๏ สารสัญญาว่าไว้อย่าใหลหลง |
ดังจดหมายบันทึกจารึกรง |
ให้สองคงคำสัตย์ปัฏิญาณ |
ถึงมาดแม้นนานไปใครได้ปลื้ม |
ก็อย่าลืมเรื่องรักสมัคสมาน |
ที่จริงใจนั้นจะให้จิรังกาล |
จึงสู้หาญหักสวาทในราชทัณฑ์ |
ไม่เกรงผิดคิดอายเสียดายพักตร์ |
เพราะว่ารักจะใคร่ร่วมภิรมย์ขวัญ |
เศร้าฤทัยมิได้ชื่นสักคืนวัน |
แสนกระศัลย์โศกสมรอาวรณ์ครวญ |
ครั้นคิดยามเมื่อได้ยลวิมลโฉม |
ยิ่งเศร้าโทมนัสร่ำแต่กำศรวญ |
ไม่วายตรึกนึกถึงคนึงนวล |
โอ้ประมวญเหมือนหนึ่งอุนากรรณ |
ได้ภิเปรยเชยชิดสนิทแนบ |
จนอิงแอบเนื้อน้องประคองขวัญ |
แต่จำจนจึงต้องขัดที่อัศจรรย์ |
ก็อย่างกันกับอกวิตกกรอม |
ถึงจะมีอิสัตรีเปนที่ชื่น |
ก็ไม่รื่นเหมือนกลิ่นประทิ่นหอม |
ยิ่งคิดยิ่งกำสรดแต่อดออม |
สู้ถนอมใจฝืนทำชื่นพักตร์ |
อันรสสลาซองยังปองถวิล |
ครั้นคืนกินสลาพานต้องหาญหัก |
ให้รนร้อนรุมอุราหนักหนานัก |
เพราะว่ารักมิได้สมอารมณ์ปอง |
จะเปรียบปรายเล่าก็คล้ายอุเซนสวาท |
เขาองอาจไปภิรมย์ประสมสอง |
ทุกราตรีสนิทแนบแอบประคอง |
ถึงเจ็ดปีป่วยปองประคองเชย |
จนเขาจับตัวได้ให้สังหาร |
ไม่วายปราณก็ได้ร่วมเรียงเขนย |
ช่างอดความเสน่ห์ได้กระไรเลย |
นิจจาเอ๋ยอกเรียมก็เทียมนิทาน |
ถึงจะต้องโพยภัยก็ไม่ว่า |
แต่ขอให้ได้สุดามาสมสมาน |
จะสู้รักษาสัตย์ปัฏิญาณ |
ทนทานทุกข์เทวษเจตนา |
อันร้างนางก็พอห่างอารมณ์หัก |
แต่ทนรักนี้เห็นสุดต้องมุสา |
อย่าเคืองเลยเครื่องเคยเปนธรรมดา |
ใช่จะว่าล่อเล่นเช่นชายพาล |
แม้นน้องเห็นใจบ้างจะยังชั่ว |
ไหนจะกลัวความฉาวแลร้าวฉาน |
ไหนจะผิดด้วยคิดมิควรการ |
ไหนจะทานทนรักสลักทรวง |
เปนหลายทุกข์เข้าประทะอุระพี่ |
เพียงจะตีตนตายให้หายห่วง |
ถึงกระนั้นแล้วยังเห็นว่าแกล้งลวง |
มิควรหน่วงก็มาเหนี่ยวให้เหี่ยวใจ |
นี่แน่มิตร์เจ้าจงคิดถึงคำพร้อง |
แม้นได้ช่องเกลือกจะติดที่พิสมัย |
เหมือนแกล้งพี่จะให้มีแต่กรมฤทัย |
ด้วยจะใคร่เชยชิดเปนนิจกาล |
กำหนดในสามเดือนพี่เตือนสมร |
ขอเชิญจรจากคู่ไปสู่สถาน |
อย่าลืมเลยเฉยเพลินให้เนิ่นนาน |
อย่ากลับพาลกลับภ้อกันพอแรง |
อกเอ๋ยเมื่อเคยเห็นเช่นประจักษ์ |
อันรักพ้องสองรักนี้มักแสลง |
ครั้นคิดคืนคำสัตย์ก็ดัดแปลง |
จึงแสดงรักร้อนไว้สอนใจ |
แม้นชาตินี้ไม่เสร็จสมอารมณ์มาด |
