จำจากมิตรขนิษฐายุพาพิน |
เพียงจะสิ้นชีวาด้วยอาลัย |
ถ้าแม้ผิดมิใช่กิจนรินทร์ราช |
ไม่คลาคลาศคลายชิดพิสมัย |
โดยภักดีมีประสงค์จำนงใน |
อาสาไทจอมจักรหลักนคร |
มะเสงศุกรเดือนเก้าขึ้นสามค่ำ |
แสนระกำด้วยจะไปไกลสมร |
เข้าชิดโฉมโลมลาพงางอน |
กล่าวสุนทรปลอบน้องอย่าหมองนวล |
ค่อยอยู่เถิดนงเยาว์ลำเพาพักตร์ |
จะร้างรักแรมชมภิรมย์สงวน |
ใช่แกล้งหน่ายแหนงขวัญให้รัญจวน |
อย่าคร่ำครวญโศกสร้อยน้อยฤทัย |
ครั้นเสร็จสั่งยอดมิ่งทุกสิ่งสรรพ์ |
ก็ผายผันมายังท่าชลาไหล |
ลงเรือเร่งรีบร้อนจรครรไล |
ล่องลงไปจอดนาวาท่าขุนนาง |
เข้าประตูศรีสุนทรสท้อนจิตต์ |
ให้หวนคิดหวังสวาทไม่ขาดหมาง |
เดินเข้าในราชฐานพระลานกลาง |
ดูสล้างเกณฑ์แห่แลวิไล |
ใส่เสื้อหมวกแดงดีสีสอาด |
เดียรดาษธงทิวปลิวไสว |
พระที่นั่งตั้งประทับกับเกยไชย |
จะคอยใส่ราชสาส์นพานสุวรรณ ฯ |
๏ ท่านพระยามนตรีสุริยวงศ์ |
เปนเอกองค์ราชทูตสุดขยัน |
อุปทูตที่สองรองถัดนั้น |
เจ้าหมื่นสรรพ์เพ็ธภักดีผู้ปรีชา |
อันทูตตรีนี้จมื่นมณเฑียรพิทักษ์ |
ปรัศรักษาเทพตำรวจหน้า |
แต่ตัวเราต้องเปนล่ามตามบัญชา |
ส่งภาษาทูลอนงค์องค์พระนาง |
จมื่นราชามาตย์นายพิจารณ์ |
บาญชีชาญเจนจัดไม่ขัดขวาง |
ได้กำกับบรรณาการโดยด่านทาง |
ต่างคนต่างมาพร้อมนั่งล้อมกัน |
คอยพระจอมจักรพงศ์ดำรงราษฎร์ |
ทูลลานาถหน่อนารายน์รีบผายผัน |
ความภักดีบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ |
ตั้งกตัญญูต่อไม่ท้อใจ |
พอบ่ายห้าโมงเศษเสด็จออก |
พระโรงนอกอมรินทร์วินิจฉัย |
หมู่อำมาตย์มาตยาเสนาใน |
บังคมไทนฤเบศร์เกศนิกร |
พระทรงจิ้มจันทน์เฉลิมเจิมวิลาศ |
แล้วผูกคาดด้ายขวัญรำพรรณสอน |
เสร็จดำรัสตรัสอำนวยอวยพระพร |
จงถาวรเรืองยศหมดทุกคน |
ซึ่งโรคันอันตรายอย่ากรายใกล้ |
ให้สุขใสอิ่มอาบทั้งลาภผล |
แม้เข้าเฝ้าองค์กวินปิ่นสกล |
พอได้ยลให้มีจิตต์คิดเมตตา |
สมถวิลภิญโญสโมสร |
รับพระพรแหวกวางหว่างเกศา |
ศิโรราบกราบก้มบังคมลา |
แล้วคลานคล้อยถอยมาทั้งหกนาย |
จวนเวลามหาพิชัยฤกษ์ |
เอิกเกริกแซ่เสียงสำเนียงหลาย |
ดูคนอื่นรื่นเริงเชิงสบาย |
แต่ข้างฝ่ายพวกเราเศร้าอุรา |
แล้วแต่งกายพรายพรรณสุวรรณมาศ |
ล้วนพระราชทานหมดเครื่องยศถา |
เจ้าคุณราชทูตใหญ่ใส่มาลา |
คนทั้งห้าทรงประพาศสอาดงาม |
เสื้อเข้มขาบชั้นในใส่อย่างน้อย |
เข็มขัดพลอยต่างต่างอย่างสยาม |
บ้างฝังเพ็ชรเม็ดพราววับวาววาม |
ประคตหนามขนุนคาดประหลาดดี |
เสื้อยี่ปุ่นทับนอกดอกวิเศษ |
ล้วนทองเทศงามงดดูสดสี |
นุ่งยกทองทำมาแต่ตานี |
ครั้นครบที่ตามยศหมดด้วยกัน |
ให้เคลื่อนพระยานมาศราชสาส์น |
ประโคมขานสังข์แตรแซ่สนั่น |
อภิรุมชุมสายดูพรายพรรณ |
ทานตวันพัดโบกระบายลม |
ลงมาถึงท่าพระหยุดประทับ |
ก็คั่งคับเรือเรียงเสียงขรม |
เปนสง่างามกระบวนควรจะชม |
ทุกสิ่งสมสารพัดไม่ขัดตา |
ที่นั่งชลพิมานชัยวิไลล้ำ |
ปิดทองคำเพริศพรายลายเลขา |
ใส่ลิขิตอิศเรศเกศประชา |
พร้อมนาวาแห่แหนออกแน่นธาร |
พวกทูตานุทูตนั้นสำปั้นเก๋ง |
ก็แซ่เซ็งพายแซงแข่งขนาน |
ถึงวัดประทุมคงคาเวลากาล |
สุริฉานสิ้นแสงแฝงคิรี |
จึงชวนกันกลับบ้านสถานถิ่น |
ไม่เสื่อมสิ้นตรมตรองหมองฉวี |
ดูจ๋อยจิ๋วผิดเผือดเลือดไม่มี |
ช่างเสียศรีเศร้าสลดหมดทุกนาย ฯ |
๏ แต่ตัวเรามิได้เบาบางวิตก |
คิดชนกชนนีมิรู้หาย |
ทั้งพันธุ์พงศ์วงศ์ญาติจะคลาศคลาย |
อิกมิ่งมิตรชิดกายต้องห่างกร |
นิจาเอ๋ยพึ่งได้เชยประคองชื่น |
แรกรักรื่นจำไปไกลสมร |
จะก่นกินแต่น้ำตาอนาทร |
ทั้งนั่งนอนไหนจะสุขทุกทิวา |
แล้วห้ามใจอย่าพะวงหลงสวาท |
ควรบำราศพุ่มพวงดวงยิหวา |
ด้วยพระจอมจักรพรรดิขัติยา |
มีบัญชาเจาะจงที่ตรงเรา |
ควรอาสาฝ่าลอองฉลองบาท |
จึงสมชาติเชื้อชายไม่อายเขา |
อิ่มอุราปรารภไม่ซบเซา |
ค่อยก้มเกล้ากราบกรานคุณมารดร |
ได้เวลานาฬิกาก็เจ็ดทุ่ม |
ท้องฟ้าคลุ้มเดือนดับลับศิงขร |
สู้ปลิดรักหักใจครรไลจร |
ถึงหน้าวังยอกรบังคมคัล |
ทูลลาองค์บิตุรงค์บังเกิดเกศ |
ลงนาเวศเร่งฝีพายรีบผายผัน |
แต่ถิ่นฐานบ้านบางทางจรัล |
จะรำพรรณเรื่องนิพนธ์ก็จนใจ |
ด้วยสิ้นแสงภานุมาศอนาถเนตร |
สุดสังเกตมืดค่ำจำไม่ได้ |
ทั้งน้ำเชี่ยวเรือฉิวลิ่วลงไป |
พอจวนใกล้รุ่งรางสว่างวรรณ ฯ |
๏ ถึงเมืองสมุทปราการที่ด่านพัก |
จอดสำนักประเดี๋ยวใจก็ไก่ขัน |
ไม่มีมุ้งยุงชุมต้องสุมควัน |
จนสุริยันเรืองรองผ่องอำไพ |
บ้างเสพย์ภักษ์โภชนากระยาหาร |
เสร็จสำราญเร่งกันเสียงหวั่นไหว |
ขนเข้าของบรรทุกท้องเรือกลไฟ |
ล่องครรไลลีลาพ้นหน้าเมือง |
ออกปากอ่าวเปล่าว่างทางวิถี |
สุริย์ศรีแสงแผดดูแดดเหลือง |
ยิ่งร้อนรุ่มกลุ้มใจเหมือนไฟเรือง |
จะปลดเปลื้องความกำสรดไม่หมดเลย |
ค่อยเสื่อมส่างแล้วกลับหมางกระมลหมอง |
คิดตรึกตรองตรอมอุรานิจจาเอ๋ย |
หวนคำนึงถึงมิตรที่ชิดเชย |
ยังไม่เคยพลัดพรากไปจากกัน |
เรือสยามใช้จักรมาพักหนึ่ง |
ก็พอถึงที่จอดทอดกำปั่น |
เห็นเรือรบใหญ่กว้างสำอางครัน |
นายท้ายหันรอเรียงเข้าเคียงลำ |
อังกฤษโยนเชือกให้พวกไทยรับ |
บ้างฉวยจับฉุดลากถลากถลำ |
คลื่นกระแทกแดกระดมล้มคะมำ |
สาวกระหน่ำเข้าไปเทียบพอเรียบดี |
ที่เมาคลื่นรีบขึ้นกำปั่นใหญ่ |
ตัวเราได้เชิญบรมสาส์นศรี |
จมื่นมณเฑียรพิทักษ์เปนทูตตรี |
ต้องตามที่เชิญอักษรบวรวัง ฯ |
๏ ฝ่ายกัปตันบัญชาสั่งทหาร |
ให้ตั้งการคอยคำนับอยู่คับคั่ง |
แล้วสลูตปืนตึงเสียงปึงปัง |
สนั่นดังลั่นเลื่อนสเทือนเรือ |
สิบเก้านัดยัดยิงถ้วนคำรบ |
ควันออกกลบกลุ้มตัวน่ากลัวเหลือ |
โอ้อกเรียมเกรียมใจเหมือนไฟเจือ |
เหื่อเปียกเสื้อซึมโซมชะโลมกาย |
ทำหน้าชื่นฝืนจิตต์คิดมานะ |
กลับปะทะทุกข์หนักไม่หักหาย |
สู้ดำรงกายเดินดำเนินกราย |
เข้าห้องท้ายที่ประทับเขารับรอง |
ลุดเตนนันต์เร่งกันอึกกระทึก |
ดูคักคึกอลวนขนเข้าของ |
บ้างยกหีบห่อผ้าขึ้นมากอง |
ที่ในห้องแน่นยัดอัตนัง |
พระที่นั่งกลไฟที่ไปส่ง |
สิ้นประสงค์เสร็จสรรพก็กลับหลัง |
พี่เปล่าอกเพียงอุระนี้จะพัง |
เฝ้าแต่ตั้งตาแลชะแง้ตาม |
ประเดี๋ยวเลี้ยวแหลมวับก็ลับเนตร |
แสนเทวศนึกอนาถให้หวาดหวาม |
แต่นี้นับวันไกลอาลัยงาม |
จะแจ้งความทุกข์พี่ก็มิทัน ฯ |
๏ ตวันชายบ่ายประมาณสักโมงเศษ |
จำจากเขตรกรุงไทยมไหศวรรย์ |
ฝ่ายอังกฤษตัวดีที่กัปตัน |
ให้ช่วยกันถอนสมอจะจรลี |
เอนชะเนียนายจักรก็ศักดิ์สิทธิ์ |
ใส่ไฟติดน้ำพลั่งดังฉี่ฉี่ |
สะกรูหันผันพัดในนัที |
เรือก็รี่เร็วคว้างไปกลางชล |
ประเดี๋ยวใจไกลฝั่งออกลิบลับ |
ฤทัยวับอ้างว้างอยู่กลางหน |
เห็นแต่ฟ้ากับมหาทเลวน |
ประจวบจนพระอาทิตย์ลงมิดดวง |
พมุ่งมองตามช่องหน้าต่างท้าย |
เห็นน้ำพรายเปนละลอกกระฉอกช่วง |
คิดถึงแหวนเนื่องน้องยิ่งหมองทรวง |
ดูรุ้งร่วงเงางามอร่ามเรือง |
ร้อนรำพึงถึงสมรนอนไม่หลับ |
จนดาวดับลับหล้าขอบฟ้าเหลือง |
เปนเปลวปลาบราวกับทาบทองประเทือง |
พินิจเบื้องบูรทิศวิจิตรงาม |
กำปั่นแล่นเลยมาถึงหน้าเขา |
สล้างเสลาแลหลากเหมือนขวากหนาม |
คนรู้จักจึงแสดงให้แจ้งความ |
ว่าชื่อสามร้อยยอดตลอดแล |
อยู่ฟากฝั่งข้างฝ่ายปัจจิมทิศ |
ดูเต็มติดเรียดรายชายกระแส |
ช่างเบียดเสียดเยียดยัดกันอัดแอ |
แต่ล้วนแต่ยอดเขาลำเนาเนิน |
จะชมเล่นก็ไม่เห็นสนัดเนตร |
สุดสังเกตทัศนาภูผาเผิน |
เปนจำจนมิได้ยลให้เพลิดเพลิน |
เรือก็เดินล่วงมาในสาคร |
แสนสงสารคุณพิจารณ์สรรพกิจ |
เมื่อจากมิตรเขาเซาซบสยบสยอน |
พลอยเมาคลื่นเกลือกกลิ้งลงนิ่งนอน |
เรือขย่อนไปมาเฝ้าอาเจียน |
ใครอย่าว่าเสียให้ยากไม่หยากลุก |
ระทมทุกข์ถอนสอื้นทั้งคลื่นเหียน |
หมอบกระแตแน่นิ่งวิงวิงเวียน |
สอิดสเอียนอาหารไม่พานฅอ |
สุริยงลงลับคิรีศรี |
ได้ลมดีเร็วจริงเรือวิ่งปร๋อ |
จนมืดมนท์สนธยาไม่รารอ |
แล่นมาพอตรงลเมาะเกาะอ่างทอง |
ดูรุบหรู่หมู่ไม้ไศลล้วน |
ไม่เห็นถ้วนถี่ทั่วยิ่งมัวหมอง |
โอ้ไกลเกาะไกลเรือนเพื่อนประคอง |
ไกลพวกพ้องพงศาต้องมาไกล |
นั่งรำฦกนึกถึงคนึงโฉม |
ยิ่งทุกข์โทมนัศน่าน้ำตาไหล |
คืนเข้าห้องไสยาศน์อนาถใจ |
จนอุทัยยส่องศรีรวีวรรณ |
ตื่นขึ้นมาล้างหน้าที่บนท้าย |
ไม่เว้นวายว่างวิโยคโศกกระศัลย์ |
ถึงประเทศเขตรจำเพาะเกาะพะงัน |
เขาพูดกันว่าที่นี่มีทองคำ |
ฝ่ายเจ้าเมืองไชยาให้มาขุด |
ชมพูนุทสุดดีสีสุกก่ำ |
เขาขีดหินตับเป็ดเนื้อเจ็ดน้ำ |
แล้วจึงนำเข้าน้อมจอมโมฬี |
ครั้นพ้นเกาะเลาะลิบละลิ่วแล่น |
มาตามแผนที่ทางหว่างวิถี |
พอถึงแหลมตะลุมพุกทุกข์ทวี |
ทรวงเหมือนตีทุบทุ่มตะลุมพุก |
เจ็บระบมตรมในมิใคร่หาย |
เจียนจะวายชีวีไม่มีสุข |
ลงนอนนิ่งก็ไม่หลับแล้วกลับลุก |
เฝ้าแต่ทุกข์ทับถมอารมณ์ตรอม |
ถึงอ่าวยาวคิดระคางด้วยยางรัก |
ช่างเหนียวหนักหน่วงใจจนไผ่ผอม |
สุดจะคิดปลิดปลดสู้อดออม |
เห็นคงงอมเสียเพราะงามเมื่อยามครวญ |
ถึงหน้าเมืองตานีบุรีแขก |
เพียงทรวงแยกยับเยินเกินกำสรวญ |
ครั้งอิเหนาคราวนั้นเธอรัญจวน |
เมื่อจากนวลนิ่มนุชบุษบา |
ไม่ทุกข์เท่าเราร้างห่างสมร |
ต้องมานอนอยู่คนเดียวเปลี่ยวนักหนา |
ระเด่นร้างก็มีนางชเลยมา |
พอค่อยพาใจปลื้มลืมคนึง |
แต่เราร้างไม่มีนางมาแนบชิด |
จึงต้องคิดแดดิ้นถวิลถึง |
ในทรวงกลุ้มเหมือนหนึ่งรุมด้วยไฟรึง |
นอนรำพึงมิรู้คลายวายอาวรณ์ |
ถึงหน้าเมืองกะลันตันอั้นอุระ |
แต่นี้จะตันใจด้วยไกลสมร |
มาอ้างว้างอาทวาในสาคร |
จะผันผ่อนพึ่งที่ไหนก็ไร้ร้าง |
อยู่ถึงท้องกระแสใสทั้งไกลฝั่ง |
สุดประทังสุดทนกระมลหมาง |
สุดค้นคว้าหานุชสุดหนทาง |
สุดอ้างว้างสุดจนพ้นปัญญา |
ถึงหน้าเมืองตรังกานูดูลิบลิ่ว |
เห็นแต่ทิวไม้หมู่บนภูผา |
คิดก็แค้นแสนเวทนาตา |
ถึงมีมามีเสียเปล่าไม่เข้าการ |
ดูอะไรไม่เห็นชัดถนัดแน่ |
ได้ดูแต่น้ำกับฟ้าน่าสงสาร |
โอ้ขัดข้องหมองจิตต์คิดรำคาญ |
มาทรมานอยู่ในเรือเห็นเหลือทน |
นั่งคนึงพอมาถึงที่เกาะฝ้าย |
ยิ่งหมองหมายหม่นไหม้ใจฉงน |
ฝ้ายที่ทำนวมนุ่มคลุมสกนธ์ |
อุ่นแต่กายใจจนไม่อุ่นเลย |
ยามสงวนเนื้อนวลสนิทแนบ |
ได้อิงแอบอุ่นอุรานิจาเอ๋ย |
อุ่นทั้งนอกทั้งในใจเสบย |
เมื่อละเลยจากเจ้าพี่หนาวทรวง |
ลมก็จัดพัดหวนทวนข้างหน้า |
โอ้เวราสิ่งไรนี้ใหญ่หลวง |
ต้องทุเรศเวทนาน้ำตาตวง |
อยู่ในห้วงมหรณพนั่งซบเซา ฯ |
๏ มาถึงเกาะตังโกรันกัปตันสั่ง |
ให้กางใบพร้อมพรั่งสิ้นทุกเสา |
ลมยิ่งแรงพัดผันไม่บันเทา |
เรือเขย่าคนขย่อนนอนอาเจียน |
กัปตันโอแกแลแฮนแสนฉลาด |
เห็นไทยดาษนอนดื่นบ้างคลื่นเหียน |
จึงทำกลจะให้คลายหายวิงเวียน |
ช่างแนบเนียนแสนสนิทความคิดดี |
ร้องเรียกเหล่าล้วนทหารชำนาญศึก |
อึกกระทึกถ้วนหน้ากระลาสี |
ถืออาวุธทำท่าจะราวี |
กับไพรีดัษกรเข้ารอนราญ |
ยิงปืนใหญ่ปังปึงเสียงผึงโผง |
ควันโขมงกลุ้มทั่วตัวทหาร |
ขนกระสุนดินดำทำอาการ |
จะต่อต้านข้าศึกไม่นึกกลัว |
บ้างฉวยดาบจับหอกออกสพรั่ง |
ดาประดังชิงชัยมิใช่ชั่ว |
แรงเริงร่านราญรบไม่หลบตัว |
ชิดกระชั้นพันพัวเข้าต่อตี |
แต่บรรดาพวกเราที่เมาคลื่น |
เห็นครึกครื้นทั้งกำปั่นสนั่นมี่ |
ต่างลุกขึ้นพร้อมกันมาทันที |
ดูราวีอย่างทหารชาญทเล |
ค่อยเหือดห่างบางเบาบันเทาทุกข์ |
แสนสนุกชักชวนกันสรวลเส |
ที่ชอบใจพูดจาเสียงฮาเฮ |
จนถึงเวลาเลิกกินเข้าปลา |
สุริยงลงลับเหลี่ยมไศล |
ศศิใสส่องสว่างกลางเวหา |
ถึงแว่นแคว้นแดนปะหังไม่รั้งรา |
รีบลีลาล่วงทางไปกลางคืน |
พอรุ่งแจ้งถึงจำเพาะตรงเกาะหม้อ |
ฤทัยท้อทุกข์ทวีไม่มีชื่น |
คิดหม้อน้องทำของให้กล้ำกลืน |
กลัวคนอื่นมันจะหมิ่นมากินแทน |
ถึงเกาะนาคหลากล้ำซ้ำสงสัย |
นาคอันใดนึกหลากหรือนากแหวน |
จะขอชมต่างงามเมื่อยามแคลน |
เรือก็แล่นรับลเมาะพ้นเกาะเกิน ฯ |
๏ มาถึงที่แถวถิ่นเรียกหินขาว |
ระยะยาวในชลาล้วนผาเผิน |
บ้างผุดพ้นชลธารเปนน่านเนิน |
กำปั่นเดินเต็มทีที่สำคัญ |
ใครเข้าออกย่อมขยาดไม่อาจชิด |
กลัวเรือติดแตกปรุทลุลั่น |
ล้วนศิลาดาระดะครุคระครัน |
เมื่อก่อนนั้นโดนจมล่มหลายลำ |
มาภายหลังอังกฤษจึงคิดอ่าน |
ทำเหมือนด่านไว้ตรงนั้นดูขันขำ |
มีหอคอยลอยโพยมโคมประจำ |
เวลาค่ำจะได้เห็นเปนสัญญา |
ค่อยหลีกแล่นแสนยากลำบากจิตต์ |
จนอาทิตย์ส่องแสงแจ้งเวหา |
สักสี่โมงเศษสายได้เวลา |
ก็ถึงหน้าเมืองมิ่งสิงคโปร์ |
ให้เรือรอปล่อยสมอลงน้ำโพล่ง |
เสียงโกร่งโกร่งกร่างกร่างวางสายโซ่ |
ฝ่ายเจ้าเมืองข้างอังกฤษอิศโร |
ก็แต่งโฮเต็ลประทับไว้รับรอง |
ให้ขุนนางที่สามมาถามไถ่ |
ว่าผ่องใสอยู่ทุกคนหรือหม่นหมอง |
แล้วจัดเรือโบตงามตามทำนอง |
โดยเพศของข้างอังกฤษประดิษฐดี |
ให้มารับทูตไทยไปทั้งสาม |
ข้าหลวงล่ามพร้อมถ้วนจำนวนที่ |
ขึ้นอาศรัยพักอยู่ในบุรี |
จะได้มีความสุขสนุกสบาย ฯ |
๏ ฝ่ายพวกเรายินดีเปนที่ยิ่ง |
ด้วยสมสิ่งซึ่งประสงค์จำนงหมาย |
จึงชวนกันจัดแจงตกแต่งกาย |
แล้วนวดกรายลงนาวาเข้าธานี |
ถึงหน้าท่าจอดประทับกับตลิ่ง |
ทั้งชายหญิงยัดเยียดเบียดเสียดสี |
แขกชวามลายูชาวบุรี |
เสียงอึงมี่โจษจรรสนั่นไป |
เจ้าเมืองใหญ่ให้ขุนนางอยู่คอยรับ |
ต่างคำนับพูดจาอัชฌาศัย |
ได้พาทีโต้ตอบตามชอบใจ |
ไม่ทันไรนายทหารชำนาญรบ |
เป่าแตรบอกให้สลูตทูตสยาม |
เคารพตามเยี่ยงอย่างข้างยุหรป |
สิบเก้านัดยิงถ้วนจำนวนครบ |
ควันตลบมืดมนท์อนธการ |
พวกสิป่ายรายยืนปืนปรายหอก |
มีแตรบอกสำหรับฝ่ายนายทหาร |
เสียงปี่เฉื่อยฉาบดังก้องกังวาน |
กลองประสานรัวเร่งตะรังตัง |
พวกทูตไทยจรดลขึ้นบนรถ |
ม้าพยศว่องไวเหมือนใจหวัง |
สารถีตีขวับขับประดัง |
ทหารแห่ตามหลังมาโฮเต็ล |
ถึงประทับกับบันไดเข้าในตึก |
ดูพิลึกแลวิไลพึ่งได้เห็น |
ครั้นบ่ายแสงสุริยาเวลาเย็น |
ไปเที่ยวเล่นซื้อของที่ต้องการ |
แล้วกลับมาที่สำนักหยุดพักผ่อน |
ค่อยคลายร้อนปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
อันตรายราคีไม่มีพาน |
พวกทหารพร้อมพรั่งระวังภัย |
อังกฤษนายฝ่ายขุนนางต่างมาเยี่ยม |
แต่งตัวเอี่ยมโอ่งามตามวิสัย |
บ้างพูดเล่นเจรจาประสาใจ |
บ้างถามไถ่โดยคดีมีเนื้อความ |
พระพิเทศพานิชสนิทนัก |
สามิภักดิ์จอมนรินทร์ปิ่นสยาม |
ภูวนาถโปรดปรานประทานนาม |
ตั้งแต่งตามยศอย่างขุนนางไทย |
มาเชื้อเชิญให้ไปบ้านสถานถิ่น |
ด้วยความยินดีจิตต์พิสมัย |
แล้วเลี้ยงดูโดยที่มีน้ำใจ |
หมั่นมาไปเยี่ยมเยียนเวียนทุกวัน |
ได้กินโต๊ะตามสบายเปนหลายแห่ง |
เขาตกแต่งต้อนรับดูขับขัน |
วันหนึ่งสายแสงศรีรวีวรรณ |
แมกเนียนั้นมาหาแล้วว่าเชิญ |
ให้ไปบ้านเจ้าเมืองอันเรื่องยศ |
บนบรรพตแนวลำเนาภูเขาเขิน |
ต่างขึ้นรถรีบมาตามหน้าเนิน |
พินิจเพลินรุกขชาติดาษเดียร |
ปลูกต้นจันทน์กานพลูดูระดะ |
เปนจังหวะแลไสวเหมือนไม้เขียน |
แถวถนนคนกวาดสอาดเตียน |
ทำทางเวียนคดค้อมอ้อมขึ้นไป |
ครั้นถึงเขตรเคหาสารถี |
หยุดพาชีรถเรียงเคียงไสว |
ทหารปืนยืนคำนับรับทูตไทย |
ริมบันไดสองข้างที่ทางจร |
คนหนึ่งถือกล้องส่องคอยมองหมาย |
มีเหตุร้ายขุกเข็ญได้เห็นก่อน |
อิกเภตราในมหาชโลทร |
ถึงนครรู้ตรงธงสำคัญ |
ได้ดูถ้วนด่วนเดินนำเนินนาด |
แลประหลาดตึกรามงามขยัน |
แล้วหยุดนั่งบนที่เก้าอี้พลัน |
เจ้าเมืองนั้นปรีดาออกมารับ |
ก้มศีร์ษะโดยอย่างทางนับถือ |
แล้วยื่นมือมาให้พวกไทยจับ |
ธรรมเนียมนอกบอกสำคัญการคำนับ |
ครั้นเสร็จสรรพสนทนาก็ลาจร |
ได้เที่ยวชมเมืองบ้านสำราญรื่น |
ค่อมแช่มชื่นภิญโญสโมสร |
แต่สำนักพักอยู่เจ็ดทิวากร |
รวิวรเบี่ยงบ่ายได้เวลา |
ก็ชวนกันผันผายออกจากที่ |
จรลีลงกำปั่นไม่หรรษา |
จะเสื่อมสุขทุกข์สท้อนอ่อนอุรา |
อนิจจาจำใจต้องไกลเมือง |
แต่จากบ้านแสนกันดารได้ความยาก |
ยังมิหนำซ้ำจากเจ้าเนื้อเหลือง |
พี่ห่างแหแดดาลรำคาญเคือง |
ไม่เปล่าเปลื้องปลิดปลดรทดทวี |
โศกกำสรวญจนจวนประจุสมัย |
สกุณไก่ก้องสำเนียงเสียงปักษี |
ดาวก็เลื่อนเดือนก็ลับเหลี่ยมคีรี |
กัปตันตื่นจากที่ไสยามา ฯ |
๏ ให้ใส่ไฟใช้จักรชักสมอ |
เปิดหลอดฝอไอฟู่เสียงซู่ซ่า |
จักรก็หมุนเฉื่อยฉุยพุ้ยคงคา |
กำปั่นคลาเคลื่อนที่เร็วรี่ไป |
เข้าอ่าวเรียวเหลียวชายดูซ้ายขวา |
มีเกาะแก่งในมหาชลาไหล |
แต่ชื่อเสียงเรียกยากลำบากใจ |
ด้วยมิได้ต้องนามตามข้างเรา |
มาสี่วันบรรลุถึงแหลมด่าน |
เปนเมืองบ้านพันธุ์พงศ์องค์อิเหนา |
ชื่อบุรียะกะตราชวาเนา |
แต่ยอมเข้าเคียมคัลวิลันดา |
กัปตันให้ทอดสมอแล้วรอจักร |
เข้าสำนักหน้าด่านกะหลาป๋า |
จึงชักธงขึ้นพลันเปนสัญญา |
ฝ่ายเจ้าท่ารู้แจ้งไม่แคลงใจ |
ก็ลงมาหากัปตันฉันท์คำนับ |
ยิงปืนรับตอบกันเสียงหวั่นไหว |
แล้วจัดเรือเชื้อเชิญพวกทูตไทย |
ให้ขึ้นไปบนบ้านด่านบุรี |
ก็พร้อมกันลีลาลงนาเวศ |
เที่ยวชมเขตรนิคมคามตามวิถี |
มีโรงหนึ่งขึงขังหลังนที |
น้ำนั้นดีใสสอาดทั้งหยาดเย็น |
แวะสนานธารสบายให้หายร้อน |
ที่อกอ่อนค่อยบันเทาทุเลาเข็ญ |
ทำหน้าชื่นใจช้ำต้องจำเปน |
เลยไปเล่นเรือนเจ้าท่าพูดจากัน |
ครั้นสิ้นแสงสุริไสครรไลลับ |
ก็ลากลับลงเรือเหลือกระศัลย์ |
เข้าที่นอนทุกข์ถอนฤทัยครัน |
จนรุ่งแรงแสงสุวรรณอร่ามพราย |
เห็นเรือแพแซ่ประสานขนานเนื่อง |
ล้วนชาวเมืองมีของมาร้องขาย |
ผลาผลต่างต่างเอาวางราย |
ดูหลากหลายผักปลาสารพัด |
กะลาสีซื้อหาคว้ากันวุ่น |
ไว้เปนทุนกินไปได้ถนัด |
บ้างเอาเชือกผูกแขวนออกแน่นยัด |
เผื่อเมื่อขัดในระหว่างกลางทเล |
แต่ประหลาดสิว่าชาติแขกอิเหนา |
ไฉนเล่าคนผู้ดูขี้เหร่ |
นางสาวสาวไม่สำอางร่างเกเร |
ทำโมเยหน้ายู่ใบหูยาน |
บุษบาแสนสวยสำรวยเรี่ยม |
ใครจะเทียมทรวดทรงส่งสัณฐาน |
อิเหนาจากจินตะหรายุพาพาน |
อาลัยลานด้วยเห็นโฉมประโลมใจ |
แม้ผู้หญิงเมืองนี้จะมีเหมือน |
พี่ไม่เชือนชมชิดพิสมัย |
ขอคงเคียงเนื้อเหลืองอยู่เมืองไทย |
ถึงยากไร้จะอุส่าห์พยายาม |
นี่จนจิตต์กิจราชการหลวง |
จึงไกลดวงเนตรนางห่างสยาม |
ถึงสุดแสนรักใคร่อาลัยงาม |
ไม่เท่าความกตัญญูพระภูธร |
แต่ตรึกตราจนเวลาสี่โมงเช้า |
ยิ่งสร้อยเศร้ามิได้หมดกำสรดสมร |
จะจากเกาะกะหลาป๋าลีลาจร |
เขาเร่งถอนสมอชักให้จักรเดิน |
กำปั่นเลื่อนเคลื่อนคลาพ้นหน้าด่าน |
จนสุริฉานบังเงาภูเขาเขิน |
ยังไม่สิ้นถิ่นเกาะชวาเกิน |
เห็นแนวเนินสุมาตราอยู่ขวามือ |
อังกฤษกล่าวเล่ายุบลคนที่นั่น |
ใจฉกรรจ์ร้ายกาจประดาษดื้อ |
ฆ่ามนุษย์กินเนืองเนืองออกเลื่องลือ |
มันนับถือดีเหลือกว่าเนื้อทราย |
พ้นประเทศเขตรแขวงตำแหน่งนั้น |
แสนกะสันคิดไปแล้วใจหาย |
มาลับฝั่งทั้งลเมาะแก่งเกาะราย |
เห็นแต่ฝ่ายฟากฟ้ากับสาคร |
นิจาเอ๋ยเมือไรเลยจะถึงที่ |
ในทรงพี่หมองไหม้ฤทัยถอน |
ไหนจะทุกข์ถึงสวาทอนาถนอน |
ทุเรศร้อนอ้างว้างกลางทเล |
ต้องไอแดดแผดระงมลมก็จัด |
ซ้ำคลื่นซัดสุดทนระหนระเห |
ละลอกใหญ่ใส่ฮุมกระทุ่มเท |
คนเดินเซล้มลุกลงคลุกคลาน ฯ |
๏ มาสิบวันต้นหนคนฉลาด |
เขาสามารถรู้สิ้นทุกถิ่นฐาน |
ก็วัดแดดโดยตำราวิชาการ |
เชิงชำนาญเจนแจ้งไม่แคลงใจ |
แล้วบอกเล่าว่าเรามาเดี๋ยวนี้ |
ตรงลังกาธานีเปนเกาะใหญ่ |
แลไม่เห็นฟากฝั่งเพราะทางไกล |
ก็ใช้ใบเลยแล่นตามแผนทาง |
ไปแนวนอกออกลึกนึกอนาถ |
กำปั่นฟาดฟันละลอกกระฉอกผาง |
ลูกคลื่นใหญ่ดังจะทับให้อับปาง |
แทบวายวางชีวันอันตราย |
ถึงยามกินก็ได้ยากลำบากครบ |
คลื่นกระทบเรือโครงจานโจงหาย |
ถ้วยแก้วตกโต๊ะแตกแหลกกระจาย |
ของทั้งหลายล้มคว่ำคะมำไป |
ยามไสยาศน์ขาดสุขทุกข์สท้อน |
เรือขย้อนตัวเขยื้อนเลื่อนไถล |
ศีร์ษะพลัดจากหมอนถอนฤทัย |
มิใคร่ได้นิทราอุรารึง |
หลายทิวามากลางทางทุเรศ |
จนสิ้นเขตรนกกามาไม่ถึง |
ด้วยแถวท้องพระสมุทนั้นสุดซึ้ง |
จะผ่อนพึ่งพักที่ไหนก็ไม่มี |
ทั้งหาเหยื่อเหลือลำบากไม่หยากได้ |
สัตว์อะไรฤๅจะกล้ามาถึงนี่ |
ครั้นวันหนึ่งเวลาเปนราตรี |
เกิดกุลีลมกล้าสลาตัน |
เสียงพิฦกฮึกฮือกระพือหวน |
กำปั่นป่วนเอียงกะเท่หัวเหหัน |
ลมยิ่งจัดไปจนแจ้งแสงตวัน |
ต้นหนนั้นเจนทางกลางคงคา |
ว่าพรุ่งนี้รุ่งรางสว่างไข |
เราจะได้เห็นฝั่งอยู่ข้างหน้า |
คือแหลมใหญ่ฝ่ายแอฟริกา |
แจ้งกิจจาพี่ค่อยคลายวายอาวรณ์ |
คอยดูดวงสุริยงจนลงลับ |
เจียนระงับงีบหลับอยู่กับหมอน |
จนแสงทองรองเรืองเหลืองอำพร |
ทินกรผุดพ้นชลธี |
ก็เห็นฝั่งดังยุบลต้นหนว่า |
อิ่มอุราปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ครั้งนี้เราคงตลอดรอดชีวี |
มาถึงนี่แล้วเห็นไม่เปนไร |
แต่พายุยังจัดพัดกระโชก |
เรือโขยกฝ่าคลื่นฝืนไม่ไหว |
เต็มกำลังลมกล้าต้องซาใบ |
แล่นต่อไปอิกสักหน่อยจึงค่อยคลาย |
ละลอกเรียบเปรียบกระแสในแม่น้ำ |
ประหลาดล้ำลมล่อยก็พลอยหาย |
ต้องใส่ไฟใช้จักรพักเดียวดาย |
ไม่ว่างวายวันวิโยกที่โศกทรวง |
ได้เดือนเศษทุเรศร้างมาห่างบ้าน |
ข้อรำคาญขุ่นใจนี้ใหญ่หลวง |
โอ้จำทนทรมาน้ำตาตวง |
คิดถึงพวงพุ่มผกาสุมามาลย์ ฯ |
๏ ถึงหน้าเมืองเอเดนแลเห็นป้อม |
กำแพงล้อมเขตรคิรีมีทหาร |
เปนเมืองขึ้นของอังกฤษเขาคิดการ |
เอาไว้ถ่านหินใช้เรือไฟจร |
ให้แวะจอดทอดสมอรอเอาถ่าน |
ที่ท้องธารเด็กแซ่แลสลอน |
มันว่ายน้ำราวกับปลาในสาคร |
ไม่เหนื่อยอ่อนทนทานนานสุดใจ |
พวกเราหยิบเบี้ยทองแดงแล้วแกล้งทิ้ง |
ก็ฉวยชิงด้นดำด้วยน้ำใส |
ลืมตาแจ่มเห็นกระจ่างสว่างไว |
คว้าเอาได้ทุกเบี้ยไม่เสียที |
เพราะขัดสนจนยากลำบากเหลือ |
สู้ฝ่าเฝือชุ่มแช่กระแสศรี |
ไม่กลัวสัตว์มัจฉาในวารี |
เอาชีวีออกมาแลกแทบแหลกราญ |
ทั้งเนื้อตัวมัวคล้ำดำมิดหมี |
ดูเต็มทีอนิจจาน่าสงสาร |
พี่เทถุงเบี้ยไปให้เปนทาน |
ต่างทยานเสือกแซงเข้าแย่งกัน |
เวลาบ่ายไทยพากันคลาคลาศ |
เที่ยวประพาศชมประเทศเขื่อนเขตรขัณฑ์ |
ล้วนคนดำมุทลุดึงดุดัน |
เผ้าผมนั้นหยิกยุ่งพะรุงพะรัง |
ถ้าใครออกนอกทวารปราการนั้น |
อ้ายพวกมันเข้าประดาล้อมหน้าหลัง |
