“หม่อมเจ้าสุริยาเยี่ยมสกลหายไปจากเรือ”

วันนี้เวลาราว ๑.๐๐ น. สำนักงานของเราได้รับโทรศัพท์จากบริษัทอิสเอเชียติ๊ก แจ้งว่าหม่อมเจ้าสุริยาเยี่ยมสกล ผู้โดยสารไปกลับคนหนึ่งของเรือภานุรังษี หายสูญไปจากเรือระหว่างเกาะสีชัง กับกรุงเทพฯ เมื่อสอบสวนแล้วสันนิษฐานว่าคงจะพลัดตกน้ำในตอนดึก เพราะตามปกติมีผู้เห็นชอบประทับบนราวลูกกรงจนดึกทุกคืน

คงจะยังจำกันได้ว่า หม่อมเจ้าองค์นี้เป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับเกียรติปริญญาจากโรงเรียนทหารช่าง ของสหรัฐอเมริกา

หนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวสลดใจนั้น กางอยู่ตรงหน้าอรพิน พาดหัวตัวเขื่องส่องอยู่กับนัยน์ตาเธอ ดูเหมือนกับตัวอักษรที่เขียนด้วยไฟ แต่อรพินมิได้เอาใจใส่อ่านข้อความนั้นให้หมดจด ตลอดทั้งความเห็นที่ส่งเสริมข่าวต่อไปอีกหลายบรรทัด เธอบรรจงกรรไกรตัดข้อความนั้นออกทั้งช่องพับรีดเรียบร้อย ครั้นแล้วจึงนำกระดาษนั้นไปเก็บรวบรวมไว้กับสิ่งของสองสามอย่างในหีบไม้ใบใหญ่ ที่ตั้งแทนเก้าอี้อยู่ข้างหน้าต่างในห้องนอนของเธอ

นี่คือที่ระลึกชิ้นสุดท้ายของผู้ชายผู้เป็นสามีของเธอ เป็นหลักฐานยืนยันว่า บัดนี้ท่านชายผู้ทรงพระนามนี้ไม่มีตัวอยู่ในพิภพนี้แล้ว โดยเฉพาะสำหรับตัวเธอมีความรู้สึกประหนึ่งดวงสุริยาประจำโลกได้ถึงกาลแตกดับลับแสงไปสิ้นแล้ว นับแต่วันที่บริษัทเดินเรือได้ส่งผู้แทนนำข่าวเศร้าสลดนี้มาแจ้งแก่เธอ พร้อมทั้งนำสรรพของเครื่องใช้บรรดาที่พนักงานรับใช้ในเรือภานุรังษีรวบรวมได้ในห้องพักของท่านสุริยาฯ ฉะนั้นจึงไม่น่าประหลาดว่า เพราะเหตุใดอรพินจึงไม่ร้องไห้ฟูมฟาย ในเมื่อได้เห็นข่าวสูญหายของท่านชายผู้เป็นสามีปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ เธอรู้สึกเส้นประสาทในกายมันเย็นชาไปหมด ตั้งแต่ได้รับข่าวเป็นวาจาเมื่อวันก่อน เปล่า อรพินไม่ร้องให้ แม้แต่ในวันแรกที่เธอได้ข่าว เธอเคลื่อนไหวกระปรี้กระเปร่า ขณะที่เดินเก็บสิ่งของเครื่องใช้เฉพาะที่เป็นของท่านชาย ไปบรรจุหีบจนหมดสิ้นทุกสิ่ง ไม่ให้เหลือรับสายตาอยู่อีกเลย และวันนี้ตั้งใจว่าเมื่อเก็บกระดาษชิ้นนี้แล้ว ก็จะลั่นกุญแจตายตัวเลย แต่ครั้นถึงเวลาฝาหีบปิดลงมาแล้วจริง ๆ อรพินกลับถอนสะอื้น ทั้งสรรพางค์กายสะท้าน สติอารมณ์อันเคยอยู่ในความควบคุมด้วยดี วันนี้เกิดระส่ำระสายพ่ายแพ้แก่ความโทมนัส ที่อัดอกมาเป็นเวลาช้านาน ทั้งนี้ก็เพราะฝาหีบที่พลาดจากมือตกลงกระทบตัวหีบดังปึงนั่นเอง ทำให้อรพินสะดุ้งเฮือก ความทรงจำหวนไปถึงเสียงและภาพ ซึ่งเคยมีฤทธิ์พอที่จะทำให้เธอร้องให้โฮออกมาท่ามกลางแขกเหรื่อทั้งหลาย และร้องเสียราวกับไม่มีวันจะหยุด ภาพนั้นคือ ชายสองสามคนช่วยกันผลักหีบบรรจุศพมารดาของเธอเคลื่อนเข้ากุฏิเก็บศพ เสียงตัวหีบครูดกับไม้หมอนดังโกรกและหยุดปึง ! เสียงเดียวกับเสียงฝาหีบตกกระชับแน่นกับตัวมันเมื่อกี้นี้ เด็ดขาดแต่มีกังวานสะท้านเข้าไปในอก เป็นเสียงสุดท้ายที่แน่นอัดไว้ในความทรงจำถึงคนที่เรารัก อรพินเวลานี้หมดแล้วซึ่งความกระปรี้กระเปร่า และการฝืนใจระลึกถึงพระธรรมเป็นหลัก เธอเอนศีรษะซบกับท่อนแขนที่ทอดอยู่บนหลังหีบ สะกดความเจ็บปวดในกระบอกตา ขณะที่รู้สึกว่ามีน้ำอุ่น ๆ ซึมออกมาขังอยู่ เธอจะต้องหยุดร้องไห้เป็นทารก เธอจะไม่แสดงกิริยาวิปโยคในการจากไปสู่สุคติของคนที่เธอรักปานชีวิต

