๙๔

๏ ฝ่ายบกเฉียก็รีบเข้าไปถอดม้าเทียวซึ่งจำไว้ออกมาได้ สองคนพากันขึ้นบนเชิงเนินที่นางฮูหยินรักษาหน้าที่อยู่ด้านหนึ่งนั้น บกเฉียกับม้าเทียวเอากระบี่ฟันฮูหยินภรรยาโต้เอ๋งตายตกจากกำแพงลงมา โต้หยินจึงร้องประกาศว่า เราชื่อบกเฉีย เป็นทหารเกียงจูแหยแม่ทัพใหญ่ ให้เรามาตีด่านแห่งนี้ โต้เอ๋งนายด่านก็ตายแล้ว คนทั้งปวงยอมโดยดีก็จะรอดตัว ถ้ายังจะขัดแข็งต่อสู้ก็จะพากันตายเจ็ดชั่วโคตร บรรดาคนซึ่งรักษาหน้าที่เชิงเทินในกำแพงด่านรู้ชัดว่าโต้เอ๋งผู้นายกับภรรยาตายแล้ว ข้าศึกก็เข้าในกำแพงด้านได้แล้ว ต่างคนต่างก็ทิ้งสาตราวุธเปิดประตูเมืองรับ บรรดาทหารผู้ใหญ่ก็พากันเข้ามาคำนับเกียงบุนฮ่วน เกียงบุนฮ่วนก็เข้าไปในกำแพงด่านแล้ว จึงให้ทหารร้องประกาศว่า คนทั้งปวงอย่าตื่นตกใจแตกฉานซ่านเซ็นไป บ้านเรือนของผู้ใดก็อยู่ให้ปรกติเหมือนแต่ก่อน แล้วสั่งให้ตรวจตราดูยุ้งฉางจัดทหารอยู่รักษาด่านแล้ว เกียงบุนฮ่วนกับกิมเฉียบกเฉีย ก็พากันรีบไปหาเกียงจูแหยแจ้งความให้ฟังทุกประการ เกียงจูแหยยินดีนัก ชมความคิดกิมเฉีย บกเฉียให้จดหมายความชอบไว้ เกียงจูแหยก็พาขุนนางแปดร้อยหัวเมือง เข้าเฝ้าพระเจ้าบูอ๋องทูลกำหนดวันที่จะยกทัพใหญ่เข้าตีเมืองจิวโก๋ แล้วเกียงจูแหยกับทหารแลขุนนางหัวเมืองทั้งปวง ก็พากันออกมาจัดกระบวนทัพ ให้เอียวเจี้ยนเป็นแม่ทัพหน้า คุมทหารสี่สิบหมื่นสรรพด้วยเครื่องสาตราวุธ ทหารม้าหมื่นเศษถือง้าวถือทวนทุกคนให้เดินหน้า จึงให้เกียงบุนฮ่วนคุมทหารยี่สิบหมื่นเป็นปีกขวา โลเฉียคุมทหารยี่สิบหมื่นเป็นปีกซ้าย หลำจงกวดคุมทหารยี่สิบหมื่นเป็นกองหลัง ให้กิมเฉีย บกเฉียถืออาญาสิทธิ์เป็นสารวัดซ้ายขวา เกียงจูแหยเป็นแม่ทัพหลวงคุมทหารมีฝีมือเป็นอันมาก ทหารเลวหกสิบหมื่น เชิญบูอ๋องขึ้นรถเกียงจูแหยขี่ซูปุดเสียง ทหารม้าเดินหน้าทัพหลวงสองหมื่นสรรพด้วยเครื่องสาตราวุธ เดือนสามขึ้นเก้าค่ำเวลาเช้าได้ฤกษ์ จึงให้จุดประทัดตีม้าล่อสัญญาเคลื่อนกระบวนทัพ ทหารทัพหลวงถือธงมังกรทอง ทหารทัพหน้าถือธงมังกรแดง ทหารปีกขวาปีกซ้ายกองหลังถือธงเขียวธงขาวธงเหลือง เสียงทหารม้าล่อฆ้องกลองสนั่นหวั่นไหว ดุจหนึ่งเสียงคลื่นในท้องพระมหาสมุทรเมื่อเกิดลมพายุใหญ่ ยกล่วงด่านเข้าถึงเมืองจิวโก๋ แล้วตั้งค่ายรายล้อมรอบกำแพงเมือง ราษฎรชายหญิงชาวบ้านทั้งปวงที่อยู่นอกกำแพงเมืองก็พาบุตรภรรยาแตกฉานซ่านเซ็น วิ่งพลางร้องไห้พลางหนีเข้าไปในกำแพงเมืองเสียงเอิกเกริกโกลาหล ขุนนางผู้ใหญ่จึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋อง