เมื่อร่างกายพลิกฟื้นขึ้นจากความหลับอันสนิท ประสาททางกายก็รับอิทธิพลแห่งความเย็นเข้าไว้ในทันที สุริยารู้สึกหนาวสะท้านเมื่อโดนลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางช่องใดช่องหนึ่ง ต้องหดขาขึ้นหาตัว เพื่อขอพึ่งความอบอุ่นจากกันและกัน แต่กระนั้นประสาททางใจก็ยังไม่ตื่นตัวพอที่จะบอกให้รู้ได้ในทันทีว่า ภาพสองสีตัดกันที่เขาลืมตาขึ้นเห็นนั้นคืออะไร ภาพนั้นมีริมเป็นแฉกเล็ก ๆ รุ่งริ่ง ลอยทาบติดอยู่กับพื้นที่ว่าง สีเทาขมุกขมัวยาวสี่เหลี่ยมด้านขนาน ภาพนั้นรอรับสายตานิ่งอยู่กับที่ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือเลือนลับ แต่กลับเห็นชัดขึ้นทุกขณะที่เกิดความแปรแปลี่ยนทางพื้นช่องสี่เหลี่ยมเบื้องหลัง

นัยน์ตาที่มองภาพนั้นอยู่อย่างเคลิบเคลิ้ม ค่อยแจ่มใสขึ้นทีละน้อย ๆ และเมื่อประสาททุกส่วนทั่วอินทรีย์ตื่นเต็มที่แล้ว เขาก็บอกตัวเองได้อย่างแน่นอนว่า สิ่งที่เห็นเมื่อยังงัวเงียนั้นคือชายคาจาก ทอดขวางอยู่นอกหน้าต่าง ตัดกับสีของธรรมชาติ ท้องฟ้าเมื่อรุ่งอรุณและการตื่นขึ้นภายในบ้านหลังคามุงจากต่างถิ่น เป็นครั้งแรกในชีวิตเช่นนี้ วิสัยผู้เคยชินแต่ความโอ่โถงแห่งเคหสถาน ย่อมอดไม่ได้ที่จะไม่หวนระลึกนึกไปถึงความเกษมสำราญ ซึ่งได้เคยรับมาจนคุ้นเคยในกาลก่อน ๆ ที่จะคิดถึงภาวะของตัวเองในเวลาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

เขาจำได้ไม่ลืมว่า ชั่วชีวิตที่อยู่ร่วมกับอรพิน แม้ว่าตัวจะมึนเมาไม่ได้สติสักเพียงไรในคืนก่อน ก็ได้เคยแต่ลืมตาขึ้นบนที่นอนอันอ่อนนุ่ม ได้เห็นอรพินนั่งปรนนิบัติตามธรรมเนียมภริยาที่ดีอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้ฟังคำต่อว่าต่อขานอันอาจสาวความให้ยืดออกไป หรือเห็นกิริยาอันเป็นที่สะเทือนใจ อาวุธวิเศษแต่อย่างเดียวของอรพินซึ่งเธอเองหารู้ค่าของมันไม่ ก็คือแววตาโศกสลดอย่างสุดซึ้ง แววตาเช่นนี้แหละที่เขากลัวนักเกรงหนา และถ้าสามารถหลบได้ก็ไม่เคยให้ประสานกันกับของเขาเลย เขามีเหตุผลทุกประการยืนยันได้ว่า อรพินรักเขาเท่า ๆ หรือยิ่งกว่าเมียทั้งหลายของชายอื่น ๆ ก็เขาเล่า ? เขาก็แน่ใจเช่นเดียวกันว่ารักอรพินไม่น้อยหน้าสามีอื่น ๆ ในโลกนี้ ถ้าฉะนั้นเหตุไฉนกรรมจึงได้บันดาลให้เขามานอนเหยียดยาวอยู่บนเสื่อเก่า ๆ ในห้องแถวไม้มุงหลังคาด้วยจาก แทนที่จะบรรทมอยู่บนฟูก หมอนที่อ่อนนุ่ม เคียงคู่อยู่กับอรพินในตำหนักอันรโหฐานเช่นที่เคยมา อ้า ! เหล้า ! เขาสมัครพรากจากอรพินมาเพื่อจะเอาชนะ เพื่ออดเหล้า แต่การที่มานอนอยู่ในลักษณาการอันน่าทุเรศสังเวชใจในเคหสถานของคนแปลกหน้านี้ เป็นสักขีพยานว่า เขาได้ชนะเหล้าแล้วหรือ ? เปล่าเลย ตรงกันข้าม ตรงนี้แหละที่มันยอกหัวใจ ตรงนี้แหละที่เมื่อคิดขึ้นมาแล้วมันอยากแต่จะกินเหล้าดับให้ลบเลือนไปเสียจากความทรงจำ เพราะยังจำได้ติดใจว่า เมื่อเรือจะออกนั้น อรพินได้กระซิบสั่งเป็นครั้งสุดท้ายว่า

“ขอให้เสด็จกลับมาหาหม่อมฉันกับจิ๋วในฐานชนะนะคะ”

