นิราสเดือน
๏ โอ้ระดูเดือนห้าน่าคิมหันต์ | |
พวกมนุษย์สุดศุขสนุกครัน | ได้ดูกันพิศวงเมื่อสงกรานต์ |
ทั้งผู้ดีเข็ญใจใส่อังคาส | อภิวาทพุทธรูปในวิหาร |
ล้วนแต่งตัวทั่วกันวันสงกรานต์ | ดูสะครานเพริดพริ้งทั้งหญิงชาย |
ที่เฒ่าแก่แม่ม่ายมิใคร่เที่ยว | สู้อดเปรี้ยวกินหวานลูกหลานหลาย |
ที่กำดัดซัดสีสวยทั้งกาย | เที่ยวถวายน้ำหอมน้อมศรัทธา |
บ้างก็มีที่สวาดิ์มาดพระสงฆ์ | ต่างจำนงนึกกำดัดขัดสิกขา |
ได้แต่เพียงพูดกันจำนรรจา | นานนานมากลับไปแล้วใจตรอม |
ล้วนแต่งตัวเต็มงามทรามสวาดิ์ | ใส่สีฉาดฟุ้งเฟื่องด้วยเครื่องหอม |
สงกรานต์ทีตรุษทีไม่มีมอม | ประดับพร้อมแหวนเพ็ชรเม็ดมุกดา |
มีเท่าไรใส่เท่านั้นฉันผู้หญิง | ดูเพริดพริ้งเพราเอกเหมือนเมขลา |
รามสูรเดินดินสิ้นศักดา | เที่ยวไล่คว้าลางทีก็มีเชิง |
บ้างเล่นเบี้ยเสียถั่วจนมัวมืด | ใครขี้ตืดถากถางวางกันเหลิง |
บ้างฉุดมือยื้อผ้าด่ากันเปิง | ที่รู้เชิงทำแปดเก้าเปนเจ้ามือ |
เขาตัดไพ่ตายแพ้เหลือแต่ผ้า | สิ้นปัญญาบ่นพลางครางหือๆ |
นั่งเสียใจเต็มทีต้องหนีมือ | ไม่สัตย์ซื่อทำไพ่ตายเขาเอง |
ดูเขาเล่นเปนระดูไม่รู้ขาด | นุชนาฏพึ่งกะเตาะขึ้นเหมาะเหม็ง |
บ้างก็หลงเลยเล่นเปนนักเลง | ฉันนี้เกรงกลัวนักไม่รักเลย |
ทั้งหนุ่มสาวฉาวฉานด้วยการเล่น | บ้างซุมเปนผัวเมียกันเสียเฉย |
แต่ตัวเราเปล่าไปมิได้เชย | โอ้อกเอ๋ยคิดไปแล้วใจตรม |
ให้เจ็บจุกทุกข์เท่าคีรีศรี | ด้วยไม่มีคู่ชิดสนิทสนม |
ทุกวันนี้ใครมีซึ่งคู่ชม | สำราญรมย์เริงจิตรเปนนิจกาล |
เมื่อไรเล่าเรานี้จะมีบ้าง | จะได้ว่างเว้นทุกข์สนุกสนาน |
แต่นึกตรองปองหามาช้านาน | ทอดสพานเข้าที่ไหนไม่ได้เลย |
ร่ำคนึงถึงนุชสุดวิตก | ถึงเดือนหกเข้าแล้วหนาเจ้าข้าเอ๋ย |
เขาแต่งงานปลูกหอขอกันเชย | เราจะเฉยอยู่ก็เห็นไม่เปนการ |
เขาแรกนาแล้วมานักขัตฤกษ์ | เอิกเกริกโกนจุกทุกสถาน |
ที่กำดัดจัดแจงกันแต่งงาน | มงคลการตามเล่ห์ประเพณี |
โอ้โอ๋อกอาตมานี้อาภัพ | ทั้งไร้ทรัพย์สาระพัดน่าบัดสี |
ดูเพื่อนบ้านเขาทั้งหลายสบายดี | เขาคิดมีลูกเมียเสียทุกคน |
สำราญรมย์ชมน้องในห้องหอ | เฝ้าเคลียคลอเจรจาว่ากุศล |
ที่ยังไม่ส่งตัวนึกกลัวตน | ก็ต่างคนต่างนึกคนึงตรอง |
โอ้อกเอ๋ยยังไม่เคยจะมีผัว | สงสารตัวตั้งแต่นี้มีแต่หมอง |
มิได้ทาแป้งขมิ้นดินสอพอง | จะมีท้องแท้แล้วไม่แคล้วเลย |
เสียดายแก้มผุดผ่องจะต้องจูบ | จะซีดซูบภักตรานิจาเอ๋ย |
เสียดายนมจะระบมเพราะมือเชย | ยังไม่เคยมีคู่ดูน่าอาย |
ไหนจะปัดฟูกหมอนนอนด้วยผัว | ไม่เหมือนตัวเปล่าเปลือยเหนื่อยใจหาย |
จะไม่มีก็ไม่ได้ไม่สบาย | พวกผู้ชายเจ้าชู้มักดูแคลน |
จะพูดเกี้ยวเลี้ยวลดให้อดสู | ถ้ามีคู่คุ้มตัวเหมือนหัวแหวน |
ที่ลางคนบ่นบ้าว่าน่าแค้น | พ่อแม่แค่นขืนให้ไม่ชอบใจ |
เที่ยวหลบลี้หนีสถานทิ้งบ้านช่อง | มีพวกพ้องน้าป้าไปอาไศรย |
บ้างชอบชายรูปงามตามเขาไป | ไม่อาไลยพ่อแม่ไปแต่ตัว |
ที่โกนจุกได้ปีครึ่งพึ่งจะผลิ | อุตริหนักหนาอยากหาผัว |
ที่ลางคนนึกละห้อยน้อยใจตัว | ว่ารูปชั่วชายชังไม่หวังเชย |
ที่ตกพุ่มกลุ้มกลัดขัดในอก | ถึงมุ่นหมกอยู่ในก็ใช้เฉย |
แสนสงสารหญิงชายไม่วายเลย | โอ้อกเอ๋ยเราก็เปนเหมือนเช่นกัน |
ไม่พ้นตัวชั่วช้าว่าแต่เขา | ตัวของเราก็เหมือนยักษ์มักกระสัน |
เห็นกะเตาะไม่ได้ใจเปนควัน | เหลือจะกลั้นใจคอเที่ยวกรอกราย |
ถ้ามีงานใหญ่โตมะโหรศพ | ขี้มักพบเห็นมากดูหลากหลาย |
เห็นนารีรูปงามตามแทบตาย | เพราะเมามายแรกรักนี่หนักจริง |
มีอิเหนาคราวนั้นขันหนักหนา | ทำที่ท่าถูกในน้ำใจหญิง |
นอนลเมอเพ้อจิตรคิดประวิง | ฉันหนาวจริงพ่อขุนทองประคองที |
อันความรักมักลเมอจนเพ้อพก | เหมือนกับอกเรียมแล้วนะแก้วพี่ |
ให้โหยหวนครวญหาทุกราตรี | สักกี่ปีจะได้น้องประคองนอน |
กระทั่งถึงเดือนเจ็ดไม่เสร็จโศก | บังเกิดโรคแรงหนักด้วยรักสมร |
สลากภัตรจัดแจงแต่งหาบคอน | อย่างแต่ก่อนหาบกระทายมีลายทอง |
ใส่คานรูปนาคาวายุภักตร์ | ครั้นเดินหนักดูเต้นเผ่นผยอง |
แสรกร้อยห้อยพวงมาไลยกรอง | ใส่เข้าของหาบหามตามกันมา |
ทุกวันนี้มีแต่จะทำแปลก | ใส่โต๊ะแบกเดินด่วนมาถ้วนหน้า |
สาระพันเอมโอชโภชนา | ตามศรัทธาสัปรุษนุชอนงค์ |
ทั้งผู้ดีเข็ญใจก็ไปมาก | จับสลากหนังสือชื่อพระสงฆ์ |
รู้จักนามตามพบประสบองค์ | ต่างจำนงน้อมถวายรายกันไป |
พระลางองค์งงงกตกประหม่า | ให้ยะถาเสียงสั่นอยู่หวั่นไหว |
สัปรุษกรวดน้ำร่ำในใจ | ที่ผู้ใหญ่หมายประโยชน์โพธิญาณ |
ที่หนุ่มหนุ่มสาวสาวราวกับฉัน | นึกรำพรรณในจิตรอธิษฐาน |
ให้มีเมียรูปงามทรามสคราน | ที่เรือนบ้านคับคั่งเขามั่งมี |
อนงค์นาฏปราถนาจะหาผัว | ไม่เล่นถั่วกินเหล้าเมาอาหนี |
ให้รูปงามทรามชมอุดมดี | ลางสัตรีปราถนาหาขุนนาง |
มีเงินทองบ่าวไพร่เครื่องใช้สอย | จะนั่งลอยนวลสบายนุ่งลายย่าง |
ขี่แต่เรือเก๋งพังลงนั่งกลาง | ไปตามทางแถวชลที่คนพาย |
ที่ติดพันกันอยู่ก็ชูชื่น | ไม่นึกอื่นนึกมีแต่ที่หมาย |
ที่มีแล้วฉ่ำเฉื่อยเรื่อยสบาย | ค่อนเว้นวายโศกเศร้าเบาหัวใจ |
กระทำมาหากินภิญโญยิ่ง | มีลูกหญิงลูกชายหมายอาไศย |
ที่ไม่มีฝั่งฝาให้อาไลย | เหมือนกับใจของฉันที่พรรณา |
คิดถึงนุชสุดรักให้หนักอก | น้ำตาตกพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา |
สักเมื่อไรจะได้แนบแอบอุรา | ละห้อยหาโศกศัลย์รำพรรณคราง |
ถึงเดือนแปดแดดอับพยับฝน | ฤดูดลพระวสาเข้ามาขวาง |
จวนจะบวชเปนพระสละนาง | อยู่เหินห่างเห็นกันเมื่อวันบุญ |
ประดับพุ่มบุบผาพฤกษากะถาง | รูปแรดช้างโคควายขายกันวุ่น |
ตุ๊กตาหน้าพราหมณ์งามละมุน | ต้นพิกุลลิ้นจี่ดูดีจริง |
ต้นไม้ทองเสาธงหงษ์ขี้ผึ้ง | คู่สลึงเขาขายพวกชายหญิง |
อุณรุทยุดกินรชะอ้อนพริ้ง | มีทุกสิ่งซื้อมาบูชาพระ |
ขึ้นกุฎีที่รักรู้จักสนิท | ดัดจริตพูดจาวิสาสะ |
พระหนุ่มหนุ่มกลุ้มใจทำไมละ | เสียงจ๋าจ๊ะเจรจาพาสบาย |
ถ้าญาติโยมจริงจริงแล้วนิ่งเฉย | มิใคร่เงยดูน่าปัญญาหาย |