จะขอปองครองสวาทในชาติใหม่ |
จะพากเพียรไปกระนั้นคุ้งบรรไลย |
กว่าจะได้สมคิดเหมือนจิตต์จง |
เมื่อไรน้ำบางกอกแห้งเปนแปลงปลัก |
อันความรักจึงจะเชือนเลือนหลง |
แม้นชายใดได้เปนคู่ครองอนงค์ |
นั่นและคงขาดสวาทชาตินี้เอย ฯ |
๏ เปนน่าแค้นแสนวิตกโอ้อกเอ๋ย |
ช่างระกำช้ำฤทัยกระไรเลย |
ก็ย่อมเคยหรือไม่เข็ดขยาดความ |
นี่ควรคิดพิสมัยอย่างไรหนอ |
ก็ได้ขอเสียแล้วใจที่ไม่ขาม |
ยังแค่นขืนฝืนพักตร์ไปรักงาม |
พยายามอย่างนี้ชะดีจริง |
แต่ยังเยาว์สิเขลาปัญญาคิด |
ได้คลั่งจิตต์จนเขาเยาะก็เพราะหญิง |
ต้องหักห่างทางเสน่ห์ประเวประวิง |
จนสู้นิ่งเกรียมกรมระทมใจ |
อนิจจาอกเอ๋ยเมื่อเคยเจ็บ |
อันแผลเล็บยังอยู่นิดหาคิดไม่ |
ต่อการเกินจึงได้เหินห่างอาไลย |
ยังอายใจอายหน้าระอารัก |
สงสารใจเมื่อยามครวญรัญจวนหา |
แล้วชังใจหนอที่กล้าเข้าหาญหัก |
เสียดายเพียรที่อุส่าห์สาพิภักดิ์ |
น่าแค้นนักหนอใจยังไม่เจียม |
เออก็เปนชายชาติฉลาดเฉลียว |
แต่ครั้งเดียวก็ควรจำไม่งำเสงี่ยม |
นี่กระไรมิได้จักกระดี้กระเดียม |
แต่เวียนเลียมเล่นไฟแพ้ภัยตัว |
ใช่จะขัดสัตรีเปนที่ชื่น |
นี่สิ้นอื่นแล้วหรือไรน่าใคร่หัว |
จะเอาแต่ใจรักเข้าหักกลัว |
เหมือนชายชั่วใช่ชาติปราชญ์ปรีชา |
แต่นางหนึ่งพึ่งจะคลายกำสรดเศร้า |
มาซ้ำเข้าเปนสองสามเอองามหน้า |
รู้ว่าขมก็ยิ่งหวานพานทยา |
เหมือนร้อนมาไม่อาบน้ำซ้ำผิงไฟ |
เมื่อยังทานทุกข์ทนกมลหมอง |
ด้วยที่ปองไม่สมคิดรื้อติดใหม่ |
เปนสองร้อนแรมรึงตรึงฤทัย |
ชะกระไรใจเอ๋ยชเลยลาม |
มีแต่ตรอมออมไว้อาไลยคิด |
อยู่เปนนิตย์ก็เพราะใจไม่ฟังห้าม |
ที่เห็นได้สิมิไปพยายาม |
มามูมมามมุ่งสมัคไม่รักกาย |
แม้นมาดสวาทอื่นจะชื่นบ้าง |
ไม่เมินหมางแล้วคงสมอารมณ์หมาย |
นี่ยิ่งรักก็ยิ่งจักจะดิ้นตาย |
ได้แต่อายกับแต่ออมกรอมใจเอง |
ก็ยังแต่จะเหมือนเช่นครั้งเปนไข้ |
เห็นนานไปคงเขาเยาะไม่เหมาะเหมง |
จงเวียนสอนใจตัวให้กลัวเกรง |
เปนนักเลงสิเสียได้ไม่รู้ที |
ดั่งหนามเหน็บเจ็บยอกอยู่ในอก |
ความวิตกก็อย่างกันกับปันหยี |
เมื่อจำจากจินตหราไปราวี |
พระก็มีแต่กำสรดสลดใจ |
ครั้นปองนุชบุษบาหนึ่งหรัดเล่า |
ก็ซ้ำเศร้าโศกนักเพียงตักษัย |
จึงคิดการหาญหักลักนางไป |
ได้ชื่นฤทัยสมน้องสองราตรี |
เวรวิบัติให้พลัดพรากจากสมร |