ว่าบัดนี้กองทัพบูอ๋องยกเข้ามาถึงเชิงกำแพงแล้ว พระเจ้าติวอ๋องเสด็จขึ้นบนพระที่นั่งเตียแซ่เหลา ทอดพระเนตรเห็นกองทัพล้อมรอบกำแพงเมือง ก็มีความสะดุ้งตกพระทัยเป็นกำลัง ยืนตะลึงอยู่ช้านานแล้ว เสด็จกลับลงมาให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย เข้าเฝ้าปรึกษาว่าการศึกครั้งนี้เข้มแข็งนัก ผู้ใดจะคิดเห็นอย่างไรบ้าง เหลายินเกียดจึงทูลว่าบ้านเมืองเราทุกวันนี้ร่วงโรย ด้วยทแกล้วทหารที่มีฝีมือแลสติปัญญาก็สิ้นแล้ว ทั้งเสบียงอาหารก็เบาบางขัดสนไปทุกอย่าง จะสู้ข้าศึกเห็นเต็มที ขอให้พระองค์หาคนที่มีฝีปากออกไปพูดจาเป็นทางไมตรี ชักทำเนียบให้บูอ๋องเกียงจูแหยคิดถึงความหลังที่พระองค์ชุบเลี้ยงมา ก็เห็นจะกลับใจยกทัพถอยไป พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่าการถึงเพียงนี้แล้ว ซึ่งจะพูดจาเกลี้ยกล่อมเป็นไมตรีเห็นจะไม่ได้ ใต้หูหุยเหงียมจึงทูลว่า ข้าพระองค์คิดเห็นว่าพระนครอันใหญ่หรือจะสิ้นคนดี ขอให้มีหนังสือรับสั่งไปป่าวร้องหาคนดี ถ้าผู้ใดอาสาออกกำจัดข้าศึกได้ ครั้งนี้จะปูนบำเหน็จให้ถึงขนาด พระเจ้าติวอ๋องเห็นด้วย จึงให้ทำหนังสือให้คนไปเที่ยวป่าวร้องตามรับสั่ง

๏ ฝ่ายเตงแซะผู้หนึ่งได้ยินป่าวร้อง จึงคิดแต่ในใจว่า เราได้เรียนความรู้มาแต่สำนักอาจารย์ ก็หวังว่าได้ท่วงทีจะทำราชการเป็นทหารรบศึก ก็ครั้งนี้ศึกมาติดเมือง เราก็ได้อาศัยแผ่นดินท่านเป็นสุข ควรที่จะอาสาอยู่แล้ว ขณะนั้นเกอะสินเป็นสหายกันมาหาเตงแซะ เตงแซะถามเกอะสินว่ามาหาเราด้วยธุระสิ่งใด เกอะสินบอกว่าจะมาปรึกษากับสหายท่าน ด้วยครั้งนี้มีศึกมาล้อมเมือง พระเจ้าติวอ๋องก็หาคนที่มีฝีมือแลความรู้สติปัญญาดี จะให้ช่วยกำจัดข้าศึก ถ้าผู้ใดอาสาได้จะปูนบำเหน็จเกียรติยศเป็นอันมาก เราเห็นว่าสหายท่านมีสติปัญญาได้เรียนความรู้ในการที่จะรบศึก เราช่วยกันออกรับอาสาไว้ชื่อให้ปรากฏในแผ่นดินสักครั้งหนึ่ง เตงแซะได้ฟังก็หัวเราะ ว่าการศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงถึงเราจะมีสติปัญญาความรู้แลฝีมือกล้าแข็งสักเท่าใด แต่กำลังเราสองคนเท่านี้จะอาสาตีทัพใหญ่เหมือนเอาน้ำจอกเดียวไปดับไฟที่ไหม้ทั่วพระนคร จะดับได้หรือ แล้วเกียงจูแหยแม่ทัพคนนี้ ก็เป็นพวกโต้หยินในเขากุนหลุนลูกศิษย์ของอาจารย์ทั้งแปดภูเขา ก็เข้าอยู่ด้วยเกียงจูแหยทั้งนั้น แต่เราสองแรงจะสู้รบได้แล้วหรือ ปรึกษากันอยู่มิทันจะขาดคำ ได้ยินเสียงเท้าม้าเหลียวหน้าไปดูเตงจ๋งขี่ม้ามายืนอยู่ที่ประตูบ้าน เตงแซะจึงร้องเชิญเตงจ๋ง เตงจ๋งก็เข้าไปหาเตงแซะ เตงแซะถามว่าท่านมาธุระอะไร เตงจ๋งบอกว่าเวลาวานนี้ไปได้เขาป่าวร้อง ข้าพเจ้าจะมาคิดกับท่าน ว่าจะพากันอาสาสักครั้งหนึ่ง เตงแซะได้เพื่อนเป็นสามคิดเข้าด้วยกัน มีน้ำใจกำเริบก็พร้อมใจกันพากันไปหาใต้หูหุยเหงียมว่า ขอท่านได้เอาเนื้อความขึ้นกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องให้ทราบด้วย ข้าพเจ้าสามคนจะขออาสาออกไปรบข้าศึก ใต้หูหุยเหงียมจึงเอาเนื้อความเข้าไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องให้พาตัวเตงแซะเกอะสินเตงจ๋งเข้าไปเฝ้า จึงตรัสกับขุนนางทั้งปวงว่า ทหารสามคนนี้เห็นจะมีความรู้วิเศษนัก จึงเข้ามารับอาสาเมื่อศึกจอแจอยู่แล้ว เตงแซะจึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์ทั้งสามคนนี้มีใจกตัญญู จึงปรึกษาพร้อมกันจะเอาชีวิตรับอาวุธแทนพระคุณ อาสาช่วยการแผ่นดินสักครั้งหนึ่ง พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นว่า ทั้งสามคนมีใจสามิภักดิ์ จึงตั้งให้เตงแซะเป็นสิงแซะตำแหน่งทหารใหญ่ ให้เกอะสินเตงจ๋งเป็นฮุยบูเลียมจงกุ๋นตำแหน่งทหารซ้ายขวา แล้วพระราชทานเสื้อเกราะสำหรับทหารให้พร้อมทั้งสามคน จึงให้พาทหารสามคนไปหาเหลายินเกียดแม่ทัพใหญ่ เหลายินเกียดกับเตงแซะเตงจ๋งเกอะสินจัดแจงทหารรี้พล พากันยกออกจากนอกกำแพงเมือง เอียวเจี้ยนแม่ทัพหน้าเห็นกองทัพในเมืองยกออกมา จึงให้คนไปบอกเกียงจูแหย เกียงจูแหยขึ้นขี่ซูปุดเสียงพร้อมด้วยทหารที่มีฝีมือ ออกยืนทัพอยู่หน้าค่าย เหลายินเกียดเห็นเกียงจูแหยจึงร้องว่าตัวท่านเป็นผู้ใหญ่ แต่ก่อนคนทั้งปวงก็นับถือว่ามีสติปัญญาเป็นข้าพระเจ้าติวอ๋อง ควรหรือคายน้ำคมหอกคมดาบเสียได้ ไปคบบูอ๋องแล้วมิหนำซ้ำชักชวนหัวเมืองขึ้นทั้งปวงเป็นกบฏ ทำใจใหญ่ยกมาตีเมืองหลวง ช่างไม่มีความอายกับคนตรงต่อแผ่นดินบ้างเลย เกียงจูแหยจึงตอบว่า ตัวท่านเป็นขุนนางไม่รักแผ่นดินดีแต่จะสอพลอ เสริมเจ้าเอาแต่ประโยชน์ใส่ตนให้เแผ่นดินเดือดร้อน ขุนนางที่มีสติปัญญาซื่อตรงต่อแผ่นดินก็กำจัดเสียสิ้น จนหัวเมืองขึ้นทั้งปวงก็พากันไปขอเป็นข้าเข้าด้วยพระเจ้าบูอ๋องเพราะมีความแค้นเคือง จึงพร้อมกันยกมาจะกำจัดคนผิดเสียให้สิ้น แผ่นดินจะได้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป เหลายินเกียดจึงตอบว่า ถึงพระเจ้าติวอ๋องจะผิดชอบชั่วดีประการใด ก็ได้เป็นเจ้าชุบเลี้ยงมาก่อน เหมือนบิดากระทำความผิดต่อบุตร