ไม่พูดมากพาดพิงให้พริ้งพราย | ดูเราะรายเรียบร้อยกระช้อยชด |
พรรษาหนึ่งสองพรรษาไม่ผาศุก | เข้าบ้านกลุกเลยลาสิกขาบท |
เหมือนน้ำอ้อยย้อยถูกจมูกมด | ใครจะอดได้เล่าพวกชาวเรา |
นึกคนึงถึงนางกลางพรรษา | แต่คอยหาเช้าเย็นไม่เห็นเขา |
เที่ยวฟังเทศน์มิได้ขาดดูลาดเลา | เห็นแต่เขาคนอื่นไม่ชื่นตา |
นั่งพับเพียบเรียบร้อยน้อยไปฤๅ | ประนมมือฟังธรรมเทศนา |
ที่ฟังจริงนิ่งตรับจนหลับตา | บ้างก้มน่าฟังไปมิได้เงย |
ที่ฟังเล่นเห็นกันเปนขวัญเนตร | ไม่ฟังเทศน์เอาบุญแม่คุณเอ๋ย |
มาเล่นตากันฉันไม่เคย | ไม่สิ้นเลยเหล่าตะกลามกามคุณ |
ที่ท่านแก่แก่ตัวยังชั่วดอก | หมายจะออกห่างเหจากเมถุน |
ท่านอยากบวชสวดมนต์ขนเอาบุญ | ที่แรกรุ่นนี้แลร่านรำคาญใจ |
ด้วยความรักหนักเหลือเหมือนเรือเพียบ | จนน้ำเลียบแคมแล้วแจวไม่ไหว |
ถ้าผ่อนของขึ้นเสียบ้างยังชั่วใจ | แจวไปไหนไปได้ไม่หนักแรง |
โอ้โอ๋อกชาวเราเหล่าหนุ่มหนุ่ม | อยากใคร่สุ่มปลาหนองส่องแสวง |
ตัวฉันเล่าเฝ้าคลั่งด้วยยังแคลง | จะพลิกแพลงไปอย่างไรก็ไม่รู้ |
โอ้ไฉนจะได้สมอารมรัก | ใครช่วยชักฉันจะไหว้ให้หัวหมู |
ยิ่งร้อนใจในคอให้หมอดู | ว่าขัดคู่หนักหนาให้อาดูร |
ถึงเดือนเก้าเศร้าสร้อยละห้อยหา | พระจันทราวันดับก็ลับสูญ |
แต่โศกเศร้าเราเสิมขึ้นเพิ่มภูล | ไม่ลับสูญไปบ้างเหมือนอย่างเดือน |
ไม่ได้ชมโฉมศรีไม่มีศุข | จะเปรียบทุกข์อะไรก็ไม่เหมือน |
ถึงจะมีเข้าของสักห้องเรือน | ไม่ชื่นเหมือนคนรักสักราตรี |
ถ้ามีคู่สู่สมภิรมย์รื่น | ทุกวันคืนปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ถ้าไม่ได้เหมือนหมายตายเสียดี | ไปเกิดมีชาติน่าคอยท่าน้อง |
โอ้ว่ากรรมจำเภาะพระเคราะห์รุด | หมายได้นุชเดือนเก้ายิ่งเศร้าหมอง |
เห็นเมฆมืดเวหาฟ้าคนอง | พยับฟองฝนสาดอยู่ปราดปราย |
พายุเยือกโยกมาฟ้าก็แลบ | ดูวับแวบแวววับแล้วดับหาย |
เหมือนเห็นขวัญเนตรวับแล้วลับกาย | ราวกับสายฟ้าแลบแปลบโพยม |
พิรุณโรยโปรยมาเวลาดึก | คนึงนึกถึงนางสำอางโฉม |
ถ้าเหาะได้จะไปพาเอามาโลม | ประคองโฉมโลมเล่นไม่เว้นวาง |
นี่จนจิตรฤทธีหามีไม่ | ยิ่งคิดไปสารพัดจะขัดขวาง |
ระทวยทอดกอดหมอนลงนอนคราง | กลัวจะค้างมรสุมกลุ้มหัวใจ |
ยิ่งคิดคิดจิตรคล้อยละห้อยหา | ชลนาเอิบอาบพิลาปไหล |
กลางคืนหนาวกลางวันร้อนอ่อนฤไทย | เมื่อครั้งไรจะพ้นข้อทรมาน |
ถึงเดือนสิบเห็นกันเมื่อวันสารท | ใส่อังคาสโภชนากระยาหาร |
กระยาสารทกล้วยไข่ใส่โตกพาน | พวกชาวบ้านถ้วนหน้ามาธารณะ |
เจ้างามคมห่มสีชุลีนบ | แล้วจับจบทัพพีน้อมศีศะ |
หยิบเข้าของกระยาสารทใส่บาตรพระ | ธารณะเสร็จสรรพกลับมาเรือน |
พอลับเนตรเชษฐาอุราร้อน | แสนอาวรณ์โหยไห้ไครจะเหมือน |
ไม่รู้ที่จะวานใครไปตักเตือน | ให้มาเยือนเยี่ยมพี่ถึงที่นอน |
ถ้าเข้าชิดอิดออดจะกอดรัด | สอดสำผัศเคล้นทรวงดวงสมร |
แม้นข่วนหยิกพลิกหันจะกันกร | ทำแง่งอนพี่จะง้อให้ท้อใจ |
จะเป่าด้วยคาถามหาเสน่ห์ | อิธะเจทำผงให้หลงใหล |
โอ้ยามนี้โฉมตรูก็อยู่ไกล | ทำไฉนจะได้มิตรมาชิดเชย |
