เบื้องบนซ้ายมือ-เชือกเกลียว หนังควาย ลอยสูงอยู่สุดเอื้อม ทิ้งจังหวะราวนับหนึ่งถึงห้าจึงได้ฟาดลงพาดหลังผู้ต้องโทษ เว้นระยะครึ่งนาทีเชือกหนังอย่างเดียวกันทางเบื้องขวาก็ลอยขึ้นและฟาดฉับลงในขณะเดียวกัน เป็นการปฏิบัติที่สม่ำเสมอในจังหวะที่แน่นอนสลับกัน ซ้ายทีขวาทีตามคำบงการของผู้เป็นประธาน ซึ่งขณะนั้นยืนเท้าสะเอวร้องตะโกนไม่ขาดเสียงว่า

ซ่าย...ขวา...ขวาเย่าะแย่ะ... ซ่ายดี๋ !

การลงทัณฑกรรมคงดำเนินต่อไป โดยไม่ฟังเสียงครวญครางและเมตตา กิริยาที่ผู้ต้องโทษบิดตัวบอกความเจ็บปวดแสนสาหัสนั้น บรรดาชายหญิงที่ยืนมุงกันเป็นกลุ่ม ต่างก็พึมพำออกความเห็น บางคนก็ยืนขบกรามแน่นและมีน้ำตาคลอหน่วย บางคนก็กระซิบบอกกันต่อ ๆ ไปว่า การลงทัณฑ์วันนี้ ถ้าไม่มีผู้กำกับเครื่องชักลากยืนกำเป็นประธานอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ก็คงจะลดการโบยผู้ต้องโทษลง เพียงสักห้าหกสิบทีเท่านั้นเพราะความเวทนา

ชายร่างสูงโปร่งที่ยืนพิงต้นไม้อยู่หลังกรรมกรกลุ่มหนึ่ง ถัดออกมาห่างจากฝูงชนชาวละแวกนั้น ได้ยินเสียงพึมพำแสดงความสงสารผู้ต้องโทษถนัดชัดเจน ได้เห็นภาพซึ่งพลอยทำให้อกใจของเขาร้าวระบมไปทุกครั้งที่เสียงขวับ ๆ เกิดขึ้น จนรู้สึกว่าไม่สามารถจะนิ่งดูภาพสลดใจนั้นได้อีกต่อไปแล้ว แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่สิ้นสงสัย ยังไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ตรงหน้าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ความฝันดอกหรือ ?

ยังจำได้ว่าเมื่อคืนนี้ตอนค่ำเขาได้รับเชิญจากกัปตันให้ไปดื่มและสนทนากัน เป็นการสั่งลาในห้องของแก อยู่จนถึงเมื่อไหร่ก็ออกจะลืม ๆ เลือน ๆ ขากลับออกมาดูเหมือนเขาได้แวะยืนเกาะลูกกรงดาดฟ้า ดูกระแสน้ำที่เรือแล่นตัดแตกกระจายเป็นละลอกใหญ่น้อย เห็นหัวคลื่นเป็นฟองขาวซัดกันหายลับไปในเงามืดดำมะเมื่อมเบื้องหน้า นึกออกลาง ๆ ว่าเรือได้เบนหัวเหเข้าจอด แต่เขาก็ไม่ทราบว่าที่เรือจอดนั้นเป็นเมืองอะไร และไม่ทราบว่าเป็นความผิดหรือถูกด้วย ในเวลาที่เขาผละออกจากราวลูกกรง เดินเปะปะลงบันได ก้าวผิดก้าวถูกลงไปนั่งปะปนกับคนโดยสารสองสามคนในเรือแจวที่มาจอดเทียบอยู่กับเรือใหญ่ ต่อจากนั้นไม่ช้า เขาก็โหนตัวขึ้นเกาะสะพานเวลาเรือแจวชะลอเข้าเทียบ ครั้นแล้วก็เดินเรื่อยไปจนถึงลังโล่ง ๆ โถง ๆ ใบหนึ่งขวางทางอยู่ เขาจำได้ดีว่าได้ทรุดตัวนั่งพักบนลังนั้นเพราะคิดขึ้นมาได้ว่า ไม่ควรจะเดินให้ไกลเรือ และด้วยความเข้าใจว่าไม่ช้าเรือแจวลำนั้นก็คงจะแจวออกมาอีก และเมื่อแจวผ่านมาก็คงจะแวะรับตัวเขากลับไปเรือใหญ่ด้วย และเชื่อแน่ว่าเรือคงไม่แล่นกลับออกไปโดยเจตนาจะทิ้งผู้โดยสารไว้ที่ไอ้สะพานยาวเกะ ๆ กะ ๆ นั้น