ปล้นเอาของเสื้อผ้าฆ่าชีวัง |
ฝ่ายฝรั่งคิดการจะราญรอน |
มันขยาดไม่อาจออกต่อต้าน |
ก็เพ่นพ่านอพยพสยบสยอน |
ดูดังหนูหนีวิฬาเข้าป่าดอน |
พอเรื่องร้อนเงียบระงับจึงกลับมา |
เที่ยวฟันแทงแย่งปล้นคนค้าขาย |
เห็นวุ่นวายวิ่งพรูไม่สู้หน้า |
พวกอังกฤษเปนอันจนพ้นปัญญา |
ต้องรักษานิ่งไว้ในกำแพง |
เมืองเหล่านั้นผิดกันกับเมืองอื่น |
ไม่ชุ่มชื่นโดยแดดเธอแผดแสง |
ทุกถิ่นแถวเนื่องแนวทเลแดง |
ฟ้าฝนแล้งกว่าจะตกแทบหกปี |
ต้นพฤกษาหญ้าเตียนหดเหี้ยนหาย |
มีแต่ทรายร้อนแรงด้วยแสงศรี |
หาที่ร่มพออาศรัยก็ไม่มี |
ช่างเต็มทีเหลือทนพ้นประมาณ |
กำปั่นจอดทอดอยู่ที่เมืองนั้น |
ได้สองวันเสร็จสรรพพอรับถ่าน |
แล้วใช้จักรมากลางทางกันดาร |
ค่อยสำราญอารมณ์นั่งชมปลา ฯ |
๏ เห็นฉลามตามท้ายว่ายเปนหมู่ |
ปลาราหูหน้าสั้นขันนักหนา |
ถ้านิ่มนุชนงรามเจ้าตามมา |
จะวอนว่าไต่ถามนามกร |
ฝูงกะโห้โลมาปลายี่สน |
บ้างดำด้นชลสายว่ายสลอน |
พิมทองท่องฟ่องฟูเปนคู่จร |
เที่ยวตามต้อนหมู่แมงกงขมงโกรย |
เหมือนพี่ตามทรามสวาทอนาถนึก |
หวนรำฦกแล้วไม่วายกระหายโหย |
มัจฉาโดดดังยุพินแม่ดิ้นโดย |
ยิ่งกอบโกยกองทุกข์ฉุกคนึง |
ปลาวาฬใหญ่ว่ายแซงเข้าแข่งคู่ |
เหมือนพี่อยู่เคียงมิตรยิ่งคิดถึง |
โอ้แต่ปลาดีกว่าเราได้เคล้าคลึง |
นึกอ้ำอึ้งอ้นอั้นตันฤทัย |
เห็นฉนากปากขันอย่างฟันเลื่อย |
ช่างยาวเฟื้อยชอบกลพ้นวิสัย |
ปลาอื่นหนีลี้เลี่ยงหลบหลีกไกล |
กลัวมันไล่ฟันฟาดเอาขาดกลาง |
ปลาพยุนเขี้ยวขาวขึ้นยาวโง้ง |
งับเหยื่อโผงผุดผันเหหันหาง |
ในกระแสแลหลามตามหนทาง |
ลอยสล้างเหลือล้นคณนา |
นกออกเฉี่ยวเหยี่ยวแย่งพอแพลงพลัด |
ก็ดำดัดดั้นด้นพ้นปักษา |
นกพรรณหนึ่งเที่ยวท่องท้องชลา |
อังกฤษว่าบูบีปักษีบอ |
บ้างบินว่อนร่อนราถาบถาโถม |
จับกระโจมลงริมคนชอบกลหนอ |
ไม่ครั่นคร้ามขามขยาดประหลาดพอ |
เอี่ยมละออเหมือนเช่นอย่างนกนางนวล |
ได้ดูเล่นมากมายหลายชนิด |
ยิ่งขุ่นคิดตรอมตรมอารมณ์หวน |
แม้แก้วตามาด้วยพี่จะชี้ชวน |
ทำยียวนหยอกเย้าให้เจ้าเพลิน |
พายุพัดฮือหวนทวนข้างหน้า |
กระพือพาใบสบัดขาดตะเพิ่น |
เชือกระยางใหญ่น้อยย่อยยับเยิน |
เหตุพเอิญจะให้ช้าเวลานาน |
ทั้งถ่านท่อยพลอยหมดระทดจิตต์ |
ดังเพลิงพิษร้อนเร่ามาเผาผลาญ |
ฝ่ายกัปตันจึงปรึกษาบัญชาการ |
ให้แวะเข้าเหล่าบ้านชานบุรี |
ก็หมายเข็มเล็มแล่นมาใกล้ฝั่ง |
เห็นเรือนตั้งตามแควกระแสศรี |
ชื่อบ้านเวชเขตรแพนกแขกอัปรี |
ช่างเต็มทีทรพลล้วนคนโซ |
เที่ยวถามซื้อถ่านศิลาหาไม่ได้ |
มีแต่ไม้หักหักอยู่อักโข |
ไว้ทำฟืนใส่ไฟไม่ใหญ่โต |
แกล้งพาโลขายคว้าราคาแพง |
มาปะคราวขัดสนต้องทนซื้อ |
ลูกเรือรื้อขนเลี่ยนเตียนทุกแห่ง |
แล้วคืนหลังรีบรัดเร่งจัดแจง |
ใส่ไฟแรงเรือแล่นแสนสำราญ ฯ |
๏ ถึงหน้าเมืองโกไซให้เข้าจอด |
พอพักทอดสักเวลาซื้อหาถ่าน |
พี่หมกมุ่นขุ่นข้องหมองรำคาญ |
กลัวจะนานเนิ่นนักพะวักพะวน |
กัปตันสั่งให้ขุนนางไปเที่ยวหา |
ถ่านศิลาในตำแหน่งทุกแห่งหน |
ขายมิขายคงเอาด้วยคราวจน |
จะรีบขนแต่ราคาว่าพอควร |
ขุนนางรับคำนับนายแล้วผายผัน |
เข้าเขตรขัณฑ์แจ้งคดีโดยถี่ถ้วน |
เจ้าเมืองนั้นครั่นคร้ามไม่ลามลวน |
รับประมวญเปนธุระทุกประการ |
ต่างสลูตโต้ตอบตามชอบชิด |
ประสามิตรผูกรักสมัคสมาน |
ให้เชิญทูตหกนายชายชำนาญ |
ไปรับประทานโต๊ะแต่งแกล้งบรรจง |
ครั้นเสร็จสรรพกลับลาแล้วคลาคลาศ |
ชมตลาดตึกรามตามประสงค์ |
ไม่มีหลังคาใส่แต่ไม้ดง |
เอาเสื่อดาษลาดลงข้างเบื้องบน |
พอบังลมร่มแดดที่แผดเผา |
ผิดกับเราเมืองนี้ไม่มีฝน |
เขาคิดทำไร่นาประสาจน |
อาศรัยชลห้วยลหานธารคิรี |
เปนเชื้อชาติตุรเกียมีเมียหลาย |
มิให้ชายอื่นยลวิมลฉวี |
แม้บุรุษเห็นกายฝ่ายสตรี |
ย่อมราคีบาปนักต้องรักตัว |
จะออกนอกเคหาเอาผ้าหุ้ม |
ช่างห่อคลุมตั้งแต่ตีนตลอดหัว |
สาสนาหึงส์ห้ามเขาคร้ามกลัว |
แต่ลูกผัวถึงจะเห็นไม่เปนไร |
เที่ยวชมทั่วแถววิถีธานีน้อย |
แล้วคลาศคล้อยกลับมานาวาใหญ่ |
บรรทุกถ่านอยู่สองวันจึงครรไล |
จากโกไซรีบรุดไม่หยุดพัก ฯ |
๏ ไปตามทางทเลแดงแล้งตลอด |
ระทมทอดทุกข์ถอนทั้งร้อนหนัก |
ไม่นั่งติดจิตต์เต้นอยู่ทึกทัก |
ประหนึ่งจักคลั่งคลุ้มกลุ้มวิญญา |
สามราตรีถึงที่เมืองสุเอศ |
อยู่ริมเขตรวารินเปนถิ่นท่า |
ให้ชักธงจอมจักรนัครา |
ขึ้นเสาหน้าบอกความตามสำคัญ |
เขาแจ้งว่าทูตานั้นมาถึง |
สักครู่หนึ่งเรือไฟก็ผายผัน |
มารับพวกทูตไทยขึ้นไปพลัน |
อิกเครื่องบรรณาการกับสาส์นทรง |
ทั้งสองข้างยิงปืนเสียงครื้นครั่น |
บันฦๅลั่นในชลาป่ารหง |
ยี่สิบเอ็ดเสร็จสรรพคำนับธง |
ธรรมเนียมตรงบอกเบื้องเมืองไมตรี |
แล้วกัปตันสั่งฝ่ายนายทหาร |
เคยรอนราญรุกรบไม่หลบหนี |
ให้สลูตส่งทูตสิบเก้าที |
ก็พร้อมกันจรลีลงเรือน้อย |
นั่งพินิจพิศเพลินตามชายหาด |
เดียรดาษแลดูล้วนปูหอย |
นกยางย่องจ้องจับขยับคอย |
ลิงเข้าพลอยไล่สพัดสังกัดกิน |
นกอ้ายงั่วตัวดีไม่มีอด |
เที่ยวเลี้ยวลดในมหาชลาสินธุ์ |
เห็นปลาร้ายว่ายมาผวาบิน |
รู้ปล้อนปลิ้นเล็ดลอดรอดชีวี |
ตะกรุมชั่วหัวล้านกระบานใส |
นกจัญไรถ่อยทมิฬมันกินผี |
กระทุงทองล่องลัดในนัที |
ฉลาดดีเอาปากลงลากอวน |
ถ้าแม้สัตว์พลัดไพล่เข้าในเหนียง |
ก็กินเกลี้ยงกลืนหมดไม่อดอ้วน |
ริมแฉวแลสล้างล้วนนางนวล |
นับไม่ถ้วนมิใช่น้อยลงลอยแพ |
เห็นเรือไฟไคลคลาเข้ามาใกล้ |
ก็ตกใจบินบากจากกระแส |
ฝูงดอกบัวยั้วยัดกันอัดแอ |
ก๋อยก๋อยแซ่เสียงอ้ายก๋อยต้อยตีวิด |
นั่งนึกนึกนิ่งดูหมู่ปักษา |
ไม่เคลื่อนคลาคลาดชมสมสนิท |
แต่พวกเรามาทั้งนี้ไม่มีมิตร |
โอ้คิดคิดอายนกอกระอา ฯ |
๏ แกล้งเมินเฉยเลยล่วงลีลาศเลี้ยว |
มาครู่เดียวพักหนึ่งก็ถึงท่า |
ชวนกันรีบจรลีด้วยปรีดา |
เขานำหน้าตรงโร่ไปโฮเต็ล |
พวกชาวเมืองยืนดูอยู่ออกดื่น |
ช่างแตกตื่นกะไรเลยไม่เคยเห็น |
บ้างถุ้งเถียงด่าทอฅอเปนเอ็น |
บ้างพูดเล่นเจรจาภาษากัน |
ถึงตึกโตโอฬาร์น่าสนุก |
เปนที่สุขสารพัดเขาจัดสรรค์ |
ถ้าแม้ใครไคลคลามาทางนั้น |
ได้ผ่อนผันเช่าพักสำนักกิน |
มีที่นอนหมอนมุ้งโต๊ะเตียงตั้ง |
จะยับยั้งหรือจะไปตามใจถวิล |
หมั่นระวังทุกเวลาเปนอาจิณ |
อันราคินข้อไรมิให้มี |
แต่ต้องเสียค่าเช่าให้เขาบ้าง |
ตามเยี่ยงอย่างกินอยู่ไม่จู้จี้ |
พอทูตถึงที่พลันในทันที |
ของดีดีพร้อมสรรพให้รับประทาน |
สำเร็จกิจชวนกันจะผันผาย |
พอเบี่ยงบ่ายแสงศรีพระสุริฉาน |
มาขึ้นรถเทียมม้าอาชาชาญ |
ขับทยานควบห้อไม่รอรั้ง |
แต่ของเข้านั้นเอาบรรทุกอูฐ |
แล้วตามทูตจรลีต่อทีหลัง |
เสียงกงลั่นกำเลื่อนสเทือนกัง |
คนที่นั่งโงกเงกโยกเยกโย้ |
ถึงเรือนผ้าในระหว่างทางวิถี |
แต่ไกลที่ตึกพักมาอักโข |
เหมือนโรงรียาวใหญ่ไอ้กะโต |
กัปตันโอแกแลแฮนก็แสนดี |
พาพวกเราเข้าไปข้างในนั้น |
ให้จัดสรรค์หวานคาวเข้าบุหรี่ |
กล้วยขนมหลากหลากล้วนมากมี |
ตั้งบนที่เชิญให้พวกไทยกิน |
จนเย็นย่ำสนธยาภานุมาศ |
ล่วงลีลาศลับไม้ในไพรสิณฑ์ |
ต้องลมว่าวหนาวชาทั้งกายิน |
เทวศถวิลอ้างว้างไม่วางวาย |
แม้พุ่มพวงดวงชีวาแม่มาด้วย |
ถึงลมชวยชิดเจ้าหนาวคงหาย |
พี่เหินห่างมาอยู่กลางทเลทราย |
ใครจะแอบแนบกายให้อุ่นกร |
เห็นแต่แพรสีทองที่น้องห่ม |
ให้มาชมตามทางต่างสมร |
เอาคลี่คลุมพอค่อยคลายวายอาวรณ์ |
นึกสท้อนนิ่งสถิตย์พินิจนาน |
ดูว้าเหว่กลางทเลเปนทรายสิ้น |
ไม่มีดินแดนน้ำลำลหาน |
เมื่อพ้นจากวังวนชลธาร |
ก็เห็นการคงตลอดไม่วอดวาย |
หรือเราทำกรรมเวรเปนเกณฑ์เคราะห์ |
เหลือจะเลาะลัดลี้หลีกหนีหาย |
มาพ้นน้ำซ้ำพบประสบทราย |
ถึงมิตายก็คางเหลืองเหมือนเรื่องราว |
ว่าหนีศึกวิ่งเซ่อมาเจอเสือ |
ขึ้นจากเรือหนีกุมภาทำตาขาว |
กลับพบงูใหญ่แท้แม่ตะงาว |
โอ้เปนคราวครั้งยากลำบากครัน |
ดูทิวแถวแนวไม้มิได้เห็น |
ยิ่งเยือกเย็นหวั่นไหวใจกระศัลย์ |
มีแต่ฟ้ากับทรายหมายสำคัญ |
ก็มุ่งมั่นเหมือนทำนองท้องสาคร |
ปราศจากก้านกิ่งสิ่งอาศรัย |
นึกนึกไปแล้วระทดสยดสยอน |
เศร้าอารมณ์ล้มเอกเขนกนอน |
สักยามเศษจึงได้จรขึ้นรถไฟ |
เสียงหลอดกู่หวูหวอลูกล้อหมุน |
เหมือนมีบุญเหาะลิ่วปลิวไปได้ |
ช่างเร็วรวดยวดยิ่งวิ่งสุดใจ |
เห็นอะไรวับวู่ดูไม่ทัน ฯ |
๏ ท้องฟ้าสลัวมัวคลุ้มห้าทุ่มเศษ |
ถึงขอบเขตรเมืองหนึ่งทำขึงขัน |
ชื่อไกโรโตใหญ่วิไลยครัน |
ธานีนั้นมั่งมีบริบูรณ์ |
ที่ดำรงองค์มหาอุปราช |
ดูโอภาษโภไคทั้งไอศูรย์ |
ตุรเกียเกิดก่อต่อตระกูล |
ดูมากมูลพลไพร่ในบุรี |
พอรถไฟไปกระทั่งก็ยั้งหยุด |
อุดตลุดอื้ออึงคนึงมี่ |
เจ้าเมืองนั้นช่างกะไรน้ำใจดี |
ให้เสนีมาคำนับคอยรับรอง |
ทั้งรัถาพาชีคนขี่ขับ |
โคมสำหรับนำหน้าพาผยอง |
ตำรวจถือคบไฟไม้ตะบอง |
เคียงประคองข้างรถบทจร |
บ้างไล่คนตามถนนให้หลีกหนี |
จนถึงที่ตึกโตสโมสร |
กำลังเหน็ดเหนื่อยหนาวทั้งหาวนอน |
ขึ้นบรรจถรณ์ล้มหลับระงับกาย |
ไม่กระดิกพลิกตนตลอดรุ่ง |
ตื่นสดุ้งลืมตาเวลาสาย |
เห็นผู้คนคับคั่งมานั่งราย |
ขุนนางนายจึงแจ้งแสดงการ |
ว่าองค์เจ้าไกโรภิญโญยศ |
ให้เอารถมาเรียงเคียงขนาน |
ขอเชิญท่านทั้งหมดบทมาลย์ |
ชมสถานวงวัดจังหวัดวัง |
ต่างจัดแจงแต่งตัวไม่มัวหมอง |
ล้วนเครื่องทองแลวิไลยเหมือนใจหวัง |
มาขึ้นรถม้าพยศผยองปัง |
ไม่รอรั้งควบแข่งแซงกันไป |
ครั้นถึงโบสถ์แลลาดสอาดเลี่ยน |
ดูแนบเนียนงดงามตามวิสัย |
ศิลาลายคล้ายโมราฝาข้างใน |
เสาใหญ่ใหญ่ยาวโตหินโมรา |
แต่โบสถ์นั้นท่าทางเปนอย่างแขก |
ตามที่แปลกเชื้อชาติสาสนา |
พอแดดชายบ่ายสามนาฬิกา |
ก็รีบมาเข้าเฝ้าเจ้าไกโร |
ในทวารมีทหารถือกระบี่ |
ล้วนเคียงขี่ม้าเทศวิเศษโส |
ดังเรืองอิทธิ์ฤทธิ์แรงแผลงเดโช |
ประตูโทถัดนั้นทหารปืน |
ล้วนปลายหอกบอกปรีเซนเปนคำนับ |
พวกเราจับหมวกตอบให้ชอบชื่น |
ปี่พาทย์ตีมีสำหรับกำกับยืน |
ที่พ่างพื้นสนามในปืนใหญ่ล้อ |
ทหารม้ายี่สิบสี่ขับขี่ชัก |
ช่างพร้อมพรักเร็วจริงวิ่งออกปร๋อ |
หกกระบอกม้าลากก็มากพอ |
ร้อยสี่สิบเศษต่ออิกสี่ตัว |
ปี่พาทย์เร่งเพลงฝรั่งดังหนักหนา |
ผิดภาษาแต่ว่าฟังก็ยังชั่ว |
ขลุ่ยที่เป่าเข้าทำนองกับกลองรัว |
ไม่พันพัวไพเราะเสนาะดี |
รถประทับอัฑฒจันท์ชั้นเฉลียง |
ก็เดินเคียงครรไลเข้าในที่ |
เห็นเจ้าเมืองนั่งอยู่นอกออกเสนี |
เธอพาทีจับมือไม่ถือยศ |
ให้นั่งอาสน์เดียวกันเปนฉันท์มิตร |
โดยสนิทเสนหาเห็นปรากฎ |
แต่พูดจาจวนตวันลับบรรพต |
ก็พร้อมหมดอำลาจะคลาไคล |
เจ้าไกโรให้เสนาพาไปสวน |
แล้วเชิญชวนชมบรรดาพฤกษาไสว |
แดดก็ร่มลมชายสบายใจ |
มีมิ่งไม้หลายอย่างล้วนต่างพรรณ |
กรรณิกาการเกดพิกุลแก้ว |
โสกซ้องแมวสุกรมนมสวรรค์ |
พุมเรียงรงโรกรักลักจั่น |
ขนุนขนันเนียมหนาดลางสาดทราง |
มลุลีมลิลากับกาหลง |
รำดวนดงดกดอกออกสล้าง |
สละเสลาลางลิงมะปริงปราง |
ข่อยแคคางคูนเคี่ยมแมงคุดคำ |
คัดเค้าขาวสาวหยุดบานเย็นแย้ม |
ยี่สุ่นแซมรศสุคนธ์ต้นต่ำต่ำ |
ลำไยย้อยร้อยลิ้นอินทผาลำ |
มะเกลือกล่ำกล้วยกล้ายหิ่งหายดง |
ยี่เข่งเข็มเคียงเคียงกับคำฝอย |
ชุมเห็ดหอยโยทกามหาหงส์ |
กุ่มกอกกักแกมมะก่อยอมะยง |
โลดทนงน้อยหน่าส้มซ่าซาม |
หางนกยูงกำมะหยี่หญ้าฝรั่น |
แจงจุหลันกุหลาบแลล้วนแต่หนาม |
มะเดื่อดูกลูกมะงั่วนมวัวงาม |
ม่วงมะขามขานางกรวยกร่างไกร |
เกดเมืองโมกมากมายมีหลายอย่าง |
เล็บมือนางนมพิจิตรติดไสว |
ชะเอมอ้อยอินเอื้องมะเฟืองไฟ |
เถาแตงไทยทองทับทิมแถวริมทาง |
บ้างผลิดอกออกผลหล่นผอยผอย |
เกสรสร้อยโรยรายลงพรายพร่าง |
เมื่อยามเย็นถูกลอองต้องน้ำค้าง |
กลีบกระจ่างกลิ่นขจรภมรเมา |
แมลงภู่เชยซาบสิ้นแล้วบินหนี |
เหมือนตัวพี่พิสมัยแล้วไกลเจ้า |
ภุมรินแกล้งร้างใช่อย่างเรา |
เรียมคลาศเคล้างามขำเพราะจำใจ |
แล้วทำเฉยเลยชมสระสนาน |
ชลธารน่าเล่นช่างเย็นใส |
ที่ตรงกลางหว่างเกาะเหมาะกะไร |
ปลูกต้นไม้เขียวชอุ่มเปนพุ่มชัฏ |
มีเก๋งก่อพอพักสำนักนั่ง |
กระถางตั้งรอบรายใส่ไม้ดัด |
ดูชุ่มชลรื่นร่มทั้งลมพัด |
เห็นหมู่มัจฉาว่ายสายสาคร |
ปลาแก้มช้ำช้ำไฉนผู้ใดต้อง |
แต่แก้มน้องช้ำเพราะชมภิรมย์สมร |
ปลาคางเบือนเหมือนแม่เบือนทำเงื่อนงอน |
ปลากรายว่ายคล้ายกรเจ้ากรีดกราย |
ตะเพียนทองดังพี่ปองไปเพียรพาก |
สุดแสนยากกว่าจะสมอารมณ์หมาย |
ปลานวลจันทร์แลล้วนนวลทั้งกาย |
ยังไม่คล้ายงามสงวนนวลละออง |
ปลาเทพาเหมือนพี่พาเจ้ามาไว้ |
กระแหแหห่างให้ฤทัยหมอง |
ปลาเนื้ออ่อนอ่อนแต่นามตามทำนอง |
อันเนื้อน้องอ่อนอิ่มนิ่มดังนวม |
เห็นคล้ายคล้ายว่ายสลับกันสับสน |
บ้างหนีคนดำปุดบ้างผุดบ๋วม |
บ้างเคียงคู่คุมควบอยู่รวบรวม |
บ้างโดดต๋วมตกใจปลาใหญ่มา |
เขาก่อหินกันดินตามข้างข้าง |
มีลำรางร่องน้ำงามหนักหนา |
สลักรูปหอยปูเงือกงูปลา |
ถัดออกมาทำระเบียงเฉลียงราย |
มีมุขกลางกว้างรีทั้งสี่ทิศ |
ดูวิจิตรท่วงทีดีใจหาย |
จัดเปนที่นั่งนอนผ่อนสบาย |
ทำลวดลายเลขาก็น่าชม |
สำหรับเจ้านัครามาประพาส |
สำราญอาตม์ปรีดิ์เปรมเกษมสม |
พี่เดินเที่ยวทัศนายิ่งปรารมภ์ |
ในอกตรมมิได้คลายวายอาวรณ์ |
แล้วพากันกลับหลังมายังตึก |
อนาถนึกนิ่งคนึงถึงสมร |
โอ้วันไรชิดชื่นคืนนคร |
ที่โรคร้อนจึงจะดับระงับเย็น |
แม้หยุดอยู่หรือว่าไปยังไม่กลับ |
อันทุกข์ทับไหนจะเบาบันเทาเข็ญ |
ชลไนยคงเปนเลือดเดือดกระเด็น |
ด้วยห่างเห็นห่างห้องห่างน้องนาน ฯ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าชวนกันจะผันผาย |
เคลื่อนคลาดคลายจากบุรีที่สถาน |
ต่างจัดแจงแต่งกายสบายบาน |
แสนสำราญพร้อมหมดขึ้นรถไฟ |
เวลาบ่ายชายแสงพระสุริศรี |
ก็ลุที่ริมแควกระแสไหล |
เขาบอกแจ้งแห่งนามแม่น้ำไนล์ |
เห็นแพไหญ่จอดท่าหน้าสพาน |
แต่แพนั้นเหมือนถังที่ขังน้ำ |
ไม่รั่วล้ำเหล็กหล่อห่อประสาน |
ไว้สำหรับจรดลในชลธาร |
เคียงขนานเข้าจดรับรถไฟ |
แล้วชักข้ามไปตามสายโซ่ขึง |
พอแพถึงรถกระทั่งกับฝั่งได้ |
ค่อยเลื่อนลากจากแพให้พ้นไป |
รถก็ไวว่องวิ่งยิ่งกว่าบิน |
ตวันรอนอ่อนอับลงลับฟ้า |
มาถึงท่าที่ตำบลชลสินธุ์ |
ริมฝั่งฟากวารีมีบุรินทร์ |
เปนธานินทร์ขึ้นไกโรมโหฬาร |
อันเมืองนี้ตั้งสำหรับรบรับศึก |
ผู้คนคึกเรี่ยวแรงกำแหงหาญ |
ได้ฝึกหัดจัดเจนชำนาญชาญ |
เคยรอนราญไพรีไม่มีกลัว |
เขาเชิญราชทูตไทยไปสำนัก |
เข้าผ่อนพักอยู่ในวังพอยังชั่ว |
แต่ไม่วายตรมตรองขุ่นหมองมัว |
คิดถึงตัวจะต้องไปยังไกลครัน |
ขึ้นบนบกแล้วจะวกลงน้ำเล่า |
ธุระเรานี้ไม่หมดกำสรดศัลย์ |
สุดเศร้าสร้อยอยู่จนม่อยหลับไปพลัน |
นิมิตรฝันว่าขนิษฐมาติดตาม |
ตื่นผวาหานางเห็นสางแสง |
กระจ่างแจ้งแจ่มจบพิภพสาม |
ให้อั้นอัดชลไนยหลั่งไหลลาม |
เสียดายงามเหงาง่วงเพียงทรวงพัง |
ทำไฉนจึงจะลืมปลื้มสวาท |
มิได้ขาดห่วงใยอาลัยหลัง |
สู้กลืนแกล้งแขงอารมณ์ไปชมวัง |
ซึ่งแต่งตั้งขึ้นใหม่ชายทเล |
เดินเข้าในวงนิเวศน์เขตรจังหวัด |
แล้วหลีกลัดเลี่ยงไถลหลบไพล่เผล |
ด้วยความทุกข์กลัดกลุ้มทับทุ่มเท |
เขาฮาเฮข้างเราโหยโดยอาดูร |
ได้ดูทั่วคืนหลังยังวังเก่า |
ยิ่งร้อนเร่าหวังสวาทไม่ขาดสูญ |
เข้าในห้องนองเนตรเทวศพูน |
จนจำรูญรุ่งรางสว่างวรรณ์ |
เขาตกแต่งโภชนาเอามาเลี้ยง |
บนโต๊ะเรียงเป็ดไก่สุกรหัน |
ทั้งต้มแกงกุ้งปลาสารพัน |
แกล้งจัดสรรค์ตามทำนองของดีดี |
ครั้นกินอยู่สรรพเสร็จสำเร็จแล้ว |
จะคลาศแคล้วบ่ายบากออกจากที่ |
พอกัปตันขึ้นมาจึงพาที |
เชิญให้รีบจรลีลงนาวา ฯ |
๏ ต่างคนต่างเตรียมกายแล้วผายผัน |
ถึงกำปั่นแสนโสมนัสา |
ก็ใช้ไฟหมายแล่นตามแผนมา |
ห้าทิวาถึงจำเพาะเกาะบุรี |
เรียกชื่อเมืองมอลตาเปนท่าพัก |
ได้สำนักหยุดยั้งกลางวิถี |
ให้แวะจอดทอดสมอรอนาวี |
เจ้าเมืองแจ้งแห่งคดีมาทักทาย |
แล้วเชื้อเชิญจรดลขึ้นบนบ้าน |
แสนสำราญเรือนตึกพิลึกหลาย |
นั่งพูดจาเล่นตามความสบาย |
แล้วหกนายต่างพากันลาจร |
ไปเที่ยวชมห้างรายเขาขายของ |
ให้คลายหมองที่คำนึงถึงสมร |
อยู่สามวันจึงครรไลไกลนคร |
ไปในท้องชโลทรทางกันดาร |
ถึงปากช่องสองข้างมีเขาใหญ่ |
อังกฤษไว้หมู่พหลพลทหาร |
รวงคิรีเอาเปนจอมป้อมปราการ |
สูงตระหง่านดูพิฦกข้าศึกเกรง |
แต่ภูเขาเขายังคิดประดิษฐได้ |
ช่างกะไรเพียรเจาะจนเหมาะเหม็ง |
ถ้าใครขืนรบรับคงยับเอง |
ต้องยำเยงย่นหยอนอ่อนระอา |
กัปตันให้เรือรอสมอทอด |
ประทับจอดหน้าเมืองข้างเบื้องขวา |
แล้วชักธงจอมนรินทร์ปิ่นนรา |
บอกสัญญาให้เจ้าเมืองรู้เรื่องการ |
ฝ่ายผู้รั้งเห็นแจ้งไม่แคลงจิตต์ |
ประกาศิตสั่งเหล่าชาวทหาร |
ให้ยิงปืนครื้นครั่นมิทันนาน |
คำนับธงพระผู้ผ่านพิภพไทย |
ยี่สิบเอ็ดเสร็จถ้วนคำรบครบ |
ควันตระหลบดินดาลสท้านไหว |
แล้วเชิญพวกข้าหลวงทั้งปวงไป |
อยู่อาศรัยแรมร้อนดังก่อนมา |
เขาดูแลสารพัดไม่ขัดขวาง |
ค่อยเสื่อมสร่างโศกสร้อยละห้อยหา |
ตัวเจ้าเมืองรักใคร่หมั่นไคลคลา |
ได้พูดจาชอบชิดเปนมิตร์กัน |
พักอยู่สามราตรีค่อยมีสุข |
แล้วกลับทุกข์ที่จะพรากจากเขตรขัณฑ์ |
ต้องไปในชลสายอีกหลายวัน |
ทั้งทางนั้นคลื่นจัดลมพัดแรง |
นึกคนึงถึงกายไม่วายหมอง |
จนเรืองรองรุ่งอุทัยเธอไขแสง |
ต่างคนต่างรีบรัดเร่งจัดแจง |
บ้างตกแต่งตัวงามตามข้างไทย |
ครั้นพร้อมเสร็จขนรถหมดทั้งนั้น |
ก็ผายผันมายังท่าชลาไหล |
กัปตันนายฝ่ายอังกฤษให้ติดไฟ |
แล้วคลาไคลออกจากปากทเล ฯ |
๏ แสนสงสารทรวงเราเศร้าสลด |
ทุกข์ระทดอยู่ในชลระหนระเห |
ไม่เห็นฝั่งกลางสมุทสุดคเน |
ให้ว้าเหว่หวิวหวาดอนาถนึก |
คลื่นระดมลมกล้าประดาเสีย |
นอนละเหี่ยละห้อยไห้ใจตึกตึก |
กำปั่นแล่นไปกลางหนทางลึก |
จนยามดึกลมจัดพัดกระพือ |
กระทบเชือกสายระยางฟังเสนาะ |
ช่างไพเราะราวกับซอหวีดหวอหวือ |
คลื่นกระแทกเรือนจักรก็หักฮือ |
เสียงบันลือลั่นเลื่อนสเทื้อนเรือ |
แต่อังกฤษติดชำนาญการกำปั่น |
ทั้งกัปตันกะลาสีก็ดีเหลือ |
ล้วนตัวเก่งเร่งไฟซ้ำใบเจือ |
จนข้อเสือก้านจักรหักออกไป |
ข้างพวกเราคิดพรั่นให้หวั่นจิตต์ |
แต่อังกฤษถ้วนทั่วหากลัวไม่ |
เอาโซ่พันขันมัดรัดเข้าไว้ |
ก็แล่นได้เรียบร้อยค่อยสบาย ฯ |
๏ มาถึงเมืองไวโคโปตุเกศ |
อยู่ริมเขตรวังวนชลสาย |
คลื่นระดมลมกำลังยังไม่วาย |
จึงให้บ่ายเรือเข้าท่าหน้าบุรี |
ฝ่ายเจ้าเมืองกับขุนนางข้างฝรั่ง |
ก็พร้อมพรั่งปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
มาเยี่ยมเยือนทูตไทยด้วยไมตรี |
ต่างยินดีปราไสกันไปมา |
บ้างขอดูของเครื่องเมืองสยาม |
ชมว่างามผิดอย่างต่างภาษา |
บ้างชมเม็ดเพ็ชร์ช่วงดวงจินดา |
บ้างชมผ้าเสื้อแสงที่แต่งกาย |
เขาผูกรักชักชิดสนิทสนม |
ชวนไปชมเย่าเรือนเหมือนสหาย |
อยู่เมืองนั้นสองวันก็คลาศคลาย |
ไปในสายชลธีที่สำคัญ ฯ |
๏ จะข้ามอ่าวบิศเนทเลร้าย |
ยิ่งหมองหม้ายเศร้าจิตต์คิดกระศัลย์ |
ด้วยแจ้งข่าวอ่าวนี้ทุกวี่วัน |
พายุนั้นสามารถทายาดพอ |
แต่อังกฤษตัวกล้าเหมือนปลาใหญ่ |
ยังตกใจขวัญหนีแทบดีฝ่อ |
เช่นพวกเราไม่พักบอกคงกรอกฅอ |
คลื่นมันยอก็จะโยกลงโงกงอม |
พี่ยกหัตถ์อัธิฐานขอพระเดช |
จอมนรินทร์ปิ่นนเรศร์พิทักษ์ถนอม |
เหมือนข่ายเพ็ชรเจ็ดชั้นช่วยกันล้อม |
ปกกระหม่อมป้องกันสรรพภัย |
เห็นพระคุณบุญฤทธิ์ประสิทธิ |
ปรกติไปโดยสดวกได้ |
ก็แล่นล่วงมาในห้วงชลาลัย |
เห็นเกาะใหญ่อิงแคลนแสนสำราญ |
คือกรุงไกรฝ่ายเบื้องเมืองอังกฤษ |
ที่สถิตย์เอกอนงค์ดำรงสถาน |
เปนเวลาสุริยนอนธการ |
ราวประมาณยามหนึ่งก็ถึงพลัน |
ให้เรือรอทอดสมออยู่ห่างห่าง |
แลสล้างนับไม่ถ้วนล้วนกำปั่น |
ระดาษดื่นหมื่นแสนแน่นอนันต์ |
โคมสำคัญจุดประจำทุกลำไป |
ดูสว่างกลางมหาชลาสินธุ์ |
เปนที่ถิ่นเมืองท่าเรืออาศรัย |
ชื่อบุรีปอตสมัทเขาจัดไว้ |
รับทูตไทยขึ้นที่นั่นดังสัญญา |
ครั้นอุทัยไขแสงแจ้งกระจ่าง |
พื้นนภางค์แผ้วผ่องห้องเวหา |
ให้ชักธงจอมโมฬิศอิศรา |
โดยถานายศใหญ่ไว้เสากลาง |
ธงนรินทร์ปิ่นเกล้าอยู่เสาหน้า |
ตามตำราแจ้งกระจัดไม่ขัดขวาง |
ข้างเสาท้ายฝ่ายธงอนงค์นาง |
แลสล้างทั้งสามงามวิไล |
ฝ่ายแม่ทัพที่กำกับกำปั่นรบ |
ครั้นเห็นครบสามธงไม่สงสัย |
ก็เร่งรัดรีบร้อนไม่นอนใจ |
มาถามไถ่ทักทายเราะรายดี |
แล้วแถลงแจ้งความไปตามเรื่อง |
พระมิ่งเมืองจอมนางสำอางศรี |
มีประสาสน์พระราชเสาวนี |
ว่าครั้งนี้ทูตไทยได้ออกมา |
เธอสุดแสนยินดีเปนที่ยิ่ง |
พร้อมทุกสิ่งรถรัถให้จัดหา |
ไว้สำหรับรับราชสารา |
กับทูตานุทูตถ้วนล้วนบรรจง |
จะได้เปนเกียรติยศปรากฎไป |
ว่ากรุงไกรสองสนิทพิศวง |
เหมือนเชษฐากับขนิษฐจิตต์จำนง |
ร่วมพระวงศ์เดียวกันไม่ฉันทา |
แต่เครื่องแห่สารพัดจะจัดสรรค์ |
ไม่เหมือนกันผิดอย่างต่างภาษา |
จะต้องทำตามตำหรับเคยรับมา |
มิให้ถอยน้อยหน้าทูตทุกเมือง |
แล้วเล่าความตามรับสั่งตั้งประกาศ |
ว่าของดีที่ประหลาดเขาลือเลื่อง |
สิ่งใดใดมีในบุรีเรือง |
แม้แขกเมืองหมายใจจะใคร่ยล |
อย่าขัดข้องป้องกันเปนอันขาด |
อนุญาตตามตำแหน่งทุกแห่งหน |
ทั้งกินอยู่หมดประมวญถ้วนทุกคน |
เงินของตนบอกเลิกให้เบิกคลัง |
แจ้งคดีถี่ถ้วนชักชวนชื่น |
แล้วลาคืนกลับไปดังใจหวัง |
กัปตันให้ถอนสมอไม่รอรั้ง |
เข้าเทียบฝั่งเคียงติดชิดสพาน |
ที่บนป้อมพร้อมพรั่งออกคั่งคับ |
แลสลับน่าดูหมู่ทหาร |
ยิงปืนลั่นควันกลบตระหลบธาร |
แผ่นดินดาลเลื่อนลั่นสนั่นดัง |
ครั้นสลูตทูตถ้วนสิบเก้านัด |
ก็แออัดสับสนคนสพรั่ง |
มาเบียดเสียดเยียดยัดอัตนัง |
บ้างยืนนั่งแน่นอยู่คอยดูไทย |
เขาจัดแจงแต่งสพานกระดานทอด |
มีราวสอดเหมาะมั่นไม่หวั่นไหว |
แล้วปูผ้าแดงเรี่ยมเอี่ยมวิไล |
ตลอดไปจนรถช่างงดงาม |
สี่โมงเศษจึงได้เชิญพระราชสาส์น |
พระผู้ผ่านภพแผ่นแดนสยาม |
พร้อมคณาข้าหลวงทั้งปวงตาม |
ก็แลหลามจากกำปั่นแล้วครรไล |
แอดมิรัลนายทหารชาญสมุท |