ขอเชิญเทพทุกสถานพิมานสถิตย์ | ช่วยเตือนมิตรให้มาเยือนอย่าเชือนเฉย |
อย่าให้เรียมคอยท่าอยู่ช้าเลย | ไม่ได้เชยนุชอนงค์ฉันคงตาย |
อันหญิงอื่นดื่นไปทั้งไตรจักร์ | ไม่มีรักเหมือนนุชที่สุดหมาย |
ขอให้ได้แนบน้องประคองกาย | อย่าคลาศคลายตราบเท่าเข้านิพพาน |
ยิ่งรำคาญแค้นใจให้สอื้น | ถ้างามชื่นเห็นคงจะสงสาร |
แม้นแรกเปลี่ยนน้ำใจอาไลยลาญ | คงรำคาญเหมือนเรียมที่เกรียมตรอม |
ถ้ายอดรักรักรวบประจวบจิตร | คงได้ชิดเชยแนบแอบถนอม |
จะประโลมโฉมเฉลิมเปนเจิมจอม | ให้เพริศพร้อมพริ้งพรายสบายบาน |
จะตั้งตึกปึกแผ่นให้แน่นหนา | มีเงินตรากินกรุ่มเปนภูมิฐาน |
ช่วยค้าคนบ่าวไพร่ไว้ใช้การ | ให้เยาวมาลย์ชื่นชมภิรมย์ใจ |
ที่นอนตฤกนึกนิยมสมบัติบ้า | ก็เพราะว่าความรักมักหลงใหล |
สิ้นเดือนสิบลิบลับนับแต่ไกล | ยังไม่ได้กัลยาน้ำตาริน |
เดือนสิบเอ็จเสร็จธุระพระวสา | ชาวภาราเซ่งแซ่แห่กระฐิน |
ลงเรือเพียบพายยกเหมือนนกบิน | กระแสสินธุ์สาดปรายกระจายฟอง |
สนุกสนานขานยาวฉาวสนั่น | บ้างแข่งกันขันสู้เปนคู่สอง |
แพ้ชนะปะตาพูดจาลอง | ตามทำนองเล่นกะฐินสิ้นทุกปี |
ไปช่วยแห่แลกันกระสันสวาดิ์ | นุชนาฏพายเรือใส่เสื้อสี |
จนเปียกชุ่มตูมตั้งอลั่งดี | เส้นเกษีโศกสร้อยก็พลอยยับ |
เหมือนตกแสกแบกโศกไว้สักพ้อม | ดูมัวมอมหน้าตาเมื่อขากลับ |
ถึงบ้านหอบบอบอ่อนลงนอนพับ | ตานั้นหลับใจตรึกนึกถึงพาย |
บ้างว่ากันวันนี้พี่คนนั้น | ช่างดูฉันนี่กะไรน่าใจหาย |
บ้างแกล้งพูดดังดังว่าชังชาย | เบื่อจะตายไปกะฐินเขานินทา |
ได้ยินพูดเช่นนี้ก็มีมาก | พูดแต่ปากใจรนเที่ยวซนหา |
การโลกีย์มีทั่วทั้งโลกา | ใครบ่นบ้าว่าเบื่อไม่เชื่อเลย |
ถึงตัวเรานี้เล่าก็เร่าร้อน | แสนอาวรณ์วิญญาณ์นิจาเอ๋ย |
ไม่ว่าเล่นเปนบ้าหลังด้วยหวังเชย | ยิ่งเคยเคยแล้วยิ่งคิดเปนนิจกาล |
ทุกค่ำรุ่งมุ่งมาดปราถนา | จะพรรณาสุดคิดให้วิดถาร |
ในเล่ห์กลโลกาห้าประการ | ฉันรำคาญสุดที่จะชี้แจง |
เดือนสิบสองล่องลอยกระทงหลวง | ชนทั้งปวงเลยตามอร่ามแสง |
ดอกไม้ไฟโชติช่วงเปนดวงแดง | ทั้งพลุแรงตึงตังดังสท้าน |
เสียงนกบินพราดพรวดกรวดอ้ายตื้อ | เสียงหวอหวือเฮฮาอยู่น่าฉาน |
ล้วนผู้คนล้นหลามตามสพาน | อลหม่านนาวาในสาคร |
บ้างก็แห่ผ้าป่าพฤกษาปัก | มีเรือชักเซงแซ่แลสลอน |
ขับประโคมดนตรีมีลคร | อรชรร่ำร่าอยู่น่าเรือ |
บ้างก็ร้องสักรวาใส่น่าทับ | ลูกคู่รับพร้อมเพราะเสนาะเหลือ |
ฟังสำเนียงสัตรีไม่มีเครือ | เปนใยเยื่อจับในน้ำใจชาย |
ฟังสำเนียงเสียงนางที่กลางน้ำ | แล้วหวนรำฤกถึงนุชที่สุดหมาย |
กลับมานอนอ่อนทอดระทวยกาย | เฝ้าฟูมฟายชลนาทุกราตรี |
นอนไม่หลับกลับลุกเปิดน่าต่าง | จันทร์กระจ่างแจ่มฟ้าในราษี |
เห็นดวงเดือนเหมือนลักษณ์ภักคินี | ยุพินพี่อยู่ไกลไนยนา |
พี่นั่งคอยนอนคอยละห้อยหวน | แสนรัญจวนมิได้สิ้นถวิลหา |
เห็นราหูจู่จับพระจันทรา | ชาวภาราอื้ออึงคนึงดัง |
พิฤกลั่นครั่นครึกเสียงกึกก้อง | ระฆังฆ้องกลองแซ่ทั้งแตรสังข์ |