ก็แล้วนี่อย่างไรเล่า พอรุ่งสว่างเขากลับได้เห็นแผ่นน้ำกลายเป็นแผ่นดิน คลื่นหัวขาว ๆ กลายเป็นต้นไม้ใหญ่น้อยยืนเบียดเสียดเยียดยัดกันเป็นป่าทึบ ผู้คนทั้งหลายทั้งชายหญิงอยู่ในลักษณะเตรียมพร้อมจะออกประกอบกิจประจำวันของตน และที่ประหลาดที่สุด ก็คือ เบื้องหน้าออกไป เขาได้เห็นช้างเผือกเชือกหนึ่ง ถูกมัดขาทั้งสี่ตรึงไว้กับหลักใหญ่ยืนกรานอยู่กับที่ มิหนำซ้ำถูกโบยทั้งซ้ายขวา หรือว่าอาการโรคคลั่งเพราะพิษแอลกอฮอล์ขึ้นจับสมอง ซึ่งทั้งหมอหลายหมอและญาติมิตรได้ทำนายทายทักกันไว้หนักหนานั้นเป็นเวรกรรมตามมาทันเขา ขณะที่การพยายามอดเหล้าครั้งสุดท้ายของเขากำลังล้มเหลวไปอีกวาระหนึ่ง ในขณะที่อยู่ห่างจากขวดเหล้านาน ๆ เหมือนดังเช้าวันนี้ ? เขามีสติสัมปชัญญะ รู้ดีว่าวิธีอดเหล้าโดยออกเที่ยวทะเลไปกลับกับเรือภานุรังษีนี้ เป็นวิธีที่ผิดอย่างมหันต์ และยิ่งกว่านั้นนิสัยรั้นดึงดันของเขาคงจะไม่ยอมโน้มน้อมอนุโลมตามคำวิงวอนของอรพิน หรือญาติวงศ์พงศาใด ๆ อีกในโอกาสต่อไป เพราะคนอย่างเขาทนไม่ได้ที่จะแสดงความย่อท้อล้มเหลวไม่ว่าในสิ่งใด ๆ ให้ประจักษ์เป็นที่น่าสมเพชเวทนาแก่ใคร แม้แต่เป็นความล้มเหลวของการพยายามกลับตัว จากประเภทบุคคลไม่มีประโยชน์เป็นบุคคลมีประโยชน์ ความคิดความรำพึงซึ่งกำลังเลื่อนลอยไปนั้น ถูกฉุดกระชากกลับมาสู่ความรู้สึกตัวในเหตุการณ์เฉพาะหน้าด้วยเสียงแผดร้องดังก้องป่า รับกันระหว่างช้างที่ต้องโทษ กับช้างอิสระตัวหนึ่งที่ล้มตัวอยู่ในดงไม้ใหญ่ ความสงสัยในปาฏิหาริย์ของตัวเองก็กลับคืนมา เขาไม่ได้คลั่งแน่ อวัยวะทุกส่วนของเขายังปฏิบัติหน้าที่ของมันครบถ้วน ช้างตัวนั้นแผดเสียงร้องทีไร ก็ทำให้เขารู้สึกว่าเชือกหนังแห้งที่เจ้าหน้าที่ฟาดลงบนหนังสดของมันเสียวสะท้านเข้าไปในหัวอกของเขาด้วย ฉะนั้นแทนที่จะทนฝืนใจดูการทรมานสัตว์ และพลอยตื่นเต้นไปกับพวกผู้ชายสองสามคนนี้ เขาจึงตกลงใจว่าจะต้องหาหนทางออกจากบริเวณนี้กลับไปลงเรือดีกว่า ขืนอยู่ต่อไปเขาคงจะอดแสดงปริเวทนาการไปกับสัตว์ที่น่าสงสารนั้นไม่ได้ ซึ่งถ้าขึ้นแสดงตัวเช่นนั้นไปจริง ๆ ก็จะกลายเป็นสอดมือเข้าไปในกิจธุระของผู้อื่น อันเป็นการกระทำที่เขาสาปอย่างเข็ดหลาบมานานหนักหนาแล้ว