ฤทธิรุทลือเลื่องกระเดื่องไหว |
สั่งให้ยิงสลูตธงพระทรงชัย |
ผู้บำรุงกรุงไทยทั้งสององค์ |
ทหารรับจับเชือกกระชากปราด |
พอนกฉาดปืนลั่นควันขมง |
ยี่สิบเอ็ดเสร็จถ้วนจำนวนตรง |
คำนับธงแทนนาถบาทยุคล |
แล้วหกนายนาดกรายมาขึ้นรถ |
ม้าพยศวิ่งวางกลางถนน |
ไม่หยุดยั้งรั้งรอจรดล |
ประจวบจนที่สถานบ้านแม่ทัพ |
สารถีเหนี่ยวสายถือสองมือชัก |
ม้าชะงักยืนเผ่นเต้นหรับหรับ |
แอดมิรัลยิ้มยืนยื่นมือรับ |
ประคองประคับเคียงเดินเชิญขึ้นจวน |
ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงดูอยู่จนบ่าย |
ชวนภิปรายปรีดาพากันสรวล |
แต่นั่งสนทนาเล่นเห็นพอควร |
ก็ชักชวนกันลากลับมาพลัน ฯ |
๏ ถึงโฮเต็ลเปนที่หยุดสำนัก |
เข้าผ่อนพักปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
จนภานุมาศโอภาษขึ้นพรายพรรณ |
สายตวันเวลาสักห้าโมง |
เขาเชิญให้ไปที่รถไฟพัก |
ต้องเตือนตักทุ่มเถียงเสียงออกโผง |
บ้างหิ้วหีบห่อผ้าพาตะโกรง |
ไปถึงโรงที่ประทับก็ยับยั้ง |
สักครู่ใหญ่ได้เวลาจะคลาเคลื่อน |
กระดิ่งเตือนรัวเร่งเหง่งเหง่งหงั่ง |
ต่างวิ่งแซงแข่งหน้าดาประดัง |
ขึ้นไปนั่งในรถหมดทุกคน |
พอหลอดกู่หวูหวอลูกล้อเคลื่อน |
ดูดูเหมือนเหาะเหินเดินเวหน |
จนแดดชายบ่ายเยื้องถึงเมืองบน |
เห็นผู้คนคั่งคับคอยรับรอง |
มีทหารถือกระบี่เปนทีท่า |
ล้วนขี่ม้าดำนิลสิ้นทั้งผอง |
งามอาชาร่าเริงเชิงลำพอง |
สามสิบสองคู่เคียงเรียงกันไป |
อีกรัถาห้าเล่มเต็มวิเศษ |
เทียมม้าเทศสูงสง่าจะหาไหน |
เรียงประทับคอยรับพวกทูตไทย |
ต่างคลาไคลขึ้นรถหมดทุกคน |
พาชีชาญพวกทหารหกสิบสี่ |
เดินตามที่เปนลำดับไม่สับสน |
ล้วนเสื้อแดงแต่งตัวไม่มัวมล |
ใส่หมวกขนปักภู่ดูตระการ |
ถึงกลาริชโฮเต็ลเห็นพิลึก |
ทำเปนตึกใหญ่โตระโหฐาน |
ทั้งสี่ชั้นช่างประดิษฐพิศดาร |
โอฬาลานทีท่าน่าสบาย |
ทหารม้ากลับหน้ามาคำนับ |
รถประทับนายทวารเปิดบานผาย |
ผู้เจ้าของโฮเต็ลที่เปนนาย |
มาทักทายเชื้อเชิญดำเนินจร |
แล้วนำหน้าพาเที่ยวดูห้องหับ |
ของสำหรับสารพัดปัจฐรณ์ |
เก้าอี้โต๊ะเตียงตั้งที่นั่งนอน |
มีฟูกหมอนครบถ้วนจำนวนคน |
จะกินอยู่ดูแลเอาใจใส่ |
คนรับใช้เจนจัดไม่ขัดสน |
เรียกอะไรได้ทุกสิ่งวิ่งออกลน |
ไม่เกียจกลการงานขยันจริง |
เขาช่างฝึกสอนไว้มิใช่ชั่ว |
รู้ฝากตัวกลัวนายทั้งชายหญิง |
ไม่เงอแงแง่งอนทำค้อนติง |
เสร็จทุกสิ่งมิให้พักต้องตักเตือน |
แต่กระนั้นพี่ไม่วายระคายคิด |
ถึงอังกฤษดีแสนไม่แม้นเหมือน |
เมื่อเรียมคงเคียงคู่อยู่กับเรือน |
เจ้าผู้เพื่อนร่วมรักก็ภักดี |
ปรนิบัติเชษฐาอัชฌาสัย |
สู้ตั้งใจมิได้เบือนแชเชือนหนี |
ถึงยามกินยามนอนรู้ผ่อนที |
นั่งพัดวีนวดฟั้นหมั่นระวัง |
เมื่อยามแนบแอบอิงแม่มิ่งมิตร |
เชยชมชิดนิ่มนุชช่วยจุดหลัง |
นึกนึกมาน่าวิตกเพียงอกพัง |
จนระฆังขานก้องถึงสองยาม |
ก็ม่อยหลับกับที่ไสยาอาสน์ |
ภานุมาศแจ่มจบภพทั้งสาม |
ตื่นผวาหวาดพะวงว่านงราม |
ละเมอตามมองเขม้นไม่เห็นนาง |
ยิ่งโศกแสนแน่นอุราเพียงอาสัญ |
สู้กลืนกลั้นทุกข์ทนกระมลหมาง |
เอาพระเดชจอมจักรหักระคาง |
ว่าอย่าเศร้าเลยจงสร่างกำสรดโทรม |
เรามาด้วยราชการพระผ่านเกล้า |
ไม่ควรเร่าร้อนรำพึงคนึงโฉม |
พอคิดได้ค่อยเปนสุขสิ้นทุกข์โทม |
ก็แสนโสมนัศมาล้างหน้าพลัน |
แต่วิสัยใจบุถุชนนี้ |
ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายหมายกระสัน |
หักลงไปได้เท่านี้ก็ดีครัน |
ทีหลังนั้นคงจะแปรไม่แน่นอน |
อันหักห้ามความสวาทให้ขาดวิ่น |
ไหนจะสิ้นเสื่อมสุดจนหลุดถอน |
วายถวิลเพียงเวลาทิพากร |
คงจะย้อนโหยหาเมื่อราตรี |
แล้วดำเนินเดินออกมานอกห้อง |
เห็นพวกพ้องปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ก็พูดจาปราไสใจยินดี |
บ้างเซ้าซี้สัพยอกเย้าหยอกกัน ฯ |
๏ จนอัษฎงค์ลงลับภูเขาเขิน |
มิศเฟาล์เข้ามาเชิญให้ผายผัน |
ไปดูละคอนฟ้อนรำระบำบรรพ์ |
ต่างก็หรรษาสมอารมณ์ปอง |
ออกจากตึกที่พักพรักพร้อมหน้า |
ขึ้นรัถาจรจรัลผันผยอง |
อาชาชาติผาดโผนโจนลำพอง |
ช่างไวว่องพักหนึ่งก็ถึงพลัน |
เข้าในโรงที่เล่นเห็นพิลึก |
ทำเปนตึกใหญ่กว้างช่างสร้างสรรค์ |
แสงประทีปส่องสว่างดังกลางวัน |
มีช่องชั้นห้องหับสำหรับดู |
แต่ห้องหนึ่งนั้นดีเปนที่หลวง |
ห้องทั้งปวงไม่มีที่จะสู้ |
ผนังพนักสักหลาดเอาลาดปู |
ให้พวกเราเข้าอยู่ทั้งหกนาย |
ดูละคอนเขาเล่นเห็นวิเศษ |
แต่งตามเพศงามสอาดประหลาดหลาย |
จับเรื่องเมืองแขกขุ่นเกิดวุ่นวาย |
เข้าทำร้ายรบอังกฤษไม่คิดเกรง |
ด้วยขัดข้องหมองใจนายทหาร |
บังคับการข่มขี่ทีข่มเหง |
ข้างพวกแขกคนดำไม่ยำเกรง |
คุมกันเองฆ่าอังกฤษชีวิตวาย |
ฝ่ายอังกฤษไม่รู้ตัวมัวนอนหลับ |
ก็ยุบยับเสียทีต้องหนีหาย |
ลูกเล็กเล็กเด็กน้อยก็พลอยตาย |
ทั้งหญิงชายสิ้นชีวงลงเปนเบือ |
ฝ่ายเจ้าเมืองบั้งกะหล่าปรีชาชาญ |
เคยรอนราญเหี้ยมห้าวราวกับเสือ |
ให้เกณฑ์ทัพทั้งบกยกทั้งเรือ |
ข้างแขกเหลือรบรับก็อัปรา |
พวกอังกฤษกลับได้ชัยชนะ |
ไม่ลดละฟอนฟันบั่นเกศา |
ยิงระดมล้มระดะดาษดา |
คนที่นั่งทัศนาก็ดีใจ |
เห็นแขกพ่ายตายกลาดไม่อาจหือ |
ต่างตบมือพร้อมกันสนั่นไหว |
เปนสิ้นเรื่องราวรบจบลงไว้ |
ครั้นต่อไปมีสตรีขี่สินธพ |
แต่แรกนั่งภายหลังขึ้นยืนห้อ |
ออกปรึงปร๋อขับเคี่ยวเลี้ยวตระหลบ |
ถอดเสื้อเก่าเอาเสื้อใหม่ใส่จนครบ |
แล้วเต้นหรบรำเท้าก้าวตามเพลง |
บางทีเบนยืนเอนเอียงข้างข้าง |
ทำท่าทางน่าหัวเราะช่างเหมาะเหม็ง |
แล้วยืนแต่ตีนเดียวเอี้ยวตัวเอง |
ไม่กริ่งเกรงว่าจะตกหกคะมำ |
แกล้งยักเยื้องแยบคายหลากหลายท่า |
บนหลังม้าห้อไม่หยุดสุดจะร่ำ |
สิ้นกระบวนถ้วนสิ่งที่หญิงทำ |
ก็ร่ารำเริงรื่นคืนกลับไป |
ยังมีชายปรีชาขี่ม้าอื่น |
ออกมายืนพูดจาอัชฌาสัย |
สั่งให้ม้ารำเท้าก้าวครรไล |
ก็ทำได้เหมือนอย่างคนชอบกลพอ |
ผู้ที่ขี่ก้มหน้าม้าก็ก้ม |
รู้ประสมให้เหมือนกันขันจริงหนอ |
ถ้าแม้คนเงยหน้าม้าแหงนฅอ |
คนเอนขวาม้าย่อเอนตัวตาม |
ครั้นเอนซ้ายม้าย้ายเอนไปบ้าง |
ถูกแบบอย่างเพลงทำนองหนึ่งสองสาม |
ทีบิดเบือนเหมือนหมดดูงดงาม |
สิ้นเนื้อความคนขี่นี้เพียงนั้น |
จึงคืนคงลงจากพาชีชาติ |
ม้าก็ผาดเผ่นโผนโจนผายผัน |
มีสองชายยกไม้ขึ้นขวางพลัน |
หวังจะกันกีดไว้มิให้จร |
ม้ากระโดดโลดข้ามได้ตามจิตต์ |
ไปสถิตย์อยู่ยังที่ดังกี้ก่อน |
แล้วนารีขี่ควบอัศดร |
ออกมาฟ้อนรำร่ายหลายกระบวน |
แต่แรกนั่งภายหลังขึ้นยืนหยัด |
เขาช่างหัดฝึกดีได้ถี่ถ้วน |
ทำแยบคายหลายบทหมดประมวญ |
ก็หันหวนกลับคืนเข้ายืนโรง ฯ |
๏ ยังมีชายสองคนไม่ย่นย่อ |
ขี่ม้าห้อผกเผ่นแล้วเต้นโหยง |
ยึดมือกำรำเท้าก้าวตะโกรง |
ควบตะโพงขับตะพัดฉวัดวง |
บางทีขี่คนเดียวทั้งสองม้า |
ยืนแยกขาทำตามความประสงค์ |
คนหนึ่งโจนขึ้นไหล่ดังใจจง |
เอาหัวลงจดศีร์ษะหกคะเมน |
สองเท้าชี้ดีกะไรมิใช่ชั่ว |
เลือดลงหัวดูหน้าเหมือนทาเสน |
บางทีขึ้นเหยียบเข่าน้าวตัวเอน |
ไม่โงนเงนแขงข้อห้อตะบัน |
บางทีขี่ทั้งสองคนวิ่งซนเสือก |
กระโดดเฮือกไปตัวโน้นโจนถลัน |
กลับไถลมาตัวนี้ขี่ด้วยกัน |
พัลวันไวว่องทั้งสองนาย |
ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพก็กลับหลัง |
คืนเข้ายังโรงในเหมือนใจหมาย |
ขณะนั้นทันทีมีผู้ชาย |
ก็ผันผายขับอาชาออกมาพลัน |
เอาเท้าซ้ายกรายเหยียบศีร์ษะม้า |
ข้างเท้าขวาเหยียบไหล่ไว้ได้มั่น |
แล้วปล่อยห้อเร็วรวดกวดเก่งครัน |
ช่างไม่พรั่นจิตต์ใจไฉนนา |
อีกคนหนึ่งวิ่งพวยฉวยได้บ่วง |
กลับทลวงกั้นกางเข้าขวางหน้า |
ฝ่ายว่าชายตัวดีที่ขี่ม้า |
โดดลอดมายืนหลังเหมือนอย่างเดิม |
แล้วถือแพรยืนขวางกลางสนาม |
ก็โจนข้ามได้ดังนึกยิ่งฮึกเหิม |
แล้วถือผืนอื่นทำแกล้งแสร้งซ้ำเติม |
ทวีเพิ่มพอให้ยากลำบากใจ |
ถึงสามชั้นคนนั้นไม่เข็ดขาม |
กระโดดข้ามทุกตำบลพ้นไปได้ |
ทำแยบคายหลายอย่างต่างต่างไป |
แล้วเข้าในโรงหายชายอื่นมา ฯ |
๏ แต่คนนี้คมสันขยันหยด |
ดูหมดจดท่วงทีดีหนักหนา |
ชื่อมิศกุกเจนจัดหัดอาชา |
มือถือแซ่นำหน้าม้าเดินตาม |
แล้วให้ม้าเดินสองเท้าก้าวกุบกับ |
ประเดี๋ยวกลับให้ลงนั่งกลางสนาม |
สารพันกัณฐัศว์ไม่ขัดความ |
คำรบสามสั่งว่าให้ม้านอน |
พาชีชาติชาญฉลาดลงนอนนิ่ง |
ไม่ไหวติงรู้ทำเหมือนคำสอน |
ชายตลกยกเท้าอัศดร |
ให้กอดกายหงายนอนหว่างอุรา |
ม้าก็ทำตามใจมิได้ขัด |
สารพัดน่าเอนดูรู้ภาษา |
บัดเดี๋ยวดลคนตลกลุกไคลคลา |
แต่อาชานอนนิ่งไม่ติงกาย |
มิศกุกจึงว่าลุกขึ้นเถิดหนา |
ฝ่ายมิ่งม้าลุกไวเหมือนใจหมาย |
ตลกจึงกล่าวคำทำภิปราย |
นี่แน่นายผู้สันทัดอัศดร |
ถ้าดีจริงจงว่าม้าของเจ้า |
ให้กลับเข้าคืนหลังเหมือนอย่างสอน |
เราจะห้ามปรามไว้มิให้จร |
อย่าเกี่ยงงอนดูข้างไหนใครจะดี |
มิศกุกรับคำทำเปนว่า |
มาเถิดมาม้าเราเข้ามานี่ |
แล้วลูบหน้าลูบหลังสั่งพาชี |
จงคืนที่เคยสถิตย์อย่าบิดเบือน |
สินธพฟังสั่งสรรพก็กลับวิ่ง |
ช่างรู้จริงหาไหนจะได้เหมือน |
ตลกยืนยิ้มแต้ไม่แชเชือน |
แล้วแย้มเยื้อนร้องว่าอย่าเข้าไป |
ม้าชะงักเงยชะแง้ทำแปรผัน |
ขยาดยั่นยืนเซาเข้าไม่ได้ |
มิศกุกเรียกกลับมาฉับไว |
ลูบหลังไหล่หน้าตาแล้วพาที |
จงคืนไปโรงในอิกเถิดหนา |
ฝ่ายอาชารู้จริงออกวิ่งจี๋ |
คนตลกจึงว่าแก่พาชี |
หยุดอยู่นี่เราไซ้มิให้จร |
ม้าก็ยั้งฟังห้ามตามตลก |
สองสามยกคลาศเคลื่อนไม่เหมือนสอน |
ตลกเคาะเยาะเย้ากล่าวสุนทร |
จงวิงวอนม้าให้ไปเถิดนาย |
ทีนี้เรามิได้ห้ามตามประสงค์ |
โดยจำนงคงจะสมอารมณ์หมาย |
มิศกุกนายม้าปรีชาชาย |
ต้องอับอายแก่ตลกหลายยกเจียว |
แล้วจึงสั่งอาชาให้คืนหลัง |
ม้าได้ฟังเร็วแร่ไม่แลเหลียว |
ควบตะบึงบากหน้าไปท่าเดียว |
สักประเดี๋ยวถึงโรงตรงเข้าใน |
คนมาดูอยู่ที่นั่นสนั่นอื้อ |
ก็ตบมือพร้อมกันเสียงหวั่นไหว |
คือบอกแจ้งแห่งระบอบว่าชอบใจ |
ขอหยุดไว้เปนสงบจบเพียงนั้น ฯ |
๏ เมืองลอนดอนมีละคอนอยู่หลายแห่ง |
เขาตกแต่งตามเพศวิเศษสรรพ์ |
เอานารีรูปร่างสำอางครัน |
เปนเทวัญเหาะปลิวลิ่วครรไล |
แต่ประหลาดหลากจิตต์พิศไม่เห็น |
ช่างซ่อนเส้นสายสนคนอาศรัย |
ฉลาดทำแยบยนต์เปนกลไก |
ดังเหาะได้จริงจังลำพังตน |
บางทีผุดผายผันจากบรรพต |
เห็นปรากฎแก่ตาน่าฉงน |
บางทีขึ้นจากพื้นภูวดล |
แต่ไม่ยลรอยระวางหนทางจร |
คนที่เปนเทวดามาทั้งนี้ |
รัศมีแจ่มจำรัสประภัศร |
ช่างงามล้วนนวลผ่องลอองอร |
ดูละคอนจนเวลากว่าสองยาม |
เขาเลิกแล้วลีลาพากันกลับ |
คืนประทับที่สถิตย์จิตต์หวาดหวาม |
คิดคู่เชยเคยสบายเสียดายงาม |
ถึงยามสามพอผอยม่อยหลับไป ฯ |
๏ จนแสงทองส่องฟ้านภากาศ |
ภานุมาศแจ้งกระจ่างสว่างไสว |
มิศเฟาล์ที่สำหรับอยู่กับไทย |
จัดรถให้ห้ารถบทจร |
ทั้งนายไพร่นำไปเที่ยวชมสวน |
ประหลาดล้วนสัตว์แซ่แลสลอน |
เขาเลี้ยงขังหวังปองเอาทองปอนด์ |
ราษฎรเสียให้จึงได้ดู |
มีพร้อมหมดจัตุบททวิบาท |
สิงหราชกรินีทั้งหมีหมู |
อิกโคถึกเถื่อนกะทิงวิ่งออกพรู |
ทำคอกอยู่มิให้ปนระคนกัน |
แรดแรงร้ายม้าลายมหิงษา |
พยัคฆาหมูละมั่งกวางสมัน |
ฟานกระจงเลียงผาสารพัน |
จิ้งจอกคั่นไว้ต่างหากสุนัขใน |
กระต่ายตุ่นวุ่นวนวิ่งซนซอก |
ข้างอ้นออกจากช่องปล่องอาศรัย |
อ้ายแมวป่ากาจเก่งเสงสุดใจ |
ดุกะไรกว่าเสือช่างเหลือเปรียว |
เข้าไปยืนห่างสักศอกริมคอกขัง |
ก็ผึงผังโผนมาทำตาเขียว |
ขู่คำรามคึกคักหนักจริงเจียว |
ไปป่าเปลี่ยวปะมันเปนอันตราย |
มีทั้งเม่นเห็นคนทำขนแขง |
เปรียบอย่างแปรงชี้ชันขันใจหาย |
เหมือนไม้เสี้ยมปักแซมแหลมข้างปลาย |
ใครกล้ำกรายสบัดขนปักคนคา |
ทั้งลิงค่างบ่างชนีมีจนครบ |
คางคกกบตุกแกแย้กิ้งก่า |
จรเข้หอยปูงูเต่าปลา |
สกุณาหลายอย่างต่างต่างกัน |
ทั้งสัตว์บกสัตว์น้ำเขาทำที่ |
เลี้ยงไว้ดีเปนแพนกไม่แผกผัน |
แลหลากหลากมากมายเปนหลายพรรณ |
บางอย่างนั้นแปลกชนิดผิดข้างไทย |
ถ้าสัตว์ร้ายขังคงในกรงเหล็ก |
ซีกไม่เล็กแขงขันดันไม่ไหว |
แม้สัตว์เชื่องพอเห็นไม่เปนไร |
ใส่กรงไม้มิให้เปนระคนคละ |
จิ้งเหลนงูใส่ตู้กระจกกระจ่าง |
แล้วมีอ่างแก้วตั้งเปนจังหวะ |
ใส่หอยปูต่างต่างวางระยะ |
ที่ในสระใส่กุมภาปลาโตโต |
ถ้านกใหญ่อ้ายตะกรุมกะเรียนแร้ง |
อยู่กลางแจ้งเดินโทงทำโกงโก้ |
สัตว์ที่เลี้ยงมากหมดไม่อดโซ |
กินเนื้อโคเข้าปลาสารพัน |
เขาหาทำน้ำหญ้าผลาหาร |
ไม่กันดารดีจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
แต่พวกเราเที่ยวดูอยู่ด้วยกัน |
จนตวันเลี้ยวลับจึงกลับมา ฯ |
๏ ครั้นรุ่งเช้ามิศเฟาล์พาผายผัน |
ดูกำปั่นกลไฟใหญ่หนักหนา |
ยาวไม่น้อยถึงร้อยกับหกวา |
เปนมหานาเวศวิเศษนัก |
ประหลาดหนอต่อด้วยเหล็กใช่เล็กน้อย |
แต่ว่าลอยน้ำดูไม่สู้หนัก |
ไว้ให้งามบ้านเมืองช่างเยื้องยัก |
คิดใส่จักรท้ายข้างสองอย่างดี |
ที่ในลำทำห้องเปนช่องชั้น |
เขียนสุวรรณลวดลายระบายสี |
มีอุโมงค์ยาวยืดมืดเต็มที |
ตั้งแต่ที่ท้ายทอดตลอดลำ |
ห้องหนึ่งยาวราวสักเส้นเปนตลาด |
ระดะดาษคนผู้ดูออกส่ำ |
ตั้งร้านเคียงเรียงรายขายประจำ |
เขาหาทำของเข้าเอามาไว้ |
ดาดฟ้ามีสี่ชั้นล้วนกั้นห้อง |
แล้วเปิดช่องให้เปนทางสว่างไสว |
เสากระโดงหกเสาพร้อมเพลาใบ |
ใส่ท่อไฟห้าแห่งพอแรงการ |
บรรทุกคนที่จะไปได้ถึงหมื่น |
แม้ถูกคลื่นไม่สเทือนเหมือนเรือนบ้าน |
เปนเรือใช้รับจ้างทางกันดาร |
ใครโดยสารเงินให้ได้สบาย ฯ |
๏ ชมกำปั่นแล้วพากันมาหมด |
ขึ้นสู่รถรีบไปดังใจหมาย |
ถึงอุโมงค์ใต้น้ำทำแยบคาย |
ลงทางฝ่ายฟากข้างนี้เดินลีลา |
ไปทลุขึ้นทางฟากข้างโน้น |
ไม่มีโคลนมีดินล้วนหินผา |
ใส่ใบสอก่อกั้นกันคงคา |
ถือปูนยามิดชิดสนิทเนียน |
ที่ในนั้นจุดไฟไสวสว่าง |
พื้นหนทางแผ้วกวาดดูลาดเลี่ยน |
เขาขายของเหมือนตลาดดาษเดียร |
เที่ยวเดินเวียนซื้อหาสารพัด |
อยู่ในนั้นเรือไฟครรไลล่อง |
ตามแถวท้องวารินยินถนัด |
เสียงน้ำดังอู้อู้จึงรู้ชัด |
ด้วยจักรวัดวิดวักควักวารี |
อุโมงค์ยาวกล่าวไว้มิใช่เล่น |
โดยได้เห็นจดหมายรายแผนที่ |
สิบห้าเส้นเจ็ดวากว่ายังมี |
เศษศอกหนึ่งกับสี่นิ้วข้างไทย |
เปนทางตรงโล่งลิ่วแลตลอด |
ช่างขุดลอดใต้ลำแม่น้ำไหล |
พี่เที่ยวเล่นอยู่จนเย็นลงไรไร |
ก็คลาไคลกลับหลังไม่รั้งรอ ฯ |
๏ ถึงโฮเต็ลเอนกายให้หายเมื่อย |
ช่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนใจกะไรหนอ |
ขุนนางหนึ่งสมญาลอร์ดมายอ |
เขามาขอเชิญทูตทั้งสามคน |
ไปกินโต๊ะที่บ้านเปนการใหญ่ |
ตามน้ำใจผูกรักเปนพักผล |
ถึงเวลาจัดแจงแต่งสกนธ์ |
ขึ้นนั่งบนรัถาแล้วคลาไคล |
กินสำเร็จเสร็จสรรพก็กลับหลัง |
คืนมายังโฮเต็ลที่อาศรัย |
มิศเฟาล์จึงแสดงให้แจ้งใจ |
กำหนดในที่จะเฝ้าเจ้าแผ่นดิน |
อีกสี่วันนอมันขุนนางหนุ่ม |
มาควบคุมของขนไปจนสิ้น |
บรรณาเนื่องเครื่องทรงองค์นรินทร์ |
ที่ภูมินทร์โปรดปรานประทานมา |
แล้วท่านทูตสามนายก็ผายผัน |
กับตัวฉันด้วยเปนผู้รู้ภาษา |
อีกขุนจรล่ามฉลาดปราชญ์ปรีชา |
ขึ้นไปหาผู้สำหรับรับแขกเมือง |
ได้ไต่ถามตามคดีที่จะเฝ้า |
พระนางเจ้าจอมนรินทร์ดินกระเดื่อง |
อันปรากฎยศฟุ้งย่อมรุ่งเรือง |
ดังประทีปที่ประเทืองสว่างวรรณ |
ฝ่ายขุนนางกรมท่าพระยาใหญ่ |
ก็แจ้งใจโดยจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
ซึ่งเอกองค์อัคเรศผ่านเขตรคัน |
มีพระบัญชาตรัสดำรัสการ |
ว่าแต่ก่อนกรุงไทยไม่สามารถ |
ให้มีราชทูตจำทูลพระราชสาส์น |
ด้วยทเลลึกกว้างทางกันดาร |
ไม่อาจหาญมาถึงที่ธานีเรา |
ในครั้งนี้จอมนรินทร์ปิ่นพิภพ |
ทรงปรารภเรื่องไมตรีมิให้เศร้า |
จึงส่งบรรณาการสาส์นสำเนา |
มาตามเลาราวเรื่องเมืองไมตรี |
เธอชื่นชอบขอบใจในพระบาท |
ไทธิราชผู้บำรุงซึ่งกรุงศรี |
หยากจะใคร่ได้ดูหมู่เสนี |
อัญชลีทรงธรรม์นั้นฉันใด |
ขอทูตานุทูตถ้วนจำนวนเฝ้า |
จงก้มเกล้าน้อมประนมบังคมไหว้ |
เหมือนคำนับบาทบงสุ์พระทรงชัย |
ผู้ผ่านไอศูรย์สยามตามทำนอง |
ราชทูตรับว่าอย่าปรารภ |
จะนอบนบโดยดังรับสั่งสนอง |
แล้วคืนหลังยังตึกคิดตรึกตรอง |
ที่จะเฝ้าฝ่าลอองเอกอนงค์ ฯ |
๏ ครั้นสิ้นแสงสุริยาภานุมาศ |
ล่วงลีลาศลับไม้ไพรระหง |
เขามาแจ้งเรื่องร้อนอักษรทรง |
ว่าพระวงศาสวัสดิ์กษัตรีย์ |
ประชวรลมครู่หนึ่งถึงชีวิต |
พระนางคิดเศร้าสลดกำสรดศรี |
แสนวิโยคโศกศัลย์พันทวี |
ในการที่รับทูตขอหยุดไว้ |
อีกสักแปดราตรีพอมีสุข |
ค่อยเสื่อมทุกข์คลายจิตต์พิสมัย |
ได้ทราบสารอนุสนธิ์เปนจนใจ |
ต้องรอไปป่วยการนานเวลา |
ในทรวงพี่ร้อนเริงดังเพลิงผลาญ |
ให้แดดาลโดยดิ้นถวิลหา |
เฝ้ากลุ้มกลัดขัดสนพ้นปัญญา |
กลัวจะช้าวันเนิ่นไปเกินปี |
แม้ยังไม่กลับบ้านสถานถิ่น |
ก็ไม่สิ้นตรมตรองที่หมองศรี |
คงจะมอดม้วยมุดสุดชีวี |
แต่อย่างนี้แล้วเห็นมิเปนการ ฯ |
๏ มิศเฟาล์เขามาชวนให้ผายผัน |
ดูเขตรขัณฑ์ธานินทร์ถิ่นสถาน |
ต่างมาขึ้นรัถาอาชาชาญ |
ควบทยานพักหนึ่งก็ถึงพลัน |
ลงจากรถคลาไคลเข้าในตึก |
แลพิลึกยวดยิ่งทุกสิ่งสรรพ์ |
สำหรับให้คนดูรู้สำคัญ |
ว่าเมืองนั้นท่าทางเปนอย่างไร |
ประเดี๋ยวหนึ่งจึงนายฝ่ายเจ้าของ |
มารับรองพูดจาอัชฌาสัย |
แล้วเดินนำพวกเรานี้เข้าไป |
ให้นั่งในที่ปล่องช่องชอบกล |
ก็หันจักรชักฉิวละลิ่วเลื่อน |
ดูดูเหมือนเหาะเหินดำเนินหน |
สักสิบวาสูงครันถึงชั้นบน |
แล้วต่างคนจากที่เดินลีลา |
เที่ยวดูตามแถวระเบียงเฉลียงรอบ |
เห็นคันขอบกรุงไกรใหญ่หนักหนา |
มีบ้านเรือนเรียงรายสุดสายตา |
ลำคงคาเรือแพออกแจจรร |
ดูโคมแดงแสงไฟไสวสว่าง |
ทุกทิศทางเหนือใต้ในกำปั่น |
ฝ่ายอากาศวิถีมีพระจันทร์ |
อเนกนันต์ด้วยคณาดาราราย |
รัศมีแววแวมแจ่มกระจ่าง |
พื้นนภางค์โอภาษประหลาดหลาย |
แม้ไม่มีใครแสดงแจ้งภิปราย |
คนคงหมายจิตต์ปองว่าของจริง |
ด้วยแลเห็นดินฟ้าชลาไหล |
ทั้งเขาไม้เย่าเรือนเหมือนทุกสิ่ง |
ไม่มีข้อสงสัยใจประวิง |
ช่างยวดยิ่งเกินปัญญาวิชาทำ |
ครั้นดูทั่วกลับหลังเข้านั่งที่ |
จักรก็รี่เรื่อยคืนถึงพื้นต่ำ |
ฝ่ายอังกฤษมิศเฟาล์เขาจึงนำ |
ไปดูหนังฟังคำบทเจรจา |
อันรูปหนังดูงามตามวิสัย |
เมื่อแลไปคล้ายคนชอบกลหนา |
มีเรือนบ้านร้านตลาดดาษดา |
บรรพตาต้นไม้ล้วนใหญ่ครัน |
ทีจะเปลี่ยนตัวหนังคอยนั่งพิศ |
ไม่แจ้งจิตต์หลากล้ำทำขันขัน |
ตัวนี้หายกลายเห็นเปนตัวนั้น |
ช่างเปลี่ยนกันแยบยนต์พ้นความคิด |
ได้ดูเล่นมากมายเปนหลายอย่าง |
ค่อยเสื่อมสร่างโศกเศร้าบันเทาจิตต์ |
อยู่โฮเต็ลทุกข์ประเทืองขึ้นเนืองนิตย์ |
ด้วยห่างชิดเชยชมมานมนาน |
ครั้นสี่ทุ่มหนังเลิกก็ผายผัน |
จรจรัลกลับหลังยังสถาน |
ถึงที่นอนถอนฤทัยอาลัยลาน |
เพียงทรวงรานแรงรักหนักในทรวง ฯ |
๏ จนดาวดับลับหล้าเวหาหน |
สุริยนเยี่ยมยอดไศลหลวง |
ยังนิ่งนอนร้อนรุ่มถึงพุ่มพวง |
ให้เหงาง่วงหงิมเงียบระเยียบเย็น |
เขามาชวนไปยังที่วังแก้ว |
ก็ผ่องแผ้วดีใจจะใคร่เห็น |
ถึงแสนเศร้าคราวระกำต้องจำเปน |
ไปเที่ยวเล่นพอให้หายวายอาวรณ์ |
มาขึ้นรถหมดทุกนายแล้วคลายคลาศ |
อาชาชาติเร็วรีบเร่งถีบถอน |
ครั้นถึงวังรัตนาพากันจร |
เดินยอกย้อนลดเลี้ยวเที่ยวครรไล |
ดูวิจิตรพิศดารตระการแก้ว |
วับวามแววแสงสว่างกระจ่างใส |
ทั้งหลังคาฝาผนังช่างกะไร |
ตลอดไปหมดสิ้นล้วนจินดา |
สูงตระหง่านยาวกว่าสิบห้าเส้น |
เขาทำเปนสี่ชั้นขันหนักหนา |
ข้างในนั้นน่าเพลินเจริญตา |
ปลูกพฤกษาต่างต่างสล้างราย |
มีดอกผลหล่นกลาดออกดาษดื่น |
ไว้ชมชื่นชอบจิตต์ไม่คิดขาย |
แล้วทำรูปสัตว์สิงห์คนหญิงชาย |
ประหลาดหลายหลากหลากมากประมวญ |
แต่ละรูปราวกับเปนเห็นประจักษ์ |
ช่างน่ารักวางไว้ที่ในสวน |
รูปคนป่าราษีไม่มีนวล |
ทำกระบวนรู้อายใบไม้บัง |
แล้วมีเครื่องกลไฟทั้งใหญ่น้อย |
ทำเรียบร้อยไว้เปนอย่างเอาวางตั้ง |
แต่พวกทูตเที่ยวดูอยู่ในวัง |
จนย่ำค่ำแล้วยังไม่หมดเลย |
มิศเฟาล์เล่าก็ดีเปนที่สุด |
ช่างรีบรุดเร็วจริงไม่นิ่งเฉย |
ให้จัดแจงโต๊ะตั้งเหมือนอย่างเคย |
แล้วภิเปรยชวนให้พวกไทยกิน |
ครั้นอิ่มหนำสำเร็จเสร็จธุระ |
หวังว่าจะดูอะไรเสียให้สิ้น |
ด้วยสิ่งของควรชมนิยมยิน |
แต่พิรุณจวนรินโรยลออง |
ต้องกลับหลังยังสถานรำคาญคิด |
คนึงมิตรมิได้วายหม่นหมายหมอง |
เศร้าฤทัยไสยาน้ำตานอง |
พอพวกพ้องที่รักมาชักชวน |
ไปชมชาวสาวสำอางนางอังกฤษ |
ต้องจำจิตต์รับคำทั้งกำสรวญ |
จึงจัดแจงแปลงกายย้ายกระบวน |
แต่งแต่ล้วนเครื่องอังกฤษติดครังเครา |
แล้วออกจากโฮเต็ลเขม่นมุ่ง |
เห็นคนมุงเดินไพล่ไปกับเขา |
ถ้าแสงไฟไหนแจ้งก็แฝงเงา |
ไถลเข้าบังตัวด้วยกลัวอาย |
จนถึงตึกที่สถิตย์ขนิษฐน้อย |
ล้วนเรียบร้อยรุ่นรามงามใจหาย |
ใส่เสื้อแพรแลสอาดช่างนาดกราย |
เมียงชะม้ายแย้มเยื้อนแล้วเชือนเชิญ |
พี่ชวนกันคลาไคลเข้าไปนั่ง |
เขาหันหลังเอื้อนอายระคายเขิน |
ดูจริตกิริยาก็น่าเพลิน |
ดูเมื่อเดินงามดีทีทำนอง |
ดูสะสวยมวยผมช่างสมหน้า |
ดูพักตราราษีไม่มีหมอง |
ดูเนื้อเต่งเปล่งล้วนนวลลออง |
ดูเข้าของแต่งกายก็พรายพรรณ |
ทั้งห้องหับหลับนอนบรรจ์ฐรณ์ที่ |
ม่านมู่ลี่สารพัดช่างจัดสรรค์ |
เก้าอี้โต๊ะตู้เตียงตั้งเรียงกัน |
เปนช่องชั้นน่าชมภิรมย์ใจ ฯ |
๏ ชมสำเร็จเสร็จสรรพแล้วกลับหลัง |
มายับยั้งไสยาที่อาศรัย |
จนรุ่งแจ้งแจ่มฟ้านภาลัย |
พวกทูตไทยพร้อมพรักเขาชักชวน |
ไปดูรูปต่างต่างที่ช่างปั้น |
สารพันเหมือนจริงทุกสิ่งถ้วน |
รูปพระยอดยุพยงอนงค์นวล |
ทีสำรวลมิได้ผิดจริตนาง |
ทั้งรูปราชสามีเปนที่รัก |
วิไลยลักษณ์ยืนเรียงอยู่เคียงข้าง |
กับลูกเธอเก้าองค์ทรงสำอาง |
แลสล้างล้อมขนานพระมารดร |
รูปมนุษย์ต่างชาติประหลาดหลาย |
ทำแยบคายยืนนั่งตั้งสลอน |
มีคนดำน้ำอดบทจร |
ในสาครทนจมอยู่นมนาน |
แสนสบายหายใจก็ได้คล่อง |
ลงเดินเที่ยวเลี้ยวล่องที่สระสนาน |