ประดังเสียงเพียงพื้นพิภพพัง | มีทุกครั้งดังทุกคราวฉาวทุกที |
โอ้ว่าดวงจันทร์เจ้าดูเศร้าหมอง | ไม่ผุดผ่องเผือดอับพยับสี |
อยู่ในปากราหูอสุรี | มีนาทีปล่อยปละสละกัน |
แต่ตัวพี่มิได้มีนาทีชื่น | ทุกวันคืนเฝ้าวิโยคด้วยโศกศัลย์ |
ครวญคนึงถึงมิตรที่ติดพัน | พี่ชมจันทร์ต่างเจ้าเยาวมาลย์ |
เมื่อวันมีเทศนามหาชาติ | ได้เห็นนาฏนุชอนงค์ยอดสงสาร |
สัปรุษคับคั่งฟังกุมาร | ชัชวาลย์แจ่มแจ้งด้วยแสงเทียน |
พี่ฟังธรรมเทศน์จบไม่พบน้อง | เที่ยวเมียงมองเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน |
ไม่พบภักตร์เยาวมาลย์ในการเปรียญ | ก็วนเวียนมาบ้านรำคาญใจ |
ถึงฤดูเดือนอ้ายไม่ได้สมร | ยิ่งหนาวนอนกอดประทับไม่หลับไหล |
ถึงกอดหมอนนอนนิ่งแล้วผิงไฟ | ไม่อุ่นใจเหมือนกอดแม่ยอดรัก |
พี่เปนทุกข์ทุกเดือนเหมือนจะม้วย | ใครจะช่วยทุกข์ได้ไม่ประจักษ์ |
ให้คับแค้นวิญญานักหนานัก | จนสุดรักสุดฤทธิ์จะคิดการ |
ให้สุดแค้นแสนวิตกในอกพี่ | เหมือนพระสี่เสาร์กระษัตริย์พลัดสถาน |
พระเสาร์ทับชัณษาอยู่ช้านาน | พระภูบาลเปนบ้าเข้าป่าไป |
ถึงกระนั้นพระองค์ก็คงหาย | กลับสบายคืนมาภาราได้ |
แต่ทุกข์พี่นี้ยิ่งกว่านั้นไป | ทำกะไรจะได้ชื่นทุกคืนวัน |
เปนเคราะห์กรรมซ้ำแซกเข้าแรกรุ่น | มาหมกมุ่นด้วยผู้หญิงจริงจริงฉัน |
แม่โลกีย์เจ้ากรรมแกทำครัน | จะบากบั่นก็ไม่ขาดประหลาดใจ |
ยิ่งเห็นหน้ามิ่งมิตรให้คิดรัก | อกจะหักเสียแล้วกรรมจะทำไฉน |
ชรอยเปนคู่สร้างฤๅอย่างไร | จึงอาไลยนางงามถึงสามฤดู |
ยกเอาเรื่องในใจใส่สมุด | ถ้านงนุชทราบเรื่องคงเคืองหู |
อันความรักมักคลั่งตั้งกระทู้ | มีทุกผู้ทุกคนไม่พ้นเลย |
ครั้นล่วงเข้าเดือนยี่ทวีหนาว | นางสาวสาวอาบน้ำทำหน้าเฉย |
อุส่าห์บำรุงกายให้ชายเชย | ไม่ขาดเลยแป้งขมิ้นดินสอพอง |
ไม่ใคร่ผิงอัคคีกลัวศรีเสีย | อลิ้มอะเหลี่ยเหลือดีไม่มีหมอง |
คัดปีกเปิดเลิศล้วนนวลลออง | อนงค์น้องน่ารักลักขณา |
บ้างก็กางคันฉ่องส่องกระจก | เห็นผมดกคิ้วดำขำนักหนา |
อุส่าห์ถอนอุตส่าห์ตัดหัดเล่นตา | เปนวิชาชวนชายให้ตายใจ |
บ้างก็ยิ้มพริ้มพรายขยายแก้ม | เอาหมึกแต้มให้ดำทำเปนไฝ |
ล้วนแต่งตัวทั่วกันทุกวันไป | นี่ฤๅใครจะไม่รักภักคินี |
ทั้งขาวขำสำอางเหมือนอย่างปั้น | ย่อมหวานมันกันหมดรสอิตถี |
ผูกสายสร้อยกบข้อมือลือว่ามี | ทุกวันนี้นับถือข้อมือทอง |
บ้างก็ไปวัดวาหาหลวงพี่ | ขึ้นกุฎีน้อมกายถวายของ |
ใครไม่รู้ดูทีเหมือนพี่น้อง | เขาแอบมองลอบดูรู้อุบาย |
ธรรมดาว่ารักเขามักรู้ | เพราะตาหูบอกเหตุสังเกตง่าย |
จะเจรจาพาทีมีแยบคาย | ใครอย่าหมายว่าจะปิดไม่มิดเลย |
เช่นทำนองของฉันทุกวันเล่า | เขารู้เท่าทั้งนั้นฉันก็เฉย |
โอ้โอ๋อกของชายที่หมายเชย | ยังไม่เคยแล้วยิ่งคิดจิตรระบม |
สิบเดือนถ้วนครวญหามารศรี | มิได้มีความสบายเท่าปลายผม |
เฝ้าคิดถึงสาลิกาป่าชะอม | น้ำค้างพรมพรั่งพราวหนาวหัวใจ |