ขณะที่ยืนตรึกตรองหาหนทางช่วยตนเอง ก็เกิดความสงสัยขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่า ในสถานที่นี้เป็นป่าเป็นดอน มีคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบเดียวกัน คือ กางเกงสีกรมท่าขาสั้น เสื้อผ่าอกสีเดียวกัน ทั้งเสื้อทั้งกางเกงมีลักษณะเหมือนไม่เคยโดนน้ำเลย จนเห็นเหงื่อไคลเป็นคราบเกาะอยู่ตามขอบเสื้อกางเกง ส่วนที่ประชิดติดผิวหนังมีกลิ่นฉุนระเหยออกจากร่างของคนพวกนี้ทุกครั้งที่ขยับตัวไปมา แสดงความสนุกสนานในการดูสัตว์ถูกทรมาน ท่วงทีกิริยาที่คนเหล่านั้นหันมาดูเขา ก็ไม่เห็นแสดงว่าติดใจซักไซ้ไล่เลียงว่า เขาเป็นใครมาจากไหน นอกจากจะซุบซิบพลางดูเครื่องแต่งกายของเขาพลาง แล้วก็หันไปเฮฮากันตามเดิม ฉะนั้นถ้าหากเขาจะนำความฉงนที่มืดคลุ้มอยู่ในหัวสมอง ไปเจียระไนขอพึ่งคำแนะนำจากเหล่ากรรมกรที่พูดภาษาไทยกันในศัพท์สำเนียงที่แปร่งหูเขา จนบางครั้งจับความไม่ได้เลยนี้ก็คงไม่ได้รับความสว่างอะไร

เขายืนหันรีหันขวางไม่ตกลงใจว่า ควรจะนำเรื่องของเขาเข้าไปเล่าให้เป็นที่ขบขันแก่คนเหล่านี้หรือไม่ ทันใดนั้นภาพปาฏิหาริย์อีกภาพหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เป็นภาพชายหนุ่มสูงสันทัด รูปร่างล่ำสันค่อนข้างอ้วน แต่งกายรัดกุมด้วยกางเกงขาสั้นสีน้ำตาล และใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดรีดเรียบ สวมถุงเท้ายาวหนา รองเท้าหนังสีน้ำตาล ชายคนนั้นเดินมาหยุดห่างไปทางขวามือ เขาถอดหมวกกันแดดออก ลูบทรงผมที่หวีเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนกิริยาอย่างนี้เป็นนิสัยติดตัวมากกว่ารักงาม

“นี่อะไรยังไม่ครบอีกหรือ ? งานข้ามีเว้ย มัวสนุกอยู่ไม่ได้” เขาพูดดัง เสียงไม่แปร่งเพี้ยนเหมือนที่ได้ยินคนอื่นพูด

“ลงมือสายโขแล้วขรับน้าย !” ชายผู้ทำหน้าที่เหมือนหนึ่งประธานพิธีโบยรายงาน

‘น้าย’ ทำสีหน้าเบื่อหน่าย เดินเร่จะไปทางอื่น ก็พอดีเหลือบเห็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง เดินออกจากกลุ่มกรรมกรมาสกัดหน้าเขาไว้ ความประหลาดใจอย่างใหญ่หลวงก็เกิดขึ้นแก่ชายเจ้าของถิ่นเช่นเดียวกัน ทรวดทรงของเขาผู้แปลกหน้านั้นสูงโปร่ง หน้ายาวเสี้ยม ผิวหน้าบาง แม้จะเห็นเป็นคนขาวก็ดูเหมือนสีหน้ากร้านไปเพราะแดดลม เขานุ่งกางเกงสากล ขายาว เสื้อเชิ้ตคอแบะ และสวมเสื้อสักหลาดสีน้ำเงินแก่ทับอีกชั้นหนึ่ง รองเท้าผ้าใบไม่มีส้นสีขาวเหมือนกางเกงและเสื้อ แต่เสื้อทุก ๆ ชิ้น แม้จะแสดงว่าเป็นของดีมีราคาสูง ก็มีลักษณะช้ำยับปู้ยี่ปู้เยิน มีรอยเปื้อนดำด่างอยู่ตรงแขนเสื้อ ที่กางเกงและรองเท้ามอมแมม ผมหรุบลงมาปรกหน้าผาก ลักษณะเคลื่อนไหวนั้นว่องไว และมีท่วงทีองอาจไม่สมกับเครื่องแต่งกาย ที่เปื้อนปอนด้วยเถ้าถ่านตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ชายหนุ่มเจ้าของถิ่นเหลียวไปทั่วเพื่อมองหาคณะท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ก็ไม่เห็นใครที่แต่งกายแบบนี้ หรือคล้าย ๆ อย่างตัวนี้นอกจากตัวเอง จะว่ามีคณะเที่ยวก็ยังเช้าเกินไป หรือว่านายคนนี้จะมาหาโชคลาภในทางการพนันกับพวกกรรมกรเช่นเดียวกับนักเลงการพนันทั้งหลาย

