิทักษ์ดวงสมร ฤาอยู่กลางป่าพนาดร อกอ่อนอ้างว้างอยู่กลางไพร ฤาว่ากัลยาจะโกรธพี่ เจ้าหลบลี้ไปซ่อนอยู่หนไหน พี่นี้สิร้อนเหลือใจ ราวไฟเผาผลาญปานตาย ฯ ๘ คำ ฯ

อกทเลสองชั้น ๏ ยิ่งแลดูแหวนที่แทนรัก ทรงศักดิ์ยิ่งคนึงถึงโฉมฉาย ร้อนกลุ้มรุมทั่ววรกาย พระฦๅสายคลั่งคลุ้มกลุ้มกมล ผุดลุกจากเตียงไปเมียงมอง ทั้งในห้องนอกห้องทุกแห่งหน เห็นเงาคิดว่าเจ้านฤมล กล่าวยุบลเชิญชวนนวลนาง เห็นสาวสรรกำนัลที่นั่งเฝ้า พระผ่านเผ้าข้องจิตรคิดขัดขวาง สำคัญว่านินทากันอยู่พลาง กริ้วผางทางไล่ไม่ปราณี ฯ เชิดฉิ่ง ๖ คำ ฯ

(ท้าวทุษยันต์คลั่งถึงนางศกุนตลา เที่ยวค้นคว้าหานางและชวนนางกำนัลไปชมเชย โดยสำคัญว่าเปนนางศกุนตลา แล้วภายหลังกริ้ว หาว่านางกำนัลพากันมาล้อบ้าง ว่าหึงหวงแกล้งเอานางศกุนตลาไปซ่อนไว้บ้าง ในที่สุดก็ไล่ตีนางกำนัล หายเข้าโรง)

(พระอินทร์ออกนั่งน่าวิมาน มีพระมาตุลีเฝ้า)

ยานี ๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวศักรินทร์นาถา ทิพอาศน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กระด้างดังสิลาน่าอัศจรรย์ จึ่งเลงทิพเนตร์แลดู ก็รู้เหตุการณ์ทุกสิ่งสรรพ์ จำเราจะช่วยทุษยันต์ ให้พลันได้สมอารมณ์รัก อีกหนึ่งทานพเนมี หมู่นี้กำเริบเอิบหนัก จะเชิญเธอบำราบปราบยักษ์ แล้วให้พบนงลักษณ์ผู้ยาใจ คิดแล้วตรัสสั่งสารถี มาตุลีดูราอย่าช้าได้ รีบไปหัสดินเวียงไชย แล้วรับจอมไผทขึ้นมา ฯ ๘ คำ ฯ

กระบอก ๏ บัดนั้น มาตุลีรับสั่งใส่เกศา รีบไปผูกรถรัตนา ขับสู่พสุธาไม่ช้าที ฯ เชิด ๒ คำ ฯ (ท้าวทุษยันต์ออกนั่งเตียง)

เจรจา โขน ๏ ถึงหัสดินบุรีธานีใหญ่ พระมาตุลีมองไปเห็นทุษยันต์ ประทับอยู่ในสวนขวัญใต้ร่มพฤกษา จึ่งเข้าไปทูลราชาว่า บัดนี้ท้าวมัฆวาน เธอได้ความเดือดร้อนรำคาญเปนเนืองนิตย์ เพราะทานพทุจริตอิ่มเอิบกำเริบใหญ่ เที่ยวข่มเหงไม่เกรงใจทั้งเทพบุตร์และนางฟ้า ขอเชิญเสด็จราชาปิ่นโปรพ ไปทรงสังหารทานพกาละเนมี ให้สิ้นเสียนไพรีจะเปนที่ยินดีทั่วกัน ฯ

๏ ปิ่นโปรพรังสรรค์ได้ฟังคำพระมาตุลี ก็ชื่นชมยินดีหาที่สุดมิได้ ดำรัสเรียกเสนาผู้ใหญ่ออกมาสั่งการ บัดนี้ท้าวมัฆวานตรัสให้หาเรา อยู่ทางนี้ท่านจงเฝ้านครไว้ เมื่อเสร็จกิจจอมภพไตรเราจึงจะกลับมา ว่าแล้วก็รีบลีลาขึ้นสู่รถวิมาน ขับลอยขึ้นสู่เทวสถานในชั่วพริบตา บัดนั้น ฯ เชิด ฯ