บุตรไม่คิดถึงคุณ คบกันกระทำร้ายต่อบิดาดังนี้ ควรแก่ตัวผู้มีสติปัญญาอยู่แล้วหรือ เกียงจูแหยจึงตอบว่า เมื่อครั้งเกียดเต้ครองสมบัติก็ฟั่นเฟือน จึงเสียแผ่นดินกับเกียดแฮครั้งหนึ่งแล้ว ครั้นพระเจ้าเสี่ยงถางครองสมบัติตั้งอยู่ในสัจธรรมอย่างธรรมเนียม แผ่นดินรุ่งเรืองมาถึงหกร้อยปี ครั้งนี้พระเจ้าติวอ๋องกระทำผิดประเพณี แผ่นดินเดือดร้อนยิ่งกว่าครั้งแผ่นดินเกียดเต้ฉะนี้ เราทั้งปวงผู้จะบำรุงแผ่นดิน เอ็นดูแก่อาณาประชาราษฎรจึงพากันยกมา จะกำจัดคนผิดเสียคนเดียว ราษฎรจะได้ความสุขทั้งแผ่นดิน จะมิเป็นประโยชน์ยิ่งกว่ารักคนผิดคนเดียวอีกหรือ เหลายินเกียดได้ฟังก็แค้นนัก รำง้าวเข้าไล่ฟันเกียงจูแหย หลำจงกวดเอาง้าวเข้ารับ เหลายินเกียดเกอะสินก็ถือทวนวิ่งเข้าแทงหลำจงกวด เตงแซะรำง้าวเข้าต่อสู้กับบูกิด เตงจ๋งเข้ารบกับเกียงบุนฮ่วน ทหารเป็นคู่ ๆ สู้กันถ้อยทีมีฝีมือเข้มแข็งยิงมิได้เสียทีในเพลงอาวุธทั้งสองฝ่าย โลเฉียจึงแผลงฤทธิ์เท้าขวาเหยียบจักรไฟ เท้าซ้ายเหยียบจักรลมถือทวนเข้าช่วยรบ เอียวเจี้ยนขับม้าถือทวนเข้าไล่แทงเหลายินเกียด บ้างแทงบ้างฟันกันตะลุมบอนเป็นสามารถ ทหารเลวต่อทหารเลวก็ต่อสู้กัน เสียงคนเสียงประทัด ม้าล่อแลเท้าม้าอาวุธกระทบกันอื้ออึงไปในที่รบ โลเฉียก็เอากำไลมีฤทธิ์โยนขึ้นไป ตกลงมาถูกเตงแซะตาย เอียวเจี้ยนเอาทวนแทงเกอะสินตายตกจากหลังม้า เหลายินเกียดครั้นทหารตายเห็นเสียทีก็ถอยทัพหนีเข้าในเมือง ทหารเกียงจูแหยได้ทีจะติดตามตีเข้าไปก็พอเวลาพลบค่ำ เกียงจูแหยจึงตีม้าล่อสัญญาเลิกทัพกลับเข้าค่าย

๏ ฝ่ายเหลายินเกียดก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าติวอ่องว่า ยกออกไปตีหักกำลังศึกครั้งนี้ เสียทหารอาสาสองคน พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็เสียพระทัยนัก จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เหลายินเกียดยกออกไปต้านทานทัพข้าศึกก็เสียทหารแตกเข้ามา ครั้งนี้เหลียวไม่เห็นหน้าใครแล้ว ที่จะกู้พระนครไว้ได้ อินโภ้ไป้จึงทูลว่า ข้าพระองค์ยังคิดเห็นอยู่อย่างหนึ่ง ด้วยเกียงจูแหยกับข้าพระองค์ แต่ก่อนเป็นคนชอบอัชฌาสัยกัน ข้าพระองค์จะไปพูดจาชี้แจง ให้เกียงจูแหยระลึกถึงความหลังที่พระองค์มีพระคุณมา ก็เห็นจะอ่อนใจลงบ้าง พระเจ้าติวอ๋องเห็นด้วย อินโภ้ไป้ก็ถวายบังคมลาพระเจ้าติวอ๋อง พาทหารเลวห้าคนหกคนออกไปหน้าค่ายเกียงจูแหย บอกแก่ทหารกองหน้าว่าเราถือรับสั่ง ออกมาเจรจาความเมือง