เมื่อชายทั้งสองมายืนเผชิญหน้ากัน แล้วต่างฝ่ายต่างก็มองตากันอยู่ด้วยความสนเท่ห์ ต่างฝ่ายต่างก็อยู่ในกิริยาที่กำลัง ‘หยั่ง’ กันอยู่ในที

“ประทานโทษ” ชายหนุ่มผู้พลัดถิ่นเป็นผู้เริ่มเอ่ยปากขึ้นก่อน “คุณเห็นจะเป็นผู้ใหญ่อยู่ที่นี่” คำถามของเขาค่อนข้างห้วน แต่สำเนียงที่พูดเรียบราบ กระแสเสียงกลมกล่อมมีกังวาน ทั้งชัดถ้อยชัดคำเยี่ยงผู้ที่ได้สมาคมอยู่ในสำนักสูง ทำให้ผู้ที่ยืนคอยเตรียมตัวและวุ่นวาย ตัดสินใจไม่ตกลงว่าจะลำดับคนแปลกหน้าเข้าในบุคคลประเภทไหน ต้องหลุดปาก สนองคำถามของเขาออกไปในทันทีทันควันว่า

“ครับ ผมมีตำแหน่งเป็นผู้กำกับการป่าไม้ด้านนี้” เขาตอบแล้วจึงชักกล้องยาออกจากปาก วาจาก็ดี กิริยาที่แสดงคารวะกันอยู่ในทีก็ดี เป็นไปเสมือนหนึ่งต่างฝ่ายต่างถูกบังคับด้วยอำนาจแห่งราศี ที่แฝงอยู่ภายใต้บุคลิกลักษณะ อันจะทราบชัดได้ก็ด้วยสัญชาตญาณ และมิใช่สิ่งที่จะอธิบายออกมาเป็นภาษาคำพูด หรือด้วยตัวอักษรได้

ทางฝ่ายชายผู้พลัดถิ่น เมื่อเข้าใกล้ได้เห็นสีหน้าแสดงความเป็นคนมีอารมณ์ดี เห็นนัยน์ตากลมใหญ่แสดงความเฉียบแหลมของอีกฝ่ายหนึ่งเช่นนั้นแล้ว เขาก็ปุบปับตัดสินใจที่จะขอให้เจ้าของถิ่นช่วยปลดเปลื้องความสงสัยแคลงใจอันเกี่ยวแก่การมาของเขาเสียที

“ถ้าฉะนั้นบางทีคุณจะให้ความสว่างได้ว่า ทำไมเมื่อคืนนี้ผมอยู่ในเรือแท้ ๆ เช้านี้ผมจึงดันมาอยู่ในป่า ?”

ความเข้าใจของผู้กำกับป่าไม้ด้านในเรื่องการมาหาโชคลาภของเขาผู้นี้หายไปสิ้น เขามองผู้ถามอย่างงงงวย ครั้นแล้วก็คล้ายกับว่าเขามองทะลุสง่าราศี และบุคลิกลักษณะทั้งมวลของชายผู้แปลกหน้าไปสู่ตัวจริงได้ จึงถามว่า

“คุณจำได้ไหมว่าคุณมาเรืออะไร ?”

“ภานุรังษี”

“โอ !” นายด้านก้มศีรษะแทบโค้งไปทั้งตัว “การเดินทางของคุณช่างพิสดารจริง ภานุรังษีแวะมาส่งถุงไปรษณีย์ กับรับคนโดยสารกลับกรุงเทพฯ เท่านั้นแหละครับ ผมกะราว ๆ ตีสามเมื่อเรือมาจอดที่ศรีราชา เขาจอดประเดี๋ยวเดียว แต่ที่ที่คุณยืนอยู่เดี๋ยวนี้คือ ป่าไม้ด้านหนึ่งของบริษัทศรีราชา ห่างจากศรีราชาห้าสิบกิโลเมตร