ต่างหยิบเงินทิ้งขว้างไปกลางธาร |
วิ่งทยานโผนพวยเข้าฉวยเอา |
อันเรื่องราวพรรณาไม่น่าเชื่อ |
ฉันก็เบื่อคิดระคายนึกอายเขา |
แต่การจริงจำแสดงแต่งสำเนา |
เห็นลาดเลาคงมีที่ระแวง |
ถ้าผู้ฟังทั้งผู้อ่านท่านสงสัย |
ดีฉันได้อธิบายจะหายแหนง |
ด้วยวาจาค่อยกระจ่างไม่คลางแคลง |
ครั้นจะแต่งกลอนกล่าวก็ยาวนัก ฯ |
๏ วันพฤหัสบดิ์เดือนอ้ายขึ้นสามค่ำ |
กำหนดนำเฝ้าอนงค์อันทรงศักดิ์ |
สองอังกฤษติดภักดีเปนที่รัก |
มาชวนชักให้สนานสำราญกาย |
ต่างสวมใส่สนับเพลาพรายเพราเพริศ |
วิไลเลิศแลอร่ามงามใจหาย |
เลื่อมสลับปีกแมงทับติดเชิงชาย |
ดูแยบคายเอกเอี่ยมธรรมเนียมไทย |
นุ่งยกนอกดอกวิเศษเกล็ดพิมเสน |
โจงกระเบนประคตคาดไม่หวาดไหว |
บ้างใส่เสื้อส้าระบับเข้มขาบใน |
ข้างนอกใส่กรุยกรองทองสำรด |
ธำมรงค์รังแตนเปนแหวนเพ็ชร |
แต่ละเม็ดแวววาวราวจะหยด |
ทับทิมแดงแสงวามช่างงามงด |
มรกดไพฑูรย์จำรูญราย |
เข็มขัดแน่นแขวนกระบี่ทีทหาร |
หมวกประทานครบถ้วนจำนวนหมาย |
สอดถุงเท้าเกือกบางแล้วย่างกราย |
ทั้งแปดนายไคลคลาออกมาพลัน |
ขึ้นบนรถรีบรุดไม่หยุดพัก |
ถึงสำนักรถไฟจะผายผัน |
พอประสบพบเห็นเยนเนอรัล |
ก็ชวนกันขึ้นรถไฟครรไลจร |
หนทางนั้นพันสามสิบห้าเส้น |
ได้รู้เห็นตามฉลากมีอักษร |
ถึงที่หยุดเกือบกระทั่งวังบวร |
ก็ผันผ่อนเข้าประทับเขารับรอง |
อยู่ครู่หนึ่งจึงพากันคลาคลาศ |
เชิญพระราชสาส์นสวัสดิ์กษัตริย์สอง |
ขึ้นรัถาโอฬารล้วนพานทอง |
ทูตประคองเคียงตั้งระวังดู |
อันรถชัยซึ่งใส่พระราชสาส์น |
ทำวิตถารท่วงทีไม่มีสู้ |
ทั้งกำกงเหนาะมั่นขันสะกรู |
แปรกชูเฉิดฉายที่ปลายงอน |
กระจกหน้าฝาข้างช่างวิจิตร |
ประไพพิศแจ่มจำรัสประภัศร |
กระหนกนอกดอกช่ออรชร |
ทองแก่อ่อนเงาด้านประสานลาย |
เทียมพาชีสีผ่องทั้งสองคู่ |
ช่างแสนรู้พอสายถือมือขยาย |
ก็ผกเผ่นผาดโผนโจนตะกาย |
พักเดียวดายควบตะบึงจนถึงวัง |
ทหารคู่ขี่ม้านำหน้ารถ |
ก็เลี้ยวลดพาไปเหมือนใจหวัง |
ริมถนนคนผู้ดูประดัง |
ยืนสพรั่งหมวกชูร้องฮูโร |
ตามวิสัยให้พรถาวรสวัสดิ์ |
ภัยพิบัติเบาทุกข์เปนสุโข |
น่าชื่นชอบขอบใจเขาใหญ่โต |
ไม่เฉโกหยามหยาบสุภาพครัน |
บ้างเดาทายว่าคนนั้นเปนท่านทูต |
บ้างก็พูดชักชวนกันสรวลสันต์ |
ที่สาวแส้แลสบหลบเมียงมัน |
ทำเชิงชั้นแยบยนต์ชอบกลดี |
แต่ตัวฉันแก่เถ้าเขาไม่รัก |
ต้องเมินพักตร์เจียมจิตต์คิดบัดสี |
จะล่อแก่คราวกับตัวกลัวผัวมี |
ถ้าเสียทีสิช้ำระยำมัง ฯ |
๏ ต้องทำเบือนเชือนเฉยจนเลยเลี้ยว |
ประเดี๋ยวเดียวรัถามากระทั่ง |
ประทับแทบอัฑฒจันท์ทวารวัง |
ทหารตั้งถือปืนยืนคำนับ |
ได้ระเบียบเรียบงามสักสามร้อย |
ปี่พาทย์คอยบรรเลงเพลงสดับ |
เสียงปี่ตอดแตรต่อสีซอรับ |
กลองขยับมือถี่ตีออกรัว |
เยนเนอรัลกัศฝ่ายนายทหาร |
เชิงชำนาญว่องไวมิใช่ชั่ว |
ดังเชื้อชาติพยัคฆีไม่มีกลัว |
ในฝูงวัวแรงร้ายที่หมายชน |
เชิญพวกทูตจากรถบทบาท |
ดูเลี่ยนลาดลานแหล่งทุกแห่งหน |
ให้พักพาอาศรัยในตำบล |
เปรียบเหมือนมณเฑียรว่าภาษาไทย |
ชื่อวินด์เซอเธออยู่ฤดูหนาว |
ถึงลมว่าวพัดกล้าอย่าสงสัย |
จัดเท่าจัดก็ไม่พัดเข้าไปใน |
กระจกใส่ช่องชิดสนิทดี |
เยนเนอรัลกับพวกทูตพูดกันเล่น |
ค่อยวายเว้นตรึกตรองหม่นหมองศรี |
ดูเข้าของต่างต่างทุกอย่างมี |
ควรเปนที่สบายวายอาวรณ์ |
บ่ายโมงหนึ่งจึงได้ยินเสียงพิณพาทย์ |
ประโคมนาถนารินทร์ปิ่นอับศร |
แล้วขุนนางออกมาแจ้งแห่งสุนทร |
เชิญทูตจรเฝ้าองค์อนงค์นาง |
เยนเนอรัลนำหน้าลีลาล่วง |
ถึงห้องหลวงเบิกบานทวารกว้าง |
ทหารยืนซ้ายขวาทำท่าทาง |
เสื้อสำอางปักกรองล้วนทองพัน |
ถือขวานด้ามยาวกรายปลายเปนกฤช |
คอยสถิตย์ทุกประตูดูขยัน |
ท่านทูตเชิญราชสาส์นลานสุวรรณ |
พานเดียวกันรวมรองทั้งสองราย |
ครั้นเข้าไปในทวารที่ชั้นสาม |
ก็คลานตามลดหลั่นค่อยผันผาย |
เจ้าคุณถือพานเดินดำเนินกราย |
แต่เจ็ดนายกราบก้มประนมกร |
ครบสามครั้งคุณพระนายชายฉลาด |
ก็คลานผาดคลาไคลเข้าไปก่อน |
คุณมณเฑียรที่สามก็ตามจร |
พี่จึงผ่อนเรียงรอต่อกันไป |
แล้วคุณราชามาตย์ชาติทหาร |
คุณพิจารณ์สรรพกิจพิศผ่องใส |
แล้วขุนจรเจนมหาชลาลัย |
ขุนปรีชาล่ามในบวรวัง |
ทั้งเจ็ดนายคลานตามดูงามงด |
เปนหลั่นลดกันลงมาอยู่หน้าหลัง |
ถึงที่เฝ้าหมอบเมียงเคียงประดัง |
จะคอยฟังเสาวนีมีบัญชา |
ฝ่ายเจ้าคุณมนตรีสุริยวงศ์ |
ก็เชิญพานสาส์นทรงลายเลขา |
ตั้งบนโต๊ะไว้วางสำอางตา |
อยู่ตรงหน้าพระที่นั่งโธรนใน |
แล้วคลานคล้อยถอยมาตำแหน่งเฝ้า |
ก็ก้มเกล้านอบน้อมพร้อมไสว |
ท่านจึงทูลเบิกตามเนื้อความไทย |
เปนข้อไขคำแจ้งแสดงนาม |
ราชทูตที่หนึ่งแล้วถึงสอง |
ถัดไปรองทูตตรีอยู่ที่สาม |
รับพระราชโองการบรรหารความ |
จอมสยามธิบดินทร์ปิ่นโมฬี |
ให้เชิญราชสาราบรรณาเนื่อง |
มาสู่เบื้องบาทลอองทั้งสองศรี |
โดยสนิทพิสมัยเปนไมตรี |
ร่วมสุวรรณปัถพีแผ่นเดียวกัน |
จบข้างเรามิศเฟาล์ก็อ่านไข |
ที่แปลไทยเปนอังกฤษไม่ผิดผัน |
สิ้นสำเร็จเสร็จก้มศิโรคัล |
ข้างพวกทูตอภิวันทนาการ |
อันเจ้าคุณมนตรีเปนที่หนึ่ง |
คลานไปถึงแทบอาสน์พระราชสาส์น |
แล้วยื่นหัตถ์ไปสัมผัสประคองพาน |
ดูอาจหาญเชิดเชิญดำเนินกราย |
ครั้นถึงหน้าพระที่นั่งบัลลังก์ระหง |
จึงนั่งลงชูพานสาส์นถวาย |
พระยุพินเหยียดกรมาช้อนชาย |
วางไว้ฝ่ายขวาองค์ของนงคราญ |
ทูตก็เลื่อนเคลื่อนคล้อยคลานถอยหลัง |
พร้อมสพรั่งนบนอบหมอบขนาน |
ฝ่ายพระมิ่งมณฑลวิมลมาลย์ |
จึงทรงอ่านข้อตอบขอบพระทัย |
ในเรื่องราวกล่าวคำที่ร่ำว่า |
เราปรีดาโดยจิตต์พิสมัย |
ได้รับทูตสององค์พระทรงชัย |
ก็หมายใจคิดหวังคงยั่งยืน |
ด้วยเราเห็นทูตาที่มานั้น |
เหมือนสำคัญว่ามิคลายกลายเปนอื่น |
เปนมิตรมุ่งบำรุงราษฎร์ไม่ขาดคืน |
จะครึกครื้นวัฒนายิ่งกว่าเดิม |
จึงแปลงเปลี่ยนอักขราสัญญาใหม่ |
เห็นข้อไหนเกิดคุณให้พูนเพิ่ม |
ก็ซ้ำแซกใส่แซมต่อแต้มเติม |
จะส่งเสริมความสวาทราชไมตรี |
ทั้งปรากฎยศถากว่าแต่ก่อน |
สองนครปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
พวกพานิชลูกค้าประชาชี |
ได้ไปที่ค้าขายสบายบาน |
อนึ่งเรายินดีพ้นที่อ้าง |
ด้วยขุนนางตัวนายฝ่ายทหาร |
ไปรับทูตข้ามวนชลธาร |
ทางกันดารตั้งใจระไวระวัง |
ได้ความสุขถ้วนหน้าสถาผล |
ตลอดจนกรุงอังกฤษดังจิตต์หวัง |
โดยระบอบชอบธรรมตามกำลัง |
เสร็จรับสั่งสิ้นสุดก็หยุดไว้ |
ส่งประทานให้ท่านลอร์ดกรมท่า |
กลับออกมาชี้แจงแถลงไข |
ว่าพระนางยินดีมีพระทัย |
ที่ตรงได้รับสาราบรรณาการ |
สองพระองค์อันดำรงอยุธเยศ |
กระเดื่องเดชเลิศลบจบสถาน |
ขอบพระคุณเหลือล้นพ้นประมาณ |
แล้วส่งอักษรที่ประทานให้ทูตไทย |
ค่อยกระซิบบอกว่าเวลานี้ |
พระเทพีรับท่านเปนการใหญ่ |
ให้ลือเลื่องเรืองยศปรากฎไป |
ธุระไรอย่าเพ่อทูลมูลความ |
ทีหลังคงให้หาเข้ามาเฝ้า |
จึงก้มเกล้ากล่าวไขมิได้ห้าม |
จะคายคมสมควรไม่ลวนลาม |
เวลานี้จงประณามประนมลา |
ราชทูตฟังชัดไม่ขัดข้อง |
ทั้งพวกพ้องพรั่งพร้อมน้อมเกศา |
คลานถอยหลังจนกระทั่งทวารา |
เยนเนอรัลนั้นพาเที่ยวเวียนวง ฯ |
๏ ขอยกเรื่องเทพินนรินท์ราช |
เถลิงอาสน์ออกแขกเมืองเรืองระหง |
อันอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับทรง |
ทั้งพระองค์แต่ล้วนเพ็ชรเม็ดไม่เบา |
ที่เม็ดใหญ่คนระบือเล่าลือเลื่อง |
แลประเทืองเรืองรองทองเนื้อเก้า |
ใส่สายสร้อยห้อยพระศอละออเพรา |
ช่างงามเงาย้อยหยาดเพียงบาดตา |
ริมพระกรรณเสียบใส่ดอกไม้เพ็ชร |
ดูตรัดเตร็จพรรณรายทั้งซ้ายขวา |
ระย้าย้อยพร้อยพราวยาวลงมา |
ถึงอังษาฉลององค์นั้นทรงดำ |
ยามวิโยคโศกคนึงถึงพระญาติ |
เพ่งพินิจพิศผาดยังคมขำ |
ถ้าเสื่อมสร่างทางทุกข์สุขประจำ |
จะเลิศล้ำเอี่ยมสอ้านสักปานใด |
เมื่อพระองค์ทรงสถิตย์พระโรงราช |
หมู่อำมาตย์กับสตรีที่ศรีใส |
มายืนเฝ้าเรียงบำเรอเสนอใน |
ประมาณได้สามสิบพอดิบดี |
อันองค์เจ้าอาลเบิตประเสริฐศักดิ์ |
ที่ร่วมรักชิดชมประสมศรี |
สวยสอาดเปนพระราชสามี |
แต่งอินทรีย์พริ้งพร้อมอย่างจอมทัพ |
ทรงกังเกงสีแดงดังแสงชาด |
เข็มขัดคาดขึงขำเสื้อดำขลับ |
อินท์ธนูภู่สุวรรณเปนมันยับ |
ขัดกระบี่ทีขยับเยื้องทยาน |
ยืนอยู่ริมพระที่นั่งข้างฝ่ายซ้าย |
โดยเบื้องแบบแยบคายนายทหาร |
สารพัดเครื่องราชบรรณาการ |
พนักงานวางถวายไว้รายเรียง ฯ |
๏ เมื่อพวกไทยออกไปจากที่เฝ้า |
สุริฉายบ่ายเงาชายเฉลียง |
เขานำหน้ามายังที่เก้าอี้เคียง |
ก็พร้อมเพรียงเสพย์รสโภชนา |
อังกฤษไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทั้งนั้น |
กินด้วยกันรอบรายตามซ้ายขวา |
ประมาณโต๊ะยาวเสร็จสักเจ็ดวา |
ใช้จานฝาโถเถาเปนเงางาม |
บ้างเปนเงินเกลี้ยงเกลาขาวสอาด |
บ้างเปนชาติทองแท้แลอร่าม |
ดูขวดเฟืองเครื่องแก้ววับแวววาม |
ที่เปนหนามเจียรไนคล้ายทุเรียน ฯ |
๏ อิ่มสำเร็จเสร็จสบายก็ผายผัน |
เยนเนอรัลพาลัดฉวัดเฉวียน |
ลงชั้นล่างทางใส่บันไดเวียน |
ชมศัสตราดาเดียรดาษดู |
อันปืนผาอาวุธสุดจะร่ำ |
รายประจำตามผนังวางเปนคู่ |
มีทุกสิ่งสารพันชั้นธนู |
ไว้ในตู้แต่งประดับสำหรับวัง |
เดินดูของมาถึงห้องที่เคยพัก |
หยุดสำนักบนที่เก้าอี้นั่ง |
เขาจัดแจงมโหรีมีให้ฟัง |
เสนาะดังวังเวงบรรเลงลาน |
สุริฉายบ่ายคล้อยค่อยลีลาศ |
ยุรยาตรคืนหลังยังสถาน |
ถึงโฮเต็ลเอนกายสบายบาน |
แสนสำราญหลับเรื่อยด้วยเหนื่อยมา ฯ |
๏ จนรุ่งแจ้งแสงหิรัญสุวรรณมาศ |
ผ่องโอภาศพรรณรายชายเวหา |
เสียงม้ารถอึงอัดรัถยา |
พลิกผวาหวาดตื่นก็ฟื้นกาย |
ชำระพักตร์หยิบสบู่มาถูล้าง |
เสร็จสำอางคลาไคลเหมือนใจหมาย |
เที่ยวชมแนวแถวทางมีห้างราย |
เขาซื้อขายเข้าของเงินทองรวย |
แล้วไปหาเจ้านายก็หลายแห่ง |
ช่างตกแต่งตึกรามงดงามสรวย |
สารพัดจัดบรรจงน่างงงวย |
อุดมด้วยโภคาวัตถาภรณ์ ฯ |
๏ อยู่สี่วันแซลบันขุนนางใหญ่ |
บัญชาให้คนขำนำอักษร |
มาถึงทูตแจ้งความตามสุนทร |
ว่าองค์อรจักรพรรดิกษัตรีย์ |
จะเลี้ยงโต๊ะในวังดังประสงค์ |
พร้อมพระวงศ์ที่รักมีศักดิ์ศรี |
ให้เชิญทูตทั้งสามตามคดี |
กับตัวพี่คลาไคลไปด้วยกัน |
จะร่วมที่โต๊ะตั้งนั่งเสวย |
เหมือนคุ้นเคยไม่รังเกียจคิดเดียจฉัน |
ต่างยิ้มย่องผ่องใสดีใจครัน |
จนถึงวันนัดกำหนดก็บทจร |
ขึ้นรถไฟไปถึงวังวินด์เซอสถาน |
สุริฉานลับเงาเขาศิงขร |
เข้าสู่ราชนิเวศน์เขตรนคร |
ได้พักผ่อนตามที่ทั้งสี่นาย |
จวนเวลานารินทร์ปิ่นอับศร |
เสด็จจรจากอาสน์ผาดผันผาย |
มิศเฟาล์เฝ้าเตือนให้เคลื่อนคลาย |
เจ้าคุณฝ่ายทูตใหญ่ก็ไคลคลา |
คุณพระนายคุณมณเฑียรทั้งตัวพี่ |
ขุนจรที่ล่ามจัดชัดภาษา |
ต่างดำเนินเดินด่วนลีลามา |
หยุดคอยท่าอยู่ในห้องช่องหนทาง |
พอสองทุ่มอัคเรศเกศสมร |
เหมือนจันทรนวลอองไม่หมองหมาง |
พร้อมพระขัติยวงศ์อนงค์นาง |
แลสล้างดังคณาดาราราย |
เสด็จออกจากทวารวิมานรัตน์ |
เห็นขนัดทูตเฝ้าเปนเหล่าหลาย |
จึงก้มเกศน้อมนอบยอบพระกาย |
บรรดาฝ่ายพวกเราเหล่าขุนนาง |
ก็ก้มรับเหมือนกับบังคมบาท |
แล้วลีลาศเยื้องย่องไปห้องขวาง |
เสด็จนั่งอยู่ยังที่เก้าอี้กลาง |
ให้ปรากฎยศอย่างตรงทูตไทย |
ต่อไปซ้ายฝ่ายลอร์ดกรมท่า |
นั่งตรงหน้าราชบุตรเขยองค์ใหญ่ |
อุปทูตที่สองรองลงไป |
เขาจัดให้นั่งตรงองค์บุตรี |
แล้วเทียบแถวแนวเนื่องข้างเบื้องขวา |
ให้ทูตาที่สามนั่งตามที่ |
ตรงกับอาสน์เจ้าราชสามี |
แต่ตัวพี่นี้อยู่ตรงองค์มารดา |
อันขุนจรเจนทเลได้เรียนรู้ |
ให้คอยอยู่หลังทูตพูดภาษา |
เมื่อขณะเสพย์รสโภชนา |
นางพระยามิได้ตรัสดำรัสเลย |
จนสำเร็จก็เสด็จดำเนินนาฎ |
ลุกจากอาสน์พระเก้าอี้ที่เสวย |
ไปประทับยับยั้งเหมือนอย่างเคย |
โปรดภิเปรยให้หาบรรดาไทย |
ครั้นทูตถึงจึงพร้อมน้อมศิโรตม์ |
ด้วยมาโนชยินดีจะมีไหน |
ฝ่ายนงลักเลิศลบภพไตร |
มายืนใกล้พวกเรากล่าวสุนทร |
ทั้งสี่นายนอบกายแล้วน้อมเกศ |
ต่างทูลเหตุเอกอนงค์องค์สมร |
เสาวนีตรัสเสร็จเสด็จจร |
ดังจันทรเลื่อนลับกลับวิมาน |
พระสามีที่สนิทพิศวาท |
งามสอาดโอ่อ่าดูกล้าหาญ |
จึงแย้มเยื้อนเอื้อนโอฐด้วยโปรดปราน |
แล้วประทานหัตถ์ให้จับรับทุกนาย |
เสร็จดำรัสตรัสถามตามประสงค์ |
ก็เคลื่อนองค์ห่างหันกลับผันผาย |
ราชบุตรสุดสวาทจึงนาดกราย |
มาทักทายพูดจาแล้วลาไป |
เจ้าวิลเลียมเรืองยศโอรสเขย |
จึงเฉลยพจนาอัชฌาสัย |
เสร็จยุบลสนทนาก็คลาไคล |
ประทับในห้องหนึ่งจึงบัญชา |
ดำรัสเรียกพวกไทยเข้าไปเฝ้า |
ต่างน้อมเกล้าพร้อมกันด้วยหรรษา |
โปรดให้นั่งบนเก้าอี้มีน้ำชา |
อีกทั้งกาแฟใส่ถ้วยลายทอง |
กินร่วมโต๊ะที่เสวยคุ้นเคยชิด |
เธอผูกมิตรไมตรีไม่มีหมอง |
ได้ตอบต่อข้อไขในทำนอง |
แล้วเลื่อยร้องมโหรีมีให้ฟัง |
พระบุตราบุตรีสามีราช |
มารดานาฎนวลหงส์มาทรงนั่ง |
บ้างซักไซ้ไต่ถามตามลำพัง |
จนห้าทุ่มเสียงระฆังขนานตี |
นางพระยาเห็นเวลานั้นดึกดื่น |
เสด็จคืนคลาไคลเข้าในที่ |
ข้างพวกเราทั้งสิ้นสุดยินดี |
ก็จรลีคืนกลับมาหลับนอน |
ต้องอยู่ค้างในวังวินเซอสถาน |
โปรดประทานฟูกเบาะมุ้งเมาะหมอน |
คนละห้องไสยาสถาวร |
จนทินกรแจ่มจบภพไตร |
ฝ่ายองค์เจ้าอาลเบิตเลิศวิลาศ |
เปนพระราชสามิศพิสมัย |
ก็พาเจ้าลูกเธอเสมอใจ |
พิศประไพผ่องลำเภาทั้งเก้าองค์ |
มารับของภูบาลผ่านพิภพ |
ที่ปรารภตั้งพระทัยหมายประสงค์ |
ให้ทูตนำไปประสาทญาติวงศ์ |
ปิ่นอนงค์นางกษัตริย์ขัติยา |
ต่างยิ้มย่องผ่องใสขอบใจนัก |
เห็นประจักษ์เชิงชั้นดูหรรษา |
ทั้งสองข้างต่างคนสนทนา |
แล้วเสด็จเสร็จพากันกลับไป |
พนักงานจัดแจงแต่งอาหาร |
ล้วนตระการตั้งเรียงเคียงไสว |
ให้พวกทูตรับประทานสำราญใจ |
จนสี่โมงเศษได้เวลาจร |
ก็จากวังขึ้นรถไฟครรไลกลับ |
ถึงประทับโฮเต็ลเช่นแต่ก่อน |
พี่ครุ่นครวญหวนสวาทอนาถนอน |
นึกสท้อนหนาวสท้านรำคาญคิด |
นิจาเอ๋ยจากเชยไปไกลโฉม |
มีแต่โทมนัศร่ำระกำจิตต์ |
เราเคยอยู่สู่สมภิรมย์ชิด |
แนบสนิทเนื้อลมุนอุ่นอุรา |
กำลังเศร้ายังไม่วายระคายขุ่น |
พอเจ้าคุณทูตใหญ่ให้มาหา |
แล้วเสสวรลชวนพี่นี้ลีลา |
ไปชมโรงแพทยารักษาคน |
ต้องคำนับรับคำด้วยจำจิตต์ |
แต่หวนคิดมิได้วายกระหายหน |
ทำเริงรื่นขืนมานะจรดล |
ขึ้นนั่งบนรัถาแล้วคลาไคล ฯ |
๏ ถึงทวารโรงหมอก็รอรถ |
พร้อมกันหมดเดินเรียงเคียงไสว |
ยุรยาตรเยื้องย่างเข้าข้างใน |
ตึกนั้นใหญ่กว้างรีสูงสี่ชั้น |
มีกระดูกคนตายทั้งชายหญิง |
ประหลาดจริงหลากล้ำทำขันขัน |
อิกกระดูกคนบุราณที่นานครัน |
ดูยืนยันเหมือนอย่างเปรตสังเวชใจ |
ตั้งแต่หัวตลอดเท้าราวแปดศอก |
ศีร์ษะออกตลุ่มปุ่มเท่าตุ่มไห |
ในตากลมกลวงโหวโตกะไร |
ปากอ้าได้ดูขันมีฟันฟาง |
กระดูกสัตว์จัดเรียงเปนรูปไว้ |
น่าเบื่อใจเต็มทีล้วนผีสาง |
ไม่คิดกลัวหลอนหลอกช่างนอกทาง |
ออกเก้งก้างล้วนกระดูกลวดผูกพัน |
บางทีเอาทารกเมื่อแรกคลอด |
แล้วม้วยมอดชีวาสิ้นอาสัญ |
หมอเขาเห็นวิปลาศอัศจรรย์ |
ด้วยรูปนั้นผิดมนุษย์บุถุชน |
จึงแช่เหล้าเอาใส่ในขวดแก้ว |
พี่เห็นแล้วผมพองสยองขน |
อนิจจาเกิดมาไม่เหมือนคน |
ช่างพิกลต่างต่างทุกอย่างไป |
บางทีเอาสัตว์ชาติอุบาทว์เกิด |
แปลกกำเนิดเชื้อชนิดผิดวิสัย |
ตัวเปนนั่นหัวเปนนี่ที่จัญไร |
ก็แช่ใส่ขวดวางสล้างราย |
บางทีของเกิดในกายแห่งชายหญิง |
แต่เปนสิ่งวิปลาศประหลาดหลาย |
ก็แช่เหล้าไว้หลากหลากดูมากมาย |
ให้หญิงชายทัศนาบรรดามี |
ขวดที่แช่ของนั้นหลายพันหมื่น |
ช่างชมชื่นชอบแลล้วนแต่ผี |
ถ้าแม้อยู่เมืองไทยไม่ไยดี |
ดูเต็มทีเหลืออาลัยใครจะยล |
แต่เที่ยวเดินจนรอบขอบจังหวัด |
ได้เห็นชัดจะแจ้งทุกแห่งหน |
ก็ออกจากโรงหมอจรดล |
ไปตำบลที่ทำเงินค่อยเพลินใจ ฯ |
๏ ดูรวดเร็วเรียบร้อยน้อยหรือนั่น |
ฉลาดครันช่างประดิษฐคิดไฉน |
วิเศษนักใช้จักรเครื่องกลไฟ |
ทำสิ่งใดสารพัดไม่ขัดที |
ทั้งแผ่นตัดตอกตราวิชาช่าง |
ครบทุกอย่างตามกระบวนถูกถ้วนถี่ |
ไม่ต้องยากแก่มนุษย์นั้นสุดดี |
เหมือนกับมีบุญฤทธิ์นิมิตรการ ฯ |
๏ แล้วชวนกันกลับหลังมาพรั่งพร้อม |
ไปดูป้อมที่ใหญ่ไว้ทหาร |
ในนั้นมีตึกโตมโหฬาร |
สูงตระหง่านแน่นหนาศิลาทำ |
รูปทหารหล่อไว้มิใช่เล็ก |
ใส่เกราะเหล็กขี่สินธพทีขบขำ |
ถืออาวุธศัสตราเปนท่ารำ |
ล้วนต่างต่างวางประจำอยู่เรียงราย |
มีเครื่องครั้งอย่างบุราณผลาญชีวิต |
คนที่คิดทรยศผิดกฎหมาย |
เครื่องจำจองหลากหลากก็มากมาย |
อีกห้องขังเจ้านายต้องโทษทัณฑ์ |
แล้วขึ้นไปชั้นบนเครื่องต้นตั้ง |
ดูเปล่งปลั่งทองเพ็ชรวิเศษสรรพ์ |
มงกุฎทรงองค์สุดาวิลาวรรณ |
สารพันอาภรณ์บวรรัตน์ |
มีเพ็ชรใหญ่เท่าไข่นกพิราบ |
วับวาววาบแววแวมแจ่มจรัส |
รัศมีรุ้งร่วงโชติช่วงชัด |
ช่างเทียมทัดแพรวพราวราวกับไฟ ฯ |
๏ ชมสำเร็จเสร็จสรรพแล้วกลับหลัง |
คืนมายังที่สำนักพักอาศรัย |
ครั้นรุ่งเช้ามิศเฟาล์พาครรไล |
ไปดูในวังนิเวศน์เขตรมณเฑียร |
ที่พระนางเธออยู่ฤดูร้อน |
สโมสรสำราญจิตต์สถิตย์เสถียร |
หน้าพระลานแลสอ้านสอาดเตียน |
ศิลาเลี่ยนลาดลื่นในพื้นวัง |
ตำหนักนั้นยาวรีสูงสี่ชั้น |
เปนลดหลั่นแยบคายไม่หลายหลัง |
เห็นทวารบานปิดมิดกำบัง |
ก็พักนั่งหยุดหย่อนผ่อนสำราญ |
ประเดี๋ยวใจจึงมีสตรีหนึ่ง |
ออกมาถึงกล่าวแจ้งแถลงสาร |
เชิญพวกทูตจรจรัลมิทันนาน |
ชมสถานไพชยนต์พระมณเฑียร |
เปนชั้นช่องห้องหับที่ลับลี้ |
จรลีเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน |
ลงข้างล่างวางขึ้นบนเที่ยววนเวียน |
ดูแนบเนียนหมดจดช่างงดงาม |
มีห้องใหญ่ห้องน้อยสักร้อยกว่า |
แต่ทีท่าผิดเบื้องเมืองสยาม |
บรรดาห้องทั้งนั้นขนานนาม |
ร้องเรียกตามชื่อเสียงเรียงกันไป |
ที่เรียกห้องแพรเขียวก็เขียวสด |
ช่างเหมาะหมดสมสีจะมีไหน |
เบาะที่นอนหมอนแพรแลวิไล |
แต่ล้วนใส่สีเขียวสิ่งเดียวดาย |
ที่เรียกห้องแพรแดงล้วนแดงฉาด |
เรียกห้องเหลืองเล่ห์ลาดสุวรรณฉาย |
มีชื่อตามสีสันดังบรรยาย |
ห้องทั้งหลายแปลกอย่างต่างต่างกัน |
งามระบายลายประหลาดช่างวาดเขียน |
วิจิตรเจียนแยบคายทั้งลายปั้น |
ฝาผนังปิดกระดาษสอาดครัน |
บ้างสีสันบ้างใส่ล้วนลายทอง |
บ้างเคลือบคล้ายเปนลายศิลาล้วน |
ดูงามถ้วนถี่ทั่วไม่มัวหมอง |
ในพ่างพื้นลื่นเลี่ยนเตียนลออง |
ที่บางห้องปูพรมอุดมดี |
บางห้องใส่ไม้ลายประกอบประกับ |
เรียบลำดับเรียงรายเปนหลายสี |
อันของใช้หลากหลากก็มากมี |
ประจำที่ตามแพนกไม่แปลกปน |
เสด็จอยู่ห้องไหนใช้ห้องนั้น |
เปนสำคัญโดยลำดับไม่สับสน |
ของห้องนี้มิเอาไปใช้ระคน |
ทุกตำบลไม่ให้ผิดชนิดกัน |
เอาหินอ่อนมาจำหลักรูปมนุษย์ |
วิเศษสุดท่วงทีดีขยัน |
บ้างเปนรูปสิงห์สัตว์ยืนหยัดยัน |
สารพันตั้งแต่งทุกแห่งไป |
สุดจะร่ำคร่ำครวญให้ถ้วนถี่ |
ล้วนแต่ของดีแลสล้างวางไสว |
เที่ยวชมเล่นเห็นเพลินเจริญใจ |
แล้วคลาไคลคืนกลับมาฉับพลัน ฯ |
๏ ครั้นรุ่งเช้ามิศเฟาล์จึงจัดรถ |
เชิญทั้งหมดหกนายให้ผายผัน |
ไปเฝ้าองค์นางพระยาวิลาวรรณ |
ในเขตรคันที่ทำนองท้องพระโรง |
เขาเรียกว่าปาลิเมนต์ก่อเปนตึก |
ดูพิลึกมีบัลลังก์ที่นั่งโถง |
พอเวลาแดดชายบ่ายสักโมง |
เสียงโกรงโกรงรถรัถอัศดร |
ล้วนขุนนางต่างจะเข้าไปเฝ้าบาท |
วรราชนารีศรีสมร |
ครั้นถึงที่ปรีดาสถาวร |
พากันจรขึ้นนั่งที่บังควร |
บ้างพูดเล่นเจรจาให้ผาสุก |
บันเทาทุกข์ถามไถ่บ้างไต่สวน |
จนบ่ายสองโมงเย็นเห็นกระบวน |
มีถี่ถ้วนอย่างกษัตริย์ขัติยา |
เปนเอกเอี่ยมตามธรรมเนียมข้างเมืองเขา |
ไม่เหมือนเราคนละทางต่างภาษา |
เมื่อนงลักษณ์อัคเรศเสด็จมา |
มีรถหน้าขึงขำนำครรไล |
คือองค์เจ้าเผ่าพงศ์พระวงศา |
ล้วนเทียมม้าสามคู่ดูไสว |
แล้วต่อมามีขนัดถัดลงไป |
ทหารใส่เกราะเงินน่าเพลินพิศ |
สพายปืนขับขี่พาชีชาติ |
ห้าสิบถ้วนล้วนกาจกำเริบจิตต์ |
ปราบศัตรูสู้สงครามไม่ขาดคิด |
เดินติดติดเนื่องแนวสองแถวราย |
ถัดนั้นมาขี่ม้าใส่เกราะเหล็ก |
รูปไม่เล็กหกสิบถ้วนจำนวนหมาย |
ถือกระบี่ทีจับขยับราย |
ดูเริงร้ายเรี่ยวแรงแผลงศักดา |
ต่อมาอีกหกสิบพริบพร้อมพรั่ง |
แต่งตัวดังสก๊อดลันด์ขันหนักหนา |
ถือหวายเทศซ่นเงินดำเนินคลา |
อีกขนัดถัดมาหกสิบคน |
ถือตะบองหุ้มเงินเจริญเนตร |
มาโดยเขตรสองข้างทางถนน |
มารยาตรอาจหาญชาญผจญ |
ตกแต่งตนงามวิไลประไพพิศ |
อีกสี่สิบคนถ้วนล้วนล่ำล่ำ |
ถือขวานด้ำยาวกรายปลายเปนกฤช |
ดูคายคมสมสง่าวราฤทธิ์ |
ให้เสื้อติดทองดิ้นสิ้นทั้งนั้น |
แล้วจึงถึงรถที่นั่งบัลลังก์อาสน์ |
พระนางนาถเอกอนงค์ทรงผายผัน |
จำหลักลายชวลิตปิดสุวรรณ |
กระจกกันกั้นหวังให้บังลม |
บนหลังคาทำเปนตรานัคเรศ |
เทียมม้าเทศสี่คู่ดูพอสม |
สารถีขี่ประจำล้วนขำคม |
น่าเชยชมเสื้อแสงเครื่องแต่งตัว |
ทหารสี่ขัดกระบี่ยืนท้ายรถ |
ช่างงามงดนี่กะไรมิใช่ชั่ว |
เสื้อกังเกงใหม่อ่องไม่หมองมัว |
เปนที่ยั่วยวนใจให้แลลาน |
ข้างหลังถัดมาถึงอัศวราช |
ผกผงาดเผ่นผางกลางทหาร |
แต่งเครื่องไทยที่ได้บรรณาการ |
พระราชทานไปแต่กรุงดูรุ่งเรือง |
ครั้นทีหลังพาชีมีทหาร |
แสนสครานมั่นเหมาะเกราะทองเหลือง |
สพายปืนถือกระบี่ทีชำเลือง |
เปนสองแถวแนวเนื่องตามกันมา |
ล้วนขี่ม้าดำนิลสิ้นทั้งร้อย |
งามไม่น้อยเดินรายตามซ้ายขวา |
ครั้นเอกองค์อัคเรศเกศกัญญา |
เสด็จคลาถึงที่ปาลีเมนต์ |
มีทหารถือขวานปลายเปนกฤช |
อำมะหิตขมึงทึงขึงเขม้น |
ยี่สิบถ้วนเรียบรายไม่กระเด็น |
ล้วนแต่งเปนสก๊อดลันด์ขันท่วงที |
ต่อนี้ไปแต่พื้นปืนปลายหอก |
หกสิบบอกยืนคำนับอยู่กับที่ |
คนเดินนำสามสิบพอดิบดี |
พระมาลากำมะหยี่สีบวร |
ทั้งมงกุฎเพ็ชรแพรวแววสว่าง |
มีขุนนางเชิญประจำนำไปก่อน |
เมื่อเสด็จจากรถบทจร |
พระสามีเหยียดกรเกี่ยวประคอง |
ทรงสไบกำมะหยี่สีสอาด |
ดูแดงฉาดสุกดีไม่มีหมอง |
ยาวประมาณสิบศอกดอกเปนทอง |
