ภาค ๑ บนฟ้า
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงพญากมลมิตรฤทธิ์กล้า |
กระเดื่องเลื่องชื่อฦๅชา | เลอศักดิ์รักษาสัตย์ทรง |
ยิ่งใหญ่ในสกลคนธรรพ์ | ผองพรรณ์พึงพิศพิศวง |
อาภรณ์อาภาอ่าองค์ | เพราพริ้งยิ่งยงทรงลักษณ์ ฯ |
๏ เธอพร่ำทำพรตกฎกล้า | บูชาพระศุลีมีศักดิ์ |
แรงเรี่ยวเชี่ยวฌานนานนัก | เพ่งพักตร์ภักดีศีวะ |
แจ่มใจในพรตปลดบาป | กำหราบโทโสโมหะ |
ร้อยฉนำสำรวมโยคะ | แรงตบะบ่มรักภักดี ฯ |
๏ เมื่อนั้น | พระวิศเวศวรเรืองศรีอ ๑ |
เอี่ยมอาสน์ไกลาสคีรี | เอมอิทธิ์ทฤษฎีตรีภพ |
แลเพ่งเล็งพิศทิศทศ | ปรากฎทุกแหล่งแจ้งจบ |
ส่ายเนตรทัศนาปรารภ | แลพบกมลมิตรจิตต์น้อม |
บ่มตบะบำเพ็ญเห็นชัด | บันทัดธรรมบถอดผอม |
โดยแบบดาบสพรตพร้อม | หว่านล้อมน้ำใจในบุญ |
มเหศวรหวนทรงสงสาร | ชมฌานเชิดเนื่องเครื่องหนุน |
หมายเอื้ออุปถัมภ์ค้ำคุณ | ค้ำจุนจินตนาอารี |
จึ่งเสด็จจากหล้าผาขาว | ดังดาวดูเด่นเพ็ญศรี |
เอี่ยมองค์ทรงรูปโยคี | ศศีเสียบเผ้าเพราพราย ฯอ ๒ |
พระอิศวรตรัสแก่พระยาคนธรรพ์ว่า
๏ อ้าพญากมลมิตรจิตต์แผ้ว | คือแก้วก่องเกิดเฉิดฉาย |
ไพบุลย์คุณธรรมกำจาย | ชนหลายรู้เฟื่องเลื่องฟ้า |
กอบกรรมทำกิจพิธี | ภักดีต่อเราเจ้าหล้า |
จักให้พรเจ้าเรามา | ปราถนาฉันไหนใคร่อวย |
อยากได้อย่างใดให้ขอ | อย่าท้อใจสเทินเขินขวย |
ศักดิ์สิทธิ์ฤทธิ์ล้ำร่ำรวย | อำนวยไม่ห้ามตามใจ ฯ |
พญาคนธรรพทูลตอบว่า
อ ๓๏ อ้าพระธำรงคงคา | พระคุณกรุณาหาไหน |
ข้าบำเพ็ญบุญคุณมัย | โดยใจจงรักภักดี |
ใช่เลศเหตุใคร่ได้ลาภ | เอิบอาบอิทธิ์กล้ากว่ากี้ |
ขอคุณกรุณาปรานี | ข้าทาสบาทธุลีสืบไป |
ให้นั่งตั้งจิตต์คิดรัก | อยู่หน้าสามิภักดิ์ใกล้ ๆ |
เท่านี้มีสุขปลุกใจ | แสนหมื่นอื่นไม่หมายดล ฯ |
พระอิศวรตรัสว่า
๏ อ้าพญาคนธรรพ์บรรเจิด | เชาวน์เชิดชูเฉลิมเพิ่มผล |
อ ๔เหมาะหมดพจมานบานมน | จักถกลเกียรติ์ไกรใหญ่นัก |
เรามีวาจาว่าไว้ | ว่าให้พรเธอเลอศักดิ์ |
จักขอเร่งขอข้อรัก | ขอจักจวบนัยใจจอง ฯ |
พญาคนธรรพ์ทูลว่า
อ ๕๏ ข้าแต่พระศศิเศขร | อาทรอุปถัมภ์ล้ำผอง |
อ ๖พระหทัยใฝ่ม่งทรงปอง | โดยคลองการุญบุญมัย |
ประโยชน์โปรดใหญ่ให้ข้า | ผู้ฝ่าบทศรีอดิศัย |
ขอนางพางจันทร์ขวัญใจ | งามใสเนตรสองส่องฟ้า |
อ ๗เหมือนสีพระศอทรงศักดิ์ | เหมือนจันทร์อันปักเกศา |
ได้แนบนงคราญกานดา | ภริยาเยาว์ยวนควรครอง |
ยามพิศเนตรนางพางเห็น | ศัมภูผู้เปนเจ้าของอ ๘ |
จักรื่นอารมณ์สมปอง | เพิ่มภักดิ์รักลอองบทมาลย์ ฯ |
๏ เมื่อนั้น | พระศุลียินคำร่ำขาน |
เห็นเรื่องเบื้องน่าช้านาน | ทราบการณ์แน่หนักจักมี |
ตรัสว่าอ้าเจ้าเมามันท์ | ซึ่งสรรภริยาอ่าศรี |
แสงเนตรสีนิลรูจี | รังสีเล่ห์แสงศศธรอ ๙ |
ส่อเข็ญเปนภัยใหญ่หลาย | ย่อมร้ายยิ่งฤทธิ์พิษศร |
เร่งรวังตั้งตัวกลัวร้อน | สังหรณ์เห็นเหตุเภทภัย |
จงสมจิตต์หวังดังมาด | ไป่คลาดบรรหารขานไข |
ตรัสเสร็จเสด็จกลับฉับไว | วับไปจากหน้าคนธรรพ์ ฯ |
๏ เมื่อนั้น | กมลมิตรปรีเปรมเหมหรรษ์ |
บังคมก้มราบกราบพลัน | คืนจากพนารัญทันที |
อันความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า | หน้าตาซีดซัวมัวศรี |
เหตุเพราะทรมานนานปี | ในที่มัวหม่นมลทิน |
เดชะพระอิศวรทรงยศ | เคลื่อนคลายหายปลดหมดสิ้น |
เรืองรองผ่องพักตร์เพียงอินทร์ | อื่นสิ้นไป่เปรียบเทียบทัน ฯ |
๏ คืนสู่นิเวศน์วิจิตร | โศภิตพรายแสงแสร้งสรร |
คิดโฉมชายาลาวัณย์ | ศรีจันทร์คือศรีนัยนา |