ฟัง ! ฟังเถิดแม่ยอดหญิง แม้แต่คำพูดซึ่งจะใช้แก่ผัวขี้เมาของเธอ เธอก็ยังอุตส่าห์พยายามเลือกเฟ้นไม่ให้เป็นที่กระทบกระเทือนใจ ฉะนี้แหละ การกลับไปสู่อ้อมแขนและความรักของอรพิน จึงเป็นภาวะที่เขาคำนึงถึง ด้วยความขมขื่นชื่นบานระคนกัน

ชายหนุ่มพลิกหน้าลงบนท่อนแขน เหมือนกับว่าไม่อาจสู้รัศมีสีเงินสีทอง ที่เอิบอาบอำไพอยู่ ณ ช่องฟ้าเบื้องหน้า ชนะมัน ! อนิจจาเขาแพ้มันคว่ำไปเมื่อคืนนี้เอง จะแบกหน้าไปหาเธอได้อย่างไรเล่า

เขาคงจะนอนคิดถึงอะไรเพลินจนเคลิ้มหลับไปอีก มาสะดุ้งตกใจตื่นเมื่อแดดเต็มฟ้าแล้ว ได้ยินเสียงตะโกนปลุกกันบ้าง เสียงหญิงข้างบ้านพ่นผรุสวาทใส่ผัวที่ยังอาลัยมั่ง เสียงเด็กร้อง และเสียงแปร๋นของช้างดังขึ้นเป็นระยะ ๆ ฯลฯ ปนกันอึกทึกโกลาหล ซึ่งแสดงว่า ‘ชีวิต’ ในภาคนี้จักได้เริ่มผจญกับการหาอาหารใส่ปากท้องกันอีกวาระหนึ่งแล้ว

นายมุ้ยเจ้าของที่พัก เข้ามายืนลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หน้าประตู ในมือถือขันน้ำอะลูมิเนียมใบใหญ่ยังใหม่เอี่ยม

“อ้อ ตื่น” แกยอบตัวเดินจรดปลายเท้าเข้ามาจนใกล้ จึงได้เห็นว่าผู้เป็นแขกนอนลืมตาอยู่ “เอาน้ำมาให้ นึกว่าหลับ จะมาวางไว้ให้ใกล้ ๆ”

“ตื่นทีแล้ว หลับไปอีกเมื่อกี้นี้เอง ขอบใจมากนายมุ้ย เอาวางไว้นั่นแหละ” เขาตอบความอารีของชายเจ้าของที่พัก แล้วก็ลุกขึ้นช้า ๆ สลัดศีรษะทำหน้าพิศวงอยู่สักครู่ จึงยืนบิดตัว ดัดแขนดัดขา ที่กดอยู่กับเสื่อนายมุ้ยมาทั้งคืน ฝ่ายนายมุ้ยเมื่อเห็นผู้กีดขวางลุกขึ้นแล้ว ก็ตรงเข้าหยิบเสื้อกางเกงสีกรมท่าที่พาดราวข้างฝา มาสวมทับสนับเพลาซึ่งเคยมีสีขาวผุดผ่องมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้นแล้วจึงหันมาสั่งแขกแปลกหน้า ผู้เปรียบเหมือนเทวดาส่งมาโปรดแกว่า

“เชิญนายพักผ่อนตามสบายย่ะ เด็กเล็กแถวนี้เรียกใช้ได้ทุกคน น้ำชากาแฟมีขายที่ร้านใหญ่ท้ายแบแร็ก วันนี้ผมต้องรีบไปเข้างาน” แกพูดพลางชี้ไปทางเพิงใหญ่ต่อจากโรงแถวที่พักของกรรมกร แล้วหันมาหยิบยาเส้นชีออกจากแผงบรรจุลงคลี่แบ่งออกมวนสูบตัวหนึ่ง ทัดหูไว้อีกข้างละตัว แสดงว่าตัวแกนั้นอิ่มหนำสำราญแล้ว

ชายหนุ่มมองหน้าเจ้าของบ้าน เมื่อได้ยินแกพูดอังกฤษว่า ‘แบแร็ก’ อานุภาพของคำนั้นมันทำให้วาบหวามในทรวงอกชอบกลอยู่ แต่ยังมิทันจะถามว่า เพราะเหตุใดที่พักกรรมกรที่นี่จึงมีศัพท์ฝรั่งเรียกกันเช่นนั้น นายมุ้ยก็พูดขึ้นว่า

“ผมมอบกุญแจห้องไว้ให้นาย เผื่อว่าไปเที่ยวทางโน้น ๆ แล้วจะกลับมาเอนหลัง”

“ไม่ต้องละนายมุ้ย ลั่นกุญแจห้องแล้วเอาลูกมันไปเสียด้วยเถอะ จะให้ดีละก็นายมุ้ยช่วยเรียกเด็กมาขอแรงไปซื้อกาแฟมาให้ฉันสักสองถ้วยก่อน”