สู้สัญจรแสวงหายาหยี |
ทุกค่ำเช้าเกรียมกรมไม่สมประดี |
จนเข้าบุรีกาหลังตั้งแต่กรอม |
ยังซ้ำไปเสนหาธิดาปะหมัน |
ก็โศกศัลย์จนผิดรูปซูบผอม |
ก็อย่างกันกับวิตกในอกออม |
พึ่งคลายกรอมด้วยเพราะแหนงแคลงใจ |
ควรหรือช่างกล้าเข้าฝ่ารัก |
ก็ทุกข์นักหนักจิตต์ด้วยพิสมัย |
ถึงได้เชยก็พอชื่นรื้อคืนไกล |
ก็เศร้าใจอยู่ทุกวันเพราะรัญจวน |
ยังมิหนำซ้ำหาญในการสวาท |
มาหมายมาดกนิษฐ์น้องประคองสงวน |
เปนสองทุกข์สองเศร้าเข้าประมวญ |
เออนี่ควรแล้วหรือใจช่างไม่คิด |
เอาแต่รักแลออกตั้งเปนดั้งหน้า |
ยิ่งกว่าว่ายังเด็กกระจิหริด |
เห็นไม่สมอารมณ์ปองทั้งสองมิตร์ |
อันชอบผิดก็ได้รู้ไว้เต็มใจ |
แต่คำบุราณท่านว่าอุส่าห์ตรึก |
จะสมนึกมั่นคงอย่าสงสัย |
จึงจะสู้ทุกข์กรอมออมฤทัย |
เพียรไปอิกสักครั้งเช่นหลังเอย ฯ |
๏ แสนเทวษถวิลถึงคนึงสมร |
ให้ด่าวดิ้นวิญญาด้วยอาวรณ์ |
จะนั่งนอนถอนฤทัยไม่รู้วาย |
ครั้นคิดความเมื่อยามรื่นก็ชื่นจิตต์ |
ครั้นคืนคิดข้างโพยภัยก็ใจหาย |
อุราร้อนรุมสวาทไม่คลาดคลาย |
แต่ไกลสายสมรพี่ปิ่มปีเกิน |
มิได้พานพบน้องสนองถ้อย |
ต้องม้วนม่อยพักตรหมางระคางเขิน |
เพราะเกรงความจึงต้องจำทำสเทิน |
เห็นการเกินแล้วจึงก่อรังเกียจกัน |
เมื่อแรกรักก็ได้ว่าสัญญามิตร |
คงจะคิดให้เสร็จสมภิรมย์ขวัญ |
ถึงฉาวเรื่องก็จะรับในราชทัณฑ์ |
แต่อย่าหันเหิรห่างระคางเคือง |
พี่อุส่าห์เพียรพากสู้ยากจิตต์ |
เห็นชอบผิดจึงภิปรายขยายเรื่อง |
ก็รับรวยว่าจะช่วยทุกข์ประเทือง |
ค่อยปลดเปลื้องร้อนฤทัยตั้งใจเตือน |
พอเปนเคราะห์เพราะเวรสร้างแต่ปางหลัง |
ความชอบลับกลับชังจึงกลายเกลื่อน |
ทั้งต้องเมินหมางเมียงเบี่ยงเบือน |
เห็นความเชือนก็กลับช้ำระกำใจ |
โอ้อกเอ๋ยอนิจจาน่าสงสาร |
แต่ก่อนกาลเราได้ทำกรรมไฉน |
เคยพรากสัตว์ให้พลัดกันหรือฉันใด |
จึงเปนไปได้ดั่งนี้เพื่อมีกรรม |
เมื่อจวนเสร็จสมปองประคองชื่น |
หรือคงคืนมาได้ทุกข์ถึงความขำ |
สารพัดจะเปนพิษจนผิดระยำ |
ทุกเช้าค่ำมีแต่กรอมออมอาลัย |
ครั้งนี้นะชะช้าอิกสักนิด |
ก็จะได้สมคิดที่พิสมัย |
แต่นี้ตั้งแต่โศกวิโยคใจ |
เหมือนหมายไม้สุดมือจะถือชม |
จะเปรียบปรายคล้ายอิเหนาเยาวลักษณ์ |
เมื่อแรมรักร้อนฤทัยจะใคร่สม |
แต่วันเห็นพระน้องนึกตรึกนิยม |