อ ๑๐เคร่าใคร่ได้เคลียเมียมิ่ง | นั่งนิ่งเหิมหรรษ์ฝันหา |
ป่วนใจใฝ่ขวัญกันดา | นึกหน้านวลใยใคร่ยล ฯ |
๏ หยุดนั่งยั้งนอนห่อนได้ | วนไปเวียนมาสับสน |
ออกห่างปรางคำอำพน | เดิรด้นสู่สวนมาลี ฯ |
๏ เห็นนางนวลศรีมีโฉม | ดังโสมส่องหล้าราศี |
อ ๑๑เนาเรือเหนือสรัสปัทมี | ตรณีจันทร์นวลชวนชมอ ๑๒ |
พายเงินงามเงาเพราพราย | นวลฉายยึดด้ามงามสม |
เรือน้อยลอยน้ำขำคม | บัวฉมชูล้อมห้อมเรือ |
งามน้ำงามนางกลางชล | งามกุมุทอุตบลล้นเหลือ |
สะโรชนงรามงามเจือ | งามเรือลอยน้ำอำไพ |
พิศรูปเพลินลักษณ์ศักดิ์ศรี | งามฉวีคือชวาน่าใคร่อ ๑๓ |
นวลนงองค์ลอองยองใย | รูปไลมแลลม่อมพร้อมเพรา |
อ ๑๔คิดเจ้าคือจันทร์ครรพิต | งอนจริตงามแจร่มแชล่มเฉลา |
เสมอเสมือนเดือนเด่นเพ็ญเพรา | น่าพเน้าพนอน้อมออมองค์ ฯ |
๏ เล็งโฉมโลมนางห่างนุช | ไกลสุดกลางสระระหง |
ใคร่เคล้าคลึงขวัญบรรจง | เอื้อมห่อนถึงองค์นงลักษณ์อ ๑๕ |
นางเหลืองนัยนามาแล | คือแขส่องสรวงดวงจักษุ์ |
สบเนตรนางยิ้มพริ้มพักตร์ | ยั่วรักยิ่งเร่งใจร้อน |
อ ๑๖พิศเนตรนวลนางกลางสินธุ์ | คือนิลสีศอมหิศร |
แสงศอแสงโฉมศศธร | ในเนตรบังอรรวมพร้อม ฯ |
๏ โฉมเฉลา | รูปเย้าใจยวนหวนหอม |
ได้น้องแนบกายหมายออม | จักถนอมใจสนิทชิดเชื้อ |
เนตรนางอย่างนั้นมั่นใจ | พระศุลีอวยให้แก่เผือ |
เชิญเจ้าจากสระละเรือ | นิ่มเนื้อแน่งน้อยกลอยใจ |
วันนี้พี่เฝ้าพระศิวะ | ได้ชมเดชะอดิศัย |
อ ๑๗ศอนิลปิ่นจันทร์พรรณ์ไร | จำได้ในเนตรนางน้อง |
เจ้าจงมีใจใสสุข | ปราศทุกข์ปลดทิ้งสิ่งหมอง |
ผิวน้องผ่องล้ำลำยอง | หวังครองเวียนเคล้าเมารัก |
อุ่นแนบแอบเนื้อเหนือหมอน | ปัจถรณ์แท่นคำจำหลัก |
บรรเทิงเริงรมย์ชมพักตร์ | พิศรักพี่ร้อนห่อนคลาย |
อีกข้อขอถามนามนาง | สำอางเอี่ยมองค์ทรงฉาย |
อย่าอิดจิตต์เอื้อนเบือนอาย | เคืองคายขุ่นข้องหมองใจ ฯ |
๏ เมื่อนั้น | นางอนุศยินีศรีใส |
สู่ฝั่งบังคมทูลไป | ข้าไซร้เปนข้าบทมาลย์ |
นามอนุศยินีมีจิตต์ | มานิตภูวนัยใสศานติ์ |
เคารพนบน้อมจอมปราณ | ภูบาลกรุณาปรานี ฯ |
๏ เมื่อนั้น | กมลมิตรเรืองรงค์ทรงศรี |
เปรมใจได้แน่งนารี | ดังศุลีอวยอัตถ์ตรัสไว้ |
แย้มหยิ่มอิ่มในใจสุด | เชยนุชชวนน้องผ่องใส |
สู่มนเทียรทองยองใย | หฤทัยบรรเทิงเริมรมย์ ฯ |
๏ อุ้มนางวางแนบแอบน้อง | กรคล้องกายคลึงสึงสม |
ก่ายกุมจุมพิตชิดชม | เกลียวกลมคลอเคล้าเมากาม |
เกี่ยวกวัดรัดรึงคลึงเคล้น | เหิมเห็นซึ่งสวรรค์ชั้นสาม |
ฉมชื่นรื่นรสนงราม | ในยามสิงสมรมณีย์ ฯ |
๏ สองทรงผาสุกทุกเมื่อ | แนบเนื้อนวลน้องผ่องศรี |
เนาเนินไกลาสคีรี | ปวงภัยไป่มีมาพ้อง ฯ |
๏ ฝ่ายพญากมลมิตรจิตต์ชื่น | เริงรื่นอารมณ์สมสอง |
เย็นเช้าเฝ้าสงวนนวลน้อง | ปกป้องรักษาอาทร |
เผอเรอเย่อหยิ่งยิ่งยวด | โอ่อวดออกชื่อลือฉ่อน |
นงแสนแน่นสรวงปวงอร | นางอมรนางมนุษย์สุดแม้น |
เมียเราเพราพรายฉายเฉิด | ล้ำเลิศองค์อื่นหมื่นแสน |
สาวสวรรค์ชั้นสิ้นดินแดน | ไป่แม้นเมียข้าลาวัณย์ |
เนตรนางอย่างศอมหิศร | ฤๅรชนีกรเฉิดฉัน |
เนตรไหนไป่เปรียบเทียบทัน | เนตรนางพางจันทร์รูจี |
นางในไตรภพจบชั้น | มาขันแข่งน้องต้องหนี |
เมียท่านเมียใครไหนดี | หาเช่นโฉมศรีสุดค้น ฯ |
๏ เที่ยวอวดเที่ยวโอ้โอหัง | ใครฟังหมั่นไส้ทุกหนอ ๑๘ |
กำเริบเอิบในใจตน | ใครยลย่อมสิ้นยินดี ฯ |
๏ วันหนึ่งสากลย์คนธรรพ์ | พร้อมกันสังคีตดีดสีอ ๑๙ |
เปนที่เหิมเหมเปรมปรี | ต่างมีสุขล้ำสำราญ |
บางองค์ทรงรำทำเพลง | บังคลบรรเลงศัพท์สาร |