กว้างสักสองศอกงามอร่ามพราย |
สตรีสาวสองนางเคียงข้างคู่ |
ถือริมภูษาเดินเชิญถวาย |
ถัดออกมาเสนีอีกสี่นาย |
คอยยกชายกำมะหยี่ตามลีลา |
ทหารถือตะบองเงินเดินสุดท้าย |
สี่คู่เคียงเรียงรายเปนซ้ายขวา |
เสด็จขึ้นพระที่นั่งอลังการ์ |
ฝ่ายพระสามีนั่งบัลลังก์ซ้าย |
ราชบุตรสุดสวาทอยู่อาสน์ขวา |
เสมอแม้นแท่นบิดาดูเฉิดฉาย |
แต่ไม่เท่าพระที่นั่งบัลลังก์พราย |
ด้วยสองฝ่ายต่ำยศต้องลดลง |
ขุนนางหนึ่งจึงเชิญพระแสงดาบ |
ยืนขนาบริมราชอาสน์ระหง |
อีกคนหนึ่งเชิญมงกุฎวิสุทธิ์ทรง |
สองดำรงอยู่ข้างขวาสง่างาม |
สี่คนถือหวายเทศอยู่เขตรซ้าย |
ข้างหน้าฝ่ายพวกขุนนางนั่งออกหลาม |
โดยถานาศักดิ์ศรีที่มีนาม |
แต่งตัวตามยศอย่างสำอางตา |
อันพระจอมสากลวิมลสมร |
ดังจันทรแผ้วผ่องห้องเวหา |
ฉลององค์ทรงโขมพัตรา |
อีกเครื่องอาภรณ์ถ้วนแต่ล้วนเพ็ชร |
เพริศพรายแพร้วแววแวมแจ่มกระจ่าง |
แสงสว่างเรืองจำรัสดูตรัดเตร็จ |
เปนรุ้งร่วงช่วงโชติหมดทุกเม็ด |
ครั้นพร้อมเสร็จทรงอ่านสารสำคัญ |
เปนเรื่องราวป่าวประกาศราชกิจ |
จบลิขิตโฉมฉายก็ผายผัน |
ลงจากอาสน์คืนยังวังสุวรรณ |
ทูตก็กลับจรจรัลมาโฮเต็ล ฯ |
๏ แล้วไปลากลาเรนดอนลอร์ดผู้ใหญ่ |
ว่าจะไปตามอารมณ์เที่ยวชมเล่น |
ในหัวเมืองของอังกฤษพอจิตต์เย็น |
จะได้เห็นไกกลที่คนทำ |
เขายอมให้คลาไคลดังใจหวัง |
ก็คืนหลังโดยด่วนด้วยจวนค่ำ |
ถึงโฮเต็ลเอนอ่อนร้อนระกำ |
โอ้จะจำใจช้าน่ารำคาญ |
ไม่กำหนดว่าเมื่อไรจะได้กลับ |
ตั้งแต่นับวันเปล่าเศร้าสงสาร |
ปานฉนี้ขนิษฐายุพาพาน |
จะเบิกบานหรือระบมตรมฤทัย |
แต่รัญจวนครวญคร่ำจนย่ำรุ่ง |
น้ำค้างฟุ้งพรมผกาบุบผาไสว |
ก็จากห้องไสยาสน์อนาถใจ |
พอเที่ยงได้เวลาพากันจร |
แสนสงสารแต่ท่านมณเฑียรพิทักษ์ |
ยังป่วยหนักงีบระงับอยู่กับหมอน |
เปนเพื่อนยากลำบากมาในสาคร |
คิดอาวรณ์เพราะมิได้ไปด้วยกัน |
เมื่อคราวทุกข์ร่วมทุกข์ครั้นสุขพราก |
ต้องจำจากจรไกลใจกระศัลย์ |
จึงฝากฝังสั่งหมอแล้วจรจรัล |
ก็รีบผันผายหมดขึ้นรถไฟ ฯ |
๏ ในระหว่างสองข้างทางวิถี |
มีไร่นาสาลีแลไสว |
นาเข้าโพดบ้างเปนนาหญ้ารำไร |
เขาปลูกไว้ขายกันพานจะแพง |
เมื่อถึงเทศกาลหนาวเปนคราวขัด |
ทุกสิงสัตว์ม้าฬากินหญ้าแห้ง |
ทั่วทั้งเมืองซื้อหาราคาแรง |
ต่อหน้าแล้งหญ้าสดจึงงดงาม |
บ้างทำสวนทำไร่ไว้ปลูกผัก |
เปนดอกฝักอ่อนแก่แลออกหลาม |
มีบ้านเรือนดูพิลึกล้วนตึกราม |
ในที่ตามทางรถบทจร |
แม้ภูเขาเลากากีดหน้าขวาง |
ก็ทำทางทลุกลวงรวงสิงขร |
เหมือนอุมงค์ตรงตรอกไม่ยอกย้อน |
ช่างขุดพลอนทำหินดังดินทราย |
ถ้าทางยาวราวสักสองร้อยเส้น |
มืดไม่เห็นสิ่งไรน่าใจหาย |
บางทีทางน้อยสั้นจะบรรยาย |
ก็มากมายเหลือล้นพ้นปัญญา |
บางแห่งก่อเปนสพานมีธารไหล |
เรือเดินได้บนนั้นขันหนักหนา |
แต่ข้างล่างทางรถไฟเขาไปมา |
ดูก็น่าหลากจิตต์ช่างคิดการ |
บางทีทำลำคลองเปนสองชั้น |
ข้างบนนั้นก็มีน้ำลำลหาน |
ข้างล่างชลล้นไหลใต้สพาน |
เรือขึ้นล่องท้องธารทั้งสองคลอง ฯ |
๏ ครั้นถึงเมืองเบอมิงฮัมที่สำนัก |
เขาหยุดพักรถไฟค่อยคลายหมอง |
เห็นเจ้าเมืองมาคำนับคอยรับรอง |
ต่างยิ้มย่องผูกรักพูดทักทาย |
เขาเชิญให้ไปอยู่โฮเต็ลตึก |
อนาถนึกหนาวใจมิใคร่หาย |
ค่อยระงับหลับนอนผ่อนสบาย |
จนรุ่งสายสุริศรีรวีวรรณ |
ฝ่ายเจ้าเมืองจัดแจงตกแต่งรถ |
มารับทูตไทยหมดให้ผายผัน |
ไปดูที่นานาสารพัน |
แห่งหนึ่งนั้นทำเครื่องทองเหลืองล้วน |
กับที่ทำเบี้ยทองแดงด้วยแรงจักร |
วิเศษนักเร็วดีได้ถี่ถ้วน |
ทั้งแผ่ตัดตอกตราถ้าประมวญ |
โดยจำนวนโมงละแสนแผ่นทองแดง |
ทั้งที่ทำเครื่องแก้วแววกระจ่าง |
เจียระไนใสสว่างเปนสีแสง |
ที่ทำเหล็กสารพัดจักรจัดแจง |
ดังคนแกล้งแสร้งสรรค์ด้วยบรรจง |
อีกที่ทำเครื่องกระดาษถาดน้อยใหญ่ |
ทั้งหีบใส่ของงามงามตามประสงค์ |
ดูมากมายหลายสิ่งล้วนยิ่งยง |
เขาช่างลงน้ำมันไล้เขียนลายทอง ฯ |
๏ แต่พักอยู่เมืองนั้นสี่วันถ้วน |
แล้วจึงด่วนมาขึ้นรถหมดทั้งผอง |
จากบุรีรีบไปดังใจปอง |
จนบ่ายสองโมงครึ่งก็ถึงพลัน |
ชื่อเมืองแมนเชศเตอเออไฉน |
ดูโตใหญ่ยาวกว้างช่างสร้างสรรค์ |
เปนหัวเมืองแต่เพียงนี้ยังดีครัน |
สารพันพิศเพลินเจริญตา |
พอรถไฟไปประทับเข้ากับที่ |
ผู้รักษาธานีก็มาหา |
แล้วเชิญพวกทูตไทยให้ไคลคลา |
ขึ้นรถม้าจรลีไปที่พัก |
ให้เลี้ยงดูพูวายสบายจิตต์ |
เขาผูกมิตรร่วมใจได้รู้จัก |
คิดชื่นชอบขอบคุณการุญรัก |
มาชวนชักพูดจาแล้วลาไป |
ข้างพวกเราเข้าที่ศรีไสยาสน์ |
จนภานุมาศเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมไศล |
ชวนกันแต่งกายาแล้วคลาไคล |
ดูเครื่องไฟทำฝ้ายด้ายสำลี |
อีกทั้งจักรทอผ้าสารพัด |
ช่างเจนจัดดอกก้านประสานสี |
ของอื่นนั้นพรรนาจะช้าที |
เจ็ดราตรีหยุดพักแล้วจากจร ฯ |
๏ ขึ้นรถไฟไปเมืองลิเวอร์ปูล์ |
เที่ยวชมอู่ริมกระแสแลสลอน |
กำปั่นพวกลูกค้าในสาคร |
ได้พักผ่อนเยียวยาเปนท่าเรือ |
บางอู่นั้นมีหลังคาบ้างหาไม่ |
หลังคาใส่แก้วสว่างกระจ่างเหลือ |
เหล็กทำเสาขื่ออกไก่ไม้ไม่เจือ |
ข้างอู่เกื้อก่อหินกันดินพัง |
ครั้นกำปั่นเข้าอู่ประตูปิด |
ก็มิดชิดเหมือนใส่ไว้ในถัง |
สูบน้ำออกแห้งสนิทด้วยปิดบัง |
เรือก็นั่งอยู่กับหมอนไม่คลอนแคลง |
คนทำการนั่งยืนกับพื้นหิน |
ไม่มีดินโคลนดีด้วยที่แห้ง |
ชาติอังกฤษติดฉลาดรู้จัดแจง |
ในตำแหน่งลิเวอปูล์มีอู่ราย |
ริมแม่น้ำสองข้างสล้างเสา |
ดังพงอ้อกอเลาล้ำเหลือหลาย |
สุดจะนับคณนาจนตาลาย |
ดูมากมายสับสนพ้นประมาณ |
ได้ดูเล่นแล้วก็กลับไปยับยั้ง |
หยุดเอนหลังปรีดากินอาหาร |
จนสิ้นแสงสุริยนอนธการ |
พนักงานจัดแจงตกแต่งรถ |
แล้วมาแจ้งกิจจาอัชฌาสัย |
ขอเชิญพวกทูตไทยไปทั้งหมด |
ดูละคอนฟ้อนรำที่งามงด |
อันปรากฎมีอยู่ในบูรี |
ต่างเปรมปริ่มยิ้มย่องค่อยผ่องใส |
ก็คลาไคลตามแนวแถววิถี |
ถึงหน้าตึกรถประทับลำดับดี |
จึงจรลีเข้าไปดังใจปอง |
เขาแลเห็นพวกไทยดีใจจิตต์ |
ฝ่ายอังกฤษตัวนายชายเจ้าของ |
ก็วิ่งมาทำคำนับแล้วรับรอง |
ให้อยู่ในห้องจอมอนงค์เคยทรงดู |
อันละคอนเห็นวิเศษตามเพศเขา |
จะกล่าวเกลากลอนการรำคาญหู |
ขอจับเรื่องอาชาเปนม้ารู้ |
ด้วยมีผู้ฝึกฝนจนชำนาญ |
ดีกว่าม้าเมืองลอนดอนละคอนแรก |
หัดแปลกแปลกทำเล่นเช่นทหาร |
ใช้ให้ไปยิงปืนยืนทยาน |
พาชีชาญทำได้เหมือนใจคิด |
แล้วให้เต้นรำเท้าก้าวเปนท่า |
ฝ่ายอาชาเต้นดีไม่มีผิด |
ให้กินโต๊ะอย่างฝรั่งนั่งสถิตย์ |
ก็ตามจิตต์สารพัดไม่ขัดนาย |
เรียกเข้ามาหน้าทูตให้ซุดหมอบ |
แล้วนบนอบเคียมคัลขันใจหาย |
แต่ชั้นสัตว์เขายังหัดได้แยบคาย |
ทีหลังชายปรีชาเห็นม้าเมิน |
จึงเอาผ้ามาม้วนให้กลมกล่อม |
แกล้งแอบอ้อมโยนขว้างไปห่างเหิน |
แล้วสั่งอาชาไนยให้ดำเนิน |
เที่ยวดมเดินหาผ้านั้นมาพลัน |
ม้าก็ก้มดมดินตามกลิ่นผ้า |
คาบเอามาเหมือนใจที่หมายมั่น |
เจ้าของแกล้งทำเปนไม่เห็นมัน |
สินธพนั้นคาบตามด้วยความกลัว |
จนเจ้าของรับผ้าม้าจึงหยุด |
วิเศษสุดรู้กะไรมิใช่ชั่ว |
ทีหลังทิ้งไปที่อัคคีมัว |
ม้าก็ตัวฉลาดล้ำไปนำมา |
เจ้าของรับแล้วกำชับว่าม้ามิ่ง |
เราจะทิ้งผ้าไปในเวหา |
จงคอยคาบรับเอาทุกคราวครา |
อย่าให้ผ้าตกคืนถึงพื้นดิน |
แล้วม้วนผ้าโยนไปในอากาศ |
พาชีชาติรับได้ดังใจถวิล |
ถึงสามยกมิให้ตกถึงธรนินทร์ |
เปนยอดสินธพเลิศประเสริฐชาญ |
แล้วมีคนหกคะเมนเล่นไต่ลวด |
ดูเก่งกวดเต็มประดาช่างกล้าหาญ |
ครั้นจะร่ำพรรณนาเห็นช้าการ |
ยังวิตถารมากมายหลายทำนอง |
ละคอนเลิกกลับมาเวลาดึก |
อนาถนึกหนาวในน้ำใจหมอง |
ถึงโฮเต็ลเอนกายไม่วายตรอง |
คนึงน้องเคยสนิทแนบนิทรา |
เมื่อไกลนางห่างนุชสุดวิตก |
ใครจะกกกอดมิตรขนิษฐา |
พี่เปลี่ยวใจฝ่ายเจ้าเปล่าอุรา |
เหลือปัญญาที่จะพบประสบกัน |
ทุกวันนี้เปรมปรีดิ์เมื่อยามหลับ |
นึกว่ากลับคืนห้องประคองขวัญ |
ได้อิงแอบแนบทรวงดวงชีวัน |
ครั้นสิ้นฝันตื่นเฝ้าเศร้าฤทัย |
จนรุ่งรางสางแสงแจ้งกระจ่าง |
ไม่เหือดห่างห่วงคิดพิสมัย |
อยู่เมืองนี้สี่วันก็ครรไล |
ขึ้นรถไฟพร้อมกันมิทันนาน ฯ |
๏ กลับมาแมนเชศเตอเออนี่เคราะห์ |
นึกหัวเราะทั้งทุกข์สนุกสนาน |
แต่วนเวียนไปมาให้ช้าการ |
คิดรำคาญกรรมกรรมทำกะไร |
ถึงวันตรุษข้างอังกฤษทุกทิศสถาน |
ต้องเว้นงานการห้ามตามวิสัย |
เขาปิดห้างเลิกร้านทุกบ้านไป |
เอากิ่งไม้ดอกแกมมาแซมเรือน |
เวลาค่ำเลี้ยงดูหมู่พี่น้อง |
ทั้งพวกพ้องพงศาบรรดาเพื่อน |
ต่างแต่งตัวโอ่เอี่ยมเที่ยวเยี่ยมเยือน |
ดูกลาดเกลื่อนร้องเล่นบ้างเต้นรำ |
นักเลงเหล้าเมาเซเดินเป๋ปั่น |
ลิ้นไก่สั้นพูดมากถลากถลำ |
ปะสาวแส้แก่เถ้าเฝ้าประจำ |
พวกไทยซ้ำยิบขยุ้มสุ่มตะรัง |
ได้ยิ้มย่องผ่องใสสบายจิตต์ |
ถึงน้อยนิดพอสมอารมณ์หวัง |
อันค่ายในหมายประจญพ้นกำลัง |
เพียงค่ายนอกแล้วคงพังตลุยเลย |
แต่ตัวพี่นี้ไม่อาจขยาดยั่น |
ให้หวั่นหวั่นวิญญานิจาเอ๋ย |
เราแก่เถ้าถ้าจะเข้าไปชิดเชย |
เขาคงเสยเอาด้วยศอกออกระอา |
เปนวันเล่นเว้นไว้มิได้ถือ |
ผู้หญิงยื้อผู้ชายยุดบ้างฉุดคร่า |
อังกฤษจุบกันด้วยปากลำบากตา |
พวกไทยคว้าด้วยจมูกถูกไม่เบา |
ครั้นดึกดื่นกลับคืนเข้าไสยาสน์ |
น้ำค้างหยาดเย็นทรวงยิ่งง่วงเหงา |
ก็หลับเรื่อยเหนื่อยอ่อนผ่อนทุเลา |
จนรุ่งเช้าแจ่มแจ้งแสงตวัน ฯ |
๏ หยุดอยู่สามราตรีแล้วลีลาศ |
พร้อมทั้งราชทูตใหญ่ก็ผายผัน |
ขึ้นรถไฟจากที่บุรีพลัน |
ถึงขอบคันเขตรเบื้องเมืองชิฟิลด์ |
เขาทำของเครื่องเหล็กทั้งเล็กใหญ่ |
บุ้งตะไบสิ่วขวานสว่านสิ้น |
คนออกชื่อลือเลื่องกระเดื่องดิน |
เปนที่ถิ่นนับถือเครื่องมือคม |
อยู่สองวันซื้อหาสารพัด |
ไม่ข้องขัดของสำเร็จได้เสร็จสม |
ขึ้นรถไฟกลับหลังดังนิยม |
ถึงบุรีที่ประถมเมื่อแรกไป |
แวะเข้าพักเมืองนั้นสองวันถ้วน |
ตวันจวนเจียนดับลับไศล |
จึงชวนกันมาหมดขึ้นรถไฟ |
สี่ทุ่มครึ่งถึงในลอนดอนแดน |
เข้าโฮเต็ลเปนผาสุกภาพ |
ค่อยอิ่มอาบอกใจผ่องใสแสน |
เห็นหน้าเพื่อนเหมือนญาติเมื่อคลาดแคลน |
ถึงยามแกนพอได้ก่อหัวร่อกัน ฯ |
๏ อยู่วันหนึ่งจึงองค์อนงค์นาฎ |
มีประสาสน์ตรัสสั่งช่างขยัน |
ให้ชักรูปพวกไทยถวายพลัน |
คนสำคัญหกนายล้วนชายชาญ |
ถึงกำหนดที่จะไปให้เขาชัก |
ก็พร้อมพรักรถเรียงเคียงขนาน |
แต่ตัวพี่จับไข้ไม่สำราญ |
บอกอาการป่วยไปมิได้จร |
ทั้งห้าคนจรดลขึ้นรัถา |
ถึงเคหาช่างสถิตย์คิดถ่ายถอน |
ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนลม้ายทั้งกายกร |
แล้วรีบร้อนคืนหลังยังสำนัก ฯ |
๏ อีกสองวันเสาวนีมีอักษร |
ทางสุนทรมาแถลงแจ้งประจักษ์ |
ด้วยปราโมทย์โปรดปรานเปนการรัก |
ให้เชิญชักทูตสยามทั้งสามนาย |
กับตัวพี่คลาไคลเข้าไปเฝ้า |
ดูรำเท้าล้วนขุนนางสล้างหลาย |
พร้อมธิดาเมียมิ่งทั้งหญิงชาย |
มารำร่ายเริงรื่นชื่นอารมณ์ |
ได้ทราบสารกรรมกรรมทำไฉน |
เปนจนใจไข้จับยังทับถม |
สุดดำรงทรงกายหมายนิยม |
แม้ขืนข่มก็เหมือนฆ่าชีวาเรา |
ฝ่ายทูตไทยทั้งสามแต่งตามยศ |
แล้วขึ้นรถครรไลเข้าไปเฝ้า |
ได้ดูเล่นเต้นรำงามไม่เบา |
อยู่จนเขาเลิกพลันชวนกันมา ฯ |
๏ ขึ้นหกค่ำเดือนสามทำการใหญ่ |
รับสั่งใช้ชายหนึ่งออกมาหา |
ให้พวกทูตหกนายนี้ไคลคลา |
ทัศนารำเท้าเปนคราวดี |
ครั้นถึงวันที่กำหนดระทดทุกข์ |
ไม่มีสุขโรยรูปยังซูบศรี |
จะบอกป่วยร่ำไปก็ใช่ที |
ต้องจำใจจรลีมาขึ้นรถ |
สารถีขับม้าพาลีลาศ |
ก็ถึงราชวังสุวรรณด้วยกันหมด |
เข้าไปนั่งตามชั้นเปนหลั่นลด |
ดูทรงยศโฉมยงองค์พระนาง |
รำกับน้องของเจ้าอาลเบิต |
งามประเสริฐสารพัดไม่ขัดขวาง |
ควรจะชมสมสง่าเปนท่าทาง |
โดยยศอย่างวงศ์กษัตริย์ขัติยา |
นารีรายชายเรียงเข้าเคียงคู่ |
พินิจดูงดงามตามภาษา |
เห็นทีเหมือนเรื่องราวที่กล่าวมา |
ว่านางฟ้าจับระบำทำกระบวน |
กับฝูงเทพเทวาวราฤทธิ์ |
ประคองชิดเคียงชมภิรมย์สงวน |
อันสตรีกับบุรุษได้ฉุดชวน |
ก็ย่อมยวนจิตต์ใจอาลัยลาน |
ครั้นสิ้นเพลงยั้งหยุดบทสุดท้าย |
เสด็จผายเสพย์ผลาภักษาหาร |
พร้อมด้วยเหล่าเผ่าพงศ์พระวงศ์วาร |
เสร็จสำราญคืนกลับมายับยั้ง |
โปรดให้นำไทยทั้งสิ้นไปกินเลี้ยง |
มีของเคียงคาวหวานใส่จานตั้ง |
อีกชำเปนน้ำองุ่นหนุนประดัง |
ขุนนางทั้งภรรยาก็มากิน |
ประมาณหมู่เสนาสักห้าร้อย |
มิใช่น้อยนั่งเรียงเลี้ยงจนสิ้น |
ต่างยินดีปรีดาไม่ราคิน |
ครั้นอิ่มชื่นคืนถิ่นที่ประชุม |
ผลัดกันกินผลัดกันเต้นเล่นสนุก |
บันเทาทุกถ้วนทั่วมามั่วสุม |
เปนการปีมีรับสั่งตั้งชุมนุม |
จนห้าทุ่มเสด็จขึ้นก็คืนมา ฯ |
๏ ถึงกำหนดวันนัดหัดทหาร |
แทบสถานทุ่งเถินริมเนินผา |
มิศเฟาล์จึงแจ้งแห่งกิจจา |
เชิญทูตานุทูตไทยครรไลจร |
ขึ้นสู่รถหมดด้วยกันรีบผันผาย |
ไปถึงชายที่แถวแนวศิงขร |
เห็นทหารขี่กัณฐัศว์อัศดร |
ดูสลอนแลหลามเปนสามกอง |
พวกม้าขาวขาวงามตามหมวดหมู่ |
พวกม้าแดงแดงดูไม่มอมหมอง |
พวกม้าดำดำดีทีลำพอง |
คำรนร้องเริงร่านหาญประจญ |
พวกดำเนินเดินเท้าเปนเหล่าหลาย |
ล้วนแต่งกายเสื้อสลับไม่สับสน |
ทุกหมวดมีปี่พาทย์สำหรับพล |
เสียงกลองรนแตรร้องก้องสำเนียง |
ทหารหัดจัดเจนสำเหนียกแน่ |
แต่พอแตรเป่าดังได้ฟังเสียง |
ก็ออกเดินโดยระเบียบดูเรียบเรียง |
เปนคู่เคียงมิได้ปนสับสนกัน |
ทหารม้าจรลีทีละตับ |
ไม่คั่งคับแซงเสือกช่างเลือกสรร |
ทั้งแดงดำขำขาวราวสักพัน |
เมื่อห้อนั้นเสมอหน้าดาประดัง |
เขาฝึกฝนจนดีรู้ทีท่วง |
ไม่เลยล่วงขึ้นหน้าแลล้าหลัง |
พอได้ยินปืนปึงเสียงตึงตัง |
เหมือนจะรั้งไว้ไม่อยู่ดูทยาน |
ร่านเข้ารับไพรีไม่หนีหลบ |
แต่สินธพอาชายังกล้าหาญ |
เคยสู้ศึกฝึกสอนได้รอนราญ |
จึงแจ้งการในกลรณรงค์ |
ดูเคล่าคล่องว่องไวมิใช่ชั่ว |
แต่ละตัวได้ดังหวังประสงค์ |
ไม่เต้นตื่นปืนไฟใจทนง |
ทั้งรูปทรงล่ำสันมั่นตั้นโต |
เชิงฉลาดอาจหาญในการรบ |
รู้หลีกหลบลอดเล็ดวิเศษโส |
จนเบี่ยงบ่ายชายศรีสุริโย |
ก็กลับโฮเต็ลสถานสำราญรมย์ ฯ |
๏ เดือนสามขึ้นสิบเอ็ดค่ำจำจดหมาย |
จะเริ่มรายแต่งงานภิเษกสม |
พระบุตรีศรีสวัสดิ์กำดัดชม |
ให้เคียงคมคู่เคล้าเจ้าวิลเลียม |
เธอเปนราชกุมารชาญสมร |
อยู่นครปรูชาโอ่อ่าเอี่ยม |
แต่ต่างชาติพงศ์พันธุ์พอทันเทียม |
ฝีมือเยี่ยมยั่งยืนไม่ขึ้นกัน |
ถึงกำหนดฤกษ์พาเวสาสาย |
พระโฉมฉายมิ่งสมรอับศรสวรรค์ |
ให้เชิญทูตสามนายชายสำคัญ |
กับตัวฉันจรลีเปนสี่คน |
ไปที่วัดชาเปลให้เห็นแจ้ง |
ในตำแหน่งอาวาห์สถาผล |
ต่างอาบน้ำชำระสระสกนธ์ |
แล้วแต่งตนตามวิเศษข้างเพศไทย |
มาขึ้นรถม้าพยศผยองย่าง |
ริมหนทางคนผู้ดูไสว |
ครั้นถึงโบสถ์รถประทับกับบันได |
ก็เข้าไปนั่งที่ทั้งสี่นาย |
สักครู่หนึ่งองค์กวินนารินทร์ราช |
พร้อมพระญาติวงศ์วารประมาณหลาย |
อีกทั้งเจ้าอาลเบิตประเสริฐชาย |
ก็นำสายสุดสวาทราชธิดา |
เข้ามาในโบสถ์นั้นด้วยกันหมด |
องค์โอรสเขยขวัญก็หรรษา |
อันโฉมยงบุตรีศรีโสภา |
แต่งกายาล้วนเพ็ชรเท่าเม็ดบัว |
ชนิดกลางพร่างพราวราวมะกร่ำ |
ที่เล็กล้ำย่อมเยาสักเท่าถั่ว |
ฉลององค์ผุดผ่องไม่หมองมัว |
สอาดทั่วขาวถ้วนนวลผจง |
ภูษายาวราวประมาณสักสิบศอก |
เปนชายออกไปข้างหลังเหมือนหางหงส์ |
มีนารีรุ่นสาวคราวพระองค์ |
สมทรวดทรงสี่คู่ดูวิไล |
ดำเนินเชิญชายผ้ามาข้างหลัง |
เปนยศหวังว่างามตามวิสัย |
แต่ฝ่ายเจ้าวิลเลียมเอี่ยมลไม |
เธอทรงใส่เครื่องทหารชำนาญยุทธ |
กังเกงเสื้อน่าชมสมสง่า |
มีพู่บ่าทองอร่ามงดงามสุด |
คาดเข็มขัดรัดแน่นแขวนอาวุธ |
ดังประดุจเข้าสู่สู้สงคราม |
ครั้นพร้อมวงศ์พงศ์กษัตริย์ทั้งสองฝ่าย |
มายืนรายเรียงอยู่ดูออกหลาม |
ฝ่ายว่าเจ้าสองราสง่างาม |
จึงคุกเข่าลงประณามประนมกร |
แล้วซบพักตร์ไหว้พระบนสวรรค์ |
เกษมสันต์ภิญโญสโมสร |
พระครูใหญ่จึงเยื้อนเอื้อนสุนทร |
ร้องอวยพรประกาศป่าวคนเหล่านั้น |
ว่าใครรู้เรื่องราวเจ้าทั้งสอง |
ที่มิควรจะให้ครองประคองขวัญ |
จงว่ากล่าวข่าวแจ้งแห่งสำคัญ |
ขณะวันอาวาห์สถาวร |
แม้ไม่ว่าภายหลังอย่าหวังกล่าว |
ให้แตกร้าวคู่ชมสมสมร |
ครั้นเงียบเชียบปากเสียงไม่เกี่ยงงอน |
แล้วจึงย้อนหันหน้ามาพาที |
ว่านี่แน่ะสองเจ้าลำเภาพักตร์ |
จงประจักษ์โดยทำนองอย่าหมองศรี |
ถ้าองค์ไหนเกี่ยวข้องต้องราคี |
ในเดี๋ยวนี้จงแสดงแจ้งกิจจา |
แม้คิดคดข้อขำแกล้งอำไว้ |
คงต้องไขวันพระเจ้าพิพากษา |
ทั้งสององค์มิได้ตรัสวัจนา |
ต่างก้มหน้านิ่งอยู่ไม่ดูไป |
แล้วพระครูผู้เถ้าเข้ามาถาม |
โดยคดีมีความข้อสงสัย |
ว่าแก่องค์พระกุมารอันชาญชัย |
ท่านตั้งใจหวังชมภิรมย์รัก |
จะรับราชธิดามาเปนคู่ |
แล้วจะอยู่เรียงบำเรอเสมอศักดิ์ |
ตามพระเจ้าว่าไว้ไม่ย้ายยัก |
จะพิทักษ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน |
ไม่เชยชิดพิศวาศด้วยหญิงอื่น |
คงชมชื่นจนชีวาสิ้นอาสัญ |
มิได้ทำทุจริตให้ผิดธรรม์ |
แน่อย่างนั้นหรือไฉนในใจจริง |
เจ้าวิลเลียมรับคำตามที่ว่า |
แกจึงผันหันมาข้างเจ้าหญิง |
แล้วไต่ถามตามจิตต์คิดประวิง |
เสร็จทุกสิ่งคล้ายความที่ถามชาย |
ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสมร |
รับสุนทรอายเอียงทำเมียงหม้าย |
พระครูเถ้าแกจึงเยื้อนเอื้อนภิปราย |
กล่าวธิบายถามไถ่ในทำนอง |
ว่าผู้ใดใครจะอวยอำนวยหญิง |
ให้มีมิ่งคู่มิตรสนิทสนอง |
ฝ่ายว่าเจ้าอาลเบิตเลิศลออง |
จึงประคองจูงหัตถ์ราชธิดา |
มามอบให้แก่พระครูท่านผู้ใหญ่ |
ด้วยผ่องใสแสนโสมนัสา |
พระครูรับจับกรสมรมา |
เอาหัตถ์ขวาพระกุมารประสานลง |
แล้วอ่านคำสัญญาไปดังใจหมาย |
ให้เจ้าชายว่าตามความประสงค์ |
เหมือนตั้งสัตย์ปฏิญาณสาบาลองค์ |
จำเพาะตรงหน้าพระเปนพยาน |
ในใจความนั้นว่าข้าพเจ้า |
จะรับเอานวลอนงค์คงสมาน |
ตั้งแต่วันนี้ไปได้แต่งงาน |
ไม่ร้างรานแรมสวาทนิราศจร |
ถึงจนมีดีชั่วไม่เลยละ |
ตามคำพระโอวาทประสาสน์สอน |
สัญญาให้ไว้แก่นางสำอางอร |
เสร็จสุนทรวางหัตถ์กษัตรีย์ |
พระครูจึงจับหัตถาธิดาราช |
มาวางพาดหัตถ์ชายไม่คลายคลี่ |
แล้วอ่านสัญญานั้นขึ้นทันที |
ให้เทวีว่าตามทุกคำไป |
ความที่นางว่ากล่าวในราวเรื่อง |
ก็คล้ายเบื้องบทกุมารเธอขานไข |
แต่คลาศถ้อยน้อยนิดไม่ผิดไกล |
โดยวิสัยของสตรีซึ่งมีมา |
ต้องว่าจะฟังคำทำตามผัว |
รู้เกรงกลัวรักกันด้วยหรรษา |
จะตั้งใจปรนิบัติภัศดา |
เสร็จสัญญาหัตถ์วางออกห่างกัน |
เจ้าวิลเลียมงามประโลมโฉมเฉลา |
จึงหยิบเอาธำมรงค์ที่ทรงสรรค์ |
แล้วใส่วางลงบนหลังสมุดพลัน |
ทำเคียมคัลส่งไปให้พระครู |
ท่านตาเถ้ารับเอามาจากหัตถ์ |
แกเป่าปัดเสกอะไรไปสักครู่ |
แล้วหยิบแหวนแสนประเสริฐขึ้นเชิดชู |
ส่งให้กูมารรับคำนับลา |
มาสวมใส่นิ้วนางข้างหัตถ์ซ้าย |
ของโฉมฉายมิ่งมิตรขนิษฐา |
แล้วจับแหวนนั้นไว้ไขวาจา |
ว่าดูราทรามสวาทนาฎนารี |
พี่จะขอรับเจ้าลำเภาพักตร์ |
ไปเปนอรรคเอกองค์มเหษี |
โดยคำมั่นสัญญาไม่ราคี |
ธำมรงค์วงนี้เปนสำคัญ |
จะคำนับเจ้าด้วยกายรายสมบัติ |
สารพัดมอบมิ่งทุกสิ่งสรรพ์ |
เสร็จดำรัสวางหัตถ์ออกห่างพลัน |
แล้วคุกเข่าอภิวันท์ทั้งสององค์ |
ฝ่ายพระครูกับบรรดาสานุศิษย์ |
สวดลิขิตทำเปนเช่นพระสงฆ์ |
ครั้นสิ้นบทหมดครบก็จบลง |
แล้วให้พระโฉมยงกับนงคราญ |
เอาพระหัตถ์ต่อพระหัตถ์สัมผัสจับ |
แกจึงกลับกล่าวแจ้งแถลงสาร |
ว่าพระเจ้าเรืองฤทธิ์ประสิทธิ์ฌาน |
ได้โปรดปรานเจ้าทั้งคู่ให้อยู่ครอง |
แต่นี้ไปผู้ใดผู้หนึ่งนั้น |
อย่าเดียดฉันชวนชักให้รักหมอง |
จงรวบรวมร่วมเรียงเคียงประคอง |
จนตราบสองชันษาชีวาวาย |
แล้วพระครูจึงอำนวยอวยสวัสดิ์ |
ให้บำบัดทุกข์โศกโรคทั้งหลาย |
พวกศิษย์หาอื่นอื่นที่ยืนราย |
ร้องถวายชัยพรเปนกลอนเพลง |
บันลือเสียงอึงมี่นีฤนาท |
ทั้งพิณพาทย์ไพเราะฟังเหมาะเหม็ง |
ที่ในโบสถ์แซ่สนั่นด้วยบรรเลง |
ดูครื้นเครงมากมายจนบ่ายบัง |
ฝ่ายพระองค์นงรามงามฉวี |
กับสามีเสร็จสรรพก็กลับหลัง |
พร้อมพระวงศ์พงศาดาประดัง |
คืนเข้าวังสุขสมภิรมยา |
แล้วอังกฤษมิศเฟาล์จึงเล่าแจ้ง |
บอกแถลงว่าเจ้าคุณบุญหนักหนา |
อันพวกเราเหล่านี้ที่เข้ามา |
ล้วนบรรดาคนโสดซึ่งโปรดปราน |
ถ้าหาไม่ก็มิได้มาพบเห็น |
เหตุด้วยเปนที่ห้ามระโหฐาน |
พวกขุนนางทั้งเศรษฐีมีศฤงฆาร |
ต่างทยานจะใคร่ยลทุกคนไป |
ยอมเสียเงินมิใช่น้อยสองร้อยชั่ง |
อย่าควรหวังคิดว่าจะมาได้ |
ต่อสนิทชิดเชื้อเชื่อน้ำใจ |
จึงโปรดให้มาดูอยู่ในนี้ |
เมื่อเวลาอาวาห์ธิดาราช |
พวกพระญาติแลเสนาบดีศรี |
ทั้งผัวเมียเคียงคู่ล้วนผู้ดี |
เหล่าดนตรีพร้อมพรักพนักงาน |
หมดด้วยกันจะประมาณสักสองร้อย |
เปนอย่างน้อยเพราะห้ามตามบรรหาร |
ครั้นเสด็จคืนยังวังสำราญ |
ต่างลนลานขึ้นรถบทจร ฯ |
๏ พอสิ้นแสงสุริยนสนธเยศ |
จันทร์ประเวศเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมศิงขร |
เดียรดาษด้วยคณาดารากร |
พื้นอัมพรเมฆีไม่มีปน |
ศรีสวัสดิ์สตรีนารีราช |
ใช้อำมาตย์มาแสดงแจ้งนุสนธิ์ |
ให้พวกไทยไปหมดทั้งหกคน |
จรดลเดี๋ยวนี้อย่ารีรอ |
จะได้ฟังมโหรีสำรับใหญ่ |
ตามวิสัยขับร้องกล่อมห้องหอ |
ครั้นทราบสารขานไขดีใจพอ |
พูดหัวร่อเฮฮาพากันไป |
มาถึงวังขึ้นยังตำหนักตึก |
เห็นคักคึกคนผู้ดูไสว |
พร้อมเสนีเสนาฝ่ายหน้าใน |
แต่งวิไลตามยศหมดด้วยกัน |
พระจอมโลกแลประโลมโฉมเฉลา |
กับองค์เจ้าคู่ครองประคองขวัญ |
อีกบุตรีบุตราวิลาวรรณ |
ทั้งพงศ์พันธุ์มาประชุมชุมนุมใน |
ฟังขับร้องสองฝ่ายชายกับหญิง |
เสนาะจริงจับจิตต์พิสมัย |
มโหรีรี่เรื่อยแจ้วเจื่อยใจ |
กลมกันไปกับเสียงสำเนียงคน |
ครั้นสี่ทุ่มเสาวนีมีรับสั่ง |
ให้แต่งตั้งภักษาผลาผล |
แล้วโปรดให้พวกไทยทั้งหกคน |
ไปตำบลที่เลี้ยงพร้อมเพรียงกัน |
กินน้ำชากาแฟแลขนม |
มีเนยนมสารพัดช่างจัดสรรค์ |
ผลไม้หลายอย่างล้วนต่างพรรณ |
อเนกอนันต์คาวหวานใส่จานราย |