จะนั่งนอนร้อนอารมณ์ไม่สมฤดี |
วันไหว้พระบนกุหนุงก็มุ่งหมาย |
ได้แนบกายกนิษฐายาหยี |
เอาคำมั่นสัญญาพาที |
มะดีหวีก็รับสัตย์ปัฏิญาณ |
ว่าจะช่วยกว่าจะสมอารมณ์มุ่ง |
ครั้นกลับกรุงก็แกล้งล่อแต่พอหวาน |
แต่ตักเตือนเลื่อนผัดจนนัดการ |
แล้วกลับรานรอนสวาทขาดอาลัย |
พระยังหม่นหมองหมางไม่ห่างเหือด |
ก็พ่างเลือดตากระเด็นจนเปนไข้ |
ประหนึ่งเรียมเกรียมกรมระทมใจ |
จะพึ่งใครไม่หยั่งเห็นจะเปนการ |
ยิ่งสลดฤทัยอาลัยรัก |
ด้วยแหล่งหลักก็เปนคาวร้าวฉาน |
สงสารน้องจะต้องทิ้งไว้นิ่งนาน |
จะมีแต่ทานทนทุกข์ฉุกใจกรอม |
โอ้อกเราสองรานิจจาเอ๋ย |
ได้ชื่นเชยสามสี่ราตรีถนอม |
ยังจำท่วงทีเคารพนบประนอม |
อันกลิ่นหอมนั้นยังติดนาสารวย |
แม้นเบื้องหน้าถ้าได้พบพานบ้าง |
เจ้าอย่าหมางหมองเมินเขินขวย |
อย่าลืมที่คำชอ้อนอ่อนรทวย |
อย่าลืมสัตย์ซึ่งจะม้วยด้วยรักแรง |
อันฝ่ายพี่นี้มิลืมถ้อยคำพร้อง |
เปนความจริงสิ่งนี้น้องอย่านึกแหนง |
แม้นแจ้งประจักษ์พจมาลในสารแสดง |
เจ้าอย่าแพร่งพรายความไม่งามพักตร์ |
สงวนกายสายสมรไว้ก่อนนะเจ้า |
ถ้าบุญเราคงจะได้สมานสมัค |
ทุกวันนี้พี่คนึงถึงน้องนัก |
อาลัยรักสมรมิตรเปนนิจเอย ฯ |
๏ หวังวิโยคโศกสร้อยละห้อยโหย |
ได้เห็นกันเมื่อวันเสด็จโดย |
เจ้าเซ็นโอยอกอ้อนอาดูรแด |
ได้นัดนวลว่าจะชวนไปเปนเพื่อน |
ยังอ้ำเอื้อนอยู่ไม่วางอารมณ์แน่ |
ถึงวันไปไปเตือนก็เชือนแช |
ช่างคิดแก้ว่าจับไข้มาหลายวัน |
ยิ่งถามเจ็บก็ยิ่งเจ็บนั้นสุดจิตต์ |
เห็นโรคผิดใจจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
ยิ่งวอนว่าก็ยิ่งว่าไม่รักกัน |
จะไปนั้นไม่ได้แล้วอย่าวอนชวน |
พอขาดคำจำลาเจ้ามาบ้าน |
เร่งทยานยวนใจให้โหยหวน |
พอพานพบเพื่อนชายภิปรายชวน |
ให้ดูขบวรแห่มาแล้วพาจร |
ดาดาษด้วยราษฎรมี่ |
รัศมีเพลิงสว่างกระจ่างสมร |
ประชาชายลอยชายกรายกร |
เห็นเจ้าจรเจียนถือข้อมือชาย |
ถามข่าวได้แต่ตาประสารัก |
นี่ไข้หนักจริงหรือพึ่งรื้อหาย |
จะใคร่เคียงเข้าไปถามเอาความชาย |
เกรงจะกลายเปนวิวาทใช่ชาติพาล |
เออก็ควรหรือจะชวนให้ชื่นรัก |
ไม่คิดศักดิ์เลยว่าศักดิ์นั้นสมสถาน |
รักจะทำก็อย่าทำทุราจาร |
นี่สันดานหรือจึงดานฤดีเปน |
ใช่ว่าชายนั้นจะเชยแต่พอชื่น |
ไม่ขาดคืนไยจึงคืนมาให้เห็น |