บรรเทิงเริงรื่นชื่นบาน | ในวารอิ่มเอมเปรมใจ ฯ |
๏ ฝ่ายพญากมลมิตรจิตต์โอ่ | มาถึงซึ่งสโมสรใหญ่ |
รีบเฉลยเอ่ยนามทรามวัย | อวยนัยะนานารี |
เกิดกล่าวเปนปากเปนเสียง | โต้เถียงดันดึงอึงมี่ |
อันนางอนุศยินี | งามดียิ่งใครในภพ |
ใครกล้ามาแกล้งแข่งบ้าง | คือนางองค์ไหนใคร่สบ |
เนตรนางพางจันทร์พัลลภ | ไตรภพห่อนเปรียบเทียบน้อง |
ใครพิศพิศวงนงนุช | ศรีสุทธิ์แสงใสไร้สอง |
แจ่มเจิดเลิศล้ำลำยอง | เนตรน้องคมขำอำไพ ฯ |
๏ เมื่อนั้น | เพื่อนพญาคนธรรพ์หมั่นไส้ |
ยิ้มเยาะเคาะคัดขัดไป | โรคในโลกนี้มียา |
พอแก้พอไขได้บ้าง | แยบอย่างเยื้องยักรักษา |
งูกัดรัดรึงตรึงตรา | กลัดกล้าเพราะฤทธิ์พิษเร้า |
ยังหาโอสถปลดได้ | มีมากรากไม้ใบเถา |
แรงฤทธิ์ปลิดพลันบันเทา | งูเห่าพิษร้อนผ่อนร้าย |
แต่ชายอันพิษความสวย | กัดนั้นจักป่วยห่อนหาย |
โรครักโรคหลงทรงกาย | จักคลายความร้อนห่อนมี |
ท่านจงแจ้งใจไว้บ้าง | อันนางภริยาอ่าศรี |
นัยนาทาครามงามดี | รังสีคือจันทร์ขวัญตา |
ตางามตามจิตต์คิดเถิด | งามเลิศแลเพ็ญเช่นว่า |
แต่องค์นงคราญกานดา | ใช่ตาทั้งองค์นงลักษณ์ |
ภาคอื่นดื่นอยู่ดูบ้าง | แก้มคางโฉมยงทรงศักดิ์ |
นาสิกเกศาน่ารัก | พร้อมพรักแน่แล้วฤๅไร |
เราอ้างนางหนึ่งพึงชม | เพราะผมเพ็ญทองผ่องใส |
อีกนางร่างจมูกถูกใจ | ไฉไลแลรับกับพักตร์ |
บางนางงามเหลือเมื่อนิ่ง | บางหญิงหัวเราะเพราะหนัก |
อีกองค์ทรงศรีดีนัก | นางหนึ่งพึงรักรูปทรง |
บางนางสอางเอวอ้อนแอ้น | อีกองค์องแขนแสนส่ง |
หนึ่งความงามจริตติดองค์ | ใครเห็นเปนมงคลตา |
จักว่างามเนตรงามยิ่ง | กว่าหญิงซึ่งงามนาสา |
ฤๅนางเสียงหวานกานดา | งามกว่านางอื่นหมื่นพัน |
นงรามงามเกล้าเผ้าดก | จักยกว่ายิ่งสิ่งสรรพ์ |
ฤๅความงามแก้มงามกรรณ | งามกว่าอื่นนั้นฉันใด |
ต่างนางต่างงามยามยวน | ต่างนางต่างนวลแจ่มใส |
จักว่าใครงามกว่าใคร | ข้าไม่เห็นด้วยทั้งนั้น ฯ |
๏ เมื่อนั้น | กมลมิตรคิดขุ่นหุนหัน |
เนตรขวางพลางตอบคำพลัน | พูดเล่นเช่นนั้นป่วยการ |
ความงามสามภพจบสิ้น | ทุกถิ่นทิพาศัยไพศาล |
ประมวลถ้วนไซร้ไป่ปาน | เนตรเจ้าเยาวมาลย์เมียตู |
นางไหนใครกล้ามาขัน | จักอั้นหัวหดอดสู |
โฉมศรีโสภาน่าดู | ใครรู้จักความงามจริง |
ย่อมว่าหาใครไม่เปรียบ | เทียบเนตรนงรามงามยิ่ง |
เพราะเขลาเจ้าหาญค้านติง | ไป่กริ่งกล่าวคำสำนวน ฯ |
๏ เมื่อนั้น | เพื่อนพญาคนธรรพ์พลันสรวล |
ความงามหลามหลากมากล้วน | ตั้งขบวนเปนแห่แลลาน |
งามนวลงามเนตรงามหน้า | ล้วนเปนวาจาของท่าน |
อาจมีคำขัดทัดทาน | หาพยานยืนปากยากล้น |
ความงามอันเกิดแต่ปาก | แห่งผัวพูดมากร้อยหน |
ห่อนมีหลักค้ำคำตน | ปวงชนไป่เชื่อเบื่อใจ ฯ |
๏ เมื่อนั้น | กมลมิตรติดอกหมกไหม้ |
สูอย่าเยาะเย้ยไยไพ | เจ้าไซร้ตาบอดสอดรู้ |
หยิ่งแล้วยังแถมแกมโง่ | พูดโป้พูดปดอดสู |
อันเนตรนงรามงามตรู | ใครดูย่อมพะวงหลงเพลิน |
อย่าว่าแต่ชายสามานย์ | แม้มุนีมีฌานหาญเหิร |
บ่มตละน่าเบื่อเหลือเกิน | จำเริญโยคะละกาม |
เปนที่หวาดหวั่นพรั่นจิตต์ | วาสพสุรฤทธิ์คิดขามอ ๒๐ |
อ ๒๑จึ่งจัดอัจฉราวายาม | กวนกามกอบกรรมทำลาย |
ยียวนชวนชื่นรื่นรส | เพื่อพรตหล่นแหลกแตกหาย |
ไปสมประสงค์จงร้าย | สิ้นหมายหมดวายามะ |
แม้นให้ภริยาข้ายั่ว | คงขรัวฌานแตกแหลกหละ |
เหลืออั้นเหลืออดลดละ | โยคะจักดับฉับพลัน |
ทนเนตรบังอรห่อนได้ | เราไม่กล่าวแกล้งแสร้งสรร |
โฉมศรีโศภาลาวัณย์ | ดวงจันทร์คือดวงนัยนา ฯ |
๏ เมื่อนั้น | เพื่อนพญาคนธรรพ์หรรษา |