แต่อรพินก็คือปุถุชนคนหนึ่ง ที่จะอดใจไม่อาลัยอาวรณ์ถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องพัวพันอยู่ในชีวิตของเธออย่างใกล้ชิดมาแล้วนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ท่านชายสุริยาฯ ในระยะสามปีสุดท้ายนี้ ทรงดำเนินชีวิตเยี่ยงบุคคลที่ถูกสาป แม้จะเป็นผู้ทรงศักดิ์สกุล และได้รับการศึกษาอบรมอย่างยอดเยี่ยม สมกับผู้ทรงศักดิ์และฐานะอันสูงก็ตาม ท่านชายองค์นี้ก็เป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไปว่า เป็นเจ้าที่ไม่เย่อหยิ่ง และไม่ถือองค์เป็นสมมติเทพบุตร ดังเช่นบางคนในศักดิ์สกุลอันเท่าเทียมกัน เคยเป็นผู้มีพระนามเลื่องลือว่าทรงเป็นวิศวกรที่มีวุฒิชั้นพิเศษ และมีความสามารถเป็นเอกในกิจการอันอยู่ในความรับผิดชอบ อรพินรู้ดีว่าพระนิสัยของท่านชายนั้น เป็นผู้ถือว่าอุดมคติของชาย คือ ความเป็นสุภาพบุรุษ ๑ และความเป็นลูกผู้ชายที่จะบำเพ็ญคุณประโยชน์ให้แก่ปิตุภูมิ ๑ ซึ่งพระนิสัยทั้งสองนี้เองที่ทรงได้ชัยชนะในความรักและความมั่นใจของอรพินว่า จักต้องมีอนาคตอันแจ่มใสเคียงคู่กับชายผู้เต็มไปด้วยความละมุนละม่อม อ่อนโยนทั้งวาจาและมารยาทคนนี้ ความจริงก็เป็นเช่นนั้น จะให้อรพินลืมวันลืมเวลาบรมสุขของเธอในปีแรกที่ได้อยู่ร่วมกับสวามีเสียนั้นยากนัก