ท่านจงเอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่เกียงจูแหย ทหารก็ไปบอกเกียงจูแหย เกียงจูแหยจึงให้อินโภ้ไป้เข้ามาถึงต่างคนต่างคำนับเชิญให้นั่งตามสมควร เกียงจูแหยจึงถามว่าท่านมาด้วยธุระสิ่งไร อินโภ้ไป้จึงว่า แต่ท่านจากเมืองจิวโก๋ไปนานแล้วมิได้เห็นหน้า ก็มีใจคิดถึงรู้ว่าท่านเป็นที่แม่ทัพใหญ่ก็พลอยยินดีด้วย บัดนี้มีรับสั่งพระเจ้าติวอ่องใช้ให้เราออกมาสนทนากับท่าน ผิดชอบประการใดท่านอย่าถือโทษ เกียงจูแหยจึงว่าท่านจะพูดจาประการใดก็พูดเถิด อินโภ้ไปจึงชักทำเนียบว่า ประเพณีพระมหากษัตริย์ครองแผ่นดินมีพระคุณแก่ข้าราชการ แลราษฎรทั้งปวงเป็นอันมากเสมอบิดามีคุณแก่บุตร แล้วก็มีกฎหมายสำหรับแผ่นดินว่า ถ้าผู้ใดคิดประทุษร้ายก็โทษถึงตาย บัดนี้หัวเมืองทั้งปวงคบคิดกันเป็นกบฏต่อพระเจ้าติวอ๋อง เหมือนบุตรจะทำร้ายต่อบิดาดังนี้หาควรไม่ ตัวก็มีสติปัญญารู้อย่างธรรมเนียม ช่วยห้ามปรามขุนนางหัวเมืองทั้งปวงให้ถอยหลังคิด อย่าให้บ้านเมืองเกิดรบราฆ่าฟันกันต่อไป ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจึงจะอยู่เป็นสุข เกียงจูแหยยิ้มแล้วจึงตอบว่า ซึ่งพระมหากษัตริย์เป็นที่พึ่งแก่ข้าแผ่นดิน เหมือนบิดากับบุตรนั้นชอบอยู่ กษัตริย์ตั้งอยู่ในสัจธรรม จึงเป็นที่พึ่งแก่แผ่นดินได้ เหมือนเมื่อครั้งพระเจ้าเงี่ยวเต้ยกราชสมบัติให้แก่พระเจ้าซุ่นเต้ ซุ่นเต้กลับมอบราชสมบัติให้พระเจ้าฮูเต้ ฮูเต้สืบแผ่นดินมาจนถึงพระเจ้าเกียดเต้ เกียดเต้ไม่อยู่ในสัจธรรม พระเจ้าเสี่ยงถางทรงกำจัดเกียดเต้เสียได้ ด้วยพระบารมีครองราชสมบัติสืบพระวงศ์มาได้หกร้อยปี บัดนี้พระเจ้าติวอ๋องครองราชสมบัติผิดประเพณี แผ่นดินเดือดร้อนยิ่งกว่าครั้งเกียดเต้เสียอีก เชื่อฟังแต่นางขันกี ฆ่าฟันขุนนางแลราษฎรชายหญิงที่หาความผิดไม่ ตายจากพ่อแม่พี่น้องลูกหลานอ้าปากมิออก แต่ร้องไห้รักกันหาที่พึ่งมิได้ เมื่อกษัตริย์เป็นดังนี้แล้วจะให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินผินหน้าไปพึ่งใคร หัวเมืองทั้งปวงเขาเห็นว่า ถ้านิ่งเสียก็มนุษย์ทั้งปวงจะฉิบหายเสียสิ้น เขาจึงพากันยกมาจะกำจัดผู้ผิดเสียคนเดียว มนุษย์ก็จะได้ความสุขทั้งแผ่นดิน ตัวท่านเป็นขุนนางไม่เห็นแก่แผ่นดิน ยังมีหน้าแต่งสำนวนมากลบเกลื่อน ยกคนผิดขึ้นเป็นคนชอบกลับถมคนชอบให้เป็นผิดควรอยู่แล้วหรือ เกียงบุนฮ่วนกับขุนนางหัวเมืองทั้งปวงบรรดานั่งฟังอยู่ที่นั้น ก็พร้อมกันติเตียนอินโภ้ไป้ต่าง ๆ อินโภ้ไป้โกรธ จึงตอบเกียงบุนฮ่วนว่าอ้ายทรชน