๏ องค์ศักรินทร์ปิ่นโลกาครั้นเห็นพระยาทุษยันต์ ก็มีความเกษมสันต์โสมนัศ จึงตรัสว่านี่แน่กษัตร์ยอดจันทรวงศ์ กาลเนมีมันองอาจทนงศักดิ์ กวนเทวาสุรารักษ์ให้ร้อนรำคาญ ขอเชิญเธอไปสังหารผลาญอ้ายทานพ อย่าให้มันอยู่กวนไตรภพได้อีกต่อไป ขอจงสวัสดีมีไชยสัตรูกษัยอย่าทานกร เลยนะท่าน ฯ

๏ ท้าวทุษยันต์รับพระพรใส่เกศา ทูลว่าเทวราชาอย่าสงไสย ข้ารับอาสาไปชิงไชยจนสุดกำลังและชีวาตม์ ว่าแล้วบังคมลาลีลาศจากวิมานรัตนมณี บัดนั้น ฯ เสมอ ฯ

ลงสรงโทน ๏ พระจึ่งชำระสระสนาน สำราญกายาชูราษี ทรงสุคนธ์ปนปรุงมาลี ทรงแป้งอย่างดีของเทวัน สนับเพลาเชิงมาศเรืองรอง ภูษาแดงเขียนทองฉายฉัน ฉลององค์ตัวดำดูสำคัญ แขนสีสุพรรณพรายตา สอดทรงเนาวรัตน์สังวาลย์ ตาบจันทรกานต์มีค่า ประคำล้วนแก้วมุกดา วไลยรัตนาโกมิน ทรงมงกุฎของท้าวเทวราช งามวิลาศเหมือนเทพโกศินทร์ กุมศักรธนูมณีจินต์ ภูมินทร์มาทรงรถสุวรรณ ฯ บาทสกุณี ๘ คำ ฯ

(กลม ตรวจพลเทวดา ทัพน่าคนธรรพ ปีกขวาเทวดา ปีกซ้ายยักษ์ ทัพหลังนาค)

พากย์ ๏ งามทรงองค์ท้าวทุษยันต์ เหมือนจอมเทวัน ผู้ทรงมหิทธิ์ฤทธา ๏ ทรงรถวิมานรัตนา มาตุลีเทวา ขึ้นขับละลิ่วปลิวไป ๏ ทัพน่าคนธรรพ์ชาญไชย ธตรฐยศไกร พระขรรค์ทนงคงกร ๏ ปีกขวาวิรุฬหกเริงรอน คุมหมู่อมร ผู้ฤทธิรุทยุทธนา ๏ ปีกซ้ายกุเวรราชา คุมยักขะเสนา กำแหงด้วยแรงเริงรณ ๏ วิรุปักษ์ทัพหลังยังพล นาคนาคานนต์ กระเหิมประยุทธ์ราวี ๏ ได้ฤกษ์เลิกพลโยธี ดั้นเมฆเมฆี มายังสมรภูมิไชย ฯ เชิด ฯ

(ยกพลเดินรอบ แล้วเข้าโรง ทัพฝ่ายทานพออกตั้ง ทัพเทวดาออกมาประทะ รบกันทีเดียว พวกเสนาทานพล้ม ท้าวกาลเนมีเข้าประจันบานกับพวกเทวดา ท้าวทุษยันต์โดดลงจากรถ เข้าไปประจันบานแล้วแผลงศร เปลี่ยนน่าพาทย์เป็นศรทนง ท้าวกาลเนมีล้มแล้ว เชิดอีก ทัพเทวดายกเข้าโรง แล้วท้าวทุษยันต์ขึ้นรถมากับมาตุลีสองต่อสอง)

เชิดฉิ่ง ๏ เลื่อนลอยมาโดยนภากาศ โอภาศผ่องเพียงแขไข เสร็จปราบอสูรจัญไร โสมพงศ์ทรงไชยแสนยินดี ทูลลาสมเด็จอมเรศร์ เพื่อคืนเข้าเขตร์กรุงศรี ล่องลอยเวหนด้นเมฆี ชมเทพวิถีทางจร งามเมฆใหญ่เยี่ยมมหิมา ดูราวภูผายอดสิงขร สีแดงแสงจับทินกร ภูธรชมเพลินจำเริญตา ลิ่ว ๆ ประหนึ่งลมพัด รถรัตน์แล่นกลางหว่างเวหา เรื่อย ๆ รถตรงลงมา ยังผาเหมกูฎคีรี ฯ เชิด ๘ คำ ฯ (สองคำรับที ท่อนท้ายรับด้วยเชิดกลอง)