“ผมนั่งอยู่บนลัง เห็นติดตาว่าเรื่อยังอยู่ เอ-ยังไงเขาจึงทิ้งคนโดยสาร” ชายคนนั้นหยุดพูดกัดริมฝีปากเป็นเชิงตรึกตรอง หมอกแห่งแอลกอฮอล์ยังคงครอบคลุมสมองของเขาอยู่ “ดูเหมือนผมจะโดดลงเรือเล็กแล้วไปไต่ขึ้นปลายสะพานอะไรยาว-ยาวแยะเทียว ผมเดินไปหลายก้าวยังขึ้นบกไม่ได้ พอเห็นรถหรือลังอะไรก็ไม่ทราบ หรือรูปร่างรถคล้ายลังจึงนั่งหยุดพัก แล้ว-แล้วผมปาฏิหาริย์เข้ามาในป่าคุณได้อย่างไร ?”

ชายหนุ่มเจ้าของถิ่นทำสีหน้าเหมือนพยายามจะกลั้นหัวเราะ

“ไม่ยากหรอกคุณ ผมพอจะเดาได้แล้ว อภัยนะครับ เมื่อคืนนี้เห็นจะมีการเลี้ยงอย่างมโหฬารในเรือ ?”

ชายผู้พลัดถิ่นทำหน้ายิ้ม “ครับ ตั้งแต่ลงเรือออกจากกรุงเทพฯ ดูเหมือนเพิ่งว่างเช้าวันนี้เอง และโดยที่วันนี้เราจะจากกัน ทั้งกัปตันเอนยิเนียผู้โดยสารไทยคนหนึ่งเทศสอง เลยโหมกันใหญ่”

เพื่อแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวในความนิยมร่วมกัน ผู้กำกับด้านจึงสนองขึ้นว่า

“ครับ เวลาลงเรือไปในทะเลเป็นเวลาเหมาะที่สุด ผมเห็นใจ”

“ประเดี๋ยวก่อน ถึงผมจะมึนเท่าไหร่ก็ยังเห็นว่าน้ำเป็นน้ำ แต่นี่มันชอบกล พอลืมตาขึ้นเห็นกลายเป็นป่า”

“ไม่ยากหรอกครับ คุณขึ้นไปนอนหลับอยู่บนรถบรรทุกฟืน คือว่าตอนเย็นเราใช้รถไฟพารถซุงไปส่งที่ท่าเรือ พอเขากว้านไม้ลงเรือหมดแล้ว ตอนเช้ามืดรถขบวนนั้นก็กลับขึ้นป่า บรรทุกสิ่งของใช้มาบ้าง ลังที่คุณว่าขึ้นไปนอนเล่นคงเป็นรถคันท้าย ซึ่งเป็นรถบรรทุกฟืนลงไปจากป่า เผอิญเที่ยวเมื่อคืนนี้ไม่มีของจะบรรทุกขึ้นป่า จึงไม่มีใครไปตรวจดูเมื่อขากลับ”

“เรือที่คุณเห็นต้องเป็นเรือไฟที่บริษัทใช้ลากเรือโป๊ะบรรทุกไม้ซุงเข้ากรุงเทพฯ จอดเทียบหัวสะพาน ส่วนภานุรังษีของคุณเขาจอดข้างนอกห่างสะพานมาก มันคงจะเหลื่อมล้ำเรือของบริษัทนิดหน่อย ดูไกล ๆ เวลาแล่นออกไปสังเกตไม่แม่นก็ไม่รู้สึกว่าเรือแล่น คุณคงไม่สังเกต เพราะคุณเห็นเรือบริษัทจอดลับตาอยู่ เรือบริษัทก็กำหนดเข้ากรุงเทพฯ เช้านี้เหมือนกันครับ คุณคงหลับสนิทอยู่บนรถเปล่า ปล่อยให้รถไฟพ่วงขึ้นมาถึงที่นี่ แม้เสียวไส้” นายด้านทำปากเบ้ เป็นนิสัยอีกอย่างหนึ่งเมื่อเขานึกขำและนึกหวาดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน “ถ้ารถมันสลัดคุณกลิ้งลงไปก็จบกัน”

ผู้ฟังยกมือขึ้นเสยผม ทำหน้าเก้อ

“จริงครับ ผมมึนมากไปหน่อย”

“แต่คุณจะกลับกรุงเทพฯ ก็มีรถเมล์ไปได้” นายด้านอธิบาย แต่ดูเหมือนผู้ฟังไม่สู้จะสนใจเรื่องถนนหนทางกลับกรุงเทพฯ มากไปกว่าสถานที่ปัจจุบันนี้เสียแล้ว

“ป่านี้อยู่ไหนนะครับ คุณว่าเมื่อกี้ ?”