แต่บิดาของตัวก็เป็นข้าควรหรือหลู่เจ้า ลืมคุณเจ้าข้าวแดงเสียได้ เกียงบุนฮ่วนโกรธนัก เอากระบี่ฟันอินโภ้ไป้ตัวขาดเป็นสองท่อนตายอยู่กับที่ เกียงจูแหยเห็นดังนั้นก็โกรธเกียงบุนฮ่วน จึงว่าเกียงบุนฮ่วนทำเหลือเกินฆ่าฟันคนเจรจาความเมืองให้เสียอย่างธรรมเนียมโบราณ จะให้มีความกระหายนินทาสืบไปภายหน้า เกียงบุนฮ่วนก็คำนับรับผิดว่า อินโภ้ไป้หยาบช้าถึงบิดาข้าพเจ้าต่อหน้าธารกำนันขุนนางทั้งแปดร้อยหัวเมือง โทโสข้าพเจ้าพลุ่งขึ้นมายั้งไม่ทัน ตามแต่ท่านจะโปรด เกียงจูแหยจึงว่า การได้เกินไปแล้ว ถึงจะทำอย่างไรอินโภ้ไป้ก็ไม่คืนเป็นขึ้นได้ดังเก่า จึงให้ทหารเลวเอาศพอินโภ้ไป้ไปฝังเสียนอกค่าย แล้วสั่งทหารให้ทำลายกำแพงเมือง

๏ ขณะนั้นทหารเลวที่ไปด้วยอินโภ้ไป้ เห็นนายตายก็หนีเข้าเมือง เอาเนื้อความกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องทุกประการ พระเจ้าติวอ๋องก็ตกพระทัยด้วยกลัวกองทัพจะเข้าทำลายกำแพงเมือง ฝ่ายอินเสงชิวบุตรอินโภ้ไป้รู้ว่าบิดาตายก็ร้องไห้เข้าไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ข้าพระองค์ได้ฟังคำโบราณเล่าต่อ ๆ กันมาว่า พระนครใดก็ดีทั้งสองทำศึกกันใช้ทูตไปมาเจรจาความเมืองซึ่งจะฆ่าฟันทูตเสียนั้นหามีไม่ นี่ทำบังอาจล่วงเกินนัก ข้าพระองค์มิได้คิดแก่ชีวิต ขอถวายบังคมลาออกไปดูหน้าข้าศึก จะกระทำตอบแทนบิดาข้าพระองค์ให้จงได้ พระเจ้าติวอ๋องก็ให้อินเสงชิวออกไปรบ อินเสงชิวก็คุมทหารยกออกไปจากเมือง ถึงหน้าค่ายเกียงจูแหย อินเสงชิวจึงร้องว่าเกียงบุนฮ่วนคนไรที่อาจองฆ่าบิดาเราเสีย ให้เร่งออกมาสู้กับเรา เกียงบุนฮ่วนก็ขึ้นม้าถือทวนคุมทหารออกไปนอกค่าย อินเสงชิวเห็นเกียงบุนฮ่วนก็มีความพยาบาทเป็นกำลัง ขับม้ารำง้าวเข้าไล่ฟันเกียงบุนฮ่วน ถ้อยทีต่อสู้กันได้สามสิบเพลง เกียงบุนฮ่วนเอาทวนแทงถูกอินเสงชิวตายตกลงจากม้า เกียงบุนฮ่วนก็ตัดศีรษะอินเสงชิวมาเสียบไว้หน้าค่าย ทหารเลวอินเสงชิวก็พากันแตกหนีเข้าเมือง เอาเนื้อความไปแจ้งแก่ขุนนางผู้ใหญ่ กราบทูลพระเจ้าติวอ๋องทุกประการ พระเจ้าติวอ่องยิ่งเสียพระทัยนัก จึงตรัสปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เราจะคิดอย่างไรต่อไป จึงจะกู้พระนครไว้ได้ การก็จอแจอยู่แล้ว ปรึกษากันมิทันขาดคำ ทหารวิ่งเข้ามาบอกว่ากองทัพเกียงจูแหยยกเข้ามาจะทำลายกำแพงเมือง เหลาหยินเกียดก็จัดทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้เป็นสามารถ เกียงจูแหยเห็นการซึ่งรักษาเมืองนั้นยังมั่นคงอยู่ จึงว่ากับทหารทั้งปวงว่าเราตีขอบเขตด่านแดนเมืองจิวโก๋ก็ได้สิ้น ทั้งทหารฝีมือก็หามีต่อสู้เราไม่แล้ว เราจะคิดหักเอาในเวลาวันนี้ก็จะได้ แต่ว่าผู้คนจะล้มตายยับเยินทั้งสองฝ่าย ถ้าเราจะล้อมมั่นไว้ นานไปในเมืองก็จะขัดเสบียงอาหารผอมลงทุกวัน คงจะเข้าเมืองได้อยู่เอง