ขณะที่นั่งอยู่คนเดียวบนขอนไม้หน้าที่พัก จิบกาแฟพลางสูบบุหรี่พลาง ชายหนุ่มก็ได้ความรู้ใหม่อีกชนิดหนึ่งว่า ฤทธิ์ของ ‘ไอ้เผือก’ หรือ เหล้าเถื่อนนั้นต่างกับวิสกี้ ตรงที่ไอ้เผือกมาพลุ่งขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว จนถึงกับครองสติไม่อยู่ สำหรับเหตุการณ์เมื่อเย็นวานนี้ เขาจำได้แต่ว่าเมื่อเขากับนายมุ้ยไปเจริญไมตรีกันที่ ‘บาร์’ ของชาวบ้านหลังที่พัก วันยังค่ำ จนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแล้ว ขากลับยังได้ซื้อน้ำขาว ๆ นั้นใส่กระป๋องติดมือมาฝากพลายมลิวัลลิ์คนละกระป๋องเท่านั้นเอง เรื่องตัวเข้าไปนอนแย่งที่นายมุ้ยอยู่ตลอดคืนนั้น จะมีสาเหตุมาอย่างไรนั้นเขาลำดับเหตุการณ์ไม่ถูก ก็ไม่ปรากฏว่ามันได้ทิ้งกากไว้ อย่างวิสกี้และเหล้าฝรั่งทั่วไป ซึ่งผ่อนฤทธิ์เมาขึ้นทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงยอดแล้วก็อิดเอื้อนอยู่มิใคร่จะลดลงง่าย ๆ จนถึงวันรุ่งขึ้นก็ยังมีการปวดหัว หนักหัว และมีนชา ตัวเนื้อเบาโหวงเหวง อ่อนเพลียละเหี่ยใจ ร้อนถึงต้องใช้วิธีถอนพิษแบบหนามหยอกเอาหนามบ่ง จึงจะทุเลาเบาบางลงไปได้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็เห็นช่องทางที่จะนำชัยชนะมาสู่การต่อสู้เพื่ออดเหล้าของตนได้ จะแจ้งว่าเขาควรจะพลิก “เหลี่ยม” ของการต่อสู้เสียแต่บัดนี้ กล่าวคือ หมกตัวอยู่ในป่าต่อไปอีกสักสองสามวัน เพื่อทดลองดูอีกสักครั้งว่า เมื่อในสถานที่ที่พลัดเข้ามานี้ ปราศจากอิทธิพลของวิสกี้ ผู้เป็นนายของเขาแล้ว เขาคงไม่ไพล่ไปตกเป็นทาสของอ้ายเผือกเข้าอีก เพราะเมื่อไอ้เผือกไม่ต้องใช้วิธีหนามบ่งหนาม ให้เป็นกระสายสืบต่อกันไป ไม่รู้จบรู้สิ้นเหมือนเหล้าฝรั่ง ดังนี้ก็ดูท่วงทีว่าพอจะมีทางเป็นต่อได้บ้าง

นายสุวรรณ ศิริชัย-นายด้าน หมื่นจิตต์ เดินเลี้ยวเข้าบริเวณค่ายคนงาน มาพบเขาในขณะกำลังยกกาแฟถ้วยที่สองขึ้นซดพอดี ชายหนุ่มผู้พลัดถิ่นรีบวางถ้วยกาแฟลุกจากขอนไม้และยิ้มเป็นการแสดงคารวะเจ้าของถิ่น ตามธรรมเนียมที่ดี

“ผมคอยคุณอยู่เป็นนานเมื่อวานนี้” นายสุวรรณชิงกล่าวขึ้น ด้วยสังเกตเห็นสีหน้าว่า อาคันตุกะผู้นั้นดูเหมือนจะกระดากอายในความประพฤติวิตถารเมื่อวันก่อน “เผอิญออฟฟิศใหญ่เขาเร่งรถมา ผมจึงต้องปล่อยลงไป คอยคุณต่อไปไม่ได้” กล่าวจบแล้วนายด้านก็นิ่งมอง ปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งเปิดฉากสนทนาตามสมัครใจ และสุริยานั้นก็เจนจบในชั้นเชิงชายมาไม่น้อยกว่านายสุวรรณ จึงกล่าวตอบไปอย่างเปิดเผยว่า

“ขอบคุณครับ และผมต้องขออภัยที่ได้ทำความลำบากให้แก่การงานของคุณ อันที่จริงผมเมาเกินควรไปหน่อย เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักกับไอ้เผือก”

“อ๋อ ! ... ไอ้เผือก ดุสำหรับคนไม่เคยมาก”

“ครับ ผมจำได้ว่าได้ซื้อไอ้เผือกมาฝากมลิวัลลิ์ของคุณสองกระป๋อง ต่อจากนั้นก็ไม่ทราบว่า ไปอย่างไรมาอย่างไรกับเจ้าช้างตัวนั้น”