หรือจะลองดูที่คลองวารีเย็น |
ถึงจะเปนก็ไม่เปนให้ลับตา |
ได้เห็นใจแล้วที่ใจอาลัยนัก |
ไม่เห็นรักพารักมาใส่หน้า |
พอใจชมก็ได้ชมกิริยา |
อันสัจจาสัตย์จริงทุกสิ่งแสดง |
ถึงเสียรู้ก็ได้ดูประหลาทเนตร |
หวังเทวษก็ได้เวทนาแหนง |
ไม่แคลงใจทีนี้ใจจะจำแคลง |
จะเอาเหล็กสักแทงไว้ดูรอย |
มาดแม้นหญิงใดประไพพิศ |
อย่าควรคิดเร่งคิดขยั้นถอย |
จงเจียมใจอย่าเศร้าใจอาลัยลอย |
อย่าน้อยใจใช่ชายจะหมิ่นชาย |
นี่ถือเยี่ยงอย่างดุเหว่าหรือเยาวลักษณ์ |
จะไข่ให้กาฟักอย่าพักหมาย |
เสียแรงรักไม่ควรรักจักเคลื่อนคลาย |
แสนเสียดายเพียรพากสู้ยากเย็น |
ชะกะไรเชื่อถ้อยชรอยจิตต์ |
ไหนจะย้อนซ้อนคิดไม่คิดเห็น |
ถึงเสียชู้ก็ได้รู้เชิงชู้เร้น |
ชื่อว่ามิตรมิดเม้นเช่นนี้เจียว |
ประหนึ่งหงส์หลงเล่นชลาสินธุ์ |
มุจลินท์สระสนานไม่ดาลเฉลียว |
เที่ยวซอกซนจนกาเข้ากลมเกลียว |
ทั้งหนามเหนี่ยวเกี่ยวขนหล่นหลุดยับ |
ก็ยังแต่จะรบัดผลัดขนใหม่ |
จะงามวิลัยคมขำดำขลับ |
ถ้าใครโยนเหยื่อตรงก็คงรับ |
จึงจะนับแล้วว่าหงส์นี้วงศ์กา |
หรือใจหวังดั่งโฉมอนงค์นาฏ |
กากีศรีวิลาสเสนหา |
เมื่อหน่ายในกรุงกษัตริย์ภัศดา |
จึงตามพญาเวนไตยไปฉิมพลี |
ครั้นได้รู้รสภิรมย์สมสนิท |
ก็เบื่อจิตต์จางรักในปักษี |
พอเห็นนายนาฏกุเวนก็ยินดี |
แสร้งทำทียียวนชักชวนเชย |
ในเวลาทิวาวันคนธรรพ์สม |
ปางปฐมยามครุฑร่วมเรียงเขนย |
ไม่จางใจในรสสังวาสเลย |
นิจจาเอ๋ยช่างมาเหมือนนิทานพาล |
หรือจะเห็นดีแก่ใจอย่างไรอยู่ |
ก็ย่อมรู้อยู่ทีเดียวว่าเปรี้ยวหวาน |
เมื่อมิเศร้าแล้วก็สรวลไม่ควรการ |
แต่อย่าประจานพักตรน้องให้หมองนวล |
ไม่รักตัวเลยว่าบัวบงกชรัตน |
ในจังหวัดสินธุวงศ์ไว้จงสงวน |
จะคลี่คลายขยายแย้มต่อยามควร |
อรุณจวนจะส่องแสงจึงแบ่งบาน |
มิได้เลือกเลยอุบลทุรนแบะ |
ให้ร่านบุ้งมุ่งแทะเปนอาหาร |
แมลงภู่นั้นว่ารู้รสสุมาลย์ |
ก็ควรบานกลีบรับสำหรับเชย |
เออเมื่อกบหลบร้อนเข้าอาศรัย |
จะแย้มให้กบกลั้วหรือบัวเอ๋ย |
มาเลียนเล่นเช่นนี้ยังมิเคย |
จะดมเตยต่างดอกรสสุคนธ์ |
เห็นว่าจะเปนแล้วกลับหาย |
คล้ายคล้ายเหมือนจะชังแล้วยังฉงน |
นี่เพราะรักร้อนร่านเหลือทานทน |
จึงนิพนธ์สารแสดงมาแจ้งเอย ฯ |
๏ สารสัตย์สุจริตไม่คิดแหนง |
เห็นแล้วที่ว่าจริงทุกสิ่งแสดง |