ตบหัตถ์ตรัสตอบวาจา | ไม่ช้าได้เล่นเห็นจริง |
ที่ใกล้ไหล่เขาเราชี้ | โยคีพรตกล้ามาสิง |
เชี่ยวฌานนานไม่ไหวติง | ปราศสิ่งยั่วยวนชวนชัก |
ท่านใคร่สำแดงวนิดา | จงเชิญกัลยาณิ์ทรงศักดิ์ |
สู่ไหล่คีรีที่พัก | เยื้องยักยั่วเย้าโยคี |
เชิงยวนชวนให้เธอหลง | นัยนานวลนงทรงศรี |
แม้นนางล้างกิจพิธี | ของมหามุนีได้จริง |
จึ่งจักประจักษ์หลักอ้าง | ว่านางงามปลอดยอดหญิง |
เราไซร้ไป่หาญค้านติง | ทุกสิ่งนอบน้อมยอมตาม ฯ |
๏ เมื่อนั้น | กมลมิตรเจ็บช้ำคำหยาม |
ฤๅคิดรอบคอบตอบความ | ในยามหันหุนมุ่นใจ |
ท่านท้าข้าไซร้ไป่พรั่น | อันนางพางจันทร์แจ่มใส |
อาจล้างพิธีชีไพร | แน่ได้ดังจิตต์คิดเจียว |
เราปองลองเล่นเช่นท้า | ใจข้าไป่พรั่นหวั่นเสียว |
ดวงเนตรโฉมยงองค์เดียว | อาจเหนี่ยวพรตโง่โยคี |
ให้ตบะหล่นแหลกแตกทิ้ง | ห่อนนิ่งอยู่ได้ในที่ |
จักเกิดเสียวศัลย์ทันที | ราคีกำหนัดกลัดใจ |
แม้นมิสมหวังดังว่า | เศียรข้าจักบั่นหั่นให้ |
เปนเครื่องบูชาตราไว้ | ที่ในแม่น้ำคงคา ฯ |
๏ เมื่อนั้น | เพื่อนพญาคนธรรพ์พลันว่า |
อย่าชล่ากล้าเล่นเจรจา | พูดบ้าบุ่มไปไป่ดี |
จักตัดเศียรเส้นเช่นว่า | เธอใช่พระมหาฤๅษี |
อ ๒๒ทรงนามทักษะโยคี | พระประชาบดีเดชิต |
เศียรขาดแล้วมีมาเปลี่ยน | เศียรท่านใช่เศียรนักสิทธ์ |
หัวขาดจักขาดชีวิต | จักติดหัวใหม่ได้ฤๅ |
พูดพลางหัวเราะเยาะเย้ย | ท่านเอยอุตส่าห์อย่าดื้อ |
เราว่าจงฟังยั้งมือ | ผ่อนปรือคืนคำจำไว้ ฯ |
๏ เมื่อนั้น | กมลมิตรหันหุนมุ่นไหม้ |
จากชุมนุมพลันทันใด | รีบไปยังองค์ชายา ฯ |
๏ พบนางกลางสวนยวนจิตต์ | ยิ่งพิศผูกพันธ์หรรษา |
เสาวภาคโศภิตติดตา | นัยนาคมขำล้ำลบ |
แจ่มลักษณ์จิ้มลิ้มริมสระ | ปัทมะคันธินกลิ่นกลบ |
ฤๅษีชีไพรในภพ | แลสบเนตรน้องต้องรัก ฯ |
๏ พิศนางพลางกล่าววาจา | ดูราโฉมยงทรงศักดิ์ |
มีชายใจพาลหาญนัก | ลบหลู่นงลักษ์เลิศฟ้า |
กล่าวว่าถ้าเจ้าเพราพริ้ง | เลิศยิ่งนางใดในหล้า |
เชิญองค์นงคราญกานดา | ยังไหล่ภูผาข้างโน้น |
ยวนองค์โยคีมีฌาน | ให้ร่านรุมในใจโผน |
ร้อนราคราวไฟไหม้โชน | เอนโอนโยคะละทิ้ง |
แม้นนางทำได้ประจักษ์ | จักว่านงลักษณ์ยอดหญิง |
น่าแค้นคำเขาเขลาจริง | ค้านติงความงามทรามวัย |
พี่ท้าว่าองค์นงลักษณ์ | จักให้ประจักษ์จนได้ |
แม้นไม่ได้ดังหวังใจ | พี่ไซร้จักตัดเศียรตู |
ทิ้งในแม่น้ำคงคา | บูชาเพื่อปลดอดสู |
ขอเชิญนางน้องลองดู | ค้ำชูข้อท้าวาที |
ใช้เนตรโฉมยงทรงฉาย | ทำลายพรตดื้อฤๅษี |
ให้สมศรัทธาสามี | ดังที่ได้กล่าวท้าไว้ ฯ |
๏ เมื่อนั้น | นางอนุศยินีศรีใส |
ยินตรัสขัดอกตกใจ | หฤทัยหวาดหวั่นพรั่นทรวง |
อ้ำอึ้งตลึงแลแดลาญ | เยาวมาลย์ทุกข์เท่าเขาหลวง |
อึดอัดขัดเข้มเต็มตวง | พักตร์เผือดเดือดดวงแดร้อน ฯ |
นางอนุศยินีกล่าวว่า
อ ๒๓๏ ข้าแต่พระปิ่นปราเณศ | ทรงเดชจงยั้งฟังก่อน |
เกรงผิดจิตต์ข้าอาวรณ์ | โทษกรณ์ก่อเกิดกองร้าย |
บาปนักจักล่อนักธรรม | เพื่อดาบสกรรมรส่ำรสาย |
เธอบำเพ็ญบุญหนุนกาย | มั่นหมายกุศลผลดี |
แม้นเรานอกรีดกีดขวาง | มุ่งร้ายหมายล้างฤๅษี |
ทางดีที่ได้ไป่มี | อัคคีลวกเราเร่าร้อน |
บาปกรรมทำทุกข์แม่นมั่น | โทษทัณฑ์เราเขือเหลือถอน |
กริ่งภัยใจข้าอาวรณ์ | ช้าก่อนจงฟังยั้งคิด ฯ |
๏ วอนพลางนางเพ่งเล็งพักตร์ | เหตุรักให้ร้อนถอนจิตต์ |
เพียงเพลิงเริงไล่ใกล้ชิด | ยิ่งคิดยิ่งคร้ามขามนัก |
วาจาบังอรวอนว่า | นัยนาดูองค์ทรงศักดิ์ |
พจน์นางแพ้เนตรนงลักษณ์ | ยิ่งชมยิ่งชักให้ร้าย |