“นี่เป็นบริเวณป่าของบริษัทป่าไม้ศรีราชา ชื่อด้านหมื่นจิตต์ ห่างจากบริษัทห้าสิบกิโลเมตร

“อ้อ ! ก็พิสดารดีหรอก การเดินทางของผม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง” กล่าวเพียงนี้แล้วก็หยุด

ทันใดนั้นก็มีเสียงครวญครางดังก้อง เป็นเสียงที่แหลมกว่าคราวก่อน ๆ ชายทั้งสองต้องหันไปมองผู้ต้องโทษที่ทำเสียงโหยหวนเป็นที่น่าเวทนา ‘นายด้าน’ เม้มริมฝีปาก อีกคนหนึ่งกัดกราม

“ผมอยากจะทราบอีกเรื่องหนึ่ง นั่นเขาตีช้างเล่นทำไม ผมสงสารจนดูไม่ไหวแล้ว” เขาถามนายด้านเสียงเครือ ๆ

“ไม่ตีเล่นหรอกครับ ตีกันจริง ๆ เทียว ตามคำสั่งของผู้จัดการบริษัท คือว่า เมื่อวานซืนมันแทงควาญของมันเองตายคาที่ ผมทำเรื่องยื่นขึ้นไป ทางโน้นก็บัญชามาเมื่อคืนนี้ให้จัดการลงอาญาโบยร้อยหนึ่ง กับให้ย้ายแม่มันมาสั่งสอนกันอีกพักหนึ่ง มันเก่งงานที่สุด ไอ้เจ้ามลิวัลลิ์ตัวนี้ แต่มันก็ดื้อเกเร เป็นจอมเหมือนกัน” นายด้านหยุดพูดหันไปทางนักโทษสี่เท้า ครั้นแล้วจึงกล่าวสืบไปว่า “เชิญคุณอยู่ทางนี้ก่อน ผมมีธุระจะต้องไปแล้ว โน่นครับ ตรงไปแล้วเลี้ยวขวา มีอาหารขายตามมีตามเกิด บ่าย ๆ ได้เวลารถกลับ ผมจะแวะมารับคุณฝากเขาไปศรีราชา”

ชายแปลกหน้ากล่าวคำขอบใจเจ้าของถิ่น แล้วก็จำต้องหันกลับออกเดินไปทางกลุ่มคนที่ยืนดูการลงทัณฑกรรมนักโทษ พลายมลิวัลลิ์ ผู้ซึ่งขณะนี้ยิ่งเพิ่มเสียงครวญครางดังขึ้นกว่าเก่า

เมื่อการลงอาญาโบยนักโทษช้างดำเนินไปจนครบถ้วนตามอัตราที่กำหนดไว้ เจ้าหน้าที่จึงทรมานให้คุกเข่า ให้โห่ ให้ไหว้ จนมลิวัลลิ์อ่อนหู แล้วเจ้าหน้าที่ก็แก้เชือกที่ตรึงมันไว้ทั้งสี่ขาออก จัดการตกปลอกใหม่ ต่อจากนั้นอีกสักครู่ควาญก็ไสช้างแก่ตัวหนึ่งมายืนเทียบกับเจ้ามลิวัลลิ์ ลำดับนั้น เหตุการณ์อันน่าสนุกสนานสำหรับชาวบ้านก็เกิดขึ้น กล่าวคือ ช้างแก่ยกงวงของมันขึ้นฟาดป้าบ ๆ ลงบนหลังมลิวัลลิ์ติดต่อกันไป

“เอา ยายมา ตีเข้า เอาให้เข็ด อีกทีแม่ อีกที แรง ๆ หน่อย !” เสียงคนเสมอนอกและมีเสียงฮา ๆ ดังสนั่น โดยต่างคนต่างก็ไม่เอาใจใส่กับคำตักเตือนของนายด้าน ที่ร้องตะโกนห้ามมาด้วยความเป็นห่วงคนงานของเขา เกรงว่าเจ้ามลิวัลลิ์จะผูกใจเจ็บ และเกิดความพยาบาท อันอาจเป็นภัยแก่ตัวเขาทั้งหลายเหล่านั้นเอง