ถึงมิแจ้งก็มาแจ้งว่ารักเรา |
นี่ผีบอกดอกกระมังชาววังเอ๋ย |
เห็นเชิงเชยผิดกระบวรสำนวนเจ้า |
ดูแหลมความออกที่ถามคดีเดา |
พี่มัวเมาเสน่ห์อยู่พึ่งรู้นาง |
ก็น่าสรวลควรหรือน้องเปนสองพักตร์ |
ไม่ทันคิดเลยว่ารักจะเร็วหมาง |
เมื่อหลายหูแล้วเขารู้เรื่องระคาง |
หาไม่ร้างรักน้องให้หมองนวล |
อย่าเสแสร้งแกล้งกล่าวให้ฉาวเรื่อง |
ก็จะรื้อลือเลื่องเครื่องคนสรวล |
เห็นสมศักดิ์สมนามทั้งงามกระบวร |
เห็นสมควรที่เปนชาติเชื้อชาววัง |
เห็นสมทั้งคารมรับช่างกลับกลอก |
ดั่งระลอกกลิ้งกลบกระทบฝั่ง |
เห็นสมคำสารพัดที่สัจจัง |
นี่สมหวังแล้วสิเจ้าจึงเมามัน |
เสียดายชื่นเมื่อยามเคยเชยสมร |
เสียดายที่ทำชอ้อนให้รับขวัญ |
เสียดายยศประดิพัทธจนอัศจรรย์ |
เสียดายชั้นเชิงกระบวรให้ยวนใจ |
ยังไม่ทันจืดจางในทางเสน่ห์ |
สิกลับเร่ร่ายรักยักอย่างใหม่ |
ยิ่งดูก็ยิ่งเห็นยิ่งเปนไป |
เอออะไรยังมาก่อให้ต่อความ |
ไม่รู้หรือว่ารักพ้องเปนสองรัก |
ไม่เห็นพักตรพี่หรือจึงรื้อถาม |
พี่ติดเชยอยู่จึงชวดไปชมงาม |
ใช่จะขามเคืองใจหาไม่เลย |
ก็จริงแล้วที่ว่าพี่นี้มีมาก |
เปนแต่หลากชมลองดอกน้องเอ๋ย |
ที่มั่นหมายแลกลายไปเปนเตย |
พี่จะเชยไปกระนั้นสักพันนาง |
กว่าจะต้องอารมณ์เราช่างเย้ายั่ว |
เช่นวันทองสองผัวเปนตัวอย่าง |
จะถนอมแนบกายไม่วายวาง |
ถึงขุนช้างจะชิงเชยไม่เฉยแช |
ถ้าอุปมาก็เหมือนลำแม่น้ำใหญ่ |
ร่วมรับชลาลัยได้หลายกระแส |
เปนที่จอดทอดสำเภาแลเรือแพ |
ออกเซงแซ่ขวักไขว่ทั้งไปมา |
คิดอย่างไรขึ้นหรือเจ้าจึงเดาถาม |
จะสมทบกลบความพองามหน้า |
น้อยหรือถ้อยคำมั่นที่สัญญา |
จะต้องว่าเสียให้สิ้นสำนวนกลอน |
แต่แรกเริ่มเดิมได้ภิรมย์รัก |
ถนอมนักมิให้ขัดมนัสสมร |
สุดแสนสวาทคำที่ร่ำชอ้อน |
ให้พาจรปลอมประชาทุกราตรี |
เมื่อครั้งฟังช้าหงส์ก็สงสัย |
เหมือนโกรธขึ้งจึงมิไปด้วยพี่ |
พอเลื่อมรู้ข่าวระคายว่าร้ายดี |
เขาบอกมี่ก็ไม่แหนงรแวงความ |
เพราะเชื่อใจอยู่ว่าใจเจ้าจงรัก |
เห็นเกินนักจึงมิได้ออกปากถาม |
สู้แค่นขืนฝืนฝ่าพยายาม |
แต่ติดตามพากเพียรเจียนขวบปี |
แล้วยังซ้ำทำไถลมาให้เห็น |
ว่าจะไปดูเจ้าเซ็นแล้วแสร้งหนี |
ต่อตามพบจึงได้ล่วงรู้ท่วงที |
ทำหลบลี้เมียงเมินสเทินอาย |
นี่หากกล้าฝ่าเข้าไปทักถาม |