กมลมิตรพิศเนตรนวลนุช | แสนสุดใจรักฤๅหาย |
ห่อนยินวาทาธิบาย | ชมเนตรโฉมฉายเพลินไป |
ยิ่งนึกยิ่งแน่ในจิตต์ | นักสิทธ์ไป่ซงองค์ได้ |
ตาเพ็ญเช่นนั้นมั่นใจ | อาจพร่าพรตให้เอนเอียง |
นางวอนห่อนเปนประโยชน์ | เพราะเนตรนงโพธเธอเถียง |
ไป่ยั้งฟังคำสำเนียง | บ่ายเบี่ยงว่าวอนอ่อนใจ ฯ |
๏ สามีมิฟังดังว่า | กัลยาณิ์พรึงพรั่นหวั่นไหว |
ข่อนๆ ร้อนตัวกลัวภัย | หฤทัยนิ่งนึกตรึกตรอง |
ความจริงในใจใคร่รู้ | ยั่วดูแต่สองต่อสอง |
นักสิทธ์คงใคร่ในคลอง | รดิกรรมทำนองทางใน |
เรางามยิ่งสามโลกกว้าง | อาจล้างดาบสพรตใหญ่ |
จักสิทธิ์สมหวังดังใจ | ฤๅไม่สำเร็จอยากรู้ |
ใคร่ทราบก็เหลือจะใคร่ | อายใจก็เหลืออดสู |
กริ่งโทษเทียมไฟใหม้ภู | โฉมตรูลังเลหฤทัย ฯ |
๏ เธอวอนทรามวัยใจตื้น | นางขืนคำวอนห่อนไหว |
จูงกรพากันครรไล | มุ่งหน้ามาในไพรพน |
แลหาดาบสพรตกล้า | แทบใกล้ไหล่ผาปลายหน |
พบโยคียงซงตน | อานนนิ่งแน่แลนานอ ๒๔ |
คือหลักปักไว้ไป่เคลื่อน | แม่นเหมือนต้นไม้ไพศาล |
ฝูงปลวกทำรังยังปราณ | สำราญอยู่รอบโยคิน |
หนวดเธอทอดไปในพน | ปลิวไปในหนบนหิน |
ผมขาวยาวเฟื้อยเลื้อยดิน | มุนินทร์ห่อนไหวใจกาย |
กิ้งก่าเพศหญิงวิ่งหนี | บนตัวฤๅษีซ่อนหาย |
กิ้งก่าเพศชายไล่กราย | เร่รายตัวหญิงวิ่งล้อ |
ดาบสอดแดแน่นิ่ง | มันวิ่งบนกายสอๆ |
ฌานเพ่งฤๅพลั้งรั้งรอ | เหมือนตอปักไว้ในดิน |
ลืมเนตรแลไปในหาว | จักษุใสขาวคือหิน |
ไป่เห็นอันใดในดิน | ไป่ยินอันใดในภพ ฯ |
๏ สององค์ทรงเห็นนักสิทธ์ | ให้คิดเคลือบแคลงแสยงสยบ |
ไตร่ตรองถ่องถ้วนทวนทบ | คือคบเพลิงเร้าเผาแรง |
เปี่ยมฌานปานนั้นพรั่นนัก | ทรงศักดิ์เลิศล้ำคำแหง |
จะยั่วโยคะระแวง | เรี่ยวแรงบาปกรณ์ร้อนร้าย |
สงสัยใจตรึกนึกพรั่น | โทษทัณฑ์จักมากหลากหลาย |
กอบก่อกองกรรมทำลาย | จักสลายสุขสันต์มั่นคง ฯ |
๏ ฝ่ายพญากมลมิตรพิศนาง | พิศพลางพิสมัยใหลหลง |
บังเกิดกำเริบเอิบองค์ | นัยนาโฉมยงเช่นนี้ |
มุ่งร้ายหมายมาน่าจะ | สำเร็จเด็ดตบะฤๅษี |
คิดแค้นคำท้าวาที | ยิ่งมีจำนงปลงใจ |
อ ๒๕ชี้เชิญชายามารศรี | ยุวดีลำยองผ่องใส |
อัญเชิญโฉมเจ้าเข้าไป | ล่อให้เห็นองค์นงเยาว์ |
เชิงชวนยวนยั่วโยคะ | ดาบสปลดตบะเพราะเจ้า |
พี่จักแฝงไม้ในเงา | อยู่เฝ้าใฝ่ยั้งฟังดู ฯ |
๏ สองกรทรงกอดยอดรัก | จุมพิตชิดพักตร์ในผลู |
เกี่ยวกวัดรัดโลมโฉมตรู | เหมือนคู่จักร้างห่างนาน ฯ |
๏ เมื่อนั้น | นางสุโลจนากล้าหาญอ ๒๖ |
ห่อนขัดภัดดาว่าวาน | เยาวมาลย์มุ่งเย้าเข้าไป |
ยืนตรับยับยั้งสังเกต | เห็นเนตรลืมอยู่ดูใส |
มุ่งเขม็งเล็งแลแต่ไกล | ปราศไหวน่าหวั่นพรั่นจริง |
เข้าไปใกล้หน้าดาบส | ทรงพรตแข็งขืนยืนนิ่ง |
จักยั่วจักยวนชวนอิง | ห่อนทิ้งโยคะละลด |
อ ๒๗เธอบงนงรามทรามวัย | ฤๅไม่ก็ไม่ปรากฎ |
นางเยาะเฉพาะพักตร์นักพรต | ช้อยชดเชิงชวนยวนยี ฯ |
๏ เมื่อนั้น | ปาปะนาศน์มหาฤๅษี |
ทรงฌานนานยืนหมื่นปี | ไป่มีใครกล้ามากราย |
ลืมเนตรห่อนเห็นอันใด | กรรณ์ไซร้ห่อนฟังทั้งหลาย |
โยคะยิ่งล้ำกำจาย | กระสับกระส่ายฤๅมี ฯ |
๏ วันเมื่อโฉมยงทรงฉาย | มุ่งร้ายต่อตบะฤๅษี |
องค์พระปาปะนาศน์มุนี | สำรวมอินทรีย์นิ่งนาน |
รู้สึกมายามายวน | ทบทวนทำนองปองผลาญ |
โยคีมีใจรำคาญ | เหตุการกลใดใคร่แล |
น้อยๆ ค่อยรู้สึกตน | เห็นนางโศภนเพ็ญแข |
นัยนานิลนวลยวนแด | ยิ่งแลยิ่งล้ำอำไพ |
ท่วงทีท่าทางอย่างล้อ | ใครหนอน่าชิดพิสมัย |
นักสิทธ์คิดหลายหฤทัย | เหตุใดมาเพ่งเล็งพิศ |
แม่นมั่นปัญญาฌานะ | โยคะเคร่งครัดชัดจิตต์ |