เจรจา

ทุษยันต์ เขายอดนี้คือเขาอะไรนะพระมาตุลี

มาตุลี เขาลูกนี้ชื่อเหมกูฎที่สำนักสโมสร แห่งพระกศปเทพบิดรและพระอทิติแม่เจ้า

ทุษยันต์ ถ้าเช่นนั้นควรเราจะไปเผ้านมัสการ

มาตุลี ดีแล้วท่านมาพากันไป ฯ เสมอ ฯ

(พระกศปเทพบิดรและพระอทิติเทพมารดาออกนั่งเตียง มีบริวารเปนเทวดา ๑ คู่ ฤษี ๑ คู่ พราหมณ์ ๑ คู่ มนุษ ๑ คู่ นก ๑ คู่ วานร ๑ คู่ นาค ๑ คู่ ยักษ ๑ คู่)

ร่าย ๏ ก้มเกศอภิวาทน์วันทา องค์ประชาบดีเรืองศรี กับองค์พระเทพชนนี ด้วยความภักดีจงรัก ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระเทพบิดรทรงศักดิ์ เมตตาราชาเห็นน่ารัก เห็นประจักษ์เปนยอดขัตติยา ดูกรทุษยันต์โปรพ ท้าววาสพผู้เปนลูกข้า ได้บอกเรื่องราวข่าวมา ว่าราชาไปช่วยราวี ปราบกาลเนมีห้าวหาญ แรงลานแพ้ฤทธิ์ป่นปี้ ตัวกูก็พลอยยินดี เธอมีความชอบจะตอบแทน กูมีนางงามทรามสวาดิ์ จะประสาทให้เธอไม่หวงแหน จะหาไหนไม่สู้ในดินแดน ถึงแม้ในเมืองแมนไม่เทียมทัน ดูกรอทิติเสนหา จงตามแก้วกัลยาเลอสรร เราจะยกให้ทุษยันต์ เพื่อครองกันเกษมเปรมปรีย์ ฯ ๑๐ คำ ฯ

เจรจา

พระกศป – นี่แน่แม่อทิติ หล่อนจงไปพานางโฉมงามออกมาบัดนี้

พระอทิติ – เพคะ (เข้าโรง)

(อีกครู่ ๑ พระอทิติจึงจูงนางศกุนตลากับกุมารคน ๑ ออกมา นางศกุนตลากับทุษยันต์ต่างตกตลึงอยู่ครู่ ๑ แล้วนางจึงเข้าไปหาผัว โอด)

พระกศป – ราชะ เธอจะว่าอย่างไร นางคนนี้ต้องใจของเธอแลฤา

ทุษยันต์ – (ถวายบังคม) พระเจ้าข้า พระกรุณาแห่งพระเทพบิดร เปรียบเหมือนมหาสาครใหญ่กว้างฦกซึ้งหาที่สุดมิได้ ข้าพระองค์นี้ชั่วช้าเสียเหลือใจ เมื่อพบนางจึงไม่รู้จัก จนเห็นแหวนให้แทนรักจึ่งได้หายความเคลือบแคลง

พระกศป – นั้นก็เพราะอำนาจแช่งของทุรวาสดาบส แต่เคราะห์ของเธอก็เปลื้องปลดหมดไปแล้วจงยินดี จงรับมิ่งมเหษีกลับไปอยู่ยังขอบขัณฑ์ และครอบครองปรองดองกันทุกทิวาราตรี

นางนาค ๏ ขอกษัตร์โปรพภพนารถ ทรงราชย์เกษมศุขี ไชยะไชยชำนะไพรี อย่ามีเหตุร้ายบีฑา อนึ่งนางเกาศิกามารศรี เทวีผู้ทรงเสนหา จงเจริญศิริศุขทุกทิวา อย่ามีเวลาอนาทร ฝ่ายเยาวกุมารโอรส จงพูลเพิ่มเสริมยศสโมสร เปนใหญ่ในปวงประชากร เปนเอกอดิศรสมพันธุ์ ราชันจงหมั่นดำริห์การ อภิบาลรอบคอบขอบขัณฑ์ บำรุงไพร่ฟ้าประชานันท์ ทศธรรม์ถือเที่ยงเยี่ยงยง จงละอคติทั้งสี่ อย่ามีความโลภโกรธหลง เช่นนี้จะมีความมั่นคง ธำรงอยู่สิ้นดินฟ้า ฯ ตะบองกรร ๑๐ คำ ฯ

๏ จบเรื่องศกุนตลา ๚ะ๛

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