อิ่มสำเร็จเสร็จกลับมายับยั้ง |
อยู่เฝ้าฟังมโหรีดีใจหาย |
สองยามเศษอัคเรศจึงคลาศคลาย |
เสด็จผายผันกลับลับพระองค์ |
ข้างพวกเราเล่าก็พากันมาหมด |
ขึ้นสู่รถคืนหลังดังประสงค์ |
ถึงโฮเต็ลเอนอ่อนนอนจำนง |
นึกพะวงหวังสวาทไม่ขาดครวญ |
เวลาดึกยามนี้เจ้าพี่เอ๋ย |
ใครจะเชยแนบน้องประคองสงวน |
เราเคยอยู่สู่สมภิรมย์นวล |
ได้ชิดชวนเชยชื่นกลางคืนเคียง |
เมื่อไรหนอจะได้พบประสบพักตร์ |
แต่ร่ำรักจนระฆังประดังเสียง |
ก็พอผอยม่อยหลับอยู่กับเตียง |
ศศิฉายบ่ายเบี่ยงลงลับดวง |
ดาราเลื่อนเคลื่อนคล้อยลอยลีลาศ |
ภานุมาศผาดพ้นบรรพตหลวง |
พี่ตื่นจากไสยาสน์อนาถทรวง |
ครรไลล่วงเลยออกนอกประตู |
เห็นพวกเรามานั่งสพรั่งพร้อม |
แกล้งเดินอ้อมขวยจิตต์คิดอดสู |
เขาชวนกันยิ้มเยื้องชำเลืองดู |
ไม่อาจสู้เมินหน้าระอาอาย |
แล้วชวนกันเที่ยวท่องท้องวิถี |
ซื้อของดีตามห้างที่วางขาย |
จนเวลาสายัณห์ตวันชาย |
ก็ผันผายสู่สถานสำราญทรวง ฯ |
๏ อีกสี่วันมีรับสั่งพระนางนาฎ |
ให้พวกราชทูตไทยไปวังหลวง |
ด้วยว่าองค์กุมาราธิดาดวง |
จะลาล่วงคืนสู่เมืองปรูชา |
คือนครทรงยศโอรสเขย |
ต้องละเลยเผ่าพงศ์พระวงศา |
ไปอยู่ด้วยหน่อกษัตริย์ภัศดา |
เปนยอดยิ่งกัลยาในธานี |
ได้เวลาทูตานุทูตหมด |
ขึ้นสู่รถไปกลางทางวิถี |
ถึงนิเวศน์เขตรจังหวัดกษัตรีย์ |
ก็จรลีขึ้นบนมณฑิรา |
พร้อมขุนนางต่างเข้ามาเฝ้าบาท |
เดียรดาษเกลื่อนกล่นคนหนักหนา |
ที่มีคู่เดินด้วยกันกับภรรยา |
พี่ก้มหน้านึกอายระคายใจ |
เขามีคู่ดูบรรเทิงทำเริงรื่น |
ได้ชิดชื่นชูจิตต์พิสมัย |
แต่ตัวเราเต็มปล้ำทำกะไร |
จึงจะได้คู่เคียงมาเรียงเดิน |
แลดูเขาเขาดูอดสูแสน |
ไม่อาจแหงนก้มงุดสุดขวยเขิน |
ใครกระแอมแย้มสรวลชวนสเทิน |
ทำมุ่งเมินโดยกระดากแต่หยากดู |
จนบ่ายโมงอัคเรศเกศอังกฤษ |
กับสามิศแอบองค์ดำรงคู่ |
เสด็จออกคนเคยเผยประตู |
เปนที่รู้บอกแจ้งแห่งสำคัญ |
บรรดาลอร์ดล้วนขุนนางค่อยย่างเยื้อง |
เข้าทางเบื้องทวารซ้ายแล้วผายผัน |
มาออกทางทวาราข้างขวาพลัน |
พวกทูตนั้นเดินรอต่อเข้าไป |
เห็นองค์กวินปิ่นปักนัคเรศ |
กับทรงเดชสามิศพิสมัย |
พระบุตรีนงรามงามประไพ |
ทั้งหน่อไทเขยขวัญพระมารดา |
ยืนเรียงเรียงเคียงกันเปนหลั่นลด |
แถวหลังหมดพระญาติวงศา |
แม้ขุนนางคนใดเดินไคลคลา |
เกือบถึงหน้านงลักษณ์หลักนคร |
ต้องส่งก๊าศเปนกระดาษที่เขียนชื่อ |
นั่นแลคือบอกนามตามอักษร |
เสนาหนึ่งจึงอ่านสารสุนทร |
ให้นาเรศเกศนิกรแจ้งคดี |
ว่าชื่อนี้เปนมนตรีตำแหน่งนั้น |
จึงจรจรัลไปตรงหน้ามารศรี |
น้อมศิโรตม์เคียมคัลลงทันที |
พระเทพีน้อมต่อแล้วย่อกาย |
ก็เลยออกทวาราข้างขวาหัตถ์ |
ไปเยียดยัดอัดแอแลเหลือหลาย |
แต่พวกทูตปราโมทย์โปรดภิปราย |
ให้คอยดูอยู่สบายข้างภายใน |
จนบ่ายสี่โมงเศษเสด็จเข้า |
ข้างพวกเรากลับมาที่อาศรัย |
อีกสามวันพระกุมารอันชาญชัย |
พานางไปที่อยู่เมืองปรูชา ฯ |
๏ ตามทางเจ้าสององค์ลงกำปั่น |
ชาวเมืองนั้นจัดแจงแต่งหนักหนา |
เอากิ่งไม้ใส่ผลปนผกา |
ปักรายริมรัถยาตลอดแล |
บ้างยืนซ้องสองข้างทางถนน |
ลงไปจนนาเวศเขตรกระแส |
คนทุกบ้านร้านเรือนไม่เชือนแช |
ออกเซ็งแซ่มากมายถวายชัย |
วันนั้นน้ำค้างแข็งตกยังค่ำ |
ช่างเย็นฉ่ำจนชั้นชลค่นเปนไข |
มือออกชาพากันวิ่งเข้าผิงไฟ |
เหลืออาลัยเต็มทนพ้นประมาณ |
บนหนทางน้ำค้างที่ตกขัง |
ดูเหมือนดังเกลือกลาดสอาดสอ้าน |
ลูกเล็กเล็กชวนกันเล่นเปนสำราญ |
สนุกสนานตามประสาพวกทารก |
คนผู้ใหญ่เขาไม่ใคร่จะอาจเล่น |
ด้วยหนาวเย็นเยือกเยียบเฉียบในอก |
แต่พอออกนอกทวารก็สั่นงก |
ดังลูกนกถูกฝนทำขนพอง ฯ |
๏ มาหลายวันมิศเฟาล์เขาชวนชัก |
ด้วยความรักชอบชิดสนิทสนอง |
จะพาชมคลังในที่ใส่ทอง |
ทั้งเงินนองเนืองนับสำหรับเมือง |
ต่างยิ้มย่องผ่องใสดีใจหมด |
มาขึ้นรถเรียงแถวเปนแนวเนื่อง |
ครั้งถึงคลังใส่สุวรรณหิรัญเรือง |
ค่อยย่างเยื้องจากรัถาลีลาจร |
ดูตึกนั้นแน่นหนาศิลาล้วน |
เห็นสมควรจะเปนคลังดังศิงขร |
ทั้งราตรีแลเวลาทิวากร |
ทหารนอนเดินนั่งระวังระไว |
อันเงินทองกองเล่นเหมือนเช่นอิฐ |
น่าปลื้มจิตต์เพลิดเพลินเกินวิสัย |
แม้จอมจักรนัคเรศประเทศไทย |
ได้โภไคสักเท่านี้จะดีนัก |
เราเปนข้าบาทบงสุ์พระทรงเดช |
คงโปรดเกศให้มั่งมีเปนศรีศักดิ์ |
ด้วยพระทัยย่อมเปนที่อารีรัก |
ในเสนาสามิภักดิ์ภูมิบาล |
แต่นิ่งนึกไหนจะสมอารมณ์หมาย |
ก็คลาดคลายกลับหลังยังสถาน |
ถึงประทับหลับนอนผ่อนสำราญ |
จนแสงฉานเรืองรองผ่องอัมพร ฯ |
๏ จึงชวนกันขึ้นรถหมดทั้งนั้น |
เกษมสันต์ภิญโญสโมสร |
จะไปหาลอร์ดปามิศตอน |
กับลอร์ดกลาเรนดอนเสนาใน |
ครั้นถึงที่จรดลขึ้นบนตึก |
แลพิลึกกระจกกระจ่างสว่างไสว |
ดูก็น่าผาสุกสนุกใจ |
จึงเข้าไปนั่งที่เก้าอี้วาง |
ฝ่ายท่านลอร์ดจักรียินดีรับ |
ออกมาจับมือเชิญไม่เมินหมาง |
แกปราไสไต่ถามเนื้อความพลาง |
ธุระอย่างไรนั่นพากันมา |
ราชทูตจึงแสดงแถลงเล่า |
ว่าพวกเราอยู่สำราญนานนักหนา |
ก็เสร็จการจะขอกลับคำนับลา |
คืนกรุงเทพมหานครคง |
ทั้งสองข้างสนทนาประสามิตร |
ที่ชอบชิดชื่นชมสมประสงค์ |
ทูตก็ลาคลาไคลดังใจจง |
ขึ้นรถตรงรีบออกมานอกจวน |
แล้วไปหากลาเรนดอนกรมท่า |
แจ้งกิจจาข้อคดีจนถี่ถ้วน |
เขารับความตามอารมณ์โดยสมควร |
ต่างแย้มสรวลเปรมปริ่มอิ่มอุรา |
ก็คืนหลังมายังโฮเต็ลตึก |
คนึงนึกโหยหวนรัญจวนหา |
รำคาญใจด้วยไม่ได้กำหนดมา |
จะต้องช้าหลายราตรีก็มิรู้ ฯ |
๏ มิศเฟาล์เขาดีอารีรอบ |
พี่คิดขอบน้ำใจมากมายอยู่ |
พาพวกเราเหล่าไทยให้ไปดู |
ท้องสินธูแถวลำแม่น้ำเทมส์ |
ลงเรือไฟไคลคลาค่อยผาสุก |
บันเทาทุกข์คลายคิดจิตต์เกษม |
ได้เที่ยวชมชลธีค่อยปรีดิ์เปรม |
หน้าเปนเหมแสนสนุกถ้วนทุกคน |
แม่น้ำนี้อยู่ที่กลางเมืองหลวง |
เรือทั้งปวงขึ้นล่องซ้องสับสน |
หวนรำลึกนึกบ้านสถานตน |
คล้ายตำบลแม่น้ำเราเจ้าพระยา |
มีสพานข้ามธารถึงแปดแห่ง |
ทำแข็งแรงสุดแสนดูแน่นหนา |
บางสพานการถ้วนล้วนศิลา |
ถัดกันมาบ้างเปนเหล็กเอกไม่เบา |
ในระยะเขตรสพานธารติดตื้น |
กำปั่นอื่นใหญ่ใหญ่ที่ใส่เสา |
ก็จอดอยู่แต่เพียงล่างห่างลำเนา |
ไม่อาจเข้าเลยไปใต้สพาน |
แม่น้ำนั้นบางทีเปนที่กว้าง |
แลสล้างเรือแพแซ่ประสาน |
บางแห่งเท่าเจ้าพระยาน่าสำราญ |
บางสถานเล็กกว่าลำแม่น้ำไทย |
ตามสองข้างฝั่งนทีไม่มีเปื้อน |
เขาลงเขื่อนเหล็กหินทำตีนไผล |
ที่ทุนน้อยถอยเลื่อนลงเขื่อนไม้ |
หน้าบ้านใครก็จัดแจงตกแต่งทำ |
มีตึกอยู่อู่กำปั่นช่างสรรค์สร้าง |
ไม่เหือดห่างเรือแพออกแซ่สำ |
ในธาราดาดื่นกว่าหมื่นลำ |
บ้างเปนกำปั่นไฟบ้างใบมี |
ได้ดูเล่นเห็นสบายวายวิตก |
ไปทางหกร้อยเส้นเกณฑ์วิถี |
จึงให้กลับคืนมาไม่ช้าที |
ประทับที่หน้าท่าพากันจร |
ถึงโฮเต็ลเย็นย่ำสนธเยศ |
อนาถเนตรล้มหลับลงกับหมอน |
จนรุ่งแรงแสงศรีรวีวร |
ปิ่นนิกรนาเรศเกศสกล |
รับสั่งใช้ให้เยนเนอรัลกัศ |
นำระหัศมาแจ้งแห่งนุสนธิ์ |
เชิญพวกทูตมียศหมดทุกคน |
จรดลสู่เขตรนิเวศน์วัง |
ด้วยถึงวันการกำหนดในกฎหมาย |
ทุกตัวนายเสนาทั้งหน้าหลัง |
มานอบน้อมพร้อมเพรียงเรียงประดัง |
จะแต่งตั้งพวกขุนนางอย่างทุกปี |
จวนเวลามาขึ้นรถหมดทั้งนั้น |
จรจรัลตามทางหว่างวิถี |
ถึงนิเวศน์เขตรจังหวัดจอมสตรี |
ตรงเข้าไปในที่พระโรงเรือง |
เสด็จออกบอกให้เปิดประตูผาย |
เสนารายเรียงแถวเปนแนวเนื่อง |
เข้าเฝ้าจอมจักรพงศ์ดำรงเมือง |
ตามแบบเบื้องอย่างยุหรบเคารพกัน |
ฝ่ายมนตรีที่จะเลื่อนถานาศักดิ์ |
มาตรงพักตร์มิ่งสมรอับศรสวรรค์ |
ก็คุกเข่าเปนธรรมเนียมว่าเคียมคัล |
พระนางนั้นกวัดแกว่งพระแสงทรง |
แล้วจึงวางลงข้างอังษาซ้าย |
ทีหลังย้ายวางบ่าขวาประสงค์ |
เหมือนมอบหมายให้ประสิทธิ์ฤทธิรงค์ |
แล้วยื่นส่งหัตถาออกมาพลัน |
ฝ่ายขุนนางก็คำนับไม่จับต้อง |
เอามือรองพระหัตถ์นางท่าทางขัน |
แล้วจึงจุบธำมรงค์ที่ทรงนั้น |
คือสำคัญรักใคร่ในพระองค์ |
แล้วลุกเลื่อนเคลื่อนคล้อยเดินถอยหลัง |
มาให้ไกลหน้าที่นั่งดังประสงค์ |
ก็ผันพักตร์คลาไคลเหมือนใจจง |
ดำเนินตรงเลยออกนอกทวาร |
พวกเจ้าเมืองกรมการชาวบ้านนอก |
ท่วงทีบอกกิริยาไม่กล้าหาญ |
ทำเงื่องงกตกประหม่าน่ารำคาญ |
สทกสท้านบดเอื้องค่อยเยื้องกราย |
ครั้นถึงที่เอกอนงค์ทรงสถิตย์ |
คุกเข่าลงส่งลิขิตขึ้นถวาย |
อัคเรศรับสาราเสนานาย |
แล้วยิ้มพรายยื่นหัตถ์ให้บัดดล |
เขาทำตามความไขไว้แต่ก่อน |
ที่กล่าวกลอนมาแต่เรื่องเบื้องนุสนธิ์ |
จนสำเร็จเสร็จประมวญถ้วนทุกคน |
สุริยนเย็นพลับอับอัมพร |
เสด็จขึ้นคืนเข้ามณเฑียรสถิตย์ |
สำราญจิตต์ภิญโญสโมสร |
ฝ่ายว่าท่านกรมท่ากลาเรนดอน |
เยื้อนสุนทรบอกแถลงแจ้งกิจจา |
ว่าพระองค์ผู้ดำรงกรุงอังกฤษ |
เสาวนิศจอมวังสั่งให้หา |
พวกทูตไทยจรจรัลดังบัญชา |
เข้าทูลลาพร้อมกันวันพรุ่งนี้ |
พี่ดีใจดังได้วิมานสวรรค์ |
คิดหมายมั่นเหมือนพบประสบศรี |
ก็รับคำอำลาไม่ช้าที |
มาสู่ที่พักผ่อนนอนสบาย ฯ |
๏ ครั้นรุ่งแรงแสงอรุณวโรภาษ |
ดารากลาดเกลื่อนกลับลงลับหาย |
พี่ตื่นตาผาสุกที่ทุกข์คลาย |
จนเบี่ยงบ่ายได้เวลาจะคลาไคล |
มาชำระสระสนานสำราญรื่น |
ค่อยแช่มชื่นวิญญาอัชฌาสัย |
ต่างแต่งกายพรายพรรณแล้วครรไล |
ขึ้นรถไปยังเขตรนิเวศน์วง |
ครั้นถึงวังจังหวัดราชฐาน |
ก็เบิกบานอารมณ์สมประสงค์ |
จากรัถาพากันเดินดำเนินตรง |
เข้าเฝ้าองค์กัลยาราชินี |
ในห้องชื่อห้องจีนกวินประทับ |
เครื่องประดับตั้งแต่งตำแหน่งที่ |
ล้วนของจีนงามจริงทุกสิ่งมี |
เตียงเก้าอี้โต๊ะใหญ่ใช้ประจำ |
กระจกฉากหลากสลับสำหรับห้อง |
ไม่มีของฝรั่งแขกเข้าแซกสำ |
วิเศษสิ้นสารพัดช่างจัดทำ |
ประหลาดล้ำหลายอย่างวางไว้ดู |
เห็นองค์กวินปิ่นปักบุรีศรี |
กับสามียืนเรียงเคียงเปนคู่ |
ข้างพวกเราเข้าไปในประตู |
แล้วหยุดอยู่นอบน้อมลงพร้อมกัน |
เธอตรัสเรียกให้พี่นี้ไปใกล้ |
โดยพระทัยปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
จึงแย้มเยื้อนเอื้อนอรรถดำรัสพลัน |
ว่าทูตนั้นมาอยู่ที่ธานีเรา |
ก็รู้ว่าผาสุกห่างทุกข์ร้อน |
สโมสรสวัสดีไม่มีเศร้า |
แต่เราคิดเสียใจมิใช่เบา |
ด้วยถูกเข้าหน้าหนาวคราวฤดู |
ราชทูตทูลพร้องสนองถ้อย |
ช่างเรียบร้อยฟังเพราะเสนาะหู |
ว่าหนาวลมพรมพรางน้ำค้างพรู |
ได้มาอยู่ล่วงเลยก็เคยไป |
อันความหนาวคราวนี้มิสู้มาก |
ไม่ลำบากเหลือล้นพอทนได้ |
พระเทพินจึงอวยอำนวยชัย |
ว่าขอให้พวกท่านสำราญรมย์ |
จงไปดีอย่ามีระคายข้อง |
ที่มัวหมองอย่างได้ปะประทะถม |
ตลอดถึงนัคเรศเขตรนิคม |
ให้เสร็จสมปราถนาสถาวร |
ท่านทั้งปวงไปถึงจึงประนต |
กราบทูลบททรงฤทธิ์อดิศร |
ว่าเราขอน้อมกายถวายพร |
ในภูธรจอมนรินทร์ปิ่นนรา |
ให้พระองค์ทรงสุขอย่าทุกข์ร้อน |
จงถาวรยืนวันชันษา |
เสวยราชสมบัติวัฒนา |
ขาดโรคาขุ่นข้องทั้งสององค์ |
อนึ่งการอันใดท่านได้รู้ |
แลได้ดูเห็นตามความประสงค์ |
จงฉลองภูวนาถบาทบงสุ์ |
ให้พระทรงทราบคดีช่วยชี้แจง |
พี่จึงแปลข้อความตามรับสั่ง |
ให้ทูตฟังเรียบร้อยถ้อยแถลง |
แล้วทูลตอบพจมานสารแสดง |
มิให้แหนงเคืองขัดหัทยา |
ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้าเข้าไปถึง |
สิ่งไรซึ่งปราโมทย์โปรดเกศา |
ได้รับรองมีสุขทุกทิวา |
พระคุณหาที่เปรียบไม่เทียบทัด |
การอันใดได้มาอยู่ก็รู้เห็น |
ไม่ว่างเว้นคงแสดงแจ้งกระจัด |
ให้ทรงทราบบาทาสารพัด |
โดยระหัศเหตุผลทั้งต้นปลาย |
พระนงรามงามพริ้มยิ้มพยัก |
แล้วทรงศักดิ์อาลเบิตเฉิดโฉมฉาย |
จึงกล่าวเกลี้ยงมธุรศบทภิปราย |
ความก็คล้ายเรื่องราวเสาวนี |
ครั้นสิ้นสุดราชทูตทูลลากลับ |
ถึงประทับตึกใหญ่เข้าในที่ |
สุริยงลงลับเหลี่ยมคิรี |
ก็เปรมปรีดิ์เสพย์รสโภชนา |
พูดกันเล่นอยู่จนดึกนึกระทด |
คอยกำหนดวันวานนานหนักหนา |
ยังไม่แน่ว่าเมื่อไรจะไคลคลา |
เร็วหรือช้าก็มิรู้ดูรำคาญ |
แล้วเข้าที่ไสยาสน์อนาถจิตต์ |
จนอาทิตย์รุ่งแรงด้วยแสงฉาน |
ชวนกันเที่ยวพอจะให้ใจสำราญ |
ได้เบิกบานเบาทุกข์เปนสุขทรวง ฯ |
๏ จึงตรงไปในตำบลขังคนบ้า |
ดูทีท่าทำไว้นั้นใหญ่หลวง |
มีที่สอนสาสนาบ้าทั้งปวง |
อย่าให้ล่วงลืมสติหมั่นตริตรอง |
ถึงกำหนดวันอาทิตย์เปนนิจแน่ |
ตาครูแก่รู้รสบทสนอง |
วิสัชนาบ้าฟังนั่งเปนกอง |
ทีทำนองคล้ายเทศน์ข้างเพศไทย |
ในตึกนั้นกั้นห้องเปนช่องชั้น |
บ้างลดหลั่นงดงามตามวิสัย |
ดังบ้านเรือนเศรษฐีดีกระไร |
แลวิไลสรวยสอาดประหลาดตา |
ถ้าแม้คนที่พิกลจริตร้าย |
มักปีนป่ายโลดโผนโจนถลา |
บางทีผลุนหมุนไปฉวยไม้มา |
แล้ววิ่งร่าไล่ลู่ตีผู้คน |
เขาเอาเข้าขังไว้ที่ในห้อง |
มีเบาะรองจัดแจงทุกแห่งหน |
นุ่มนิ่มน่วมนวมเย็บไม่เจ็บตน |
ถึงดิ้นรนก็มิได้เปนไรเลย |
มีหมออยู่ผู้คนปรนิบัติ |
สารพัดดูแลไม่แชเฉย |
ทุกคืนวันโมงยามตามที่เคย |
ให้นมเนยเข้าปลาหยูกยากิน |
บ้าผู้ชายไว้ฝ่ายผู้ชายล้วน |
บ้าผู้หญิงไว้ส่วนผู้หญิงสิ้น |
คนพิทักษ์รักษาเปนอาจิณ |
ช่างล่อลิ้นโลมปลอบให้ชอบใจ |
เฝ้าโน้มน้าวกล่าวสุนทรที่อ่อนหวาน |
ไม่หักหาญพูดจาอัชฌาสัย |
แกล้งยกยอผลอพลอดออดออดไป |
หวังจะให้คลายมุ่นขุ่นอารมณ์ |
ได้ดูเล่นเห็นถ้วนชวนกันกลับ |
คืนประทับทุกข์ประทะเข้าสะสม |
แสนละห้อยคอยกำหนดระทดระทม |
แต่ตรอมตรมหม่นหมองมาสองวัน ฯ |
๏ มิศเฟาล์เชิญเอาราชสาส์น |
ของนงคราญจอมไกรมไหศวรรย์ |
กับสำเนาอีกฉบับกำกับกัน |
ให้ทูตนั้นรักษาเข้ามากรุง |
แล้วจึงพาพวกไทยไปทั้งหมด |
ขึ้นสู่รถผันผายรีบหมายมุ่ง |
ถึงมิวเซียมเยี่ยมยลเห็นคนมุง |
ดูออกยุ่งขวักไขว่เดินไปมา |
ในนั้นมีสารพัดสัตว์ทุกอย่าง |
ล้วนต่างต่างหลายหลากมากหนักหนา |
แต่ว่ามอดม้วยมุดสุดชีวา |
เขาใส่ยาไว้ในท้องให้ป้องกัน |
ไม่เน่าเปื่อยเหมือนดีมีชีวิต |
ช่างประดิษฐดูดังเปนเห็นขยัน |
ทั้งเนื้อเบื้อเสือสีห์หมีอนันต์ |
สารพันนกปลาคณาเนือง |
ครั้นสิ้นแสงสุริยงเธอลงลับ |
ฟ้าพยับทิศปราจิมดูริมเหลือง |
เขาจุดไฟใสสว่างไปทั้งเมือง |
แอร่มเรืองแจ้งกระจ่างดังกลางวัน |
ก็ชวนกันไคลคลากลับมาหมด |
ขึ้นสู่รถเรียงรายเร่งผายผัน |
จะไปชมของดีที่สำคัญ |
ในตึกนั้นหลากหลากมีมากมาย |
เขาจัดแจงแต่งตั้งไว้ต่างต่าง |
ที่ชั้นล่างเนืองนองล้วนของขาย |
อันชั้นสองชั้นสามทำแยบคาย |
มีรูปรายเรียงอยู่เหมือนผู้คน |
เอาขี้ผึ้งผสมปั้นประสานสี |
ทำท่วงทีกิริยาน่าฉงน |
มีรูปองค์อัคเรศเกศสกล |
กับคู่ชื่นยืนยลดูอย่างเปน |
ทั้งลูกเธอเก้าองค์ทรงสวัสดิ์ |
ช่างเหมือนชัดดีแท้ดังแลเห็น |
พร้อมพระญาติยุพเยาว์ลำเภาเพ็ญ |
ที่มาเล่นที่ประชุมชุมนุมใน |
รูปกษัตริย์ต่างชาติประหลาดหลาย |
บ้างเยื้องกรายชอบกลพ้นวิสัย |
รูปขุนนางท่าทางแลวิไล |
รูปผู้ใหญ่คนดีมีปัญญา |
บ้างนั่งยืนดื่นดาษดูกลาดเกลื่อน |
แล้วบิดเบือนเหลียวซ้ายชะม้ายขวา |
บ้างแย้มยิ้มพริ้มพรายทำชายตา |
บ้างกลอกหน้าเหมือนจะเอื้อนเยื้อนสุนทร |
รูปนารีไสยาช่างน่ารัก |
ดูผ่องพักตร์พิงหลับอยู่กับหมอน |
เห็นทรวงไหวดังหายใจสนิทนอน |
น่าใคร่ช้อนชมชิมให้อิ่มใจ |
บรรดารูปทั้งนั้นขยันเหลือ |
กังเกงเสื้อสรวยตาเปนผ้าไหม |
ให้ปรากฎตามยศทุกคนไป |
ช่างทำไว้แลสล้างเหมือนอย่างเปน |
ดังหนึ่งนั่งพูดจาประสามิตร |
โดยสนิทได้ประสบมาพบเห็น |
ครั้นดูทั่วทุกอย่างไม่ว่างเว้น |
ก็กลับคืนโฮเต็ลที่สำนัก ฯ |
๏ แล้วอังกฤษมิศเฟาล์เขามาแจ้ง |
กล่าวแสดงข้อไขให้ประจักษ์ |
อีกสามวันทูตไทยจะไกลพักตร์ |
ต้องแรมรักจากนครลอนดอนแดน |
พี่ฟังคำดังอำมฤตรื่น |
ให้ชุ่มชื่นจิตต์ใจผ่องใสแสน |
ดังยาจกจนยากที่กากแกน |
ได้ทรัพย์แม้นหมื่นพันอนันต์เนือง |
ก็เกษมเปรมปริ่มอิ่มในอก |
วายวิตกทุกข์ระทดปลิดปลดเปลื้อง |
จะกลับหลังยังที่บุรีเรือง |
ถึงบ้านเมืองเสร็จสมภิรมยา ฯ |
๏ ครั้นอุทัยไขแสงแจ้งกระจ่าง |
พื้นนภางค์แผ้วผ่องห้องเวหา |
จึงชวนกันครรไลขึ้นไปลา |
กรมท่าลอร์ดใหญ่ในนคร |
เขาต้อนรับนับถือจับมือหมด |
ให้เปนยศภิญโญสโมสร |
แกกล่าวคำตามจิตต์ประสิทธิ์พร |
ให้ถาวรเภทภัยอย่าได้พาน |
แล้วกลับมาโฮเต็ลค่อยเปนสุข |
บันเทาทุกข์ปรีดิเปรมเกษมสานต์ |
บ้างจัดเข้าของพลันมิทันนาน |
แสนสำราญนั่งยิ้มกระหยิ่มใจ ฯ |
๏ วันพฤหัสบดิ์เดือนสี่ขึ้นห้าค่ำ |
เวลาย่ำรุ่งแสงประจุสมัย |
ต่างจากที่ไสยาแล้วคลาไคล |
ดูขวักไขว่อลวนสับสนกัน |
ใครมีที่ชอบชิดสนิทสนม |
ก็เตรียมตรมตรอมจิตต์คิดกระศัลย์ |
ด้วยจะพรากจากจรอาวรณ์ครัน |
บ้างจาบัลย์สั่งเสียละเหี่ยใจ |
บ้างชักรูปให้กันโดยฉันท์รัก |
บ้างปิดพักตร์โศกาน้ำตาไหล |
บ้างอวยพรให้สวัสดิ์กำจัดภัย |
โรคาไข้โศกเศร้าจงเบาบาง |
สงสารพวกโฮเต็ลเคยเห็นหน้า |
ทุกเวลาปรนิบัติไม่ขัดขวาง |
ล้วนนารีรูปรวยสวยสำอาง |
จะต้องร้างแรมไปเสียไกลพักตร์ |
เห็นพวกไทยจะครรไลออกจากที่ |
บ้างโศกีร่ำไรอาลัยหนัก |
ด้วยเคยอยู่รวบรวมร่วมสำนัก |
ได้ชวนชักหยอกเอินเพลินสบาย |
นิจาเอ๋ยเมื่อไรเลยจะคืนเห็น |
ต้องว่างเว้นวันไกลน่าใจหาย |
เพราะต่างเพศเขตรแดนแสนเสียดาย |
จำคลาศคลายล่วงลับกลับนคร |
สองโมงเช้ามิศเฟาล์จึงชวนชัก |
ก็พร้อมพรักอัดแอแซ่สลอน |
พี่สุดแสนปรีดาสถาวร |
ต่างรีบร้อนมาหมดขึ้นรถไฟ |
ออกจากกรุงลอนดอนนครหลวง |
ก็เลยล่วงเขตรเขินเนินไศล |
มาถึงเมืองโดเวอเออกะไร |
ช่างสร้างไว้ริมชลาเปนท่าเรือ |
แสนสนุกทุกตำบลถนนตึก |
เห็นพิลึกแลไปวิไลเหลือ |
มีโฮเต็ลขายอาหารคอยจานเจือ |
ดูเหลือเฟือเข้าของสำรองการ |
มิศเฟาล์พาไทยไปทั้งสิ้น |
แล้วให้กินนานาภักษาหาร |
ครั้นสรรพเสร็จอิ่มหนำค่อยสำราญ |
สบายบานหยุดพักสำนักเนา |
จนบ่ายโมงจึงได้ลงสู่กำปั่น |
ดูคลื่นนั้นโตใหญ่คล้ายภูเขา |
พายุจัดพัดผันไม่บันเทา |
เขารีบเร้าออกเรือเหลือกำลัง |
ให้เร่งไฟใช้จักรไม่พักผ่อน |
ข้ามสาครตรงไปดังใจหวัง |
พวกเราเมาคลื่นซมล้มประนัง |
จนถึงฝั่งฝรั่งเศสเขตรบุรี |
เรียกชื่อเมืองกาลิศสถิตย์ท่า |
แถวชลาแขวงแควกระแสศรี |
เมื่อนาวาถึงระหว่างกลางนที |
แลเห็นฝั่งธานีทั้งสองนั้น |
คือฟากข้างอิงแคลนแดนอังกฤษ |
เมืองกาลิศฝรั่งเศสขอบเขตรขัณฑ์ |
ทางที่ข้ามฟากไปไม่ไกลกัน |
เก้าร้อยเส้นเปนสำคัญไว้แน่นอน ฯ |
๏ ขอยกเรื่องเดินทางกลางแดนด้าว |
จะกลับกล่าวกรุงอังกฤษอดิศร |
เปนเกาะใหญ่อยู่ในชโลทร |
สถาพรภูลสวัสดิ์วัฒนา |
กำหนดกล่าวยาวหกสิบห้าโยชน์ |
ร้อยเส้นโสดเศษสุดไม่มุษา |
แต่โดยกว้างมิได้วางไว้ตำรา |
เพราะเหตุว่าแคบบ้างกว้างก็มี |
อยู่ในทิศตวันตกข้างเฉียงเหนือ |
แต่ไกลเหลือแถวทางกลางวิถี |
ที่เกาะนั้นเนืองนันต์เนินคิรี |
พฤกษาศรีเบาบางห่างห่างราย |
มีหัวเมืองใหญ่ใหญ่เกือบได้ร้อย |
กำปั่นคอยไปมาเที่ยวค้าขาย |
ตามประเทศต่างต่างไม่ว่างวาย |
ประมาณหมายสามหมื่นดูดื่นตา |
เมืองลอนดอนเปนนครกษัตริย์สถิตย์ |
ช่างวิจิตรตึกรามงามหนักหนา |
ไม่มีกำแพงรอบขอบบุรา |
ตั้งป้อมใหญ่ไว้รักษาซึ่งเขตรแดน |
มีวัดวาสร้างไว้มิใช่น้อย |
เปนหลายร้อยต้องเนตรวิเศษแสน |
วัดใหญ่ใหญ่สองวัดไม่ขัดแคลน |
ดูแว่นแคว้นยาวกว้างที่ทางเตียน ฯ |
๏ โรงละคอนอย่างดีก็มีหลาย |
ทำลวดลายแปลกกันบ้างปั้นเขียน |
ทางเข้าออกเปิดปิดสนิทเนียน |
ช่างพากเพียรสร้างสรรพ์ล้วนบรรจง |
ละคอนนั้นผิดกันกับเมืองนี้ |
เขาทำที่ตึกรามงามระหง |
มิได้ไปเที่ยวรำตามจำนง |
เล่นดำรงอยู่กับที่ทุกวี่วัน |
ครั้นทุ่มหนึ่งสนธยาภานุมาศ |
ก็โอภาสโคมอัคคีเปนสีสัน |
กระจ่างแจ้งเพียงแสงพระสุริยัน |
บันลือลั่นกาหฬทั้งดนตรี |
ก็เล่นไปจนสองยามตามกำหนด |
จึงเลิกหมดสุดสิ้นทุกถิ่นที่ |
ใครจะใคร่ทัศนาไม่ราคี |
สุดแต่มีเงินให้เปนได้ยล |
ข้างในทำชั้นดีถึงสี่ห้า |
แล้วกั้นฝาเปนลำดับไม่สับสน |
ถ้าแม้มั่งมีมากไม่ยากจน |
อยู่ชั้นต้นเห็นสบายใกล้ละคอน |
ต้องเสียเงินเกินแรงแพงสักหน่อย |
ชั้นสูงน้อยเหลื่อมลดขยดหย่อน |
แต่เห็นห่างออกทุกชั้นเปนหลั่นลอน |
ด้วยที่ผ่อนสูงไปจึงไกลตา ฯ |
๏ ในธานีมีตึกเลี้ยงคนไข้ |
กว่าร้อยแห่งแต่งไว้ล้วนแน่นหนา |
ที่สำหรับลูกเล็กเด็กเด็กมา |
อยู่ร่ำเรียนอักขราหลายตำบล |
ถึงสามร้อยเศษที่เศรษฐีสร้าง |
ครูรับจ้างเจนจัดไม่ขัดสน |
แม้ว่าใครมีบุตรแต่สุดจน |
ก็ร้อนรนเอามาฝากด้วยหยากรู้ |
ไม่ต้องเสียเงินทองของทั้งหลาย |
เปนแต่อายอัประมาณการอดสู |
ลูกผู้ดีมีหน้าต้องหาครู |
อุส่าห์สู้เสียค่าจ้างวางเอาพอ |
ตึกสำหรับแจกยาประชาราษฎร์ |
ที่ไร้ญาติเต็มประดาก็มาขอ |
มีสักสองพันแห่งแต่งลออ |
พร้อมทั้งหมอดูไข้คอยให้ยา |
คุกนั้นมีอยู่สิบสี่ตำแหน่งถ้วน |
ก่อแต่ล้วนหินแผ่นทำแน่นหนา |
คนข้างในเขามิได้พันธนา |
เครื่องตรึงตราตรากตรำไม่จำจอง |
เปนแต่ใส่ที่ขังระวังไว้ |
ผู้คุมใช้การประจำให้ทำของ |
ไม่จำหน่ายจ่ายแจกจำแนกกอง |
ต้องติดกร่องอยู่ในนั้นทุกวันไป |
พวกทหารคอยระวังตั้งรักษา |
พร้อมศัสตราสามารถไม่หวาดไหว |
ลูกกระสุนดินดำประจำไว้ |
สำหรับได้รบรันประจัญบาน |
ในคุกนั้นทำเรี่ยมเอี่ยมสอาด |
ที่ไสยาสน์นั่งลุกสนุกสนาน |
ทั้งที่สอนสาสนามีอาจารย์ |
รวิวารเทศน์โปรดคนโทษฟัง |
ให้หมออยู่คอยดูอาการไข้ |
เอาใจใส่คนทุกข์ในคุกขัง |
ใครเจ็บป่วยช่วยกันหมั่นระวัง |
ไม่หันหลังละเลยทำเฉยเชือน |
ที่นอนนั่งกังเกงหมวกเสื้อผ้า |
ก็แจกหาให้พอดีมีเหมือนเหมือน |
อันคนโทษทั้งหลายจ่ายเงินเดือน |
พอกลบเกลื่อนไกล่เกลี่ยเฉลี่ยกัน |
แต่ของกินสารพัดจะขัดสน |
ให้เลี้ยวชนม์พอชีวาไม่อาสัญ |
ถึงใครมีญาติวงศ์แลพงศ์พันธุ์ |
จะให้ปันนั้นมิได้จนใจเจียว |
ผู้คุมดูปิดประตูไม่เปิดเผย |
ถึงมิเฉยก็เหมือนแชไม่แลเหลียว |
แสนลำบากยากจนอยู่คนเดียว |
กินแห้งเหี่ยวอดโซโอ้เวรา ฯ |
๏ ในธานีมีถนนหลายร้อยแห่ง |
คนจัดแจงกวาดเลี่ยนเตียนหนักหนา |