นายสุวรรณหัวเราะตอบว่า “คุณเคราะห์ดีมากที่เข้าไปสูสีเป็นการส่วนตัวกับไอ้ช้างตัวนั้นได้ เพราะทุกคนในป่านี้ ไอ้มลิวัลลิ์กลัวอยู่คนเดียวคือนายบุญฮาย ซึ่งเป็นหมอช้าง แม้แต่ตัวผมเองกะมันสายตาก็ไม่กินกัน”

สุริยาพูดตอบช้า ๆ เป็นเชิงตรึกตรอง “ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบช้าง รู้สึกว่ามีอะไรน่าคิด น่าเอาใจใส่มากทีเดียวในเรื่องความรู้ของมัน”

“ครับ คนกรุงเทพฯ โดยมากเห็นช้างทำงานแทนคนได้เป็นของแปลก เลยเข้าใจเขว ๆ ไปว่า ช้างมีความรู้ดีรู้ชั่วเหมือนคน อันที่จริงช้างแม้จะฉลาดเพียงใดก็ยังเป็นสัตว์อยู่นั่นเอง วางใจมากนักไม่ควร โดยเฉพาะไอ้มลิวัลลิ์”

“ผมเองก็แปลกใจ เมื่อตามุ้ยแกลำดับพงศาวดารให้ฟังเมื่อกี้นี้”

เมื่อได้โอกาสเช่นนี้ นายสุวรรณก็ตั้งต้นพูดถึงเรื่องอันข้องอยู่ในใจมาแต่คืนก่อน “พูดถึงตามุ้ย ผมอยากจะมาเชิญคุณไปพักผ่อนเสียที่บ้านผมก่อน เมื่อถึงเวลารถจะออกเย็นนี้ ก็จะให้เด็กไปรับตัวคุณมา ได้สั่งภรรยาผมเขาจัดแจงที่พักไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”

“ขอบคุณครับ แต่โปรดอย่าลำบากเลย” สุริยารีบปฏิเสธโดยละม่อม “นายมุ้ยแกพาผมไปรู้จักกับภัตตาคารในป่าโน้นเรียบร้อยแล้ว”

นายสุวรรณเอะใจรีบถามขึ้นว่า “แกพาคุณไปถึงไหน ? โอ! เมื่อเช้าวานผมก็ลืมสนิทว่า จะให้ใครพาคุณไปร้านใหญ่ กำลังยุ่งครับ ไม่มีเวลาจะอธิบายอะไรมาก เลยบอกคุณส่ง ๆ ไป นึกว่าคุณคงไปที่ร้านได้เอง ตามุ้ยน่ะ แกไม่ใคร่จะเข้าร้านเดี๋ยวนี้”

ชายผู้อ่อนอาวุโสยิ้ม แต่ไม่ตอบว่ากระไร

นายสุวรรณรีบลุกขึ้นโดยเร็ว “ไปคุยกันทางโน้นเถิดครับ ผมจะพาคุณไปเอง” และระหว่างทางที่เดินไปด้วยกัน นายสุวรรณก็อธิบายให้ฟังคร่าว ๆ ว่า “ร้านที่ผมจะพาคุณไปนี้เป็นร้านของบริษัท ขายของให้เฉพาะคนงานของบริษัทและชาวบ้านแถบนี้เท่านั้น เพื่อป้องกันคนต่างด้าวซื้อไปขูดเลือดชาวบ้าน ที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าอีกต่อหนึ่ง ตามุ้ยแกไม่กล้าจะพาคุณไปที่ร้านอยู่นั่นเอง เพราะแกเบิกของล่วงหน้าเกินอัตราไว้มาก ต้องห้ามเด็ดขาดไม่ให้จ่ายของนายมุ้ย จนกว่าจะผ่อนใช้หนี้เก่า ๆ เรียบร้อย เห็นจะเป็นด้วยเหตุนี้ ตามุ้ยจึงพาคุณไปกินข้าวแกงชาวบ้านหลังแบแร็กเสีย”

แขกของนายสุวรรณ แทนที่เขาจะตอบออกไปว่าเขาไปขลุกอยู่ที่เพิงชาวบ้านตั้งแต่เช้าจนเย็น และอาหารของเขาทั้งสามมื้อเมื่อวานนี้ เป็นข้าวราดแกงเผ็ดมื้อละสองจานเสียสองมือ ส่วนมื้อเย็นก็คืออ้ายเผือกกับมะขามสด จิ้มเกลือสองสามฝัก

“แหม นี่ใครจะเชื่อว่าในป่านี้มีอาหารกระป๋องของลิบบี้ขาย” สุริยาร้องอุทานด้วยความประหลาดใจล้นพ้น เมื่อย่างเข้าในร้านของ เขาตรงเข้าสำรวจเครื่องบริโภคและอุปโภค อันมีอยู่ตั้งแต่ต่างหูเงินและแหวนเงินฝังพลอยสีต่าง ๆ สำหรับ บุตร ภรรยา คนงาน กางเกงแพร สีสดสวย ตลอดจนเครื่องกระป๋อง เครื่องครัวจิปาถะ