ทราบเหตุเลศกลต้นคิด | มันกวนชวนชิดทั้งนี้ |
มุ่งร้ายหมายผลาญฌานกู | สู่รู้จังไรใช่ที่ |
กำเริบมาเล่นเห็นดี | มุนีเธอขมึงนัยนา ฯ |
๏ อันนางอนุศยินี | เห็นเนตรโยคีซ้ายขวา |
เขียวเขม็งเล็งดูกานดา | ประหม่ามุ่นอกตกใจ |
หวาดหวั่นพรั่นทรวงดวงจิตต์ | สุดคิดจักซงองค์ได้ |
เซซวนซุดสลบซบไป | ล้มในพนารัญทันที ฯ |
๏ เมื่อนั้น | กมลมิตรเห็นเมียเสียศรี |
วิ่งไปใกล้องค์มุนี | โอบอุ้มยุวดีชายา |
กอดทับกับฤทัยไหวหวั่น | องค์สั่นบนแผ่นภูผา |
ริกรัวกลัวกรรมนำพา | เกรงเดชพระมหามุนี ฯ |
๏ เมื่อนั้น | ปาปะนาศน์มหาฤๅษี |
รู้เรื่องเคืองใจโยคี | จึ่งมีวาจาสาปไป ฯ |
ฤๅษีสาบว่า
๏ ดูราเมียผัวตัวเอิบ | กำเริบใจบาปหยาบใหญ่ |
อันเนตรนงรามทรามวัย | จักได้รับผลบัดนี้ |
นางยั่วโยคะละเมิด | จงเกิดเปนมานุษีอ ๒๘ |
กมลมิตรผู้พญาสามี | เห็นดีรู้ด้วยช่วยกัน |
จงมีกำเนิดมานุษ | ผ่องผุดเพ็ญลักษณ์รังสรรค์ |
สองมุ่งใจสมัครรักกัน | ให้พลันเริศร้างห่างไป |
รันทมกรมกรรมทำงน | ล้างตนในห้วงทุกข์ใหญ่ |
จนสิ้นบาปกรรมทำไว้ | จึ่งให้สิ้นสาปหลาบจำ ฯ |
๏ เมื่อนั้น | กมลมิตรพิศเนตรนางขำ |
เจ็บหนักจักจากตรากตรำ | คราวกรรมจำร้างห่างน้อง |
ยิ่งพิศภริยาอาดูร | ยิ่งภูลทุกข์ทนหม่นหมอง |
ก้มวอนกรไหว้ใจตรอง | พลางสนองวาจาว่าไป ฯ |
กมลมิตรกล่าวแก่ฤๅษีว่า
๏ ข้าแต่พระมหามุนี | ข้านี้ทำบาปอยาบใหญ่ |
ลวนลามความผิดติดใจ | หฤทัยหวาดหวั่นรันทด |
ผ่อนโทษโปรดเถิดโยคี | จงสาปให้มีกำหนด |
รู้เขตคำแช่งแบ่งลด | เปลื้องปลดทุกข์น้อยถอยไป ฯ |
๏ เมื่อนั้น | ปาปะนาศน์บรรหารขานไข |
ซึ่งเจ้าเนาเข็ญเห็นภัย | คิดใคร่คืนสองครองกัน |
จักสมโดยหวังดังใจ | โดยนัยที่เราสาปสรร |
เมื่อใดได้ทลวงจ้วงฟัน | จวบจ้ำห้ำหั่นกันลง |
เมื่อนั้นกำหนดปลดบาป | สิ้นสาปไป่คลาดมาดม่ง |
กล่าวพลางดาบสพรตยง | เธอสำรวมองค์ต่อไป ฯ |
๏ เมื่อนั้น | กมลมิตรจิตต์สั่นหวั่นไหว |
พิศเนตรนงรามทรามวัย | อรไทยพิศหน้าสามี |
นางใคร่จำพักตร์ภรรดา | เธอใคร่จำหน้ามารศรี |
จักพรากจากพลันทันที | สองมีใจเศร้าเปล่าทรวง ฯ |
๏ ตกจากฟากฟ้ามาดิน | พลัดถิ่นอาศัยในสรวง |
พึงหลาบบาปเขือเหลือตวง | ผาหลวงสูงใหญ่ไป่ปาน ฯ |
๏ นางเข้าสู่ครรภ์มหิษี | พระนราธิบดีใสศานติ์ |
ทรงนามชัยทัตภูบาล | ตระการเกียรติ์องค์ทรงยศ |
อ ๒๙ครองอินทิราลัยไกรเกรียง | สำเนียงฦๅชาปรากฎ |
ปราศปัจจามิตรคิดคด | ยงยศเยงสิ้นดินดอน ฯ |
๏ กมลมิตรสู่ครรภ์มหิษี | พระนราธิบดีชาญศร |
อ ๓๐ทรงนามธรรมราชภูธร | เธอครองนครอละกา |
ไพรีเข็ดนามขามยศ | ปรากฎเดชเดื่องเลื่องหล้า |
สำราญบานใจไพร่ฟ้า | ทั่วหน้าสุขเกษมเปรมปรี ฯ |
๏ เมื่อนั้น | องค์พระมเหศวรเรืองศรี |
เนาอาสน์ไกลาสคีรี | เปนที่อิ่มเอมเปรมตา |
พิศเพ่งเล็งดูรู้แจ้ง | ทุกแหล่งในสวรรค์ชั้นหล้า |
เห็นพญาคนธรรพ์ภรรดา | ชายายุพยงนงคราญ |
ตกจากฟากฟ้ามาดิน | ทิ้งถิ่นทิพาศัยไพศาล |
ทราบแจ้งแห่งเหตุเภทพาน | เกิดทุกข์รุกรานปานนั้น |
นิ่งนึกตรึกตรองคลองธรรม | โทษกรรมเกิดก่อส่อศัลย์ |
เพราะเหตุเนตรนางพางจันทร์ | เช่นกันกับสีศอเรา |
โดยเลมิดเกิดกอบกองทุกข์ | เพลิงลุกร้อนยิ่งผิงเผา |
อันกายโฉมยงนงเยาว์ | ยังเนาในสวรรค์ชั้นฟ้า |
นางไซร้ไปเกิดในดิน | กรุงอินทิราลัยใต้หล้า |
เราจักอุปถัมภ์นำพา | รักษาทรากใส่ใจจำ |
เหตุศรีแห่งศอเราไซร้ | แบ่งส่วนไปในเนตรขำ |
จักทอดทิ้งทรากตรากตรำ | ห่างหายหลายฉนำฤๅควร |
อันพญาคนธรรพ์นั้นไซร้ | หฤทัยซวนเซเหหวน |