ที่กว้างนั้นประมาณสักแปดวา |
บ้างแคบกว่านี้ไปก็หลายทาง |
เอาศิลามาทำเหมือนแผ่นอิฐ |
แล้วปูชิดพลิกแพลงตะแคงขวาง |
สำหรับม้ารถไปเอาไว้กลาง |
ริมสองข้างก่อยกขึ้นหกนิ้ว |
ปูศิลาหน้าใหญ่สักศอกเศษ |
ทางประเวศราษฎรคอนหาบหิ้ว |
กว้างประมาณห้าศอกออกตลิว |
แลเปนทิวขวักไขว่คนไปมา |
ถนนรายมีนายอำเภออยู่ |
ทุกแห่งดูเหตุภัยได้รักษา |
ระวังเวียนเปลี่ยนผลัดกันอัตรา |
ทั้งทิวาราตรีมีเปนนิตย์ |
ใส่เสาเหล็กสองข้างทางถนน |
งามชอบกลไว้วางช่างประดิษฐ |
บนปลายเสาโคมสว่างทุกทางทิศ |
แลวิจิตรเยื้องกันเปนฟันปลา |
มิได้ปักเปนคู่ดูจังหวะ |
ไว้ระยะนั้นก็ไม่ไกลหนักหนา |
ในระหว่างห่างราวสักสิบวา |
ให้แสงมาส่องต่อกันพอดี |
ไฟที่ตามนามอังกฤษร้องเรียกแค๊ศ |
ดูแจ่มแจ๊ดแจ้งกระจ่างสว่างศรี |
ประหลาดจิตต์คิดทำล้ำอัคคี |
ไม่ต้องมีด้ายใส่ไส้น้ำมัน |
เปนแต่หลอดขึ้นไปไฟก็ติด |
แปลกชนิดธรรมดาวิชาขยัน |
เมื่อจะให้ไฟดับจับสำคัญ |
ที่ควงขันบิดขวับพออับลม |
เปลวอัคคีสีแสงที่แดงช่วง |
ก็ดับดวงดังจำนงประสงค์สม |
อันไฟแค๊ศเมืองอังกฤษติดอุดม |
ทุกนิคมใช้การในบ้านเรือน |
แต่บรรดาตึกรามดูงามงด |
ทั่วทั้งหมดเมืองไหนจะได้เหมือน |
หนทางตรงลิ่วแลไม่แชเชือน |
ที่เปรอะเปื้อนสกปรกรกไม่มี |
บางตึกก่อด้วยศิลาดูหนาแน่น |
ตามเขตรแคว้นสองข้างทางวิถี |
บางตึกก่อด้วยอิฐประดิษฐดี |
ทำท่วงทีลดหลั่นกันขึ้นไป |
บ้างสามสี่ห้าชั้นรันถึงหก |
หลังคาตกแบนแต้แปล้ไถล |
บานหน้าต่างนอกแก้วดูแววไว |
บานไม้ในเปนสองชั้นกันศัตรู |
มีม่านแพรแลวิไลบ้างใช้ผ้า |
ให้บังตาข้อรำคาญการอดสู |
กระดาษลายปิดฝาก็น่าดู |
พื้นนั้นปูเจียมพรมอุดมดี |
จะหาเสื่อเหลือยากไม่หยากได้ |
ช่างกไรเย่าเรือนเหมือนเศรษฐี |
ริมฝาใส่เตารุมสุมอัคคี |
พอไอมีร้อนกรุ่นอุ่นสบาย |
แล้วเปิดปล่องช่องไฟไปตลอด |
ให้ควันลอดขึ้นหลังคาเวหาหาย |
คนที่ในเมืองมิ่งทั้งหญิงชาย |
ต่อมากมายด้วยสมบัติวัฒนา |
จึงได้มีเรือนบ้านสถานถิ่น |
ด้วยที่ดินติดแรงแพงหนักหนา |
ทั้งค่าจ้างช่างทำเกินตำรา |
มีเงินตราพันหนึ่งจึงจะพอ |
ถ้าเงินทองเพียงสองสามร้อยชั่ง |
อย่าคิดหวังว่าจะสร้างซึ่งห้างหอ |
ต้องเช่าตึกเขาอาศรัยคับใจฅอ |
ยังงอนหง่อเงียบชื่อไม่ฤๅนาม |
ถ้าแม้มียี่สิบสามสิบชั่ง |
เหมือนเซซังขัดสนคนไม่ขาม |
บางทีเข้ารับใช้ดังชายทราม |
ทำการตามนายสั่งทุกอย่างไป |
อันเสื้อผ้าสารพัดจะขัดข้อง |
อิกทั้งห้องไสยาที่อาศรัย |
จะกินอยู่ดูทุเรศสังเวชใจ |
นายเขาให้พอเพียงเลี้ยงชีวิต |
จะออกหากินบ้างอยู่ต่างหาก |
ความลำบากเหลือล้นต้องจนจิตต์ |
ด้วยเข้าของแพงมากยากจะคิด |
ทุนน้อยนิดนึกเห็นไม่เปนการ |
ตามแถวตึกชั้นล่างข้างถนน |
ในตำบลบุรินทร์ทุกถิ่นฐาน |
เขาขายของต่างต่างเปนห้างร้าน |
ช่างคิดอ่านหากำไรได้สบาย |
มีเครื่องเงินทองแก้วแววกระจ่าง |
เครื่องเหล็กวางเครื่องทองแดงจัดแจงขาย |
เครื่องทองเหลืองแลเครื่องศิลาลาย |
บ้างยักย้ายเปนเครื่องกระเบื้องชาม |
อันเครื่องไม้ทำดีเก้าอี้นั่ง |
อิกโต๊ะตั้งเตียงตู้ดูออกหลาม |
ทั้งแพรผ้ากำมะหยี่สีงามงาม |
สิ่งอื่นอื่นดื่นตามจะจำนง |
แม้ผู้ใดหมายมาดปราร์ถนา |
เที่ยวเลือกหาโดยจิตต์คิดประสงค์ |
แต่ราคามิได้ผ่านพานจะตรง |
ไม่ต้องวงเวียนต่อของ้อกัน ฯ |
๏ กลางเมืองหลวงมีห้วงชลาไหล |
เหมือนกรุงไทยแถวลำแม่น้ำคั่น |
แต่นทีฝ่ายเบื้องข้างเมืองนั้น |
นามสำคัญในภาษาเรียกว่าเทมส์ |
มีเรือจ้างกลไฟไว้หลายร้อย |
เที่ยวล่องลอยหลีกแล่นแสนเกษม |
ทำท่วงทีที่ทางสำอางเอม |
น่าปรีดิ์เปรมสุขสมภิรมย์ทรวง |
คอยรับคนขนลงส่งขึ้นล่อง |
ไปเที่ยวท่องท้องมหาชลาหลวง |
อันประชาชาวบุรินทร์สิ้นทั้งปวง |
ชอบชมห้วงกระแสใสพอได้ลม |
ฝ่ายบนบกรถกระจกที่เทียมม้า |
บางรัถาสองคู่ดูพอสม |
บ้างใส่แต่คู่หนึ่งก็ขึงคม |
บ้างขืนข่มเอาตัวเดียวเคี่ยวตะบัน |
คอยรับจ้างตามทางแถวถนน |
ที่ฝูงคนทั้งหลายจะผายผัน |
เขาทำงามตามอย่างต่างต่างกัน |
บางรถนั้นฝาใส่บ้างไม่มี |
บางรถคนนั่งข้างในได้แต่สอง |
บ้างรับรองนั่งไปได้ถึงสี่ |
ทั้งหมอนเมาะเบาะนั่งล้วนอย่างดี |
อีกรถที่พลไพร่นั้นใหญ่ยาว |
แต่ไม่สู้สวยตาราคาต่ำ |
ออกคลาคล่ำคนกลุ้มทั้งหนุ่มสาว |
บนหลังคาใส่เก้าอี้แล้วมีราว |
เปนระนาวแน่นประทุกดูคลุกคลัก |
รถอย่างนี้ผู้ดีมักมีมาก |
ไม่ใคร่หยากไปปนด้วยคนหนัก |
เสียงพูดจาอื้ออึงคนึงนัก |
ออกคึกคักวุ่นวายหลายชนิด ฯ |
๏ รถวิเศษยังอิกอย่างสำอางเอี่ยม |
ไม่พักเทียมสัตว์สิงวิ่งออกปริด |
คือรถไฟใช้สิ้นทุกถิ่นทิศ |
ในแว่นแคว้นแดนอังกฤษหัวเมืองไกล |
หนทางที่รถเดินดำเนินนั้น |
ทำด้วยเหล็กหล่อมั่นไม่หวั่นไหว |
ดูตรงลิ่วแลลิบตลิบไป |
ถึงเขาใหญ่เจาะลอดตลอดรวง |
ถ้าเนินต่ำตัดปราบให้ราบรื่น |
เสมอพื้นดินล่างเหมือนทางหลวง |
ถึงแม่น้ำลำละหานธารทั้งปวง |
จะข้ามห้วงนทีมีสพาน |
ล้วนก่อด้วยศิลาดูหนาแน่น |
ให้รถแล่นล่วงพ้นชลสถาน |
ถ้าที่หลุมลุ่มไถลไม่ได้การ |
ก็คิดอ่านทุ่มถมพอสมควร |
แล้วทำทางวางเรียงแต่เพียงสอง |
บางเจ้าของนั้นมีถึงสี่ถ้วน |
ทางที่ไปมิให้จรกลับย้อนทวน |
ทางที่มามาล้วนไม่มีไป |
ด้วยกลัวจะโดนปะทะทำลายแหลก |
จึงเดินแยกตัดห้ามความสงสัย |
ซึ่งเรียกหาปรากฎว่ารถไฟ |
ใช่เปนไปทุกรถหมดด้วยกัน |
อันเดียวใส่ไฟประจำไว้นำหน้า |
ผูกรัถาต่อต่อล้วนล้อหัน |
ถึงยี่สิบเศษได้ยังไวครัน |
แรงขยันเหลือล้นพ้นกำลัง |
จะไปเร็วก็ไม่ลากให้มากนัก |
ด้วยกลัวหนักผูกพ่วงหน่วงข้างหลัง |
เจ็ดแปดรถไม่เปนไรคงไปปัง |
กำหนดตั้งตำราว่าไว้มี |
ชั่วโมงหนึ่งรถไฟที่ผายผัน |
ถึงสองพันเจ็ดร้อยเส้นเกณฑ์วิถี |
รถที่ไปใส่ขอต่อกันดี |
จัดเปนสี่ชนิดงามตามกระบวน |
รถชนิดหนึ่งนั้นเขาปันช่อง |
เปนสามห้องสวยจริงทุกสิ่งถ้วน |
ห้องหนึ่งสี่คนอยู่พูดพอควร |
หมดประมวญสามห้องสิบสองคน |
มีฟูกเบาะเมาะหมอนล้วนอ่อนอุ่น |
ทำเยิ่นหยุ่นลวดในบ้างใส่ขน |
แล้วหุ้มแพรสักหลาดลาดข้างบน |
จะให้ทนหุ้มหนังที่อย่างดี |
ข้างรัถาฝากระจกทำมิดชิด |
ให้ป้องปิดลมในใส่มุลี่ |
สำหรับบังสุริเยศวิเศษดี |
ล้วนแพรสีแดงฉาดสอาดตา |
รถที่สองไม่สู้งามเปนสามช่อง |
ในแห่งห้องหนึ่งนั้นเขากั้นฝา |
นั่งได้หกคนเติมเพิ่มเข้ามา |
แต่ราคาย่อมเยาค่อยเบาลง |
ยังอิกรถที่สามทรามจะต่ำ |
แกล้งคิดทำไว้ตามความประสงค์ |
คนยากจนหยากไปใจจำนง |
ค่าจ้างคงลดหย่อนผ่อนทุเลา |
แต่รถเลวเช่นนั้นไม่กั้นห้อง |
จำจะต้องปนปะคละกันเข้า |
เก้าอี้นั่งที่พิงไม่พริ้งเพรา |
อนึ่งเล่าหมอนเมาะเบาะไม่มี |
รถชนิดสี่ไว้ได้ใส่ของ |
ช่างตรึกตรองปรารภให้ครบที่ |
บ้างทำคอกเล้าตั้งขังพาชี |
ทั้งคาวีพวกแพะแกะสุกร ฯ |
๏ ในขณะรถไฟเมื่อไววิ่ง |
ช่างเร็วเรียบเปรียบยิ่งยิงลูกศร |
คนมายืนอยู่ที่พื้นแผ่นดินดอน |
หรือมิ่งไม้ใกล้ค่อนข้างริมทาง |
ผู้สถิตย์บนรถหมดทั้งหลาย |
ให้คลับคล้ายคลับคลาในตาพร่าง |
ไม่ทันดูรู้ชัดหัทยางค์ |
ราวกับอย่างเหาะเหินเดินอัมพร |
ริมวิถีมีเสายาวหกศอก |
ตามแถวนอกห่างห่างสล้างสลอน |
แต่ประมาณการแลไม่แน่นอน |
ระยะตอนเห็นจะเปนเส้นสิบวา |
บนปลายเสาลวดขึงไปถึงทั่ว |
ที่ถิ่นหัวเมืองอังกฤษทุกทิศา |
สำหรับบอกเหตุแจ้งแห่งกิจจา |
ด้วยไฟฟ้าเร็วจริงยิ่งกว่าลม |
ใครจะบอกข้อความหรือถามไถ่ |
เจ้าของได้เงินราคาว่าพอสม |
อยู่ถึงห่างต่างประเทศเขตรนิคม |
แต่บรมกรุงศรีนี้ขึ้นไป |
จนนครราชสิมาหรือกว่านั้น |
จะบอกกันไปมาหาช้าไม่ |
เหมือนเรานั่งพูดกันในทันใด |
ได้แจ้งใจสารพัดกระจัดความ |
เราคนนอกบอกเองนั้นมิได้ |
ต้องเล่าไขแก่ผู้เฝ้าให้เขาถาม |
คนต้นลวดที่รักษาพยายาม |
ก็ทำตามลัทธิเคยตริตรอง |
คนข้างโน้นถ้าจะตอบระบอบเบื้อง |
ต้องบอกเรื่องราวรู้ผู้เจ้าของ |
เขาพูดมาว่ากะไรในทำนอง |
คนรับรองอยู่ข้างนี้รู้ทีกัน |
จึงชี้แจงแจ้งแก่เราตามเค้าข้อ |
การตอบต่อเหตุผลชอบกลขัน |
ถึงใครดูก็ไม่รู้สิ่งสำคัญ |
ลัทธินั้นจะเข้าใจต่อได้เรียน ฯ |
๏ ที่ในเมืองลอนดอนนครหลวง |
คนทั้งปวงช่างพินิจสถิตย์เสถียร |
สร้างเปนป่าหลายแห่งตกแต่งเตียน |
ทำความเพียรปลูกต้นไม้โตใหญ่งาม |
พื้นแผ่นดินปลูกหญ้าระดาดาษ |
ดูดังลาดพรมดีไม่มีหนาม |
เขียวสดสีหรดานประสานคราม |
ใครไม่จ้วงล่วงลามไปทำรก |
บรรดาป่าเหล่านี้ล้วนมีชื่อ |
เย็นออกชื้อเฉื่อยฉายร่มไม้ปก |
ไปเดินนั่งฟังเสียงสำเนียงนก |
มีทางบกทางเรือเหลือสบาย |
แม่น้ำล้วนอยู่กลางระหว่างป่า |
ชายชลาริมแควกระแสสาย |
แลลาดเลี่ยนเตียนสอาดมีหาดทราย |
ทำแยบคายแสนสนุกสุขสำราญ |
น้ำขึ้นเรี่ยมเปี่ยมตลิ่งอยู่เปนนิตย์ |
ดูปลื้มจิตต์น่าลงสรงสนาน |
ที่แถวท่าวารีนทีธาร |
ทำสถานตึกแต่งแกล้งบรรจง |
มีนาวาหลายลำประจำไว้ |
ถ้าแม้ใครจงจิตต์คิดประสงค์ |
จะไปชมลำน้ำตามจำนง |
เอาเงินส่งเสียให้เปนได้เรือ |
หยากแล่นใบตีกรรเชียงพร้อมเพรียงสิ้น |
สมถวิลไปได้ทั้งใต้เหนือ |
ขายสุราอาหารคอยจานเจือ |
สนุกเหลือสุดจะร่ำเปนคำกลอน |
อันไฮด์ปาร์กป่านี้ที่ก็กว้าง |
แลสล้างคนผู้ดูสลอน |
เวลาเย็นสุริยาทิพากร |
ราษฎรคลาไคลไปประชุม |
ทั้งผู้ดีเข็ญใจมิได้ว่า |
ต่างปรีดาถ้วนทั่วมามั่วสุม |
บ้างเดินยืนนั่งพูดหยุดชุมนุม |
ที่ใต้พุ่มพฤกษาน่าสบาย |
บ้างก็ขี่รัถาอาชาชาติ |
บ้างลีลาศเดินเท้าเปนเหล่าหลาย |
บ้างแค่นเคาะเยาะเย้ากล่าวภิปราย |
สตรีอายบุรุษแอบเข้าแนบนวล |
หนุ่มคนองผ่องประไพวิไลลักษณ์ |
ก็ชวนชักสาวสาวคราวสงวน |
ขึ้นขี่ม้าคนละตัวทำยั่วยวน |
เฝ้ารบกวนเดินเรียงเคียงกันไป |
เขาแต่งตนงามงามตามภาษา |
ใส่เสื้อผ้าเอี่ยมลออทอด้วยไหม |
แต่ผู้หญิงอังกฤษผิดกับไทย |
ขี่ม้าไม่คร่อมหลังเหมือนอย่างชาย |
เท้าหนึ่งเหยียบโกลนไว้แล้วไพล่ขา |
ดูทีท่าเรี่ยวแรงแขงใจหาย |
คล้ายผู้หญิงเมืองนี้ที่ขี่ควาย |
แต่แยบคายมั่นคงไม่งงเงง |
ถึงพาชีมีพยศจะห้อหก |
ทำเผ่นผกโผนโลดกระโดดเหยง |
ไม่ท้อแท้แก้ไขกันในเพลง |
เปนนักเลงเชิงชาญการอาชา ฯ |
๏ เหล่าขุนนางลางเศรษฐีมั่งมีมาก |
บางคนหยากยิงสัตว์เที่ยวจัดหา |
ซื้อที่ทางกว้างครันหลายพันวา |
ปลูกพฤกษาสูงไสวเหมือนในดง |
แล้วปักรั้วล้อมรอบขอบจังหวัด |
เลี้ยงฝูงสัตว์ไว้ตามความประสงค์ |
กระต่ายเต้นสู่ซุ้มที่พุ่มพง |
มฤคยงย่องหยัดระบัดกิน |
แล้วไปเที่ยวยิงเล่นให้เปนสุข |
แสนสนุกตามจิตต์คิดถวิล |
บ้างขี่ม้าบ้างดำเนินเดินกับดิน |
ในแถวถิ่นท้องนาเที่ยวหานก |
พวกที่เปนผู้ดีมีสมบัติ |
ครั้นได้สัตว์สมหมายสบายอก |
แบ่งไว้กินพอพอแล้วยอยก |
ให้ตามก๊กมิตรสหายชอบใจกัน |
ที่เปนคนจนยากลำบากเหลือ |
ได้นกเนื้อดังฤทัยที่ใฝ่ฝัน |
ไปวางขายในตลาดไม่ขาดวัน |
สารพันหลายหลากดูมากมี |
ทั้งเนื้อโคกวางสมันจนชั้นแกะ |
อิกเนื้อแพะเนื้อกระต่ายขายกับที่ |
เนื้อสุกรเนื้อห่านพานจะดี |
เนื้อปักษีเป็ดไก่ไข่กุ้งปลา |
เต่าตนุม่านลายเขาขายมาก |
ใครนึกหยากสมมาดปราร์ถนา |
ในตลาดมิได้ขาดสักเวลา |
ผลพฤกษานั้นน้อยถดถอยทราม |
เห็นเปนรองเมืองไทยไกลกันชัด |
สารพัดเรื่องราคาแล้วอย่าถาม |
ช่างแพงเหลือเบื่อใจไม่ได้ความ |
ถ้าโต๊ะงามแต่งเลี้ยงเพียงสักครา |
คงสิ้นเงินมากมายเปนหลายชั่ง |
โดยลำพังจัดแจงแสวงหา |
เมื่อทูตไทยไปอยู่ในนัครา |
นางพระยาโปรดให้อาศรัยพัก |
ในกลาริชโฮเต็ลได้เปนสุข |
ที่นั่งลุกงามงดสมยศศักดิ์ |
ประเสริฐกว่าเรือนเย่าของเรานัก |
ด้วยพร้อมพรักคนใช้ระไวระวัง |
เมื่อเวลาสุริแสงแจ้งกระจ่าง |
ตื่นนอนล้างพักตร์เสร็จสำเร็จหวัง |
จึงแต่งกายดูให้งามตามกำลัง |
ใบบานบังอย่างที่เคยเผยออกไว้ |
นางสาวสาวขาวล้วนนวลฉวี |
ก็ยกที่ถ่านศิลาอัชฌาสัย |
เข้ามาล่อพอให้ชื่นติดฟืนไฟ |
เอาผ้าไปเช็ดถูตามตู้เตียง |
ที่นั่งนอนฟูกฟูก็ปูปัด |
ประจงจัดจนครบไม่หลบเลี่ยง |
น้ำกินใช้ใสดีใส่ที่เรียง |
แล้วกล่าวเกลี้ยงลากลับไปฉับพลัน |
ครั้นเย็นค่ำก็มาทำเหมือนเช่นเช้า |
อุส่าห์เฝ้าจัดแจงแขงขยัน |
เอาเทียนปักเชิงรองไว้สองอัน |
พอจุดไฟในนั้นตลอดคืน |
ที่บนราวเช็ดหน้าใส่ผ้าใหม่ |
เอาเก่าไปซักน้ำไม่ซ้ำผืน |
มิได้ขาดคราวครั้งช่างยั่งยืน |
เปนที่ชื่นวิญญาน่าสบาย |
แล้วมีหมอหมั่นดูอยู่รักษา |
ใครป่วยไข้ให้ยาไปจนหาย |
มาตรวจตราเช้าเย็นไม่เว้นวาย |
บุญมากมายเหมือนเราเปนเจ้าพระยา ฯ |
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงพระศรีสุริเยศ |
จรประเวศแผ้วผ่องห้องเวหา |
เวลาก่อนเสพย์รสโภชนา |
คนบรรดาที่สำหรับเคยรับการ |
ยกถาดใหญ่ใส่น้ำชาเข้ามาตั้ง |
ขนมปังจืดสนิทไม่ติดหวาน |
กับเนยเหลวนมโคโถน้ำตาล |
ให้รับประทานเสร็จสรรพยกกลับไป |
ครั้นถึงสี่โมงเช้าเลี้ยงเข้าสวย |
เป็ดไก่รวยเสร็จสิ้นกินไม่ไหว |
ทั้งกุ้งหมูปูปลาเอามาไว้ |
ตามชอบใจสารพัดไม่ขัดแคลน |
เวลาเที่ยงเลี้ยงน้ำชาผลาผล |
กินออกจนมิได้หยุดช่างสุดแสน |
ขนมจืดขนมหวานจานแบนแบน |
อีกเหล้าแวนเบียดำทั้งชำเปน |
พอสามโมงบ่ายเบี่ยงก็เลี้ยงเข้า |
มิให้เศร้าโศกกายระคายเข็ญ |
ปรนิบัติพวกเราทั้งเช้าเย็น |
ไม่วายเว้นละเลยทำเฉยเชือน |
ถึงสองทุ่มมีน้ำชากับกาแฟ |
โดยกระแสเลี้ยงกลางวันแม่นมั่นเหมือน |
เวลากินมิให้พักต้องตักเตือน |
ไม่คลาสเคลื่อนโมงยามตามสัญญา |
ขณะเลี้ยงหรือว่าเวลาไหน |
ถ้าทูตไทยมุ่งมาดปราร์ถนา |
จะกินของดีดีมีราคา |
สั่งบรรดาคนใช้เปนได้การ |
คงสืบเสาะซื้อหาเอามาให้ |
แพงเท่าไรตามราคาไม่ว่าขาน |
แม้เมืองหลวงในตลาดนั้นขาดร้าน |
มีถึงบ้านเมืองเขตรประเทศไกล |
คงบอกไปโดยสายเตเลคราฟ |
ข้างโน้นทราบหาส่งมาจงได้ |
เปรียบเหมือนพิษณุโลกโศกโขทัย |
มารถไฟกึ่งวันได้ทันกิน ฯ |
๏ เมื่อพวกทูตอยู่นครลอนดอนนั้น |
จะผายผันคลาไคลใจถวิล |
ถึงใกล้ไกลนัคเรศเขตรบุรินทร์ |
คงสมจินตนานึกที่ตรึกตรา |
จะไปด้วยรถไฟได้ดังจิตต์ |
ก็เหมือนคิดมุ่งมาดปราร์ถนา |
หรือจะไปรถเรี่ยมเทียมอาชา |
ตามปัญญามิได้ฝืนขืนนิยม |
จะเที่ยวดูการงานทั่วฐานถิ่น |
ของวิเศษเสร็จสิ้นทุกสิ่งสม |
ต่อต้องเสียเงินให้จึงได้ชม |
อย่าปรารมภ์หวาดหวั่นกระศัลย์ทรวง |
ด้วยสมเด็จนารินทร์ปิ่นอับสร |
มีสุนทรตรัสสั่งพระคลังหลวง |
ให้ใช้เงินแทนเหล่าเราทั้งปวง |
จะตั้งตวงสักเท่าไรไม่ประมาณ |
แต่วันทูตถึงพักนัคเรศ |
ในขอบเขตรกรุงไกรอันไพศาล |
สี่เดือนเศษอิกเจ็ดทิวาวาร |
จึงกลับออกนอกชานพระเวียงไชย ฯ |
๏ มาถึงแถวแนวชลาที่ท่าน้ำ |
ชื่อโดเวอเออกรรมทำไฉน |
จะต้องข้ามเขตรมหาชลาลัย |
ลงเรือไฟเร่งรุดไม่หยุดนาน |
ครั้นถึงฝั่งฝรั่งเศสเขตรกาลิศ |
ค่อยเบาจิตต์อกใจผ่องใสสานต์ |
มิศเฟาล์รู้รอบประกอบการ |
จึงคิดอ่านพาให้พวกไทยจร |
ขึ้นสำนักพักบนโฮเต็ลตึก |
จนยามดึกนิ่งหลับอยู่กับหมอน |
ครั้นรุ่งแรงแสงศรีระวีวร |
ก็รีบร้อนรับประทานอาหารพลัน |
แล้วไปขึ้นรถไฟครรไลลิ่ว |
ดูดังปลิวเร็วนักด้วยจักรผัน |
สักครู่หนึ่งถึงวิถีที่สำคัญ |
ทำป้อมใหญ่ไว้กันศัตรูกวน |
พร้อมศัสตราอาวุธสุดวิเศษ |
รักษาเขตรขอบแดนแสนสงวน |
ตั้งสง่าน่าชมช่างสมควร |
ใครจะลวนลามล่วงจ้วงประจญ |
บ่ายโมงครึ่งถึงตึกที่สำนัก |
แวะเข้าพักกินน้ำชาผลาผล |
แล้วขึ้นรถรีบรัดไปบัดดล |
สุริยนจวนค่ำจะย่ำเย็น |
ถึงเมืองหลวงเปนกระทรวงกษัตริย์สร้าง |
สิ้นหนทางรถนั้นเก้าพันเส้น |
มิศเฟาล์นำเข้าในโฮเต็ล |
สำหรับเปนที่อาศรัยคนไปมา |
เมืองนั้นชื่อปาริศวิจิตรเหลือ |
ล้วนชาติเชื้อฝรั่งเศสเพศภาษา |
คนที่ในธานีย่อมปรีชา |
เรืองปัญญาเลิศล้นด้วยกลไก ฯ |
๏ ครั้นสายแสงแจ้งกระจ่างขุนนางหนึ่ง |
เข้ามาถึงที่ทูตหยุดอาศรัย |
แล้วเชิญชวนพวกนายข้างฝ่ายไทย |
ไปตึกใหญ่ชมของเนืองนองอนันต์ |
มีรูปเขียนรูปศิลานานาอเนก |
ช่างสรรเสกสร้างสมดูคมขัน |
รูปมนุษย์หญิงชายมากมายครัน |
สิ่งสำคัญต่างต่างเอาวางราย |
บ้างเปนของจีนแขกแปลกประหลาด |
ชนิดชาติอื่นเจือก็เหลือหลาย |
ของพม่ามอญลาวชาวทวาย |
ล้วนแยบคายชอบกลให้คนดู |
ได้เห็นถ้วนหวนกลับมายับยั้ง |
เฝ้าเติมตั้งทุกข์ร้อนจนอ่อนหู |
โอ้หนาวลมพรมพร่างน้ำค้างพรู |
เข้าห้องสู่แท่นบรรจ์ถรณ์อ่อนอุรา |
รำคาญเหลือเมื่อไรจะได้กลับ |
แต่นั่งนับวันคิดขนิษฐา |
พอผอยหลับไปกับที่ศรีไสยา |
จนเวลาผ่องพื้นโพยมบน |
ชวนกันออกจากที่แล้วลีลาศ |
เที่ยวประพาสร้านห้างทางถนน |
จนเบี่ยงบ่ายชายศรีสุริยน |
ก็ต่างคนต่างกลับมาฉับพลัน ฯ |
๏ เอมเปอเรอเธอมีบัญชาใช้ |
เสนาในเชิงชาญการขยัน |
ให้คุมรถงดงามทั้งสามคัน |
มาเรียงรันรอประทับกับทวาร |
คนหนึ่งเปนสารถีขี่ข้างหน้า |
ท้ายรัถาสองนายฝ่ายทหาร |
ยืนประจำทำสง่าท่าทยาน |
สวยสอ้านหมวกใส่สายสุวรรณ |
มาเชิญพวกทูตไทยเข้าไปเฝ้า |
พระจอมเจ้าฝรั่งเศสผ่านเขตรขัณฑ์ |
ต่างจัดแจงแต่งกายให้พรายพรรณ |
ครั้นพร้อมกันไคลคลามาขึ้นรถ |
ไปสู่เขตรพระนิเวศน์วังกษัตริย์ |
โสมนัศหยุดนั่งอยู่ทั้งหมด |
จนสองโมงสุริยงเธอลงลด |
พระทรงยศจึงเสด็จประเวศมา |
กับเอกองค์มเหษีนารีราช |
ยลวิลาศวรลักษณ์ดังเลขา |
เกี่ยวพระกรเดินเรียงเคียงลีลา |
ตำรวจหน้าแปดนายล้วนชายชาญ |
เอมเปอเรอเครื่องทรงอลงกฎ |
พร้อมทั้งหมดเหมือนฝ่ายนายทหาร |
อันเอกองค์กัลยายุพาพาน |
แต่งสครานตามธรรมเนียมเสงี่ยมงาม |
พวกทูตยืนขึ้นพร้อมนอบน้อมเกศ |
พระทรงเดชหยุดดำรงแล้วทรงถาม |
อีกทั้งองค์นางกษัตริย์ก็ตรัสตาม |
ที่ข้อความโดยในเรื่องไมตรี |
สนทนาทูตานุทูตถ้วน |
ให้สมควรพอพักตร์เปนศักดิ์ศรี |
พอสรรพเสร็จแล้วเสด็จจรลี |
เข้าในที่ห้องรัตน์ชัชวาลย์ |
ข้างพวกเราเล่าก็พากันมาหมด |
ขึ้นสู่รถกลับหลังยังสถาน |
แล้วไปชมวัดใหญ่สบายบาน |
น่าสำราญโบสถ์รามงามบรรจง ฯ |
๏ ในนั้นมีที่ตั้งจะฝังศพ |
พระจอมภพมิ่งเมืองเรืองระหง |
นะโปเลียนปูนะปาตอันอาจองค์ |
สิ้นชีวงวอดวายมาหลายปี |
แต่ว่าศพยังไว้มิได้ฝัง |
ใส่หีบตั้งอยู่ในห้องไม่หมองศรี |
เธอเปนราชบิตุลาเจ้าธานี |
พระองค์นี้คือหลานผ่านนคร |
จึงให้แต่งหลุมหวังจะฝังศพ |
ด้วยเคารพทรงพระอนุสร |
กตัญญูรู้คุณอันสุนทร |
ให้ถาวรเกียรติยศปรากฎไป |
อันหลุมนั้นกว้างประมาณสถานที่ |
ราวสักสี่วาถ้วนพอควรได้ |
คเนนึกโดยลึกกำหนดใจ |
เห็นอยู่ในสามวาไม่กว่านั้น |
แต่ข้างหลุมก่อล้วนศิลาขาว |
ลายออกพราวพรายเนตรวิเศษสรรพ์ |
ที่สำหรับรับศพมีครบครัน |
อยู่กลางคันยิ่งยวดด้วยลวดลาย |
โมราดีสีดำทำประดับ |
แลสลับเลื่อมเพราเปนเงาฉาย |
คิดตัวอย่างวางแบบช่างแยบคาย |
ของทั้งหลายยังไม่เสร็จสำเร็จการ |
ได้ดูทั่วคืนหลังมายังตึก |
อนาถนึกข้อนอุราน่าสงสาร |
ขึ้นบรรจ์ถรณ์ร้อนฤทัยอาลัยลาน |
เหลือรำคาญคิดอยู่ไม่รู้วาย |
จนดวงเดือนเลื่อนเลี้ยวเหลี่ยมศิงขร |
ดารากรลับฟ้าเวหาหาย |
กระจ่างแจ้งสุริยันพรรณราย |
ก็แต่งกายแล้วเลยเผยทวาร |
พอประสบพบคุณมณเฑียรพิทักษ์ |
จึงชวนชักกันออกนอกสถาน |
เปนสามนายทั้งฝ่ายคุณพิจารณ์ |
ต้องรับการแทนทูตไปพูดจา |
เที่ยวเยี่ยมเยือนเจ้านายเปนหลายแห่ง |
อีกตำแหน่งมนตรีมียศถา |
ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพก็กลับมา |
กินเข้าปลาอิ่มหนำค่อยสำราญ |
แต่พวกทูตหยุดอาศรัยในปาริศ |
ถ้าจะคิดวันต้นจนอวสาน |
เจ็ดราตรีหกทิวาไม่ช้านาน |
ครั้นถึงกาลกำหนดจะบทจร ฯ |
๏ บรรดาไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทั้งนั้น |
เกษมสันต์ภิญโญสโมสร |
ขึ้นรถไฟแล้วออกนอกนคร |
เข้าดงดอนแดนป่าพนาเนิน |
จะเชยชมสกุณาพฤกษาไสว |
ที่มีในแนวลำเนาภูเขาเขิน |
พอสร่างเศร้าเบาอุราค่อยพาเพลิน |
รถก็เดินวับวู่ดูไม่ทัน |
ถึงอาชาเชิงชาญชำนาญห้อ |
ไม่อาจรอรบสู้ดูน่าขัน |
อันปักษินแม้จะบินแข่งพนัน |
อย่าหมายมั่นว่าจะได้ชัยชนะ |
ไปตามทางข้างวิถีมีตำแหน่ง |
ทุกหนแห่งตึกตั้งโดยจังหวะ |
เขาทำที่โฮเต็ลเปนระยะ |
สำหรับจะได้หยุดสุดสำราญ |
ถึงเวลาบ่ายค่ำเข้าสำนัก |
ให้ผ่อนพักรัถาเสพย์อาหาร |
ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพรับประทาน |
ไม่อยู่นานรีบไปในกลางคืน |
น้ำค้างพราวหนาวอกวิตกเหลือ |
ถึงมีเสื้อผ้ากันสักพันผืน |
เอาคลี่คลุมกลุ้มจิตต์ดังพิษปืน |
สุดจะฝืนอารมณ์ตรมฤทัย ฯ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าราวประมาณสักโมงหนึ่ง |
ก็ลุถึงแขวงแควกระแสใส |
มีบุรีริมที่ชลาลัย |
ขึ้นกรุงไกรฝรั่งเศสเปนเขตรคัน |
นามสำเหนียกเรียกว่าเมืองมาเซ |
อยู่ใกล้ใกล้ชายทเลไม่ขึงขัน |
มิศเฟาล์นำหน้าพาจรัล |
ก็พร้อมกันตรงโร่ขึ้นโฮเต็ล |
แต่ปารีศตรงไปไม่ไพล่เผล |
จนมาเซสามหมื่นหกพันเส้น |
ครั้นบ่ายแสงสุริยาเวลาเย็น |
ก็จำเปนขึ้นรถบทจร |
พอถึงท่าเห็นนาวากาเรดอก |
ระอาออกอ่อนใจฤทัยถอน |
อยู่บนบกวกลงมาในสาคร |
จะนั่งนอนไม่มีสุขต้องทุกข์ทน |
แล้วดำเนินเดินคลาลงนาเวศ |
สุริเยศลับหล้าเวหาหน |
ยังไม่จรถอนสมอจรดล |
ด้วยมืดมนท์ออกยากลำบากครัน |
คอยอยู่จนเวลาห้าโมงเช้า |
ยิ่งร้อนเร่ารุ่มจิตต์คิดกะสัน |
แสนสงสารมิศเฟาล์ไม่เบาบัน |
จำจากกันอนิจจานึกอาลัย |
เคยเปนคนปรนิบัติไม่ขัดขวาง |
มาเริศร้างแรมนิราน้ำตาไหล |
เขาปรานีที่ตรงเราสู้เอาใจ |
มิได้ให้ขุ่นข้องหมองวิญญา |
จะออกจากเมืองลอนดอนนครหลวง |
ก็มีห่วงผูกรักเปนนักหนา |
อุส่าห์สู้พยายามติดตามมา |
จนถึงท่าฝรั่งเศสสิ้นเขตรแดน |
เมื่อบอกว่าจะขอลาครรไลกลับ |
ให้วาบวับทรวงสลดกำสรดแสน |
ถึงเปนเพื่อนเหมือนญาติเมื่อขาดแคลน |
เสมอแม้นน้องสนิทร่วมบิดา |
นิจาเอ๋ยเมื่อไรเลยจะยลพักตร์ |
เสียดายนักเช้าเย็นเคยเห็นหน้า |
ต้องไกลกลับลับเนตรเวทนา |
ทั้งสองข้างต่างลาน้ำตาคลอ ฯ |
๏ เห็นแสงสายฝ่ายกัปตันชาญฉลาด |
จะคลาคลาศรีบร้อนถอนสมอ |
น้ำเดือดพลั่งดังฉ่าไม่รารอ |