จึงได้ความว่าเปนเนื้อในเชื้อสาย |
ก็นึกอางขนางใจอยู่ไม่วาย |
ด้วยเชิงชายนั้นสนิทผิดทำนอง |
ครั้นชวนเชิญเดิรเล่นอย่างเช่นหลัง |
ก็นิ่งนั่งเสียมิเยื้อนเหมือนหมางหมอง |
จะให้สลาสิเคยเลือกก็เสือกซอง |
แกล้งต้องลองก็สบัดว่าขัดใจ |
แต่หลีกเลี่ยงเบี่ยงเบือนทำเชือนเฉย |
เมื่อไม่เคยเลยเห็นผิดนี่คิดไฉน |
เปนสองครั้งแล้วยังไม่สิ้นอาลัย |
จนวันไปผ้าป่าเคยพาจร |
ได้นัดแนะว่าจะแวะมารับเจ้า |
อย่างไรเล่าเออไฉนจึงไปก่อน |
ประหลาดใจหรือจะแค้นหรือแสนงอน |
หรือจะซ้อนกลคิดปกปิดความ |
จึงรีบเรือตามมามหานาค |
ตั้งแต่ปากคลองเลี้ยวก็เที่ยวถาม |
ได้กลิ่นร่ำอบอายก็พายตาม |
จนพบงามฟังกลอนครึ่งท่อนฮา |
ให้แซกเรือเข้าไปชิดแล้วพิศทั่ว |
กำลังมัวอยู่เจียวหนอหัวร่อร่า |
จึงกระแอมให้ประจักษ์เบือนพักตรมา |
ได้ทัศนาหน้าพี่เปนที่อาย |
ให้ถอยเรือเสียไม่ฟังละช่างหยาบ |
พี่ก็ทราบเชิงเชือนในเงื่อนสาย |
อุตส่าห์ฝ่าฝืนพักตรสู้ทักทาย |
ไม่ภิปรายตอบคำทำมึนตึง |
เมื่อรู้เช่นเห็นครบคำรบสาม |
ซึ่งแหนงความมาแต่หลังพึ่งหยั่งถึง |
คิดจะใคร่ฉาวชื่อให้ลืออึง |
ก็เหมือนหนึ่งสาวไส้ให้กากิน |
พี่สู้อดออมฤทัยอาลัยสวาท |
เห็นว่าวาสนาสร้างค่อยห่างถวิล |
นึกมานะในสันดานด้วยพาลทมิฬ |
อันแผ่นดินจะไร้หญ้านั้นอย่าคิด |
ซึ่งความขำล้ำลึกนั้นนึกไฉน |
ก็แจ้งใจเสียแล้วเจ้าอย่าเฝ้าปิด |
อันควันไฟใครห่อนจะงำมิด |
พอรู้ฤทธิรักซ้อนอย่าย้อนรอย |
นี่สิ้นปลื้มหรือจึงลืมอารมณ์ภ้อ |
สิ้นอาลัยไฉนหนอจึงท้อถอย |
เออก็ยังแต่จะเชิดให้เลิศลอย |
พี่ก็คอยชมวาสนาอนงค์ |
ทุกวันนี้มีแต่ยิ้มกระหยิ่มจิตต์ |
ด้วยว่าคิดไว้ก็สมอารมณ์ประสงค์ |
ฝ่ายเจ้าเหล่าเหมวราพงศ์ |
จะมาลงหนองน้อยเร่งถอยคืน |
คิดเสียใหม่ไปสถานที่ธารลึก |
เล็บจะสึกสั้นซ้ำเพราะน้ำตื้น |
จงบินร่อนกว่าจะอ่อนลงยั่งยืน |
อย่าได้คืนคิดหวังความหลังเอย ฯ |
๏ คิดถึงแพรเลี่ยนแล้วเสียดายเหลือ |
เปนฝีมือของหม่อมย้อมมะเกลือ |
ได้ห่มสนิทแนบเนื้อมานมนาน |
เจ้าแล่งเพลาะเลาะให้เมื่อไปทัพ |
อุส่าห์หอบหิ้วกลับมาถึงบ้าน |
ฝากไปอบพบมือคนจัณฑาล |
นึกประจานคนจนไม่อนิจจา |
เมื่อคราวดีสิ่งดีก็มีมั่ง |
เมื่อคราวชังกะไรชังจนชั้นผ้า |
ทำได้ดูเถิดไม่เวทนา |
ถึงผุราก็ยังรักเพราะรอยกาย |