พูดพล่อยเสเพลเรรวน | ปั่นป่วนเพราะเราเข้าเจือ |
อ ๓๑ศรีจันทร์ศรีศอสีศยาม | ในเนตรนงรามงามเหลือ |
เธอเห็นสาวน้อยลอยเรือ | ห่อนเบื่อนัยนาบ้าฟุ้ง |
คิดไปไม่เปนความผิด | แห่งพญากมลมิตรจิตต์ยุ่ง |
อ ๓๒ฤทธิ์อนงค์หลงใหลไคล้คลุ้ง | ควรเราเข้าพยุงเธอไว้ ฯ |
๏ ตรึกพลางพระมหาเทวะ | โดยพระกรุณาธยาศัย |
อ ๓๓หยิบดอกอัมพุชอำไพ | พลางปักลงไว้ในดิน |
กลายเปนเกาะน้อยลอยอยู่ | แลดูสำอางกลางสินธุ์ |
มีเมืองเรืองแข่งแหล่งอินทร์ | โศภินไพจิตรพิศพราย |
ปราสาทราชฐานกาญจน์แก้ว | เพริศแพร้วจำรัสเรืองฉาย |
ห่อนมีชนใดใกล้กราย | เมืองหม้ายอยู่ร้างกลางชล ฯ |
๏ จัดเสร็จพระอิศวรทรงเดช | ปล่อยเหตุให้เกิดเปนผล |
กมลมิตรกับน้องสองตน | อนุสนธิ์คำสาปมุนี ฯ |
จบภาค ๑ ในนิทานเรื่องกนกนคร
-
อ ๑. “พระวิศเวศวรเรืองศร”. “วิศเวศวร” เปนนามๆ หนึ่งของพระอิศวร พระอิศวรมีนามมาก ที่ใช้ในหนังสือนี้คือ ศุลี ศิว ศศิเคขร คงคาธร ศัมภู มเหศวร มหาเทว อุมาบดี มหากาล ปศุบดี เปนต้น ↩
-
อ ๒. “ศศีเสียบเผ้าเพราพราย”. “ศศี” แปลว่ามีกระต่าย คือพระจันทร์. เผ้า แปลว่าผม. ศศีเสียบเผ้าหมายความว่าพระอิศวรทรงพระจันทร์เปนปิ่น มีเรื่องว่าครั้งหนึ่งพระจันทร์ทำผิดเพราะเปนชู้กับนางดารา (ชนนีพระพุธ) ผู้เปนชายาของพระพฤหัสบดี เกิดความใหญ่จนพระจันทร์ถูกกำจัดไปอยู่นอกหมู่เทวดา ต่อเมื่อพระอิศวรทรงรับพระจันทร์มาปักไว้บนพระเกศา พระจันทร์จึ่งกลับเข้าหมู่เทวดาได้. ↩
-
อ ๓. “อ้าพระธำรงคงคา”. คือคงคาธร (ทรงไว้ซึ่งแม่น้ำคงคา) เปนนามพระอิศวร มีเรื่องว่าเมื่อแม่น้ำคงคาจะลงมาจากสวรรค์นั้น แผ่นดินจะแตกเพราะกำลังน้ำซึ่งไหลตกลงมาโดยแรง พระอิศวรต้องเอาพระเศียรรับไว้ แผ่นดินจึงรอดภัยไปได้ แม่น้ำคงคาตกลงบนพระเศียรแล้วหลงอยู่ในพระเกศาช้านานจึงหาทางไหลเลยไปได้. ↩
-
อ ๔. “เหมาะหมดพจมานบานมน”. “บานมน” คือเปนที่บานใจ. ↩
-
อ ๕. “ข้าแต่พระศศิเศขร”. “ศศิเศขร” เปนนามพระอิศวร แปลว่าเสียบพระจันทร์ไว้ที่ผม. ↩
-
อ ๖. “พระหทัยใฝ่ม่งทรงปอง”. “ม่ง” คือมุ่ง. ↩
-
อ ๗. “เหมือนสีพระศอทรงศักดิ์”. พระอิศวรนั้นพระศอเปนสีนิล เรียกว่า นีลกัณฐะ มีเรื่องว่าเมื่อกวนเกษียรสมุทเพื่อจะเอาอมฤตนั้น มีพิษช่อกาลกูฎลอยขึ้นมามากมาย จะเปนภัยแก่เทวดาแลอสูรซึ่งประชุมกันอยู่ จนพระอิศวรทรงกลืนพิษนั้นเสียสิ้น เทพดาแลอสูรจึงพ้นภัย พิษนั้นไม่ทำร้ายพระอิศวรก็จริง แต่ทำให้พระศอเปนสีนิล. ↩
-
อ ๘. “ศัมภูผู้เปนเจ้าของ”. “ศัมภู” เปนนาม ๆ หนึ่งของพระอิศวร. ↩
-
อ ๙. “รังสีเล่ห์แสงศศธร”. “ศศธร” แปลว่าทรงไว้ซึ่งกระต่าย คือพระจันทร์. ↩
-
อ ๑๐. “เคร่าใคร่ได้เคลียเมียมิ่ง”. “เคร่า” แปลว่า คอย. ↩
-
อ ๑๑. “เนาเรือเหนือสรัสปัทมี”. “สรัส” แปลว่าสระ “ปัทมี” แปลว่ามีบัว ว่าหนองบัว สระบัว. ↩
-
อ ๑๒. “ตรณีจันทร์นวลชวนชม”. “ตรณี” แปลว่าเรือ (เครื่องข้าม). ↩
-
อ ๑๓. “งามฉวีคือชวาน่าใคร่”. “ชวา” คือดอกกุหลาบ. ↩
-
อ ๑๔. “คิดเจ้าคือจันทน์ครรพิต”. ครรพิต = หยิ่ง. ↩
-
อ ๑๕. “เอื้อมห่อนถึงองค์นงลักษณ์”. “ห่อน” แปลว่าเคย. เช่น “บ่ห่อนมี” แปลว่าไม่เคยมี. แต่ในกาพย์กลอนของเราใช้ห่อนแปลว่า “ไม่” โดยมาก เช่น โคลงในเตลงพ่ายว่า
“เบื้องนั้นนฤนาถผู้ สยามินทร์” “เบี่ยงพระมาลาผิน ห่อนพ้อง” เปนต้น ในกาพย์กลอนที่ข้าพเจ้าแต่ง ใช้ห่อนแปลว่า “ไม่” เกือบเสมอ ที่ใช้ดังนี้นับว่าผิดความเดิม. แต่ก็ขืนใช้ เพราะเลือนกันมานานแล้ว แลคำที่ใช้เลือนอย่างนี้ยังมีอีกหลายคำ.