เปิดหลอดหวอหวิวไหวใจพะวง |
มิศเฟาล์เขาก็ลาลงเรือน้อย |
ค่อยเลื่อนลอยเข้าฝั่งดังประสงค์ |
พี่ยืนดูอยู่บนท้ายหมายจำนง |
หวังจะส่งให้ประจักษ์ความรักเรา |
แต่ลาแล้วแล้วยังไปไม่สดวก |
กลับถอดหมวกหันหน้ามาลาเล่า |
ทำหนักหน่วงห่วงใยมิใช่เบา |
ควรรักเขานับถือว่าซื่อตรง |
พอจักรหมุนเรือวิ่งตลิ่งลับ |
หทัยวับหวั่นไหวอาลัยหลง |
ใจหนึ่งหมายไปประสบพบอนงค์ |
ใจหนึ่งคงอยู่ที่เพื่อนไม่เคลื่อนคลาย |
แล้วหักห้ามความโศกให้สร่ างเศร้า |
อะไรเรามัวหมางไม่ห่างหาย |
มิควรค่อนร้อนรำพึงถึงผู้ชาย |
ต่างคนหมายตั้งหน้าไปหาเมีย |
ครั้นคิดได้วายว่างค่อยห่างทุกข์ |
มีความสุขเสื่อมเศร้าบันเทาเสีย |
ที่ตรมตรองหมองมัวไม่นัวเนีย |
ละห้อยละเหี่ยเหือดหายสบายใจ |
มาสองวันบรรลุถึงถิ่นเกาะ |
เกิดจำเพาะกลางมหาชลาไหล |
ชื่อว่าเมืองมอลตาเมื่อขาไป |
ได้อาศรัยหยุดหย่อนผ่อนสำราญ ฯ |
๏ ขอยกเรื่องเมืองเก่าไม่กล่าวแจ้ง |
ถึงตำแหน่งธานีที่สถาน |
แวะเข้าพักอยู่สี่ราตรีกาล |
พอรับถ่านเสร็จพลันจะครรไล |
แอดมิรัลให้ล่ามตามไปส่ง |
จนสุเอศเขตรลงชลาไหล |
อันล่ามนี้ดีล้นคนเข้าใจ |
เขาพูดได้หลายภาษาปรีชาชาญ |
ครั้นพร้อมเสร็จแสงสายจะผายผัน |
ฝ่ายกัปตันตัวฉลาดอันอาจหาญ |
ให้ใช้จักรมากลางทางกันดาร |
สี่วันวารถึงท่าหน้าบุรี |
ชื่ออาเล็กแซนเดอไม่เผลอพลั้ง |
เคยยับยั้งปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ยังจำได้สารพัดถนัดดี |
ด้วยเปนที่หยุดอยู่รู้ตำบล |
เจ้าเมืองจัดนาวาให้มารับ |
ก็พร้อมพรั่งคั่งคับกันสับสน |
บรรดาไทยยี่สิบเจ็ดเสร็จทุกคน |
จรดลขึ้นอาศรัยอยู่ในวัง |
ขุนนางใหญ่นายหนึ่งมาคอยรับ |
ต่างคำนับด้วยไมตรีมีแต่หลัง |
แล้วแจ้งความแก่ท่านทูตพูดให้ฟัง |
เจ้าไกโรเธอยังไม่กลับมา |
มีธุระขึ้นไปข้างปลายน้ำ |
ได้สั่งซ้ำกำชับไว้กับข้า |
ว่าพวกทูตเมืองไทยที่ไคลคลา |
แม้กลับมาถึงเขตรประเทศเรา |
จงรับรองเยี่ยมเยือนเหมือนแต่ก่อน |
ให้พักผ่อนตามสบายน้ำใจเขา |
จัดขุนนางที่รู้จักการหนักเบา |
ประจำเฝ้าคอยเปนล่ามตามจะใช้ |
สิ่งอันใดทูตไทยหวังประสงค์ |
โดยจำนงจินดาอัชฌาสัย |
อย่าทานทัดขัดข้องให้หมองใจ |
กว่าจะได้จรดลพ้นนคร |
ถ้าหยากเฝ้าเจ้าไกโรภิญโญยศ |
ขอเชิญงดสี่ห้าเวลาก่อน |
ราชทูตฟังแจ้งแห่งสุนทร |
จึงเยื้อนย้อนตอบตามเนื้อความใน |
เราจงจิตต์คิดไว้จะใคร่พบ |
แต่ปรารภเห็นการนานไม่ได้ |
ด้วยเรือรบสำหรับมารับไทย |
ถ้าช้าไปเขาจะพลอยคอยป่วยการ |
ฝ่ายอำมาตย์จึงว่าถ้าเช่นนั้น |
จะผายผันจากบุเรศประเทศสถาน |
เจ้าไกโรมีกำหนดพจมาน |
ให้นายล่ามพนักงานที่ดูแล |
ไปตามส่งลงถึงลำกำปั่น |
ยังขอบคันเมืองสุเอศเขตรกระแส |
ราชทูตตอบความให้ล่ามแปล |
อย่างนี้แท้รักรอบเราขอบใจ |
เสร็จยุบลสนทนาก็ลากลับ |
ทูตประทับอยู่ในวังยั้งอาศรัย |
กำหนดถ้วนสามวันก็ครรไล |
ขึ้นรถไฟไปไกโรมโหฬาร ฯ |
๏ เมื่อถึงที่รัถามาคอยรับ |
คนสำหรับนำหน้าม้าทหาร |
เชิญให้ทูตพักผ่อนเหมือนก่อนกาล |
ในสถานโฮเต็ลเปนสบาย |
อยู่ในนั้นสามวันขุนนางล่าม |
มาแจ้งความตามเค้าเล่าขยาย |
ว่าสุเอศเขตรแควกระแสชาย |
เขาบอกสายเตเลคราฟให้ทราบการ |
ซึ่งกำปั่นแอดมิรัลมีบังคับ |
ให้มารับทูตไทยดังบรรหาร |
บัดนี้ถึงท่าพลันเมื่อวันวาน |
สุดแท้จะโปรดปรานประการใด |
ได้ฟังสารปานอำมฤตรส |
ที่กำสรดมัวหมองค่อยผ่องใส |
ครั้นพลบค่ำย่ำเย็นลงไรไร |
สำราญใจหลับนอนผ่อนอารมณ์ ฯ |
๏ จนรุ่งเช้าราวประมาณสี่โมงครึ่ง |
บ้างอื้ออึงแซ่สำเนียงเสียงขรม |
จะเร่งไปใจตรึกนึกนิยม |
หวังไปชมเพื่อนยากที่จากจร |
ชวนกันขึ้นรถไฟมิได้หยุด |
ด้วยแสนสุดร้อนรึงคนึงสมร |
เวลาค่ำยามหนึ่งถึงนคร |
ชโลทรท่าสุเอศเขตรทเล |
ครั้นรุ่งแรงแสงอรุณกงสุลใหญ่ |
มาแจ้งใจความนั้นกลับหันเห |
แสนวิตกอกโอ้มาโรเร |
นึกคะเนไหนจะสมยิ่งตรมทรวง |
เรือที่ว่าจะมารับกลับมิใช่ |
เปนเรือใช้สะระเวทเลหลวง |
จะได้รู้ลึกตื้นพื้นทั้งปวง |
ในแห่งห้วงหินผาทุกท่าทาง |
คนที่คอยส่องกล้องมองเขม้น |
พอแลเห็นเรือไฟใบสล้าง |
สำคัญคิดจิตต์แจ้งไม่แคลงคลาง |
ว่าจะมารับขุนนางพวกทูตไทย |
ไม่รอรั้งฟังศัพท์ให้ซับทราบ |
ด่วนบอกสายเตเลคราฟไปขานไข |
หนึ่งเมืองนี้เล็กน้อยจ้อยสุดใจ |
ที่อาศรัยคับแคบไม่แยบคาย |
ทั้งอาหารการกินก็ขัดสน |
ไม่มีคนหยากมาคิดค้าขาย |
เมืองไกโรโฮเต็ลเห็นสบาย |
ของทั้งหลายบริบูรณ์มากมูลมี |
ท่านจะไปไกโรหรือไฉน |
ตามแต่ใจหรือสมัคพักอยู่นี่ |
ราชทูตตอบต่อข้อคดี |
มาถึงที่แล้วจะไปก็ไม่ควร |
อันลำบากอดหยากแต่เพียงนี้ |
มิได้มีความวิโยคโศกกำสรวญ |
ทั้งกินนอนไม่ร้อนอารมณ์ครวญ |
หมดประมวญจะขออยู่ในบูรี |
จนถึงวันกำปั่นรบเข้ามารับ |
จะลากลับหมายมุ่งไปกรุงศรี |
ฝ่ายกงสุลฟังว่าไม่ราคี |
จึงพาทีสั่งไว้ด้วยใจจง |
ถ้าพวกทูตมีธุระเปนไฉน |
ให้คนไปแจ้งความตามประสงค์ |
คงจะช่วยจนสำเร็จเสร็จจำนง |
แล้วลาลงด่วนเดินดำเนินจร ฯ |
๏ แต่พวกไทยอยู่ในตำแหน่งนั้น |
ถึงสามวันจึงได้แจ้งแห่งอักษร |
ว่าเรือรบที่มากลางสาคร |
จะรีบร้อนให้ถึงนี่ในสี่วัน |
แรมเจ็ดค่ำเดือนห้าเวลาดึก |
ก็สมนึกแน่จิตต์ไม่ผิดผัน |
เหมือนสาราข้อสัญญาของกัปตัน |
เรือกำปั่นถึงท่าที่หน้าเมือง |
ครั้นรุ่งแรงแสงสว่างกระจ่างฟ้า |
กัปตันมาเล่าแจ้งแสดงเรื่อง |
จะรับทูตคืนกรุงอันรุ่งเรือง |
แต่ว่าเครื่องกลไกที่ในเรือ |
สนิมหนักจักรจัดต้องขัดสี |
ให้เดินดียาวยืดไม่ฝืดเฝือ |
กับสะเบียงอาหารจะจานเจือ |
ของยังเหลือไม่กี่มื้อต้องซื้อเติม |
ได้ฟังคำจำช้าเวลาเลื่อน |
เหมือนตวงเตือนความระกำให้ซ้ำเสริม |
โอ้ทนทุกข์เวทนามาแต่เดิม |
จะพูนเพิ่มขึ้นอิกเล่าเปนคราวเคราะห์ ฯ |
๏ สิบสี่ค่ำเดือนห้าเวลาบ่าย |
แสนสบายเบาใจดังได้เหาะ |
ลงเรือไฟพร้อมพรั่งนั่งหัวเราะ |
ให้แล่นเลาะตามร่องท้องทเล |
ถึงประทับกับกำปั่นสำราญรื่น |
ก็แช่มชื่นชักชวนกันสรวลเส |
แสนสุขาอารมณ์สมคเน |
บ้างฮาเฮพูดเล่นเจรจา |
กัปตันให้ยิงสลูตทูตสยาม |
คำนับตามเยี่ยงอย่างต่างภาษา |
สิบเก้านัดจัดไว้ในตำรา |
ธรรมดารับทูตสลูตปืน |
ข้างพวกเขาเหล่าขุนนางต่างตกแต่ง |
ตามตำแหน่งยศถาไม่ฝ่าฝืน |
มาพร้อมเพรียงเรียงเรียบระเบียบยืน |
ล้วนแต่พื้นพวกทหารชาญณรงค์ |
จะใกล้ค่ำคล้ำฟ้านภากาศ |
นึกอนาถน่าคิดพิศวง |
เปนไฉนไยหนอพระสุริยง |
จึงตกลงในที่นทีธาร |
เมื่ออุทัยแจ่มแจ้งเห็นแสงส่อง |
ขึ้นจากท้องวังวลชลฉาน |
หรือจะเปนเช่นอังกฤษเขาคิดการ |
ว่าสัณฐานโลกกลมเหมือนส้มโอ |
พระอาทิตย์อยู่ที่เดียวไม่เลี้ยวเลื่อน |
แต่โลกเคลื่อนหมุนหันขันอักโข |
อันพื้นแผ่นแดนไตรก็ใหญ่โต |
เราคนโง่คิดไม่เห็นเปนอย่างไร |
พอน้ำเดือดถอนสมอไม่รอรั้ง |
เสียงจักรดังดูธารสท้านไหว |
ออกจากที่หน้าสุเอศเขตรเวียงไชย |
เลยครรไลล่วงมาในราตรี ฯ |
๏ ได้เจ็ดวันถึงเบื้องเมืองมักหะ |
ร่มระยะแขวงแควกระแสศรี |
เปนชาติเชื้อแขกอาหรับช่างอัปรี |
ดูบุรีโซเซเกเรเกนัง |
ถ่านที่ใช้ในเรือไม่เหลือหลอ |
จะแล่นต่อไปไม่ได้ดังใจหวัง |
ต้องแวะจอดทอดสมอเข้ารอฟัง |
เที่ยวเซซังถามไถ่ก็ไม่มี |
ได้แต่ฟืนเล็กน้อยคอยยังค่ำ |
พอประจำใช้พลางกลางวิถี |
ต้องรอขนจนเวลาเข้าราตรี |
แล้วจรลีล่วงมาในสาคร ฯ |
๏ คืนกับวันบรรลุถึงสถาน |
ป้อมปราการเอเดนเปนศิงขร |
ก็ตรงเข้าอ่าวมหาชโลทร |
ให้พักผ่อนรับถ่านการสำคัญ |
ครั้นรุ่งแสงสุริยานภากาศ |
ผ่องโอภาสพรรณรายขึ้นฉายฉัน |
บรรดาพวกราชทูตนั่งพูดกัน |
ฝ่ายกัปตันก็มาแจ้งแสดงการ |
ราชทูตรับตามเนื้อความสิ้น |
เขาจึงผินสั่งฝ่ายนายทหาร |
ให้ไปด้วยจะได้ช่วยดูการงาน |
อภิบาลเภทภัยระไวระวัง |
แล้วจัดแจงนาวาให้มาส่ง |
โดยประสงค์เสร็จสมอารมณ์หวัง |
ขึ้นอาศรัยตึกรามตามลำพัง |
ได้ยับยั้งสองทิวาก็คลาไคล |
ลงกำปั่นผันผายออกจากที่ |
แต่เต็มทีลมกล้าฝ่าไม่ไหว |
มาหลายวันสลาตันค่อยซาไป |
กัปตันให้พวกเล็กเล็กเด็กผู้ชาย |
ขึ้นหัดริบใบก้านบนร้านเสา |
เมื่อลงเล่าหัวหกพลัดตกหงาย |
มากระทบถูกสีข้างแทบวางวาย |
จนเจียนตายตกน้ำระยำยับ |
เหล่าลูกเรือแลกัปตันพากันวิ่ง |
ปล่อยทุ่นทิ้งลอยไปจะได้จับ |
เอาเรือลงเร่งให้รีบไปรับ |
แล้วพากลับคืนมาไม่ช้าที |
หมอก็ดูรู้แท้แน่ตระหนัก |
ซี่โครงหักยุบพร่องไปสองซี่ |
จึงเอาผ้าผูกพันเปนอันดี |
ให้นอนที่เปลไปหลายเวลา |
แล้วมีคนปรนิบัติไม่ขัดขวาง |
อยู่เคียงข้างคอยพิทักษ์ดูรักษา |
ฝ่ายว่าหมอต่อกระดูกให้หยูกยา |
สักสิบห้าวันได้ก็หายดี ฯ |
๏ เวลาหนึ่งสุริฉายลงบ่ายคล้อย |
เปนฝนฝอยมืดมัวทั่ววิถี |
สลาตันพัดกล้าจนนาวี |
เกือบเสียทีอับปางลงกลางคัน |
ลูกเรือทำการงานพานจะขัด |
ด้วยคลื่นซัดซวนเซหัวเหหัน |
แต่จะขึ้นเก็บใบก็ไม่ทัน |
เสาสะบั้นหักยับทับลงมา |
ใบสบัดขาดลิ่วปลิวออกว่อน |
พี่เร่าร้อนคิดถึงตัวกลัวหนักหนา |
ละลอกจัดพัดเข้าในนาวา |
บนดาดฟ้าหีบห้อยลอยเปนแพ |
ที่ชั้นล่างวางลึกลุยเพียงเข่า |
ดูของเข้ากลิ้งกลอกเหมือนจอกแหน |
บ้างเปียกปอนมอซอคะยอคะแย |
เสียงออกแซ่ชุลมุนออกวุ่นวาย |
บ้างพรั่นตัวกลัวชีวิตจะปลิดปลด |
แสนกำสรดสุดที่คิดหนีหาย |
บ้างบนเจ้าเฝ้านทีคิรีราย |
ถ้ารอดตายได้เปนแน่คงแก้บน |
บ้างร้องว่าเดชะบุญคุณพระช่วย |
อย่าให้ม้วยวายวางเสียกลางหน |
บ้างคิดถึงจอมนเรศร์เกศสกนธ์ |
จะสิ้นชนม์เชิญช่วยด้วยสักคราว |
บ้างคิดคุณแม่พ่อเปนที่พึ่ง |
บ้างคนึงนึกละเหี่ยถึงเมียสาว |
อสุชลล้นหลั่งลงพรั่งพราว |
ทำตาขาวหมดทุกคนวิ่งวนเวียน |
ถึงคนใดใจกล้าก็หน้าม่อย |
ดูจิ๋วจ๋อยถอนสอื้นบ้างคลื่นเหียน |
เหลือกำลังพลั่งพลวกอวกอาเจียน |
สะอิดสะเอียนอกใจไม่สบาย |
ละลอกจัดพัดกำปั่นฝ่าฟันคลื่น |
นภางค์พื้นกึกก้องคะนองสบาย |
สักครึ่งโมงเรือโคลงที่แคลงกาย |
พอฝนหายสลาตันนั้นก็ซา |
กัปตันให้เปลี่ยนใบแล้วใส่เสา |
อีกเชือกเพลาผลัดใหม่ไวหนักหนา |
แล้วสำเร็จเสร็จสิ้นดังจินดา |
ในเวลาเดียวพลันได้ทันการ ฯ |
๏ อีกห้าวันมากลางทางทุเรศ |
ถึงประเทศเกาะลังกามหาสถาน |
มีแหลมใหญ่อยู่ในนทีธาร |
แต่บุราณเรียกว่าเมืองคาลี |
สำหรับไว้ถ่านหินเปนถิ่นท่า |
เรือไฟมาในระหว่างทางวิถี |
ถ้าขัดสนเสียการถ่านไม่มี |
เข้าจอดที่รับขนมาจนพอ |
ครั้นเรือเราเข้าไปถึงในอ่าว |
เสียวโซ่กราวโกร่งกร่างวางสมอ |
เจ้าเมืองนี้ดีกะไรน้ำใจฅอ |
ลงมาขอเชื้อเชิญดำเนินจร |
ให้พวกไทยไปอยู่ในบูเรศ |
เปนขอบเขตรตึกโตสโมสร |
ครั้นเบี่ยงบ่ายชายแสงทินกร |
ลงเรือผ่อนไปขึ้นรถดูงดงาม |
ป้อมที่ท่าหน้าบุรีมีทหาร |
เขาเตรียมการยิงสลูตทูตสยาม |
เสียงนกฉาดไฟปราดประกายวาม |
ครั้นครบตามบทถ้วนกระบวนยิง |
พวกทูตไทยก็ครรไลลีลาลาศ |
ดูเกลื่อนกลาดมากมายทั้งชายหญิง |
แต่ล้วนดำมิดหมีเต็มทีจริง |
ถึงแม้มีที่อิงไม่หยากอัง |
หนทางทูตจรลีมีทหาร |
เคียงขนานถือปืนยืนสพรั่ง |
เหล่าสิงหฬคนดำล้วนลำพัง |
พวกที่ขาวขาวทั้งหมดประมวญ |
สิริรวมพลปืนยืนคำนับ |
เขาแต่งรับสมศักดิ์ไม่หักหวน |
ในบาญชีมีกำหนดจดจำนวน |
นับได้ถ้วนร้อยห้าสิบพอดิบดี |
มาถึงตึกที่ผู้รั้งเคยยั้งยับ |
รถประทับแล้วครรไลเข้าในที่ |
ทุกตำแหน่งแห่งห้องเข้าของมี |
ตามศักดิ์ศรีผู้อยู่ดูพองาม |
ให้สองชายนายถนนคนฉลาด |
ทั้งองค์อาจใจเพ็ชรไม่เข็ดขาม |
มาอยู่ด้วยช่วยรักษาพยายาม |
ระวังความเหตุผลพวกคนพาล ฯ |
๏ ครั้นภานุมาศลีลาศลับเหลี่ยมผา |
เจ้าเมืองมาเชิญชักสมัคสมาน |
ให้พวกทูตหกนายชายชำนาญ |
ไปรับประทานโต๊ะใหญ่ที่ในจวน |
ราชทูตพูดจาประสามิตร |
ต้องตามจิตต์รับรักไม่หักหวน |
เขามานั่งสนทนาเวลาควร |
ก็ลาทวนคืนกลับไปหลับนอน |
จนแสงสายสุริยนพ้นบรรพต |
จึงให้รถมารับสลับสลอน |
ต่างจัดแจงแต่งกายแล้วกรายกร |
ขึ้นรัถาพาจรมาถึงพลัน |
กินสำเร็จเสร็จการวิสาสะ |
สิ้นธุระจวนบ่ายก็ผายผัน |
แล้วเลยตรงไปที่โรงทำน้ำมัน |
ดูขูดคั้นล้วนแต่จักรไม่หนักแรง |
เร็วกว่ามือมากมายเปนหลายเท่า |
ปัญญาเขาเลิศมนุษย์สุดแถลง |
ดังหนึ่งเทพดามาสำแดง |
ให้รู้แจ้งสารพัดช่างจัดการ |
ออกจากนั่นครรไลไปไหว้พระ |
สาธุสะใครหนอก่อวิหาร |
ทั้งโบสถ์รามงามสง่าน่าสำราญ |
อยู่บนชานเชิงเขาลำเนาเนิน |
มีองค์พระพุทธรูปสถูปสร้าง |
ทำที่ทางควรจะสรรเสริญ |
แต่พระสงฆ์มิได้ปลงผมจำเริญ |
ทิ้งไว้เกินสิบสี่ค่ำทำอย่างไร |
แม้จะปลงวันใดก็ไม่ว่า |
อย่าให้ยาวเกินตำราขึ้นมาได้ |
ถือเช่นนี้วิปริตผิดกับไทย |
เอาผมไว้ดูดำไม่ขำตา ฯ |
๏ เวลาบ่ายคืนหลังยังสำนัก |
ก็พร้อมพรักตริตรองแล้วปรึกษา |
ว่าเรานี้เนื้อบุญช่วยหนุนมา |
ถึงลังกาธานีก็ดีครัน |
จำจะไปมัสการพระเขี้ยวแก้ว |
เหมือนหนึ่งแผ้วถากถางทางสวรรค์ |
ครั้นเห็นสิ้นยินยอมลงพร้อมกัน |
เจ้าคุณนั้นจึงให้ล่ามแจ้งความใน |
บอกกัปตันตามจิตต์ที่คิดหมาย |
แห่งเรื่องรายจินดาอัชฌาสัย |
เขาตอบว่าซึ่งการท่านจะไป |
ตามน้ำใจเราไม่ตัดให้ขัดเคือง |
แต่ทราบว่าพระมหาทันตธาตุ |
ประชาราษฎร์นับถือเขาลือเลื่อง |
สถิตย์แทบถิ่นที่คิรีเรือง |
อยู่ยังเมืองแกนดีธานีนั้น |
แม้จะจรด้วยรัถาเทียมม้าเทศ |
อันวิเศษเรี่ยวแรงแขงขยัน |
หนทางไกลไปลำลองสักสองวัน |
แม้ถึงนั่นคงต้องพักสักเวลา |
จนสิ้นการท่านจำนงประสงค์สม |
โดยนิยมมุ่งมาดปราร์ถนา |
คิดรวมกันเสร็จสรรพจนกลับมา |
ราวสักห้าหกวันเปนมั่นคง |
ในเดือนนี้ที่ฤดูพายุร้าย |
มักวุ่นวายพัดกระจุยเปนผุยผง |
เรือทั้งหลายโดนแตกล่มแหลกลง |
แต่คนตายวายชีวงก็มากมาย |
อันอ่าวนี้ยิ่งยวดเก่งกวดขัน |
พวกกัปตันพรั่นตัวกลัวใจหาย |
ไม่อาจจอดทอดเฉยเลยสบาย |
คงผันผายมิให้ข้ามสามทิวา |
ท่านจะไปไหว้พระทันตธาตุ |
โดยดังจิตต์คิดมาดปราร์ถนา |
ข้างฝ่ายตัวข้าพเจ้าเล่าจะลา |
ออกแล่นล่องท้องมหาชลาลัย |
ถึงพายุพานพัดฉวัดเฉวียน |
พอหันเหียนผันแปรคิดแก้ไข |
ด้วยที่กว้างทางทเลคะเนใจ |
เห็นคงไม่ยุบยับถึงอับปาง |
ครบหกวันมิได้เคลื่อนเหมือนอย่างว่า |
จึงจะมารับรองอย่าหมองหมาง |
ราชทูตคิดสงสัยใจระคาง |
ว่าอังกฤษผิดทางกับเพศไทย |
ไม่นับถือพุทธบาทสาสนา |
จึงพูดจากลับแกล้งแถลงไข |
เอาโน่นขัดนี่ขวางทุกอย่างไป |
หมายมิให้ไคลคลาช่างสามานย์ |
ขณะทูตพูดกับนายกำปั่น |
มีสงฆ์อันปรีชาปัญญาหาญ |
อยู่วัดในคาลีที่สมภาร |
อีกนายบ้านหนึ่งนั้นพากันมา |
เยี่ยมเยียนทูตเมืองไทยเหมือนใจหมาย |
คุณพระนายท่านจึงถามตามภาษา |
เปนข้อไขในมคธพจนา |
ชาวลังกาเข้าใจด้วยคล้ายกัน |
ทั้งสองคนรับว่าจริงอย่ากริ่งจิตต์ |
อ่าวนี้ติดร้ายจัดลมพัดผัน |
ไม่คลาศเคลื่อนเหมือนคำของกัปตัน |
ก็เปนอันจนใจมิได้จร |
จึงปรึกษาว่าจะไปในครั้งนี้ |
ด้วยมุ่งมีความศรัทธามาสังหรณ์ |
เหตุเลื่อมใสในพระปิ่นชินวร |
ใช่ว่าจรโดยขนาดราชการ |
ซึ่งจะละให้กำปั่นนั้นผันผาย |
ออกแล่นล่องท่องสายกระแสสาน |
จนเหลือเกินเนิ่นช้าเวลานาน |
ทั้งเปลืองถ่านใส่ไฟเห็นไม่ควร |
ครั้นเห็นพร้อมยอมกันอย่างนั้นแน่ |
ก็พูดแก้เกี่ยงกันแกล้งหันหวน |
ว่ากัปตันจะต้องไปเราใคร่ครวญ |
เห็นแต่ล้วนการยากลำบากที |
ถอยเรือออกนอกทเลเที่ยวเร่ร่อน |
แล้วยังย้อนมารับกลับเข้าที่ |
อันพวกเรานี้ก็ไม่ไปแกนดี |
จะหมายมุ่งกรุงศรีอยุธยา |
กัปตันฟังราชทูตพูดดังนั้น |
เกษมสันต์แสนโสมนัศา |
แต่พักอยู่ประเทศเขตรลังกา |
ได้สองราตรีถ้วนด่วนครรไล |
ตัวเจ้าเมืองกับขุนนางต่างมาส่ง |
โดยจำนงจงจิตต์พิสมัย |
แล้วต่างคนต่างลากลับคลาไคล |
คิดขอบใจในผู้รั้งยังยั่งยืน |
สู้มาส่งจนลงถึงกำปั่น |
ด้วยรักกันไว้อัชฌาไม่ฝ่าฝืน |
ตามหนทางจรจรัลทหารปืน |
ดูครึกครื้นมิได้แปลกกับแรกมา |
เขาสลูตส่งทูตสิบเก้านัด |
แล้วเร่งรัดบ่ายบากออกจากท่า |
กำปั่นเรื่อยเฉื่อยฉิวลิ่วลีลา |
พระพายพาล่องแล่นแสนสำราญ |
ค่อยแช่มชื่นคลื่นลมไม่ใหญ่ยิ่ง |
เรือก็วิ่งปร๋อปราดดูฉาดฉาน |
กำหนดเสร็จถ้วนเจ็ดทิวาวาร |
ถึงสถานสิงคโปร์โอ้คนึง |
จวบประสบพบมิตรขนิษฐา |
มาจำช้าเศร้าใจไปไม่ถึง |
เวรใดมิให้เราได้เคล้าคลึง |
คิดอ้ำอึ้งอึดอัดขัดอารมณ์ ฯ |
๏ ฝ่ายขุนนางที่สองรองผู้รั้ง |
ลงมานั่งไต่ถามความปฐม |
ตั้งแต่ไปจนได้คืนนิคม |
ค่อยชื่นชมเสพย์สุขหรือทุกข์ภัย |
พระพิเทศพานิชจิตต์จงรัก |
ในจอมจักรปิ่นภพสบสมัย |
ลงมาเรือเชื้อเชิญให้พวกไทย |
ขึ้นอาศรัยเคหาบนหน้าเนิน |
มีตึกโตทำไว้ทั้งใหญ่กว้าง |
เปนที่ทางเขตรลำเนาภูเขาเขิน |
มีสวนจันทน์กานพลูดูเจริญ |
พินิจเพลินเหือดหายวายอาวรณ์ |
เหล่าข้าหลวงแต่งกายแล้วผายผัน |
ลงเรือพลันคนกรรเชียงเรียงสลอน |
มาถึงท่าจะขึ้นรถบทจร |
ริมสาครหน้าป้อมพรักพร้อมเพรียง |
ยิงสลูตทูตตามความคำนับ |
หูออกดับดังลั่นสนั่นเสียง |
รถก็เดินเปนระเบียบดูเรียบเรียง |
ครั้นถึงเคียงเข้าประทับกับบันได |
ชวนกันขึ้นตึกโตระโหฐาน |
ค่อยเบิกบานวิญญาอัชฌาสัย |
เมื่อทูตถึงท่านเจ้าเมืองอันเรืองชัย |
ยังคลาไคลเที่ยวท่องท้องนที |
ไปจบจีนเหล่าสลัดสกัดก้าว |
มันกรูกราวจากแดนออกแล่นหนี |
รองเจ้าเมืองอยู่รักษาซึ่งธานี |
เขาอารีพวกเราเฝ้าระวัง |
จัดทหารอภิบาลบำรุงรักษ์ |
คอยภิทักษ์รัถยาทั้งหน้าหลัง |
ข้างฝ่ายตัวก็ไม่เชือนบิดเบือนบัง |
หมั่นมาฟังข่าวระคายร้ายหรือดี |
พวกขุนนางแลนายห้างที่เมืองนั้น |
ก็พัวพันผูกรักเปนศักดิ์ศรี |
เชิญกินโต๊ะหยากใคร่เปนไมตรี |
โดยว่ามีมิตรจิตต์สนิทใน |
ราชทูตหยุดสำนักพักอยู่นั่น |
ได้สองวันมัวหมองค่อยผ่องใส |
จะกลับคืนหมายมุ่งมากรุงไกร |
ครั้นแสงไขผ่องภพพื้นนภา ฯ |
๏ รองเจ้าเมืองจัดทหารชำนาญศึก |
อึกกระทึกคึกคักเปนหนักหนา |
ล้วนถือปืนหลายหอกออกประดา |
สักร้อยกว่ายืนเรียงเคียงคำนับ |
พวกปืนใหญ่ให้คอยยิงสลูต |
ขณะทูตคลาไคลเมื่อขากลับ |
ทั้งขุนนางนายห้างมาคั่งคับ |
บ้างคอยรับตามทางข้างคิรินทร์ |
ต่างสุดแสนโสมนัศขึ้นรัถา |
ไปสู่ท่าวังวนชลสินธุ์ |
พี่ดีใจดังได้สมบัติอินทร์ |
จะกลับมาธานินทร์ประสบนาง |
แล้วลงเรือรีบตะบึงถึงกำปั่น |
หมดด้วยกันหน้าก่ำดังน้ำฝาง |
ที่ตึกตรองหมองไหม้ค่อยวายวาง |
หัวเราะพลางพูดเพลินเจริญใจ |
เวลาเช้าราวสักสามโมงเศษ |
แรมทุเรศมาในแควกระแสใส |
ได้สี่วันสี่คืนชื่นฤทัย |
คลื่นไม่ใหญ่วายุพัดกำดัดดี ฯ |
๏ พอวันศุกรเดือนเจ็ดขึ้นเก้าค่ำ |
เห็นปากน้ำชวากวุ้งเข้ากรุงศรี |
ห้าโมงเช้ามีเศษเจ็ดนาฑี |
ก็ถึงที่ทอดพลันนอกสันดอน |
ฝ่ายกัปตันคนนี้ช่างดีเหลือ |
เรียกลูกเรือเซงแซ่แลสลอน |
เร่งโรยรอกนาวาลงสาคร |
ให้เราจรหมดด้วยกันทันเวลา |
เห็นเรือโบตสามลำประจำที่ |
กะลาสีตีกรรเชียงนั่งเรียงหน้า |
พร้อมเชือกเสาเพราใบในนาวา |
นายรักษาอยู่ประจำลำละคน |
บรรดาไทยนายไพร่ยี่สิบเจ็ด |
ครั้นพร้อมเสร็จเปนลำดับไม่สับสน |
ลากัปตันเคลื่อนคลอจรดล |
ฝ่ายข้างบนที่กำปั่นก็ลั่นปืน |
ยิงสลูตส่งทูตสิบเก้าถ้วน |
พระพายชวนเฉื่อยมาไม่ฝ่าฝืน |
ได้สมหวังกลับยังนครคืน |
ก็เริงรื่นสุขสมภิรมย์ใจ ฯ |
๏ ถึงหน้าด่านเมืองสมุทหยุดประทับ |
เห็นคั่งคับคนผู้ดูไสว |
ต่างจรจากนาวาแล้วคลาไคล |
ขึ้นอาศรัยปรีดาศาลากลาง |
ท่านพระยาผู้รักษาเมืองสมุท |
ก็แสนสุดยินดีไม่มีหมาง |
ลงมานั่งพูดจ้อหัวร่อพลาง |
ทั้งฝ่ายข้างท่านผู้หญิงวิ่งเปนควัน |
หาสำรับตั้งเรียงเลี้ยงพวกทูต |
หน้าไม่บูดเบิกบานงานขยัน |
อันอังกฤษแต่บรรดามาด้วยกัน |
ก็จัดสรรค์เลี้ยงสิ้นกินจนพอ |
ผลไม้นานาซื้อหาให้ |
เหล้าใส่ไหตวงตักไม่พักขอ |
บุหรี่ยาเพ็ชบูรณ์ที่ฉุนตอ |
คนละห่อให้ถ้วนจำนวนมา |
กะลาสียินดีเปนที่ยิ่ง |
ก็ขนสิ่งของส่งลงตีนท่า |
บรรทุกท้องกองเรียบเพียบนาวา |
ครรไลลาไปกำปั่นนอกสันดอน ฯ |
๏ พระยาสมุทบุรานุรักษ์นั้น |
ให้จัดสรรค์เรือแพแซ่สลอน |
ฝ่านพระยามหาอัคนิกร |
ก็รีบร้อนเร่งฝีพายชายชำนาญ |
เรือเก๋งพั้งทั้งสองสำรองเสร็จ |
กับเรือเป็ดจอดเรียงเคียงขนาน |
ต่างคนลาสองพระยาไม่ช้านาน |
ออกจากด่านเมืองสมุทรีบรุดมา |
พิรุณโรยโปรยด้วยลอองสาด |
น้ำลงปราดเชี่ยวเหลือเบื่อหนักหนา |
พอย่ำฆ้องสองยามตามเวลา |
ถึงกรุงเทพมหานครคง |
เข้าประทับกับท่าที่หน้าบ้าน |
ขึ้นสถานยลมิตรพิศวง |
ทั้งพงศามาพร้อมล้อมเปนวง |
พูดกันส่งไปจนแจ้งแสงอุทัย ฯ |
๏ แต่พวกทูตกราบบังคบบรมบาท |
ออกจากราชธานีที่อาศัย |
จนถึงเมืองลอนดอนพักผ่อนไป |
ตามหัวเมืองเนื่องในระยะทาง |
ทั้งได้เที่ยวหลายบุรีที่อังกฤษ |
สบายจิตต์สารพัดไม่ขัดขวาง |
ตัวเจ้าเมืองกรมการทุกด่านทาง |
ไม่เมินหมางต้อนรับประคับประคอง |
ได้ปรากฎยศยิ่งทุกสิ่งสิ้น |
สมถวิลเอาใจมิให้หมอง |
แต่พอถึงที่ประทับคอยรับรอง |
ทั้งเข้าของกินอยู่ดูระวัง |
อันเจ้าเมืองมาคำนับรับทั้งนี้ |
เพราะเดชาบารมีไปคุ้มขัง |
สองพระองค์ซึ่งดำรงนัครัง |
ดังฉัตรบังกั้นเกศกันเภทภัย |
พระนางนาฎจึงประสาสน์เสาวนิศ |
ให้เขาคิดรับรองได้ผ่องใส |
พวกข้าหลวงทั้งหลายสบายใจ |
แต่วันไปจนมาถึงธานี ฯ |
๏ เรื่องที่กายรายที่กวนล้วนเปนสุข |
ต้องจนแท้แต่ใจทุกข์ขุกหมองศรี |
ไปห่างน้องปองหานุชสุดโศกี |
กรรมมากมายกายมัวมีที่คำนึง |
แทบเกือบปีที่การไปไกลเหลือล้ำ |
ลงนอนแซ่วแล้วนั่งซ้ำร่ำจนถึง |
เปนสุดจนป่นเสียจริงนิ่งรำพึง |
ทนไปแน่แท้เปนหนึ่งถึงชีวา |
นี่หากบุญหนุนให้บ้างครั้งคราวยาก |
ร้อนแรมจรรอนรักจากพรากเคหา |
คงได้ชื่นคืนได้ชมสมจินดา |
มาแนบเนื้อเมื่อแนบหน้าพาแนบนวล |
พี่ละบ้านพานลำบากมากหม่นหมาง |
ครุ่นถึงนวลครวญถึงนางครางโหยหวน |
จึงเขียนคำจำข้อคิดจิตต์รัญจวน |
เรื่องการเศร้าเรากำสรวญจวนแหลกลาญ |
หวังจะให้ไว้จงเห็นเปนฉบับ |
ได้สืบดูรู้สำหรับตรับตรองสาร |
แนะสังเขปในสิ่งข้อพอประมาณ |
ทราบแถวถิ่นสิ้นที่ถานบ้านเมืองเอย ฯ |