ไม่เห็นมาเยี่ยมเยือนจนเดือนยี่ | เจ้าปักษีโบกบินไปกินไหน |
สุริยาอัษฎงค์ลงไรไร | โอ้อาไลยสาลิกาน้ำตานอง |
โฉมยุพินกินรีเจ้าพี่เอ๋ย | เมื่อไรเลยจะได้ชมประสมสอง |
ดูผิวเหลืองเรืองดีเปนสีทอง | ได้ประคองแล้วจะชื่นทุกคืนวัน |
ดอกโกมุทบุษบามณฑาทิพ | วิไลยลิบลอยล่องของสวรรค์ |
ถ้าหล่นลงตรงพี่จะดีครัน | คงฦๅลั่นโลกาสุธาสเทือน |
แม่ดวงแก้วนพเก้าเสาวภาค | พี่ฝังฝากรักใคร่ใครจะเหมือน |
ให้หมกมุ่นวุ่นวายมาหลายเดือน | สติเฟือนคลั่งไคล้ในใจตรม |
ถึงเดือนสามความโศกไม่เสื่อมสูญ | จันทร์จำรูญแสงงามยามประฐม |
ดารารายพรายพร่างน้ำค้างพรม | พี่นั่งชมจันทร์เพ็งเปล่งโพยม |
ดูแวววับเวหาล้วนดาเรศ | เหมือนดวงเนตรนุชนางสำอางโฉม |
ดูกระพริ้มริมแดงดังแสงโคม | ลอยโพยมล้อมจันทร์พรรณราย |
พี่นั่งชมตรมตรึกดึกสงัด | น้ำค้างหยัดเยือกเย็นกระเซ็นสาย |
บุบผาเผยกลิ่นก้านบานกระจาย | ต้องพระพายหอมประทิ่นเหมือนกลิ่นนาง |
พี่เคลิ้มคลั่งนังอยู่ดูมะลิ | ลืมสติหลงพลอดกอดกระถาง |
ฟังเปนเสียงสายสมรวอนให้วาง | จึงปลอบนางทางว่าด้วยอาไลย |
พี่นั่งคอยนอนคอยน้อยไปฤๅ | ขอถูกมือยอดรักอย่าผลักไส |
พอรู้สึกนึกเขินเดินออกไป | ถ้าแม้นใครเห็นฉันแล้วขันจริง |
ราวกับถูกยาแฝดสักแปดโถ | จนซูบโซเสียศรีดังผีสิง |
พระอะไภยหลงรูปวาดหวาดประวิง | เรากลับยิ่งกว่าพระอะไภยไป |
ถ้ามิได้นวลหงฉันคงม้วย | ใครจะช่วยดับเข็ญเห็นไม่ไหว |
ฤๅจะเหมือนมดแดงน่าแคลงใจ | ให้สงไสยวิญญาเปนอาจิณ |
ดูตำราว่าพฤหัศบดิ์เปนปัตตนิ | ตามลัทธิว่าคู่อยู่ทักษิณ |
ช่างพูดจาตาดำดังน้ำนิล | ก็สมสิ้นเหมือนตำราสารพัน |
เออก็ขัดด้วยอะไรไฉนหนอ | แต่รีรอรักนุชสุดกระสัน |
เห็นที่อื่นดื่นดาษไม่ขาดวัน | จะรักกันก็ประเดี๋ยวเมื่อเกี้ยวพาน |
เหมือนแสบท้องต้องฝืนกลืนเข้าตาก | ระคายปากไม่ละมุนเหมือนวุ้นหวาน |
เหมือนอดเข้ากินมันยากกันดาร | กว่าจะพานพบของที่ต้องใจ |
กระแจะจันทน์คันธาบุบผาสด | ไม่เหมือนรศมิ่งมิตรพิศมัย |
ประเวณีมีจบภพไตร | ไม่ว่าใครทุกตัวทั่วโลกา |
ถึงเดือนสี่ปีสุดจะตรุษใหม่ | ยังไม่ได้นุชนาฎที่ปราถนา |
ฟังเสียงปืนยิงยัดอัตนา | รอบมหานัคเรศนิเวศวัง |
ถ้าความทุกข์เราดังเหมือนยังปืน | พิภพพื้นก็จะไหวเหมือนใจหวัง |
นวลหงคงจะรู้ถึงหูดัง | จะนอนฟังทุกข์พี่ไม่มีเว้น |
ทุกวันคืนเดือนปีไม่มีหยุด | พี่แสนสุดทุกข์ใจใครจะเห็น |
ในทรวงช้ำเหมือนเขาเชือดเลือดกระเด็น | ใครจะเปนเช่นข้าทั้งธานี |
ความรักนุชสุดหลงพะวงจิตร | จนลืมคิดญาติกาน่าบัดสี |
ลืมบิดามารดาทั้งตาปี | เหมือนไม่มีกระตัญญูดูเถิดเรา |
พอใจรักแม่เลี้ยงว่าเสียงเพราะ | เฝ้าเฉลาะก็ไม่ได้อะไรเขา |
รักคนอื่นลืมตัวจนมัวเมา | อุส่าห์เฝ้าอยู่ไม่ไปข้างไหนเลย |
จะได้ฤๅมิได้ให้รู้แน่ | เห็นจะแก่เสียเปล่าแล้วเราเอ๋ย |
สงสารใจใจคิดจะชิดเชย | สงสารตัวตัวเอ๋ยจะเอกา |
สงสารมือมือหมายจะก่ายกอด | สงสารปากปากพลอดไม่นักหนา |
สงสารอกอกโอ้อนิจา | ใครจะมาแอบอกให้อุ่นใจ |