นี่ผิดชอบเปนกะไรไฉนหนอ |
จึงตั้งข้อเคืองแค้นไม่รู้หาย |
ถ้าไปได้ก็จะไปให้ใกล้กาย |
จะหยิกตีเสียให้ตายก็ตามบุญ |
สงสารหน้าที่ไปพาให้ผ้าขาด |
เหมือนตีวัวกระทบคราดคราวหันหุน |
แม้นผ้าอยู่ก็เหมือนดูยังการุญ |
จงตั้งทุนรักรักให้แรมคลาย |
ถึงสิ้นผ้าไปก็ดียังมีเล็บ |
ฉันกอดเก็บซ่อนไว้ยังไม่หาย |
เมื่อทุกขระทมจะได้ชมไปต่างกาย |
หรือจะซื้อเล่าจะขายให้เต็มแพง |
เพราะว่าเปนสำคัญมั่นกว่าผ้า |
ตามประสาภักดีไม่มีแหนง |
นิจจาเอ๋ยทำเยียมิเสียแรง |
เหมือนจะแกล้งให้อัปมานคน |
เสียดายนักอนิจจาผ้าเพื่อนยาก |
ได้ห่มตรากแดดน้ำกรำฟ้าฝน |
แต่จะไปไหนนิดก็ติดตน |
มิให้คนอื่นต้องถึงสองเลย |
เมื่อยามนอนก็เอาห่มชมถนอม |
ยังหวนหอมกลิ่นอายไม่หายระเหย |
เหมือนจะนำความสนิทให้คิดเคย |
ถึงคราวช้ำก็ได้เชยเพราะชูใจ |
ทีนี้สาบสูญแน่แล้วแพรดำ |
จะระยำย่อยยับเปนไฉน |
จะถ่วงน้ำหรือเจ้าจะเผาไฟ |
กรรมอะไรของข้ามาตามทัน |
ที่ให้ไปนั้นด้วยใจสุจริต |
คิดจะให้ดูผ้าต่างหน้าฉัน |
ตามประสายากใจที่ไกลกัน |
ไม่สำคัญว่าจะคิดเคืองระคาย |
เห็นเปลี่ยนผ้ามาให้ห่มสมคิด |
หรือจะผิดที่ของหม่อมนั้นหอมหาย |
จึงตอบแทนทำได้จะให้อาย |
อนิจจาน่าเสียดายแพรดำเอย ฯ ๒๔ คำ ฯ |
๏ สงสารตัวกลัวภัยในเบ็ญจขันธ์ |
เปนที่เกิดทุกข์เทวษเภทภยัน |
ทั้งโรคันอันตรายระคายเคือง |
นักปราชญ์ปรีชาชาญย่อมหาญหัก |
มิได้รักรูปชีวิตสู้ปลิดเปลื้อง |
เจริญเรียนวิปัสนาปัญญาเรือง |
บันลุเมืองอมรโมกข์ศิวาลัย |
นิจจาเอ๋ยกระไรเลยโอ้เบ็ญจขันธ์ |
จะผูกพันตรากตรึงไปถึงไหน |
ยามนอนก็ได้นอนสักอึดใจ |
ควรหรือไม่เห็นว่าขันธ์นั้นมิดี |
ยังจะหลงหมักหมมด้วยสมบัติ |
ไม่หลีกละสละสลัดเอาตัวหนี |
อันบาปมิตรสนิทต่อหน้าทั้งตาปี |
จะยินดีก็แต่ได้สมใจนึก |
บุราณท่านย่อมว่าปัญญาปราชญ์ |
ควรฉลาดในทำนองจะตรองตรึก |
ฉันใดจะได้ผลธรรมอันล้ำลึก |
จงรู้สึกสติตรองสอดส่องความ |
ถึงจะเรืองด้วยบุญเดชาก็อย่าประมาท |
ยุงกัดดังมัจจุราชไม่เกรงขาม |
แม้นตื่นอยู่จะดูเล่นให้เห็นงาม |
ถ้าหลับตาแล้วอย่าถามถึงใคร เอย ฯ |
๏ พระนิพนธ์พระบาทไท้ |
ดำรง ไผทแฮ |
ทูลกระหม่อมหม่อมฉันทรง |
สฤษฎิ์ไว้ |
พันร้อยศักราชตรง |
เก้าสิบสี่ เศษนา |
เกล้ากระหม่อมจำได้ |
ประนตน้อมทูลถวาย ฯ |