“ถ้าเปรียบกับร้านในกรุงเทพฯ ก็แถว ๆ บางลำภูเราดี ๆ นี่แหละครับ” นายสุวรรณเล่าต่อในน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะชื่นชม “บริษัทเขาตั้งร้านค้าอย่างนี้ไว้ทุกด้าน ด้านหนึ่ง ๆ จะต้องจัดหาของกินของใช้ตั้งแต่ดีถึงเลว ให้พอสำหรับคนราวห้าร้อยครัวเรือน เราขายของได้เดือนหนึ่งตั้งแต่แปดพันถึงหมื่น เปิดร้านไม่อั้นครับ เกี่ยวกับเป็นที่ประชุมของกรรมกรและชาวบ้านตลอดวันไปจนดึกดื่น เชิญคุณทางนี้ดีกว่า”

นายสุวรรณพาแขกของเขามานั่งที่โต๊ะพิเศษสำหรับเจ้าหน้าที่แห่งร้าน พลางบงการให้ลูกจ้างแผนกอาหารชงกาแฟ ทอดไข่ และกุนเชียง แล้วให้เปิดกระป๋องขนมปังครีมแครกเกอร์จัดนำมายังโต๊ะเขาสองที่ และถ้าแขกของเขาไม่ชิงปฏิเสธเสียก่อน นายด้านผู้ใจใหญ่ก็คงจะสั่งเปิดไส้กรอกเวียนนา หรือเนื้อคอร์นบีฟของลิบบี้ ประเคนเข้าให้อีกชุดหนึ่งเป็นแน่

“ผมอยากจะให้คุณไปพักเสียที่บ้านจริง ๆ ไอ้พวกนี้หรือ มันก็เหมือนกับไม่เคยเห็นคน” นายสุวรรณพูดขณะที่จิ้มกุนเชียงใส่ปาก “มึงวาพาโวย ไม่ค่อยจะรู้เรื่องของมัน”

“อย่าเลยครับ เป็นการรบกวนคุณเกินไป เพียงเท่านี้ก็ขอบคุณแล้ว” เขาปฏิเสธในน้ำเสียงราบเรียบ แต่ในใจสิพลุกพล่านด้วยเหตุผลอันแท้จริงที่เขาไม่สามารถจะพูดแก่นายสุวรรณได้เลยว่า เมื่อเดี๋ยวนี้เขาตัดสินใจยังไม่ไปจากป่า ยังต้องการศึกษาชีวิตในด้านนี้ให้รู้แจ้งเห็นจริงเสียก่อน ก็ไม่ต้องการให้บุคคลผู้มีภูมิธรรมเท่าเทียมกัน หรือใกล้ ๆ กัน เช่นเดียวกับนายสุวรรณนี้ สอดส่ายรู้เห็นในเหตุผล หรือการเป็นอยู่ของเขา ซึ่งอาจก่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเหยียดหยามได้ อนึ่ง เรื่องใด ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เป็นที่เชื่อแน่ว่า ทางครอบครัวนายสุวรรณก็คงได้รับการบอกเล่าจากนายสุวรรณ หรือคนอื่น ๆ แล้วตามธรรมเนียมสังคมหมู่น้อย จึงรู้สึกว่าไม่ปรารถนาจะเป็นเครื่องขบขันของใคร ๆ เกินความจำเป็น และถ้าหากเป็นเหตุการณ์ที่ช่วยไม่ได้ไซร้ เขาก็สมัครจะรับการเหยียดหยาม หรือเป็นตัวละคร ให้แก่คนชั้นกรรมกรดู มากกว่าบุคคลในชั้นเดียวกันหรือใกล้ ๆ กันนั้น

“ถ้ายังงั้นเวลาสี่โมงนะครับ พบผมที่กองไม้สี่แยกเป็นเกณฑ์” ชะรอย นายด้านจะเข้าใจผิดในการอิดเอื้อนของเขา จึงเอ่ยตัดบทเสียดังนั้น “ผมยินดีจะช่วยเหลือคุณทุกอย่าง ผมชื่อ สุวรรณ ศิริชัย คุณจะอ้างนามผมเป็นใบเบิกรับความสะดวกได้ทุกแห่งที่นี่ ตามแต่คุณจะต้องการ”

ราวกับไม่ได้ยินว่า อีกฝ่ายหนึ่งได้แจ้งนามของเขา เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับนามของตน เขากลับตอบว่า “บางทีผมจะยังไม่กลับในวันนี้ รู้สึกที่นี่อากาศโปร่ง ๆ ดี ก็อยากจะพักอยู่สักสองสามวัน แต่โปรดอย่าวุ่นวาย ผมพักอยู่กับนายมุ้ยได้ ส่วนอาหารก็ที่ร้านนี้”

ได้ฟังดังนั้น นายสุวรรณประหลาดใจถึงกับจะลืมความเป็นสุภาพบุรุษ อ้าปากอึกอักอยู่เป็นนานจึงตอบไปได้

“อ้อ ได้ซิครับ ได้ทราบความประสงค์เป็นที่แน่นอนกันเสียอย่างนี้ก็ไม่เป็นไร” และเพื่อจะกลบเกลื่อนความฉงนสนเท่ห์ในการที่ชายผู้นี้ขออนุญาตอยู่ในป่ากับนายมุ้ย โดยไม่เห็นมีเหตุผลที่แท้จริงแต่อย่างใด นายสุวรรณพูดพลางก็หยิบซองบุหรี่ออกเปิดส่งให้

“ไม่ลองสฟิงค์หมื่นจิตต์สักมวนหรือครับ ?”