สงสารหลังหลังหมายจะได้จุด | สงสารสุดเวทนาน้ำตาไหล |
สงสารตาตาพี่แต่นี้ไป | จะดูใครต่างเจ้าจะเปล่าตา |
โอ้อกเรามีกรรมทำไฉน | จึงจะได้แนบชิดขนิษฐา |
ได้แต่ชื่อไว้ชมตรมอุรา | ถึงได้ผ้าไว้ห่มก็ตรมใจ |
ถึงได้แหวนไว้ชมก็ตรมจิตร | ไม่เหมือนได้มิ่งมิตรพิศไสม |
ได้ของอื่นหมื่นแสนทั้งแดนไตร | ไม่เหมือนได้นิ่มน้องประคองนอน |
จะว่าโศกโศกอะไรที่ในโลกย์ | ไม่เท่าโศกใจหนักเหมือนรักสมร |
จะว่าหนักหนักอะไรในดินดอน | ถึงสิงขรก็ไม่หนักเหมือนรักกัน |
จะว่าเจ็บเจ็บแผลพอแก้หาย | ถ้าเจ็บกายชีวาจะอาสัญ |
แต่เจ็บแค้นนี่แลแสนจะเจ็บครัน | สุดจะกลั้นสุดจะกลืนขืนอารมณ์ |
จะว่าขมขมอะไรในพิภพ | ไม่อาจลบบรเพ็ดที่เข็ดขม |
ถึงดาบคมก็ไม่สู้คารมคม | จะว่าลมลมปากนี้มากแรง |
จะว่าเมาเมาอะไรก็ไม่หนัก | อันเมารักเช่นนี้มีทุกแห่ง |
เกิดยุ่งยิ่งชิงกันถึงฟันแทง | ใครพลาดแพลงล้มตายวายชีวา |
บ้างชกต่อยกันบอบลอบตีหัว | เขาจับตัวใส่คุกทุกข์นักหนา |
อันโกรธขึ้งหึงกันทุกวันมา | เพราะตัณหาตัวเดียวมันเหนี่ยวแรง |
จนพระเณรเถรตู้อยู่ไม่ได้ | ศึกออกไปซัดเพลาะเที่ยวเสาะแสวง |
บ้างร้อนตัวกลัวอดเหมือนมดแดง | นอนตะแคงขว้ำหงายสบายใจ |
บ้างก็แต่งเพลงยาวไปน้าวโน้ม | ว่ารักโฉมมิ่งมิตรพิษสมัย |
พอลงเอยให้แม่สื่อถือเอาไป | แต่ละใบราคาถึงตำลึงทอง |
บ้างถูกแม่สื่อหลอกปอกเอาหมด | เจ็บอกอดอับอายเสียดายของ |
ถ้าแม่สื่อซื่อตรงคงได้ครอง | เปนหอห้องเรือนเรือตามเชื้อวงศ์ |
บ้างรักเขาข้างเดียวลงเขี้ยวเขน | บ้างก็เปนสังการีศึกชีสงฆ์ |
วิไสยพระทุกวัดขัดทุกองค์ | ถ้าลาภตรงมาหาเปลื้องผ้าไตร |
บ้างก็ถูกลมหลอกออกมาเก้อ | ชักสพานแหงนเถ่อน้ำตาไหล |
ไม่ได้เมียเสียของร้องเอาใคร | กลับบวชใหม่สวดมนต์ไปจนตาย |
เขาว่าพระคราวนั้นก็ขันอยู่ | บวชเณรรู้ไว้เปนศิษย์ดังจิตรหมาย |
ท่านจับสึกสักหน้าพากันอาย | พวกหญิงชายฦๅดังทั้งพิภพ |
เพราะโลกีย์ฟั่นเฝือเหลือสละ | แต่เปนพระแล้วยังคิดผิดขนบ |
นี่ฤๅคฤหัษฐจะไม่โลภละโมภมบ | ให้ปรารถเรื่องผู้หญิงประวิงวน |
จะพรรณาว่าไปไหนจะหมด | เหลือกำหนดนับไม่เสร็จเหมือนเม็ดฝน |
มิใช่ฉันหยาบช้าแกล้งว่าคน | อย่าร้อนรนร้าวรานรำคาญเคือง |
ฉันคนชั่วตัวโศกเปนโรครัก | อกจะหักเสียเพราะตรอมจนผอมเหลือง |
สวาดิ์หวังตั้งจิตรเปนนิตย์เนือง | จึงแต่งเรื่องรักไว้ให้คนฟัง |
พออ่านเล่นเปนที่ประทังทุกข์ | ให้ผาศุกตามประสาเปนบ้าหลัง |
ท่านทั้งหลายชายหญิงอย่าชิงชัง | ฉันต่อตั้งแต่งความตามทำนอง |
อันเรื่องราวตัณหานี้สาหัส | ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง |
อุส่าห์หัดวิชาหาเงินทอง | ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน |
ถึงยากจนซนหาประสายาก | ที่มีมากตั้งกองครองสงวน |
บ้างก็ชอบชาววังรังกระบวน | เนื้อก็นวลเสียงก็หวานขานก็เพราะ |
ที่เต็มอัดกลัดมันกลั้นไม่หยุด | ก็รีบรุดเร็วรัดไปวัดเกาะ |
เปนเงินแดงแย่งยุดฉุดเอาเพลาะ | เถียงเทลาะวุ่นวายไม่อายกัน |