๏ ขณะนั้นทหารที่มีฤทธิ์ต่างๆ จึงว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงจะอาสาจำแลงกายเข้าไปในเมืองก่อน แล้วกองทัพจึงตีข้างนอกเข้าไป ข้าพเจ้าก็จะตีข้างในเมืองให้แตกยับเยิน เราก็จะเข้าเมืองได้โดยง่าย เกียงจูแหยจึงห้ามว่า ซึ่งท่านทั้งปวงคิดก็เห็นจะได้การสิ้น แต่เราคิดปรานีแก่ราษฎรทั้งปวง จะพลอยฉิบหายเสียเป็นอันมาก เราจะคิดทำหนังสือเป็นใจความว่า เสียงถองเสียงทางเทียนโปใต้อวนซวนซีอุย แปลว่ารับสั่งเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ให้กองทัพมาปราบเมืองเสียงถอง ด้วยแต่แรกตั้งฟ้าตั้งแผ่นดิน เทพยดาโปรดให้สัตว์เกิดมาเป็นมนุษย์ในแผ่นดิน แล้วให้มีเจ้าแผ่นดินรักษาเขตแดนทำนุบำรุงราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข บัดนี้ติวอ๋องกระทำความผิดเชื่อฟังคำนางขันกี ฆ่าฟันชายหญิงที่หาความผิดมิได้ตายเป็นอันมาก จนแผ่นดินเดือดร้อนทุกเส้นหญ้า แลขุนนางที่มีสติปัญญาซื่อตรงต่อแผ่นดิน กับขุนนางหัวเมืองทั้งปวงปรึกษากัน เห็นว่าพระเจ้าบูอ๋องเป็นผู้มีบุญ น้ำพระทัยโอบอ้อมเอ็นดูแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ตั้งพระทัยจะเลี้ยงโลกให้เย็นชื่นทุกตัวสัตว์ เราทั้งปวงจึงยอมเป็นข้าพระเจ้าบูอ๋อง ยกกองทัพมาจะกำจัดติวอ๋องเสียคนเดียว ครั้นจะให้ทหารแผลงฤทธิ์ ทำลายกำแพงเมืองเข้าไปรบราฆ่าฟันกันเล่า ก็คิดเอ็นดูแก่ราษฎรทั้งปวงจะพลอยฉิบหายเสียด้วย จึงทำหนังสือบอกชาวเมืองให้รู้เหตุ แล้วให้เร่งเปิดประตูพระนครทั้งสี่ทิศ ให้กองทัพเข้าไปโดยสะดวก เราจะเอาหนังสือนี้ผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปในเมือง ทั้งจะให้เอาไปปิดไว้ที่ประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ถ้าราษฎรรู้หนังสือนี้แล้วก็เห็นจะยินดี ด้วยมีความแค้นติวอ๋องอยู่สิ้น ก็จะเปิดประตูรับเราโดยสะดวก ทหารทั้งปวงก็เห็นด้วย เกียงจูแหยจึงให้เขียนหนังสือหลายฉบับ ผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไป แล้วให้ทหารเอาไปปิดไว้ที่ประตูเมืองทั้งสี่ทิศ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