ฝ่ายช้างที่ต้องโทษจากมือมนุษย์มาพักหนึ่งหยก ๆ แล้ว มิหนำซ้ำยังได้รับการสั่งสอนจากงวงของแม่อีกต่อหนึ่ง ก็สุดที่จะสะกดกลั้นความเสียใจน้อยใจต่าง ๆ ได้ แม้เสียงร้องของมันผ่อนค่อยลงจนนิ่งแล้ว กิริยาที่มันแสดงความเสียใจนั่นแหละกลับมีน้ำหนักยิ่งกว่าเสียงร้องมาก มลิวัลลิ์ยืนน้ำตาไหลพรากและยืนนิ่ง ไม่พยายามจะหลบงวงยายมาแม่มัน ไม่ดิ้นรน หรือทำอาการฮึดฮัด เหมือนเมื่อมันถูกโบยจากคนเมื่อครู่นี้ ข้างยายมาเห็นว่าได้ลงโทษลูกชายจนสะใจ และตัวแกเองก็หอบตัวโยนเหนื่อยแทบขาดใจตามวิสัยผู้ชราแล้ว ก็ยุติการเฆี่ยนตี ยืนนิ่งโยกตัวส่ายไปมา เหมือนจะบอกว่า “โอ๊ย อิฉันเหนื่อยแล้วเจ้าค่ะ เท่านี้เห็นจะพอที มันเข็ดแล้ว หลาบจำบ้างหนาไอ้ลูกระยำ มึงละเกเรไม่มีใครเหมือน คราวหน้าคราวหลังท่านฟ้องมาอีกแม่จะเฆี่ยนให้เนื้อขาด !”

เมื่อการลงโทษจากนายและจากแม่บังเกิดหัวเสร็จสิ้นลงแล้ว ควาญก็นำยายมาเดินดุบดิบกลับที่อยู่ ควาญสำรองก็นำข้าวและของกินต่าง ๆ มากองสุม ๆ ไว้ตรงหน้าพลายมลิวัลลิ์ ออกปากเชื้อเชิญให้มันกินโดยดี เหมือนกับว่าไม่มีเหตุการณ์แสลงใจใด ๆ เกิดขึ้นแก่มัน แต่แทนที่มลิวัลลิ์ จะกินให้สมความหิวกระหาย มันกลับยืนนิ่งน้ำตาไหล ไม่แตะต้องอาหารเหล่านั้น หรือแม้แต่แสดงว่าอยากกิน

“ทำใจน้อยไปน่าพ่อมลิ เขาให้กินก็กินเข้าไปเถอะ ประเดี๋ยวหิวขึ้นมา จะไม่มีอะไรกินนะ หรือพี่ชายจะเสพสุรา” ผู้กำกับเครื่องชักลากที่เป็นประธานพิธีตะโกนสัพยอกออกมา ซึ่งพอสิ้นเสียงก็ฮากันครืน เพราะทุกคนในที่นั้นยังจำได้ว่า มลิวัลลิ์ไปขโมยเหล้าเถื่อนของชาวบ้านกินถึงสิบไหซอง ขณะที่เหล้านั้นยังอยู่ในเกณฑ์ต้องหมักไว้

“อ้อ ช้างตัวนี้ชอบกินเหล้าหรือ พ่อลุง ?” ชายแปลกหน้าถามคนที่อยู่ใกล้

“เขาเพิ่งจะริอ่านย่ะ” กรรมกรผู้ใหญ่หันมาตอบ “เมื่อวันซืนนี้เอง ชาวบ้านเขาต้มเหล้าหมักไว้สิบไหซอง ไอ้มลิแอบไปขโมยกินเสียเรียบทั้งสิบไหไม่มีใครรู้ พอควาญเขาตามจับได้ มันก็ไม่เป็นอันทำงาน แล้วยืนตาปรือขรึม นายแกว่ามันเจ็บต้องปลดเข้าโรงไป ประเดี๋ยวสิพอชาวบ้านเขามาเอะอะฟ้องว่าไอ้มลิไปขโมยเหล้าเขากิน เขาตีราคาเท่าข้าวหนึ่งไร่ นายก็ต้องใช้เขาไป โอย มันเก่งย่ะ มันรู้งาน ไอ้มลิตัวเดียวทำงานเท่าช้างสามตัว วันที่มันเมาเขาต้องใช้ช้างถึงสามตัวทำแทน นี่ใคร ๆ ที่มาดูแล้วโห่ร้องป้องปีกน่ะ ระวังเถอะมันต้องจองเกลียด พวกฉันใครบอกให้เฆี่ยนไอ้มลิไม่ค่อยเอา นี่ถ้าผู้กำกับวินเขาไม่อยู่ก็ไม่เท่าไหร่”

“ประเดี๋ยวพ่อลุง ไอ้ที่ชาวบ้านเขาต้มหมักน่ะ เขามีขายที่ไหน เราไปคุยกันที่นั่นไม่ดีรึ ?”