เพราะโลกีย์เจ้ากรรมแกทำเข็ญ | พะเอิญเปนทั่วโลกย์ให้โศกศัลย์ |
ถึงเทวบุตรภุชงค์พงศสุบรรณ | ก็เหมือนกันกับเราที่เศร้าใจ |
ถ้ารักกันลั่นเปรี้ยงดังเสียงฟ้า | หูจะช้าเสียด้วยดังฟังไม่ไหว |
แต่เงียบเงียบสิยังอึงคนึงไป | ราวกับไฟไหม้ฟางสว่างโพลง |
ถ้าคนอื่นตรึกตรองก็ต้องที่ | แต่เรานี้ขวนขวายแทบตายโหง |
ก็มิได้สายสมรนอนคลุมโปง | ยังดังโด่งพลอยเขาน่าเศร้าใจ |
แต่นั่งตรึกนอนตรึกนึกถึงน้อง | แม้นจะรองชลนาสักห้าไห |
ถ้าใครแย่งแกล้งพาขวัญตาไป | คงจะใส่เสียให้ยับไม่นับชิ้น |
จะถากเชือดเลือดเนื้อเอาเกลือทา | สับศีศะเสียให้สาอารมณ์ถวิล |
จะทิ้งให้กาแร้งมันแย่งกิน | จึงจะสิ้นความแค้นแน่นอุรา |
เอะอะไรใจจิตคิดฉนี้ | ไม่ควรที่โกรธขึ้งด้วยหึงษา |
จะเปนเวรเปล่าเปล่าไม่เข้ายา | จิตหนาอย่าอำมะหิตให้ผิดคน |
เมื่อรักเขาเราก็รักไว้นิ่งนิ่ง | ถึงใครชิงนางงามตามกุศล |
ถ้าคู่แท้แลจะไปข้างไหนพ้น | อย่าร้อนรนรุกรานรำคาญใจ |
ครั้นคิดได้หายหึงไม่ขึ้งโกรธ | ค่อยปราโมชยิ้มย่องสนองไข |
ที่จริงจิตรฉันไม่กล้าจะฆ่าใคร | ตั้งหม้อใหญ่ไว้กระนั้นดีฉันเอง |
แต่ความรักรักจริงไม่ทิ้งรัก | ยังไม่หักได้ก่อนลงนอนเขลง |
น่าหัวร่อหนอเราไม่เข้าเพลง | พูดเอาเองแก้เองออกวุ่นวาย |
ด้วยความรักหนันแน่นแสนจะคลั่ง | เหลือกำลังที่จะหักให้รักหาย |
ถ้าสมรักนั่นแลฉันพลันสบาย | ไม่เหมือนหมายแล้วเห็นไม่เปนคน |
ทำกะไรโฉมเฉลาจะเข้าใกล้ | ฉันจะได้ฝากรักเสียสักหน |
ขอเปนข้านางงามไปตามจน | จะสู้ทนทุบถองให้น้องใช้ |
ยิ่งรำพรรณปั่นป่วนรัญจวนจิตร | ถ้าแม้นผิดที่นี่แล้วที่ไหน |
เหมือนหมายไม้กลางป่าพนาไลย | สุดวิไสยที่จะมุ่งผดุงปอง |
จะเอาจริงดังใจไม่ได้แท้ | มีก็แต่ทรัพย์นึกไม่ตรึกถอง |
ถ้านึกได้เหมือนนึกที่ตรึกตรอง | จะนอนร้องลครเล่นให้เย็นใจ |
นึกนึกแล้วก็เปล่าเรายิ่งวุ่น | เจ้าประคุณน้ำตาพากันไหล |
ท่านเจ้าจอมหม่อมจิตรนี่คิดไป | แสนอาไลยเพียงกายจะวายชนม์ |
เต็มกระเดือกเสือกกระแด่วอยู่แล้วหนอ | จะสู่ขอสารพัดก็ขัดสน |
จะกระโจมโถมเอาเราก็จน | ครั้นจะทนอยู่เล่าเราก็ทุกข์ |
ไม่ได้ตามความรักเลยสักท่า | ทุกทิวาราตรีไม่มีศุข |
อุราเราร้อนเริงดังเพลิงลุก | จะบากบุกเข้าไปอย่างไรดี |
นึกจะแต่งศุภสารเปนการลับ | ก็คิดกลับกลัวน้อยจะหมองศรี |
ไม่เหมือนพบภักตราได้พาที | ต้องอารีรักไว้แต่ในใจ |
จะริเรื่องร่ำว่าก็น่าเกลียด | ฉันขี้เกียจอธิบายน้ำลายไหล |
สำหรับโลกย์โศกศัลย์ทุกวันไป | กว่าจะได้พบพานเห็นนานครัน |
จะขอลาน้องน้อยกลอยสวาดิ์ | แรมนิราศราวป่าพนาสัณฑ์ |
เปนดาบศทรงพรตพรหมจรรย์ | ไปสวรรค์นิพพานสำราญกาย |
ในชาตินี้บุญพี่นี้น้อยแล้ว | เห็นคลาศแคล้วคลาเคลื่อนไม่เหมือนหมาย |
มีแต่ทุกข์ระทมทับให้อับอาย | เปนผู้ชายสิ้นคิดอนิจจัง |
เรื่องก็จบครบปีเดือนสี่สิ้น | ใครอย่าได้นินทาว่าลับหลัง |
เอาเรื่องรักชักเหตุเทศน์ให้ฟัง | พอเอวังก็มีเท่านี้เอง ฯ |