↩ -
อ ๑๖. “พิศเนตรนวลนางกลางสินธุ์”. “สินธุ์” ศัพท์นี้ใช้มากในหนังสือไทย ในที่หมายความว่าน้ำ อันที่จริงแปลว่าทเล แปลว่าแม่น้ำ แลเปนชื่อแม่น้ำสายหนึ่งในอินเดียด้วย. ↩
-
อ ๑๗. “ศอนิลปิ่นจันทร์พรรณ์ไร”. “พรรณ์ไร” แปลว่าวรรณเปนทอง (ไร แปลว่าทอง). ↩
-
อ ๑๘. “นางอนุศยินีศรีใส”. “อนุศยินี” คำนี้ฝรั่งเขาแปลไว้ว่าเมียผู้ภักดีต่อผัว. “A devoted wife. But the word has another technical philosophical significance : it connotes evil, clinging to the soul by reason of sin in a former birth, and begetting the necessity of expiation in another body”. ↩
-
อ ๑๙. “ใครฟังหมั่นไส้ทุกหน”. “หมั่นไส้” คำนี้ผู้รู้หนังสือมักเขียนว่า “มันไส้” ดูได้ความดีกว่า แต่เสียงพูดพูด “หมั่นไส้” เสมอ. ↩
-
อ ๒๐. “วาสพสุรสิทธิ์คิดขาม”. “วาสพ” เปนชื่อเรียกพระอินทร์. ↩
-
อ ๒๑. “จึงจัดอัจฉราวายาม”. “วายาม” คือพยายาม (อัจฉรา ดู อ. ๖๘). ↩
-
อ ๒๒. “ทรงนามทักษะโยคี”. พระทักษะเปนพรหมฤษีประชาบดี. ครั้งหนึ่งกระทำพิธีบูชายัญเปนการใหญ่ เชิญเทพดามามาก แต่ไม่ได้เชิญพระอิศวรผู้เปนเขย. พระอิศวรทรงเห็นเปนการหมิ่นประมาท จึงเสด็จมาทำลายพิธี ตัดเศียรพระทักษะขาดแล้วโยนเข้ากองไฟให้ไหม้เสีย ครั้นเลิกการกาหลกันแล้ว จะหาเศียรพระทักษะมาติดเข้าอย่างเก่าก็หาไม่ได้ จึงต้องตัดเอาหัวแพะหรือแกะมาติดแทน. รูปฤษีซึ่งตัวเปนคนหัวเปนเเพะหรือเเกะนั้นคือรูปพระทักษะองค์นี้. ↩
-
อ ๒๓. “ข้าแต่พระปิ่นปราเณศ”. “ปราเณศ” แปลว่าเจ้าแห่งลมหายใจเปนคำเมียใช้เรียกผัว แลผัวใช้เรียกเมียก็ได้ ↩
-
อ ๒๔. “อานนนิงแน่แลนาน”. “อานน” แปลว่าหน้า ↩
-
อ ๒๕. “ชี้เชิญชายามารศรี”. “มารศรี” ศัพท์นี้ใช้เรียกนาง แต่ไม่ทราบว่าแปลว่ากระไรแน่ ข้าพเจ้าเคยกล่าวในตอนอธิบายศัพท์ในพระนลคำฉันท์ว่าจะแปลว่านางเปนสิริแห่งกามเทพหรือสิริแห่งความรักจะได้ทางหนึ่งกระมัง (เพราะมารเปนชื่อกามเทพ แลเเปลว่าความรักก็ได้) แต่ได้พบในหนังสือสมุดดำตัวดินสอแห่งหนึ่งเขียนว่ามาณศรี แปลว่ามีสิริ. ↩
-
อ ๒๖. “นางสุโลจนากล้าหาญ”. “สุโลจนา” แปลว่านางเนตรงาม. ↩
-
อ ๒๗. “เธอบงนงรามทรามวัย”. “บง” แปลว่าดู. ↩
-
อ ๒๘. “จงเกิดเปนมานุษี”. “มานุษี” แปลว่านางมนุษย์. ↩
-
อ ๒๙. “ครองอินทิราลัยไกรเกรียง”. “อินทิราลัย” แปลว่าที่อยู่แห่งนางอินทิรา คือพระลักษมีผู้เปนเจ้าแห่งความงาม. ศัพท์nอินทิราลัยนี้เปนชื่อนีโลตบล คือบัวสีน้ำเงิน เพราะเมื่อพระลักษมีแรกเสด็จลอยขึ้นจากท้องเกษียรสมุทนั้นทรงนั่งในบัวชนิดนี้. ↩
-
อ ๓๐. “ทรงนามธรรมราชภูธร”. “ภูธร” คำนี้อันที่จริงแปลว่าทรงไว้ซึ่งแผ่นดินหรือรองรับแผ่นดินไว้ หมายความว่าภูเขา หรือเปนนามพระนารายน์ในตำแหน่งที่ทรงยกแผ่นดินชูไว้ตามเรื่องในกฤษณาวตารเปนต้น ในหนังสือไทยเราใช้ภูธรแปลว่าพระเจ้าแผ่นดิน น่าจะเห็นว่าเปนเพราะยกย่องพระเจ้าแผ่นดินว่าเปนอวตารแห่งพระนารายน์ ไม่ใช่เพราะศัพท์ภูธรแปลว่าพระเจ้าแผ่นดินเปนแน่. ↩
-
อ ๓๑. “ศรีจันทร์ศรีศอสีศยาม”. แปลว่าสิริแห่งพระจันทร์ แลสิริแห่งพระศอสีครามแก่ (ศยามแปลว่าสีคล้ำ) ↩
-
อ ๓๒. “ฤทธิ์อนงค์หลงใหลไคล้คลุ้ง”. “อนงค์” แปลว่าไม่มีองค์หรือไม่มีตัวเปนนามพระกามเทพ ซึ่งถูกเผาเปนจุณไปครั้งหนึ่งเพราะตาไฟของพระอิศวร. ความรักนั้นกล่าวว่าพระกามเทพทำให้เกิดจึงใช้ศัพท์ “อนงค์” อย่างที่ใช้ในที่นี้ อนึ่งควรกล่าวเสียทีเดียวว่า ในสมุดเล่มนี้ใช้อนงค์แปลว่ากามเทพหรือความรักเสมอ ไม่มีที่แปลว่านางเลย ถึงในที่ซึ่งใช้ว่า “ขวัญอนงค์” ก็แปลว่าขวัญของกามเทพ. ↩
-
อ ๓๓. “อยิบดอกอัมพุชอำไพ”. “อัมพุช” แปลว่าดอกบัว (เกิดในน้ำ). ↩