แต่ครั้นแล้วภัยพิบัติอย่างมหันต์ ก็ได้มาเยือนครอบครัวของอรพินโดยไม่มีวี่แววล่วงหน้าเลย กล่าวคือ หม่อมเจ้าสุริยาฯ เกิดแตกแยกความคิดความเห็นกับผู้บังคับบัญชาอย่างรุนแรงที่สุด จนถึงต้องยื่นใบลาออกจากตำแหน่งหน้าที่ ท่านชายองค์นี้มีอำนาจจิตแรงกล้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กำลังใจของเธอพุ่งแรงในงานอาชีพจนผิดธรรมดาปุถุชน ทั้งนี้ก็เพราะพระชนกของเธอซึ่งมีพระนามอุโฆษมาในทางอาชีพเดียวกันนี้ ได้ทรงสละเวลาและพระอุตสาหะอบรมสั่งสอนท่านชายมาในอาชีพนี้ แทบจะกล่าวได้ว่าแต่ก่อนประสูติทีเดียว ดังนั้น เมื่อปราศจากอาชีพอันเปรียบประหนึ่งชีวิตด้านสำคัญที่สุดของเธอเสียฉะนี้ ท่านชายก็เหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ ทรงถือการสูญเสียอาชีพประเภทนี้เท่า ๆ กับการแตกดับของชีวิตแท้ของเธอเอง

คืนเดียวกันนั้นท่านชายสุริยาฯ ได้พาร่างอันถูกบั่นโค่นล้มทั้งยืน กลับคืนยังเคหสถานในลักษณะที่จะเรียกว่า ‘คลาน’ กลับมาก็ไม่ผิด กลิ่นเหล้าฟุ้งขจรขจายราวกับเอาเหล้าเทราดไปทั่วห้อง อรพินได้เห็นสวามีมีอาการเช่นนั้น เธอเองก็แทบหมดสติ หยิบจับสิ่งใดไม่ถูก ได้แต่ลากวรกายอันปู้ยี่ปู้เยินของหม่อมเจ้าสุริยาฯ ขึ้นพระที่ จัดแจงถอดเปลี่ยนเครื่องทรงกันบนที่นอนนั่นเอง อรพินรู้แจ้งเห็นจริงมาแล้วว่า พระชนกของท่านชายองค์นี้ทรงเป็นนักดื่มฉกรรจ์ แม้ท่านสุริยาฯ เองก็ทรงสำนึกอยู่เป็นอย่างดี หากได้ทรงควบคุมพระองค์มั่นอยู่ด้วยจิตใจอันแน่วแน่ ถึงกับได้เคยประทานคำมั่นว่า จะไม่เสวยน้ำจัณฑ์ถึงห้าแก้ว เพราะทรงทราบดีว่า ครั้งใดที่เสวยติดต่อกันไปถึงห้าแก้ว จะหยุดเสวยเสียไม่ได้ โลหิตในกายจะเดือดพล่าน เรียกร้องให้เธอผู้เป็นโอรส จะทรงดำเนินตามพระบาทพระชนกในฐานะผู้ทรงดำรงวงศ์สกุลเป็นแน่ทีเดียว คืนนั้นท่านชายคงเสวยน้ำจัณฑ์เกินขีดที่ทรงคั่นไว้ แต่ในคืนต่อมาท่านสุริยาฯ ก็คงคลานกลับมาหาเธอในลักษณะเดียวกัน