สุริยาแทบสะอึก เมื่อได้เห็นรูปโฉมของบุหรี่ตราสิงโตแดง ยืนผยองอยู่เคียงข้างบุหรี่โกลด์เฟลก ในซองปุ่มมะค่าซองใหญ่ของนายด้าน

“มันขายดีเป็นเทน้ำ ฝรั่งมังค่าที่นี่เล่นสิงโตแดงเป็นพื้น”

สุริยาอัดควันสิงโตแดงสักสามอึก ก็รู้สึกเหมือนกับเอาเข็มทิ่มลงในคอ สองขมับเต้นริก ๆ หัวโตพองขึ้นมา แต่เพื่อรักษามารยาทจึงนั่งสูบพ่นควันอวดต่อไป ไม่ช้าก็หัวเราะเพื่อน ๆ ขว้างสิงโตแดงทิ้ง คว้าซองเปิดหยิบบุหรี่โกลด์เฟลก ดับพิษตามเข้าไปอีกมวนหนึ่ง

“กลิ่นมันราวกับยาสูบสวรรค์ลอยออกมาจากกล้องพระอิศวร... ของผมเพิ่งหมดไปเป็นมวนสุดท้ายเมื่อเช้านี้เอง นี่จะให้ผมเชื่ออย่างไรว่า ในป่าสูงนี้มีบุหรี่โกลด์เฟลกขาย”

นายสุวรรณหัวเราะ “อันที่จริงเขาซื้อมาขายเฉพาะหัวหน้า แต่เรา ๆ พวกสูบบุหรี่จัด สู้กันไม่ไหว ต้องสิงโตช่วย ถ้าคุณต้องการผมจะส่งให้เด็กที่นี่ไปเอาจากบ้านให้สักกระป๋องหนึ่ง” ครั้นแล้วนายสุวรรณก็วกมาในเรื่องที่พักอีกครั้ง “ตรึกตรองดูเถิดครับ ถ้าคุณตกลงใจจะพักที่บ้านผม ขอให้ตรงไปทันที ผมยินดีต้อนรับทุกเมื่อ แต่ถ้าคุณสมัครของคุณตามสบายก็สุดแล้วแต่”

สุริยาปฏิเสธเด็ดขาด แต่สุภาพพอแก่ความต้องการทีเดียว ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็แล่นผ่านมาบังคับให้เขาต้องขอคำอธิบายจากนายด้านอีกครั้งว่า เพราะเหตุใด กรรมกรที่นี่จึงเรียกบริเวณค่ายที่พักของตัวว่า “แบแร็ก”

“เป็นด้วยความเคยชินกันมา แต่ครั้งบริษัทบอเนียวรับจ้างจัดการแทนคณะกรรมการของบริษัทที่เป็นคนไทย และแม้ได้เปลี่ยนเป็นไทยจัดการมาเป็นจำนวนสิบปี ๆ แล้ว คนงานก็ยังเรียกที่พักและวัตถุต่าง ๆ ตามฝรั่งอยู่นั่นเอง คุณไปเรียกเป็นไทยมันจะงงกันตาย ถ้าคุณได้อยู่ไป ฟังไปนาน ๆ ก็จะได้ยินมันพูดกันต่าง ๆ มากขึ้น”

สุริยาหัวเราะอย่างขบขันจริง ๆ ชีวิตที่นี่รู้สึกว่าชักจะมีปัจจัยให้ความเพลิดเพลินหลายอย่างเสียแล้ว

“ก่อนจะลาคุณไป ผมอยากจะสนทนากับคุณ เรื่องไอ้มลิของผมอีกสักหน่อย” นายสุวรรณจุดสิงโตแดงสูบหน้าตาเฉย แล้วกล่าวสืบไปว่า “ผมรู้สึกเป็นห่วงมากเรื่องสหายคุณ คือเจ้ามลิวัลลิ์ ขอให้ระวังตัวจงหนัก ผมชักจะสังหรณ์ว่าไอ้นี่จะก่อเรื่องร้อนใจให้คุณมาก เพราะนิสัยของมัน นอกจากที่เล่าให้คุณฟังเมื่อวานนี้แล้ว ยังไม่ได้บอกว่ามันมีนิสัยริษยาและพยาบาท นี่เป็นข้อสำคัญอยู่ ถ้าไอ้มลิลงติดควาญคนไหน ควาญนั้นจะไปสนิทสนมแม้แต่กับเมียของตัวให้เห็นก็ไม่ได้ ตั้งแต่เล็กจนโต ผมทราบว่าไอ้มลิวัลลิ์มีควาญเปลี่ยนหน้าเป็นเรือนร้อยแล้ว โดยมากถ้าควาญรู้ตัวว่าไอ้มลิติด ก็มักจะต้องชิงลาออกเสียโดยเร็ว พูดก็พูดเถอะครับคุณไปถ่ายอุจจาระ ไอ้มลิก็จะตามไปเฝ้าคุณถึงหน้าส้วม และอาจจะเปิดประตูมองเอาด้วยถ้าคุณนั่งนานเกินไป เราโดนมาหลายรายแล้ว”