กรรมกรแก่กระชับผ้ายี่โป้สีแดงรอบสะเอว เสร็จแล้วจึงชี้มือไปข้างหน้า พาแขกบ้านออกเดินดุ่ม ๆ ไปตามความมุ่งหมาย

ในที่สุด ตะวันก็บ่ายคล้อยต่ำ เตือนให้บรรดาคนงานทั้งปวงรู้ว่า เวลาประกอบกิจประจำวันของเขากำลังจะผ่านไปแล้ว เจ้าหน้าที่คัดเลือกและลำดับรถบรรทุกซุงรายงานไปยังมูลนายของตนว่า บัดนี้พร้อมที่จะเดินทางกลับศรีราชาแล้ว คำบอกเล่านี้ทำให้ชายหนุ่มหัวหน้าระลึกขึ้นได้ว่า ยังมีบุคคลประหลาดอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นภาระที่เขาเห็นควรจะปลดเปลื้องไปเสีย เพื่อความสวัสดิภาพของผู้นั้นเอง จึงได้มีคำสั่งให้กุลีไปตามตัวคนประหลาดนั้นมา เพราะจวนเวลาที่รถจะออกแล้ว

กรรมกรกลับมาภายในเวลาสิบนาที

“ถ้าจะไม่ไปครับ นายไปดูเอาเองเถอะ” เป็นคำบอกเล่าที่ผู้เป็นหัวหน้าชักจะแปลกใจ จึงยอมสละงานออกไปดูเอง

ภาพที่ปะตาชายหนุ่มข้างหน้า เป็นภาพที่อาจทำให้คนใจอ่อนน้ำตาไหลได้ ในลานใหญ่เบื้องหน้า เขาเห็นมลิวัลลิ์กำลังคุกเข่าใช้งวงลูบไล้ตามตัวชายคนหนึ่งที่นอนซบอยู่ข้าง ๆ ตัวมัน ในยามที่มันอยู่ในอารมณ์ดี มลิวัลลิ์รู้จักแสดงตัวเป็นมิตร รู้จักจะให้ความคุ้มครองแก่บุคคลซึ่งเป็นที่ชอบอัธยาศัยของมัน ก็เพราะเหตุใดเล่าเขาผู้เป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น จึงสามารถมาน้อมโน้มหัวใจมลิวัลลิ์ให้โอนอ่อนจนถึงละพยศ ยอมคุกเข่าลงคลุกคลีกับสหายหน้าใหม่ได้รวดเร็วนัก ?

ชายหนุ่มเจ้าของถิ่นรีบสาวเท้าไปดู เพราะไม่ไว้ใจว่ามลิวัลลิ์จะละพยศได้จริง ๆ ฉวยพลาดท่ามันบันดาลโทสะขึ้นมา ความหุนหันพลันแล่นของมันก็อาจจะปลิดชีวิตชายเคราะห์ร้ายนั้นเสียได้ในพริบตาเดียว แต่พอเข้าใกล้เขาก็ได้เห็นซากของปัจจัยที่เชื่อมมิตรภาพของมนุษย์และสัตว์ ก่อนอื่น สิ่งนั้นคือกระป๋องหูหิ้วบรรจุเหล้า ‘เผือก’ เหลืออยู่ติดก้นกระป๋อง มลิวัลลิ์อาจจะต้องการสุราน้ำขาวหรือ ‘ไอ้เผือก’ (ตามนามที่ชาวบ้านตั้งให้) มากกว่ากระป๋องหนึ่งหลายเท่าจึงจะซบเซาไปได้ แต่มนุษย์ธรรมดาสามัญ แม้จะเป็นนักเลงสุราชั้นชายแปลกถิ่นผู้เดินทางเข้ามาในป่าโดยไม่รู้ตัวก็ตาม คงไม่ต้องการ ‘ไอ้เผือก’ ตั้งครึ่งกระป๋องเป็นแน่ จึงซานเซฟุบไม่เป็นท่าอยู่ข้างกองอาหารช้างเช่นนั้น

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