เมื่อได้ทราบความจริงตามคำสารภาพของสวามีแล้ว อรพินก็ตัดสินใจอภัย เธอปลดเปลื้องความโกรธแค้นชิงชังที่เกิดขึ้นตามวิสัยหญิงออกหมดสิ้น เตรียมตัวคอยปลอบโยนและช่วยเหลือสวามีทุกอย่าง ที่จะนำชัยชนะมาสู่การต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว ที่กำลังอ้าแขนออกรับสวามีของเธอไปสู่ความหายนะ แต่ดังได้กล่าวแล้วว่า ท่านชายสุริยาฯ เป็นบุคคลที่ถูกสาป ฉะนั้นความพยายามก็ดี ความอดทนก็ดี อีกทั้งความจงรักภักดีของเธอ ที่ได้อุทิศให้แก่สวามีโดยไม่มีความเจริญสุขตอบแทนเลยนั้น จึงไม่มีผล ท่านสุริยาฯ กลับกลายเป็นนักดื่มที่ไม่มีวันว่างเว้น โปรดการท่องเที่ยวตามหัวเมืองต่าง ๆ แม้จะทรงหยั่งถึงคุณงามความดีของอรพินในยามที่มีพระสติเป็นปกติ ครั้นถึงยามที่มัวเมาเธอก็ลืมสิ้น ลืมนึกถึงคำตักเตือนและคำวิงวอนของอรพินสิ้นทุกประการ เมื่อไรท่านสุริยาฯ เบื่อการท่องเที่ยวตามหัวเมือง และกลับมาหาเธอดังเดิม เมื่อนั้นอรพินก็ตั้งต้นกระวนกระวายใจต่อไปใหม่ เธอจะต้องนอนหูไว คอยรับโทรศัพท์และรีบออกจากบ้านไปรับสวามีตามโรงพยาบาลบ้าง ตามสถานีตำรวจบ้าง และตามสถานที่เพลิดเพลินต่าง ๆ แล้วแต่กรณีที่เธอได้ไปทำความตกลงกับผู้ใหญ่ประจำสถานที่เหล่านั้นไว้อย่างเรียบร้อยมาตั้งแต่ต้น เมื่อปรากฏว่า สวามีของเธอนั้น บัดนี้ได้รับตำแหน่งใหญ่จากปวงชนทั่วพระนครแล้วว่า ทรงเป็น ‘ขี้เมากลางเมือง’ หมายเลข ๑

แต่ถึงท่านสุริยาฯ จะกลายเป็นบุคคลผู้มีความประพฤติเหลวแหลกเพียงไร อรพินก็ยังมีความเชื่อมั่นเสมอว่า วันหนึ่งสวามีของเธอจะพ้นอำนาจของความชั่วนานาประการเหล่านี้ อรพินยังรักและพร้อมที่จะทนทุกข์ทรมานจิตใจของตนเอง เป็นการบูชาความรักต่อชายผู้น่าสงสารคนนี้ อรพินยังมีความเคารพอันมั่นคงอยู่ในตัวจริงแต่ดังเดิมของท่านชาย พอที่เธอจะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นความปรารถนาของผู้หญิง ขอแต่ให้ท่านสุริยาฯ จงกลับคืนมาสู่วงแขนของเธออีกสักครั้งเถิด แต่คำภาวนาของเธอนั้นบัดนี้ไร้ผลเสียแล้ว การท่องเที่ยวของท่านสุริยาฯ ซึ่งได้เริ่มขึ้นอีกเมื่อต้นปี บัดนี้เป็นอันถึงที่สุดลงแล้ว และเป็นการสิ้นสุดสมดังคำทำนายของบรรดาโหราจารย์ทั้งหลาย ที่เตือนเธอไว้ว่า ‘ชายคนนี้ไม่ตายบนที่นอน...

อรพินคงนั่งปล่อยอารมณ์ให้เลื่อนลอยไปยังเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านไปในชีวิตของเธอ และคงจะนั่งอยู่อีก ถ้าไม่มีเสียงของเด็กทำลายความเงียบในขณะนั้น เธอหันไปดูทางต้นเสียง ถอนหายใจยาวเยือก ครั้นแล้วก็ยกเบาะขึ้นวางบนหลังหีบ จัดชายครุยให้ลงมาคลุมจนหีบไม้นั้นลับตาเข้าไปในกระโปรงจีบสีดอกพุดตาน

เธอรีบเดินมาหยุดหน้าเตียงเล็ก เปิดมุ้งขึ้นพิจารณาใบหน้าของเด็กชายน้อย อายุประมาณสองปี เห็นหลับตาพริ้ม ทิ้งแขนกางออกเต็มที่นอน กมล สุริยา !

“ทำท่าราวกับจะบินเทียวนะ” เธอพูดดัง ๆ “พ่อหนูคนเดียวเป็นสมบัติของพ่อที่แม่จะเก็บเอาไว้กับของอื่นไม่ได้ ดวงใจของแม่ ไม่ต้องทำท่าราวกับจะบินหนีแม่ไป”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