สุริยาวางถ้วยกาแฟ เพราะปรากฏว่ามันกระฉอกเมื่อเขาหัวเราะ

“อย่าให้มันมารักกะคุณเข้าได้เป็นการดี” นายสุวรรณพูดพลางหัวเราะผสมโรง “และอย่าให้เขาโกรธ ไอ้เด็ก ๆ ของผม มันก็เอาจริง ไม่เข็ดกันสักที ชอบล้อ ชอบด่ามัน จนเดือดร้อน เพราะหม้อข้าวหม้อแกง โอ่งไห บรรลัยกันแทบทุกคืน จนคร้านจะชำระเสียแล้ว”

ต่อจากนี้ก็มีการสนทนาโต้ตอบกัน ในเรื่องประวัติพลายมลิวัลลิ์ ซึ่งมากไปด้วยความซุกซนสัปดนมาตั้งแต่เล็กจนโต ทำให้ชายทั้งสองกลั้นหัวเราะกันไม่ได้ ในที่สุดนายสุวรรณก็หยิบหมวกกันแดดขึ้นสวมศีรษะ กล่าวเชื้อเชิญแขกให้ไปเที่ยวดูงานตัดและชักลากไม้ในป่ากับเขาเป็นการฆ่าเวลา ข้างฝ่ายผู้ได้รับเชิญก็รีบปฏิเสธทันควัน โดยอ้างเหตุว่ามีความสนใจในคนและกิจประจำทางแบแร็กนี้มากกว่า ซึ่งที่แท้นั้นเป็นเพราะความเกรงใจนายด้านเป็นข้อใหญ่ สุริยารู้ดีว่านายสุวรรณจะต้องแบกภาระในการหาของกินกลางวันเข้าไปให้เขาอย่างหนึ่ง กับอีกอย่างหนึ่ง ก็เพราะสุริยาเวลานี้ไม่ต้องการนำตนเข้าไปกีดขวางธุระการงานของผู้ใดทั้งสิ้น

ในที่สุดสุริยาก็ได้อยู่คนเดียวเป็นครั้งที่สองในเช้าวันนั้น เขานั่งพ่นควันโกลด์เฟลกที่เด็กลูกจ้างนำมาให้ตามบัญชาของนายสุวรรณ ตรึกตรองไม่ตกลงใจว่าจะออกเดินไปเที่ยวเล่นทางแห่งหนใดดี หรือควรจะออกด้อมทางลำห้วยข้างที่พัก เพื่อหาที่ไม่ประเจิดประเจ้อลงไปลอยคอลอกคราบเหงื่อไคลที่หมักหมมมาแต่วันวานนั้นเสียที แต่เวลาก็ยิ่งสายขึ้น ทุกขณะที่เขายังตรึกตรองรีรอ และชักจะมีความรู้สึกเคืองตาจัดเมื่อโดนรัศมีแสงแดด ความสงบเงียบของธรรมชาติรอบกาย ความอบอุ่นจากแสงแดดที่ค่อย ๆ จัดขึ้น อีกทั้งเสียงสนทนาเรื่อย ๆ ติดต่อกันไป แทรกด้วยภาษาและศัพท์อันแปลกหู ในสำเนียงเหน่อ ๆ หนุงหนิงเป็นระยะ ๆ ก็มีอานุภาพพอที่จะกล่อมอารมณ์คนปกติให้ง่วงซึมเซาไปได้ อย่าพูดถึงชายคนหนึ่งซึ่งเพิ่ง “คลาย” จากความรึงรัดของเครื่องบริโภคอันมีพิษเบื่อพิษเมาเลย สุริยานั่งพิจารณาฝูงชนคนงานที่ทยอยกันมาซื้อเครื่องดื่มและอาหาร สักครู่ชุดเก่าก็ทยอยกันกลับ เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนชุดกันอยู่มิได้ขาด สำหรับผู้เฝ้าดูเล่าก็รู้สึกว่า การฟังคนอื่นคุยและออกความเห็นกันไปตามความคิดของเขานั้น ก็เป็นการฆ่าเวลาที่ไม่ไร้ผลเสียทีเดียว

แท้ที่จริงเหตุการณ์ประจำของร้านค้าด้านหมื่นจิตต์ก็เป็นไปดังเช่นเคย มิได้มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งขาดตกบกพร่อง หรือแปลกประหลาดใหม่ เกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไป ในด้านเพิงโล่งต่อร้านใหญ่ออกไปนั้น กล่าวคือ พอตกสายเข้าทั้งชาวบ้านและกรรมกรที่ไม่เข้างานก็มาชุมนุมกันที่ร้าน ทยอยกันมาทยอยกันกลับ ช้าบ้างเร็วบ้าง สุดแล้วแต่ความต้องการจะมีปริมาณมากและน้อย และความต้องการของคนเหล่านี้ ก็กลับจะทวีขึ้นอีก ในเมื่อตะวันคล้อยยอดไม้ลงไป สุริยาคงนั่งเพลินสังเกตการณ์อยู่นั่นเอง แต่ตกตอนกลางวันเขาก็มิได้นั่งเหม่อดังเช่นในตอนเช้า บนโต๊ะตรงหน้าเขาเวลานี้มีกระดาษหนังสือพิมพ์อเมริกันวีคลี่ สำหรับใช้ห่อของกางซ้อน ๆ กัน อยู่หลายสิบแผ่น ข้าง ๆ ตัวเขายังมีถ้วยกาแฟและกระป๋องบุหรี่วางอยู่ ต่อนาน ๆ จึงเงยหน้าขึ้นมองลูกค้าของร้านเสียที ในที่สุดก็จับได้ว่า สิ่งที่เรียกร้องลูกค้ามากันมิได้ว่างเว้นนั้นก็คือ ‘ไอ้เผือก’ ซึ่งมีขายกัน ‘หลังร้าน’ ของบริษัท และที่เรียกกันว่า ‘หลังร้าน’ ก็มิใช่ว่ามีบาร์พิเศษอยู่เบื้องหลังร้านใหญ่เป็นที่เป็นทางมิดชิดดอก ที่แท้มันก็มาประดิษฐานอยู่บนโต๊ะในเพิ่งใหญ่โล่ง ๆ ในร้านนั้นเอง และก็ ณ สถานที่นี้แหละ สอนให้สุริยาได้ความรู้ขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่า วิสกี้ ซึ่งผู้เป็นทาสของมันได้รับการเหยียดหยาม และเป็นที่เย้ยหยันอยู่ในบรรดาญาติวงศ์พงศาในกรุงเทพฯ นั้น ในป่านี้ทาสของ ‘ไอ้เผือก’ หาเป็นเช่นนั้นมิได้ การดื่มไอ้เผือกเพียงแก้วสองแก้วจนถึงขวด ถึงไห เป็นของธรรมดาสามัญที่สุด ทั้งชายหญิง ผู้ใหญ่ เด็ก และตั้งแต่กรรมกรรายวันขึ้นไป จนถึงหัวหน้างานหน่วยย่อม และหน่วยใหญ่ ก็เสมอภาคกันหมดในรสนิยมข้อนี้ ทั้งนี้สุริยาลงความเห็นได้แน่นอน น่าจะเป็นเพราะในป่านี้คนทุกคนไม่ว่าชาย หญิง ผู้ใหญ่ เด็ก มีงานทำทุกคน มีรายได้ที่แน่นอนกันทั้งสิ้น

ฉะนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่า คนพวกนี้ไม่มีเวลาว่างเปล่ามากพอจะฝันถึงการเสกสรรประเพณี กีดกั้นหรือแยกวรรณะ หรือทับถมความประพฤติกัน เหมือนคนพวกชั้นคอวิสกี้ในกรุงเทพฯ และยิ่งได้เห็นความอารีในหมู่พวกเขา ได้วิสาสะกันบ้างกับบางคน จนถึงหลายปากหลายเสียงกันเข้า สุริยาก็ยิ่งเพิ่มความนับถือชาวไทยส่วนหนึ่งซึ่งมีอาชีพอยู่ในป่าดงพงทึบนี้มากขึ้น และด้วยเหตุที่ชักจะได้เพื่อนสนทนาเข้าแล้วนี้เอง สุริยาจึงย้ายที่นั่งอันมีเกียรติลงไปสมทบกับสหายใหม่ ๆ ยังเพิงข้างล่าง คุยกับคนเหล่านั้นเรื่อยไปจนบ่าย และเมื่อบ่ายคล้อยไป นิสัยใจใหญ่ของเขาก็บังคับมิให้คุยกับแขกแต่อย่างเดียว จำต้องมีเครื่องดื่มแก้คอแห้งตั้งไว้ข้าง ๆ ด้วย อันการเลี้ยงประเภทนี้นั้น ถ้าเจ้าภาพไม่ดื่มเป็นเพื่อนเสียบ้างเลยก็ผิดธรรมเนียม ไม่มีใครเคยพบ ดังนั้นจึงไม่เป็นที่น่าประหลาดเมื่อปรากฏว่า จวนเย็นวันนั้นขีดเมาของสุริยาก็ถึงขั้นชอบเล่นวิตถาร กล่าวคือ ซื้อ ‘ไอ้เผือก’ ตวงใส่กระป๋องหูหิ้วกลับไปฝากมลิวัลลิ์ ณ ที่พักของมันอีกสองกระป๋อง ครั้นแล้วพงศาวดารของเขาก็ปรากฏซ้ำเมื่อวันก่อนอีกวาระหนึ่ง

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